หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 4
เนติมายังจดสายตาจ้องพงษ์เลิศไม่วางตา พงษ์เลิศก็จ้องเนติมาไม่วางตาเช่นกัน ชลกรมองท่าทีของเนติมาอย่างไม่ไว้ใจ ธำรงมองเนติมาอย่างพึงพอใจในความมั่นใจ ศิวัชมองเนติมาด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก ระบิลยิ้มมองเนติมาด้วยความชื่นชมในความกล้า
ในสนามไดร์ฟกอล์ฟ เวลากลางวัน พงษ์เลิศหวดลูกกอล์ฟออกไปสุดแรง ก่อนพูดออกมาอย่างใจเย็น โดยมีปานกับลูกน้องพงษ์เลิศคอยยืนดูแลความปลอดภัยอยู่ไม่ห่าง
“ในที่สุดมันก็ตามไอ้ธำรงกลับมาอย่างที่เราคิด ดีจะได้ไม่ต้องหาให้เปลืองแรง” พงษ์เลิศว่า
อิทธิหาญหวดลูกกอล์ฟออกไปอย่างหงุดหงิด
“พ่อก็น่าบอกผมสักนิด ผมจะได้ตามไปกดหัวมันให้หมดเรื่องหมดราว”
“ก็แกเป็นซะอย่างนี้ แต่มันจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากความสะใจ”
ชลกรที่นั่งดื่มเครื่องดื่มอยู่ใกล้ๆ อดพูดออกมาอย่างหงุดหงิดไม่ได้
“นังเนติมานั่นก็ร้ายนะคะ ดูมันจ้องคุณสิ ไม่เกรงกลัวเลยสักนิด”
“จากสายตาที่มันมองมา นังเด็กนั่นมันต้องการประกาศสงครามกับฉัน มันคงโกรธที่เราทำกับพ่อแม่ของมัน”
พงษ์เลิศพูดใจเย็นอย่างคนมีประสบการณ์ ขณะที่อิทธิหาญยังหงุดหงิดไม่หาย
“คิดจะล้างแค้น ฮ่าๆ เจอเมื่อไหร่จะเป่าให้ดิ้น เอ..หรือผมจะเอามันมาเป็นนางบำเรอผมก็ดีนะพ่อ สะใจ..ตายทั้งเป็น ฮ่าๆ”
อิทธิหาญพูดอย่างยิ้มเยาะก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนเรียกปาน
“เฮ้ย..ปาน !”
“ครับเสี่ย”
“ตัวพี่สาวมันกลับมาแล้ว แล้วน้องชายมันล่ะวะ หาเป็นชาติแล้วเมื่อไหร่จะเจอ”
“พวกเราก็พยายามหาทุกที่แล้วนะครับเสี่ย แต่ไม่พบเบาะแสเลย”
“พวกแกนี่ใช้ไม่ได้จริงๆ ป่านนี้ไอ้เด็กนั่นมันคงโตเป็นหนุ่มแล้ว”
พงษ์เลิศยิ้มอย่างใจเย็นเอื้อมมือไปจับบ่าอิทธิหาญ
“ก็ไม่เห็นต้องตามหาให้เหนื่อย อีกหน่อยแรงแค้นก็จะพามันมาหาเราเองนั่นแหละลูกรัก เราแค่เตรียมเขียงเตรียมมีดไว้เชือดมันก็พอ ฮ่าๆ”
พงษ์เลิศหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ชลกรครุ่นคิดตามที่พงษ์เลิศพูดก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ อิทธิหาญยิ้มออกมาอย่างเลือดเย็น สายตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
บริเวณหน้าซูเปอร์มาร์เก็ต เวลากลางวัน ดลยกมือไหว้หัวหน้างานอย่างนอบน้อมตอนเลิกกะ หัวหน้างานตบบ่าดลอย่างเอ็นดู
“เลิกกะแล้ว ผมกลับก่อนครับพี่ สวัสดีครับ”
“โอเค..น้องชาย ขยันอย่างนี้พี่ชอบแล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
ดลยิ้มอย่างอารมณ์ดีเอามือลูบท้องเพราะรู้สึกหิว เสียงอนงค์ดังเข้ามา
“หิวเหรอจ๊ะพี่ดล”
ดลหันขวับไปมองแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นอ้อในชุดนักเรียนนั่งยิ้มอยู่ที่ม้านั่งใกล้ๆ ในมืออ้อชูถุงแฮมเบอร์เกอร์พร้อมน้ำดื่มให้ดลอย่างรู้ใจ
“อ้อ !”
บริเวณเก้าอี้ริมน้ำอันร่มรื่น ภายในสวนสาธารณะ ดลนั่งทานแฮมเบอร์เกอร์ด้วยความหิว ส่วนอนงค์นั่งมองอย่างมีความสุข
“วันหลังพักเที่ยงก็กินสิจ๊ะ ไม่ใช่ทำงานไม่ยอมกินอย่างนี้ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะกันพอดี”
“ช่วงนี้งานที่ซูเปอร์เยอะน่ะ ช่วยเขาทำจะได้เสร็จๆ อ้อนั่นแหละเลิกเรียนทำไมไม่รีบกลับคอนโดฯ”
“ก็อ้ออยากมาดูแลพี่ดลบ้างนี่จ๊ะ”
“เสียเงินซื้อเบอร์เกอร์กับน้ำมาให้เนี่ยนะ เปลืองเงินน่าอ้อ”
“วันนี้วันพุธ โปรโมชั่นหั่นครึ่งราคาสำหรับนักเรียนนักศึกษาในเครื่องแบบจ้ะ อร่อยมั๊ยจ๊ะ”
อนงค์พูดยิ้มอย่างคล่องแคล่ว จนดลอดยิ้มออกมาไม่ได้
“อร่อย..ขอบคุณมากนะอ้อ”
“วันหลังถ้าอ้อเลิกเรียนก่อนพี่ดลเลิกงาน อ้อมารับพี่ดลนะ”
“มารับ ทำอย่างกับพี่เป็นเด็กๆ”
“ก็จะได้กลับบ้านด้วยกัน ดูแลกัน ไม่ทิ้งกัน ตามสัญญาไงจ๊ะ”
อนงค์พูดแล้วยิ้มพลางยกนิ้วก้อยขึ้นมา ดลมองอยู่นิดหนึ่งก่อนยิ้มออกมา ยกมือเอานิ้วก้อยเกี่ยวนิ้วก้อยกันเป็นเชิงตอบรับ ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
ภายในร้านกาแฟในห้างสรรพสินค้า ระบิลกับเนติมานั่งดื่มกาแฟกันอยู่ เนติมายกนาฬิกาขึ้นดูเวลาด้วยความร้อนใจ
“เป็นอะไรคุณ ทำอย่างกับนาฬิกาเสกแฟนคุณมาได้งั้นแหละ”
“ก็นี่เลยเวลานัดมาตั้งนานแล้วนะ อีกอย่างก็ใกล้เวลาหนังฉายแล้วด้วย”
“น่า..ใจเย็นๆ รถอาจติดหรือยังลงพื้นที่ไม่เสร็จก็ได้ คุณศิวัชหล่อขนาดนั้น แค่แจกลายเซ็นสาวแก่แม่ม่ายก็หมดไปครึ่งวันแล้ว ฮ่าๆ...อ้าว นั่นไงมาโน่นแล้ว”
เนติมาหันไปเห็นศิวัชเดินเข้ามาพอดี โดยมีการ์ดคนหนึ่งตามเข้ามาด้วย เนติมายิ้มให้ศิวัช
“ขอโทษนะจ๊ะเนติ์ พี่เพิ่งลงพื้นที่พบชาวบ้านเสร็จ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ศิวัชหันไปพูดกับการ์ด
“นายกลับไปได้แล้ว ไม่ต้องห่วงที่นี่มีคุณระบิล”
“ครับผม...”
การ์ดรับคำแล้วเดินออกไปทันที ศิวัชหันมาพูดกับระบิล
“ได้ตั๋วหนังแล้วใช่มั้ยครับคุณระบิล”
“เรียบร้อยครับที่นั่งโกล์คลาสสองใบ กับอีกหนึ่งก้างขวางคอ … ไปกันเลยมั้ยครับ”
ระบิลชูตั๋วหนังขึ้นอย่างอารมณ์ดี ขณะที่เนติมากับศิวัชยิ้มจูงมือกันแล้วลุกเดินออกไป
ระบิลมองตามด้วยรอยยิ้มแต่ก็อดรู้สึกเหงาไม่ได้
ภายในโรงภาพยนตร์ที่กำลังฉายหนังรักโรแมนติกอยู่ เนติมากับศิวัชนั่งดูภาพยนตร์กันอย่างมีความสุข ทั้งสองคนจับมือกันแน่น เนติมาซบไหล่ศิวัชด้วยความรัก
ระบิลดูภาพยนตร์อย่างไม่มีสมาธินักอดชำเลืองมองไปยังเนติมากับศิวัชไม่ได้ ระบิลเห็นภาพตรงหน้าแล้วรู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ระบิลหยิบรูปของเอมมิกาที่อยู่ในกระเป๋าเงินขึ้นมาดูอย่างคิดถึง
“เอม..พี่พาหนูมาดูหนังนะคะ”
ระบิลเอื้อมมือไปสัมผัสรูปเอมมิกาก่อนระบิลจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเนติมาเบาๆ
“นาย..นายระบิล”
“อะ..อะไรคุณ” ระบิลพูดเสียงเบา
“ทำอะไร..หนังไม่สนุกเหรอ”
“เออ..สนุกครับ สนุก...”
ระบิลรีบเก็บรูปใส่กระเป๋าทันที ก่อนหันไปถามเนติมาเบาๆบ้าง
“แล้วคุณล่ะ...”
เนติมาไม่ตอบ ได้แต่ทำหน้าบึ้งชี้ไปที่ศิวัช ระบิลชะโงกไปมองแล้วอดขำไม่ได้ เมื่อเห็นศิวัชนั่งหลับเพราะความเหนื่อยอย่างหมดสภาพ ระบิลขำพลางลอยหน้าลอยตาทำท่าเยาะเย้ยเนติมาที่แฟนมาหลับในโรงหนัง เนติมานิ่วหน้าค้อนระบิลจนอยากไปขย้ำคอระบิลด้วยความหมั่นไส้
ระบิลขับรถเข้ามาจอดหน้าประตูคฤหาสน์หรูของธำรงที่มีการ์ดยืนรักษาความปลอดภัยอย่างแข็งขัน
ศิวัชนั่งอยู่ข้างพูดขึ้น
“ส่งแค่นี้ก็พอครับ คุณกับเนติ์จะได้รีบกลับ”
“ครับ”
ระบิลยิ้มอย่างอารมณ์ดี ขณะที่เนติมาซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังลงจากรถเพื่อเปลี่ยนมานั่งคู่กับระบิล ศิวัชลงจากรถยิ้มให้เนติมา เนติมาเอื้อมมือไปจัดปกเสื้อให้ศิวัชอย่างเอาใจใส่
“วันหลังเหนื่อยก็บอกเนติ์นะคะ จะได้กลับไปพักผ่อน แค่เรื่องดูหนังเอาไว้วันหลังก็ได้”
“ก็พี่อยากอยู่ใกล้ๆเนติ์นี่จ๊ะ”
ศิวัชพูดอย่างจริงใจพลางเอื้อมมือไปจับมือเนติมามากุมไว้ด้วยความรัก ระบิลอมยิ้มมองภาพตรงหน้า
ศิวัชเปิดประตูรถให้เนติมาเข้าไปนั่งคู่กับระบิล
“ฝันดีนะจ๊ะเนติ์”
“พี่ศิวัชก็พักผ่อนเยอะๆนะคะ อย่าลืมฝันถึงเนติ์นะ”
เนติมาพูดอ่อนหวาน ศิวัชเอื้อมมือไปลูบผมเนติมาอย่างอ่อนโยน ก่อนหันไปพูดกับระบิล
“คุณระบิล คุณรู้ใช่มั้ยครับว่าผมจะพูดอะไร”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณศิวัช ผมจะดูแลคุณเนติ์อย่างดีที่สุดครับ”
ระบิลพูดยิ้มๆแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ศิวัชยิ้มอย่างขอบคุณก่อนหันไปยิ้มกับเนติมาแล้วจึงปิดประตูรถให้ ศิวัชเดินเข้าไปในรั้วบ้านที่มีการ์ดเปิดประตูรอไว้อยู่แล้ว เนติมามองตามศิวัชไปด้วยความเป็นห่วง ระบิลมองอย่างเข้าใจ
“เป็นห่วงคุณศิวัชเหรอครับ”
ภายในรถ เนติมานั่งครุ่นคิดอะไรอยู่นิดหนึ่ง ก่อนถอนใจด้วยความไม่สบายใจนัก
“เมื่อก่อนพี่ศิวัชไปไหนก็ขับรถไปเองได้สบายๆ แต่แค่ลงสนามการเมืองไม่กี่วัน ไปไหนมาไหนก็ต้องมีบอดี้การ์ดตั้งหลายคน นายไม่เห็นเหรอขนาดรอบๆบ้านยังต้องมี รปภ.”
“คุณเองยังต้องมีผมตามประกบแจเลยไม่เห็นเหรอ”
“แต่นายกับการ์ดของพี่ศิวัชไม่เหมือนกันนี่”
“ไม่เหมือนยังไงครับ ก็หน้าที่ดูแลความปลอดภัยเหมือนกันนั่นแหละ”
“ก็นาย...”
เนติมาพูดได้เท่านั้นก็อดขำออกมาไม่ได้ ระบิลนิ่วหน้าด้วยความสงสัย
“ทำไมคุณ”
เนติมาพยายามกลั้นหัวเราะแล้วบอก
“ก็นาย ...นายตลก ไม่เห็นเข้มเหมือนบอดี้การ์ดของพี่ศิวัชเลยฮ่าๆ”
ระบิลเหล่มองเนติมาด้วยความหมั่นไส้ รีบหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทางทันที ระบิลแกล้งชำเลืองหางตาจ้องเนติมาอย่างเอาจริง เนติมารีบกลั้นหัวเราะทำเป็นเสียงเข้ม
“ก็จริงอย่างที่ฉันพูดมั้ยล่ะ”
“อย่าไปพูดอย่างนี้ให้ใครฟังนะคุณ เสียลุคหมด”
ระบิลแกล้งพูดให้เนติมาอารมณ์ดี ก่อนจะขับรถต่อไป ขณะที่เนติมาอดที่จะขำออกมาอีกครั้งไม่ได้
ระบิลขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านกันต์ เนติมาขยับจะลงจากรถ แต่ระบิลรีบรั้งไว้
“เดี๋ยวฉันลงไปเปิดประตูให้”
“เดี๋ยวคุณ”
“อะไร..ไม่มีอะไรหรอกน่า ฉันดูแล้วตอนนี้ไม่มีใคร”
“ใช่..ไม่มีใคร แต่คุณดูนั่นสิ”
ระบิลชี้ให้เนติมาดูประตูรั้วที่ถูกเปิดค้างไว้ เนติมามองตามไปแล้วต้องถอนใจ
“อาจันทร์ลืมปิดประตูอีกแน่เลย”
“ไม่ได้ลืมหรอกคุณ กุญแจมันถูกตัดน่ะ”
ระบิลพูดเรียบๆ อย่างไม่ตื่นเต้นตกใจนัก ขณะที่เนติมามองกุญแจคล้องประตูที่ถูกตัดหล่นอยู่ตรงพื้นหน้าประตูด้วยสายตาตะลึงตกใจกับภาพตรงหน้า
ลูกน้องอิทธิหาญเอาขาขึ้นพาดโต๊ะกลางห้องนั่งเล่นบ้านกันต์ แสดงความเป็นอันธพาลอย่างเต็มที่ โดยลูกน้องคนแรกพูดเสียงดัง
“เฮ้ย! ได้ยังวะ รอนานแล้วนะโว้ย”
“อย่าให้เสี่ยต้องมาเอง เดี๋ยวได้เสียเลือดเนื้อ” ลูกน้องคนที่สองบอก
ลูกน้องอิทธิหาญหันมายิ้มให้กันอย่างสะใจ กันต์ซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นพยายามพูดอย่างใจเย็น
“พวกแกบอกฉุกละหุกอย่างนี้ก็ต้องรอหน่อยใจเย็นๆน่า เดี๋ยวก็เสร็จ”
“แต่เสี่ยหิว เสี่ยจะกินเดี๋ยวนี้โว้ย...เฮ้ย! เสร็จยัง” ลูกน้องคนแรกตะโกน
“เงียบ..สงสัยต้องเรียกด้วยวิธีนี้แล้วโว้ย” ลูกน้องคนที่สามว่า
ลูกน้องคนที่สามพูดแล้วพลางจะยกเก้าอี้ขึ้นจะทุ่ม แต่ต้องชะงักเมื่อถูกระบิลเอาปืนมาจ่อด้านหลัง
“เก้าอี้ตัวนี้หักเมื่อไหร่ ไส้แกทะลุแน่”
“เฮ้ย!”
ลูกน้องคนแรกกับคนที่สองหันขวับมาพร้อมจะชักปืน แต่ระบิลไวกว่าปรี่เข้าไปทั้งถีบเตะจนลูกน้อง ทั้งสองคนลงไปกองกับพื้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่กันต์ตะลึงกับภาพตรงหน้า
ลูกน้อคนที่สามขยับจะหยิบปืนขึ้นมา แต่ระบิลหันขวับมาถีบลูกน้องคนนั้นกระเด็นไปกระแทกผนังจนลงไปนอนกองกับพื้นอีกคน
“แย่หน่อยนะ เท้าฉันไวกว่าลูกปืนแก”
ระบิลยิ้มมองผลงานตรงหน้าอย่างชอบใจ ขณะที่เจือจันทร์ถือกล่องอาหารออกมาจากครัวด้านในก็ตกใจจนกล่องอาหารหลุดมือตกกระจายเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เจือจันทร์รีบโผเข้าไปหากันต์ทันที กันต์พยายามพูดปลอบอย่างใจเย็น
“ได้แล้วๆ...ตายแล้ว ! เกิดอะไรขึ้นคะคุณ”
“ไม่มีอะไรคุณ...ทุกอย่างเรียบร้อย” กันต์ว่า
“แค่กุ๊ยกระจอก ไม่ต้องกลัวหรอกครับ”
เนติมาเดินเข้ามาจากนอกบ้านกวาดตามองลูกน้องอิทธิหาญที่นอนกองอยู่ที่พื้นอย่างไม่พอใจ เนติมาเดินเข้าไปพูดกับกันและเจือจันทร์อย่างอ่อนโยน
“อากันต์กับอาจันทร์ไม่ต้องกลัวนะคะ พวกเราจะไม่ยอมมันอีกแล้ว”
“จะไม่ให้ฉันกลัวได้ยังไง นี่ถ้าเจ้านายพวกมันรู้เรื่องนี้เข้า มีหวัง...”
เจือจันทร์พูดอะไรไม่ออกเพราะรู้สึกกลัวมาก แต่ระบิลยิ้มอย่างใจเย็น
“นั่นแหละครับ คือสิ่งที่เราต้องทำ”
ระบิลหันไปพูดกับลูกน้องอิทธิหาญ
“กลับไปบอกลูกพี่พวกแกว่าที่นี่บ้านส่วนบุคคลไม่ใช่ร้านอาหารตามสั่ง ถ้าหิวโน่น..ร้านอาหารโน่นหรือถ้าไม่มีเงินไปซื้อ ให้มาขอเดี๋ยวฉันให้”
ภายในบ้านอิสราวัชร อิทธิหาญผลักสาวสวยแต่งตัวเซ็กซี่ที่อยู่ในอ้อมแขนออกไปอย่างไม่ใยดี ก่อนลุกพรวดขึ้นมายืนด้วยความโมโห ขณะที่ลูกน้องที่สามคนยืนหน้าเจื่อนอยู่ตรงหน้า
“มันเป็นใคร !”
“มันบอกว่ามันเป็นญาติกันครับเสี่ย” ลูกน้องคนแรกบอก
“ไอ้พวกนี้มันเคยเข้าไปดูทีหนึ่งแล้วครับ แต่ไม่เจอ” ปานว่า
“ไปคราวนี้เจอเต็มๆเลยครับเสี่ย อูย”
ลูกน้องคนที่สามพูดพลางกุมท้องที่ถูกระบิลถีบอยู่ด้วยความเจ็บ อิทธิหาญฉุนขาดปรี่เข้าไปถีบลูกน้องทั้งสามคนจนกระเด็นไปนั่งกับพื้น
“โธ่โว้ย ! ไม่ได้เรื่องสักคน สามคนโดนคนเดียวสอย แถมยังโดนมันยึดปืนไปอีก อย่าอยู่เลยมึง !”
อิทธิหาญชักปืนออกมาจะยิงลูกน้องทั้งสามคน แต่ปานเข้าห้ามไว้
“อย่าครับเสี่ย !”
“ทำไม ! ชีวิตถูกๆอย่างพวกมัน ฉันเอาเงินซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ ห่วยอย่างนี้เลี้ยงทำไมให้เปลืองข้าวสุกวะ”
“แต่ผมว่าตอนนี้ เราน่ารีบไปดูหน้าไอ้ญาติบ้านโน้นที่มันทำไอ้สามตัวนี่เสียหมาก่อนไม่ดีกว่าเหรอครับเสี่ย”
ปานพูดอย่างใจเย็น อิทธิหาญนิ่งฟังยิ่งโมโห ก่อนหันขวับไปยังบ้านกันต์ทันที
บริเวณทางเข้าสวนหย่อมบ้านกันต์ไฟถูกปิดมืด อิทธิหาญ ปานและลูกน้อง เดินเข้ามา
“ทำไมมืดนักวะ”
“นั่นสิครับเสี่ย เมื่อกี้ยังสว่างอยู่เลย” ลูกน้องคนแรกว่า
“เฮ้ย..ยิงเรียกมันหน่อยสิ”
“ครับเสี่ย” ลุกน้องรับคำ
ลูกน้องคนแรกชักปืนขึ้นมาจะยิงขึ้นฟ้าแต่ต้องชะงักเมื่อแสงไฟจากสปอร์ตไลท์ที่ติดอยู่ที่ระเบียงชั้นสองของบ้านสาดแสงสว่างจ้าเข้าตาพวกของอิทธิหาญอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เฮ้ย !”
“เสี่ย..ระวัง !”
ปานปราดเข้าไปประชิดตัวอิทธิหาญทันทีเพื่อคุ้มกัน
กันต์เลื่อนรถเข็นออกมาจากในบ้านอย่างใจเย็น
“ขอโทษทีนะ แค่อยากติดไฟให้สว่างๆ”
“ไอ้เดี้ยง ! มาก็ดีแล้ว หลานแกอยู่ไหน” อิทธิหาญพูดเสียงดัง
“คุณมีธุระอะไรกับเขาเหรอ”
“ฉันเข้ามาที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีธุระ ถ้าแกลีลานัก ฉันก็จะให้มือแกเดี้ยงเหมือนขา”
อิทธิหาญพูดด้วยความโมโห พร้อมหยิบปืนออกมาจะยิงมือกันต์
“มีธุระอะไรกับฉันเหรอ” เสียงดังเข้ามา ทุกคนชะงักเมื่อได้ยินเสียงเนติมาดังออกมาจากในบ้าน
เนติมากับระบิลเดินออกมายืนข้างกันต์ เนติมานิ่งมองอิทธิหาญอย่างไม่กลัวเกรง อิทธิหาญตะลึงที่เห็นเนติมาที่บ้านหลังนี้
เนติมาชำเลืองมองปานที่เป็นผู้ลงมือยิงพ่อแม่ของตนด้วยสีหน้านิ่งแต่ข้างในเต็มไปด้วยความแค้น
ปานเห็นระบิลถึงกับตะลึงด้วยความตกใจ เพราะระบิลเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทตัวเอง
“นึกว่าใคร !”
“คิดไม่ถึงสินะว่าฉันจะมาหายใจรดต้นคอนายขนาดนี้”
“ตัวจริงสวยกว่าในรูปตั้งเยอะ แล้วอยากให้ฉันหายใจรดต้นคอเธอบ้างมั้ยล่ะ”
อิทธิหาญพูดพลางกวาดสายตามองเนติมาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเจ้าชู้ ก่อนสั่งลูกน้องด้วยความกักขฬะ
“เฮ้ย ! ลากนังนั่นมา ฉันจะพามันไปเยี่ยมบ้านเดิมของมัน”
“ครับเสี่ย / เฮ้ย !”
ลูกน้องทั้งสามคนรับคำพร้อมปรี่จะเข้าไปจับตัวเนติมา แต่ทั้งสามคนต้องชะงักเมื่อระบิลขยับเข้ามา
ยืนขวางไว้ พร้อมกับหยิบปืนสองกระบอกขึ้นเล็งอย่างใจเย็น
“เอาซี้..ถ้าโดนถีบเมื่อกี้ยังไม่เข็ด”
ปานขยับจะหยิบปืนขึ้นมา แต่ระบิลหันปากกระบอกปืนไปทางปานอย่างรวดเร็ว ปานชะงักไม่กล้าทำอะไรต่อเพราะโดยส่วนตัวสนิทกับครอบครัวระบิลดี
ระบิลกับปานจ้องตากันนิ่ง ความทรงจำของทั้งสองคนผุดขึ้นมาทันที
ที่บ้านสวนระบิลที่เพชรบุรี ระบิลกำลังนั่งอ่านหนังสือด้วยความตั้งใจบนเสื่อที่เอามาปูไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน ข้างๆระบิลมีหนังสืออีกหลายเล่มวางอยู่ ทันใดนั้น ระบิลต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อมีเชือกกล้วยพาดมาจากด้านหลัง
“เฮ้ย !”
ระบิลสะดุ้งพรวด มองกลับไปที่ด้านหลังเห็นปานกับก้องยืนหัวเราะอยู่ โดยปานเป็นคนถือเชือกกล้วย ระบิลถอนใจเฮือกใหญ่
“พี่ก้อง พี่ปาน ตกใจหมดเลย ผมนึกว่างู”
“อะไรวะ จะเป็นตำรวจดันกลัวงู”
“โธ่..ก็ผมกำลังอ่านหนังสือเพลินๆ นี่ครับพี่ปาน ดูสิ..อ่านถึงตรงไหนแล้วก็ไม่รู้”
ระบิลสีหน้ายุ่งคลี่หนังสือหาหน้าที่ตัวเองอ่านค้างไว้ ก้องมองน้องชายแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้
“พักก่อนก็ได้เดี๋ยวค่อยอ่านต่อ นี่..พี่ปานเขาซื้อของกินมาฝากแน่ะ”
“เพิ่มพลังหน่อยว่าที่นักเรียนนายร้อย”
ปานยิ้มชูถุงของกินที่มีหลายอย่างให้ระบิลดู ระบิลดีใจรีบปรี่เข้าไปรับ แล้วหยิบขนมใส่ปากกินทันทีด้วยความเอร็ดอร่อย
“โห..กำลังหิวเลย อร่อยสุดยอด... ขอบคุณมากครับพี่ปาน”
“เอ็งก็เหมือนน้องชายพี่แหละวะระบิล เข้านายร้อยให้ได้ แล้วพี่จะตบรางวัลใหญ่ให้โว้ย”
ปานพูดอย่างนักเลงพร้อมเดินเข้าไปโอบไหล่ระบิลอย่างกันเอง ระบิลยิ้มอย่างมั่นใจ ทั้งสองคนสนิทสนมกันมาก
ภายในสวนหย่อม ระบิลกับปานยังจ้องหน้ากันไม่วางตา สายตาของระบิลรู้สึกผิดหวังในตัวของปานมาก
“เฮ้ย..ปาน ทำอะไรอยู่วะ (หยิบปืน) โธ่โว้ย !” อิทธิหาญโวยปานด้วยความโมโห
อิทธิหาญขยับจะหยิบปืนของตัวเองขึ้นมา แต่ต้องชะงักเมื่อระบิลพูดเสียงดัง
“แน่ใจนะว่าจะทำอะไรโง่ๆ อย่างนั้น”
“แกหมายความว่าไง”
อิทธิหาญพูดด้วยความสงสัย เนติมายิ้มพูดอย่างใจเย็น
“ก็ไม่มีอะไร แค่พฤติกรรมของพวกนายตั้งแต่เดินก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐานหมดแล้วก็เท่านั้น”
“หลักฐาน..หลักฐานอะไรวะ”
“เสี่ยดูนั่น !”
ปานหันมองไปที่มุมๆ หนึ่งของบ้านแล้วรีบชี้ให้อิทธิหาญดูกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ อิทธิหาญยิ่งมองยิ่งโมโห
“นี่แกกะแบล็คเมล์พวกฉันเหรอ”
“ทุกพวกที่เข้ามาก่อกวนในบ้านหลังนี้” เนติมาว่า
“แล้วไม่ต้องห่วงนะว่าจะเก็บภาพพวกแกไม่ได้ทุกมุม โน่นๆๆๆ ในบ้านก็มีอีกหลายตัว” ระบิลพูดต่อพลางชี้ไปรอบๆบริเวณ อิทธิหาญกับพวกมองตามด้วยความระแวง
ระบิลยิ้มกวนก่อนหันไปคว้ามือเนติมาแล้วเอาปืนให้เล็งไปที่พวกอิทธิหาญ เนติมาตกใจนิดหนึ่งเพราะยังไม่ทันตั้งตัว มองหน้าระบิลงงๆ ระบิลยิ้มกวน แล้วสาธยายต่ออย่างสบายๆ
“และพิเศษสุดสำหรับวันนี้ กริยาทรามๆของนายทุกช็อตจะถูกถ่ายทอดไปยังสถานีตำรวจ เพียงฉันกดปุ่มนี้”
ระบิลหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้วกดเปิดหน้าจอกดปุ่มมั่วๆท่ามกลางความตะลึงของทุกคน โดยเฉพาะเนติมาที่มองระบิลด้วยความสงสัยอย่างมาก
อิทธิหาญครุ่นคิดอย่างสับสน ก่อนโวยออกมาอย่างหงุดหงิด
“ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าตำรวจจะช่วยอะไรพวกแกได้”
อิทธิหาญพูดด้วยความใจร้อนยกปืนขึ้นจะยิงเนติมา ระบิลรีบคว้าปืนจากมือเนติมาขึ้นมาเล็งไปที่อิทธิหาญอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่ทั้งหมดต้องชะงักเมื่อมีรถตำรวจวิ่งเปิดไฟไซเรนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เนติมาหันไปมองระบิลด้วยความสงสัย ระบิลสะดุ้งนิดหนึ่งก่อนพูดอย่างงงๆเหมือนกัน
“อย่าถามผม ผมก็งงเหมือนคุณนั่นแหละ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์กับลูกน้องกรูกันลงมาจากรถ กระจายกำลังกันล้อมอิทธิหารกับพวกอย่างรู้งาน
ผู้กำกับฯกับระบิลมองหน้ากันนิดหนึ่งอย่างมีนัยเพราะทั้งสองคนสนิทสนมกันดี ก่อนผู้กำกับวิเชษฐ์
จะหันไปพูดกับเนติมาและกันต์
“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ”
“คนพวกนี้บุกรุกบ้านญาติฉันค่ะคุณตำรวจ”
“ช่วยเชิญเขากลับออกไปทีเถอะครับ” กันต์ว่า
เนติมากับกันต์พูดอย่างใจเย็น ผู้กำกับวิเชษฐ์อมยิ้มเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะหันไปหาอิทธิหาญอย่างเอาจริง อิทธิหาญจ้องมองระบิล เนติมา ผู้กำกับวิเชษฐ์และกันต์ด้วยความโมโหอย่างมาก
ภายในห้องนั่งเล่น ระบิลกับผู้กำกับฯวิเชษฐ์ต่างหัวเราะโผเข้ากอดกันอย่างสนิทสนม
“ไม่ได้เจอตั้งนาน สบายดีนะครับพี่”
“ก็เรื่อยๆนายล่ะเป็นไงบ้าง ไปไงมาไงถึงมาโผล่ที่นี่ได้” วิเชษฐ์ถาม
“เรื่องมันยาวครับพี่เชษฐ์”
ระบิลพูดยิ้มๆ ก่อนหันไปหาเนติมา กันต์ เจือจันทร์ที่ยืนมองด้วยความงงอยู่
“เออ..นี่พันตำรวจเอกวิเชษฐ์เป็นรุ่นพี่ผมเองครับ เราเคยร่วมกันทำงานหลายครั้ง ใสซื่อมือสะอาด ตรงเป็นไม่บรรทัดเลยล่ะครับ แถม...”
วิเชษฐ์พูดแทรก
“พอๆ ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ ยิ่งนายบรรยายมากฉันยิ่งหมดความน่าเชื่อถือว่ะ”
ระบิลกับผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มอย่างไม่คิดอะไรมาก ก่อนผู้กำกับจะหันไปพูดกับเนติมา
“ผมถูกขอตัวให้มาประจำสถานีตำรวจท้องที่นี้ครับ ต่อไปผมจะจัดสายตรวจเวียนมาดูแลความเรียบร้อยแถวนี้ให้บ่อยขึ้น พวกนั้นมันจะได้ไม่กล้าทำอะไรอย่างวันนี้อีก”
“อย่างนี้ค่อยอุ่นใจหน่อย ขอบคุณผู้กำกับมากนะคะ” เนติมายิ้มแล้วตอบ
“แต่ถึงไม่มีผม ทุกคนก็สบายใจได้นะครับ นายระบิลเนี่ยเขายอดฝีมืออยู่แล้ว
“เออ..พี่เชษฐ์อย่าพูดความจริงอย่างนี้สิครับ ผมเขินนะเนี่ย ฮะฮ่า”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พูดยิ้มๆเอื้อมมือไปโอบไหล่ระบิลอย่างคุ้นเคย ระบิลยิ้มกอดอกยืดลอยหน้าลอยตายักคิ้วมองเนติมาอย่างกวนๆ จนเนติมาต้องมองค้อนใส่ด้วยความหมั่นไส้
เจือจันทร์เดินถือถาดใส่แก้วน้ำมาวางด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
“ความจริงเมื่อกี้น่ารวบพวกมันไปเข้าคุกเลยนะคะ ไม่น่าปล่อยพวกมันไปเลย”
“ทำอย่างนั้นผมว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ อย่าลืมว่านายพงษ์เลิศพ่อของอิทธิหาญยังมีพาวเว่อร์มากอยู่นะคุณ” กันต์ว่า
“แค่เขารู้ว่าผมย้ายมาประจำที่นี่ก็คงไม่พอใจมากอยู่ล่ะครับ”
“แหม..อยากเห็นสภาพพ่อลูกคู่นี้จริงๆ ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไง”
ระบิลพูดยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงอิทธิหาญกับพงษ์เลิศ
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 4 (ต่อ)
พงษ์เลิศคุยโทรศัพท์เดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเครียด
“ก็ผมเพิ่งย้ายไอ้ตำรวจดื้อนี่ไปอยู่ชายแดน แล้วจู่ๆมันกลับมาได้ยังไง”
พงษ์เลิศนิ่งฟังปลายสายด้วยความหงุดหงิด ก่อนถอนใจออกมาอย่างหนัก
“ไอ้ธำรง !”
อิทธิหาญกับชลกรที่นั่งอยู่ไม่ห่างถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินชื่อธำรง โดยเฉพาะอิทธิหาญที่ยืนกำหมัดแน่นด้วยความแค้น
พงษ์เลิศนิ่งฟังปลายสายอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าถอนใจอย่างยอมจำนน
“ทำไงได้ ก็ต้องปล่อยมันไปก่อนอยู่แล้ว มีอะไรคืบหน้าก็รีบส่งข่าวก็แล้วกัน แค่นี้แหละ”
พงษ์เลิศวางสายอย่างเซ็งๆ อิทธิหาญปราดเข้าไปพูดด้วยความร้อนใจ
“เอาไงครับพ่อ มันชักจะล้ำเส้นเรามากขึ้นทุกวันแล้วนะ”
“ไม่เอาไงทั้งนั้นแหละ”
พงษ์เลิศเดินลงไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆชลกร ชลกรยื่นแก้วไวน์ให้พงษ์เลิศอย่างเอาใจ พงษ์เลิศซดรวดเดียวหมดแก้ว ขณะที่อิทธิหาญยังตามมารบเร้าไม่เลิก
“ผมบอกหลายทีแล้ว ให้มันคุยกับลูกตะกั่วแหละง่ายดี ทำเหมือนที่เราเคยทำ ไม่กี่เปรี้ยงก็จบ”
พงษ์เลิศถอนใจแล้วบอก
“ยัง..ฉันยังไม่อยากใช้วิธีของแก จนกว่าจะจำเป็นจริงๆ”
“แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่มันจะจบ พ่อฟังผมนะ นังเนติมานั่นมันต้องการล้างแค้นที่พ่อทำกับครอบครัว อีกหน่อยพวกมันต้องขุดคุ้ยปูมหลังของเรา มันต้องการเอาเราเข้าคุก...อย่าบอกนะว่าพ่อจะเจรจากับมัน”
“ถ้านั่นเป็นทางออกที่ดีกว่า ก็ควรทำค่ะ”
“เหอะ ! มันคงยอมหรอก”
อิทธิหาญพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน พลางทุบโต๊ะด้วยความโมโห พงษ์เลิศครุ่นคิดหาทางออก ก่อนจะถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจ
บริเวณหน้าบ้านกันต์ ระบิลกับเนติมาเดินออกมาส่งผู้กำกับวิเชษฐ์ที่รถซึ่งมีผู้ใต้บังคับบัญชายืนรออยู่แล้ว เนติมายกมือไหว้
“ขอบคุณผู้กำกับอีกครั้งนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”
“ถ้าเมืองไทยมีตำรวจอย่างพี่เชษฐ์เยอะๆ...”
“ก็คงโดนย้ายไปอยู่ชายแดนกันหมดเหมือนฉันโดน”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พูดเป็นเชิงประชดชะตากรรมของตัวเอง ระบิลกับเนติมาอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ก็แหงล่ะ เล่นไล่จับยาเสพติด ทลายบ่อนไม่ดูตอนี่พี่ แต่ถ้าผมยังไม่ลาออกซะก่อน ผมก็คงโดนเด้งไปอยู่ชายแดนกับพี่เหมือนกันล่ะครับ”
“แต่ย้ายกลับมาคราวนี้รับรองได้เลยค่ะ ว่าผู้กำกับแล้วก็เจ้าหน้าที่ทุกคนจะได้ทำหน้าที่ตำรวจที่ดีสมใจ จะไม่มีอำนาจมืดอะไรมารังแกได้อีกแล้วล่ะค่ะ...ฉันสัญญา”
เนติมาพูดอย่างหนักแน่นจนระบิลกับผู้กำกับวิเชษฐ์อดยิ้มออกมาด้วยความชื่นชมไม่ได้ จังหวะเดียวกันเนติมาเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“เออ..แต่เมื่อกี้ผู้กำกับมาเร็วมากเลยนะคะ ระบิลเขาเพิ่งส่งภาพกล้องวงจรปิดไปที่สถานีตำรวจแป๊บเดียวเอง ถ้าทำได้อย่างนี้ทุกที่ก็เยี่ยมเลยนะคะ”
“เออ..เดี๋ยวครับ ภาพอะไรผมไม่รู้เรื่อง”
“ก็ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ระบิลเขาส่งไป...”
“บังเอิญผมแวะมาตรวจท้องที่พอดีน่ะครับ”
“อ้าว...แล้วที่...”
เนติมาหันขวับไปมองระบิลทันที ระบิลยิ้มลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เนติมามองอย่างรู้ทันรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันที
ภายในห้องหนังสือ เนติมาหยิกต้นแขนระบิลแล้วลากเข้ามาในห้องจนระบิลร้องเสียงหลง
“มานี่เลย !”
“ใจเย็นๆสิคุณมันเจ็บนะ อูยๆเนื้อจะหลุดแล้วเนี่ย ปล่อยๆก่อน”
เนติมาปล่อยมือมองหน้าระบิลด้วยความโมโห
“นายน่ะหลอกพวกนั้นยังไม่พอ ยังมาหลอกพวกเดียวกันเองอีก”
“หลอกที่ไหน เขาเรียกเพิ่มประสิทธิภาพของๆเราให้พวกมันอึ้งเล่น”
“เลยให้ฉันถือปืนยืนขู่พวกนั้นเนี่ยนะ...นายรู้มั้ยว่าฉันตื่นเต้นแค่ไหน เกิดมาฉันยังไม่เคยถือปืนด้วยซ้ำ นี่ถ้าเกิดพลาดไปทำไง”
“แล้วพลาดมั้ยล่ะคุณ”
“นี่นายประมาทเหรอ”
“ผมรู้ว่าคุณทำได้ต่างหาก”
เนติมาพูดด้วยความโมโห แต่ระบิลกลับยิ้มพูดอย่างใจเย็น จนเนติมานิ่งมองระบิลด้วยความสงสัย
“แววตาของคุณที่มองนายพงษ์เลิศเมื่อวาน กับมองเจ้าอิทธิหาญเมื่อกี้มันบอกความหมายทุกอย่างแล้ว”
ระบิลจ้องตาเนติมานิ่ง จนเนติมารู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูกจนต้องรีบหลบตา
“เออ..เอาเถอะ วันหลังจะทำอะไรก็บอกให้รู้ล่วงหน้าหน่อยก็แล้วกัน ฉันจะได้ตั้งหลักถูก”
“ผมจะพยายาม แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่อง มันก็เข้ามาหาเราโดยไม่ได้นัดหมายเหมือนกัน”
เนติมาครุ่นคิดตามที่ระบิลพูดก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ขอบคุณนายมากนะ”
“มาแบบคุณศิวัชอีกคนแล้ว ขอบคุณผมซะสามเวลาหลังอาหาร ผมทำตามหน้าที่น่ะคุณ คุณไปพักผ่อนเถอะครับ พรุ่งนี้เรายังมีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะ”
ระบิลพูดพลางดันหลังเนติมาออกไปนอกห้อง เนติมาหันมาถามระบิลด้วยความสงสัย
“อ้าว..แล้วนายล่ะ ไม่นอนเหรอ”
เวลาตีสอง ภายในห้องหนังสือบ้านกันต์ เนติมาค่อยๆเดินเข้ามาทางด้านหลังของระบิลที่กำลังนั่งจูนคอมพิวเตอร์กับกล้องวงจรปิดอยู่ ระบิลชำเลืองสายตามองนิดหนึ่ง ก่อนพูดอย่างอารมณ์ดี
“ยังไม่นอนอีกเหรอคุณ”
เนติมาสะดุ้งตกใจถ้วยกาแฟที่ถือมาเกือบตก
“อุ๊ย ! โธ่เอ๊ย..ตกใจหมดเลย”
ระบิลยิ้มแล้วบอก
“นี่คุณ คนที่ควรตกใจน่าเป็นผมมากกว่านะ เล่นย่องมายังกะจะมาดักตีหัวผมงั้นแหละ”
“ก็เห็นนายกำลังเพ่งจอคอมฯอยู่ก็เกรงใจ อ่ะฉันชงกาแฟมาเผื่อ”
เนติมาวางถ้วยกาแฟลงข้างๆระบิล ระบิลยกขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี
“ขอบคุณนะครับ... เออ..ดูนี่สิคุณ ผมเซตกล้องทุกตัวเรียบร้อยหมดแล้วนะ คราวนี้ยุงสักตัวก็อย่าได้รอดสายตา”
“เว่อร์..ไหนดูสิ”
เนติมาขยับเข้ามานั่งข้างๆระบิล มองจอคอมพิวเตอร์ที่แบ่งเป็นช่องเล็กๆสี่ห้าช่องตามจำนวนกล้อง
เห็นมุมต่างๆรอบบ้าน
“ต่อไปคนบ้านนี้จะได้ดูแลตัวเองสะดวกขึ้น ยังมีกล้องตัวอื่นอีกนะคุณ นี่ดึงภาพขึ้นมาดูอย่างนี้”
ระบิลเอื้อมมือไปขยับเม้าส์คอมฯ ดึงภาพมุมอื่นของบ้านขึ้นมาให้เนติมาดู ทำให้ทั้งสองคนเบียดเข้าใกล้กันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ไหนขอฉันลองหน่อยสิ”
เนติมาคว้าเม้าส์มาจากระบิลมาเลื่อนคลิกดู ภาพจากกล้องมุมต่างๆสลับขึ้นมาบนหน้าจอ เนติมาดูด้วยความสนใจจนระบิลอดแซวไม่ได้
“นี่คุณ..เบาๆ ของใช้งานไม่ใช่เกมส์คอมพิวเตอร์”
“รู้น่า ฉันแค่จะดู...เอ๊ะ..รูปนี้คือตรงไหนของบ้านน่ะ”
“ไหนคุณ...”
“นี่ไง อ้าว...หายไปไหนแล้ว”
“ก็คุณปิดมันไปแล้ว ไหนเอาขึ้นมาใหม่สิ”
“ไหนล่ะ ฉันจำไม่ได้แล้ว”
เนติมาพยายามคลิกหาแต่ยิ่งทำยิ่งสับสนเพราะกล้องมีอยู่หลายตัว จนระบิลทนไม่ไหวต้องเอื้อมไปหยิบเม๊าส์ขึ้นมาคลิกภาพขึ้นมาดู ทั้งสองคนพยายามเพ่งดูภาพบนจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ จนใบหน้าของทั้งคู่ขยับเข้ามาแนบชิดกันอย่างไม่รู้ตัว
“รูปนี้รึเปล่าคุณ”
“อืม..ใช่ๆ รูปนี้แหละ”
“โธ่..ก็หลังครัวไงคุณ ไม่เคยเดินออกไปดูล่ะสิ”
เนติมาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนทั้งสองคนจะชะงักค่อยๆชำเลืองสายตามาเจอกันอย่างตกใจและรีบผละออกจากกันทันที
“เฮ้ย ! / อุ๊ย !”
ระบิลกับเนติมารู้สึกอายขึ้นมา อึกอักจนทำอะไรไม่ถูก
“เออ..โอเคมั้ยคุณ”
“เออ..นายถามเรื่องอะไร อะไรโอเค”
“เออ..อ๋อ ก็กล้องวงจรปิดไง โอเคมั้ย”
“อ๋อ..ก็ ก็โอเคนี่”
เนติมาตอบอย่างอึกๆอักๆเพราะความเขิน ขณะที่ระบิลก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันหันไปยกถ้วยกาแฟที่เนติมาชงมาให้ยกขึ้นซดทีเดียวหมดถ้วย
เช้าวันใหม่ ภายในห้องหนังสือที่บ้านกันต์ ระบิลกำลังเช็ดทำความสะอาดปืนอยู่ที่โต๊ะ
“สอนฉันยิงปืนบ้างสิ”
ระบิลชำเลืองมองเนติมาทางด้านหลังนิดหนึ่ง ก่อนพูดอย่างใจเย็น
“ปืนนะคุณไม่ใช่ดอกไม้ จะได้ถือโฉบไปเฉี่ยวมาไปอวดคนโน้นคนนี้ได้”
เนติมาเดินมาจากด้านหลังมองระบิลอย่างหมั่นไส้
“รู้น่า แต่แค่อยากใช้ปืนเป็นจะได้ป้องกันตัว”
“ถ้าถึงขนาดคุณต้องจับปืนป้องกันตัวเอง แล้วจะจ้างผมให้เปลืองเงินทำไมครับ ใครรู้เข้าผมเสียเครดิตแย่ บอดี้การ์ดหมดท่า นายจ้างควงปืนโซ้ยเอง” ระบิลลอยหน้าลอยตาพูด
“โห..คิดมากน่า ฉันแค่ป้องกันไว้เท่านั้น การเมืองเดี๋ยวนี้แรงขึ้น ไหนจะพวกนายอิทธิหาญอีก เกิดจู่ๆนายเป็นอะไรไป แล้วใครจะดูแลฉันล่ะ”
ระบิลชะงักเหล่ตามองเนติมาอย่างหมั่นไส้ทันที
“ปากไม่เป็นมงคลแล้วไงคุณ นี่..ผมไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกน่า”
“แต่...”
“เอาเป็นว่าผมเห็นสมควรเมื่อไหร่ ผมจะหัดให้คุณยิงปืนเอง แต่ยิงเป็นกีฬานะไม่ใช่ป้องกันตัว เพราะหน้าที่ป้องกันคุณ เป็นหน้าที่ของผม โอเคนะครับ”
ระบิลพูดพลางรีบเก็บปืนทันที เนติมาขยับจะพูดอีก แต่ระบิลชิงพูดตัดบท
“วันนี้คุณธำรงนัดคุยตัวแทนพรรคการเมืองที่จะร่วมสัตยาบรรณ ฟอร์มรัฐบาลหลังการเลือกตั้งไม่ใช่เหรอครับ เดี๋ยวไปไม่ทันนะคุณ”
ภายในห้องประชุมพรรคสยามพัฒนาในเวลากลางวัน ธำรงนั่งอยู่หัวโต๊ะเป็นประธานการพูดคุย ธำรงกำลังพูดอธิบายให้ตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆฟังอย่างใจเย็น
ตัวแทนพรรคหนึ่งกำลังพูดเสนอความคิดเห็นด้วยสีหน้าจริงจัง
ศิวัชกำลังอธิบายข้อมูลหรือนโยบายให้ตัวแทนพรรคการเมืองฟัง ตัวแทนพรรคการเมืองฟัง
อย่างตั้งใจ โดยมีเนติมานั่งฟังและจดรายละเอียดอยู่ด้วยความตั้งใจ
ธำรงพูดกับตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆด้วยรอยยิ้ม เพราะข้อตกลงต่างๆผ่านไปด้วยดี
“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะครับ หลังการเลือกตั้งเราจะจับมือกันตั้งรัฐบาล ทำงานเพื่อประเทศของเราอย่างแท้จริง”
ตัวแทนอีกพรรคบอก
“พวกเราก็ทนเห็นการข่มเหงประเทศต่อไปไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”
“ผมยินดี แล้วก็ขอบคุณทุกท่านที่จะร่วมมือเสียสละทำงานเพื่อชาติครั้งนี้ จริงๆครับ”
ศิวัชพูดจากใจจริงพลางลุกขึ้นยกมือไหว้ตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆที่มาร่วมพูดคุย ทั้งหมดลุกขึ้นจับมือเป็นเชิงให้สัตยาบรรณกันอย่างเหนียวแน่น
ธำรง ศิวัช เนติมาสบตายิ้มให้กันอย่างอารมณ์ดีที่แผนงานที่วางไว้ดำเนินไปตามเป้าหมาย
ตึกสูงในกรุงเทพฯขึ้นเบียดกันหนาแน่น
ภายในร้านอินเทอร์เนต อนงค์กำลังเปิดเว็บไซด์ต่างๆดูไปเรื่อยจนพบเว็บไซด์หนึ่ง อนงค์ยิ้มก่อนที่จะรีบเอื้อมมือไปสะกิดดลซึ่งนั่งอยู่ข้างๆทันที
“พี่ดลๆ”
ดลกำลังใช้คอมพิวเตอร์อยู่อีกเครื่องหนึ่งอย่างตั้งใจ
“อะไรอ้อ...” ดลตอบทั้งๆที่ยังไม่หันมามองหน้าอ้อ
“พี่ดลดูนี่สิ”
“มีอะไร กำลังหาข้อมูลเรื่องเรียนอยู่”
ดลพูดโดยสายตายังเพ่งอยู่ที่หน้าจอของตน ขณะที่อนงค์คิดอะไรอยู่นิดหนึ่ง ก่อนสูดหายใจลึกแล้วตัดสินใจพูด
“อ้อเป็นพริตตี้ได้มั๊ยจ๊ะพี่ดล”
“อะไรนะ !”
ดลหันขวับมาหาอ้อทันทีด้วยความตกใจ อนงค์ยิ้มพูดอย่างอารมณ์ดี
“อ้อบอกว่า อ้อเป็นพริตตี้ได้มั๊ยจ๊ะ อ้อจะได้ช่วยพี่...”
“ไม่ได้นะอ้อ !”
ดลเผลอตัวพูดเสียงดังจนคนในร้านหันมามอง อนงค์ต้องรีบเอามือปิดปากดลทันที
“พี่ดลจะเสียงดังทำไม”
ดลพูดเสียงเบาลงบอก
“ก็เมื่อกี้อ้อพูดอะไร เรามีหน้าที่เรียนอย่างเดียวนะ แล้วไอ้งานพริตตี้เนี่ย พี่ยิ่งไม่ให้ไปทำใหญ่ จู่ๆจะไปแต่งตัววับๆแวมๆให้คนอื่นดูได้ไง”
“โห..แต่พริตตี้ที่อ้อว่าไม่ต้องไปแต่งตัวอย่างนั้นนี่จ๊ะ”
อนงค์ดึงให้ดลมาดูหน้าจอ
“เห็นมั๊ยเนี่ย เขากำลังรับสมัครพริตตี้สินค้าพวกขนม ไอติม แต่งตัวน่ารักไม่โป๊ซะหน่อย”
“ไม่ล่ะ ยังไงพี่ก็ไม่ให้ทำ”
อนงค์อ้อน
“นะพี่ดลนะ ทำแค่เสาร์อาทิตย์เอง เนี่ยเขาบอกว่าทำในห้าง ไม่อันตรายหรอกนะ”
อนงค์พยายามยิ้มใจดีสู้เสือ ขณะที่ดลแกล้งยิ้มให้อนงค์อย่างใจดีจนอนงค์นึกว่าดลอนุญาต
“อนุญาตแล้วใช่มั้ยจ๊ะ ต้องอย่างนี้สิน่ารัก...”
“ฝันไปเถอะ !”
ดลพูดพร้อมหุบยิ้มทำหน้าจริงจังขึ้นมาทันที ทำเอาอนงค์หุบยิ้มทำหน้าเซ็งทันที
“อ้าว...”
ดลกับอนงค์เดินมาด้วยกันบนทางเท้าริมถนนใจกลางกรุงเทพฯในตอนกลางวันที่มีผู้คนเดินสวนไปมา อนงค์หน้าง้ำงอนที่ดลไม่อนุญาตให้ไปทำงานเป็นพริตตี้ ดลเหล่มองอย่างขำๆ
“โกรธพี่เหรอ”
“ก็อ้อแค่อยากช่วย”
“เราคุยเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้วนะอ้อ”
อนงค์ถอนใจแล้วบอก
“ก็ได้ๆไม่ช่วยก็ได้ เออ..แล้วเมื่อกี้พี่ดลจดข้อมูลเรื่องเรียนมาได้เยอะรึเปล่าจ๊ะ”
“เยอะ..แล้วยังได้อย่างอื่นเป็นแถมมาด้วยนะ”
อนงค์นิ่วหน้าด้วยความสงสัย ดลยิ้มพลางหยิบสมุดที่ใช้จดออกมาจากเป้กางให้ดู
“ตารางหาเสียงของพรรคสยามพัฒนา”
“พี่ดลจะไปสมัครทำงานกับเขาเหรอจ๊ะ...อุ๊ย..อย่าบอกนะว่าพี่ดล”
“เนี่ย จะเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้พี่เจอ...”
“สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้อง พรรคสยามพัฒนา ขอเสนอตัวเป็นทางเลือกที่ดีกว่าให้ประชาชน วันนี้คุณศิวัช กิตติธร เสนอตัวมารับใช้พี่น้องประชาชน เพื่อนำพาความสุขกลับมาสู่ทุกชีวิตในประเทศนี้แล้วครับ”
ยังไม่ทันที่ดลจะพูดอะไรต่อก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงพูดผ่านเครื่องขยายเสียงดังแว่วมา
ดลกับอนงค์หันไปตามเสียง เห็นรถหกล้อหาเสียงของพรรคสยามพัฒนาวิ่งสวนมาช้าๆในฝั่งถนนตรงข้าม บนหลังรถศิวัชและทีมงานยืนโบกไม้โบกมือให้กับประชาชน มีประชาชนหลายคนกรูเข้ามาห้อมล้อมรถด้วยความสนใจและชื่นชม
“นั่นมันคุณศิวัช นี่อ้อ”
“ดูผู้หญิงคนนั้นสิจ๊ะพี่ดล”
อนงค์รีบชี้ให้ดู ดลมองตามไปเห็นเนติมาขยับออกมายืนข้างๆศิวัช ส่งน้ำให้ศิวัชดื่มอย่างเอาใจ โดยมีระบิลยืนประกบเนติมาไม่ห่าง เนติมากับศิวัชหันมายิ้มให้กันอย่างมีความสุข
ดลเพ่งมองเนติมาที่อยู่บนรถซึ่งกำลังเคลื่อนผ่านไปด้วยความตะลึง ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ
“พี่เนติ์ ! อ้อ..รอพี่อยู่นี่นะ”
ดลวิ่งข้ามถนนออกไปทันทีโดยไม่สนรถที่วิ่งไปมาบนถนน อ้อมองตามดลไปด้วยความตกใจ
“พี่ดล !”
อนงค์ขยับจะวิ่งตามดลไป แต่รถที่วิ่งมาบีบแตรเสียงดังลั่น จนอนงค์ตกใจต้องกลับขึ้นมายืนบนทางเท้าอีกครั้ง ได้แต่มองตามดลไปด้วยความเป็นห่วง
บนรถหาเสียง ศิวัชกับเนติมากำลังโบกไม้โบกมือกับประชาชนด้วยรอยยิ้ม ศิวัชหันไปพูดกับเนติมาด้วยความเป็นห่วง
“เหนื่อยมั้ยจ๊ะเนติ์”
“เหนื่อยค่ะแต่ยังไหว พี่ศิวัชล่ะคะเหนื่อยมั้ย”
“เหนื่อย แต่เพื่ออนาคตของประเทศ พี่ทนได้จ้ะ”
ศิวัชยิ้มตอบอย่างมุ่งมั่น ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาจะซับให้เนติมา ทีมงานเดินเข้ามาสะกิด
“ทางนี้หน่อยครับคุณศิวัช”
ศิวัชรีบหันไปทางทีมงานที่เรียกพร้อมโบกมือให้ประชาชน เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆได้อย่างเนืองแน่น เนติมามองศิวัชอย่างยิ้มๆ ก่อนหันมาทางระบิลที่ยืนอยู่อีกข้างเพื่อระวังภัย เนติมาอมยิ้มเมื่อเห็นระบิลดูขรึมกว่าที่เป็น
“ไม่โบกมือทักทายสาวๆหน่อยเหรอคะ”
“ผมกำลังทำงานนะคุณ”
“แหม..ล้อเล่นหรอกน่า แค่นี้ต้องทำเข้มด้วย”
เนติมาค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้ ระบิลยิ้มออกมาอย่างชอบใจ จังหวะเดียวกันเนติมาขยับจะหาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อแต่หาไม่ได้ ระบิลหันมาเห็นรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองยื่นมาให้
“ลืมเอามาเหรอครับ อ่ะ..ใช้ของผมก่อนมั้ยคุณ รับรองสะอาดปลอดภัย”
“ขอบคุณนะ”
เนติมายิ้มอย่างขอบคุณก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าของระบิลมาซับเหงื่อ แต่จังหวะเดียวกันเนติมาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกของดลแว่วมา
“พี่เนติ์..พี่เนติ์”
เนติมาหันขวับไปมองด้านนอกรถ พยายามมองหาที่มาของเสียง แต่ไม่สะดวกนักเพราะติดทีมงานที่ยืนกันอยู่หลายคน เนติมาเห็นแต่กลุ่มของประชาชนที่มารุมล้อมรถ จนระบิลหันมาถามด้วยความสงสัย
“อะไรคุณ”
“เหมือนมีใครเรียกฉันก็ไม่รู้”
ระบิลพยายามมองตามเนติมาออกไปที่ข้างถนนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เห็นแต่ประชาชนที่รุมล้อมอยู่หลายคน
รถหาเสียงของพรรคสยามพัฒนาเริ่มเพิ่มความเร็ววิ่งห่างออกไป โดยมือกลุ่มประชาชนที่สนับสนุนยืนโบกมือให้ด้วยรอยยิ้ม มีนักข่าวตามบันทึกภาพอยู่หลายคน
ดลที่พยายามวิ่งตามแต่ไม่ทัน ได้แต่ยืนหอบเหงื่อแตกพราวด้วยความเสียดาย
“พี่เนติ์...”
“พี่ดล”
ดลหันไปเห็นอนงค์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา
“อ้อ..พี่บอกให้รอฝั่งโน้นไง”
“ก็อ้อเป็นห่วงพี่ดลนี่จ๊ะ เป็นไงบ้าง”
ดลพูดอะไรไม่ออกได้แต่ถอนใจ มองตามรถหาเสียงที่วิ่งไกลออกไปด้วยความเสียดาย อนงค์มองอย่างเข้าใจความรู้สึกก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้
“วิ่งตามรถไม่ทันก็ไปหาที่พรรคสิจ๊ะพี่ดล”
ที่หน้าทำการ “พรรคสยามพัฒนา” ทีมงานหาเสียงกำลังช่วยกันขนป้าย,ใบปลิว และอุปกรณ์หาเสียงขึ้นรถกันอย่างขยันขันแข็ง ดลกับอ้อเดินคุยกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งออกมาจากด้านใน
“ก็อย่างที่เห็นแหละน้อง ตอนนี้ทีมงานเราเต็มหมดแล้วจริงๆ ถ้ายังไงเราต้องการคนเพิ่มเมื่อไหร่พี่จะติดต่อไปก็แล้วกันนะ”
“เออ..พี่ครับ แล้วตอนนี้คุณศิวัชกับคุณเนติมาอยู่มั้ยครับ”
ดลมองเข้าไปในที่ทำการพรรคด้วยความร้อนใจ
“โอ๊ย..เข้ามาแล้ว แล้วก็ออกไปตั้งนานแล้วน้อง ไปหาเสียงต่อที่นครนายก น้องมีอะไรจะร้องเรียนเหรอ”
“เออ..คือว่าพี่ดลเนี่ย...”
อนงค์กำลังจะพูดว่าดลเป็นน้องชายของเนติมา แต่ดลรีบคว้ามือไว้ก่อนเป็นการเตือน อนงค์ชะงักมองดลด้วยความสงสัย เจ้าหน้าที่พรรคก้มมองด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน
“มีอะไรรึเปล่าน้อง”
ริมน้ำในสวนสาธารณะเวลาต่อมา ดลนั่งมองแม่น้ำเจ้าพระยาสายกว้าง โดยมีตึกสูงของกรุงเทพฯอยู่เบื้องหลังอย่างครุ่นคิด ขณะที่อนงค์นั่งดูดน้ำจากแก้วอยู่ข้างๆ มองดลอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมเมื่อกี้พี่ดลไม่บอกเขาไปล่ะจ๊ะ”
“เดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่ พี่ยังไม่อยากให้เรื่องของพี่กับพี่เนติ์เป็นที่จับตาตอนนี้ มันจะเป็นอันตราย”
“ว้า..เสียดาย อุตส่าห์ไปถึงพรรคแล้วเชียว”
อ้อถอนใจออกมาด้วยความเสียดาย ขณะที่ดลยิ้มออกมาอย่างไม่คิดอะไรมาก
“เอาน่า อย่างน้อยวันนี้พี่ก็ได้เห็นพี่เนติ์”
“พี่เนติ์สวยเนอะ ดูเป็นผู้หญิงเก่งด้วย”
“เรื่องราวที่เกิดขึ้นคงหล่อหลอมให้พี่เนติ์เป็นอย่างนี้ เหมือนกับที่หล่อหลอมให้พี่เป็นอย่างที่อ้อเห็นไง”
“ให้พี่ดลเป็นฮีโร่ของอ้อ”
อนงค์พูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสดใสของวัยสาวแรกรุ่นก่อนเอื้อมมือไปกุมมือดลอย่างให้กำลังใจ
“สู้ๆ”
ดลหันมามองอนงค์ก่อนยิ้มออกมาอย่างมีกำลังใจพลางกระชับมืออนงค์ด้วยความผูกพัน
อนงค์ก้มมองมือของตนที่ถูกดลกระชับไว้แล้วรู้สึกอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 4 (ต่อ)
รถตู้ของทีมงานหาเสียงสองคัน วิ่งฝ่าสายฝนมาตามทางถนนลูกรังอย่างยากลำบาก ภายในรถเนติมานอนหลับตาซบอยู่ที่ไหล่ของศิวัชด้วยความเหนื่อย
ชายที่นั่งอยู่คู่กับคนขับหันมาพูดกับศิวัช
“ถึงหมู่บ้านแล้วนะครับ”
ระบิลที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังเนติมากับศิวัช มองผ่านกระจกรถออกไปด้านนอกเห็นฝนตกหนาเม็ดมาก
“ไม่มีแววฝนจะหยุดตกเลยนะครับ”
“ไม่หยุดก็ต้องลุยล่ะครับ ป่านนี้ชาวบ้านรอแย่แล้ว”
ศิวัชบอกกับทีมงาน
“บอกทีมงานทุกคนไม่ต้องเอาร่มมารับผมนะครับ”
ศิวัชพูดอย่างมั่นใจ เนติมาลืมตาขึ้นมามองศิวัชด้วยความเป็นห่วงทันที
“จะตากฝนเหรอคะ เดี๋ยวไม่สบายนะ”
“ชาวบ้านที่ยืนรอพี่ ป่านนี้ก็คงเปียกเหมือนกัน แล้วจะให้พี่แห้งอยู่คนเดียวได้ยังไงจ๊ะ”
ศิวัชพูดยิ้มๆ เนติมากับระบิลมองศิวัชด้วยความชื่นชม ก่อนศิวัชจะพูดกับเนติมาอย่างอ่อนโยน
“เนติ์รอในรถนะจ๊ะ”
“อ้าว..ไม่เอานะคะ เนติ์ไปด้วย”
“เดี๋ยวโดนฝนไม่สบายนะจ๊ะ”
ศิวัชพูดด้วยความเป็นห่วง เนติมาออกอาการงอนพูดด้วยความดื้อ
“พี่ศิวัชก็รู้ ว่าเนติ์เป็นคนแข็งแรง”
“แต่ฝน...”
“เนติ์มาช่วยทำงานนะคะ ไม่ได้มานั่งรถเล่น”
ศิวัชถอนใจออกมาด้วยความอ่อนใจเพราะดูท่าทางเนติมาคงไม่ยอมแน่ ศิวัชหันไปมองระบิลอย่างขอคำปรึกษา ระบิลยิ้มอย่างไม่คิดมาก
“ผมถึงไหนถึงกันอยู่แล้วครับ”
ภายในหมู่บ้านในต่างจังหวัด ศิวัชตากฝนไหว้ชาวบ้านที่มายืนรวมกลุ่มต้อนรับอยู่ที่เพิงทางเข้าหมู่บ้าน โดยมีเนติมากับระบิลยืนอยู่ข้างๆ เนติมายิ้มทักทายชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง
ระบิลถูกชาวบ้านสาวๆหลายคนดึงเข้าไปหอมแก้ม เนติมาหันไปเห็นแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ศิวัชที่เนื้อตัวเปียกปอนอยู่ยืนพูดกับชาวบ้านหลายคนที่มานั่งฟังอยู่อย่างตั้งใจ
เนติมานั่งอยู่ที่เก้าอี้คู่กับระบิล ระบิลหันมาเห็นเนติมานั่งกอดอกสั่นด้วยความหนาว เนติมาหันมาเห็นระบิลมองอยู่ก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติพลางยิ้มกลบเกลื่อน
ฝนยังคงตกต่อเนื่อง ระบิลมองเนติมาด้วยความเป็นห่วง
ระบิล เนติมา ศิวัช และทีมงานจำนวนหนึ่งเดินมาตามทางดินลื่นๆ โดยมีชาวบ้านเดินนำลงพื้นที่ โดยศิวัชเดินคู่กับชาวบ้านคนหนึ่ง ขณะที่เนติมาเดินคู่มากับระบิล
เนติมาเดินลื่นจนเกือบล้ม แต่ระบิลรีบประคองไว้ได้ทัน
ศิวัชนั่งคุยกับชาวบ้านสูงวัยคนหนึ่งที่ใต้ถุนบ้านไม้เก่าๆ อย่างเป็นกันเอง
ระบิลกับเนติมาก็คุยกับชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งอย่างออกรส ระบิลเรียกเสียงหัวเราะให้ชาวบ้านได้มาก
เนติมา ศิวัช กำลังนั่งล้อมวงทานข้าวกับชาวบ้าน สำรับเป็นอาหารพื้นบ้านอย่างกันเอง
เนติมาหันไปมองระบิลที่ตักกับข้าวใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่อีกวงหนึ่ง ระบิลหันมายิ้มพลางตักกับข้าวพื้นบ้านอย่างหนึ่งให้เนติมา พลางยกนิ้วให้เป็นเชิงว่ากับข้าวอันนี้อร่อยจริงๆ
ในเวลากลางคืน รถตู้ขับเข้ามาจอดที่หน้าตัวตึกของที่ทำการพรรคสยามพัฒนา ระบิล เนติมา ศิวัช ลงมาจากรถ ทั้งสามคนเดินคุยกันเข้าไปด้านใน
“ทีแรกนึกว่าฝนจะเป็นอุปสรรค แต่ที่ไหนได้กลายเป็นตัวเสริมให้คุณศิวัชซื้อใจชาวบ้านได้” ระบิลว่า
“นายก็ใช่ย่อยนะ ท่าทางชาวบ้านชอบนายน่าดู” เนติมาว่า
“คุณมีแววนะครับ สนใจลงสนามการเมืองมั้ย เดี๋ยวผมบอกคุณพ่อให้” ศิวัชพูดยิ้มๆ
ระบิลรีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน
“โอ๊ยๆ รักกันจริงไม่ต้องชงเรื่องให้เลยนะครับ ขอผมอยู่ของผมอย่างนี้เถอะ เชื่อสิ...ผมไม่เหมาะกับกการเมืองหรอกครับ”
“โอเคๆได้ งั้นเดี๋ยวเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งๆกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบาย”
ศิวัชบอกกับเนติมา
“เดี๋ยวพี่ให้แม่บ้านหาเสื้อยืดของพรรคให้ใส่”
“ดีเหมือนกันค่ะ”
พอระบิล เนติมา และศิวัช ขยับจะเดินต่อไป แต่ต้องชะงักเมื่อปฏิพรเดินยิ้มออกมาจากทางแยก ในมือปฏิพรมีผ้าขนหนูและเสื้อผ้าของศิวัชที่รีดเรียบร้อยถือออกมาด้วย
“พี่ศิวัช”
“ตี้ !”
ศิวัชเรียกด้วยความตกใจจนรู้สึกประหม่าขึ้นทันที ขณะเนติมามองปฏิพรด้วยความแปลกใจที่ปฏิพรรี่เข้ามาเอาผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้ศิวัชอย่างเอาใจใส่ ขณะที่ศิวัชทำอะไรไม่ถูก
“ตายจริง..ผมยังไม่แห้งอีกเหรอคะเนี่ย มาค่ะเดี๋ยวตี้เช็ดให้”
“เออ...ไม่ต้อง...”
“ไม่ต้องได้ไงคะ เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาว่าไง ดีนะคะที่ตี้ฟังข่าวว่าพื้นที่ที่พี่ศิวัชไปหาเสียงฝนตกหนัก ตี้เลยอาสาคุณอาเอาชุดมาเปลี่ยนให้ แปลกนะคะเราสองคนเจอกันทีไรต้องมีเรื่องให้เปียกปอนกันทุกทีเลย”
ปฏิพรหัวเราะร่วนทำเป็นไร้เดียงสา ขณะที่ศิวัชได้แต่ยิ้มเจื่อน
ระบิลมองเนติมาที่เบือนหน้าไม่อยากมองภาพตรงหน้าให้บาดตา ปฏิพรชำเลืองมองเนติมานิดหนึ่ง ก่อนยิ้มออกมาอย่างได้ใจ
“เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ไปดินเนอร์กันนะคะ”
“เออ...แต่”
“แต่คุณพ่อพี่ศิวัชจองโต๊ะไว้แล้วนะคะ...ไปด้วยกันนะคะคุณเนติมา”
ปฏิพรยิ้มแกล้งชวนเนติมา ศิวัชหันไปมองเนติมาอย่างขอคำปรึกษา ขณะที่เนติมามองศิวัชด้วยความไม่สบายใจ
ในเวลาต่อมา ระบิลที่กำลังขับรถอยู่ หันมองเนติมาที่นั่งกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“อย่าไปโกรธคุณศิวัชเลยคุณ ผมว่าเขาก็พูดไม่ออกเหมือนกัน”
“ฉันเข้าใจ พี่ศิวัชเป็นคนขัดคุณอาธำรงไม่ได้อยู่แล้วด้วย”
“นี่..อย่าหาว่าผมยุ่งเลยนะแต่คุณก็ควรแสดงความเป็นเจ้าของแฟนคุณบ้างนะไม่ใช่...”
“ฉันไว้ใจพี่ศิวัช” เนติมาพูดแทรกทันที
“คุณศิวัชน่ะน่าไว้ใจ แต่คุณปฏิพรนั่นผมว่าไม่น่าไว้ใจนะคุณ”
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง ไปโวยวายใส่หน้าคุณปฏิพรเข้าเหรอ เขาเป็นลูกท่านนายพลทวีซึ่งเป็นที่ปรึกษาพรรค แล้วคุณอาธำรงก็นับถือท่านมากด้วย”
“แต่...”
“ฉันเหนื่อย...”
เนติมาพูดตัดบทพลางปรับเบาะลงนอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ ระบิลถอนใจมองเนติมาด้วยความเข้าใจ
ระบิลขับรถเข้ามาจอดที่หน้าประตูรั้วบ้าน ภายในรถเนติมาที่นอนหลับอยู่
“ถึงบ้านแล้วนะครับ”
เนติมายังคงนอนหลับเหมือนไม่ได้ยินระบิลเรียก
“คุณ...คุณ”
ระบิลเรียกอีกสองสามครั้งก็รู้สึกผิดสังเกตจึงเอื้อมมือไปสะกิดเรียก แล้วต้องตกใจเมื่อพบว่าเนติมาตัวร้อน จึงเอามือแตะหน้าผาก
“คุณ....เป็นเรื่องแล้ว”
ระบิลรีบถอยรถออกแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องพักคนไข้พิเศษในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เนติมานอนหลับอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว ข้างกายมีเสาแขวนน้ำเกลืออยู่ ระบิลที่นั่งอยู่ข้างๆเตียงมองเนติมาด้วยความเป็นห่วง ระบิลครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะโทรออก
“ห้ามโทรบอกพี่ศิวัชนะ”
ระบิลชะงักเมื่อได้ยินเสียงเนติมาพูดอย่างอ่อนแรง ระบิลหันไปเห็นเนติมามองมาอย่างขอร้อง
“แล้วก็ไม่ต้องบอกใครทั้งนั้น”
“ทำไมล่ะคุณ”
“ฉันไม่อยากให้ใครเป็นห่วง แม้กระทั่งนายก็เถอะ”
ระบิลยิ้มออกมาก่อนพูดอย่างใจเย็น
“เราเป็นเหมือนคู่บั๊ดดี้กันแล้วนะคุณ จะไม่ให้ผมไม่เป็นห่วงคุณได้ยังไงล่ะครับ...เอาล่ะ ผมสัญญาว่าจะไม่บอกใคร แต่คุณต้องนอนนะจะได้หายไข้เร็วๆ”
“แต่...”
เนติมาขยับจะลุกขึ้น ระบิลแกล้งยกโทรศัพท์มือถือขึ้นขู่ทันที
“ไม่งั้นผมจะโทรบอกทุกคนทันที”
เนติมาถอนหายใจอย่างขัดใจ พูดอย่างอ่อนแรง
“นี่นายสั่งฉันเหรอ”
“อืม..ก็คนไข้คนนี้ท่าทางดื้อน้อยอยู่เมื่อไหร่ล่ะ ถ้าไม่อยากให้ใครเป็นห่วงก็อย่าดื้อนะครับ จะได้หายเร็วๆ”
ระบิลพูดเสียงอบอุ่นพลางกระชับผ้าห่มให้เนติมาอย่างเอาใจใส่
ศิวัชกับปฏิพรเดินออกมาจากร้านอาหารในโรงแรมหรู ศิวัชมีสีหน้าไม่สบายใจนัก
“วันหลังอย่าอำพี่อีกนะครับ”
“อำที่ไหนคะ ก็คุณอาบอกจะมาแล้วแคนเซิลนี่นา รังเกียจที่จะดินเนอร์กับตี้สองคนเหรอคะ”
ปฏิพรพูดอ้อนพลางคล้องแขนศิวัช ศิวัชถอนหายใจอย่างอึดอัด
“เปล่าหรอกครับ แต่พี่เกรงใจเนติ์เขา”
“แหม..คุณเนติ์ยังไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย เมื่อกี้เราก็ชวนเขาแล้วเขาก็ไม่มา สงสัยคงเหนื่อยจริงๆแหละค่ะ พี่ศิวัชโกรธตี้เหรอคะ”
ศิวัชคิดหนึ่งหนึ่งก่อนถอนใจอีก
“เออ..พี่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะครับ”
“ค่ะ”
ปฏิพรยิ้มสดใส ศิวัชยิ้มนิดหนึ่งเพื่อรักษามารยาทก่อนเดินเลี่ยงออกไป ปฏิพรยิ้มมองตามศิวัชไปอย่างชอบใจ
ภายในห้องพักไข้พิเศษ ระบิลกำลังจะนั่งสัปหงกอยู่ข้างเตียงคนไข้ จังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเนติมาก็ดังขึ้น ระบิลสะดุ้งตื่นขยับจะหยิบมารับสาย แต่เนติมาเอื้อมมือหยิบได้ก่อน เมื่อดูเบอร์แล้วก็พยายามฝืนทำตัวให้สดชื่น
“ค่ะพี่ศิวัช”
ศิวัชพูดโทรศัพท์อยู่หน้าอ่างล้างหน้าด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดมาก
“เนติ์ถึงบ้านแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”
“ค่ะ..เนติ์ถึงบ้านแล้ว กำลังจะนอนเลย พี่ศิวัชอยู่ไหนคะ”
ระบิลถอนใจมองเนติมาที่ต้องโกหกศิวัชด้วยความไม่สบายใจ ศิวัชถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจที่ต้องโกหกเหมือนกัน
“เออ..พี่เพิ่งทานข้าวกับคุณพ่อเสร็จ กำลังจะกลับบ้านแล้วจ้ะ เออ..เมื่อกี้พี่ขอโทษแทนน้อง...”
“ไม่เป็นไรค่ะ เนติ์เข้าใจ”
เนติมานิ่งฟังปลายสายพูด แล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุขที่ได้คุยกับคนรัก ระบิลมองอย่างเข้าใจ
ฝ่ายศิวัชก็ยิ้มออกมาได้และรู้สึกสบายใจมากขึ้น
“งั้นพี่กลับบ้านก่อนนะจ๊ะ ฝันดีนะจ๊ะเนติ์ พี่รักเนติ์นะ”
เนติมายิ้มอย่างมีความสุขก่อนพูดอย่างอ่อนโยน
“เนติ์ก็รักพี่นะคะ ฝันดีค่ะ”
เนติมากดวางสายก่อนไอออกมาอย่างหนัก สีหน้าและท่าทางที่สดใสเพื่อให้คนรักสบายใจเมื่อครู่หายไปทันที ระบิลรีบเข้าไปดูอาการด้วยความสงสาร
“ไหวมั้ยคุณ”
“ไหว..ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า”
“คุณนี่จริงๆเลยนะ ยอมเล่นละครเพื่อให้คนรักคิดว่าคุณยังสบายดีอยู่”
“นายเคยมีความรักใช่มั้ย”
เนติมาถามอย่างอ่อนแรง ระบิลนิ่งคิดถึงคนรักก่อนพยักหน้า
“ใช่...”
“ถ้านายรักใครสักคน นายจะยอมทำทุกอย่างรึเปล่า ที่จะทำให้คนรักมีรอยยิ้มถึงตัวเองจะเจ็บป่วยแค่ไหนก็ตาม”
“ใช่..ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อคนที่ผมรัก”
ระบิลพูดเสียงอ่อน เนติมายิ้มอย่างอ่อนแรง
“คราวนี้นายเข้าใจฉันแล้วใช่มั้ย”
ระบิลยิ้มพยักหน้าอย่างเข้าใจ เนติมาไออีกเล็กน้อยก่อนค่อยๆหลับตาลง ระบิลค่อยๆเอื้อมมือไปกระชับผ้าห่มให้เนติมาอย่างเอาใจใส่ มองเนติมาอย่างเข้าใจความรู้สึก
กรุงเทพฯยามเช้า บริเวณทางเดินในโรงพยาบาลซึ่งมีคนเดินสวนไปมาบ้าง ระบิลกำลังเดินคุยโทรศัพท์อยู่
“รบกวนหน่อยนะครับพี่”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ที่แต่งเครื่องแบบเรียบร้อยกำลังชงกาแฟและปิ้งขนมปังอย่างรีบๆ อยู่ในบ้านที่เรียบง่ายสมถะ
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวพี่ดูแลให้ว่าแต่คุณเนติ์อาการเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ไข้หวัดน่ะครับ แต่เรื่องนี้พี่เชษฐ์อย่าบอกให้คุณธำรงกับคุณศิวัชรู้นะครับ คุณเนติ์ไม่อยากให้ใครเป็นห่วง ขอบคุณมากครับพี่”
ระบิลวางสายโทรศัพท์ ก่อนขยับจะหันกลับเข้าไปด้านใน แต่ต้องชะงักเมื่อสายตาหันไปเห็นอะไรอย่างหนึ่ง...
ระเบียงบ้านอิสราวัชรในเวลากลางวัน ปานเดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ ก่อนหยุดมองไปที่บ้านของกันต์ด้วยความไม่สบายใจอย่างมาก ปานนึกถึงเหตุการณ์ที่เห็นระบิลในบ้านกันต์
ปานเห็นระบิลถึงกับตะลึงด้วยความตกใจ เพราะระบิลเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทตัวเอง
ปานมองไปยังบ้านกันต์แล้วต้องถอนใจพราะรู้ว่าระบิลอยู่ใน
บ้านหลังนั้น
“โธ่โว้ย ! ทำไมต้องเป็นแกด้วยวะระบิล”
“พี่ปานๆ !”
ปานชะงักหันไปเห็นลูกน้องคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ปานมองด้วยความสงสัย
“มีอะไรวะไอ้วิทย์”
“บ้านโน้นน่ะพี่ มีรถตำรวจมาจอดหน้าบ้าน”
“แล้วไงวะ”
“ก็..ถ้ามันตามตำรวจมาจับพวกเราล่ะพี่ ฉันว่าเรียกเสี่ยเถอะ”
“เรียกเหรอ นี่แน่ะ !”
ปานตบหัวลูกน้องจนหัวทิ่มก่อนพูดอย่างหงุดหงิด
“หาเรื่องตายเหรอมึง เสี่ยยังนอนกกหญิงอยู่เลย”
“แต่...”
“ไม่ต้องตื่นตูมไปน่า ไม่มีตำรวจคนไหนกล้าเล่นกับเสี่ยหรอก ไป..เอ็งจะไปทำอะไรก็ไป”
ปานไล่ลูกน้องอย่างดุๆ ลูกน้องเดินหน้าเจื่อนออกไป
ปานมองไปที่บ้านของกันต์อีกครั้ง อดคิดด้วยความสงสัยไม่ได้ว่าตำรวจมาทำไม
ผู้กำกับวิเชษฐ์เดินเข้ามาที่ระเบียงบ้านพร้อมกับเจือจันทร์ แล้วยกมือไหว้กันต์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับคุณอา”
“ทำไมไม่เปิดประตูให้ผู้กำกับเอารถเข้ามาล่ะคุณ”
“ผู้กำกับเขาอยากจอดรถไว้ขู่พวกบ้านโน้นน่ะคุณ”
“เขียนเสือให้วัวกลัวน่ะครับ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พูดยิ้มๆ ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีใครแอบมองอยู่ ผู้กำกับวิเชษฐ์เงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนก็เห็นขวัญชนกแอบแหวกผ้าม่านมองอยู่ที่หน้าต่าง แต่เมื่อขวัญชนกเห็นผู้กำกับวิเชษฐ์มองขึ้นมาก็รีบหลบเข้าไปทันที
“เอ๊ะ !”
กันต์มองตามผู้กำกับวิเชษฐ์ไปแล้วหันมาพูดอย่างไม่คิดอะไรมาก
“เออ..ลูกสาวผมเองครับ”
“ผมว่าเชิญข้างในดีกว่านะครับ...ไปคุณ”
กันต์กับเจือจันทร์กลับเข้าไปในบ้าน ขณะที่ผู้กำกับวิเชษฐ์มองขึ้นไปด้านบนอีกนิดหนึ่งด้วยความสงสัย ก่อนเดินตามกันต์กับเจือจันทร์เข้าไป
ผู้กำกับวิเชษฐ์ลงนั่งที่โซฟาด้วยรอยยิ้ม กันต์พูดด้วยความเกรงใจ
“เลยต้องรบกวนผู้กำกับเลยนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวผมจะให้ลูกน้องมาอยู่เป็นเพื่อน แล้วเย็นๆผมจะกลับมาอีกที”
“ผู้กำกับดื่มน้ำอะไรดีคะ”
“น้ำเปล่าก็พอครับผม”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พูดด้วยรอยยิ้ม เจือจันทร์เดินเข้าไปด้านใน ผู้กำกับวิเชษฐ์หันไปมองรูปครอบครัวของกันต์ที่ถ่ายพร้อมหน้าพร้อมตาบนฝาผนัง แต่ละคนยิ้มมีความสุข ผู้กำกับวิเชษฐ์สะดุดตากับรูปขวัญชนกที่อยู่ในวัยสดใส
“ยัยขวัญน่ะครับ ถ่ายก่อนบ้านผมจะเกิดเรื่องไม่นาน ความสุขมันพลิกกลายเป็นความทุกข์แค่ชั่ววินาทีจริงๆนะครับ”
กันต์พูดอย่างทำใจ ผู้กำกับวิเชษฐ์เข้าใจความรู้สึกของกันต์ทุกอย่าง และคิดอะไรบางอย่างก่อนตัดสินใจพูดอย่างหนักแน่น
“ผมรื้อสำนวนเก่าๆดูแล้ว ถ้าคุณอาอยากจะรื้อคดีผมก็เต็มที่นะครับ”
กันต์ได้ฟังผู้กำกับวิเชษฐ์พูดก็ครุ่นคิดด้วยความหนักใจอยู่ไม่น้อย เพราะคดีที่เกิดขึ้นถูกดองจากตำรวจชุดเดิมมานานหลายปีด้วยอิทธิพลของพงษ์เลิศ
ภายในห้องคนไข้ เนติมาที่หลับอยู่ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย เห็นดอกกุหลาบสีแดงจัดอยู่ในแจกันสวยงาม
“เห็นในโรงพยาบาลเขามีขายน่ะคุณ เลยซื้อมาจัดให้”
เนติมาหันไปอีกด้านเห็นระบิลกำลังจัดอาหารและขนมที่ซื้อมาหลายอย่าง ระบิลนำเสนออย่างอารมณ์ดี
“นอนเต็มอิ่มเลยสิ หิวหรือยังคุณ ผมเตรียมของให้คุณทานเพียบเลยเห็นมั้ย หม่ำอะไรก่อนดีคุณ”
ในเวลาต่อมา เนติมาพลิกตัวหนีระบิลที่พยายามป้อนขนมอยู่อีกข้าง
“ไม่เอา ฉันไม่อยากทาน”
“สักคำน่าคุณ ของอร่อยทั้งนั้นเลยนะ รู้น่าว่าไม่อยากทานข้าวของโรงพยาบาล เอ๊ะ..หรืออิ่มน้ำเกลือ อร่อยตรงไหน มาคุณงั้นผมเร่งให้หมดเร็วขึ้น”
ระบิลแกล้งเอื้อมมือจะไปปรับปุ่มที่สายน้ำเกลือ เนติมารีบห้ามทันทีทั้งๆที่ยังมีอาการอ่อนเพลีย
“อย่านะ..โอ้ย นี่นายอย่าแกล้งได้มั้ยอ่ะ”
“ก็คนไข้ดื้อนี่ครับ นี่เห็นมั้ยอร่อยจะตาย”
ระบิลเอาขนมที่อยู่ในมือใส่ปากทีเดียวหมดทั้งชิ้น จนครีมเปื้อนริมฝีปาก ระบิลเคี้ยวตุ้ยๆแกล้งทำตลกให้เนติมาดู เนติมามองแล้วต้องกลั้นหัวเราะด้วยความขำ
“นายนี่ชอบทำอะไรบ้าๆ ไม่กลัวเสียภาพพจน์บ้างรึไง”
“แล้วคุณขำมั้ยล่ะ ถ้าขำ...บ้ากว่านี้ผมก็ทำได้นะ”
ระบิลหยิบขนมอีกชิ้นใส่ปากอย่างไม่ลังเล เนติมามองระบิลแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
ในเวลากลางวัน ภายในห้องสว่นตัวของร้านอาหารจีน ปฏิพรคีบอาหารใส่จานให้ศิวัชอย่างเอาใจ
“ทานเยอะๆนะคะพี่ศิวัชจะได้มีแรงหาเสียง”
“ขอบคุณจ้ะ แล้วตี้เป็นไงบ้าง ตกลงจะทำงานที่ไหนเลือกได้รึยังจ๊ะ”
ศิวัชพูดอย่างอารมณ์ดี ปฏิพรหันไปยิ้มให้กับธำรงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“คุณอาชวนไปทำงานที่พรรคน่ะค่ะ”
“หนูตี้เป็นคนคล่อง ทำงานแป๊บเดียวก็เก่งแล้ว” ธำรงบอก
“อุ๊ย..อย่าเพิ่งชมค่ะคุณอา ตี้อาจทำให้ผิดหวังก็ได้นะคะ”
“เชื่อสิ อามองคนไม่ผิดหรอก เผลอๆสมัยหน้าอาอาจจับหนูตี้ลงสมัครคู่พี่ศิวัชเขาเลยก็ได้นะ”
ธำรงพูดอย่างอารมณ์ดี ปฏิพรฟังแล้วยิ้มปรายตามองศิวัชอย่างอายๆ จังหวะเดียวกันที่ธำรงนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบหันไปพูดกับศิวัช
“เออ..วันนี้มีพรรคการเมืองอีกสองพรรคติดต่อพ่อมาว่าต้องการร่วมจับมือกับเรานะ”
“คุณพ่อหมายความว่า เราจะโดดเดี่ยวกลุ่มของนายพงษ์เลิศ ใช่มั้ยครับ”
“ไม่ใช่”
ธำรงพูดอย่างใจเย็น ศิวัชกับปฏิพรมองธำรงด้วยความไม่เข้าใจ
“ทำไมล่ะครับคุณพ่อ ถ้าพรรคอื่นเอาด้วยกับเราอย่างนี้ เราควรประกาศให้ประชาชนรู้ไปเลย จะได้ไปฆ่าตัดตอนพวกของนายพงษ์เลิศไปในตัว”
“ใจเย็นๆผลการเลือกตั้งเรายังไม่รู้ว่าจะออกมายังไงเลย อย่าประมาทไพ่มันพลิกออกได้ทุกหน้านั่นแหละ จำไว้นะลูก เกมการเมืองอะไรที่ชัดเจนเกินไป บางครั้งก็เหมือนโยนตัวเองลงไปเป็นเหยื่อเสือ เหยื่อจระเข้เหมือนกัน”
“ครับคุณพ่อ”
ธำรงพูดสอน ศิวัชครุ่นคิดก่อนรับคำอย่างเห็นด้วยและไม่มีทีท่าจะขัดแย้งกับผู้เป็นพ่อ
ในเวลาต่อมา ศิวัชกับปฏิพรนั่งมาในเบาะหลังรถ โดยด้านหน้า นอกจากคนขับแล้วยังมีบอดี้การ์ดมาดเข้มของศิวัชนั่งมาด้วย ปฏิพรหันไปพูดกับศิวัชยิ้มๆ
“เดี๋ยวส่งตี้แล้ว พี่ศิวัชจะไปไหนต่อเหรอคะ”
“พี่ต้องกลับไปเตรียมขึ้นเวทีปราศรัยคืนนี้น่ะจ้ะ”
“น่าสนุกจังเลย ขอตี้ไปด้วยนะคะพี่ศิวัช”
ปฏิพรพูดด้วยความตื่นเต้น ศิวัชที่กำลังนั่งอ่านสคริ๊ปท์อยู่พูดยิ้มๆ
“อย่าไปเลย มันไม่สนุกอย่างที่ตี้คิดหรอกนะ”
“ตี้ไม่ได้อยากไปสนุกนี่คะ ตี้อยากไปช่วยพี่ศิวัชหาเสียงต่างหาก”
ศิวัชยิ้มเพื่อรักษามารยาทแต่ไม่ยอมตอบ ปฎิพรยังคงพยายามอ้อนต่อไป
“นะคะพี่ศิวัช ตี้อยากไปช่วยจริงๆนะคะ สัญญาว่าตี้จะไม่งอแง ไม่ให้เป็นภาระพี่ศิวัชเลยนะค้า..น้า”
ปฏิพรพูดเสียงอ่อนเสียงหวานพลางเขย่าแขนศิวัชอย่างออดอ้อน ขณะที่ศิวัชได้แต่ยิ้ม รู้สึกอึดอัดใจ
“เออ..คือ”
“พี่ศิวัชกลัวคุณเนติ์เข้าใจผิดเหรอค้า”
ปฏิพรพูดอ้อนอย่างรู้ทันแล้วมองหน้าศิวัชแกล้งทอดสายตาอย่างน่าสงสาร
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 4 (ต่อ)
ภายในห้องคนไข้พิเศษ นางพยาบาลเพิ่งเปลี่ยนน้ำเกลือขวดใหม่ให้เสร็จพอดี เนติมานอนมองขวดน้ำเกลือด้วยสายตาเซ็งๆ พูดกับนางพยาบาลด้วยน้ำเสียงที่ยังอ่อนแรง
“ไม่ให้ไม่ได้เหรอคะ ฉันว่าฉันหายดีแล้วนะ”
“หายที่ไหนคะยังมีไข้อยู่เลย เชื่อคุณหมอนะคะจะได้หายเร็วๆ”
นางพยาบาลพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนเดินออกไปจากห้อง ระบิลที่นั่งอยู่ใกล้ๆขยับเข้ามาพูด
“ขอบคุณนะครับ”
ระบิลหันมาพูดกับกับเนติมา
“เอาให้ชัวร์ก่อนน่าคุณ แล้วค่อยออกไปแผลงฤทธิ์”
“แต่ฉันอยากไปช่วยพี่ศิวัชนี่ คืนนี้มีปราศรัยใหญ่ด้วย”
เนติมาพูดด้วยความเซ็ง จังหวะเดียวกันเสียงโทรศัพท์มือถือของเนติมาก็ดังขึ้นพอดี เนติมาดูเบอร์แล้วรีบพูดกับระบิลทันที ก่อนจะ
“พี่ศิวัช นายเงียบๆนะ”
เนติมารับสายแล้วพยายามทำตัวให้สดใสก่อนรับสาย
“ค่ะพี่ศิวัช”
ภายในที่ทำการของพรรคสยามพัฒนา ศิวัชเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดมีโลโก้ของพรรคเพื่อเตรียมออกหาเสียง นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานกำลังคุยโทรศัพท์กับเนติมาอย่างอ่อนโยน
“เนติ์อยากให้พี่ไปรับที่บ้าน หรือจะมาเจอกันที่พรรคดีจ๊ะ”
“เออ...”
เนติมาอึกอักหันไปมองระบิลแล้วทำท่าประมาณว่าจะเอาสายน้ำเกลือออก แต่ระบิลชักสีหน้าดุส่ายหน้าปฏิเสธทันที เนติมาถอนใจอย่างหงุดหงิด
“เอาไงดีจ๊ะเนติ์”
“เออ..วันนี้เนติ์ขอหยุดวันหนึ่งนะคะ”
“อ้าว ทำไมล่ะจ้ะ ไม่สบายเหรอ”
“เออ..เปล่าค่ะ เนติ์แค่อยากจัดอะไรที่บ้านให้เข้าที่เข้าทางหน่อยน่ะค่ะ พี่ศิวัชไม่โกรธเนติ์นะคะ”
เนติมาพูดอย่างแคร์ความรู้สึก ศิวัชยิ้มอย่างไม่คิดอะไรมาก
“พี่จะไปโกรธเนติ์ทำไมจ๊ะ งั้นเนติ์ทำธุระของเนติ์ก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”
“พี่ศิวัชคะ” เสียงปฏิพรดังขึ้น
ศิวัชสะดุ้งนิดหนึ่งก่อนหันไปทางต้นเสียงเห็นปฏิพรเปลี่ยนเสื้อพรรคแบบเดียวกับศิวัชเรียบร้อย ทั้งยังหมุนตัวโชว์ศิวัชเหมือนตั้งใจพูดให้เนติมาได้ยิน
“ตี้ใส่พอดีเลยค่ะเห็นมั้ย”
เนติมานิ่วหน้าด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเสียงปฏิพรแว่วเข้ามาในสาย
“เออ..เสียงใครเหรอคะพี่ศิวัช”
“อ๋อ..น้องตี้หลานสาวคุณอาทวีไงจ๊ะ วันนี้เขาขอไปช่วยหาเสียงด้วย”
ศิวัชพูดอย่างบริสุทธิ์ใจพลางหันไปยกนิ้วโป้งให้ปฏิพรเป็นเชิงบอกว่าโอเคแล้ว ปฏิพรยิ้มหวานชอบใจ
“อ๋อ..ค่ะ งั้นสู้ๆนะคะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
เนติมาพยายามฝืนยิ้มพูดโทรศัพท์ก่อนวางสายแล้วต้องถอนใจสลดลงนิดหนึ่ง
“เป็นอะไรไปคุณ คุยกับแฟนเสร็จถึงกับหมดพลังงานขนาดนี้เลยเหรอ” ระบิลพูดทีเล่นทีจริง
เนติมาถอนใจออกมาด้วยความอ่อนใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย”
เนติมาพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก แต่ระบิลยื่นหน้าเข้ามาจ้องมองตาเนติมาอย่างจับผิด ทำเอาเนติมาถึงกับอึกอักทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
ระบิลเข็นรถเข็นผู้ป่วยซึ่งเนติมานั่งอยู่มายังสวนภายในโรงพยาบาลที่มีต้นไม้ร่มรื่น เส้นทางนี้มีพยาบาลและผู้คนเดินผ่านไปมาไม่มากนัก ระบิลพยายามพูดให้เนติมาสบายใจ
“นึกว่าเรื่องอะไรที่แท้ก็ฤทธิ์ไข้แรงหึงนี่เอง”
“พูดบ้าๆ ทำอย่างกับนิยายน้ำเน่า”
“ก็จริงนี่นา ไม่งั้นซึมแหง่กอย่างนี้เหรอ ทั้งไข้ใจไข้กาย ตีกันให้มั่วแล้ว ฮ่าๆ”
“นี่..ตกลงนายจะปลอบหรือจะซ้ำฉันกันแน่เนี่ย”
เนติมาพูดอย่างเซ็งๆ ระบิลย่อตัวลงมาพูดด้วยรอยยิ้ม
“อย่าปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านจนกระทั่งขาดความสุขน่า ทำใจสบายๆจะได้หายคุณจะได้กลับไปช่วยงานคุณศิวัชไงครับ”
“แต่…” เนติมาถอนใจ
“ยังไม่รู้เรื่อง สงสัยผมต้องบอกคุณศิวัชว่าคุณอยู่ที่ไหน”
ระบิลพูดกวนก่อนแกล้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะโทรออก เนติมารีบรั้งมือระบิลไว้ทันที
เนติมาพูดเสียงอ่อยทันที
“อย่านะ...รู้เรื่องแล้วก็ได้”
“ดีมาก พูดง่ายๆอย่างนี้ค่อยน่ารักหน่อย ไป..เดี๋ยวผมพาคุณทัวร์ชมนกชมไม้ซะหนึ่งรอบแล้วค่อยกลับห้อง...อ่ะ..ห่มซะหน่อยกันลม”
ระบิลคลี่ผ้าคลุมไหล่คลุมให้เนติมาอย่างเอาใจใส่ เนติมายิ้มอย่างขอบคุณ ก่อนระบิลจะเข็นรถให้เนติมา แต่ต้องชะงักทันทีเมื่อเห็นปานเดินผ่านมาทางด้านหนึ่งที่ห่างออกไปไม่มากนัก
“หยุดทำไม เปลี่ยนใจแล้วเหรอ”
เนติมาถามด้วยความสงสัย ขณะที่ระบิลไม่ตอบ แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ระบิลเข็นรถเข็นพาเนติมามาหลบหลังพุ่มไม้ทึบด้วยความเร่งรีบ ขณะที่เนติมาพยายามซักถามด้วยความสงสัย
“นี่อะไรของนายจะเล่นบ้าๆอะไรอีก”
“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยครับ เอาเป็นว่าคุณอยู่ที่นี่ห้ามออกไปไหนเด็ดขาดรู้มั้ย”
“ทำไม มีอะไร !”
“กลับมาแล้วผมจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้คุณต้องสัญญาก่อนว่าห้ามออกจากที่นี่เด็ดขาดจนผมจะกลับมา”
“แต่ !”
“เข้าใจมั้ย !”
ระบิลพูดอย่างจริงจัง เนติมาพยักหน้าอย่างงงๆ ระบิลจะมองไปรอบๆด้วยความระวังแล้วผละออกไปทันที เนติมามองตามระบิลไปด้วยความรู้สึกสับสน รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
ระบิลมุ่งอย่างเร็วไปที่ประตูห้องพักคนไข้พิเศษของเนติมาทันที มือข้างหนึ่งกระชับปืนที่พกอยู่ในเสื้อพร้อมใช้’งานทันที ระบิลผลักประตูเข้าไปในห้องพร้อมชักปืนออกมาวาดไปทั่วห้องแต่ไม่พบใคร ระบิลรีบเก็บปืนพร้อมถอยออกมานอกห้อง นางพยาบาลคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี ระบิลรีบเรียกไว้ทันที
“เออ..มีใครมาถามหาคนไข้ห้องนี้รึเปล่าครับ”
“ไม่มีนี่คะ”
“ขอบคุณครับ”
ระบิลรีบผละออกไปทันที ทิ้งให้พยาบาลมองตามไปอย่างงงๆ
บริเวณทางเดินหน้าห้องพักคนไข้ ระบิลพยายามมองหาปานไปรอบๆ ก่อนจะชะโงกมองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอก พลันประตูห้องพักคนไข้ห้องหนึ่งก็เปิดออกมา ปานที่แอบอยู่ในห้องนั้นออกมาล็อกคอระบิลเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย !”
ภายในห้องพักคนไข้ ระบิลถูกเหวี่ยงมาติดที่ผนัง ปานปรี่จะเข้ามาไป แต่ต้องชะงัก เมื่อระบิลชักปืนออกมาจ่อปานอย่างรวดเร็ว ระบิลกับปานจ้องหน้ากันนิ่งอย่างวัดใจ
“ข้ารู้ว่าเอ็งไม่ทำอย่างนั้นแน่”
ระบิลกำปืนเล็งไปที่ปานด้วยความลำบากใจ ก่อนลดปืนลงเก็บ
ปานถอนใจแล้วถาม
“ไปไงมาไงถึงมาโผล่ที่บ้านหลังนั้นวะ”
“ผมต้องถามพี่มากกว่า ว่าทำไมถึงไปอยู่กับคนชั่วๆอย่างไอ้อิทธิหาญนั่นได้ ก็ไหนพี่บอกผมว่าพี่ทำงาน...”
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น เอาเป็นว่าข้าทำตามหน้าที่ก็แล้วกัน” ปานพูดสวนทันที
“ผมก็ทำตามหน้าที่ของผมเหมือนกัน” ระบิลตอบอย่างหงุดหงิด ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถอนตัวออกมาซะพี่ปาน ก่อนที่อะไรๆจะสายไป”
“ประโยคนี้ต่างหากที่ข้าต้องพูดกับเอ็ง อยู่ห่างๆผู้หญิงคนนั้นซะ ก่อนที่เอ็งจะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ชีวิต”
“พี่ปาน...”
“วันนี้ข้ามาเยี่ยมลูกน้องเสี่ยที่โดนแทงเมื่อคืน ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่า ข้ามาเจอเอ็งกับผู้หญิงคนนั้น แต่วันนี้วันเดียวนะ เอ็งก็รู้ว่าข้าต้องทำตามหน้าที่” ปานพูดแทรกขึ้นอย่างจริงจังก่อนจะหันเดินออกไปจากห้อง
“พี่ปาน !” ระบิลเรียกไว้
“ไม่ต้องห่วงว่าข้าจะปากโป้ง ถึงข้าจะไม่ใช่คนดีนัก แต่ข้าก็นักเลงพอตัว เอ็งก็รู้จักข้าดีไม่ใช่เหรอ... กลับไปคิดให้ดีนะระบิลแล้วถอนตัวออกจากสิ่งที่เอ็งกำลังทำซะ” ปานพูดก่อนจะขยับเดินออกไป
ระบิลรีบปรี่เข้าไปคว้าแขนปานทันที
“พี่ปานเรื่องพี่ก้อง...”
ปานนิ่งทันทีด้วยความอึดอัดเมื่อระบิลถามขึ้น ปานรู้สึกผิดขึ้นมาแต่พยายามกลบเกลื่อน
“ข้ากับไอ้ก้องไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว”
ปานขยับจะเดินออกจากห้องอีก แต่ระบิลปรี่เข้าไปดักหน้าถามเรื่องพี่ชายตัวเองอย่างไม่ลดละ
“เกิดอะไรขึ้นครับพี่ปาน พี่ก้องกับพี่ปานรักกันจะตาย จู่ๆจะไม่ติดต่อกันได้ยังไง พี่ปานรู้มั้ยว่าพี่ก้องหายตัวไปหลายปีแล้ว แล้วพี่จิ๊กอีก พี่จิ๊กหายไปไหนพี่ปาน”
ปานหันขวับมาชกหน้าระบิลจนหงายไปทันที ก่อนจะชักปืนขึ้นมาเล็งไปที่ระบิลด้วยความโมโห
“ถ้าเอ็งพูดถึงเรื่องนี้อีก เอ็งได้กินลูกปืนแน่ !”
ปานถอนใจอย่างหงุดหงิดก่อนเก็บปืนแล้วเปิดประตูเดินออกไป ระบิลเห็นความรู้สึกของปานที่ไม่สบายใจเรื่องของก้อง พี่ชายระบิลที่หายสาปสูญไป
ระบิลเดินกลับมาหาเนติมาที่พุ่มไม้ทึบในโรงพยาบาลซึ่งพามาซ่อนตัวไว้ แต่ต้องตกใจเมื่อไม่พบเนติมาอยู่ตรงนั้นแล้ว
“คุณ … เฮ้ย !”
ระบิลร้องเรียกและมองไปรอบๆแต่ไม่พบเนติมา ยิ่งทำให้ร้อนใจหนักขึ้น
“คุณเนติ์..คุณเนติ์อยู่แถวนี้รึเปล่าครับ..คุณเนติ์ โธ่เอ๊ย !”
ระบิลร้อนใจขยับจะวิ่งออกไปตามหา เสียงเนติมาดังเข้ามาพอดี
“ฉันอยู่นี่”
ระบิลหันกลับไปด้านหลังเห็นเนติมาเข็นรถออกมาจากอีกทาง ระบิลรีบปรี่เข้าไปหาทันทีด้วยความเป็นห่วง
“นี่คุณไปไหนมา ทำไมไม่รอผมตรงนี้”
“ก็นายหายไปตั้งนานฉันก็เบื่อสิ เมื่อกี้มีกระรอกไต่ผ่านมา ฉันเลยตามไปดู น่ารักมากเลยล่ะ”
เนติมาพูดยิ้มด้วยความตื่นเต้นลืมความกังวลเมื่อครู่ไปทันที แต่ระบิลไม่สนุกด้วย
“มีวินัยหน่อยสิคุณ เมื่อกี้ผมบอกให้คุณรอตรงไหน” ระบิลพูดเสียงดุ
เนติมาหน้าเจื่อนทันทีก่อนจะพูดต่ออย่างอารมณ์ดี
“เออ..ตรงนี้...แต่เมื่อกี้มัน”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะคุณ มันคือความปลอดภัยของชีวิตคุณเอง เพราะฉะนั้นเวลาผมสั่งอะไรให้ความร่วมมือด้วย”
ระบิลพูดอย่างดุๆ ทำเอาเนติมารู้สึกผิดขึ้นมาทันที
“ฉันขอโทษ แล้วนายบอกได้รึยังว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”
เนติมาพูดแล้วก็เห็นรอยช้ำที่มุมปาก
“แล้วนี่นายไปโดนอะไรมา”
เนติมาเอื้อมมือมาแตะที่ริมฝีปากระบิลด้วยความเป็นห่วง ระบิลที่ยังไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งนิดหนึ่งเอื้อมมือไปคว้ามือเนติมาอย่างลืมตัว
“โอ๊ย !”
ระบิลกับเนติมาสบตากันนิ่งอย่างไม่รู้ตัว มือของระบิลยังคงจับมือเนติมาค้างอยู่ก่อนจะรู้สึกตัว ระบิลรีบปล่อยมือเนติมาออก ทั้งสองคนรู้สึกอายขึ้นมาจนทำอะไรไม่ถูก
“เออ..ผมว่าผมพาคุณกลับไปบนห้องดีกว่า อยู่ตากลมที่นี่นานๆเดี๋ยวจะไม่สบายมากกว่านี้”
ภายในห้องคนไข้พิเศษ ระบิลประคองเนติมาขึ้นบนเตียงผู้ป่วยอย่างนุ่มนวล
“บังเอิญผมเจอเพื่อนพี่ชายผมน่ะครับ ไม่เจอตั้งนานจำแทบไม่ได้”
“เพื่อนพี่ชายเนี่ยนะ ถึงขนาดเอาฉันไปซ่อนหลังพุ่มไม้”
“ก็บอกแล้วไงครับว่าผมจำเขาไม่ได้ เห็นอะไรมีพิรุธผมก็ต้องเซฟคุณไว้ก่อนแหละ”
“แล้วรอยช้ำนั่นเจ็บรึเปล่า ตกลงไปโดนอะไรมา ให้หมอมาดูมั้ย”
เนติมาถามด้วยความเป็นห่วง แต่ระบิลดูไม่ใส่ใจอาการของตัวเองนักกลับพูดเฉไฉเรื่อยเปื่อย
“โอ๊ย..คุณแค่นี้ไกลหัวใจ นี่..หมาที่บ้านผมนะเป็นแผลที่ปาก มันเลียแผล่บๆเดี๋ยวเดียวก็หาย”
“ดูปาก..พูดอย่างกับนายเป็นหมางั้นแหละ”
“เป็นไม่เป็น พอเห็นพระจันทร์เต็มดวง ผมก็กลายร่างได้ก็แล้วกัน ลองมั้ยล่ะฮะฮ่า บ่าฮู้”
ระบิลทำเป็นมนุษย์หมาป่าแกล้ง เนติมามองค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้ก่อนทิ้งตัวลงนอน ระบิลยิ้มชอบใจ
“ไง..ชอบล่ะซี้”
“ชอบตรงไหน อย่าไปทำให้ใครเขาเห็นนะ ฉันจะหมดความน่าเชื่อถือไปด้วย ฉันนอนแล้ว..ปวดหัว”
เนติมาค่อยๆพลิกตัวแล้วหลับตาลง ระบิลดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เนติมาอย่างเอาใจใส่
“นี่แหละดีที่สุดสำหรับคุณตอนนี้แล้ว นอนมากๆนะครับจะได้หายเร็วๆ”
ระบิลยิ้มมองเนติมาด้วยความอบอุ่นก่อนเปิดประตูเดินออกจากห้อง
ระบิล นั่งลงที่เก้าอี้หน้าห้องด้วยสีหน้าของระบิลครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เจอปานเมื่อครู่ด้วยความไม่สบายใจ
ระบิลตอบอย่างหงุดหงิด ก่อนพูดออกมาด้วยความจริงจัง
“ถอนตัวออกมาซะพี่ปาน ก่อนที่อะไรๆจะสายไป”
“ประโยคนี้ต่างหากที่ข้าต้องพูดกับเอ็ง อยู่ห่างๆผู้หญิงคนนั้นซะ ก่อนที่เอ็งจะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ชีวิต”
ระบิลรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น ยิ่งคิดถึงเรื่องที่ถามปานเกี่ยวกับพี่ชาย
ะบิลรีบปรี่เข้าไปคว้าแขนปานทันที
“พี่ปานเรื่องพี่ก้อง...”
ปานนิ่งทันทีด้วยความอึดอัดเมื่อระบิลถามขึ้น ปานรู้สึกผิดขึ้นมาแต่พยายามกลบเกลื่อน
“ข้ากับไอ้ก้องไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว”
ปานขยับจะเดินออกจากห้อง แต่ระบิลปรี่เข้าไปดักหน้าถามเรื่องพี่ชายตัวเองอย่างไม่ลดละ
“เกิดอะไรขึ้นครับพี่ปาน พี่ก้องกับพี่ปานรักกันจะตาย จู่ๆจะไม่ติดต่อกันได้ยังไง พี่ปานรู้มั้ยว่าพี่ก้องหายตัวไปหลายปีแล้ว แล้วพี่จิ๊กอีก พี่จิ๊กหายไปไหนพี่ปาน”
ปานหันขวับมาชกหน้าระบิลจนหงายไปทันที ก่อนจะชักปืนขึ้นมาเล็งไปที่ระบิลด้วยความโมโห
“ถ้าเอ็งพูดถึงเรื่องนี้อีก เอ็งได้กินลูกปืนแน่ !”
ปานถอนใจอย่างหงุดหงิดก่อนเก็บปืนแล้วเปิดประตูออกไป
ระบิลรู้สึกอึดอัดจนเอากำปั้นทุบเก้าอี้ข้างๆด้วยความหงุดหงิด รู้สึกสงสัยในตัวปานเป็นอย่างมาก
“พี่ปาน ! คิดว่าผมจะเชื่อง่ายๆเหรอว่า พี่ไม่รู้ว่าพี่ก้องหายไปไหน”
ภายในห้องหนังสือบ้านกันต์ เวลาเย็น ผู้กำกับวิเชษฐ์มองไปรอบๆห้องหนังสือที่มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก กันต์นั่งอยู่ข้างๆถามด้วยความเกรงใจ
“นอนไหวเหรอครับผู้กำกับ ผมว่าไปนอนข้างบนดีมั้ย ยังมีห้องว่างอยู่อีกห้อง” กันต์ว่า
“ไม่เป็นไรครับคุณอา แค่ชั่วคราวนอนที่เดียวกับนายระบิลนี่ดีแล้วครับ ตอนผมอยู่ชายแดนลำบากกว่านี้เยอะ”
“แต่ความจริงก็ไม่น่าเดือดร้อนถึงผู้กำกับก็ได้ แค่ให้ลูกน้องเวียนมาดูผมก็ขอบคุณมากแล้ว”
กันต์พูดอย่างเกรงใจ ขณะที่ผู้กำกับวิเชษฐ์วางเป้เสื้อผ้ายิ้มอย่างเป็นกันเอง
“ไม่ต้องเกรงใจครับคุณอา คนกันเองทั้งนั้นอีกอย่างวันนี้ผมก็เลิกงานแล้วด้วย พรุ่งนี้เช้าขับรถจากที่นี่ไป สน. แป๊บเดียวก็ถึงครับ”
กันต์ยิ้มให้ผู้กำกับวิเชษฐ์อย่างขอบคุณ
ผู้กำกับวิเชษฐ์หันไปเห็นรูปขวัญชนกสมัยมัธยมปลายที่ยิ้มสดใสอยู่ในกรอบรูปที่ตั้งอยู่หลังตู้แล้วรู้สึกถูกชะตาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ภายในห้องนอน ขวัญชนกกำลังนั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างตั้งใจ เจือจันทร์เดินเข้ามานั่งข้างๆลูกสาวก่อนเอื้อมมือไปลูบผมลูกสาวด้วยความสงสาร
“จะเอาเล่มใหม่รึยังลูก แม่จะได้สั่งซื้อมาให้อีก”
“ยังค่ะคุณแม่ ช่วงนี้ขวัญไม่ค่อยมีสมาธิอ่านเท่าไหร่”
“ทำไมล่ะลูก มีอะไรรึเปล่า”
ขวัญชนกวางมือจากหนังสือหันมาหาเจือจันทร์ด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
“ตำรวจคนนั้นมาทำไมคะ”
“อ๋อ..เขาเป็นรุ่นพี่ของคุณระบิลน่ะ เขามาอยู่เป็นเพื่อนเรา ท่าทางเขาก็เป็นคนดีนะ”
“อย่าเพิ่งไว้ใจนะคะ”
ขวัญชนกพูดด้วยความไม่มั่นใจพลางขยับเข้ากอดแม่อย่างน่าสงสาร เจือจันทร์กอดลูกสาวด้วยความเข้าใจ
“แม่เข้าใจลูกนะ แม่เองก็กลัว แต่เราอยู่กับความกลัวนี้มานานมากแล้ว แม่อยากเอามันออกไปจากชีวิตซะที โดยเฉพาะชีวิตของลูก...ขวัญ”
“คะคุณแม่”
“กลับไปเรียนหนังสือมั้ยลูก”
“ไม่นะคะคุณแม่ ขวัญกลัว”
ขวัญชนกหลับตากระชับกอดแม่ด้วยความกลัวที่ยังตามหลอกหลอน
“แต่ลูกอ่านหนังสือเองมานานมากแล้วนะขวัญ อนาคตข้างหน้าขวัญต้องออกไปมีสังคมนะลูก”
“ไม่ค่ะ ขวัญยังไม่พร้อม คุณแม่อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กับขวัญเลยนะคะ ขวัญกลัว..ขวัญกลัว”
ขวัญชนกน้ำตาคลอเบ้าพูดด้วยความน่าสงสาร เจือจันทร์พยักหน้ารับรู้รู้สึกเจ็บปวดจนน้ำตาไหลออกมา
เจือจันทร์ลูบผมและหลังขวัญชนกปลอบโยน
ในเวลาต่อมา ผู้กำกับวิเชษฐ์เดินถือถ้วยกาแฟออกมาจากในบ้านด้วยท่าทางสบายๆ พลางมองไปรอบๆบริเวณสนามหน้าบ้านอย่างสังเกต ก่อนจะหยิบไฟฉายกระบอกเล็กที่ติดมือมาฉายไปตามมุมมืดต่างๆ
เพื่อตรวจตรา
วิเชษฐ์รู้สึกว่าตัวเองถูกจ้องมองอยู่ หันขวับไปด้านหลังพร้อมกับส่องไฟฉายขึ้นไปชั้นบนของบ้าน แสงไฟสาดไปเห็นขวัญชนกแอบยืนมองลงมาพอดี ขวัญชนกสะดุ้งด้วยความตกใจรีบผลุบกลับเข้าไปหลังผ้าม่านทันที
ภายในห้องนอน ขวัญชนกยืนพิงผ้าม่านถอนใจออกมาด้วยความตื่นเต้นตกใจ ผู้กำกับวิเชษฐ์ยืนมองอยู่ด้านล่างพูดขึ้นอย่างใจเย็น
“น้องขวัญไม่ต้องกลัวพี่นะครับ พี่มาดูแลความปลอดภัยให้นะครับ”
ในเวลากลางคืน ศิวัชที่นั่งอยู่เบาะหลังรถมองออกไปยังนอกรถพลางคิดอะไรไปเรื่อย ปฏิพรนั่งหลับเอียงคอซบไหล่ศิวัชอยู่ ศิวัชค่อยๆขยับจะประคองเอาปฏิพรออกจากไหล่ แต่ต้องชะงักเมื่อปฏิพรพูดเสียงอ้อแอ้ทั้งที่ยังหลับตา
“อืม..ขอตี้พิงหน่อยนะค้า ตี้เหนื่อยจัง เหนื่อยแต่สนุกวันหลังขอตี้มาอีกนะค้าพี่ศิวัช”
ปฏิพรพูดพลางเอาแขนไปคล้องแขนศิวัชและขยับตัวเบียดเข้าไปใกล้มากขึ้นอย่างออดอ้อน ศิวัชได้แต่ยิ้มเจื่อนทำอะไรไม่ถูก
ในฝัน เนติมาในชุดนักศึกษาเดินยิ้มเข้ามาในบ้านอิสราวัชรอย่างเริงร่าสมวัยสดใส
“คุณพ่อ คุณแม่ เนติ์มาแล้ว คุณพ่อคุณแม่อยู่ไหนคะ”
“เนติ์ลูกแม่...”
เนติมาหันขวับไปทางด้านหลัง ภาพอันน่าอบอุ่นในบ้านหายไปแต่พบเพียงความมืด
“คุณแม่..คุณแม่ !”
“เนติ์..พ่อกับแม่อยู่นี่ลูก”
เนติมาหันขวับไปอีกด้าน เห็นวิเชียรกับพรรณศรียืนอยู่ไม่ห่างออกไป ทั้งสองคนยิ้มให้
“คุณพ่อ..คุณแม่”
“เนติ์มาให้พ่อกับแม่กอดหน่อยสิลูก”
วิเชียรกับพรรณศรีอ้าแขนเตรียมกอดเนติมาอย่างเต็มที่ เนติมายิ้มอย่างมีความสุขจะเดินเข้าไปกอดพ่อกับแม่ แต่ก่อนจะถึงตัวก็ต้องต้องชะงักเมื่อเห็นแสงวาบจากรอบด้านคล้ายแสงจากปากกระบอกปืนและเสียงของปืนสามสี่นัดดังสนั่น
รอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าวิเชียรกับพรรณศรีกลับกลายเป็นสีหน้าของความเจ็บปวด เลือดไหลลงมาอาบใบหน้าของทั้งคู่
“คุณพ่อ คุณแม่ !”
เนติมาตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก วิเชียรกับพรรณศรีพูดกับลูกด้วยความทรมาน
“เนติ์..ช่วยพ่อกับแม่ด้วย”
“คุณพ่อ คุณแม่ ไม่..ไม่ !”
“ดูแลน้องด้วยเนติ์ ดูแลน้องด้วย”
พรรณศรีพูดวนไปมา เลือดจำนวนมากไหลมากขึ้นจนท่วมใบหน้าของทั้งสองคน เนติมาตกใจและกลัวเป็นอย่างมาก
“คุณพ่อ..คุณแม่ !”
เนติมาซึ่งนอนอยู่บนเตียงละเมอร้องขึ้นมาเพราะฝันร้าย
“ไม่..ไม่ !”
ระบิลซึ่งนอนอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาใกล้ๆ รีบลุกพรวดขึ้นมาดูเนติมาทันทีด้วยความเป็นห่วง
“คุณ..เป็นอะไร คุณ !”
“ช่วยด้วย..ช่วยด้วย !”
“คุณ คุณ !”
ระบิลพยายามเขย่าตัวเนติมาให้ตื่น เนติมาตื่นจากฝันร้ายขึ้นมาโผเข้ากอดระบิลแล้วร้องไห้ออกมาอย่างเสียขวัญ
“ช่วยด้วย..ช่วยฉันด้วย”
ระบิลไม่เข้าใจในสิ่งที่เนติมาพูดนัก ได้แต่เอื้อมมือไปตบที่หลังเนติมาเบาๆอย่างปลอบโยน
เนติมาจิบน้ำที่ระบิลป้อนให้นิดหนึ่งก่อนขยับตัวลงนอนแล้วถอนใจด้วยความเศร้า
“ฉันไม่อยากฝันแบบนี้อีกแล้ว มันทรมาน..ทรมานจริงๆ”
เนติมาน้ำตาไหลออกมา ระบิลมองด้วยความสงสาร
“อย่าคิดมากนะคุณ ใครทำกรรมอะไรไว้ กรรมจะสนองเขาในไม่ช้านี้แหละ ผมว่าตอนนี้คุณนอนดีกว่านะ พักผ่อนเยอะๆจะได้แข็งแรง”
“แต่ฉันนอนไม่หลับ ฉันกลัวว่าฉันจะฝัน...”
ระบิลยิ้มเอาผ้าซับน้ำตาให้เนติมาอย่างอ่อนโยน
“เอางี้มั้ย ผมแอบพาคุณออกไปหาของอร่อยๆแถวเยาวราชทานดีกว่า ดึกๆอย่างนี้ ฟาดให้พุงกางรับรองหลับเนียน ไปคุณ...”
“ไม่เอา..ฉันไม่ไป จะบ้าเหรอออกไปทั้งสายน้ำเกลือเนี่ยนะ วันๆคิดแต่เรื่องกิน”
ระบิลแกล้งขยับจะดึงเนติมาขึ้นจากที่นอน แต่เนติมาตีมือระบิลพลางยิ้มออกมาได้บ้าง
“ก็เรื่องของกินคิดแล้วมีความสุขนี่ครับ”
“นายนี่ดีเนอะ มีความสุขได้ตลอดเวลา”
“ผมก็มีความทุกข์เหมือนกันครับ แต่ไม่ค่อยอยากจะถือมันไว้ในมือ ดอกไม้กับก้อนหินแข็งๆ เราควรเลือกนะครับว่าจะถืออะไรไว้...นอนซะนะครับดึกแล้ว”
ระบิลพูดพลางห่มผ้าห่มให้เนติมาอย่างเอาใจใส่ แต่เนติมายังถอนหายใจอีก
“แต่ฉันยังนอนไม่หลับ...ขอยานอนหลับให้ฉันได้มั้ย”
“ไม่เอาคุณเดี๋ยวติด นอนด้วยตัวเราเองดีกว่านะครับ...เอางี้ให้ผมเล่นตลกหรือเล่านิทานให้ฟังเอามั้ย”
“ฉันไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ”
“งั้น..ผมร้องเพลงให้ฟังมั้ยคุณ เผื่อคุณจะเคลิ้มเสียงนุ่มๆเหมือนปุยนุ่นของผมจนหลับฝันดีก็ได้นะ ฮะฮ่า”
ระบิลนำเสนอสุดๆจนเนติมาอมยิ้ม
“ก็ตามใจนาย ท่าทางอยากร้องขนาดนี้ ฉันคงห้ามยาก”
“งั้น..เอาเพลงนี้ เพลงโปรดผมเลย ฮะแฮ่ม...ไม่มีใครรู้ ว่าฉันรักเธอรักยิ่งสิ่งใด...”
“เดี๋ยว..นี่มันเพลงเก่านี่”
เนติมารีบร้องห้ามทันที ระบิลถอนใจด้วยความเซ็งที่โดนขัดจังหวะ
“โธ่..คุณ เด็กบ้านสวนอย่างผมก็ฟังเพลงพวกนี้มาตั้งแต่เด็กๆ จะให้ร้องเพลงแจ๊ส เพลงฝรั่งอย่างที่คุณเคยฟังน่ะไม่เป็นหรอกนะครับ...นี่..ถึงจะเก่าแต่ศิลปะไม่มีกาลเวลานะคุณ ลองฟังก่อนความหมายดีนะ”
เนติมาพยักหน้าอย่างไม่คิดอะไรมาก ระบิลยิ้มก่อนร้องอย่างมีความสุข
“...ไม่มีใครรู้ ว่าฉันรักเธอ รักยิ่งสิ่งใด..เฝ้าแต่ห่วงใย ห่วงหวงจนเงา ของร่างเธอ.. ห่วงหวงดวงตายิ่งกว่าฟ้า หวงดาวเสมอ..หวงริมปากเธอ ยิ่งกุหลาบ หวงกลีบของมัน” ( ชื่อเพลง “วานลมจูบ” คำร้อง - ทำนอง สง่า อารัมภีร ต้นฉบับ ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ / ผู้เรียบเรียง)
เนติมาเกือบจะหัวเราะออกมาเมื่อระบิลเริ่มต้นร้องเพลง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ฟังความหมาย
“...อยากจะจูบ ก็ได้แต่ห่วง ก็ได้แต่หวง..ไม่เคยลุล่วง แม้ในความฝัน..ฉันคนจนยาก ได้แต่รำพัน..เฝ้าวอนลมนั้น ให้ช่วยจูบแทน...”
ระบิลร้องจบอย่างมีความสุข เนติมานอนอมยิ้มอยู่
“อ้าว..คุณผมกล่อมให้หลับนะครับ ไม่ได้กล่อมให้ยิ้ม”
“เพลงที่นายร้องความหมายดีเหมือนกันเนอะ ชื่อเพลงอะไรเหรอ”
“วานลมจูบครับ”
ระบิลพูดยิ้มอย่างอารมณ์ดี เนติมายิ้มอย่างมีความสุขขึ้นมาบ้าง
“ขอบคุณนะ นายทำให้ฉันมีรอยยิ้มอีกแล้ว ถึงจะแค่ตอนนี้ก็เถอะ”
“แค่นิดหนึ่งก็ยังดีครับ ฝันดีนะครับ ผมรับรองพรุ่งนี้คุณจะตื่นมาพบแต่เรื่องดีๆครับ”
ระบิลพูดอย่างอบอุ่นพลางกระชับผ้าห่มให้
เนติมารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกพลางมองระบิลอย่างขอบคุณ
โปรดติดตาม "หงส์สะบัดลาย" ตอนต่อไป