แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 11
ณภัทรอุทานเสียงหลง หลังจากรู้เรื่องของอนามิกาจากปากเมธาวี
“ว่าไงนะ! อะนาจะบอกความจริงกับพี่ณดลเนี่ยนะ”
เมธาวีพยักหน้ายืนยัน “ใช่ พี่อะนาเค้าตัดสินใจแล้ว”
ณภัทรลนลาน “เฮ้ย...ไม่ได้นะ ขืนบอกความจริงไปตอนนี้ ฉันก็โดนจับแต่งงานกับคุณแพรเท่านั้นสิ ไหน...ตอนนี้ยัยอะนาอยู่ไหน”
“อยู่...” เมธาวีหน้าแหย “อยู่กับพี่ณดลน่ะสิ”
ณภัทรร้องเสียงหลง “หา?”
ณภัทรหน้าเหวอสุดๆ เพราะคิดว่างานนี้มีหวังโดนจับแต่งงานแน่นอน
ณดลกับอนามิกายืนนิ่งจ้องตากันอยู่ที่ชายหาด สปีดโบ๊ทลำหนึ่งแล่นตรงมาที่หาด
“ก็ว่ามาสิ...ไหน...ความจริงอะไรของเธอ” ณดลถาม
อนามิกาลังเลสักครู่แล้วก็สูดลมหายใจลึก ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา “ความจริงแล้ว ฉันไม่ใช่...”
ทันใดนั้นเสียงอัธวุธก็ดังขึ้น “วู้ว”
อนามิกาชะงัก ณดลและอนามิกาหันไปตามเสียงก็เห็นเรือสปีดโบ๊ทแล่นเข้าฝั่ง บนเรือมีจ๊อดโบกไม้โบกมือและอัธวุธใส่แว่นดำกรอบโตยืนเฉิดฉายพร้อมกับชูผ้าสีสวยพลิ้วเป็นทางยาวขึ้นมา
อัธวุธตะโกนมาอย่างใส่จริตจกร้าน “เซอร์ไพรส์....”
จ๊อดตะโกนด้วย “จ๊อดก็มาคร้าบ” จ๊อดยกมือไหว้ท่วมหัว “หวัดดีคร้าบ”
ณดลกับอนามิกายืนนิ่งมองหน้ากัน ต่างคนต่างรู้ว่าคงไม่เหมาะจนสนทนาในเรื่องที่ค้างไว้ต่อไป ทั้งสองเดินไปที่ชายหาด
เรือสปีดโบ๊ทแล่นมาจอด อัธวุธแต่งตัวจัดจ้าน มีทั้งเสื้อคลุมพลิ้วไหวสีสันบาดตาบาดใจ
อัธวุธเห็นทั้งสองดูนิ่งๆ ไม่ยิ้มแย้ม “ไงยะ อึ้งกันไปเลยดิ” อัธวุธโพสต์ท่าเหยียบกราบเรือ “อันนี้ชุดเที่ยวทะเลชิลๆ นะยะ เดี๋ยวเจอจัดเต็มแบบเทศกาลแฟชั่นออนเดอะบีช”
อัธวุธก้าวลงจากเรือ แต่พลาดหน้าคว่ำ คะมำลงพื้นดังตุบ จ๊อดฮาแตก
“ฮ่าๆๆ พี่อาร์ทเอ๊ย...ไหวมั้ยเนี่ย”
อัธวุธลุกขึ้นมายืนพอยท์เท้าอย่างมั่นใจ แล้วมองเหล่ดุจ๊อด “นี่..มาด้วยกัน ไหงทับถมกันแบบนี้ล่ะยะ” อัธวุธพูดกับอนามิกา “วันก่อนไปนั่งร้านเจ๊แพนด้า เค้าได้ยินฉันบ่นว่าอยากตามแกมาเที่ยวที่นี่ เจ๊เค้าเลยฝากไอ้จ๊อดมาเที่ยวด้วย”
“แกก็บ้าจี้พามาด้วยเนี่ยนะ แล้วรับผิดชอบลูกเค้าไหวเรอะ” อนามิกาถาม
“ไหวสิยะ จะยากอะไร ให้เป็นเบบี้ซิทเตอร์ เป็นแม่นม ฉันทำได้ทั้งนั้น”
ณดลเดินมาช่วยอุ้มจ๊อดลงจากเรือ คนขับเรือช่วยแบกกระเป๋าเดินทางเต็มสองมือมาวางให้
“ยังจำกันได้มั้ยเนี่ย” ณดลถาม
“จำได้สิครับ พี่ณดล แล้วพี่จำผมได้มั้ย” จ๊อดถามกลับ
“ได้สิครับ คุณจ๊อด” ณดลอุ้มหิ้วปีกจ๊อดมาวางให้ยืนบนหาดทราย
อัธวุธย่อตัวไหว้ณดลอย่างอ่อนช้อย “สวัสดีค่ะคุณณดล เมื่อกี้อาร์ทมาขัดจังหวะพี่กำลังคุยอะไรกันอยู่รึเปล่าคะ”
“ก็..เอ่อ...” ณดลเหลือบมองอนามิกา
“เปล่านี่ ไม่มีอะไร” อนามิกาตัดบท “ไป! ยัยอาร์ท แกกับจ๊อดรีบเข้าที่พักก่อนดีกว่า”
“อะจร้า...” อัธวุธหันมาหาจ๊อด “ไป! หน้าเดิน”
อัธวุธ จ๊อด และอนามิกาช่วยกันหอบหิ้วสัมภาระเดินขึ้นหาดไป ทิ้งให้ณดลยืนมองตามไป อย่างคาใจว่าอนามิกาจะบอกอะไรกับตน
ณภัทรกับเมธาวีกำลังเดินเพื่อจะไปหาอนามิกา พอเห็นอนามิกาเดินสวนมาก็ชะงัก ณภัทรรีบพูดขึ้น
“อะนา...นี่เธอบอกความจริงพี่ณดลไปแล้วเหรอ”
อนามิกาส่ายหน้า “ยัง”
ณภัทรถอนใจ “โล่งอกไปที ขอร้องหละนะ เวลานี้เรายังไม่ควรบอก...เฮ้ย!”
ณภัทรตกใจที่เห็นจ๊อดหอบสัมภาระวิ่งรี่เข้ามายกมือไหว้ทุกคน โดยมีอัธวุธเดินตามมาห่างๆ
“หวัดดีคร้าบ...” จ๊อดทักทาย
“มาได้ไงเนี่ยจ๊อด อ้าว! อาร์ท แกลักพาตัวลูกเจ๊แพนด้ามาเรอะ” ณภัทรถาม
อัธวุธป้องปากพูด “ก็สงสารเด็กมันน่ะ เกิดมายังไม่เคยเห็นชายหาดสวยๆ แบบนี้เลยนะ”
“ก็แหม..จ๊อดเค้าเป็นเด็กลอนดอนนี่” เมธาวีบอก
อัธวุธป้องปากถามอนามิกาเพราะกลัวจ๊อดได้ยิน “แล้วเป็นไงยะ บทบาทเมียท้องอ่อนๆ ของเธอยังไปได้ฉลุยมั้ย”
เมธาวีสะกิดอัธวุธแรงๆ “อย่าเพิ่งถามตอนนี้ได้มั้ย คนเค้ากำลังซีเรียสกัน”
“แกนี่ไม่ได้รู้จักกาลเทศะเล๊ย” ณภัทรว่า
“เง้อ...ฉันผิดอะไรเนี่ย” อัธวุธงง
อนามิกาพูดกับอัธวุธ “แกกับเมพาจ๊อดเข้าที่พักก่อนไป ขอฉันคุยกับนายภัทรหน่อย”
“อุ๊ยตาย..อะไรยะ นี่มีความลับอะไรกัน ฉันตกข่าวอยู่คนเดียวใช่มั้ยเนี่ย”
“มานี่เหอะน่าพี่อาร์ท” เมธาวีดึงแขนอัธวุธ
จ๊อดยืนถือสัมภาระรออยู่ ก็หันมาเร่ง “เร็วสิคร้าบ ให้เด็กรออยู่ได้”
“เจ้าคร๊า คุณหนู” อัธวุธรับคำ
อัธวุธกับเมธาวีเดินตามจ๊อดที่เดินนำไปยังที่พัก อัธวุธเหลียวหลังมาพูดกับณภัทรกับอนามิกา
“เดี๋ยวคุยกันเรียบร้อยว่ายังไง ต้องเล่าให้ฉันฟังด้วยนะยะ”
ทุกคนเดินออกไป ทิ้งให้ณภัทรอยู่กับอนามิกาเพียงลำพัง อนามิกาหน้าเครียดมองตาณภัทร ณภัทรเองก็หนักใจเพราะรู้สึกเห็นใจอนามิกาเช่นกัน
ณภัทรยืนคุยกับอนามิกา
“ไม่ได้ ฉันรู้สึกผิดจนทนไม่ไหวแล้ว” อนามิกาบอก “คุณพ่อคุณแม่นายก็เริ่มดีกับฉัน พี่ชายนายก็ดีกับฉัน จะให้ฉันโกหกพวกเค้าอีกต่อไปได้ยังไง”
“อะนา...ยังไงฉันก็เปลี่ยนใจเธอไม่ได้ใช่มั้ย” ณภัทรถาม
อนามิกามองหน้าณภัทร “นายก็รู้จักนิสัยฉันดีนี่”
ณภัทรถอนใจ “งั้น...อย่าเพิ่งเป็นที่นี่ได้มั้ย ฉันขอเวลาอีกหน่อย ให้เราทุกคนกลับบ้านกันก่อน แล้วเธอค่อยบอกความจริงได้มั้ย”
“ทำไม จะช้าจะเร็ว ฉันก็ต้องบอกอยู่ดี”
“แต่ฉันอยากให้เธอบอกความจริงกับครอบครัวฉันเป็นการภายใน ฉันไม่อยากให้พูดต่อหน้าคุณแพรวาเค้า”
อนามิกาลังเล
“ให้ฉันเคลียร์กับทุกคนในบ้านก่อน แล้วค่อยให้พวกคุณแพรรู้จะดีกว่านะ” ณภัทรขอ
อนามิกาคิดหนัก
“ขอร้องหละ คิดว่าช่วยชีวิตเพื่อนอีกซักครั้งนะอะนา”
อนามิกาครุ่นคิดตามอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก็ได้...”
ณภัทรดีใจ จับมืออนามิกา “ขอบคุณมากอะนา”
อนามิกาชักมือกลับ “ไม่ต้องมาขอบคุณ กลับไปกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ ฉันจะรีบบอกความจริงทั้งหมดกับทุกคนทันที”
อนามิกาพูดอย่างมุ่งมั่นเอาจริง ณภัทรได้แต่สยองเพราะกลัวเรื่องใหญ่ที่จะเข้ามาในอนาคตอันใกล้
ณ บริเวณที่ขึ้นเรือเพื่อไปดำน้ำดูปะการัง นลิณากำลังจัดแจงแบ่งกรุ๊ปดำน้ำให้ทุกคน
“กิจกรรมสำหรับวันนี้ เราจะออกเรือไปดำน้ำดูปะการังกัน” นลิณาบอก
จ๊อดดีใจ “เย๊...อยากไปดำน้ำจังเล๊ย”
“ดำน้ำเป็นด้วยเหรอจ๊อดน่ะ” อัธวุธถาม
จ๊อดส่ายหน้า “ไม่เป็นอ่ะ”
ทุกคนพูดพร้อมกัน “เอ๊า...”
“ฉันว่านะ” เกตนิการ์พูดกับอัธวุธ “เธอกับยัยเม ยัยแพร อยู่ดูแลเด็กที่นี่ดีกว่า”
“อ้าว..ทำไมล่ะ นึกว่าจะไปด้วยกันทั้งหมดนี่” เมธาวีงง
“แพรดำน้ำไม่ค่อยเป็น เอาแค่ snorkeling ดูปะการังน้ำตื้นแถวนี้ก็พอค่ะ” แพรวาบอก
“น้ำตื้นๆ แล้วปะการังจะสวยเหรอครับ” ณภัทรถาม
“สวยค่ะ แพรถามพวกคนงานที่นี่มาแล้ว”
“ก็ดีนะ จะได้หมดห่วงเรื่องเด็ก หรือบางคนที่ดำน้ำ ว่ายน้ำยังไม่แข็ง” ณดลพูด
“งั้นเราไปกันแค่สี่คนก็ดีนะคะ คุณณดล อนามิกา เกตนิการ์ แล้วก็ฉัน” นลิณาสรุป
“อ้าว..แล้ว..” ณภัทรชี้ตัวเอง
“ฉันฝากช่วยดูแลน้องแพรหน่อยนะ” นลิณาบอก
“แต่ว่า...” ณภัทรจะพูดต่อ
นลิณารีบตัดบท “ไปๆๆ เร็วเข้า เรือเค้ารอพวกเราแล้ว”
ทุกคนขยับเตรียมจะขึ้นเรือ นลิณาเดินมาที่เกตนิการ์แล้วแอบยิ้มร้ายๆ ให้กันก่อนจะหันไปมองที่อนามิกาเพราะทั้งสองรู้กันว่ามีแผนร้ายจะเล่นงานอนามิกา
เรือแล่นอยู่กลางทะเล ณดลกำลังจะเดินขึ้นดาดฟ้าของเรือ อนามิกาเดินลงบันไดสวนมาพอดี ณดลเห็นก็ชะงัก
“เธอมีความจริงอะไรจะบอกฉันเหรอ” ณดลถาม
“เอ่อ...เปล่านี่คะ” อนามิกาตอบ
“เปล่าอะไร ก็ก่อนหน้านี้เธอบอกเองว่ามีความจริงบางอย่างจะบอกฉัน”
อนามิกาหลบตา “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“เธอกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่กันแน่”
“บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ หลีกทางหน่อยได้มั้ย ฉันจะไปห้องน้ำ”
อนามิกาทำบึ้งตึงใส่แล้วเดินชนไหล่ณดลออกไป ณดลจ๋อยไปสักครู่จึงก้าวขึ้นบันไดไป
นลิณานอนอาบแดดสบายใจอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบที่อยู่บนดาดฟ้าเรือ เกตนิการ์นอนอยู่ที่เก้าอี้ผ้าใบที่อยู่ข้างๆ
เกตนิการ์พูดเบาๆ “นีน่า ทำไมเธอชิลอย่างงี้ล่ะ ไหนบอกจะมาเล่นงานยัยอะนากันไง”
“แล้วเธอจะรีบทำไม ดำน้ำดูปะการังให้สบายใจก่อนก็ได้ ยังไงมันก็ต้องอยู่บนเรือลำนี้ จะหนีเราไปไหนได้”
เกตนิการ์หันไป “อุ๊ย! คุณณดลมา”
“เธอก็รีบลุกไปสิยะ” นลิณาบอก
ณดลเดินมา เกตนิการ์รีบลุกให้
“คุณณดลเชิญเลยค่า”
“ไปเอาน้ำส้มเย็นๆ ให้คุณณดลด้วย” นลิณาสั่ง
เกตนิการ์ถอนใจอย่างเซ็งๆ แต่ก็ยอมไปหยิบน้ำส้มขวดเล็กๆ จากกระติกน้ำแข็งมายื่นให้
ณดลรับมา “ขอบคุณนะ”
ณดลเปิดขวดน้ำส้มดื่ม นลิณาเข้าขยับมาถาม
“นี่คุณณดลทาครีมกันแดดหรือยังคะ”
“ก็ทามานิดหน่อยก่อนออกจากห้องแล้วหละ” ณดลตอบ
“โอ๊ย...ต้องทาอีกครั้งนะคะ วันนี้แดดแรงด้วย เดี๋ยวผิวก็ไหม้กันพอดี”
นลิณาหันไปขยิบตากับเกตนิการ์เพื่อขอครีมกันแดด เกตนิการ์รู้สึกขัดใจแต่ก็ยอมไปหยิบครีมกันแดดจากกระเป๋าที่วางไว้แถวนั้นให้
“ขอบใจจ้ะ” นลิณาพูด
นลิณาลูบไล้ทาครีมกันแดดให้ณดล เกตนิการ์มองหน้านลิณาอย่างรู้ทัน แล้วก็ส่ายหัวใส่ เชิงแกล้งเพื่อน นลิณาเลยยิ่งลูบไล้หนักขึ้นแล้วทำหน้าล้อเลียนเกตนิการ์บ้าง
ณดลรู้สึกว่าครีมชักเยอะเลยขยับตัว “เอ่อ..ผมว่าไม่ต้องแล้วดีกว่า ผมทาเองดีกว่าเดี๋ยวมันจะดูไม่ดีน่ะ”
“ทำไมล่ะคะ ไม่เห็นเป็นไรเลย คุณณดลอย่าคิดมากสิ”
อนามิกาเดินขึ้นมาเห็นณดลอยู่กับนลิณาก็ชะงัก
ณดลเงยหน้ามาสบตากับอนามิกา ต่างคนต่างนิ่งมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ณดลเห็นท่าทีมึนตึงจากอนามิกา ก็เลยประชดด้วยการพูดกับนลิณา
“ช่วยทาครีมให้ผมเยอะๆหน่อย”
ณดลขยับหันหลังให้นลิณาพร้อมกับมองสบตาอนามิกาเหมือนประชด อนามิกาหน้าจ๋อย ได้แต่เดินถอยออกไป ณดลมองตามไปจากที่เหมือนจะยิ้มก็กลายเป็นไม่สบายใจกับสิ่งที่ทำลงไป
เรือแล่นมาจอดลอยนิ่งอยู่บริเวณที่จะดำดูปะการัง ณดล อนามิกา นลิณา และเกตนิการ์ อยู่ในชุดที่เตรียมพร้อมจะลงดำน้ำ ทั้งหมดเตรียมตัวลงจากเรือ นลิณาเข้ามาคอยดูแล แตะต้องตัว ทำเป็นตรวจเช็คอุปกรณ์ให้ณดลตลอดเวลา
“คุณณดลต้องอยู่ใกล้ๆ นีน่านะคะ เผื่อว่านีน่าเป็นอะไร จะได้ให้คุณณดลช่วย”
“ได้เลย ไม่มีปัญหา” ณดลตอบ
ณดล นลิณา และเกตนิการ์ ลงจากเรือไป ส่วนอนามิกานั่งเซ็งอยู่ที่กราบเรือ จนทุกคนค่อยๆ ห่างออกไป อนามิกาจึงค่อยหย่อนตัวลงน้ำ
ทุกคนดำน้ำลงมาที่ใต้ทะเล นักดำน้ำมืออาชีพพาทุกคนแหวกว่าย ชมปะการัง ชมฝูงปลาเล็กปลาน้อยและธรรมชาติอันสวยงามใต้ท้องทะเล
ขณะเดียวกัน อัธวุธก็คอยดูแลจ๊อดอยู่บริเวณน้ำตื้นๆ ส่วนณภัทรกับเมธาวีต่างก็ลอยอยู่ผิวน้ำเพื่อดูปะการังน้ำตื้นด้วยกัน แพรวาใส่หน้ากาก snorkeling กำลังลอยตัวบนผิวน้ำแล้วก้มหน้าดูปะการังแยกออกมาจากกลุ่ม
แพรวาลอยตัวสักพักก็เอามือปลดหน้ากาก snorkeling ออกแล้วตะโกนร้องเตือนทุกคนที่อยู่ห่างออกไป
“ระวังนะคะ มีหอยเม่นเพียบเลยค่ะ”
อัธวุธซึ่งคอยดูแลจ๊อดอยู่ปลดหน้ากากออกแล้วหันมาร้องถาม
“ว่าไงนะ”
“มีหอยเม่นค่ะ ระวังนะคะ” แพรวาเตือนอีกครั้ง
“หา?! พูดดังๆ หน่อย ฉันไม่ได้ยิน” อัธวุธตะโกน
แพรวาพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น “มีหอยเม่นค่ะ ระวังอย่าเอาเท้าเหยียบลงพื้นนะคะ”
“อ๋อ...” อัธวุธหันไปบอกณภัทร เมธาวี และจ๊อด “อย่าเอาเท้าเหยียบลงพื้น เดี๋ยวจะเหยียบโดนหอยเม่น” ยังไม่ทันขาดคำอัธวุธก็สะดุ้งสุดตัว “ชะอุ๊ย!”
“เป็นอะไรเหรออัธวุธ” ณภัทรถาม
อัธวุธทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ แล้วแผดเสียงดัง “ฉันโดนหอยเม่นตำ”
ณภัทรกับเมธาวีต่างก็ปลดหน้ากากแล้วหันมาขำกัน จ๊อดก็ปลดหน้ากากกออกแล้วขำอัธวุธเช่นกัน
“อูย...ขำอะไรกันยะ” อัธวุธถาม
“ก็ดูสิ คุณแพรเค้าเพิ่งเตือนไปไม่ทันขาดคำ...” ยังพูดไม่จบ เมธาวีก็ตาโตแล้วสะดุ้งโหยง “อุ๊ย!”
“เป็นอะไรเหรอเม” ณภัทรถาม
เมธาวีทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ “โดนหอยเม่นเหมือนกันน่ะสิ”
อัธวุธขำอย่างสะใจ
“สมน้ำหน้า อยากหัวเราะเยาะฉัน โอ๊ย...อูย...”
แพรวาเดินประคองอัธวุธที่เดินเขยกๆ และมีหน้าตาบูดเบี้ยวเดินขึ้นมาที่ชายหาด จ๊อดก็ขนาบข้างคอยช่วยด้วย ส่วนณภัทรก็ประคองเมธาวีที่โดนหอยเม่นตำฝ่าเท้าเดินขึ้นมา
ที่บริเวณชายหาดเช่นกัน
อัธวุธพูดอย่างสำออย “อู๊ย..ตายแล้ว โอย..ปวด นี่ฉันจะเป็นอะไรมั้ย หอยเม่นมันมีพิษรึเปล่า มันจะลามเข้ามาทางเส้นเลือดใหญ่มั้ย”
“ใช่...คงต้องตัดขาทิ้งแล้วหละ” ณภัทรตอบนิ่งๆ
“หา!!?? ว่าไงนะ” อัธวุธร้องโวยวาย “ไม่นะ ไม่จริง!”
ณภัทรพูดเสียงดังใส่ “เออ! ก็ไม่จริงน่ะสิ”
แพรวากับจ๊อดถึงกับหัวเราะ อัธวุธหันมาตวาด
“ขำอะไรยะ”
แพรวากับจ๊อดรีบหุบปากทันที
“โถ..ยัยอาร์ท..แค่หอยเม่นตำ ทำจะเป็นจะตาย ดูเมซิ เค้ายังไม่เป็นไรเลย” ณภัทรบอก
ทุกคนหันไปมองเห็นเมธาวีเงยหน้าขึ้นมาด้วยหน้าตาเหยเกเหมือนจะร้องไห้
“ใครบอกไม่เป็นไร เจ็บจะตายอยู่แล้ว” เมธาวีบอก
“อุ้ย! งั้นรีบๆ เดินหน่อยพวกเรา อีกแป๊บเดียวนะเม” ณภัทรปลอบ
- ตัดไป -
เมธาวีกับอัธวุธนั่งอยู่เคียงข้างกัน ทั้งสองต่างไขว่ห้างแล้วเอากุมเท้าข้างที่โดนหอยเม่นตำ จ๊อดกับแพรวายืนดูอย่างเป็นห่วง จ๊อดอยากรู้อยากเห็นจนอดใจไม่ไหวเลยเอานิ้วลองจิ้มฝ่าเท้าของอัธวุธดู
“อ๊าย!” อัธวุธร้องลั่น
“เจ็บมั้ยครับ” จ๊อดถาม
“เจ็บสิยะ แล้วจะจิ้มทำไมเนี่ย”
“ก็อยากรู้ว่าเจ็บรึเปล่า”
ณภัทรเดินมาจากบริเวณที่พัก ในมือของเขาถือขวดน้ำอัดลมไซส์เล็กสองขวดกับจานใส่มะนาวหั่นครึ่งมา 4 ซีก
“นี่เอามาให้ใครทานเหรอคะ” แพรวาถาม
“ไม่ใช่ครับ คุณแพร อันนี้คือการปฐมพยาบาลเวลาโดนหอยเม่นตำครับ” ณภัทรบอก
“มีมะนาวด้วยเนี่ยนะ ไม่เอาพริก เอาน้ำปลามาด้วยล่ะ” อัธวุธประชด
“ก็เนี่ย..แบบตำราชาวบ้านไง คุณแพรทำตามผมนะ”
พูดจบณภัทรก็ย่อตัวลงนั่งแล้วจับเท้าของเมธาวี ก่อนจะบีบมะนาวใส่ฝ่าเท้าที่โดนหนามหอยเม่นตำ
“บีบมะนาวใส่ตรงจุดที่โดนตำ ให้หนามของหอยเม่นนิ่มลง”
แพรวาจับเท้าของอัธวุธแล้วบีบมะนาวใส่ตามที่ณภัทรบอก
“เสร็จแล้วก็เอาขวดนี่ ใช้ตรงก้นขวดนะครับ ตีๆๆไปที่รอยที่โดนตำให้หนามหอยเม่นมันสลายไปน่ะครับ”
ณภัทรเอาก้นขวดทุบเบาๆ ที่ฝ่าเท้าของเมธาวี แพรวาขยับจะหันไปหยิบขวดแต่เห็นจ๊อดถืออยู่แล้วในมือ
“เดี๋ยวจ๊อดทุบให้เองครับ” จ๊อดอาสา
แล้วจ๊อดก็ทุบแบบใส่ฝ่าเท้าอัธวุธแบบไม่ยั้งด้วยความเมามัน
“อ๊ากก...ไอ้จ๊อด เบา...โอ๊ย...เบา อูย..” อัธวุธโอดครวญ
แพรวาขำแล้วถอยออกมายืนดูปล่อยให้จ๊อดทำเต็มที่ พอเหลือบมองไปที่ณภัทรกับเมธาวีแพรวาก็ถึงกับสลดเพราะเธอเห็นณภัทรที่ย่อตัวลงกำลังใช้มือหนึ่งประคองฝ่าเท้าเมธาวีอย่างทะนุถนอม ส่วนอีกมือใช้ก้นขวดทุบเบาๆ แถมยังส่งสายตาอย่างเป็นห่วงเป็นใยให้กันอีกด้วย
แพรวาถอยออกมาเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีใครสนใจ
กอบชัยกับพนารัตน์เดินเคียงข้างกันไปที่บริเวณเคาน์เตอร์เช็คอินของที่พัก
“บอกตรงๆ นะคุณกอบ ฉันสังหรณ์ใจว่าที่คุณเสรีเจาะจงจะมาหาเราที่นี่ ต้องมีเรื่องให้ปวดหัวแน่ๆ”
“กลัวจะไม่แค่ปวดหัวน่ะสิ คนอย่างคุณเสรี เวลาต้องการอะไรขึ้นมา ใครจะไปขัดใจเค้าได้” กอบชัยบอก
ทั้งสองเดินไปหาเสรีที่กำลังยืนพิงเคาน์เตอร์อยู่ โดยมีพนักงานหญิงยืนอยู่ข้างๆ กระเป๋าเดินทางไซส์เล็กของเสรี
พนารัตน์กับกอบชัยยกมือไหว้ทักทาย “สวัสดีค่ะ / สวัสดีครับคุณเสรี”
เสรีรับไหว้ “สวัสดีครับคุณรัตน์ คุณกอบ” เสรีมองไปรอบๆ “ที่นี่ดูดี แล้วก็กว้างขวางกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยนะครับ”
“ใช่ค่ะ ณดลเค้าก็นิสัยแบบนี้ ชอบคิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก” พนารัตน์บอก
“ใช่...เรียกว่า จากหน้าหาดกินไปถึงบนเขาโน่นแน่ะครับที่ณดลเค้าซื้อไว้” กอบชัยคุย
“ฉันว่าเราพาคุณเสรีไปเดินชมวิวกันก่อนดีกว่ามั้ย” พนารัตน์หันมาหาพนักงาน “ฝากกระเป๋าไปเก็บด้วยนะ”
“ที่ผมมานี่ ไม่ใช่ว่าจะอยากเดินชมวิวอะไรหรอกนะครับ” เสรีโพล่งขึ้น
พนารัตน์กับกอบชัยหันมองมาเสรีเป็นเชิงถาม
“ผมจะมาประกาศจัดงานแต่งงานให้หนูแพรลูกสาวผม กับนายภัทรลูกชายของคุณสองคนน่ะครับ” เสรีพูดหนักแน่น
พนารัตน์กับกอบชัยอุทานออกมาพร้อมกัน “หา!”
พนารัตน์กับกอบชัยถึงกับช็อกและอึ้งไป
อ่านต่อหน้า 2
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 11
เด็กเสิร์ฟรินน้ำชาจากกาใส่ถ้วยชาของกอบชัย พนารัตน์ และเสรี ตรงกลางโต๊ะน้ำชามีขนมวางบนชั้นวางอย่างสวยงาม
เสรียกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วพูดขึ้น “ผมไม่เห็นประโยชน์อะไรที่เราจะต้องรอ และในเมื่อทั้งสองครอบครัวของเรามาอยู่พร้อมหน้ากันที่เกาะนี้แล้ว เราก็น่าจะประกาศให้เด็กสองคนนี้ได้แต่งงาน ได้ดองกันไปซะเลย”
“เอ่อ...แต่ว่า...” พนารัตน์อ้ำอึ้ง
เสรีชักสีหน้าไม่พอใจ คุณรัตน์มีปัญหาอะไรขัดข้องเหรอ”
“คือ...ด้วยความเคารพนะคะคุณเสรี ดิฉันยังเป็นห่วงอยู่ว่า...ตอนนี้เจ้าภัทรก็ไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย...” พนารัตน์สะกิดกอบชัย “ช่วยหน่อยสิคุณ”
กอบชัยพยักหน้ารับ แล้วพูดกับเสรี “ใช่ๆ คือลูกของนายภัทรก็ยังอยู่ในท้องของอะนา ผมคิดว่าเรายังไม่ควรประกาศเรื่องแต่งงานอะไรทั้งสิ้น”
เสรีไม่พอใจขึ้นมาทันที “แล้วหนูแพรของผมต้องรออะไรไม่ทราบ ถ้าคุณสองคนจะอ้างเรื่องเด็กในท้อง เดี๋ยวพอเด็กมันคลอดโผล่หัวออกมา คุณก็อ้างได้อีกอยู่ดี”
กอบชัยเริ่มขึ้นเสียงบ้าง “แล้วคุณเสรีจะให้ผมทำยังไง”
“ก็บอกให้ลูกชายคุณทิ้งยัยนั่น แล้วแต่งกับลูกสาวผมสิ”
“คุณเสรีขา อะนาเค้าท้องอยู่นะ แล้วเค้าเองก็ไม่ได้ผิดอะไร จะว่าไป เค้าก็มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือน ฉลาด ดูแลเจ้าภัทรลูกชายฉันได้ดี” พนารัตน์บอก
เสรีตบโต๊ะด้วยความเดือดดาล “คุณคิดว่าผมมาถึงที่นี่เพื่อฟังคำปฏิเสธงั้นเหรอ”
กอบชัยสวนกลับอย่างไม่กลัวเกรง “ทางเราไม่ได้อยากปฏิเสธนะคุณเสรี แต่เราเล็งเห็นแล้วว่าเจ้าภัทรจะเหมาะสมคู่ควรกับอะนามากกว่า”
“ว่าไงนะ นี่เดี๋ยวนี้คุณกล้าพูดกับผมแบบนี้เหรอ”
เสรีฉุนขาดลุกยืนกระชากคอเสื้อของกอบชัยแล้วตะคอก
“เมื่อก่อน ตอนที่คุณสองคนยังไม่มีเงิน ไม่มีกระทั่งบ้านซุกหัวนอน ตอนที่คุณสองคนมาขอความช่วยเหลือจากผม คุณพูดจากับผมดีกว่านี้นะ”
“คุณเสรี บุญคุณในอดีตน่ะ ผมกับคุณรัตน์สำนึกบุญคุณอยู่ในใจเสมอ แต่คุณเสรีจะอ้างเรื่องบุญคุณ มาบังคับให้เด็กแต่งงานกันอย่างงี้ไม่ได้นะครับ”
“นี่คุณหาว่าผมทวงบุญคุณอย่างงั้นเหรอ จะมากเกินไปแล้ว”
เสรีกระชากคอเสื้อกอบชัยขึ้นมาแล้วเงื้อมือจะตบสั่งสอน
“หยุดนะคุณเสรี!” พนารัตน์ตวาด “คุณจะทำอย่างงี้กับครอบครัวฉันไม่ได้ ปล่อยสามีฉันเดี๋ยวนี้”
เสรีปล่อยมืออย่างขัดใจ
“แล้วก็ปล่อยลูกชายฉันให้เป็นอิสระซะ” พนารัตน์พูดต่อ “ฉันรักลูกฉัน และฉันก็ดูออกว่าลูกสะใภ้คนไหนที่จะดูแลลูกชายฉัน กับฉันสองคนให้มีความสุขได้ และคนที่ฉันหมายถึง ก็ไม่ใช่ลูกสาวคุณ”
เสรีช็อคและโกรธจัดเพราะไม่คิดว่ากอบชัยกับพนารัตน์จะกล้าพูดตอกหน้าตนแบบนี้
ที่บริเวณดำน้ำดูปะการัง อนามิกาก้าวขึ้นเรือโดยมี ณดลช่วยดึงขึ้นมา
“เป็นไง ปะการังแถวนี้สวยมากเลยใช่มั้ย” คนขับเรือถาม
อนามิกายิ้ม “ใช่ค่ะ สวยมาก สวยจนพอที่จะทำให้ลืมหน้าใครบางคนไปได้บ้าง”
ณดลเดินเข้ามาประจันหน้ากับอนามิกา “ฉันกำลังจะยกกิจการที่กรุงเทพฯให้เจ้าภัทรดูแลแล้วก็จะย้ายมาอยู่ที่เกาะนี้”
“แล้วคุณจะบอกฉันเพื่อ...?” อนามิกาถามกลับ
“เอ่อ...คือ...ฉันอยากให้เธอรู้ว่า...ฉันตั้งใจจะหนีให้ไกลจาก...”
“จากฉันใช่มั้ย คุณรังเกียจฉันใช่มั้ย”
“ฉันรังเกียจตัวเองต่างหาก”
อนามิกามองหน้าณดลอย่างตกใจ
“เธอไม่มีวันเข้าใจหรอก ความรู้สึกผิดมันกำลังจะฆ่าฉัน” ณดลพูดต่อ
อนามิกามองอย่างเข้าใจแต่เธอก็เฉลยความจริงไม่ได้
“ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ...ฉันกลัวใจตัวเองที่มัน...รู้สึกดีๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิดบาปมากขึ้นเท่านั้น”
“นี่...คุณกำลังสารภาพความในใจกับฉันเหรอ”
ณดลรู้สึกตัวจึงรีบแก้ตัว “เปล่านะ ไม่ใช่เธอ เธอเป็นเมียน้องชายฉัน ฉันจะไปคิดแบบนั้นได้ยังไง”
“แล้วถ้าฉันไม่ใช่เมียนายภัทรล่ะ”
ณดลอึ้ง “อย่าพูดจาไร้สาระน่า ที่ฉันพูดมาทั้งหมดเนี่ย ฉันไม่ได้หมายถึงเธอหรอกนะ ฉันไม่คุยแล้ว ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”
ณดลหันเดินหนี อนามิกามองตามไปแล้วยิ้มเศร้าๆ
“คุณยังจะรู้สึกดีๆ กับฉันอีกมั้ย เมื่อคุณได้รู้ว่าฉันโกหกคุณมาตลอดน่ะ” อนามิการำพึงออกมาเบาๆ
นลิณากับเกตนิการ์ยืนอยู่ด้วยกันที่บันไดสำหรับขึ้นไปดาดฟ้าของเรือ แววตาของนลิณาฉายแววอำมหิต ในขณะที่เกตนิการ์ยืนเหวอเพราะรู้สึกกลัวนลิณาไปด้วย
เกตนิการ์พูดเบาๆ “เธอเป็นบ้าไปแล้วยัยนีน่า แผนของเธอคือจะกอดรวบตัวยัยอะนาให้ตกบันไดลงไปพร้อมๆ กันเนี่ยนะ”
“ใช่” นลิณาตอบ
“นี่เรียกว่าแผนเหรอ เธอจะเสี่ยงตายเกินไปหรือเปล่านีน่า”
นลิณายกนิ้วจุ๊ปากให้เงียบ “ก็เพราะวิธีนี้จะทำให้ไม่มีใครสงสัยว่าฉันจงใจเล่นงานมัน ฉันถึงต้องลงทุนเจ็บตัวนี่ไง”
“เออ..จริงด้วยนะ”
“หวังว่าตัวมันกับลูกในท้องของมัน จะเป็นเบาะรองรับฉันไว้นะ”
นลิณาพยักหน้าแล้วยิ้มร้ายๆ เกตนิการ์เหลือบมองแบบชักจะกลัวๆ เพื่อนคนนี้ขึ้นมา นลิณายืนกอดอกคอยอยู่ เธอมองไปที่บันไดเรือก็เห็นศีรษะอนามิกาโผล่ขึ้นมา นลิณาเตรียมพร้อม อนามิกาค่อยๆ เดินขึ้นมาจากที่เห็นแค่หน้านลิณาก็เริ่มเห็นตัวของอนามิกาแล้ว
นลิณาขยับเข้ามาเตรียมพร้อม อนามิกาเดินขึ้นมาจนถึงบริเวณสุดบันไดขั้นสุดท้าย ทันทีที่ก้าวขึ้นมายืนเสมอกับระดับที่นลิณายืนอยู่ นลิณาก็พุ่งเข้ากอดรวบทันที อนามิกามีหน้าตาตื่นตกใจเพราะเห็นนลิณาถลาพุ่งเข้ามารวบเธอ ทำให้อนามิกากับนลิณาหงายหลังตกลงไปทั้งคู่
เกตนิการ์ช็อคหน้าตาตื่นจนร้องออกมาเสียงดัง
“ว๊าย!!”
อนามิกาหงายหลังตกลงมาโดยมีร่างของนลิณารวบและทับไว้ข้างบน โดยที่ทั้งอนามิกาและนลิณาต่างก็ร้องออกมาทั้งคู่
“อ๊าก!!”
เสียงของร่างทั้งสองคนตกกระแทกพื้นเรือดังสนั่น เกตนิการ์โผล่หน้ามาจากชั้นบนแล้วมองลงมาดูก่อนจะรีบวิ่งลงมา
“กรี๊ดดด!!! นีน่า...อะนา”
คนขับเรือวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณ”
“คนตกเรือ ช่วยด้วย” เกตนิการ์บอก
คนขับเรือรีบวิ่งเข้าไปดูแล ณดลวิ่งเข้ามา คนขับเรือประคองนลิณาที่คว่ำหน้าให้หงายขึ้นมาโดยที่นลิณายังหมดสติอยู่
“คุณ..คุณครับ” คนขับเรือพยายามเรียก
ณดลประคองอนามิกาลุกขึ้นมา
“อะนา...”
ณดลเขย่าตัวอนามิกาเบาๆ แต่อนามิกายังไม่รู้สึกตัว
ณดลเรียกเสียงดัง “อะนา!”
เสรีนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหาร เขายกถ้วยชาขึ้นจิบ กอบชัยกับพนารัตน์ก็พยายามวิงวอนขอร้อง
“อยากให้คุณเสรีเห็นใจเราด้วยน่ะค่ะ นายภัทรกำลังจะเป็นพ่อคนนะคะ” พนารัตน์พูด
“ใช่...ยังไงซะเราก็คงจะปัดความรับผิดชอบเรื่องลูกในท้องของอะนาไปไม่ได้” กอบชัยเสริม
“แล้วลูกสาวผมล่ะ มีใครรับผิดชอบอะไรลูกสาวผมบ้าง ตกลงหมั้นหมายจนประกาศไปทั่วแล้ว ก็มายกเลิกกันง่ายๆ แบบนี้”
ทันใดนั้น ทั้งสามก็ได้ยินเสียงตื่นตกใจของณภัทรดังแว่วมา
“คุณพ่อ...คุณแม่..”
พนารัตน์ กอบชัย และเสรีชะงักด้วยความตกใจ สักพักณภัทรก็วิ่งแตกตื่นเข้ามา
“เกิดเรื่องแล้วครับ” ณภัทรหันไปเห็นเสรี “อ้าว...สวัสดีครับ” ณภัทรยกมือไหว้
“เกิดเรื่องอะไรเหรอภัทร” พนารัตน์ถาม
“อะนาครับ อะนาตกบันไดเรือ”
“หา...แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” กอบชัยถามกลับ
“พี่ณดลกำลังไปพาส่งโรงพยาบาลบนฝั่งครับ” ณภัทรหันมาหาเสรี “นีน่าก็ตกลงมาด้วยกันครับ
เสรีตกใจ “ห๊ะ?”
เสรี พนารัตน์ และกอบชัยลุกพรวดขึ้นมามองหน้ากัน
อนามิกานอนอยู่บนเตียงเข็นคนไข้ โดยมีบุรุษพยาบาลและนางพยาบาลคอยเข็นรถและดูแลอยู่ ส่วนณดล นลิณา และเกตนิการ์ เร่งฝีเท้าเดินตาม
ณดลบีบมืออนามิกา “อะนา เธออย่าเป็นอะไรไปนะ”
นลิณากับเกตนิการ์มองเห็นอาการของณดล แล้วก็หันมองหน้ากัน โดยที่นลิณาออกอาการขัดใจอย่างชัดเจน
ณดลร้อนใจเดินกระวนกระวายเป็นหนูติดจั่นอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน นลิณากับเกตนิการ์นั่งเบื่อๆ อยู่หน้ห้อง นลิณาเห็นณดลเป็นห่วงอนามิกาอย่างออกนอกหน้าก็รู้สึกไม่พอใจ เกตนิการ์ต้องคอยปลอบให้เพื่อนเย็นลง สักพักเมธาวีกฌเดินนำณภัทรเข้ามา หน้าตาตื่น
“พี่ณดล พี่อะนาเป็นยังไงบ้างคะ”
“ยังไม่รู้เลย ฉันก็รออยู่เนี่ย” ณดลบอก
ณภัทรมีสีหน้าเป็นห่วง ณดลจ้องหน้าณภัทร ด้วยความฉงนสงสัย
ณภัทรงง “มีอะไรเหรอพี่”
“นี่แกจะไม่ถามถึงลูกแกในท้องเลยเรอะ” ณดลทัก
ณภัทรเพิ่งนึกได้ “อ้อ...เอ้อ..แล้วเด็กในท้องเป็นยังไงบ้างครับพี่”
ขณะนั้นพนารัตน์กับกอบชัยก็เดินเข้ามา
พนารัตน์ถามณดล “เป็นยังไงกันบ้าง หา?”
“อะนายังอยู่ในห้องฉุกเฉินเลยครับคุณแม่” ณดลบอก
แพรวากับเสรีเดินตามเข้ามา นลิณารีบลุกขึ้นไปสวมกอดทักทาย
“คุณพ่อ”
“นีน่า...เป็นยังไงบ้างลูก” เสรีถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ฟกช้ำดำเขียวนิดหน่อยน่ะคุณพ่อ” นลิณาตอบ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ พี่นีน่า ทำไมถึงตกบันไดมากับคุณอะนาได้” แพรวาถาม
“เอ่อ....” นลิณาหันมองแล้วอึกอักๆ เพราะกลัวจะหลุดให้คนอื่นจับพิรุธได้
ทุกคนหันมารอฟังคำตอบจากนลิณา ทุกคนต่างจ้องนลิณาเป็นตาเดียว
“มะ..ไม่รู้สิจ๊ะ สงสัยอะนาเค้าคงหน้ามืด วูบมาชนหละมั้ง” นลิณาตอบ
“จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างเถอะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วลูก” เสรีบอก
เสรีกอดนลิณาไว้ นลิณาแอบถอนใจด้วยความโล่งอก
หมอคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับพยาบาลที่ถือชาร์ทคนไข้ ณดลดเห็นก็รีบพุ่งเข้าไปหาทันที
“คุณอะนาเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”
“ปลอดภัยดีครับ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” หมอตอบ
“แล้วเด็กในท้องล่ะครับ”
ณภัทรกับเมธาวีหน้าตาตื่นต่างก็หันมองหน้ากัน ไวเท่าความคิดณภัทรรีบปราดเข้ามา แทรกระหว่างณดลกับหมอ
“ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ โล่งอกไปที”
ณภัทรใช้สองมือดันไหล่หมอออกไปอย่างเนียนๆ แล้วหันไปบอกทุกคน
“คุณหมอมีเคสด่วน ต้องรีบไป” ณภัทรหันมาบอกหมอ “ขอบคุณอีกครั้งนะครับคุณหมอ”
“ครับ...เราย้ายให้ไปอยู่ที่ห้องพิเศษ ถ้าเช็คอาการที่ศีรษะไม่พบปัญหาอะไร ก็จะอนุญาตให้เช็คเอ๊าท์ได้นะครับ”
ณภัทรทั้งผลักทั้งดันหมอ “ขอบคุณครับ รีบไปดูแลคนไข้รายอื่นได้เลยครับคุณหมอ”
หมอเดินจากไปพร้อมกับมองณภัทรอย่างงงๆ ว่าจะดันทำไม แต่พอเดินไปแค่สองก้าว ณดลที่ยังคาใจเรื่องท้องอนามิกาก็เดินมาดักหน้าไว้
“ขอโทษนะครับ คุณหมอแน่ใจนะครับ ว่าเด็กในท้องไม่เป็นอะไร”
หมองง “คุณว่าไงนะครับ”
ณภัทรรีบเข้ามาแทรก “ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณหมอเชิญเลยครับ”
ณภัทรพยายามจะดันคุณหมอออกไป แต่ณดลไม่ยอม เขาเอามือดันณภัทรให้หลบออกไป
“เด็กในท้องคุณอะนาน่ะครับคุณหมอ” ณดลถามต่อ
หมองง หันไปมองหน้าพยาบาล “นี่เข้าใจอะไรกันผิดหรือเปล่า หรือว่าผิดคน พยาบาล” หมอก้มดูชาร์ท “คุณอนามิกา นามสกุลมานะพงษ์นะคะ”
ณดลชักใจร้อน “ก็ใช่น่ะสิครับ ผมถามว่าเด็กในท้องเธอเป็นยังไงบ้าง”
“เด็กในท้องใครครับ คุณพูดอะไรของคุณ” หมองง
“ก็อะนาเค้าท้องได้สามสี่เดือนแล้วนะครับคุณหมอ”
ณภัทรกับเมธาวีมองหน้ากันเพราะรู้ว่าความลับต้องแตกคราวนี้แล้ว หมองงเป็นไก่ตาแตก หันไปมองหน้าพยาบาล พยาบาลก็ส่ายหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น
หมอหันมาที่ณดล “คุณอะนาไม่ได้ท้องนะครับ”
“หา?!” ณดลตกใจ “ว่าไงนะครับ นี่คุณหมอตรวจละเอียดหรือเปล่า”
“ละเอียดสิคุณ” หมอตอบ
“หรือว่าที่โรงพยาบาลนี่อุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือไม่ได้มาตรฐาน” ณดลงง
“ถึงที่นี่จะเป็นแค่โรงพยาบาลท้องถิ่น แต่เราก็มีมาตรฐานสูง แล้วผมก็เรียนจบหมอมา คุณล่ะเรียนจบอะไร ทำไมถึงไม่รู้คุณอะนาเค้าไม่ได้ตั้งครรภ์”
ณดลช็อค นลิณากับเกตนิการ์ก็ช็อค พนารัตน์ กอบชัย เสรี และแพรวามองหน้ากันอย่างงงๆ เมธาวีกับณภัทรก้มหน้าแต่ก็แอบมองหน้ากันอย่างรู้ตัวว่าคราวนี้ความลับแตกแน่นอน
อนามิกายังนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องพิเศษ ทุกคนยืนอยู่รอบๆ เตียงแต่ก็ยังมีอาการมึนงงจากการช็อคที่ได้รู้ความจริงเมื่อสักครู่
“ไอ้ภัทร” ณดลโพล่งขึ้น
“คะ...ครับพี่ณดล”
“แกออกมาคุยกับฉันหน่อย”
“เอ่อ...ค..คุยอะไรเหรอพี่”
ณดลสวนขึ้นทันที “ฉันบอกให้แกออกมากับฉัน”
ณดลลากแขนณภัทรเดินออกไปจากห้อง เมธาวีขยับจะตามไป แต่ณดลหันมาพูดเสียงดุ
“ฉันจะคุยกับน้องฉันสองคน”
เมธาวีชะงักแล้วถอยกลับมา
ณดลลากแขนณภัทรออกไป พอประตูปิด นลิณาก็รีบพูดใส่ไฟกับพนารัตน์
“นี่ยัยอะนามันหลอกถอนหงอกคุณแม่มาตลอดเลยนะคะ”
“เค้าทำเหมือนกับเราทุกคนโง๊..โง่ โง่สุดๆ เลยนะคะ” เกตนิการ์รีบเสริม
“ไม่ใช่อย่างงั้นนะคะ พี่อะนาเค้ามีเหตุจำเป็น” เมธาวีช่วยแก้ต่าง
“หยุดแก้ตัวให้กันซะที รอมันลุกขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉันจะเฉ่งให้ยับเลยคอยดู” พนารัตน์พูดด้วยความโมโห
นลิณากับเสรียิ้มให้กันอย่างมีความหวังที่จะจับคู่แพรวาให้กับณภัทร
ณดลเดินนำณภัทรมาที่มุมลับตาคนในโรงพยาบาลท้องถิ่น ณดลหยุดเดินแล้วหันมาประจัญหน้ากับณภัทรที่หน้าจ๋อยจนหดเหลือสองนิ้ว
ณดลพยายามคุมอารมณ์แล้วพูดอย่างใจเย็น “บอกฉันมา”
ณภัทรพูดเสียงอ่อย “บะ..บอกอะไรเหรอครับพี่ณดล”
ณดลพูดอย่างใจเย็น “แกรู้ว่าต้องบอกอะไร”
ณภัทรพูดเสียงอ่อย “เอ่อ...บอกอะไรล่ะครับ”
ณดลทนไม่ไหวระเบิดอารมณ์ กระชากคอเสื้อณภัทรมาพูดใส่หน้า “ก็บอกความจริงทั้งหมดน่ะสิ นี่แกยังจะมาทำหน้าซื่ออีกเหรอก ใครเป็นคนเริ่มต้นกุเรื่องนี้ขึ้นมา แกหรือยัยอะนา นี่แกหลอกให้ฉันกินหญ้าตั้งแต่ตอนที่แกสองคนอยู่ที่ลอนดอนใช่มั้ย”
“กะ..กินหญ้าอะไรเหรอพี่”
“ก็ตัวอะไรล่ะ ที่มันชอบกินหญ้าน่ะ แก ยัยอะนา กับเพื่อนทุกคนของแก เห็นฉัน เห็นคุณพ่อคุณแม่ เป็นตัวอะไร...หา”
ขณะนั้น นางพยาบาลคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดีก็ถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ณดลหันไปสบตานางพยาบาลแล้วจึงค่อยๆ คลายความเดือดดาลลง
“เล่าความจริงทั้งหมดให้ฉันฟัง...เดี๋ยวนี้”
ณภัทรยืนหน้าแหย เขาจำยอมต้องเล่าความจริงให้ณดลฟัง
อนามิกายังหลับอยู่ โดยมีเมธาวีคอยเฝ้าอย่างใกล้ชิดด้วยความรู้สึกใจไม่ดีเพราะรู้ว่าถ้าอนามิกาฟื้นคืนสติมาจะต้องโดนทุกคนรุมแน่ๆ เสรีขยับมาคุยกับกอบชัยและพนารัตน์
“แม่นี่ไม่ได้มีเด็กอยู่ในท้อง ถ้างั้นเรื่องของเรา ก็คงเคลียร์กันไปในทางที่ดีได้ อย่างงั้นใช่มั้ย คุณรัตน์ คุณกอบ”
“เอ่อ...อะไรก็เอาเถอะค่ะ ตอนนี้ฉันมึนไปหมดแล้ว” พนารัตน์ตอบ
“อย่าว่าแต่คุณรัตน์เลย ผมเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน” กอบชัยบอก
“ถ้างั้น...ลูกแพร” เสรีหันไปเรียก
“ขา คุณพ่อ” แพรวาขานรับ
“รีบฝากเนื้อฝากตัวกับคุณพ่อคุณแม่ซะสิลูก”
“เอ่อ...” แพรวาเกรงใจจึงยังไม่กล้าทำตามที่พ่อบอก
นลิณาเอามือดันหลังน้องสาว “เร็วสิ ยัยซื่อบื้อ”
แพรวาเดินเข้าไปยกมือไหว้กราบที่ต้นแขนของพนารัตน์และกอบชัย
“โถ..ไหว้พระเถอะลูก” พนารัตน์บอก
“จ้ะ...เจริญๆ นะลูกนะ” กอบชัยพูด
เมธาวีเห็นแพรวาฝากเนื้อฝากตัวกับกอบชัยและพนารัตน์ก็ยิ่งจ๋อย เธอยิ่งรู้สึกเหมือนณภัทรคงจะต้องถูกจับแต่งงานกับแพรวาอย่างแน่นอนแล้ว
นลิณารีบใส่ไฟกับกอบชัย และพนารัตน์ต่อ “แล้วคุณพ่อคุณแม่จะทำยังไงกับลูกสะใภ้ลวงโลก กำมะลอ คนนี้ต่อเหรอคะ”
“โอ๊ย..จะทำไงได้ หลอกให้พวกเราทุกคนกินหญ้าแบบนี้ ถ้าไม่ไล่ออกจากบ้าน ก็ต้องเรียกตำรวจมาจับเข้าตะรางกันแหละค่ะ” เกตนิการ์เสริม
“พี่อะนาไม่ใช่คนลวงโลก แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงทุกคนนะคะ พี่อะนาแค่ทำไปเพราะต้องช่วยเพื่อนต่างหาก” เมธาวีโพล่งออกมา
“เธอน่ะหุบปากไปซะยัยเม” นลิณาพูดเสียงดัง “ฟังพูดเข้าก็รู้แล้วว่าเธอก็ร่วมขบวนการลวงโลกกับยัยอะนาด้วย”
“งั้นก็ควรจะไล่ให้ไปด้วยกันทั้งขบวนการซะเลยนะคะ” เกตนิการ์ยุ
ทันใดนั้น อนามิกาก็ร้องครางขึ้นเบาๆ “โอย...”
ทุกคนก้มมองอนามิกาเป็นตาเดียว อนามิกาขยิบตาแล้วจึงค่อยๆ ลืมตาด้วยท่าทางยังปวดเนื้อปวดตัวและยังปวดศีรษะอยู่ “โอย...”
นลิณากระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความสะใจ
“ตื่นแล้วเหรออะนา...”
อ่านต่อหน้า 3 เวลา 17.00น.
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 11
ณดลหน้าเครียดยืนเคลียร์อยู่กับณภัทรที่กำลังยืนหน้าจ๋อยเพราะกลัวพี่ชายด่าอยู่ที่มุมลับตาคนในโรงพยาบาล
“เป็นเพราะแกไม่อยากจะแต่งงานกับน้องแพร แกก็เลยต้องหลอกทุกคนว่าอะนาเป็นเมียแกที่กำลังท้องอยู่เนี่ยนะ”
ณภัทรไม่กล้าสบตาพี่ชาย “ชะ..ใช่ครับพี่”
“แกไปเอานิสัยโกหกหลอกลวงแบบนี้มาจากไหน ถึงได้หลอกฉัน หลอกได้กระทั่งคุณพ่อคุณแม่”
ณภัทรพูดสวนขึ้น “แล้วถ้าเป็นพี่ พี่จะทำยังไงล่ะครับ”
“หา...ว่าไงนะ นี่แกกล้าย้อนฉันเหรอ”
“ผมไม่ได้ย้อน แต่ถ้าพี่เป็นผม แล้วถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก บอกผมหน่อยว่าพี่จะทำยังไง”
“ฉัน...ฉันก็จะ...ฉันไม่รู้”
“เห็นมั้ย ถ้าพี่เป็นผม พี่ก็ต้องโกหกเหมือนกันนั่นแหละ”
“ไม่จริง! ฉันจะไม่โกหกทุกคนแบบนี้ ฉันจะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง”
“ก็นั่นมันพี่ แต่นี่มันเป็นผม ในบ้านนี้ มีใครฟังคำพูดผมบ้างล่ะ ทุกคนเอาแต่บังคับให้ผมแต่งงานกับน้องแพร แต่มีใครถามผมบ้างมั้ย ว่าผมรู้สึกยังไง”
“นั่นเป็นเรื่องของแก ที่ต้องอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจ ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะทางบ้านเราก็ตกลงกับทางบ้านของเค้าไปแล้ว”
อนามิกาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยสภาพที่หน้าผากมีรอยฟกช้ำและมีผ้าพันแผลเล็กๆ แปะอยู่ อนามิกามองไปรอบๆ อย่างพยายามรวบรวมสติ
นลิณายื่นหน้ามายิ้มเยาะ “ไงจ๊ะอะนา ฟื้นแล้วเหรอ ขอต้อนรับเข้าสู่ โลกแห่ง ‘ความจริง’ นะจ๊ะ”
“พี่อะนา…เป็นยังไงบ้าง” เมธาวีถาม
อนามิกาฝืนยิ้มแล้วตอบเบาๆ “ฉันไม่เป็นไร”
“แต่พวกฉันเป็น” พนารัตน์โพล่งขึ้น
อนามิกามองอย่างงงๆ
“เธอมีอะไรจะแก้ตัวกับพวกฉันมั้ย” พนารัตน์ถาม
อนามิกางง “แก้ตัวอะไรคะ”
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ พี่อะนาเพิ่งฟื้นขึ้นมาเอง เมว่าให้คนเจ็บได้พักผ่อนก่อนดีกว่า”
“งั้นก็รีบพากลับไปพักผ่อนที่เกาะ เธอไหวใช่มั้ย” กอบชัยถาม
อนามิกาค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่งบนเตียง “ก็..ไหวค่ะ มีเรื่องอะไรเหรอคะ คุณผู้หญิง...คุณผู้ชาย”
นลิณาหันมาพูดกับเมธาวี “ไม่อธิบายให้เค้าฟังหน่อยล่ะเม”
“พี่นีน่า...กลับไปที่เกาะแล้วค่อยคุยก็ได้” แพรวาบอก
“นั่นสินะ ฉันว่างานนี้จะเร็วจะช้า ผู้ต้องหาก็ดิ้นไม่หลุดแน่ๆ” เกตนิการ์เอ่ย
“งั้นรีบเรียกหมอมาดูอาการ ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก็รีบออกจากโรงพยาบาลเลยดีกว่า” เสรีหันมาหาพนารัตน์และกอบชัย “เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกเยอะ”
อนามิกานั่งงง เมธาวีเอียงหน้ากระซิบ
“พี่อะนา คือว่าทุกคนรู้...”
อนามิกายกมือปรามให้เมธาวีไม่ต้องพูดต่อ “ฉันพอรู้แล้วหละ ว่าเป็นเรื่องอะไร”
อนามิกาถอนใจอย่างปลงๆ และพร้อมรับกับผลกรรมที่จะตามมา
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเย็นย่ำ อนามิกานั่งพิงหัวเตียงอยู่ในห้องพัก ณภัทร เมธาวี อัธวุธ และจ๊อดอยู่ในห้องด้วย ทุกคนมีอาการกลุ้มใจ
“ภัทร...แกต้องช่วยอะนาบ้างนะ ไม่งั้นมีหวังโดนทุกคนรุมซักฟอกตายแน่”อัธวุธบอก
“ฉันรู้...” ณภัทรพูดกับอนามิกา “อะนา เธอไม่ต้องพูดอะไรนะ ฉันจะเคลียร์กับคุณพ่อคุณแม่ให้เอง”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกภัทร คิดเรื่องตัวนายเองเหอะ ทำยังไงนายถึงจะไม่โดนบังคับให้แต่งงานกับคุณแพรเค้าน่ะ” อนามิกาพูด
เมธาวีได้ยินเรื่องนี้ก็ถึงกับเศร้า
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทุกคนชะงักแล้วหันไปที่ประตู ณดลเปิดประตูเข้ามา
“พี่ณดล” ณภัทรตกใจ
“คุณพ่อคุณแม่เรียกแกไปกินข้าว” ณดลบอก
“ครับพี่” ณภัทรหันมาพูดกับทุกคน “พวกเราออกไปกินข้าวพร้อมๆ กันมั้ย”
ณดลเน้นคำด้วยเสียงดุ “คุณแม่เรียกแกไปคนเดียว”
“อ้อ...ครับ..”
ณภัทรค่อยๆ เดินไปช้าๆ แล้วหันมาพยักหน้ากับเพื่อนๆ แล้วเดินออกจากห้องไป
ณดลเดินเข้ามายืนข้างเตียงอนามิกา แล้วมองหน้าเมธาวีกับอัธวุธ
“ฉันขอคุยกับอะนาหน่อยได้มั้ย”
อัธวุธกับเมธาวีอึกอัก “เอ่อ...”
อัธวุธกับเมธาวีหันมามองหน้าปรึกษากัน แต่พอทั้งสองหันไปทางอนามิกา อนามิกาก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร อัธวุธกับเมธาวีจึงยอมเดินออกจากห้องไป
อัธวุธกับเมธาวีเดินออกมาจากห้องอย่างไม่เต็มใจนักเพราะยังเป็นห่วงอนามิกา
เมธาวีพูดเบาๆ “พี่อะนาจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย”
อัธวุธกระซิบตอบ “นั่นสิ...มีหวังเจออีตาณดลจอมดุด่ากระจายแน่” อัธวุธฉุกคิดขึ้นได้ “ถ้าอยากรู้ให้แน่..ก็ต้อง”
อัธวุธกับเมธาวีพยายามเอาหูแนบประตูเพื่อแอบฟังเสียงในห้อง แต่สักครู่ทั้งสองก็ได้ยินเสียงทัก
“ทำอะไรกันน่ะ”
อัธวุธตกใจรีบหันมา “ห๊ะ?!! ไอ้จ๊อด”
“แอบฟังอะไรอยู่เหรอครับ” จ๊อดถาม
อัธวุธรีบเอานิ้วจุ๊ปากปราม “ชู่ว..จะเสียงดังทำไม มานี่...วงแตกเล๊ย..เวรกรรม”
อัธวุธกับเมธาวีพากันจูงจ๊อดออกไป เมธาวีเหลียวมองไปที่ประตูเพราะเป็นห่วงอนามิกา
ณดลมองด้วยจ้องอนามิกาด้วยสายตาจับผิดไม่วางตา อนามิกานั่งนิ่งบนเตียงสักพักก็ชักอึดอัดจึงเอ่ยขึ้น
“อยากจะด่าอะไรฉันก็ว่ามาเลยค่ะ”
“แล้วเธอล่ะ อยากจะแก้ตัวอะไรก็ว่ามา”
“คงไม่มีอะไรจะแก้ตัวหละค่ะ เพราะฉันเองก็ทำไปโดยเจตนา”
“ในสายตาเธอ ฉันคงเป็นแค่ไอ้หน้าโง่ที่โดนเธอหลอกแล้วหลอกเล่า อย่างงั้นใช่มั้ย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน เธอก็หลอกฉันมาตลอด”
“ฉัน...ขอโทษ”
“ขอโทษงั้นเหรอ” ณดลตวาดใส่อย่างเหลืออด “กับการที่เธอมาล้อเล่นกับความรู้สึกฉัน รู้มั้ยว่าฉันเสียความรู้สึกแค่ไหน ทั้งหมดที่เธอทำลงไป เธอพูดได้แค่คำว่าขอโทษเนี่ยนะ”
“แล้วฉันจะทำอะไรได้มากกว่านี้ล่ะ ฉันเองก็อึดอัดเหมือนกัน ที่ต้องคอยโกหกคุณ อันที่จริง ฉันก็ตั้งใจจะบอกความจริงคุณอยู่แล้ว”
“มันก็ไม่ต่างกันหรอกอะนา จะบอกตอนไหน เธอมันก็ไอ้แค่คนลวงโลกอยู่ดี”
“ก็ใช่...จะเรียกฉันอย่างงั้นก็ได้ ถ้าจะไม่คิดว่าที่ฉันทำไปก็เพราะต้องช่วยน้องชายคุณ”
“ช่วยอะไร ฉันรู้ความจริงจากไอ้ภัทรแล้ว ที่เธอหลอกฉัน ก็เพราะหวังเงินค่าจ้าง นอกจากจะเป็นคนหลอกลวงแล้ว เธอยังเป็นคนเห็นแก่เงินอีกด้วย พอกันที ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีกแล้ว”
พูดจบณดลก็เดินปึงปังออกจากห้องไป อนามิการู้สึกเจ็บแปลบในใจแต่ก็พยายามปลงเพราะจนปัญญาจะอธิบายให้ณดลมองตนในแง่ดีได้
ณภัทรนั่งเกร็งอยู่ที่โต๊ะอาหารเพราะรู้สึกถึงสายตาของ กอบชัย พนารัตน์ และเสรีที่จับจ้อง มาที่ตน ทุกคนบนโต๊ะยังไม่มีใครแตะต้องอาหาร สักครู่พนารัตน์จึงพูดขึ้น
“ภัทร...รีบกราบขอโทษคุณเสรี เดี๋ยวนี้”
ณภัทรอึดอัดเพราะทำตัวไม่ถูก “เอ่อ...”
กอบชัยดุ “เร็วสิ แกกุเรื่องหลอกลวงผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ ยังจะไม่สำนึกอีกเหรอ”
“ครับๆ” ณภัทรขยับจะนั่งกับพื้นเพื่อกราบแทบตักของเสรี
เสรีรีบปราม “เอาเถอะๆ ไม่ต้องหรอก” เสรีหันมาที่พนารัตน์ “เดี๋ยวเด็กๆ เค้าจะพาลเครียด ทานข้าวไม่อร่อยกันไปซะ”
ณภัทรกลับมานั่งแล้วยกมือไหว้เสรี “ผมขอโทษครับ”
“แล้วก็รีบขอโทษน้องแพรเค้าด้วย” พนารัตน์บอก
ณภัทรยังพนมมืออยู่แล้วจะหันไปที่แพรวา
แพรวารีบท้วง “อย่าถึงกับไหว้เลยค่ะคุณภัทร แพรไม่กล้ารับหรอกค่ะ”
“มาๆๆ ผมว่าเราทานข้าวกันดีกว่า” เสรีตัดบท “นะ...บรรยากาศกำลังดีๆ มา..ทานข้าวๆ”
พนารัตน์กับกอบชัย พยักหน้ารับแล้วเริ่มลงมือกินข้าว ณภัทรยังนั่งเกร็งๆ เครียดๆ ไม่ตักข้าวกิน ในขณะที่แพรวา กอบชัย พนารัตน์และเสรีต่างก็กินข้าวกันเป็นปกติ
“อ้าว...ไม่ทานล่ะนายภัทร” เสรีทักแล้วหันมาทางแพรวา “น้องแพรตักกับข้าวให้พี่ภัทรเค้าสิลูก ต่อไปนี้ แพรต้องดูแลภัทรเค้าให้ดี ไม่มีขาดตกบกพร่องนะ”
แพรวาอาย “เอ่อ...คุณพ่อขา...”
“นี่คุณเสรี เล่นพูดกับลูกสาวแบบนั้น เค้าก็เขินแย่สิคะ” พนารัตน์บอก
“คนเป็นพ่อคงเลี้ยงลูกสาวได้ไม่ถนัดอย่างคนเป็นแม่ใช่มั้ยคุณรัตน์” กอบชัยถาม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มีแต่ลูกชายสองหน่อเนี่ย” พนารัตน์บอก
“ก็นี่ไงคุณรัตน์” เสรีแตะที่ศีรษะของแพรวาอย่างเอ็นดู “กำลังจะได้มีลูกสาวคนใหม่อยู่นี่ไง”
“เอ้อ...” พนารัตน์หันไปยิ้มแย้มกับกอบชัย “จริงด้วยสินะคุณ”
ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสยกเว้นณภัทรที่ดูหมองเศร้าแต่ก็ไม่กล้าออกปากอะไรเพราะยังจ๋อยที่โดนทุกคนจับโกหกได้อยู่
อนามิกาที่ใบหน้ายังมีผ้าปิดแผลเดินเศร้าอยู่คนเดียวที่ริมหาดตอนกลางคืน แล้วเธอก็มาหยุดยืนทอดสายตาไปยังทะเล สักพักเมธาวีก็เดินผ่านมา เมธาวีเห็นอนามิกายืนอยู่จึงเดินมายืนข้างๆ
“พี่อะนา” เมธาวีสวมกอดอนามิกา “พี่ณดลเค้าโกรธพี่หรือเปล่า”
อนามิกาแสร้งยิ้มฝืนๆ “จะเหลือเหรอ” อนามิกาลูบศีรษะเพื่อนรุ่นน้องอย่างเอ็นดู “ว่าแต่เธอล่ะเม อย่าเพิ่งหมดหวังกับเรื่องนายภัทรนะ บางทีนายภัทรอาจจะกล้าลุกขึ้นมาปฏิเสธงานแต่งงานกับคุณแพรเค้าก็ได้”
“พี่อะนา...พี่ไม่ต้องพยายามปลอบเมหรอก เมรู้ดีว่า เมหมดหวังแล้ว”
“ของอย่างงี้มันไม่แน่หรอกนะเม”
“เชื่อเมสิ นายภัทรปฏิเสธพ่อแม่ แล้วก็พี่ชายของเค้าไม่ได้หรอกค่ะ ว่าแต่พี่เหอะ มีทางที่เคลียร์กับพี่ณดลได้มั้ย”
อนามิการู้สึกเจ็บขึ้นมาเพราะเมธาวีพูดแทงใจดำ “ไม่มีทางหรอกเม คุณณดลเค้าด่าว่าฉันเป็นคนหลอกลวง แล้วก็เห็นแก่เงิน...” อนามิกาถอนใจ “เฮ่อ..แต่มันก็คงจริงของเค้า”
“แล้วกลับไปกรุงเทพฯ พี่อะนาจะทำยังไงต่อคะ”
“จะทำยังไงล่ะ ก็คงต้องรีบเก็บข้าวของเผ่นออกมา ก่อนเจ้าของบ้านเค้าจะไล่ตะเพิดเอาน่ะสิ”
“มาอยู่บ้านพี่อาร์ทกับเมมั้ย กลับมาอยู่กันสามคน เหมือนสมัยตอนอยู่ลอนดอนอีกไง”
อนามิกาส่ายหน้า “ไม่หละ ฉันคงออกไปอยู่กับพี่ธัญญา พี่สาวของฉันน่ะ”
“เมว่า..พี่ณดลเค้าชอบพี่อะนานะคะ ยิ่งได้รู้ว่าจริงๆ แล้วพี่อะนาไม่ได้มีอะไรกับนายภัทร ลึกๆ พี่ณดลเค้าก็น่าจะรู้สึกดีนะพี่” เมธาวีให้กำลังใจ
“หยุดพูดเหลวไหลซะทีเถอะ คนอย่างคุณณดล ไม่เคยมีใครมาลบเหลี่ยม กล้าโกหกหลอกลวงเค้าขนาดนี้ เค้าคงเกลียดฉันแล้วหละ”
อนามิกาเศร้าแต่ก็พยายามแอบปาดน้ำตาเพราะไม่อยากให้เมธาวีเห็น
“พี่อะนา..ทำไมเราสองคนต้องมารู้สึกแย่พร้อมๆ กันแบบนี้นะ”
เมธาวีสวมกอดอนามิกาแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา
อนามิกาพยายามกอดปลอบแต่ตัวเองก็น้ำตาไหลเพราะสะท้อนใจเรื่องของตนเองด้วย
กรุงเทพยามเช้าตรู่เต็มไปด้วยรถราขวักไขว่ ทางด่วน ทางรถไฟฟ้า ความเจริญ และวุ่นวายผสมปนเปอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้
ศรีหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋าเดินทางเต็มสองมือเดินเข้าประตูบ้านณดลไปวางในห้องรับแขก แล้วรีบรี่ออกมารับกระเป๋าจากณภัทรและจากอนามิกา พอกำลังจะเข้าบ้านไป ก็ได้ยินเสียงของพนารัตน์โพล่งขึ้น
“ไม่ต้อง”
ศรีงง “ขา?”
พนารัตน์ กอบชัย และณดลเดินตามณภัทรและอนามิกามา
“กระเป๋าของแม่อะนา กองไว้หน้าบ้านน่ะแหละ” พนารัตน์สั่ง
ศรีงง “เอ่อ..วางไว้ตรงนี้เลยเหรอคะ”
“แล้วก็รีบขึ้นไปช่วยอะนาเค้าเก็บเสื้อผ้าข้าวของบนห้องด้วย” กอบชัยสั่งต่อ
ศรีงงหนัก “เดี๋ยวนี้เลยเหรอคะ”
“ใช่...อะนาเค้าจะย้ายออกไป เค้าจะไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว” พนารัตน์หันไปที่อนามิกา “ใช่มั้ย”
อนามิกาอึ้ง ณภัทรมองเพื่อนอย่างเห็นใจ
พนารัตน์ถามอย่างใส่อารมณ์ “ฉันถามว่าเธอจะออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ใช่มั้ย”
อนามิกาตอบเสียงเศร้า “คะ..ค่ะ คุณผู้หญิง”
ณดลได้แต่ยืนมองอนามิกาด้วยความรู้สึกที่สับสน เพราะทั้งโกรธ ทั้งเห็นใจอนามิกา
ณภัทรพยายามอธิบายให้กอบชัยและพนารัตน์ฟัง โดยมีณดลมองอยู่ใกล้ๆ
“ไม่เห็นจะต้องรีบร้อนไล่อะนาเค้าแบบนี้เลยนี่ครับ ยังไงเค้าก็จะย้ายออกไปอยู่แล้ว คนที่ผิดจริงๆ คือผมมากกว่า”
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วแกยังคิดจะแก้ตัวให้ยัยอะนาอีกเหรอ” พนารัตน์ถามฉุนๆ
“ก็อะนาเค้าไม่ได้ผิดอะไร ผมต่างหากที่เป็นคนขอร้องให้เค้าต้องทำแบบนี้”
พนารัตน์สวนขึ้น “หุบปากเดี๋ยวนี้”
ณภัทรหุบปากทันทีเมื่อเห็นว่าแม่ของตัวเองอารมณ์ขึ้นอย่างจริงจัง
“แกกับยัยอะนาทำเหมือนทุกคนโง่เง่า แล้วยังจะมีหน้ามาขอความเห็นใจอีกเหรอ”
“พ่อก็ว่าสมควรแล้วนะ” กอบชัยโพล่งขึ้น “พ่อกับแม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เพื่อนเล่นที่จะมาหลอกกันแบบนี้”
“แต่มันก็ผิดที่ผม ไม่ได้ผิดที่อะนา” ณภัทรบอก
ณดลพูดสวนขึ้น “โกหกปลิ้นปล้อนแบบนี้ ยังไม่เรียกว่าผิดอีกเรอะ แกหยุดแก้ตัวแทนยัยอะนาซะทีเถอะ คนดีๆ ที่ไหนเค้าจะมารับจ้างหลอกลวงชาวบ้านแบบนี้”
“พี่ณดล เพราะอะนาเป็นเพื่อนผมต่างหาก เค้าถึงช่วยผม”
“แต่ลองแกไม่มีค่าจ้างให้ เค้ายังจะช่วยแกอยู่หละมั้ง” ณดลถาม
“อะนาไม่ใช่คนเห็นแก่เงินขนาดนั้น นี่เค้ายังไม่เอ่ยปากทวงผมเรื่องค่าจ้างด้วยซ้ำ”
“ภัทรเอ๊ย...แกมันยังเด็ก คงไม่ทันพวกสิบแปดมงกุฎ พวกต้มตุ๋น” กอบชัยว่า
“แต่อะนาไม่ใช่คนแบบนั้นนะครับคุณพ่อ” ณภัทรพยายามพูด
“โอ๊ย..จะให้พวกฉันไว้ใจแม่นี่อีกรึไง เงียบทีเถอะภัทร” พนารัตน์ตวาด
ณภัทรหยุดพูดแต่สีหน้าท่าทางก็ยังยืนยันอยู่ข้างอนามิกา
“ณดล” พนารัตน์เรียก
“ครับคุณแม่” ณดลรับคำ
“ขึ้นไปเฝ้าแม่อะนาเค้าหน่อยไป ไม่ใช่ว่ามัวแต่มาเถียงกันอยู่ตรงนี้ แต่บนห้องนั่นโดนยกเค้าไปซะหมด”
ณภัทรอ่อนใจ “คุณแม่!”
พนารัตน์วางเฉยใส่ณภัทร ณภัทรถอนใจเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงให้พ่อกับแม่เข้าใจ
จบตอนที่ 11