ขุนเดช ตอนที่ 2
ขุนเดชเข้ามากราบองค์พระประธานในโบสถ์ ข้างๆ ตัวมีกระเป๋าเดินทางที่เก็บข้าวของเตรียมไปจากวัด
เมื่อกราบพระประธานเสร็จขุนเดชก้าวออกจากโบสถ์หยุดหันหลังไปมองอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินจากไปอย่างมุ่งมั่น
ยงยุทธรู้สึกตัวขึ้นบนที่นอนของดาราพบว่าตัวเองมีผ้าพันแผลที่ท้อง ยงยุทธพยายามลุกแล้วเจ็บแปล๊บ
“อย่าเพิ่งลุกสิ เดี๋ยวแผลก็ฉีกหรอก”
“นี่ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ขุนเดชพามา”
“ขุนเดช...” ยงยุทธนึกขึ้นได้ “แล้วขุนเดชอยู่ไหน...มันเป็นยังไง...โอ๊ย!”
ยงยุทธพยายามจะลุกอีกแต่คราวนี้เจ็บเอาเรื่อง
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่งลุก ทำไมถึงไม่ยอมฟังอะไรเลย นอนลงเดี๋ยวนี้จะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ ถ้าอยากรู้อะไรก็จะเล่าให้ฟัง” ดาราจับไหล่ยงยุทธกดลงบนเตียง “แต่ถ้าไม่ฟังยังดื้ออีก ชั้นจะปล่อยให้เป็นบาดทะยักจะได้หามส่งโรงพยาบาลจะเอามั้ย”
ยงยุทธรีบส่ายหน้า
“ไม่ลุกแล้วจ้ะ แค่นี้ก็ต้องดุด้วย”
ดาราตีหน้าดุใส่อีก ยงยุทธสะดุ้ง
ดาราช่วยเปลี่ยนผ้าพันแผลและช่วยทำแผลให้ยงยุทธ
“นี่ถือว่าโชคดีนะที่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นซะก่อน ไม่อย่างนั้นทั้งนายทั้งขุนเดชได้โดนพวกมันฆ่าเอาศพไปทิ้งให้หาไม่เจอแน่”
ยงยุทธแอบทำหน้าเจ็บเพราะโดนยาป้ายเข้าที่แผลแต่ไม่ร้องให้ได้ยิน
“เขาเรียกคนดีผีคุ้ม ยังไงสวรรค์ก็ไม่ทอดทิ้งคนอย่างผม” ดาราชำเลืองมองอย่างหมั่นไส้เลยแกล้งเทยาใส่ลงไปเยอะๆ ยงยุทธสะดุ้งโหยงร้องเสียงหลง “โอ๊ย! เบาๆหน่อยสิดารา นี่คุณจงใจจะซ้ำให้ผมเจ็บนะเนี่ย”
“ใช่! เพราะหมั่นไส้ไง ทั้งนายทั้งขุนเดชเลยทำอะไรไม่รู้จักคิด”
“ทำไมจะไม่คิด...ที่ทำไปน่ะคิดดีแล้วนะ”
“ดีตรงไหน ถ้านายกับขุนเดชไม่รอดกลับมา แล้วพ่อชั้นก็ต้องติดคุก แล้วชั้นล่ะ! ชั้นจะอยู่กับใคร ชีวิตชั้นจะเหลืออะไรอีก”
ดาราพูดไปก็น้ำตาซึมแต่พยายามไม่ให้ยงยุทธเห็นน้ำตา ยงยุทธนิ่งไปอย่างเข้าใจความรู้สึก
“ผมขอโทษนะดารา แต่ผมยอมตายซะดีกว่าถ้าผมช่วยคนที่ผมรักไม่ได้” ยงยุทธพูดไปก็เอื้อมมือไปจับมือดารามากุม ดาราชะงักมองยงยุทธอย่างแปลกใจ “ชีวิตผมมันก็แค่ไอ้เด็กกำพร้าคนนึง ถ้าไม่มีหลวงพ่อ ไม่มีลุงเถิน ไม่มีขุนเดช และไม่มีคุณ อนาคตผมก็คงหาดีอะไรไม่ได้ และถึงผมจะโชคดีที่รอดมาได้ แต่โชคก็ไม่ได้เข้าข้างเรื่องความรักของผม”
“ยงยุทธ...นี่นาย”
“ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่าผมอยากเป็นคนที่อยู่ในสายตาคุณบ้าง”
ดารานิ่งไปไม่ทันตั้งตัว ยงยุทธมองเธอเข้าไปในแววตาและด้วยความใกล้ชิด อารมณ์ที่พาไปยงยุทธยื่นหน้าไป จูบหน้าผากของดาราอย่างนุ่มนวลก่อนจะเลื่อนลงมาสัมผัสริมฝีปากเธอ
ขุนเดชยืนมองทั้งคู่ที่หน้าประตูห้องซึ่งเปิดค้างเอาไว้ ดารากับยงยุทธหันมาเห็นขุนเดชพร้อมกันทั้งคู่ตกใจ
“ขุนเดช”
ขุนเดชเดินออกไป ดารารีบลุกวิ่งตาม ยงยุทธหน้าเสียเจ็บใจตัวเอง
“นี่เราทำอะไรลงไปวะเนี่ย! โธ่เว้ย”
ดารารีบตามขุนเดชออกมา
“ขุนเดช!...ที่เห็นเมื่อกี้นี้ ไม่ใช่อย่างที่ขุนเดชคิดนะ” ขุนเดชยืนนิ่งสีหน้าราบเรียบไม่พูดไม่จา “พูดอะไรบ้างสิขุนเดช”
“ผมไม่มีอะไรจะพูดหรอกดารา เพราะผมไม่ได้คิดอะไร” ดาราชะงักอึ้ง “ผมแค่แวะมาดูว่ายงยุทธเป็นยังไงบ้าง แต่เห็นว่าคุณดูแลมันดีแบบนี้แล้ว ผมก็สบายใจ ผมไปนะ”
ขุนเดชจะไปแต่ดารารีบวิ่งไปขวางทาง
“พูดมาอย่างที่ใจเธออยากพูดสิขุนเดช...ชั้นรู้ว่าเธออยากพูดอะไร” ขุนเดชนิ่ง “พูดสิขุนเดช”
ขุนเดชยังนิ่งไม่แม้แต่จะปริปาก ยงยุทธตามออกมาแล้วกระชากไหล่ขุนเดชให้หันมา
“ถ้าแกไม่พูด ชั้นจะง้างปากแกให้พูดเอง” ยงยุทธซัดเปรี้ยงเข้าหน้าขุนเดชเต็มๆ จนเซล้ม ปากแตกเลือดกลบปาก ดาราตกใจ “ลุกขึ้นมาสิวะ ชั้นผิดที่ล่วงเกินดารา ชั้นยอมให้แกกระทืบชั้น ลุกขึ้นมาสิวะไอ้ขุนเดช”
ขุนเดชลุกขึ้นเช็ดเลือดที่กลบปาก ยงยุทธก้าวเข้าไปหาเพื่อนแล้วหลับตาพร้อมรับการลงโทษอย่างแมนๆ ขุนเดชมองเพื่อนแล้วกระชากคอเสื้อเข้ามา ดารายิ่งตกใจ
“หยุดนะขุนเดช หยุดนะยงยุทธ”
“ถอยไปดารา...ผมทำผิด คนเดียวที่จะตัดสินผมได้มีแต่ไอ้ขุนเดชเท่านั้น ซัดชั้นเลยเพื่อน ชั้นจะไม่ตอบโต้แก”
ขุนเดชมองยงยุทธด้วยแววตาไร้ความรู้สึกก่อนจะปล่อยมือจากคอเสื้อยงยุทธ
“ดูแลดาราด้วยนะไอ้ยงยุทธ ไม่มีใครทำหน้าที่นั้นได้ดีไปกว่าแกหรอก...เพื่อน”
ยงยุทธอึ้ง ขุนเดชเดินจากไป ดาราได้ยินคำพูดนั้นจากปากขุนเดชก็ถึงกับน้ำตาคลอเบ้าเจ็บปวด ยงยุทธเห็น น้ำตาเธอจึงหันไปเรียกขุนเดช
“ขุนเดช...กลับมานะเว้ย แกทำแบบนี้ไม่ได้นะ ไอ้ขุนเดช”
อาจารย์ประทีปเอาภาพถ่ายที่เคยถ่ายนายเดื่องกับขุนเดชโดยมีภาพของพระศิลาอยู่เบื้องหลัง เป็นภาพที่ถ่าย ตอนที่ค้นพบพระศิลาแล้วนายเดื่องถ่ายรูปคู่กับลูก ระหว่างนั้นผู้ช่วยเข้ามา
“อาจารย์ครับ มีโทรเลขด่วนมาครับ”
ผู้ช่วยยื่นซองโทรเลขให้ อาจารย์ประทีปรับมาเปิดอ่าน
“คณะของอาจารย์ปกรณ์ขุดเจอกรุที่ไชยา อยากให้คณะของเราไปสมทบเพราะที่โน่นคนไม่พอ”
“งั้นผมจะรีบไปเตรียมข้าวของให้ครับอาจารย์”
ผู้ช่วยออกไปสวนกับขุนเดชที่เดินเข้ามา อาจารย์ประทีปเห็นขุนเดชก็แปลกใจ
ที่วัดหลวงพ่อสุข ยงยุทธเปิดประตูเข้ามามองหาขุนเดชในห้อง
“ขุนเดช...ไอ้ขุนเดช” ยงยุทธหาไม่เจอสงสัยบางอย่างเลยรีบไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วไม่เจอเสื้อผ้าของขุนเดช
“ไอ้เวรเอ้ย...นี่มันคิดบ้าอะไรของมันวะ” ยงยุทธหันไปเห็นเด็กวัดเลยรีบเรียกมาถาม “ไอ้เปี๊ยก...เอ็งเห็นไอ้ขุนเดชรึเปล่า”
“เห็นมาเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วขึ้นรถออกไปได้พักใหญ่แล้วพี่ยงยุทธ”
“แล้วมันบอกรึเปล่าว่าจะไปไหน”
เปี๊ยกส่ายหน้าว่าไม่ ยงยุทธจะรีบตามออกไป แต่เปี๊ยกเรียกไว้
“เดี๋ยวพี่ยงยุทธ...แล้วงานศพหลวงพ่อล่ะ จะไม่อยู่ช่วยกันเหรอ”
ยงยุทธชะงัก
“เอ็งว่าไงนะ...หลวงพ่อมรณภาพแล้วเหรอ”
ที่ห้องทำงานอาจารย์ประทีป ขุนเดชมองภาพถ่ายที่มีรูปพ่อกับตัวเองตอนเป็นเด็กแล้วเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อรักษาไว้อย่างดี
“ชั้นเสียดายเรื่องเรียนของเธอจริงๆ ขุนเดช ได้ยินมาว่าผลการเรียนของเธอเป็นที่หนึ่งของคณะ ไว้เธอเรียนจบเมื่อไหร่เธอต้องไปไกลกว่าชั้นแน่”
“แต่ผมไม่ได้อยากเป็นนักวิชาการ ผมอยากสานต่อหน้าที่ของพ่อผมมากกว่าครับ”
อาจารย์ประทีปถอนใจ
“ชั้นขอโทษด้วยนะขุนเดช ชั้นพยายามขอให้ตำรวจช่วยทุกทางแล้ว แต่ก็ไม่เคยตามเจอตัวไอ้โจรพวกนั้นเลย”
“ไม่ใช่ความผิดของอาจารย์หรอกครับ ผมเข้าใจดี บางทีความยุติธรรมก็ไม่ได้เดินมาหาเรา เราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหามันเอง...ได้ยินผู้ช่วยของอาจารย์บอกว่า อาจารย์กำลังขาดคนช่วยงานอยู่ ผมพร้อมแล้วครับ”
อาจารย์ประทีปมองขุนเดชอย่างตัดสินใจ
ดาราสีหน้าแปลกใจเมื่อรู้จากยงยุทธ
“ขุนเดชไม่อยู่แล้วเหรอยงยุทธ”
“ผมก็ไม่รู้ว่ามันไปไหน รู้แต่ว่ามันมาเก็บข้าวของส่วนตัวของมันแล้วก็หายตัวไปเลย แม้แต่งานศพหลวงพ่อมันก็ไม่อยู่ช่วย” ดารานิ่งไปแล้วน้ำตาซึมเสียใจ ยงยุทธยิ่งรู้สึกผิด “ดารา...ผมขอโทษ เป็นความผิดของผมเอง ผมจะรับ
ผิดชอบทุกอย่าง ผมจะตามขุนเดชกลับมาให้ได้”
ยงยุทธจะออกไปแต่ดาราจับมือยงยุทธไว้
“ไม่ต้องหรอกยงยุทธ นายมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำอีกเยอะ”
ยงยุทธชะงัก
“ดารา...ไม่มีเรื่องไหนที่จะสำคัญสำหรับผมเท่ากับเรื่องของคุณหรอก ผมผิดที่ผมไม่ให้เกียรติคุณทำเรื่องแบบนั้นต่อหน้าไอ้ขุนเดช”
“ไม่ต้องพูดแล้วล่ะยงยุทธ”
“ทำไมล่ะดารา ก็ในเมื่อมันเป็นความผิดของผมจริงๆ ผมต้องตามไอ้ขุนเดชให้เจอเพื่อมันจะได้ยกโทษให้ผม และเพื่อคุณจะได้มองหน้าผมได้อย่างสนิทใจอีก” ดาราหยุดนิ่งน้ำตาคลอ “ ผมเคยบอกคุณแล้วใช่มั้ย ถ้าชีวิตผมไม่มีคุณ ไม่มีไอ้ขุนเดช ผมก็ไม่เหลืออะไรอีก”
“เหลือสิยงยุทธ...อนาคตตำรวจของนายไง”
ยงยุทธอึ้ง
“ดารา...นี่...หมายความว่าคุณจะไม่ยกโทษให้ผม”
ดาราหันมาน้ำตาอาบแก้มเสียใจ
“ชั้นไม่ได้โทษนาย ไม่ได้โทษขุนเดช ไว้ชั้นจะรอดูวันที่นายได้เป็นตำรวจที่ดีเป็นที่พึ่งของประชาชนนะ”
ดาราปาดน้ำตาแล้วเดินจากไป ยงยุทธเสียใจและเจ็บปวดที่ต้องเสียผู้หญิงที่รักและเพื่อนรักไปในเวลาเดียวกัน
8 ปีผ่านไป
ภายในโกดังกำลังมีการซื้อขายเฮโรอีนล็อตใหญ่ให้กับลูกค้ากลุ่มหนึ่งโดยมี สิงห์ ชายวัยกลางคนเป็นหัวหน้า ลูกค้าที่มาซื้อยาลองชิมเฮโรอีนว่าบริสุทธิ์อย่างที่ต้องการรึเปล่า สิงห์ใช้มีดพกที่คมกริบโกนหนวดเหลาคางแล้วพูดเปรยอย่างกวนๆ
“ไม่ต้องลองให้เสียเวลาหรอก ของบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่งตรงมาจากสามเหลี่ยม ทองคำไม่มีปนที่อื่นให้เสียอารมณ์”
“แล้วถ้าอยากได้มากกว่านี้ล่ะ มีมาด้วยรึเปล่า”
สิงห์ชะงักหรี่ตาสงสัย
“บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าของไอ้สิงห์ราคาไม่ได้ถูกๆ เหมือนเจ้าอื่น”
ลูกค้าไม่ตอบอะไรหันไปเปิดกระเป๋าเห็นธนบัตรเรียงอยู่เต็มกระเป๋า สิงห์หัวเราะชอบใจเสียงดัง
“ไอ้ยงยุทธ!! ไปเอาของมา”
ยงยุทธก้าวเข้ามา แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นยงยุทธคนเดียวกับนักเรียนตำรวจมีอนาคตเวลานี้ยงยุทธไว้หนวดไว้เคราดูเหี้ยมไม่ต่างจากพวกแก๊งค้ายาคนอื่นๆ
“พี่สิงห์...ระวังหน่อยก็ดีนะพี่ ชั้นไม่ค่อยไว้ใจมัน”
สิงห์หันมามองไม่พอใจกระชากคอเสื้อยงยุทธมาตะคอกใส่หน้า
“กูเป็นลูกพี่ มึงเป็นลูกน้อง มึงคิดว่ากูควรจะฟังมึงรึเปล่า..ฮะ”
สิงห์ผลักยงยุทธกระเด็น ยงยุทธรีบลุกแล้วเดินออกไปทำตามคำสั่งของสิงห์
ยงยุทธเดินออกมาเอาเฮโรอีนที่อยู่ในลังหลังรถกระบะ แต่ระหว่างนั้นรู้สึกผิดสังเกตเหมือนมีคนลอบมองเขาอยู่ จากหางตายงยุทธเห็นชายฉกรรจ์ 2 คนสวมหมวกไอ้โม่งพร้อมอาวุธปืนแอบย่องเข้ามาด้านหลังหวังจะเล่นงานเขา
ยงยุทธเตรียมพร้อมรับมือ พอมันเข้ามาในระยะประชิดก็เปิดฉากต่อสู้กันแบบสองต่อหนึ่งและจัดการคนแรกได้ อย่างไม่ยากเย็น อีกคนชักปืนจะยิงแต่ยงยุทธไวกว่าเหยียบคนแรกแล้วกระโดดตัวลอยจระเข้ฟาดหางเข้าหน้ามันทีเดียวสลบเหมือด
ยงยุทธลากคอชายฉกรรจ์ที่โดนจัดการเข้ามาโยนลงพื้นตรงหน้าสิงห์กับลูกค้าซื้อยา
“กูสั่งให้มึงไปเอาของแล้วนี่มึงไปเอาอะไรมา”
ยงยุทธจ้องหน้าลูกค้า
“ชั้นว่าพี่ถามมันดีกว่าว่าข้างนอกนั่น มีพวกมันรอหักหลังเราอยู่อีกกี่คน”
สิงห์ชะงักหันไปมองลูกค้าที่เริ่มมีอาการเหวอตกใจ พวกมันกำลังจะชักปืนสู้แต่สิงห์ปามีดพกในมือพุ่งไปปัก กลางอกมันอย่างรวดเร็ว ลูกน้องคนอื่นๆ ก็ชักปืนระดมยิงใส่จนพวกลูกค้าตายเกลี้ยง
คืนนั้นพวกแก๊งค้าเฮโรอีนฉลองกันสนุกสนานท่ามกลางเหล้ายาและหญิงบริการ สิงห์ลากคอยงยุทธออกมายืนต่อหน้าทุกคน
“เฮ้ย...ที่วันนี้พวกเอ็งรอดมาได้ก็เพราะไอ้ยงยุทธมัน เพราะฉะนั้นวันนี้เต็มที่ให้ไอ้ยงยุทธ” พวกลูกน้องเฮกันลั่นชนแก้วส่งเสียงเรียกชื่อ...ไอ้ยงยุทธ..ไอ้ยงยุทธ...ไอ้ยงยุทธกันดังสนั่น “ฝีมือเอ็งเอาเรื่องแบบนี้ ต่อไปนี้เอ็งมาเป็นมามือขวาข้า”
“ได้ครับพี่”
สิงห์หัวเราะชอบใจแล้วหันไปกวักมือเรียกหญิงบริการสวยๆ มาสองคน
“ของรางวัลของเอ็ง เต็มที่เลย...ฮ่าๆๆ”
สิงห์จัดผู้หญิงให้ยงยุทธ ส่วนตัวเองก็โอบสาวสวยพาขึ้นบันไดไปด้วยกัน หญิงบริการสองคนเข้ามาควงแขน ยงยุทธแล้วลูบไล้ยั่วยวน
เวลาผ่านไป พวกลูกน้องแก๊งเฮโรอีนพากันเมาจนสลบเหมือดไม่ได้สตินอนเกะกะเต็มพื้น ยงยุทธเข้ามาเดินสำรวจดูพวกมันอย่างเงียบเชียบ และไปที่หน้าต่างพร้อมเอาไฟฉายกระพริบสัญญาณออกไป ลูกน้องแก๊งคนนึงงัวเงียลุกขึ้นมาเห็นยงยุทธกำลังส่งสัญญาณไฟฉายก็สงสัยถามอย่างเมาๆ
“ทำอะไรของมึงวะ…ไอ้ยงยุทธ”
ยงยุทธหันมากลัวว่าความลับจะแตกเลยเข้าไปชกหน้ามันที…พลั่ก! หมัดเดียวมันน็อคหมดสติ
ยงยุทธจับมันวางลงเบาๆ ก่อนจะเอาปืนที่เหน็บเอวขึ้นมาเตรียมพร้อม
ยงยุทธถือปืนย่องเงียบเข้ามาที่ห้องพักของสิงห์ ประตูห้องแง้มอยู่ได้ยินเสียงสิงห์คุยโทรศัพท์ดังเล็ดลอดออกมา
“ก็เกือบไปครับท่าน ดีที่ลูกน้องผมไหวตัวทันงานนี้ก็เลยได้เงินของพวกมันมาฟรีๆ...ได้ครับท่าน ส่วยของเดือนนี้ผมจะจัดส่งให้เหมือนเคย”
สิงห์วางสายไปแล้วถ่มน้ำลายอย่างชิงชัง
“ถุย…คนอย่างพวกแกก็ดีแต่หน้าไหว้หลังหลอก ทุกบาททุกสตางค์ของพวกแกก็เม็ด เหงื่อพวกข้าทั้งนั้น” สิงห์บ่นไปได้ครู่ได้ยินเสียงที่หน้าประตูห้อง สิงห์สงสัยคว้าปืนขึ้นมาทันที “ใครวะ”
สิงห์ถือปืนแล้วเดินออกไปที่ประตูก่อนจะชะงักเมื่อเจอยงยุทธยื่นปืนเข้ามาจ่อหัว
“ทิ้งปืนซะไอ้สิงห์” สิงห์อึ้ง
“ไอ้ยงยุทธ…นี่ทำบ้าอะไรของเอ็ง”
“ชั้นไม่ใช่ลูกน้องแก ชั้นร้อยตำรวจโทยงยุทธ มาลากคอแกเข้าตะราง”
“แก…ไอ้…ไอ้”
ยงยุทธจี้ปืนบังคับ สิงห์เจ็บใจยอมทิ้งปืน ยงยุทธกำลังจะเอากุญแจมือมาจับสิงห์แต่เสียงปืนดังสนั่นมาจาก ชั้นล่างเพราะการต่อสู้กันของตำรวจกับพวกลูกน้องสิงห์ สิงห์อาศัยจังหวะที่ยงยุทธหันไปเพราะเสียงปืนศอกเข้าที่หน้ายงยุทธเต็มๆ ก่อนจะชิงวิ่งหนี ยงยุทธจะยิงไล่หลัง แต่จำเป็นต้องลดปืนลง
“โธ่เว้ย”
ระหว่างนั้นตำรวจสองนายวิ่งตามขึ้นมา
“ข้างล่างเรียบร้อยแล้วครับหมวด ได้ตัวไอ้สิงห์มั้ยครับ”
“มันเพิ่งหนีไป ต้องจับเป็นมันให้ได้ ผมต้องใช้มันสาวให้ถึงตัวบงการ”
สิงห์วิ่งหนีการตามล่าของยงยุทธและกลุ่มตำรวจที่ยิงปืนขู่ไล่ล่ามากระชั้นชิด...เปรี้ยงๆ
สิงห์เข้าไปหาที่หลบเจ็บใจกัดกราม เสียงยงยุทธขู่ดังมาแต่ไกล
“มอบตัวดีกว่าไอ้สิงห์ แล้วชั้นจะกันแกไว้เป็นพยาน ถ้าแกชี้ตัวคนที่บงการแกได้โทษหนักของแกจะได้รับการพิจารณา”
“ไอ้ยงยุทธ แกอย่ารนหาเรื่องเลยดีกว่าถึงแกจับชั้นได้ แกก็ไม่ได้เป็นวีรบุรุษหรอก”
“แกจนมุมแล้วไอ้สิงห์ ไม่ต้องพยายามหาเรื่องต่อรอง…ออกมามอบตัว”
สิงห์เจ็บใจตัดสินใจเดินออกมาจากที่ซ่อนเผชิญหน้ากับยงยุทธ พวกตำรวจยกปืนขึ้นเล็ง
“แล้วแกจะรู้ว่าแกคิดผิดที่มายุ่งกับชั้น เพราะคนที่จะต่อรองกับแก…ไม่ใช่ชั้นหรอก”
“แกหมายถึงใคร” สิงห์ยิ้มกวนๆ ยงยุทธยกปืนขึ้นเล็ง “ชั้นถามว่าใคร...ใครชักใยพวกแกอยู่”
“คนที่แกไม่มีวันจะแตะต้องได้ไง...ฮ่าๆๆ”
สิงห์หัวเราะชอบใจได้ครู่เสียงปืนก็ดังขึ้นมา...ปังๆๆๆ
สิงห์สะดุ้งเฮือกเพราะถูกยิงจากด้านหลังด้วยปืนจากไอ้โม่งที่ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา มันฆ่าสิงห์เสร็จก็รีบบิดมอเตอร์ไซด์หนีไปทันที ยงยุทธวิ่งตามแล้วไล่ยิงกระหน่ำจนหมดลูกโม่ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะมันหนีไปได้ ยงยุทธกลับมายืนมองศพของสิงห์ที่นอนตายเพราะถูกฆ่าตัดตอนอย่างเจ็บใจ
วันต่อมาในห้องผู้บังคับบัญชายศผู้การฯ ยงยุทธอยู่ในชุดตำรวจเต็มยศใบหน้าโกนหนวดโกนเคราสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ยืนตัวตรงต่อหน้าผู้บังคับบัญชาที่กำลังอ่านรายงานของยงยุทธ แต่พออ่านจบก็ถอนหายใจยาว
“ถ้าท่านอนุญาตให้ผมทำคดีนี้ต่อ ผมรับปากว่าผมจะกระชากหน้ากากคนที่อยู่เบื้อง หลังเรื่องนี้มาลงโทษให้ได้ครับ”
“เสียใจด้วยนะหมวด คดีที่คุณรับผิดชอบมันจบลงแล้ว” ยงยุทธอึ้ง
“แต่ผมยังสาวไปไม่ถึงตัวการเลยนะครับท่าน”
“ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้จริงๆ คำสั่งย้ายคุณเพิ่งมาถึงเมื่อเช้า คุณต้องย้ายไปประจำที่ ศรีสัชนาลัยภายใน 24 ชั่วโมง”
“แต่ว่าท่านครับ...”
“เชื่อผม...ถ้าคุณยังอยากเป็นตำรวจอยู่”
ยงยุทธนิ่งไปแต่มือยังกำหมัดแน่นอย่างเจ็บใจ
บรรยากาศงานบุญวัดศรีชุมมีชาวบ้านมาเที่ยวงานเพื่อกราบไหว้พระอจนะ ที่หน้ามณฑปมีกลุ่มนางรำที่ถูกว่าจ้างให้มารำถวายแก้บน บัวทองเป็นหนึ่งในกลุ่มนางรำเหล่านั้นซึ่งมีท่วงท่า ร่ายรำที่โดดเด่นสวยงามและอ่อนช้อย
ขุนเดชเดินเข้ามาในบริเวณงานเที่ยวชมงานเหมือนกับชาวบ้านคนอื่นๆ ก่อนที่จะมาหยุดดูการรำถวายแก้บนร่วมกับพวกชาวบ้าน
ขุนเดชเตะตาสนใจบัวทองตั้งแต่แรกเห็น เพราะความงามอ่อนช้อยของบัวทอง และอยู่ดูจนบัวทองรำเสร็จ
ขุนเดชเข้ามายืนสงบนิ่งหน้าองค์พระอจนะที่ใหญ่โตน่าเคารพศรัทธาก่อนจะก้มลงพนมมือไหว้
“สาธุ...ข้าน้อยนี้ขอเคารพนบไหว้ พระไตรรัตน์ดวงประเสริฐ พระสยามเทวาธิราช พระพิฆเนศ พระมหาราชแต่อดีตจนปัจจุบัน ไหว้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงทั้งสิ้น ไหว้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ...ข้าน้อยนาม...ขุนเดช...ไหว้แผ่นดินพระร่วงเจ้า”
ขุนเดชพนมมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนจะก้มกราบพระอจนะ แต่เสียงเขย่าเซียมซีจากคนข้างๆ รบกวนสมาธิ การไหว้ เมื่อขุนเดชกราบเสร็จจึงหันไปเห็นว่าเป็นเด็กสาวนางรำที่เขาไปยืนดูก่อนหน้านี้นั่นเอง
บัวทองเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนางรำมาเป็นชุดธรรมดาสาวชาวบ้าน อธิษฐานขอพรเขย่ากระบอกเซียมซีเสียงดัง สีหน้ามุ่งมั่นตั้งใจ...เขย่าๆๆๆ จนขุนเดชหันไปมองแล้วอดยิ้มไม่ได้
บัวทองหันมาเห็นชายแปลกหน้ามองเธอแล้วยิ้มขำก็ทำเชิดไม่สนใจ ตั้งอกตั้งใจเขย่ากระบอกเซียมซีไม่หยุด
“เขย่าแบบนั้น เดี๋ยวก็หลุดออกมาทั้งกระบอกหรอกน้องสาว”
บัวทองชะงักแล้วหางตามองอย่างไม่สนใจ “คนอะไรชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน” บัวทองเขย่าแรงกว่าเดิม
“ออกมาแล้ว!”
บัวทองดีใจที่แท่งเซียมซีหลุดออกมา แต่หน้าแตกเพราะเซียมซีหลุดออกมาทีเดียวเกือบทั้งกระบอกอย่างที่ขุนเดชเพิ่งเตือนไป คราวนี้ขุนเดชถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ได้
บัวทองรู้สึกอายรีบกอบแท่งเซียมซีกลับคืนกระบอกแล้วเขย่าใหม่ และไม่พยายามหันไปสบตาขุนเดช จนใน ที่สุดก็เขย่าแท่งเซียมซีออกมาได้สำเร็จ แต่บัวทองไม่ทันจะหยิบมาดูเลขขุนเดชก็ทักขึ้น
“ใบที่ห้า ท่านว่าจะมีคู่ เป็นคนอยู่ร่วมบ้านสถานถิ่น ถามหาลาภท่านว่าพอจะมี แต่ต้องดีที่ขยันและขันแข็ง”
บัวทองเหลืออดยุ่งซะจริง
“รู้ได้ยังไงว่าใบที่ห้า”
“ไม่เชื่อก็ดูสิ” บัวทองหยิบเซียมซีขึ้นมาเห็นเป็นเบอร์ 5 จริงๆ “ถ้าคิดว่าพี่พูดไม่ตรงกับคำทำนาย จะลองไปดูเองก็ได้นะ”
บัวทองหน้าเง้าหน้างอรีบเสียบเซียมซีคืนกระบอกแล้วลุกออกไปทันที แต่ออกไปไม่นานก็รีบเดินกลับเข้ามา กราบพระอจนะเพราะลืมกราบลา กราบเสร็จก็รีบเดินออกไปทันที ขุนเดชรู้สึกประทับใจในความน่ารักแบบ แก่นๆ ของเด็กสาว
ทางเดินหน้าวัด บัวทองเดินกลับมาหาแม่ที่กำลังเลือกซื้อของอยู่ข้างทาง บัวทองเห็นขุนเดชเดินตามก็รู้สึกไม่ไว้ใจ รีบเร่งฝีเท้าไปหาแม่ทันที
“แม่…แม่…ผู้ชายคนนั้นเดินตามชั้นมา”
“ไหนลูก”
“คนนั้นน่ะแม่ ชั้นเห็นเขาพกมีดด้วย ท่าทางไม่น่าไว้ใจ เรารีบไปกันเถอะ”
บัวทองพยายามจะพาแม่ออกไป แต่คำปันหันไปเห็นขุนเดชที่เดินเข้ามาพออยู่ในระยะชัดก็คลับคล้ายคลับคลา
“น้าคำปัน…น้าคำปันใช่มั้ยจ๊ะ”
ขุนเดชทัก คำปันมองอย่างสงสัย
“แม่…เขารู้จักชื่อแม่ได้ยังไง”
“น้าคำปัน…ชั้นเองจ้ะ ขุนเดชไง”
“ขุนเดช…” คำปันตกใจและดีใจ “ขุนเดช นี่ใช่พ่อขุนเดชจริงๆ เหรอเนี่ย”
“ใช่จ้ะน้า ชั้นขุนเดชลูกพ่อเดื่อง สวัสดีจ้ะน้า”
คำปันดีใจมากรีบวิ่งเข้าไปกอดขุนเดช
“ขุนเดชของน้า ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าน้าจะได้เจอขุนเดชที่นี่อีก”
“ชั้นก็เหมือนกันจ้ะน้า ดีใจที่ได้เจอน้าอีก”
บัวทองสงสัยและยังคงไม่ไว้ใจเลยรีบเข้าไปดึงแม่ออกมาจากขุนเดช
“แม่…แม่…แม่คุยกับใคร”
“แม่ลืมไป…นี่ขุนเดช ไหว้พี่เขาสิลูก แม่เคยเลี้ยงพี่เขาตอนเป็นเด็ก”
บัวทองมองขุนเดชแต่ไม่ยอมยกมือไหว้
“แม่บอกให้ไหว้พี่เขาไง” บัวทองยกมือไหว้ขุนเดชแบบไม่ค่อยเต็มใจ “ไหว้สวยๆ หน่อยสิลูก ไหว้ใหม่ ไหว้แบบที่ที่แม่สอนไว้แต่เด็ก”
“ไม่เป็นไรหรอกน้า สงสัยจะเสี่ยงเซียมซีมาเหนื่อย เลยมือไม่มีแรง”
บัวทองชะงักที่โดนขุนเดชแซว บัวทองชักสีหน้าแลบลิ้นใส่นิดนึงให้ขุนเดชแล้วรีบเดินจ้ำออกไปทันที
“ตายแล้ว เด็กคนนี้”
ขุนเดชอมยิ้มชอบใจ
อ่านต่อหน้าที่ 2
ขุนเดช ตอนที่ 2 (ต่อ)
บรรยากาศวิถีชีวิตชาวบ้านที่แก่งหลวง บ้างพายเรือขายของ บ้างเหวี่ยงแหจับปลา ขุนเดชยืนมองบรรยากาศอันสงบสุขของแก่งหลวงแล้วคิดถึงช่วงเวลาวัยเด็กกับพ่อ
นายเดื่องพายเรือพาขุนเดชล่องมาตามลำน้ำในแก่งหลวง
“พ่อชอบแก่งหลวงและศรีสัชมาก เพราะว่ามันเป็นบ้านเกิดของพ่อและของแม่เจ้าที่ล่วงลับไปแล้ว และเจ้าก็เกิดที่นี่ซึ่งเป็นพยานรักของพ่อกับแม่ ที่พ่อตั้งชื่อเจ้าว่าขุนเดชเพราะชื่อขุนเดชแปลว่าใหญ่โตและมีฤทธิ์มาก”
“เหมือนยักษ์น่ะเหรอครับพ่อ”
นายเดื่องหัวเราะ
“ก็อาจจะใช่ เพราะตอนเจ้าคลอดใหม่ๆ เจ้าตัวใหญ่และร้องไห้เสียงดังมาก” ขุนเดชแยกเขี้ยวทำหน้าดุแบบยักษ์แต่ดูแล้วตลก นายเดื่องยิ้มให้กับความเดียงสาของลูกชาย “ขุนเดช...ที่แก่งหลวงนี้มีเรื่องเล่ากันว่าพระร่วงเจ้าผู้สร้างกรุงสุโขทัยหรือศรีสัชนาลัยของเรา ท่านหายไปกับแม่น้ำสายนี้ เลือดเนื้อของท่านได้สร้างความสุข อุดมสมบูรณ์ ให้กับแม่น้ำสายนี้ พ่อภูมิใจในบ้านเกิดของพ่อมากนะ เพราะว่ามันเป็นเมืองเก่าเมืองแก่ จำไว้นะลูก...ศรีสัชณาลัยแปลว่าที่อยู่ของคนดี”
ขุนเดชมองพ่อพยักหน้ารับอย่างตั้งใจ
ขุนเดชรู้สึกภาพภูมิใจในสิ่งที่พ่อได้สั่งเสียแต่แล้วเสียงของบัวทองก็โหวกเหวกดังเข้ามา รบกวนความสงบสุขของขุนเดช
“อย่าหนีนะไอ้จุ่น...จับได้เมื่อไหร่ล่ะก็ โดนไล่เตะตูดแน่”
ขุนเดชมองไปที่กลางลำน้ำจึงเห็นบัวทองกำลังพายเรือจ้ำไล่กวดกับพวกเด็กชาวบ้านที่พายเรือหนี
“พวกชั้นยอม ก็กลัวพี่น่ะสิพี่บัวทอง”
“ไอ้จุ่น”
บังทองยิ่งโกรธเลยยิ่งเร่งฝีพาย แต่ไม่ทันระวังเรือโคลงไปมาก่อนจะเสียหลักเรือพลิกคว่ำ บัวทองตกเรือ พวกเด็กๆ หัวเราะชอบใจ ขุนเดชเห็นก็อมยิ้มขำบัวทองไปด้วย แต่บัวทองจมหายไปนาน ขุนเดชเริ่มแปลกใจ
“บัวทอง”
ขุนเดชกลัวว่าบัวทองจะจมน้ำเลยรีบวิ่งลงไปช่วย
ขุนเดชดำผุดดำว่ายหาบัวทองกลางแก่งหลวงแต่หาไม่เจอ
“บัวทอง…บัวทอง”
ขุนเดชเริ่มหน้าเครียด ทันใดนั้นบัวทองก็โผขึ้นจากน้ำแกล้งขุนเดช
“นี่แน๊ะ หัวเราะเยาะเย้ยชั้นเหรอพี่ขุนเดช!”
บัวทองแกล้งเกาะไหล่แล้วจะจับขุนเดชกดน้ำ
“นี่แกล้งพี่เหรอบัวทอง”
“ก็ไม่ชอบให้ใครมาหัวเราะเยาะบัวทองนี่…นี่แน๊ะ”
บัวทองยิ่งแกล้งทั้งสาดน้ำใส่ กดไหล่ ขุนเดชฮึดสู้กลับสาดน้ำใส่บัวทองบ้าง สนุกสนานกันอยู่สองคน
อีกด้านหนึ่งที่ป่าเขาหลวงหลวง ดาราซึ่งตอนนี้เรียนจบเป็นอาจารย์ กำลังพากลุ่มนักศึกษาเดินมาตามทางในป่า พวกนักศึกษายังสนุกสนานกับการถ่ายรูประหว่างทาง
“อาจารย์ครับ เรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาเกี่ยวกับเขาหลวง อาจารย์เชื่อรึเปล่าครับ”
เปี๊ยะ หนึ่งในนักศึกษาถาม
“เรื่องอะไรเหรอเปี๊ยะ” หยิน นักศึกษาอีกคนถามอย่างสนใจ
“เป็นความเชื่อของชาวสุโขทัยจ้ะ เชื่อกันว่า พระขพุง ผีเทวดาที่สถิตย์อยู่ที่นี่ ยิ่งใหญ่กว่า เทวดาในเมืองสุโขทัย หากผู้ครองเมืองสุโขทัยจะเป็นผู้ใดก็ตาม รู้จักนบไหว้และทำพิธี เซ่นสรวงถูกต้อง เมืองสุโขทัยย่อมตั้งมั่นถาวรยั่งยืน แต่หากไม่รู้จักนบไหว้ ไม่มีการพลี บูชาตามแบบแผนแล้ว ผีในเขาหลวงจะไม่คุ้มไม่เกรง เมืองสุโขทัยก็จะล่มจม” ดาราบอก หยินนึกกลัว
“มิน่าล่ะ ตั้งแต่ขึ้นมาบนเขาหลวงหนูรู้สึกขนลุก แล้วก็หนาวๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“นี่มันยุคไปอวกาศกันแล้วนะหยิน จะมีพระขพุงผีได้ยังไง ชั้นว่าที่เธอหนาวเพราะลม จากเมฆฝนที่ตั้งเค้ามาโน่นต่างหาก”
เบิ้ม นักศึกษาอีกคนบอกแล้วชี้ให้ดูเมฆบนท้องฟ้าที่กำลังก่อตัวมืดครึ้มอย่างรวดเร็ว
“ตายแล้ว อีกเดี๋ยวฝนคงตกแน่ อาจารย์ว่าเรากลับกันเถอะ”
“แต่เรายังไม่ได้ไปไหว้พระศิลาเลยนะครับอาจารย์”
“พวกเราต้องอยู่ที่นี่อีกเป็นเดือน ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ขึ้นมาหรอกจ้ะ”
ดารากำลังจะพาคณะนักศึกษากลับ แต่นักศึกษาอีกคนรีบเข้ามา
“อาจารย์ดาราครับ กบหายไปไหนก็ไม่รู้ครับ”
ดาราหันมาตกใจ
ที่บ้านคำปัน บัวทองนั่งเช็ดผมที่เปียกหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วและฮัดเช้ยออกมาเสียงดัง
“มันน่าสมน้ำหน้ามั้ยเนี่ย โตจนจะยี่สิบอยู่แล้วยังออกไปแก่นเซี้ยวกับพวกเด็กๆ อีก” คำปันต่อว่าลูกสาว
“ก็พวกไอ้จุ่นมาแอบลักปลาที่บัวทองดักไว้นี่จ๊ะแม่”
“ปลาแค่ตัวสองตัว แบ่งๆ ไปเถอะ บ้านเราอุดมสมบูรณ์ทั้งปลาทั้งข้าว เหลือกินเหลือใช้”
“บัวทองไม่ได้งกหรอกจ้ะน้า แต่เสียหน้าเด็กๆ มากกว่า คงไม่ชอบโดนลูบคม”
ขุนเดชบอกขณะเดินเข้ามาหลังจากไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่มาแล้ว
“พี่ขุนเดช ! พี่กับชั้นเพิ่งรู้จักกันไม่เท่าไหร่เองนะ ทำมาเป็นรู้จักชั้นดี”
“แล้วพี่พูดผิดรึเปล่าล่ะ”
บัวทองชะงักงอนตุ๊บป่อง
“แม่...ดูพี่ขุนเดชสิ”
“แม่ไม่เข้าข้างหรอก เพราะที่ขุนเดชพูดมาตรงทุกอย่าง เหมือนกับรู้จักกันมานานเลย”
บัวทองงอนหน้างอปั้นปึ่งเสียหน้า ขุนเดชยิ้มชอบใจ
ขุนเดชช่วยคำปันเอาด้ายที่ย้อมสีธรรมชาติมาตากแดดที่ราวตากนอกบ้าน
“ขุนเดช น้าได้ยินจากอาจารย์ประทีปมาว่า จะมีคณะอาจารย์กับนักศึกษาจากกรุงเทพฯ มาศึกษาดูงานที่นี่เหรอ”
“จ้ะน้า มาดูงานโบราณคดีภาคสนาม อาจารย์ประทีปก็เลยขอให้ชั้นช่วยดูแล”
บัวทองเข้ามาพร้อมกับเอาด้ายที่ย้อมสีมาตากเพิ่มแต่อดแขวะขุนเดชไม่ได้
“อาจารย์หน้าตาสวยๆ จากกรุงเทพแต่งตัวโก้เก๋ งานอย่างนี้อาจารย์ประทีปไม่ต้องขอร้องหรอก เพราะพี่ขุนเดชอยากเสนอตัวอยู่แล้ว”
คำปันตีปากลูกสาว
“บัวทอง...เรานี่ชักจะปากเสียมากขึ้นทุกวันนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะน้า บัวทองคงหวงชั้นน่ะ”
“ชั้นนี่นะจะหวงพี่ ขี้ตู่ไปรึเปล่า ชั้นได้ยินพวกชาวบ้านเขาคุยกันว่าพี่มาอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว แต่ไม่เห็นพี่คบใครเลยต่างหาก”
“บัวทองก็เลยเหมาเอาว่าพี่น่าจะชอบผู้หญิงสวยๆ แบบผู้หญิงกรุงเทพฯใช่มั้ย”
“แล้วใช่มั้ยล่ะ”
ขุนเดชไม่ทันตอบ ระหว่างนั้นอาจารย์ประทีปขับรถจี๊ปเข้ามาพร้อมกับทีมงานโบราณคดีท่าทางร้อนใจ
“ขุนเดช”
“มีอะไรเหรอครับอาจารย์”
“เกิดเรื่องกับอาจารย์แล้วก็พวกนักศึกษาที่จะมาดูงานน่ะสิ พวกนั้นหลงทางอยู่ที่ป่าเขาหลวง ฝนก็ใกล้จะตกแล้ว ถ้าน้ำป่าไหลลงมาล่ะก็...แย่แน่”
คำปันกับบัวทองตกใจ ขุนเดชไม่รอช้ารีบขึ้นรถไปกับอาจารย์ประทีปทันที
“คุณพระคุณเจ้า ขออย่าให้เกิดเรื่องร้ายอะไรเลย” บัวทองสีหน้าครุ่นคิดตัดสินใจแล้วรีบวิ่งไปเอาจักรยานออกมา “บัวทอง...จะทำอะไรน่ะ”
“ไปช่วยพี่ขุนเดชน่ะสิจ๊ะแม่ ไม่ต้องห่วงชั้นนะ ชั้นดูแลตัวเองได้”
บัวทองไม่ฟังคำทักท้วงรีบปั่นจักรยานตามไป คำปันใจหาย
“บัวทอง!”
ที่โรงพักศรีสัชนาลัย จ่าแท่นเพิ่งจะนำตัวหัวขโมยคนหนึ่งที่เพิ่งจับตัวมาได้เข้ามา
“หน้าเดิมอีกแล้วเหรอครับจ่า”
“เออ...ไม่เข็ดซะที ถ้าคราวนี้ไม่เลิกไปขโมยของในวัดอีกล่ะก็จะขังแล้วทำลืมให้ตายอยู่ในคุกเลย เข้าใจมั้ย”
“ครับจ่า...เข็ดแล้วครับ”
จ่าแท่นหันมาไขกุญแจมือให้แล้วหันไปบอกหมู่
“ฝากเอามันไปขังด้วยนะหมู่” จ่าแท่นส่งหัวขโมยให้หมู่ได้ไม่ทันไร ไอ้หัวขโมยก็ออกลายผลักทั้งหมู่ทั้งจ่าล้มแล้วรีบฉวยโอกาสวิ่งหนีออกไป “เฮ้ย...ไอ้เวรเอ้ย ใจดีกับมันหน่อย หยามหน้ากันกลางโรงพักเลยเหรอวะเนี่ย”
จ่าแท่นไม่รอช้ารีบวิ่งไล่ตาม
หัวขโมยวิ่งหนีออกมาหน้าโรงพัก ระหว่างนั้นรถจี๊ปคันหนึ่งขับเข้ามา ยงยุทธเกือบจะชนหัวขโมยดี ที่เบรคทัน...เอี๊ยดดดดดด
จ่าแท่นวิ่งออกมาร้องตะโกนโหวกเหวก หัวขโมยจะหนีต่อยงยุทธเลยเปิดประตูรถกระแทกใส่ หัวขโมยล้มก่อน จะฉุนที่โดนคนแปลกหน้ามาเกะกะ มันหันไปคว้าท่อนไม้ใกล้มือขึ้นมาแล้วใช้เป็นอาวุเข้าไปเล่นงาน ยงยุทธส่ายหน้าเพราะดูแล้วรู้ว่าฝีมือไม่เท่าไหร่ ฉากหลบนิดเดียวหน้ามันก็คะมำ แต่เมื่อมันยังไม่ยอมหยุด ยงยุทธเลยจัดเชิงมวยเท่ๆให้ไปชุดหนึ่ง เล่นเอามันหมอบไม่รู้สึกตัว
จ่าแท่นวิ่งตามเข้ามาเหนื่อบหอบ เห็นหัวขโมยโดนเล่นงานสลบเหมือดก็โล่งอกหายใจหอบ
“โอ้ย...เหนื่อย ขอบใจนะพ่อหนุ่ม” จ่าแท่นหอบแฮ่กๆ
“หน้าโรงพักแท้ๆ ทำไมถึงปล่อยให้หนีออกมาได้อีกล่ะจ่า”
“ไอ้นี่มันชอบเล่นทีเผลอ แต่คราวนี้จะเอาให้เข็ดแล้ว”
“แสดงว่าที่ผ่านมาจ่าไม่เคยเอาจริงกับคนร้ายเลย” จ่าแท่นชะงัก
“อ้าว...พ่อหนุ่ม ว่าจะขอบคุณที่ช่วยงานตำรวจซะหน่อย แต่ดันมาปากไม่ดีซะนี่”
“ผมไม่ได้ปากไม่ดี แต่เห็นแบบนี้แล้วคงต้องปรับปรุงการทำงานของตำรวจที่นี่ครั้งใหญ่”
“เอ๊ะพ่อหนุ่มนี่ชักจะยังไง ใหญ่โตมาจากไหนห๊ะเรา ถึงอวดดีจะมาปรับปรุงการทำงาน ของตำรวจที่นี่”
“ไม่ได้อวดดี แต่มันเป็นหน้าที่ของผมที่ได้รับมอบหมายมา...ผมหมวดยงยุทธครับจ่า”
“หมวดยงยุทธ” จ่าแท่นนึกอยู่ครู่แล้วตกใจ “เฮ้ย...ซวยแล้วกู”
จ่าแท่นกำลังหน้าเสียได้ครู่ บัวทองก็ปั่นจักรยานเข้ามากระหืดกระหอบ
“ลุงจ่า...ลุงจ่า แย่แล้ว”
“อะไรของเอ็งห๊ะนังบัวทอง ตอนนี้ลุงแย่กว่าเอ็งอีก”
“เรื่องของลุงน่ะไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้คณะอาจารย์กับนักศึกษาที่จะมาฝึกงานที่นี่หายไป ในป่าเขาหลวง รีบไปช่วยกันเถอะลุง”
จ่าแท่นรีบหันไปที่ยงยุทธทันที
“เอ่อ...หมวดครับ สงสัยจะมีงานใหญ่ต้อนรับหมวดแล้ว”
ที่ป่าเขาหลวง ดาราช่วยพยุง กบ ซึ่งเป็นลูกศิษย์เดินลัดเลาะมาตามทางในป่า
“อดทนหน่อยนะ”
“อาจารย์คะหนูขอโทษ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ มันเป็นอุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอก”
ดาราพยุงพานักศึกษามาถึงทางน้ำน้ำตกที่กำลังไหลเชี่ยว โขดหินขวางทางเรียงราย
“เราต้องข้ามไปเหรอคะอาจารย์ หนูไม่ไหวหรอกค่ะ”
ดาราหน้าเครียด
“ถ้าอย่างนั้นเธอรออาจารย์อยู่ที่นี่ อาจารย์จะรีบไปตามคนมาช่วย”
“ค่ะ”
ดาราพยุงลูกศิษย์ไปนั่งพิงแล้วตัดสินใจเดินข้ามลำน้ำที่กำลังไหลเชี่ยว แต่ดาราก็พลาดลื่นตกไปในน้ำตก...ตูม
“อาจารย์ดารา”
ขณะนั้นตำรวจตามมาถึงและช่วยพาพวกนักศึกษาขึ้นรถ ยงยุทธคุยกับอาจารย์ประทีป
“สวัสดีครับอาจารย์ ผมหมวดยงยุทธเพิ่งจะมาดูแลโรงพักที่ศรีสัชฯ ทราบจากนักศึกษา ว่ายังมีคนติดค้างอยู่บนเขาอีกเหรอครับ”
“ครับ...อาจารย์ดาราที่นำคณะนักศึกษามา แต่พลัดหลงกันเพราะตามไปช่วยลูกศิษย์”
“อาจารย์ดารา ใช่อาจารย์ดารา พราวแสงเดือนจากคณะโบราณคดีรึเปล่าครับ”
“ใช่ครับ...ผู้หมวดรู้จักเหรอครับ”
ยงยุทธหน้าเครียดขึ้นมาทันที รีบหันไปถามจ่า
“จ่า...จ่ารู้จักเส้นทางในป่านี้รึเปล่า”
“พอรู้ครับ”
“งั้นรีบนำทางผมไปที”
“ได้ครับ”
“เดี๋ยวครับหมวด มีคนล่วงหน้าขึ้นไปตามอาจารย์ดาราบนนั้นแล้ว พวกคุณน่าจะไปสมทบกับเขาได้” อาจารย์ประทีปบอก
“ใครล่วงหน้าขึ้นไปแล้วเหรอครับอาจารย์”
“ขุนเดช”
ชื่อของขุนเดชถึงกับทำให้ยงยุทธต้องหันมามองด้วยสีหน้าแปลกใจเป็นอย่างมาก บัวทองสังเกตเห็นอาการบนสีหน้าของยงยุทธก็รู้สึกแปลกใจสงสัย
ยงยุทธเร่งฝีเท้าเข้ามาถึงบริเวณน้ำตก จ่าแท่นกับบัวทองตามเข้ามา
“ผมเจอรอยเท้าย่ำอยู่แถวนี้เต็มไปหมด น่าจะอยู่แถวนี้กัน”
“บัวทองได้ยินเสียงคนค่ะหมวด”
ยงยุทธเงี่ยหูฟังแล้วได้ยินอย่างที่บัวทองบอก ยงยุทธรีบเดินไปดูแล้วจึงพบกบที่นั่งร้องไห้สะอื้นมีเสื้อตัวนอก ของขุนเดชคลุมตัวเอาไว้
“ไม่ต้องกลัวนะหนู พวกเรามาช่วยแล้ว”
“ค่ะคุณตำรวจ”
“แล้วอาจารย์ดาราล่ะ ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ”
“อาจารย์ดารามาตามหาหนูค่ะ แต่ว่าอาจารย์...” กบสะอื้น “อาจารย์โดนน้ำพัดไป พี่คนที่ ชื่อขุนเดชมาเจอหนูเมื่อกี้นี้ ตอนนี้กำลังตามไปช่วย”
“ขุนเดช...จ่า...ผมฝากทางนี้ด้วยนะ”
“ครับหมวด”
ยงยุทธรีบเดินไปตามเลียบตลิ่งเร่งฝีเท้าตามไปด้วยอีกคน บัวทองจะตามไปแต่โดนจ่าแท่นห้าม
“พอได้แล้วนังบัวทอง ไม่ใช่หน้าที่ของเอ็งแล้ว มาช่วยลุง...เร็วเข้า”
บัวทองหน้าเสียดายเพราะอดอยากรู้อยากเห็น
ขุนเดชวิ่งมาตามตลิ่งพยายามมองหาที่น้ำตกจนในที่สุดก็เจอร่างหนึ่งลอยตามน้ำมาติดอยู่ที่โขดหิน ขุนเดชรีบกระโจนลงไปคว้าตัวเอาไว้ได้ก่อนที่จะถูกน้ำพัดไปไกลกว่านี้ ขุนเดชพลิกร่างขึ้นมาแล้วก็ต้องตกใจ เมื่อใบหน้าที่เห็นคือดาราหญิงสาวที่เขาเคยรักแต่จำเป็นต้องทิ้งเธอมา
“ดารา”
ขุนเดชอุ้มร่างของดารามาวางที่ริมตลิ่ง
“ดารา…ดารา”
ดาราแน่นิ่งไม่ไหวติง ขุนเดชเอาหูแนบหน้าอกฟังเสียงหัวใจพบว่ายังเต้นอยู่จึงรีบช่วยผายปอดให้จนดาราเริ่มกลับมารู้สึกตัว สำลักน้ำที่กินเข้าไปออกมา ขุนเดชจับพลิกตัวช่วย ระหว่างนั้นเองเสียงเรียกของยงยุทธก็แทรกเข้ามา
“ดารา…ดารา”
เสียงของยงยุทธ ขุนเดชจำได้ดีไม่มีวันลืม ขุนเดชถึงกับอึ้งไปอย่างแปลกใจ
“ไอ้ยงยุทธ”
ขุนเดชแทบไม่เชื่อหูมองทั้งดาราและมองไปทางเสียงที่ยงยุทธกำลังเข้ามา ดารากำลังจะรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมา ขุนเดชจึงตัดสินใจทิ้งดาราเอาไว้แล้วเดินจากไปปล่อยให้ยงยุทธตามเข้ามาพบดาราที่ได้สติพอดี
“ดารา”
“ยงยุทธ”
ดาราตกใจโผเข้ากอดยงยุทธทันทีที่รู้ว่าตัวเองปลอดภัย ยงยุทธกอดปลอบใจดาราแต่สายตากลับมองไปรอบๆ เพราะรู้ดีว่าคนที่ช่วยชีวิตดาราเอาไว้มีเจตนาไม่ต้องการปรากฏตัวให้เขาเห็น และคนที่เจตนาทำแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นคนเดียวเท่านั้น....ขุนเดช
วันต่อมาที่อนามัย ดาราให้หมอน้อยตรวจร่างกายจนเสร็จเรียบร้อย
“ปกติดีทุกอย่างแล้วนะครับอาจารย์ เหลือแต่แผลถลอกตามตัวที่โดนหินบาด หมอจะ นัดให้แวะมาทำความสะอาดแผลแล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
หมอน้อยออกไปเหลือยงยุทธอยู่กับดาราตามลำพัง
“ขอบใจนะยงยุทธ นึกไม่ถึงเลยนะว่าจะได้มาเจอเธอที่นี่ เคยอ่านแต่ผลงานปราบผู้ร้าย ของเธอตามหน้าหนังสือพิมพ์ คิดจะโทรไปทักทายอยู่เหมือนกัน”
“ผมอยู่ไม่ค่อยติดที่หรอกดารา ไล่จับโจรไปทั่ว เพราะอยากเอาพวกคนชั่วเข้าตะรางให้หมด แต่สุดท้ายตัวเองก็ต้องมาถูกแขวนอยู่ที่นี่”
“อย่าพูดเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจแบบนั้นสิ คนดีน่ะตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้นะ” ยงยุทธมองดาราแล้วนิ่งไป “มีอะไรรึเปล่า ดูเธอเหมือนมีอะไรจะบอกชั้น”
“คนที่ช่วยชีวิตดารา ไม่ใช่ผมหรอกนะ”
“อ้าว...แต่ตอนที่ชั้นรู้สึกตัวเธออยู่กับชั้น”
“นั่นน่ะผมไปเจอทีหลัง”
“แล้วคนที่ช่วยชีวิตชั้นเป็นใคร ทำไมเขาถึงไม่อยากให้ชั้นรู้” ดาราถามอย่างสงสัย
“ผมจะพาคุณไปหาเขา”
ดารามองยงยุทธอย่างแปลกใจ
บรรยากาศโบราณสถานแห่งหนึ่ง ขุนเดชกำลังคุมงานพวกชาวบ้านที่มาซ่อมแซม ตากล่ำกับยายแช่ม พาไอ้เถรลูกชายมาฝากงานกับขุนเดช
“ไหว้พี่ขุนเดชเขาสิไอ้เถร”
“สวัสดีจ้ะพี่ขุนเดช”
“ลูกชายชั้นจ้ะพ่อขุนเดช มันเพิ่งพ้นโทษออกมาจากคุก หางานอะไรทำก็ไม่ได้พอเขารู้ว่าเคยผ่านคุกผ่านตะรางมาก็ไม่มีใครอยากรับ”
เถรรำคาญสะกิดพ่อ
“ทำไมต้องไปบอกเขาด้วยล่ะว่าชั้นเคยติดคุกมา เขาจะไม่จ้างชั้นก็ เพราะพ่อพูดมากนี่แหละ”
“หุบปากเอ็งไป ข้าไม่ชอบโกหก”
“ตายายไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ เคยเป็นอะไร ทำอะไรมาชั้นไม่สนใจ ถ้าขยันตั้งใจทำงาน ไม่เดินทางเก่าอีก ชั้นช่วยเต็มที่”
ยายแช่มดีใจ
“รีบไหว้ขอบคุณพี่ขุนเดชเขาซะสิไอ้เถร”
เถรยกมือไหว้ขุนเดช
“ขอบใจนะจ๊ะพี่ขุนเดช” ขุนเดชยิ้มรับ
“ไปกินข้าวกินปลาก่อนแล้วกัน ชั้นจะไปดูเจดีย์ตรงนั้นหน่อย ได้ยินว่าคืนก่อน ไอ้พวกโจรมาลักขุดกรุ ขุดกันจนยอดเจดีย์หัก”
ขุนเดชมีสีหน้าจริงจังขึงขังแล้วเดินออกไป สองตายายหันมากำชับลูกชาย
“ได้ยินที่ขุนเดชบอกแล้วใช่มั้นไอ้เถร อย่าก่อเรื่องอีกเชียวนะ ไม่งั้นข้าจะไม่ช่วยเอ็งอีก”
เถรทำหน้าเซ็งเบื่อพ่อแม่บ่น
ยงยุทธขับรถพาดารามาที่โบราณสถาน พอมาถึงยงยุทธช่วยพยุงดาราลงจากรถ
“พาชั้นมาที่นี่ทำไม แล้วใครที่เป็นคนช่วยชีวิตชั้น ทำไมต้องเป็นความลับด้วย”
“ถามเยอะแบบนี้ เห็นกับตาเอาดีกว่า”
ยงยุทธหันไปมองหาอยู่ครู่ก่อนจะเห็นขุนเดชเดินสำรวจเจดีย์อยู่ไม่ไกล
“นั่นไง...คนที่ผมเคยสัญญาว่าจะตามหามันให้คุณได้เจออีกครั้ง”
ดารามองตามแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นขุนเดชยืนอยู่แต่ขุนเดชยังไม่หันมา
“ขุนเดช”
ยงยุทธรู้สึกเศร้าที่เห็นแววตาดีใจของดาราที่มองขุนเดชด้วยความดีใจ แต่ยงยุทธก็พยายามเต็มที่จะปกปิดความรู้สึกนั้นไว้กับตัว
“ไปสิดารา...ได้เวลาแล้วที่มันควรจะต้องตอบคำถามร้อยแปดที่คาใจคุณมาตลอด”
ยงยุทธดันดาราให้เดินไปหาขุนเดช และมองตามอย่างเสียใจก่อนจะตัดใจกลับไปขึ้นรถจี๊ปแล้วขับออกไปดาราเดินมาหยุดข้างหลังขุนเดช
“ขุนเดช”
ขุนเดชนิ่งไปก่อนจะหันมานิ่งเฉยและเย็นชามาก
“สวัสดีครับอาจารย์ดารา หายดีแล้วเหรอครับ”
ดาราผงะไปกับคำทักทายที่ดูไม่มีความสนิทสนมแบบเมื่อก่อน เวลานี้ขุนเดชดูเย็นชากว่าเมื่อก่อนที่เธอเคยรู้จัก
อ่านต่อหน้าที่ 3
ขุนเดช ตอนที่ 2 (ต่อ)
บรรยากาศภายในแคมป์งานโบราณคดี อาจารย์ประทีปกำลังช่วยทีมงานตรวจดู ทำความสะอาดวัตถุโบราณที่ค้นพบ ยงยุทธเข้ามาเดินดูการทำงานของทีมงานโบราณคดีได้ครู่อาจารย์ประทีปก็หันมา
“สวัสดีครับหมวด”
“สวัสดีครับอาจารย์ประทีป ไม่ทราบว่าอาจารย์ยุ่งอยู่รึเปล่าครับ”
“หมวดมีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ”
“เรื่องเกี่ยวกับขุนเดชน่ะครับ”
“ขุนเดช?”
“ครับ...ได้ยินมาว่าขุนเดชตระเวณไปทั่วประเทศทำงานกับอาจารย์มาหลายปี ผมเลยอยากรู้อะไรบางอย่าง” อาจารย์ประทีปมองยงยุทธอย่างสงสัยว่าทำไมถึงอยากรู้ “ อาจารย์อาจจะจำผมไม่ได้ เพราะตอนนี้ผมเป็นตำรวจแล้ว แต่ตอนนั้นถ้าอาจารย์ไม่มาเจอผมกับไอ้ขุนเดช เราสองคนก็คงไม่รอด”
ประทีปมองยงยุทธอีกครั้งก่อนจะนึกออก
ขุนเดชเดินสำรวจเจดีย์ที่โดนพวกโจรลักขุดกรุจนยอดเจดีย์หัก เพื่อดูว่าจะต้องบูรณะยังไงบ้างในขณะที่ดารา พยายามถามสิ่งที่คาใจ
“ยงยุทธบอกชั้นว่าเธอเป็นคนช่วยชีวิตชั้น แล้วทำไมเธอถึงทิ้งชั้นไว้ล่ะ”
“ผมเห็นว่าฝนกำลังจะตกหนัก กลัวว่าดินจะถล่มที่ถ้ำพระศิลาเลยต้องรีบไปดู”
“แค่นั้นเองจริงๆ เหรอขุนเดช”
“จะเป็นยงยุทธหรือผมที่ช่วยชีวิตอาจารย์ไว้ มันสำคัญด้วยเหรอ”
คำถามนี้ทำให้ดาราถึงกับอึ้ง
“ขุนเดช! เธอหนีหน้าชั้น หนีทุกคนที่เธอรู้จักแล้วหายตัวไปเป็นสิบปี แต่พอได้เจอกันอีก เธอกลับทำเหมือนว่าเราไม่มีอะไรจะคุยกัน เกิดอะไรขึ้นกับเธอบอกชั้นมาสิ” ขุนเดชนิ่งเงียบ “ขุนเดช...เธอรู้มั้ย ก่อนที่พ่อจะเสียพ่อยังถามหาเธอเลยนะ”
“ขอโทษด้วยนะครับอาจารย์ ผมมีงานที่ต้องทำอีกมาก ขุนเดชที่อาจารย์คุยด้วยตอนนี้เป็นหัวหน้าช่างตกแต่งกรุ เป็นลูกจ้างคณะโบราณคดี ไม่ใช่ขุนเดชที่อาจารย์เคยรู้จัก” ขุนเดชปฏิเสธอย่างเย็นชาแล้วหันไปเรียกเถรที่เดินผ่านมา “เถร...ช่วยขับรถพาอาจารย์ดาราไปส่งที่แคมป์ด้วย”
เถรรับคำ ขุนเดชสั่งเสร็จก็เดินออกไป ดารายืนตะลึงกับท่าทีเย็นชาของขุนเดช
ท่ามกลางบรรยากาศป่าวังเวง รกทึบไปด้วยต้นไม้ ขุนเดชเดินหน้าตาขึงขังจริงจังผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ โดยมีเสียงของ อาจารย์ประทีปที่คุยกับยงยุทธดังประกอบ
“ที่นี่เป็นบ้านเกิดของขุนเดช ที่ๆ พ่อของขุนเดชถูกโจรฆ่าตายเหรอครับ”
“ครับหมวด นายเดื่องพ่อของขุนเดชถูกโจรฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตาขุนเดช”
ขุนเดชเดินผ่านดงต้นไม้มาหยุดที่หน้าถ้ำพระศิลา ขุนเดชหยุดนิ่งแววตาแดงก่ำเมื่อมองไปเบื้องหน้า
ขุนเดชเข้ามาในถ้ำที่มืดมิด จุดไฟที่คบจนแสงสว่างจากเปลวไฟค่อยๆ จับไปที่องค์พระศิลาซึ่งเวลานี้เหลือแต่ องค์พระที่ไร้เศียร น้ำตาของขุนเดชไหลอาบลงมาที่แก้ม
“เจดีย์ก็ยอดหัก...พระก็คอขาด ลูกเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ไอ้พวกใจบาปหยาบช้า มันเหมือน ทำปิตุฆาต มันฆ่าพ่อของลูก ไอ้พวกเดนนรก”
ที่บ้านกำนันบุญ กำนันบุญเอาพระพุทธรูปขนาดศอกศิลปะสมัยสุโขทัยขึ้นมาเช็ดถูทำความสะอาด ส่วนสัมฤทธิ์ลูกชาย ของกำนันก็ใช้แว่นส่องพระดูพระพิมพ์ที่เพิ่งได้มาก่อนจะหันไปถามเถรที่มาหา
“เอ็งว่าไอ้พวกอาจารย์จากกรุงเทพฯ พวกนั้น มันไปขุดเจอของดีมาเหรอวะ”
“จ้ะพี่สัมฤทธิ์ ทั้งพระพุทธรูป พระพิมพ์ แต่ละชิ้นสภาพยังดีไม่มีบิ่นไม่มีหักเลย”
“ถ้าไอ้เถรมันเห็นมาไม่ผิด ก็น่าสนนะพ่อ”
“พวกฝีมือดีๆ ตาถึงๆ ที่ข้ารู้จัก ทุกวันนี้มันก็หามาให้ข้าได้ตั้งเยอะแยะ แล้วทำไมข้าถึงต้องสนใจไอ้ขี้คุกอย่างเอ็งด้วยวะ”
“น้ากำนัน...ชั้นไม่ใช่มือใหม่นะจ๊ะ ตอนอยู่ในคุกชั้นสนิทกับพวกเซียนพระ พอมีความรู้ติดตัวอยู่บ้าง”
กำนันบุญมองเถรแล้ววางพระพุทธรูปที่กำลังทำความสะอาดให้เถรดู
“ข้าไม่ชอบพวกขี้คุยว่ะ”
“จ้ะ...” เถรพิจารณาดูแล้วรีบบอก “พระพุทธรูปปางมารวิชัย เนื้อสำริด องค์นี้ดูยังไงก็ไม่ใช่ของสุโขทัย แต่เป็นของอยุธยาจ้ะน้ากำนัน”
“หึๆ แสดงว่าในคุกสอนเอ็งมาดี ไม่เสียทีที่ไปอยู่มานาน ฮ่าๆๆๆ”
กำนันบุญหัวเราะชอบใจ
“แต่ชั้นกับพ่อมีธุระต้องไปกรุงเทพฯ ให้ไอ้นะกับไอ้เณช่วยมันอยู่ทางนี้แล้วกันนะพ่อ”
“ก็ดี...” กำนันบุญหันมาที่สมุนสองคนท่าทางมีฝีมือ “ข้ากลับมาเมื่อไหร่ พวกเอ็งต้องมีของดีให้ข้า เห็นนะเว้ย”
ไอ้นะกับไอ้เณ สองลูกน้องมีฝีมือยิ้มร้ายรับ
ภายในถ้ำศิลา ขุนเดชพนมมือก้มกราบพระศิลา
“พระคุณเจ้า ลูกได้กล่าวปฏิญาณไว้แล้วว่าชีวิตของลูกไม่ได้เกิดมาเหมือนอย่างคนอื่น ลูกเป็นลูกหลานของพระร่วงเจ้า เป็นทหารของพระร่วงมีหน้าที่ปกป้องสมบัติของบรรพบุรุษ แม้ลูกจะต้องก่อบาปก่อกรรม วิญญาณจะมอดไหม้เพราะไฟบัลลัยกัลป์ ลูกก็จะไม่ร้องขอความเมตตา ลูกยินดีชดใช้กรรมที่ก่อในนรกภูมิ”
ขุนเดชกราบองค์พระศิลาแล้วหยิบดาบดำที่เหน็บพกอยู่ที่เอวด้านหลังขึ้นมา ขุนเดชชักดาบดำของพ่อที่หักครึ่ง เพ่งมองด้วยแววตาอันดุดัน
บ้านพักอาจารย์ในบริเวณแคมป์โบราณคดี ฟ้าแลบสลับกับฟ้าร้องครืนๆ ภายในบ้านพักดาราอาบน้ำเสร็จกำลังนั่งเช็ดผมอยู่หน้ากระจกเหม่อคิดถึงแต่เรื่องขุนเดช
หลังจากที่เถรขับรถมาส่งดาราถึงแคมป์ ดาราเดินเข้าไปที่ตัวอาคารและได้ยินเสียงยงยุทธกับประทีปกำลังคุยกันเรื่องขุนเดช ดาราหยุดฟังโดยยงยุทธไม่เห็น
“ที่นี่เป็นบ้านเกิดของขุนเดช ที่ๆ พ่อขอขุนเดชถูกโจรฆ่าตายเหรอครับ”
“ครับหมวด นายเดื่องพ่อของขุนเดชถูกโจรฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตาขุนเดช” ดาราได้ยินเข้าก็ตกใจ
“ตอนนั้นขุนเดชยังแค่ 10 ขวบเลยช็อคหมดสติจำความไม่ได้ โชคดีที่หลวงพ่อสุขไปเจอเข้าก็เลยเอาไปเลี้ยง”
“แต่มันก็ไม่มีเหตุผลที่ขุนเดชจะทิ้งอนาคต ทิ้งพวกผมโดยไม่บอกลาสักคำ”
“ผมคิดว่าขุนเดชอาจจะเหมือนกับนายเดื่องพ่อของเขาที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่องานดูแล โบราณสถาน เลยไม่อยากเอาชีวิตไปผูกติดกับใครให้ต้องเป็นห่วง เป็นภาระ”
ดาราที่ได้ฟังแล้วก็พอเข้าใจว่าทำไมขุนเดชถึงผลักไสเธอ
เมื่อดาราหวีผมเสร็จ ฝนเทลงมาจนหน้าต่างห้องกระแทกปังๆ ดารารีบไปปิดแทบไม่ทัน แต่พอปิดหน้าต่างห้องเสร็จดาราหันไปเห็นน้ำหยดจากรูรั่วบนหลังคาตกลงมาที่โต๊ะทำงานซึ่งมีเอกสารอยู่เต็ม
“ตายแล้ว…งานชั้น”
บัวทองกางร่มหิ้วปิ่นโตเดินฝ่าสายฝนเข้ามาที่บ้านพักอาจารย์ บัวทองรีบขึ้นบันไดมาเคาะประตูเรียกดารา
“อาจารย์ดาราคะ...อาจารย์...อาจารย์”
บัวทองเรียกอยู่ครู่ ดาราก็เปิดประตูออกมาสภาพเนื้อตัวเปียกไปหมด
“ขอโทษนะจ๊ะบัวทอง พอดีชั้นกำลังยุ่งอยู่น่ะจ้ะ”
“แม่ให้บัวทองเอากับข้าวมาให้อาจารย์ค่ะ กลัวว่าดึกๆ อาจารย์ทำงาน แล้วจะหิว”
“ขอบใจนะจ๊ะ แต่ชั้นว่าคืนนี้ชั้นคงไม่ได้ทำงานหรอก”
“ทำไมล่ะคะอาจารย์”
ดารายิ้มแห้งแล้วถอยให้บัวทองดูสภาพห้องของเธอที่มีแต่อ่าง ถ้วย ชามวางเรียงรองน้ำฝนที่ตกลงมาตามรูรั่ว เต็มไปหมดดูแล้วน่าตลกขบขัน
“นี่มันบ้านหรือน้ำตกกันแน่คะอาจารย์”
คืนเดียวกันนั้นที่โบสถ์วัดเกาะน้อย หลวงลุงนั่งสวดมนต์อยู่หน้าองค์หลวงพ่อเพชรทอง พระประธานประจำวัดเกาะน้อย ขุนเดชมานั่งเฝ้าอยู่ข้างหลังหลวงลุง สวดมนต์ก้มกราบหลวงพ่อเพชรทองพร้อมกับหลวงลุง
“จะมารอปิดโบสถ์เหรอไงห๊ะขุนเดช ค่ำมืดๆ แล้วทำไมไม่ไปนอน”
“ข้างนอกฝนกำลังตกครับหลวงลุง กลัวว่าหลวงลุงจะต้องเดินตากฝนกลับกุฏิเลยเอา ร่มมารอรับ”
“ทำงานมาเหนื่อยๆ ทั้งวัน ไปนอนพักเถอะ”
“ผมยังหนุ่มยังแน่น นอนเยอะๆ จะบ่มนิสัยขี้เกียจจนเคยชินครับ”
หลวงลุงมองขุนเดชแล้วส่ายหน้า ขุนเดชยิ้มรับ
ขุนเดชช่วยหลวงลุงปิดโบสถ์และช่วยกางร่มพาหลวงลุงเดินจากโบสถ์กลับไปที่กุฏิ ระหว่างนั้นมีสายตาของใครบางคนที่แอบลอบมองขุนเดชจากหลังพุ่มไม้ ขุนเดชรู้สึกตัวตลอดว่ามีคนแอบมองเขาอยู่ตั้งแต่เขาก้าวเท้าออกจากโบสถ์ ขุนเดชใช้หางตามอง
“มีอะไรเหรอขุนเดช”
หลวงลุงถาม เมื่อสังเกตเห็น
“เปล่าครับหลวงลุง”
ขุนเดชกางร่มแล้วเดินไปกับหลวงลุงต่อโดยรู้ตัวว่ามีคนกำลังจ้องสะกดรอยตามเขา
บัวทองพาดารามาที่บ้าน คำปันยิ้มต้อนรับดารา
“อยู่ด้วยกันที่นี่น่ะดีแล้วค่ะอาจารย์ บ้านพักหลังนั้นเก่าจนซ่อมไม่ไหวแล้ว”
“เกรงใจค่ะน้าคำปัน ขอพักสักคืนก็พอ”
“ศรีสัชนาลัยแปลว่าเมืองของคนดี ที่นี่เรามีอะไรก็ช่วยเหลือกัน แบ่งปันกันตลอดค่ะ เพราะฉะนั้นอาจารย์ห้ามเกรงใจเด็ดขาดนะคะ เดี๋ยวบัวทองเอาของไปเก็บให้”
“ให้บัวทองไปจัดการเถอะค่ะอาจารย์ บ้านน้าห้องหับเหลือเฝืออยู่กันแค่สองคนแม่ลูก อาจารย์มาอยู่ด้วยกัน บัวทองดีใจยิ้มไม่หุบเลย”
“แม่ก็”
บัวทองอาย เขินรีบเอากระเป๋าของดาราเข้าไป
“ลูกโทนก็อย่างนี้แหละค่ะอาจารย์ คงอยากมีพี่สาว”
ดารายิ้มรับรู้สึกดี
ขุนเดชกางร่มเดินกลับที่พักซึ่งเป็นกระท่อมที่ปลูกอยู่ในที่วัดเกาะน้อย ต้นไม้รายล้อม บรรยากาศอึมครึมเมื่อบวกกับสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายก็ยิ่งขับเน้นให้บรรยากาศดูขลัง ขุนเดชเดินมาจนเกือบถึงกระท่อมแล้วหยุดยืนนิ่งเพราะเสียงฝีเท้าที่เดินตามเขามาตลอดทาง
“เลิกสะกดรอยตามข้าซะที มีอะไรก็โผล่หน้าออกมาอย่าทำตัวเป็นหมาลอบกัด”
เท้าคู่หนึ่งก้าวออกมาจากความมืด มือถือดาบที่วาววับปลายดาบชี้ลงดินสายฝนที่ตกลงมาผ่านตัวดาบหยดน้ำลงบนพื้นไม่ขาดสาย ขุนเดชไม่ต้องหันหลังกลับไปก็รู้ตัวว่ามีคนกำลังใช้ดาบบุกจู่โจมหาเขา เท้าคู่นั้นวิ่งเหยียบแอ่งน้ำจนกระเซ็นปรี่เข้ามาหา มือของขุนเดชเลื่อนไปจับที่ดาบดำซึ่งยังอยู่ในปลอก เมื่อมันจู่โจมเข้ามาถึงตัวก็ใช้ทั้งปลอกดาบรับคมดาบที่ฟาดฟันลงมา...ฉับ !!
ขุนเดชประจันหน้าผู้ที่หมายจะสู้แล้วตกใจเมื่อไม่ใช่ใครที่ไหน
“ไอ้ยงยุทธ !”
“ยังไวอยู่เหมือนเดิมนะไอ้ขุนเดช”
ยงยุทธพูดไปก็ออกแรงกดดาบทุ่มไปสุดตัว ขุนเดชทรุดตัวเพราะแรงกดยังตกใจไม่หาย
“นี่มันอะไรกันวะไอ้ยงยุทธ”
“วัดฝีมือไง ว่าแกกับชั้นใครจะแน่กว่ากัน”
“นี่แกจะบ้าเหรอไง”
“ถ้าชั้นบ้า แกมันก็บ้าพอๆ กับชั้นมาตั้งนานแล้วเว้ยไอ้ขุนเดช”
ยงยุทธถีบยอดอกใส่ขุนเดชจนกระเด็นล้มกลิ้งเปื้อนน้ำเปื้อนโคลนไปทั้งตัว ยงยุทธควงดาบด้วยเชิงดาบอันสวยงามแล้วกวักมือให้ขุนเดชลุกขึ้นสู้ ขุนเดชปาดสายฝนที่โชกหน้าแล้วลุกขึ้น จ้องยงยุทธตาเขม็ง
จบตอน 4
ขุนเดช ตอน 5.1
ดาราเอาของใช้ส่วนตัวออกจากกระเป๋า แล้วจัดที่หลับที่นอน บัวทองหอบเอาหมอนผ้าห่มมาให้
“ที่นี่ตกกลางดึกหนาวเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ถ้าใช้ผ้าห่มผืนนี้รับรองอุ่นหลับสบาย”
ดาราดูลายผ้า
“สวยจัง...ผ้าทอเองเหรอบัวทอง”
“จ้ะ”
“เก่งจังเลยนะ เห็นน้าคำปันว่าเรียนรำมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วไหนจะทอผ้าสวยๆ ได้อีก”
“แม่เขาเป็นกุลสตรีจ้ะ บัวทองก็เลยโดนแม่บังคับทั้งเรียนรำ ทั้งทอผ้าตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก แล้วรำไม่สวยก็โดนตีมือ ทอผ้าไม่งามก็ดึงหู เห็นยิ้มหวานแบบนั้นน่ะแต่ดุจะตาย”
คำปันเดินเข้ามา
“แอบนินทาแม่เหรอบัวทอง เดี๋ยวเถอะ นินทาบุพการีเดี๋ยวก็ได้เป็นเปรตหรอก”
“นินทาอะไรล่ะจ้ะแม่จ๋า สรรเสริญต่างหาก”
“เรานี่นะ...กะล่อนเป็นเด็กผู้ชาย พอได้แล้วให้อาจารย์เขาพักผ่อน”
“จ้า”
คำปันเดินออกไป ดาราอมยิ้มกับความน่ารักของบัวทอง ในขณะที่บัวทองพอเห็นแม่ออกไปแล้วก็ขยับเข้ามา ถามอาจารย์ดาราเบาๆ อย่างอยากรู้
“อาจารย์คะ...คือว่า...ตอนที่เกิดเรื่องกับอาจารย์ บัวทองได้ยินมาว่าผู้หมวด อาจารย์แล้วก็พี่ขุนเดชเคยรู้จักกันมาก่อน จริงรึเปล่าคะ”
ดารานิ่งไปครู่ก่อนจะยิ้มรับ
“จ้ะ...พวกเราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน”
ดาราตอบบัวทองไปแต่สีหน้าของดารากลับดูมีความเศร้าที่ต้องพูดถึงมิตรภาพในครั้งเก่า
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย ขุนเดชจ้องเขม็งที่ยงยุทธซึ่งตั้งท่าเชิงดาบเตรียมวัดเชิงฝีมือกับขุนเดช
“จดๆ จ้องๆ อยู่นั่นแหละ ผ่านไปสิบปีขอดูหน่อยเถอะวะว่าฝีมือแกยังใช้ได้อยู่รึเปล่า”
“แกอย่ามาเสียเวลาเลยยงยุทธ ชั้นเลิกแล้ว”
ขุนเดชเหน็บดาบดำคืนที่เดิมแล้วเดินไปเก็บร่ม ยงยุทธแปลกใจ
“หมายความว่ายังไง ที่ลุงเถินสอนแกมาทั้งหมด แกทิ้งไปแล้วเหรอ”
“อยู่ที่นี่ชั้นไม่จำเป็นต้องใช้วิชาพวกนั้น”
“ชั้นไม่เชื่อ ถ้าแกเลิกจริง แกคงไม่เหน็บดาบเดินไปเดินมาอยู่แบบนั้นหรอก”
ยงยุทธกำดาบแน่นแล้วปรี่เข้าไปทั้งจ้วง แทง ฟัน ขุนเดชได้แต่ถอยหลบทุกกระบวนท่าที่ยงยุทธโถมเข้าใส่
“พอซะทีเถอะวะไอ้ยงยุทธ ชั้นบอกว่าชั้นเลิกหมดแล้วไง”
“คนที่เลิกฝึกเชิงดาบไปเป็นสิบปี ไม่มีทางหลบพ้นคมดาบที่เพิ่งไล่ฟันใส่แบบเมื่อ กี้ได้หรอกเว้ย” ขุนเดชชะงัก ยงยุทธตวัดดาบใส่คราวนี้ขุนเดชหลบไม่พ้น คมดาบฟันเข้าไปที่ต้นแขนเล่นเอาเลือดซิบ “ชักดาบออกมาขุนเดช ในฐานะเพื่อนที่โดนแกทิ้งมาโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา ชั้นขอสั่งสอนความใจดำของแกหน่อยเถอวะ”
“ชั้นสู้แกไม่ได้แล้วไอ้ยงยุทธ”
“ไม่เชื่อเว้ย!”
ยงยุทธควงดาบไล่ฟาดฟัน ขุนเดชต้องใช้ดาบดำที่ไม่ได้ชักออกจากปลอกตั้งรับอย่างเดียว จนในที่สุดก็โดน ยงยุทธตวัดดาบใส่จนทำให้ดาบดำในมือกระเด็นตกพื้น ยงยุทธชักสงสัยว่าทำไมขุนเดชถึงสู้เขาไม่ได้เลย ยงยุทธเข้าไปหยิบดาบดำของขุนเดชขึ้นมาแล้วชักดาบดำออกจากฝัก ยงยุทธเห็นดาบดำที่หักเพียงครึ่งไร้ซึ่งความคมใดๆ ยงยุทธถึงกับผงะแปลกใจ
“ดาบหัก? นี่แกพกดาบหักเดินไปเดินมาเหรอ”
“ชั้นรู้ว่าแกกับดาราโกรธชั้น แต่ในเมื่อแกเห็นดาบเล่มนี้แล้ว แกก็น่าจะเข้าใจชั้น”
ยงยุทธมองขุนเดชอย่างสงสัย
อ่านต่อหน้าที่ 4
ขุนเดช ตอนที่ 2 (ต่อ)
ฝนหยุดตกเหลือเพียงแค่หยาดฝนที่หยดลงมาตามหญ้าแฝกที่มุงหลังคากระท่อม ยงยุทธได้ผ้าสะอาดๆ มาเช็ดหน้าเช็ดหัวที่เปียกและมองสำรวจภายในกระท่อมที่ขุนเดชอาศัยอยู่ ภายในกระท่อมไม่มีเครื่องเรือนอะไรมากมายนอกจากแคร่ เสื่อ หมอนและตู้เก็บเสื้อผ้าเก่าๆ นอกนั้นก็มีเตา หลอมเหล็ก บ่อดินเหนียว และอุปกรณ์สำหรับหล่อพระพุทธรูปที่ตั้งเรียงรายอยู่ในกระท่อม
“แกทิ้งเชิงดาบเชิงมวยของลุงเถินไปหมด แต่วิชาความรู้เรื่องหล่อพระ แกยังไม่เลิกนี่”
“แกอยากได้สักองค์มั้ยล่ะ จะได้เอาไปให้หลวงลุงปลุกเสกไว้บูชาที่โรงพัก”
“ไว้วันหลังจะมาเอาว่ะ ว่าแต่เรื่องพ่อของแก แกน่าจะบอกพวกชั้น”
“ถ้าชั้นบอกว่าจะทิ้งอนาคตเพื่อมาเป็นลูกจ้างขุดแต่งกรุ เดินทางไปทั่วประเทศ ไม่มีที่ อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีเวลาให้ใครแม้แต่ตัวเอง ชั้นกลัวว่าจะโดนห้ามจนเกิดเปลี่ยนใจ”
“แต่ชั้นว่าไม่จำเป็นที่แกต้องเดินวัดรอยเท้าพ่อของแกนี่หว่า เป็นอย่างอาจารย์ประทีป แกก็ยังรักษามรดกของชาติได้เหมือนกัน”
“ยงยุทธ...แกก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน ถ้าแกได้รู้ว่าพ่อแกเป็นคนยังไง รักแกมากกว่าชีวิต เขาเอง แกจะทำเหมือนชั้นเปล่า”
ยงยุทธนิ่งไป
“เออว่ะ งั้นชั้นขอโทษด้วยที่เล่นงานซะแกได้เลือด เอาเป็นว่าเรื่องคดีฆาตกรรมของพ่อแก ชั้นจะช่วยรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง”
ขุนเดชชะงักไป
“ไม่ต้องหรอกยงยุทธ”
“ไม่ได้ว่ะเพื่อน ความยุติธรรมมันอยู่ในมือชั้นแล้วถ้าชั้นใช้เรียกร้องมาให้แกไม่ได้ ชั้นก็ไม่ควรสวมเครื่องแบบตำรวจอีก และก็ไม่สมควรเป็นเพื่อนแกด้วย”
ยงยุทธตบบ่าขุนเดชที่รู้สึกหนักใจขึ้นมาโดยไม่แสดงสีหน้าให้ยงยุทธรู้
ขุนเดชถอดเสื้อออกเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ และซิคแพ็คที่เกิดจากการหมั่นฝึกฝนร่างกาย บนร่างกายมีร่องรอย บาดแผลจากการต่อสู้ที่ดูแล้วผ่านการสู้มาอย่างโชกโชน ขุนเดชเดินผ่านดาบดำของพ่อแล้วไปเปิดตู้เสื้อผ้าล้วงมือเข้าไปด้านบนของตู้ซึ่งใช้เป็นที่ซุกซ่อนดาบดำอีกเล่ม เมื่อชักดาบออกมาเห็นความคมกริบของดาบดำที่ได้มาจากลุงเถิน
ไฟที่เตาหลอมเหล็กคุโชนร้อนแรง แสงสีแดงสว่างวาบๆ ขุนเดชควงดาบดำด้วยเชิงดาบอันดุดันและน่าเกรงขาม แตกต่างจากที่สู้กับยงยุทธไปเป็นคนละคน คมดาบดำฟาดฟันเข้าใส่เสาไม้ที่ขุนเดชใช้ซ้อมฝีมือ...ฉับ! เสาไม้ขาดครึ่งเหมือนแตงกวาถูกหั่น ใบหน้าของ ขุนเดชดุดันแววตาน่ากลัว
ขุนเดชนึกถึงอดีตที่โรงตีดาบเก่า ขุนเดชอยู่หน้าเตาหลอมเหล็กที่ไฟกำลังคุโชน เพ่งมองดาบดำที่ได้มาจากลุงเถินก่อนจะยกมือพนมไหว้
“ข้าน้อยขุนเดช กราบขอขมาครูบาอาจารย์และวิญญาณบรรพบุรุษ จากนี้ไปจะขอหลอมหัวใจขึ้นมาใหม่ให้แข็งแกร่งกว่าเดิม”
ขุนเดชพนมมือไหว้แล้วปักดาบลงไปในเตาหลอม ไฟคุโชนร้อนแรง ขุนเดชหน้าตาขึ้งขังจริงจัง
ขุนเดชตีดาบดำขึ้นมาใหม่ด้วยความตั้งใจ เสียงตีดาบและประกายไฟ ผสมผสานกับเม็ดเหงื่อที่โทรมกาย แต่ขุนเดชก็ไม่ย่อท้อมุ่งมั่นทั้งตีและลับคม จนในที่สุดก็ได้ดาบดำเล่มใหม่ที่มีความสวยงามและคมกว่าดาบดำเล่มเดิม
บริเวณป่าแถบชายแดนรอยต่อจังหวัดสุรินทร์ กลุ่มโจรกำลังซื้อขายทับหลังวัตถุโบราณอันล้ำค่าที่ลักมาจากปราสาทขอมให้กับนายหน้าที่มารับซื้อ พวกโจรนั่งนับเงินกันเพลิน ส่วนนายหน้าก็ชื่นชมความงามของทับหลัง ระหว่างนั้นเสียงฝีเท้าม้าดังเข้ามากุบกับๆ พวกมันหันไปเห็นเป็นชายลึกลับมีผ้าขาวม้าพันหน้านั่งอยู่บนหลังม้า
“เฮ้ย...ใครวะ”
“ทับหลังนั่นไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของใคร มันเป็นของแผ่นดิน รีบเอากลับไปคืนที่ซะ”
“สะเออะไม่เข้าเรื่องอย่างเอ็งมันรนหาที่ตาย”
พวกโจรชักปืนเล็ง ขุนเดชควบม้าวิ่งผ่านพวกมันไปอย่างรวดเร็ว พวกมันยิงปืนใส่ไล่หลังแต่ไม่โดนสักนัด
“อย่าให้มันหนีไปได้ ไม่งั้นมันไปบอกตำรวจแน่”
พวกโจรกับนายหน้ารีบขึ้นรถจี๊ปขับไล่ตามทันที
พวกโจรกับนายหน้าขับรถไล่ตามมาบนถนนลูกรัง พวกมันเหยียบคันเร่งจนฝุ่นตลบ แต่แล้วพวกมันก็ต้องร้อง เสียงหลงแล้วรีบเบรครถ
“เบรคทำไมวะ”
“ตะปูเรือใบ มันวางกับดักเรา”
พวกโจรรีบลงจากรถเห็นตะปูเรือใบเต็มถนน ล้อหน้ารถโดนตะปูเรือใบจนแบนแต๊ดแต๋
เสียงม้าควบตะบึงเข้ามาขุนเดชตวัดดาบดำในมือจู่โจมใส่พวกมันโดยไม่ทันตั้งตัว ทีเดียวเล่นงานฟันเข้ากลาง หลังโจรเสร็จไปหนึ่งกับนายหน้าอีกคน...อ๊ากกกกกกก
โจรที่เหลือตกใจชักปืนยิงใส่...เปรี้ยงๆๆๆ แต่ขุนเดชก็ควบม้าหนีลัดเลาะเข้าไปในป่าข้างทาง พวกโจรเจ็บใจที่เห็นพรรคพวกโดนฆ่าตายไป พวกมันรีบเติมกระสุนแล้วไล่ตามเข้าไปในป่าทันที
ภายในป่าที่มีต้นไม้ขึ้นเต็ม พวกโจรพร้อมกับปืนเต็มสองมือกะเปิดศึกกับศัตรูที่มองไม่เห็นเต็มที่ พวกมันเดินอย่างเงียบเชียบและเงี่ยหูฟังจนได้ยินเสียงม้าเดินจึงรีบหันปืนใส่ทันที...ฟั่บ ! เจอแต่ม้าที่เดินอยู่ตัวเดียว แต่ชายลึกลับไม่อยู่บนหลังม้า
โจรเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความสงสัยและมันก็ติดกับดักจนได้ เชือกที่ทำเป็นบ่วงรัดข้อเท้าและดึงร่างให้ขึ้นไปห้อยโต่งเต่ง โจรอีกคนรีบเข้าไปช่วยโดยไม่เห็นว่าขุนเดชได้เข้ามายืนข้างหลังมันแล้ว
“ข้างหลัง...มันอยู่ข้างหลัง”
โจนตะโกนบอกเพื่อน โจรตกใจหันกลับไปพร้อมปืนแต่ก็ไม่ทันได้สู้เพราะขุนเดชตวัดดาบดำฟาดฟันเข้าใส่ทีเดียวแสกตั้งแต่หน้าผาก ยันกลางอก...อ๊ากกกกกก
โจรที่ห้อยต่องเต่งร้องเสียงหลงช่วยด้วยๆ ขุนเดชก้าวเข้ามาถอดผ้าขาวม้าที่คลุมหน้าออก
“ปล่อย…ปล่อยข้าเถอะ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะรีบเอาของที่ขโมยมาไปคืนที่เดิม”
“มันสายไปแล้ว ไอ้เดนมนุษย์”
ขุนเดชเงื้อดาบดำขึ้น โจรร้องเสียงหลง…อย่า!!!
บริเวณเต๊นท์ทีมงานสำรวจ ขุนเดชจูงม้ามาเข้าคอกให้น้ำให้หญ้า เสียงอาจารย์ประทีปคุยกับผู้ช่วย อยู่ไม่ไกลจากขุนเดชเท่าไหร่
“ว่าไงนะ เจอทับหลังที่โดนขโมยไปแล้วเหรอ”
“ครับอาจารย์ พวกชาวบ้านไปเจออยู่ในป่าพร้อมกับศพพวกหัวขโมย เห็นว่าศพโดน ฟันซะเละเลยครับ”
ประทีปนิ่งคิดอยู่ครู่
“อีกแล้วเหรอเนี่ย น่าแปลก ทุกที่ที่คณะสำรวจโบราณสถานของเราเดินทางไป มักจะมีเรื่องแบบนี้ทุกครั้ง”
ขุนเดชเดินเข้ามา
“แล้วไม่ดีเหรอครับอาจารย์ โจรพวกนั้นไม่ค่อยกลัวกฏหมาย เจอแบบนี้ซะบ้าง จะได้เข็ด”
“แต่บ้านเมืองมีขื่อมีแป อาจารย์ไม่สนับสนุนกฏหมู่เหนือกฏหมาย”
อาจารย์ประทีปบอกขุนเดชเสร็จก็เดินออกไปพร้อมกับผู้ช่วย ขุนเดชมองตามสีหน้าเคร่งขรึม
ขุนเดชยืนมองกองไฟในเตาหลอมที่คุโชนแววตาดุดัน เหงื่อจากความร้อนที่เกิดขึ้นขับให้กล้ามเนื้อ เป็นมัดๆเกิดเงาประกาย
“กฏหมายใช้ได้แต่กับพวกที่มีสามัญสำนึก พวกสันดานโจรที่แม้แต่พระแต่เจ้า มันยังลักตัดเศียรได้ พวกสิ้นศรัทธาอย่างมันต้องศาลเตี้ยเท่านั้นถึงจะเอาพวกมันอยู่”
รถเก๋งคันหรูของรัฐมนตรีปราชญ์ขับมาตามถนนยามค่ำคืน หมอกลงจัดจนทำให้ถนนดูวังเวงน่ากลัว ภายในรถรัฐมนตรีปราชญ์นั่งมากับประดับที่เป็นเลขาส่วนตัว และมีคนขับรถขับให้
“งานเลี้ยงแจกทุนพรุ่งนี้...ถ้างดไม่ได้เธอก็ไปแทนชั้นแล้วกัน”
“ท่านจะให้ผมเลื่อนนัดกับกำนันบุญขึ้นมาเร็วขึ้นมั้ยครับ”
ปราชญ์พยักหน้ารับ ก่อนจะมองไปที่หน้ารถเห็นมีพระสงฆ์องค์หนึ่งยืนขวางอยู่กลางถนน
“หยุดรถ...หยุดรถ” ปราชญ์บอกอย่างตกใจ
คนขับรถตกใจเบรค...เอี๊ยดดดด
“มีอะไรเหรอครับท่าน” ประดับถามอย่างแปลกใจ
“นี่พวกแกไม่เห็นเหรอไง”
“เห็นอะไรครับท่าน”
“ก็พระสงฆ์ที่ยืนอยู่กลางถนนนั่นไง”
ประดับกับคนขับรถมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ทั้งคู่มองไปที่หน้ารถเห็นแต่ถนนโล่งๆ และหมอกที่ลงจัด
“ท่านครับ นี่ดึกแล้วนะครับ แถวนี้ก็ไม่มีวัด จะมีพระมายืนกลางถนนได้ยังไง”
“แต่ชั้นเห็นจริงๆ ชั้นไม่ได้ตาฝาด”
ปราชญ์พูดไปก็รีบเปิดประตูรถออกไปทันที
ปราชญ์รีบเดินออกมาที่กลางถนนพยายามมองหา
“ชั้นเห็นจริงๆ ชั้นไม่ได้ตาฝาด” ปราชญ์มองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นพระสงฆ์องค์หนึ่งยืนอยู่ที่ข้างทาง “นั่นไง! แกไม่เห็นเหรอ พระองค์นั้นไง”
ประดับพยายามมองแต่ก็ไม่เห็น
“ไม่มีนี่ครับท่าน...ผมไม่เห็นอะไรเลย”
“โธ่เว้ย”
ปราชญ์รีบเดินตามพระสงฆ์องค์นั้นที่เดินหายเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง
“ท่านครับ...ท่าน!”
ปราชญ์รีบตามพระสงฆ์เข้ามาหยุดที่พงหญ้ารกๆ พระสงฆ์โผล่เข้ามายืนข้างหลังทำเอาตกใจ
“ของนั่นไม่ใช่ของโยม คืนเขาไปเถอะ”
“ท่านพูดอะไร ของอะไร”
“เจ้าของเขาหวง คืนเขาไปซะ”
พระพูดเสร็จก็ชี้ไปข้างหลังปราชญ์ จึงเห็นคนโบราณหน้าตาถมึงถึง ตาลึกโบ๋ น่ากลัวโผล่เข้ามายืนข้างหลังปราชญ์ ปราชญ์หันไปเห็นตกใจร้องเสียงหลง
“ไม่...ไป...ไปให้พ้น อย่าเข้ามา”
ปราชญ์พยายามวิ่งหนีหกล้มคลุกคลาน คนโบราณเดินเข้าหาอย่างเอาเรื่อง ประดับรีบเข้าไปมา
“ท่าน...ท่าน...”
พอประดับเข้ามาคนโบราณก็หายตัวไป ปราชญ์ยังตกใจไม่หาย
“ออกไป อย่าเข้ามา”
“ท่านครับ...นี่ผมเองครับ ผมประดับครับท่าน”
ปราชญ์ค่อยได้สติ
“ประดับ...” ปราชญ์หันรีหันขวางมองไปรอบๆ ไม่เจอทั้งพระและคนโบราณ
“เกิดอะไรขึ้นครับท่าน”
“ประดับ...พรุ่งนี้รีบตามอาจารย์ก้องเกียรติมาพบชั้นด่วน”
วันต่อมาภายในห้องเก็บสะสมวัตถุโบราณของปราชญ์มีวัตถุโบราณทุกชนิด สะสมไว้มากมายโดย เฉพาะพวกเศียรพระพุทธรูปราวกับพิพิธภัณฑ์
อาจารย์ก้องเกียรตินั่งสมาธิพนมมือสวดมนต์พร้อมเครื่องบูชา อยู่หน้าองค์พระพุทธรูปสำริดโบราณปางนาคปรกองค์หนึ่ง ปราชญ์นั่งอยู่ข้างหลังประกบติด เสียงสวดมนต์ขมุบขมิบของก้องเกียรติทำให้เกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนไปทั่วห้องก่อนที่ทุกอย่างจะสงบ
“เรียบร้อยแล้วครับท่าน วิญญาณเจ้าของเดิมจะไม่มารบกวนท่านอีก”
“แน่ใจนะอาจารย์”
“ก็อย่างที่ผมเตือนท่านเสมอ ถ้าคิดจะสะสมของพวกนี้เพื่อเสริมบารมี ท่านต้องหมั่นสวดมนต์คาถาป้องกันภัยและสร้างอำนาจกำกับไว้ด้วย”
“ช่วงนี้งานผมยุ่ง คุณก็รู้ว่าถ้าผมรักษาเก้าอี้ไว้ไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น พวกจ้องเล่นงานผมมีรออยู่เยอะ”
“ถ้าจะให้ผมเรียนท่านตรงๆ ท่านควรจะต้องมีบารมีมากกว่านี้”
“ของที่ผมสะสมมาทั้งหมด ยังไม่พอช่วยผมอีกเหรอ”
“ถ้าสิ่งที่ท่านคาดหวังไว้ หมายถึงเก้าอี้สูงสุดของประเทศ แค่นี้ไม่พอหรอกครับท่าน”
ปราชญ์มองก้องเกียรติอย่างสนใจมากๆ
“คุณพอมีวิธีช่วยผมมั้ยล่ะ”
“ผมจะลองค้นคว้าดูว่าพอจะมีทางไหนช่วยท่านได้”
ประดับเดินเข้ามา
“ท่านครับ กำนันบุญมาแล้วครับ”
“ให้ขึ้นมาเลย...อาจารย์ ช่วยอยู่ตรวจดูของให้ผมด้วยกันก่อนนะ”
อาจารย์ก้องเกียรติใช้แว่นขยายตรวจสอบแจกันโบราณที่กำนันบุญเพิ่งนำมาให้ปราชญ์
“แท้ครับท่าน ของดีไม่มีตำหนิ ศิลปะหริภุญชัย น่าจะอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18”
“สมกับเป็นอาจารย์ก้องเกียรติจริงๆ ครับ มองแป๊บเดียวก็รู้ แจกันอันนี้ผมได้มาจาก ป่าลึกในลำพูน กว่าจะเอาออกมาได้ต้องเสียลูกน้องไปสองคนเพราะไข้มาเลเรีย”
“หึๆๆ เข้าใจปั่นราคานี่กำนัน”
กำนันบุญชะงัก
“ผมทำงานรับใช้ท่านมานาน เรื่องเงินเรื่องทองผมไม่เคยคิดหรอกครับ รู้ว่าท่าน ชอบต่อให้หายากแค่ไหนผมก็ต้องเสาะมาให้ได้”
“ขอบใจมากกำนัน ยังไงชั้นก็ไม่มีวันลืมความดีความชอบของกำนันหรอก”
กำนันบุญยิ้มรับ ส่วนปราชญ์เอาแจกันที่เพิ่งได้มาใหม่ไปตั้งวางที่แท่นโชว์ใกล้กับเศียรพระศิลา
“ของที่กำนั้นหามาให้ชั้น ชั้นชอบทุกชิ้น แต่ที่ชั้นชอบมากที่สุดก็คงเป็น...เศียรพระศิลาที่กำนันเอามาให้ชั้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว” ปราชญ์เข้าไปหยุดที่หน้าเศียรพระศิลา มือลูบคลำอย่างลุ่มหลงมาก “เพราะนอกจากความงดงามของศิลปะสุโขทัยแล้ว ชั้นยังรู้สึกว่าพระศิลามีความแข็งแกร่งและน่าเกรงขามซ่อนอยู่ในพระเนตรที่เพ่งมองชั้น”
ขุนเดชยืนตกปลาอยู่ริมตลิ่ง บัวทองเซ้าซี้ถามเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ใกล้ๆ
“ทำไมพี่ขุนเดชไม่เล่าให้ชั้นฟังเลยว่าพี่กับอาจารย์ดาราแล้วก็หมวดยงยุทธเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน”
“ก็แล้วทำไมพี่ต้องเล่าให้ฟังด้วยล่ะ”
“ทีพี่ยังอยากรู้เลยว่าชั้นรำอะไรได้บ้าง”
“ถ้าไม่มีญาติโยมมาถามพี่เพราะอยากจ้างเราไปรำแก้บน พี่ก็ไม่ได้อยากรู้นะ”
“พี่ขุนเดช” บัวทองเข้าไปทุบขุนเดชใหญ่ “นี่แน๊ะๆๆ พี่ขุนเดชบ้า”
“เบาๆ สิบัวทอง เดี๋ยวปลาตื่นหนีหมด อดเอาไปให้น้าคำปันทำกับข้าวนะ”
“ไม่มีปลาไปทำกับข้าว ชั้นไม่อดหรอกกินผักนึ่งจิ้มน้ำพริกอย่างเดียวก็ได้ แต่พี่ขุนเดชนั่นแหละที่ต้องอดกินปลา”
บัวทองแย่งเอาข้องใส่ปลาของขุนเดชที่จับมาได้ก่อนหน้านี้เทลงไปในคลองทีเดียวหมดข้อง
“บัวทอง นั่นมันปลาที่พี่จับมาได้นะ อยากโดนพี่ตีมือหักใช่มั้ย”
“เชอะ...ไม่สน ไม่กลัว”
บัวทองหมั่นไส้สะบัดหน้าแล้วรีบเดินหนี แต่เพราะรีบมากเลยลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า....ว้ายยยย
ขุนเดชเห็นบัวทองล้มก้นกระแทกก็อดขำไม่ได้ บัวทองหันมาตาขวางทั้งอายทั้งเสียหน้า
“บ้า...พี่ขุนเดชบ้าที่สุด”
บัวทองรีบลุกแล้วเดินปั้นปึ่งกลับไป ขุนเดชมองตามแล้วยิ้มไปกับความน่ารักของบัวทอง
บัวทองเอาปิ่นโตมาให้ดาราในบริเวณแคมป์งาน บัวทองเปิดปิ่นโตไปด้วยบ่นไปด้วย
“พี่ขุนเดชน่ะทั้งชอบแกล้งบัวทอง ทั้งพูดจากวนประสาท แถมยังชอบหัวเราะเยาะ บัวทองอีกด้วย”
ดาราแปลกใจกับสิ่งที่บัวทองเล่าให้ฟัง
“นี่เราพูดถึงขุนเดชคนเดียวกันรึเปล่าจ้ะบัวทอง”
“ในศรีสัชฯ นี่จะมีใครชื่อแปลกๆ อย่างพี่ขุนเดชอีกล่ะคะอาจารย์”
“นั่นสิ...แต่เท่าที่พี่รู้จักขุนเดช เขาน่ะเสือยิ้มยากจะตาย พูดก็น้อย ถ้าไม่ถามก็ไม่พูด ถ้าจะให้เขาพูดเยอะๆ ก็ต้องชวนคุยเรื่องโบราณสถานอย่างเดียว”
“จริงเหรอคะอาจารย์...นี่แสดงว่าพี่ขุนเดชต้องไม่ชอบหน้าบัวทองแน่ๆ เลย ถึงชอบหาเรื่องตลอด”
“ไม่หรอกจ้ะ ขุนเดชเขาเป็นคนดี ไม่เคยโกรธใครง่ายๆ คนที่ทำให้เขาโกรธได้คนนั้นต้อง ไม่ใช่คนดีแน่นอน น่ารักอย่างบัวทองขุนเดชโกรธไม่ลงหรอก”
“ชมบัวทองแบบนี้ก็เขินแย่สิอาจารย์”
ส่วนที่บ้านปราชญ์ สัมฤทธิ์แอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ กับสระว่ายน้ำ ปารมี ลูกสาวของปราชญ์ เดินเข้ามาในชุดว่ายน้ำตามยุคสมัย สัมฤทธิ์เห็นเรียวขายาวๆ ขาวๆ และหน้าอกหน้าใจที่อวบอิ่มเกินเด็กสาววัยเดียวกันก็ตื่นตาตื่นใจ
“แม่เจ้าโว้ย สาวกรุงเทพฯนี่มันอะร้าอะร่าม สวยกว่าบ้านนอกซะจริง” สัมฤทธิ์ออกอาการหื่นจ้องตาไม่กระพริบ ยิ่งปารมีนั่งหย่อนขากวักน้ำจากสระขึ้นมาลูบไล้แขนขาก็ยิ่งหื่น “ชักอยากเป็นเขยรัฐมนตรีแล้วสิวะ”
แต่สัมฤทธิ์เพ้อได้ไม่เท่าไหร่ ก็ถูกกระชากคอเสื้อจากด้านหลังอย่างแรงเหวี่ยงจนกระเด็น
“มึงเป็นใครวะ กล้าดียังไงมาถ้ำมองคุณปา”
เสียงดังโวยวายของประดับทำให้ปารมีรีบเอาเสื้อคลุมมาสวมแล้วรีบเดินมาดู
“มีเรื่องอะไรกันน่ะนายประดับ”
“ผมเจอไอ้นี่มันมาถ้ำมองคุณปาอยู่ครับ”
“ถ้ำมอง...อ๊าย ไอ้บ้า ไอ้สารเลว”
ปารมีปรี่เข้าไปตบตีไม่ยั้ง สัมฤทธิ์รีบปัดป้อง
“ผมเปล่านะครับ ผมไม่ใช่ถ้ำมอง ผมเป็นแขกของท่าน บังเอิญเดินผ่านมาแถวนี้เฉยๆ”
ประดับกระชากคอสัมฤทธิ์
“หน้าตาไอ้บ้านนอกอย่างแกเนี่ยนะแขกของท่าน ถุย...ไอ้กระจอกเอ้ย”
ประดับชกเปรี้ยงเข้าดั้งจมูกทีเดียวสัมฤทธิ์เลือดโชก สัมฤทธิ์เจ็บใจเพราะนักเลงบ้านนอกเหมือนกัน รีบเปิด ชายเสื้อชักปืนที่เหน็บเอาไว้ออกมา
“ดูถูกไอ้สัมฤทธิ์เท่ากับหาเรื่องตายเหมือนกันเว้ย”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้สัมฤทธิ์”
สัมฤทธิ์ชะงักเห็นกำนันบุญเดินเข้ามาพร้อมกับปราชญ์และก้องเกียรติ
ที่ห้องโถง กำนันบุญตบหน้าสัมฤทธิ์ฉาดใหญ่...เพี๊ยะ สัมฤทธิ์หน้าหันเจ็บมาก
“ขอโทษท่าน ขอโทษคุณหนูแล้วก็เลขาของท่านด้วย”
“แต่...”
“ไม่ต้องมาแต่...ขอโทษเดี๋ยวนี้”
สัมฤทธิ์จำเป็นต้องทำเพราะพ่อสั่ง เดินเข้าไปยกมือไหว้ขอโทษเรียงคน ปารมีเชิดใส่ดูถูกสุดฤทธิ์ ส่วนประดับ ก็มองหน้าสัมฤทธิ์อย่างเย้ยหยัน
“ท่านอย่าเอาความลูกผมเลยนะครับ นิสัยมันมุทะลุ แต่ฝีมือมันดีช่วยให้ผมตามหาของดีๆ มาให้ท่านได้หลายชิ้นแล้ว”
“ช่างเถอะ...ก็แค่เด็กทะเลาะกัน” ปราชญ์ยกมือโบกไล่ กำนันบุญหันไปพยักหน้าให้สัมฤทธิ์รีบออกไป “ดูแลลูกชายดีๆ นะกำนัน ชั้นได้ข่าวว่ามีตำรวจฝีมือดีถูกย้ายไปอยู่ที่ศรีสัชฯ ระวังจะไปหาเรื่องรบกวนงานที่ชั้นมอบหมายให้”
“ครับท่าน ผมพอได้ข่าวมาบ้าง แต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร คงเหมือนตำรวจคนอื่นๆ”
“อย่าประมาท...ชื่อเสียงตำรวจคนนี้ถึงลูกถึงคนอยู่ คงอวดเก่งกล้าดีไปทับเส้นใครเข้า เลยโดนสั่งย้าย”
รถจิ๊ปตำรวจขับเข้ามาจอดเอี๊ยดฝุ่นตลบที่โรงงานไม้แปรรูป ยงยุทธพร้อมกับจ่าแท่นนำกำลังตำรวจบุกเข้ามา ทำเอาคนงานที่กำลังทำงานอยู่ในโรงงานตกใจ วิ่งหนีกันให้จ้าละหวั่น
“อายัดไม้ทุกท่อนในนี้ให้หมด ห้ามเคลื่อนย้ายจนกว่าจะมีคำสั่ง ใครขัดขืนจับใส่กุญแจมือให้หมด”
จ่าแท่นนำกำลังจัดการตามคำสั่งยงยุทธ พวกคนงานวิ่งหนีกันโกลาหล มือปืนคนหนึ่งแอบซุ่มอยู่หลังกองไม้ มันยกปืนขึ้นเล็งหมายจะเก็บยงยุทธ ยงยุทธยืนหน้าเคร่งขรึมอยู่ข้างรถตกเป็นเป้ากระสุน แต่โชคยังเข้าข้างที่หางตามองผ่านกระจกมองข้างรถจี๊ปตำรวจ เห็นมือปืนกำลังเล็งและยิงมาที่เขา...เปรี้ยง !! กระจกข้างรถแตกกระจาย
ยงยุทธรอดหวุดหวิด รีบชักปืนยิงสวนกลับไปที่มือปืน แต่มันชิงหนีไป ยงยุทธรีบไล่กวดตาม
ยงยุทธตามล่าไล่ยิงมือปืนเข้ามาอีกด้านหนึ่งของโรงงาน มือปืนหายตัวไปอย่างเงียบเชียบ ยงยุทธระวังตัวไม่ประมาทเพราะมันอาจจะซุ่มอยู่ จนกระทั่งเห็นมีรอยหยดเลือดหยดเป็นทางจึงรู้ว่ามันยังอยู่แถวนี้ มือปืนโผล่ออกมาแล้วยิงใส่ทันที...เปรี้ยงๆๆๆ ยงยุทธโผกระโจนหลบและยิงสวน
มือปืนรีบชิงวิ่งหนีต่อ ยงยุทธลุกขึ้นมาเห็นมันกำลังหนีไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ มุมยิงถูกปิดบังคับด้วยซอกท่อนซุงที่ตั้งเรียงราย เหลือเพียงแค่ช่องกว้างไม่ถึง 10 เซนที่มองผ่านไปเห็นมือปืน
จากช่องแคบๆ มาที่ปากกระบอกปืนในมือยงยุทธ นิ้วแตะไก เสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์บรื้นๆ เมื่อได้จังหวะที่มันบิดผ่านช่องแคบ ยงยุทธก็ลั่นไกทันที...เปรี้ยง!!
นัดเดียวจอดและเอาอยู่ มือปืนกลิ้งตกจากอานมอเตอร์ไซค์ร้องโอดโอย ยงยุทธตามเข้าไปกระชากตัวมันขึ้นมา
“อย่าเพิ่งใจเสาะรีบตาย ถ้าอยากให้ตายชั้นเล็งที่หัวแล้ว บอกมา...ใครจ้างแกให้มาลอบกัดชั้น”
จ่าแท่นลากตัวเสี่ยคนหนึ่งผลักเข้าไปในห้องขัง เสี่ยร้องโวยวาย
“ปล่อยอั้วออกไปนะเว้ย ลื้อไม่มีสิทธิ์มาจับอั้วขังไว้แบบนี้ ไม่รู้จักอั้วเหรอไงวะ”
ยงยุทธเดินเข้ามา
“จะใหญ่โตมาจากไหน...ผมไม่สน ถ้ากล้าเย้ยกฏหมาย ท้าทายความยุติธรรม ที่สุดท้ายที่เสี่ยจะไปได้ก็มีแค่ตะรางเท่านั้น”
“ลื้อไม่มีหลักฐานลื้อจะทำอะไรอั้วได้”
“ฟังมันโวยแล้วของขึ้น ขอสักทีเถอะวะไอ้อ้วนเอ้ย” จ่าแท่นโมโห
“อย่าจ่า...หลักฐานค้าไม้เถื่อนอาจจะเบาไปจนมันกล้าโวย แต่หลักฐานจ้างวานฆ่าเจ้าหน้าที่จะเล่นมันให้ติดคุกหัวโตเลย”
“อย่าดีแต่ขู่อั้วเว้ย ถ้าลื้อมีหลักฐานก็เอาออกมาเลย”
ยงยุทธยิ้มกวนก่อนพยักหน้าให้เสี่ยหันไปดู เห็นมือปืนที่โดนยงยุทธเล่นงานยืนอยู่ที่มุมห้อง สภาพดูไม่จืดสะบักสะบอมเพราะโดนยงยุทธเล่นมาหนักจนกลัวหงอ
“แต่ถ้าเสี่ยยังข้องใจก็ถามมันดูแล้วกันว่าผมทำยังไงมันถึงสารภาพหมดเปลือก”
เสี่ยหน้าซีด ยงยุทธเดินออกไป จ่าแท่นหันมาทับถมเสี่ย
“ได้แก่ตายในคุกแน่ไอ้อ้วนเอ้ย”
ที่ห้องทำงานของยงยุทธ ยงยุทธกำลังหัวยุ่งอยู่กับเครื่องพิมพ์ดีดที่ทำงานแล้วเริ่มใช้งานได้ไม่เต็มที่
“นี่น่ะเหรอตำรวจมือปราบขวัญใจชาวบ้าน เจอเครื่องพิมพ์ดีดเข้าหน่อย ถึงกับไปไม่เป็น”
“ไอ้ขุนเดช...ถ้าจะบุกโรงพักเพื่อมาหาเรื่องชั้นล่ะก็ ระวังโดนชั้นหาเรื่องเตะแกเข้าไปนั่ง เล่นในคุกบ้างนะเว้ย”
“เอะอะก็จับโยนเข้าคุก จะไม่บ้าอำนาจไปหน่อยเหรอ ผู้หมวด”
“ชั้นก็แค่ล้อแกเล่นหรอกน่า คนดีๆ ชั้นจะไปหาเรื่องโยนความผิดให้ได้ยังไง กฏหมายมันมีไว้สำหรับพวกไม่มีสามัญสำนึก ถ้าทั้งคำพระทั้งศีลห้าสอนมันไม่ได้ ค่อยเป็นหน้าที่ชั้น” ขุนเดชนิ่งไป ยงยุทธมองอย่างสงสัย “แล้วนี่ตกลงแกมีธุระอะไรวะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ได้ยินชาวบ้านเขาสรรเสริญว่ามาอยู่ที่นี่แค่ไม่ถึงเดือน แกก็คิดจะล้างบางพวกนอกกฏหมายแล้ว”
“ขุนเดช...วีรกรรมของแกกับชั้นครั้งสุดท้ายที่เคยลุยด้วยกันมา แกจำได้ใช่มั้ย”
ขุนเดชพยักหน้ารับ
“ไอ้ประดับ”
จบตอนที่ 2
ติดตามอ่านขุนเดช ตอนที่ 3 เวลา 17.00 น.