xs
xsm
sm
md
lg

นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 4

ท่ามกลางบรรยากาศลุ้นระทึก ที่ริมถนนในบ้านไม้งามเวลานั้น ขณะที่ผู้กองธัมโมจะเดินเข้าไปค้นตัวเก่ง ครูเพิ่มก็โผล่พรวดมาขวาง พร้อมกับปราดเข้ามาคว้าตัวเก่งไปต่อหน้า

“หนอยไอ้เก่ง เดี๋ยวนี้เอ็งปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่มั้ยโดนว่านิดว่าหน่อยจะหนีออกจากบ้าน ไป! กลับบ้าน ไม่งั้นข้าจะเขียนจดหมายไปฟ้องแม่เอ็ง”
ธัมโมงง “เอ่อน้าครับ”
ครูเพิ่มหันมาท่าทางฉุนเฉียว “อะไรล่ะคุณ คนยิ่งอารมณ์เสียอยู่ กำลังดุหลานเนี่ยไม่เห็นหรือไง”
เก่งรีบบอกธัมโม “นี่ครูเพิ่มครับ อาผมเอง”
ธัมโมอธิบาย “แบบว่าผมกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ครับ ถ้ายังไงผมขอ…”
ครูเพิ่มสวนคำเสียงอย่างดุ “เอาไว้วันหลัง วันนี้ผมกับหลานมีเรื่องต้องเคลียร์กันไปไอ้เก่ง กลับบ้าน”
ครูเพิ่มลากเก่งไปต่อหน้า ธัมโมได้แต่ทำอะไรไม่ถูก

ครูเพิ่มทำทีเป็นลากแขนเก่งมาอย่างฉุนเฉียว แต่พอพ้นหัวมุมถนน ทั้งคู่ก็รีบพิงกำแพงหลบพักทันที
เก่งพ่นลมดังฟู่ “เกือบไปแล้วเชียว”
“ตำรวจคนนั้นท่าทางเค้าสงสัยเอ็งอยู่นะนังแก้ว ข้าว่าต้องรีบจัดการแล้วล่ะ”
เก่งได้แต่เจ็บใจ คิดไม่ออกว่าจะจัดการผู้กองธัมโมยังไง

บรู๊ซลีย้ง นอนสลบเหมือดอยู่ที่แคร่ที่บ้านกำนันศร โดยมีวาสนาคอยดูแล ดูเหมือนว่าพวกของไชโยโอฬารคงเป็นคนพาย้งและวาสนากลับมาที่บ้าน
“ย้ง ตื่นเถอะ นี่ย้ง รู้สึกตัวได้แล้ว” วาสนาเรียกปลุก
ย้งตกใจตื่นรีบลุกหน้าตาเหลอหลา “คุณวาสนา แล้วคนร้ายละครับ คนร้ายอยู่ที่ไหน”
กำนันศรตอบแทน แถมด้วยคำพูดเหน็บ “เผ่นไปตั้งนานแล้วไอ้ย้ง ที่ถามเนี่ย เอ็งมีปัญญาสู้หรือไงวะ”
“กระจอกว่ะ คนร้ายเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังสู้ไม่ได้ ถุย” ยอดปากเก่ง

เบิ้มผสมโรง “นั่นสิพี่ยอด แถมยังทำมือตัวเองเจ็บอีกต่างหาก ทุเรศจริงๆ
วาสนาหงุดหงิด รีบตัดบท “นี่ พอเถอะ ที่ย้งเค้าเป็นแบบนี้ ก็เพราะปกป้องชั้นนะ”
ยอดทำไม่รู้ไม่ชี้ ผู้กองธัมโมกลับมาถึงพอดี
จ่าไชโยหันไปเห็น “ผู้กอง เป็นยังไงบ้างครับ”
“คนร้ายมันหายตัวไปในหมู่บ้าน” ผู้กองบอก
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะผู้กอง ขนาดบ้านผมมันยังกล้าบุกเข้ามาแล้วต่อไปชาวบ้านจะอยู่ยังไง”
“ไม่ต้องห่วงครับกำนัน ผมรับรองว่าจะรีบติดตามคดีนี้โดยด่วนที่สุด” หันมาพูดกับวาสนา “คุณวาสนากับย้งถ้าพอมีเวลา ช่วยไปให้ปากคำกับผมที่โรงพักด้วยนะครับ ผมอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับคนร้าย”
วาสนารับคำ “ค่ะผู้กอง”
ที่ย้งไม่ตอบ เพราะมัวแต่ก้มหน้าอยู่ด้วยความอับอาย

ค่ำคืนนั้น หมวยใหญ่ทาแป้ง พอกหน้าขาวว่อก กำลังกินขนมพลางดูทีวีอยู่ในห้องโถง ขณะที่เถ้าแก่ตงกำลังนั่งตัดเล็บเท้าอยู่อีกมุมหนึ่ง สักครู่ก็เห็นย้งผลุนผลันเข้ามานั่งที่โซฟาในสภาพมือมีผ้าพันแผล
“ฮึ่ย เจ็บใจ เจ็บใจโว้ย ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้วะ ทำไม”
หมวยใหญ่รำคาญ “ไม่รู้โว้ย ไปแหกปากที่อื่นไป รำคาญ”
ย้งสะบัดหน้าหนีไปด้วยความน้อยใจ
“ลื้อไปเจี๊ยะตีนใครมาอีกวะอาย้ง ทำไมถึงได้อารมณ์เสีย” เถ้าแก่ตงถามลูกชาย
“วันนี้คุณหมอวาสนาถูกคนร้ายจับไป อั๊วอุตส่าห์ตามไปช่วยแต่อั๊ว…อั๊วสู้มันไม่ได้”
“แล้วไง คุณหมอปลอดภัยรึเปล่า” หมวยใหญ่ถาม
“ปลอดภัย แต่อั๊วสิ อั๊วโดนพวกไอ้ยอดมันเยาะเย้ยถากถางมันหาว่าอั๊วไม่มีน้ำยา
เถ้าแก่ตงดันเห็นด้วย “ฮื๊อ ก็มันพูดเรื่องจริง ลื้อจะคิดมากทำไม”
“เออ ก็ใช่นะ” ย้งนึกขึ้นได้ “เง้อออ ไม่ใช่สิป๊า อั๊วไม่ยอมนะอั๊วไม่ใช่คนกระจอก อั๊วไม่ยอม” ตี๋ย้งงอแงยังกะเด็กประถม
“เอาล่ะๆ อั๊วเข้าใจแล้วอาย้ง ของแบบนี้มันมีทางแก้โว้ย

ย้งรีบลงจากโซฟาไปหา “จริงเหรอป๊า แล้วอั๊วต้องทำยังไง”
เถ้าแก่ตงวางมาดเข้ม “ลื้อต้องสืบเสาะหาซือแป๋ มาถ่ายทอดวรยุทธให้ลื้อเพื่อจะได้เป็นยอดฝีมือ”
“ยอดฝีมือ” ย้งตื่นเต้น
“ถูกต้อง”
ย้งรำพึง “ยอดฝีมือ” ฝันเป็นตุเป็นตะ

จินตนาการของย้งฟูฟ่อง นึกเห็นลานโล่งบนภูเขา ย้งไว้ผมทรงเฉินหลงเป๊ะ กำลังรำมวยจีนไปมา ก่อนจะพุ่งเข้าชกต่อยแตงโมที่แขวนอยู่หลายใบ แต่ละใบมีสีเพ้นท์เป็นรูปหน้าคน
ย้งชกแตงโม เตะแตงโม ศอกแตงโม เอาหัวโขก เอามีดแทง บางจังหวะมีพักเบรคกินแตงโมด้วยจากนั้นก็เอาฟันแทะ เอานิ้วจิ้ม จนลูกแตงโมแตกหมด
ย้งคำราม “อว๋อออออ”
ที่แท้เป็นฉากฝันจากภาพยนตร์ “อาย้ง ไอ้หนุ่มหมัดจินตหรา”

ย้งกำลังนั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากให้กับมโนภาพเพ้อๆ อย่างสะใจ
“ยอดฝีมือ ฮ่าๆ หนึ่งในยุทธภพ ฮ่าๆๆๆ ยอดฝีมือ เป็นยอดฝีมือ”
หมวยใหญ่ฮึดฮัด “ป๊าก้อ ไปสอนมัน... เดี๋ยวมันก็บ้าให้ดูอีกหรอก”
“โอ้ยช่างมันเหอะอาหมวย ทุกวันนี้มันก็ติงต๊องอยู่แล้วปล่อยมันไปเหอะ”

หมวยใหญ่ระอาใจ หันไปมองน้องชายที่ยังหัวเราะคิกคักไม่เลิก ไม่รู้มันดีใจอะไรนักหนา

คืนเดียวกันนั้นเสี่ยเล้งนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องรับแขก ขณะหารือกับเพลินตา และจำเริญ โดยมิ่งยืนรอรับใช้อยู่ห่างๆ

“ผมว่าเราฆ่าไอ้ผู้กองธัมโมซะก็หมดเรื่อง ถ้ามันยังอยู่แล้วเราจะเปิดบ่อนได้ยังไง แล้วที่สำคัญมันบุกมาที่บ่อนวันเดียวกับที่นางโจรนั่นลงมือ มันอาจเป็นพวกเดียวกันก็ได้” จำเจิญแค้นไม่หาย
เพลินตารีบท้วง “ไม่ได้นะเฮีย ครอบครัวของธัมโมน่ะเค้าเป็นตำรวจมากี่ชั่วคนแล้วเฮียรู้มั้ย ถึงไม่มีอำนาจ แต่ถ้าเค้าตายล่ะก็ รับรองต้องกลายเป็นข่าวใหญ่แน่”
เสี่ยเล้งเห็นด้วย “ถ้ามีข่าว ทางการก็ต้องมาเพ่งเล็งพวกเรา ป๊าว่าป๊าเห็นด้วยกับเพลินตานะ”
จำเริญหันมาทางเพลินตา “ตกลงจะเอายังไง”

“ธัมโมเป็นคนหัวแข็งแต่ว่าใจอ่อน ตาจะดึงเค้ามาเป็นพวกเดียวกับเรา” สีหน้าเพลินตามั่นมาก

ผู้กองธัมโมอยู่ในห้องนอนแล้ว แต่ยังไม่หลับ กำลังเสก็ตซ์ภาพของนางสิงห์ดำขึ้นมาคร่าวๆ ด้วยดินสอ ธัมโมเพ่งพินิจมองภาพนั้นอย่างใช้ความคิด
หลายฉากหลายตอนที่แสดงความเก่งกาจของเก่ง ผุดขึ้นในหัวผู้กองตงฉิน
ความเก่งกาจของเก่งขณะสู้กับโจรปล้นรถทัวร์ ตอนที่ย้งถามที่มาของเก่ง แต่เก่งตัดบทว่าไม่เกี่ยวกับใคร
ธัมโมนึกสงสัยที่เก่งถนัดบู๊ เก่งบอกว่าตัวเองเป็นนักมวย
เมื่อหมวยใหญ่มาแจ้งความว่ามีเรื่องที่บ่อน ธัมโมทักว่าเก่งที่น่าจะมาด้วยกันหายไปไหน
ตอนนางสิงห์ดำอาละวาดในบ่อน ธัมโมเห็นนางสิงห์ครั้งแรก และหลังต่อสู้กันนางสิงห์พูดกับธัมโมเรื่องสำนึกรักบ้านเกิด
ธัมโมยังติดใจเรื่องเห็นเก่งหิ้วลังกระดาษ เก่งบ่นเรื่องที่ธัมโมชอบสงสัย เหมือนตนเป็นผู้ต้องหา
และล่าสุดตอนนางสิงห์ พิฆาตทรชน แจกเงินในวัด ธัมโมเห็นลังกระดาษแบบเดียวกันหล่นอยู่แถวนั้น
ผู้กองธัมโมดึงตัวเองกลับมา ลูบหนวดอย่างใช้ความคิด
“หรือว่านายเก่งจะเป็นนางสิงห์พิฆาตทรชน ถ้างั้นก็แสดงว่า…” สีหน้าตกใจเว่อร์ “นางสิงห์… เป็นกะเทยเหรอเนี่ย”
ธัมโมออกอาการคิดหนัก

วันต่อมาวาสนากับย้งขณะมาให้ปากคำตามนัดที่ห้องทำงานผู้กองธัมโม
“ไม่จริงหรอกค่ะ ชั้นมั่นใจว่าคนร้ายต้องเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชายปลอมตัวมาเด็ดขาด” วาสนามั่นใจมาก
ย้งคาใจ “ทำไมผู้กองถึงสงสัยว่าจะมีการปลอมตัวเกิดขึ้นเหรอครับ”
“ตอนที่เผชิญกันเค้าพูดกับชั้นเรื่องความสำนึกรักในบ้านเกิดชั้นเลยสงสัยว่าเค้าจะต้องปลอมตัวอยู่ในพื้นที่”
วาสนาอยากรู้ “แล้วผู้กองสงสัยใครรึเปล่าคะ”
“ผมยังไม่แน่ใจครับ คงต้องดูไปก่อน”
ผู้กองธัมโมบอกก่อนจะเดินออกมาส่งย้งกับวาสนา
“ต้องขอบคุณผู้กองมากนะคะที่ใส่ใจกับคดีนี้ ตอนแรกชั้นนึกว่าผู้กองจะเฉยๆ ซะอีก”
“ทำไมคุณวาสนาถึงคิดแบบนั้นละครับ”
“ก็เพราะผู้กองไม่ชอบพ่อชั้น ผู้กองอาจจะดีใจก็ได้ที่เห็นเค้าเดือดร้อน”
“ผมเป็นผู้รักษากฎหมายนะครับคุณวาสนา จะคนดีหรือคนร้ายก็ต้อง ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายเท่าเทียมกัน”
“ก็ได้ค่ะชั้นจะเชื่อใจผู้กอง ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะคะ”

วาสนายื่นมือให้ตามมารยาท สองคนจับมือกันต่อหน้าย้งที่มองอย่างไม่พอใจ
ย้งของแจม จับด้วย “ผมก็เหมือนกันครับผู้กอง ถ้ามีอะไรบอกผมแทนก็ได้ครับคุณวาสนาเค้างานยุ่ง”
ธัมโมรับปากงงๆ “อ่อ….ได้ครับ ได้”
ย้งฉีกยิ้มแบบเสแสร้ง

เก่งเดินมาตามทางในหมู่บ้าน เหมือนกำลังใช้ความคิดหนัก
“จะทำอะไรดีวะ จะหางานที่ไหนดีวะ”

เก่งนึกเรื่องที่เพิ่งคุยในห้องรับแขกบ้านครูเพิ่ม โดยไม่กี่ชั่วโมงก่อนครูเพิ่มสอนหนูเก่ง
“ถ้าไม่อยากให้ผู้กองธัมโมสงสัย เอ็งต้องหางานทำไม่ใช่ลอยไปลอยมาทั้งวันแบบนี้”
“แล้วครูจะให้ชั้นทำอะไร”
“เอ็งก็เป็นลูกมือช่วยข้าซ่อมรถสิวะ” ครูว่า
“ไม่ได้นะครู ถ้าชั้นจะเล่นงานพวกกำนันศร ชั้นต้องหาข่าว”
“งั้นเอ็งต้องหางานที่มันไม่เป็นหลักแหล่ง” ครูเพิ่มย้ำ

เก่งนึกไม่ออกว่าจะทำงานทำการอะไร เดินก้มหน้าก้มตาอยู่ด้วยความเครียด ขณะที่ย้งก็ก้มหน้าก้มตาสวนมาเช่นกัน
“ต้องหางาน ต้องหางานทำให้ได้” เก่งพึมพำ
“ต้องหาอาจารย์ ต้องฝึกวรยุทธ” ย้งก็พึมพำ
เก่งทักโดยไม่มองหน้า “หวัดดีย้ง”
ย้งทักตอบไม่มองหน้าเช่นกัน “หวัดดีเก่ง”
ทั้งคู่เดินสวนกันไปก่อนจะชะงักหันมามองหน้ากัน
“มีเรื่องให้ช่วยรึเปล่า” ย้งถาม
เก่งพยักหน้าบอก “เออ”
“มีเหมือนกันว่ะ” ย้งบอก

พอเถ้าแก่ตงรู้ที่ลูกชายจะให้เก่งมาช่วยงานในร้านก็หน้าเบ้
“ไอ่หย่าอาย้ง ลื้อคิดได้ยังไงวะ ชักศึกเข้าบ้านแท้ ๆ ให้อีมาเป็นลูกจ้างก็พอว่า นี่ให้มาเปิดร้านแข่งกับอั๊วลื้อบ้ารึเปล่า ทุกวันนี้ลื้อเจี๊ยะข้าว หรือเจี๊ยะฟางอาย้ง”
“ไม่ใช่นะป๊า ไอ้เก่งมันจะขับรถเร่ขายกาแฟ ไม่ได้มาขายแถวนี้ซะหน่อย”
หมวยใหญ่กระแซะเก่ง “นั่นสิป๊า กาแฟเอย น้ำตาลเอย นมเอย น้องเก่งเค้าก็มาซื้อกะป๊าอยู่ดี แบบนี้เท่ากับเป็นการเพิ่มยอดขายนะ”
“ให้ผมสาบานก็ได้ครับเถ้าแก่ ผมจะไม่มาขายละแวกนี้เด็ดขาดห่างออกไม่ต่ำกว่า 200 เมตร” เก่งบอก
“ลื้อออกไปเลย 300 เมตร เฉียดเข้ามาเมื่อไหร่ ลื้อซี๊แน่นอน”
“เอ่อว่าแต่ ใครจะเป็นคนสอนไอ้เก่งมันชงกาแฟล่ะครับ อาป๊าหรือว่าอาเจ้”
“อั๊วเอง เก่งเค้าหัวอ่อน ต้องค่อยๆสอนถึงจะเข้าใจ” หมวยใหญ่ปากว่ามือถึง ลูบไล้…ลวนลาม ขณะปากถาม “ใช่มั้ยจ๊ะน้องเก่ง”
เก่งบิดหลบเป็นจังหวะตามมือหมวย “เอ่อครับ ใช่ อุ้ยๆ ใช่ครับ”

วาสนาเพิ่งกลับมาถึงบ้าน และเจอยอดปลีกตัวจากกลุ่มสมุนมาทัก
“คุณวาสนาหายไปไหนมาครับ ผมให้คนไปตามที่อนามัยก็ไม่เจอ”
“ชั้นไปที่โรงพักมาน่ะ มีอะไรเหรอนายยอด”
“เสี่ยเล้งให้คนมาเชิญพ่อกำนันไปทานข้าวครับ แล้วบอกให้คุณวาสนาไปด้วย”
วาสนาอึดอัดใจ ยอดมองวาสนาอย่างเห็นใจ
“ถ้าคุณวาสนาไม่อยากไป ผมบอกพ่อกำนันให้ก็ได้นะครับ”
“ไม่ต้องหรอกนายยอด ไม่ไปวันนี้ วันหน้าก็ต้องไปอยู่ดี”

ไม่นานต่อมา มิ่งพาเสี่ยเล้งกับจำเริญออกมาต้อนรับกำนันศรและคณะที่เพิ่งมาถึง วาสนาไหว้เสี่ยเล้งและจำเริญตามมารยาท
“สวัสดีค่ะคุณอา สวัสดีค่ะพี่จำเริญ”
เสี่ยเล้งยิ้มแย้ม “หนูวาสนานี่ยิ่งโตยิ่งสวย เหมือนแม่ไม่มีผิดกำนันนี่โชคดีนะ ได้ลูกสาวทั้งสวยทั้งเก่งแบบนี้”
“ก็ดีหน่อยตรงที่เป็นหมอ ต่อไปจะได้ฝากผีฝากไข้” กำนันมองไปที่จำเริญ “แต่ยังไงสู้ลูกชายของเสี่ยไม่ได้หรอกมั๊ง ได้ข่าวว่าขยันช่วยงานเหมือนกันนี่”
“แหม ผมก็แค่เด็กฝึกงานเท่านั้นเองครับลุงกำนันถ้าขาดเหลือยังไงลุงกำนันช่วยสั่งสอนผมก็ได้นะครับ”

กำนันศรพยักหน้าพอใจ แต่วาสนานึกระอาที่ถูกจำเริญมองด้วยแววตาเจ้าชู้ตลอดๆ 

นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ครู่ต่อมาเสี่ยเล้งกับกำนันศรกำลังดื่มเหล้าหารือกันอยู่ในห้องรับแขก โดยมีสมุนปลายแถวหรือเด็กรับใช้คอยบริการอาหารเครื่องดื่ม

“สถานการณ์ตอนนี้มันจับต้นชนปลายไม่ถูกจริงๆเสี่ยทั้งตำรวจทั้งโจรดันอาละวาดพร้อมกัน ผมไม่รู้จะจัดการกับใครก่อนดี” กำนันเอ่ยขึ้น
“เรื่องตำรวจปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง ส่วนกำนันจัดการกับนางโจรนั่น”
“นี่อย่าบอกนะ ว่าเสี่ยจะเก็บผู้กองธัมโม” ขยับเข้าใกล้ “คนเก่าเราเพิ่งฆ่าไปเมื่อไม่กี่เดือนนี่เองนะ”
“เปล่า แต่ผมว่าจะกล่อมเค้า ให้มาอยู่ฝ่ายเรา”
“มันจะไหวเหร๊อ ไอ้ธัมโมมันหัวแข็งขนาดนั้น” กำนันศรว่า
“รับรองผมจัดการได้ กำนันคอยดูเรื่องนางสิงห์ชุดดำให้ดีละกันผมว่านางนี่ต้องไม่ธรรมดาแน่”
กำนันศรพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ที่สวนดอกไม้ในบ้านเสี่ยเล้ง จำเริญเดินเล่นอยู่กับวาสนา
“น้องวาสนายังโกรธพี่รึเปล่าที่แซวน้องกับไอ้ย้งวันนั้น”
“เรียกนายย้งก็พอค่ะพี่จำเริญ นายย้งเค้าเป็นคนดีนะคะ”
“ก็แปลว่าโกรธสินะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกนายย้งเค้าหรอกแต่พี่ไม่ชอบที่เห็นเค้ามาเกาะแกะน้องวาสนา”
“วาสนากับย้งโตมาด้วยกันค่ะ เราเป็นเพื่อนกัน”
“ไม่จริงหรอกมั๊ง พี่ว่ามันคงอยากเป็นมากกว่านั้น น้องวาสนาคงไม่เห็นดีไปกับมันหรอกมั๊ง” จำเริญเหน็บอยู่ในที
“ก็ไม่แน่ค่ะ เพราะอย่างน้อยย้งเค้าก็มีน้ำใจ ไม่เคยดูถูกคนอื่น”
วาสนาไม่พอใจ ว่าแล้วก็ขยับจะเดินหนี จำเริญรีบคว้าแขนไว้
“พี่พยายามทำดีอยู่นะวาสนา เห็นใจกันบ้างสิ”
วาสนาไม่ตอบ เธอชักแขนออกแล้วเดินหนี จำเริญมองตามอย่างไม่พอใจ

เวลาเดียวกัน ตรงทางเดินในบ้านเสี่ยเล้ง ยอดเดินสำรวจดูนั่นดูนี่มาอย่างสนใจ บ้านเสี่ยเล้งหรูหรากว่ากำนันศรเจ้านายมันหลายเท่า แต่ด้วยความเป็นคนหยิ่ง ยอดจึงไม่ตื่นเต้นอะไรมากมาย จนกระทั่งสายตามันมาสะดุดกับกรอบรูปถ่ายหลายบานที่วางโชว์อยู่ ยอดก็ถึงกับชะงักไป
สายตายอด โฟกัสไปที่รูปถ่ายของเพลินตา
ยอดหยิบรูปเพลินตามาลูบดูอย่างหลงใหล ก่อนจะเหลือบซ้ายแลขวาว่ามีใครอยู่หรือไม่
เวลาผ่านไป มิ่งเดินผ่านมาเห็นยอดกำลังวุ่นวายอยู่กับรูปถ่าย
“ไอ้ยอด!”
ยอดสะดุ้งหันมา “ไอ้มิ่ง”
“ทำอะไรของเอ็ง”
“ข...ข้า…ข้าดูเพลินตา เอ้ย! ดูอะไรเพลินๆ อยู่”
มิ่งเลิกวางมาดเข้ม ยิ้มขำ “ฮะๆๆ ไอ้นี่ ทักหน่อยเดียว ทำเป็นตื่นเต้นไปได้” กอดบ่า “ตามสบายโว้ยเพื่อน บ้านเจ้านายข้า ก็เหมือนบ้านเจ้านายเอ็ง เพราะอีกไม่นาน เราก็จะเป็นทองแผ่นเดียวกัน” มิ่งฟุ้ง
ยอดเย้ย “ถ้าหมายถึงคุณจำเริญกับคุณวาสนาล่ะก็ เอ็งฝันไปก่อนเถอะ”
“ทำไมวะ”
“คุณวาสนาติดไอ้ย้งอย่างกับตังเม เอ็งไม่เห็นหรือไงวะ”
“ก็แค่ไอ้กระจอกตัวนึง เทียบเสี่ยน้อยของข้าได้ที่ไหน” มิ่งคุยโว
“ไม่แน่โว้ย ของแบบนี้ลางเนื้อชอบลางยา ดอกฟ้าอาจจะชอบหมาวัดก็ได้”
มิ่งอึ้งไป ยอดยิ้มเย้ยก่อนจะรีบเดินหนี มิ่งมองตามโดยไม่ได้สังเกตเลยว่า กรอบรูปหายไปบานหนึ่ง ซึ่งก็คือรูปถ่ายของเพลินตานั่นเอง

เวลานั้นผู้กองธัมโมเดินกระวีกระวาดมาบอกจ่าไชโยที่กำลังเดินสวนมาพอดี
“จ่าเดี๋ยวผมจะออกไปตรวจท้องที่นะ บอกหมู่โอฬารให้เตรียมรถด้วย”
“เห็นทีจะไม่สะดวกแล้วครับผู้กอง พอดีมีคนมาขอพบผู้กองครับ”
“ใคร”
เสียงหมู่โอฬารดังเข้ามา “เชิญทางนี้เลยครับคุณเพลินตา ผู้กองออกมาพอดี”
ธัมโมมองไปเห็นโอฬารช่วยหิ้วกระเช้าของขวัญและเชื้อเชิญเพลินตาขึ้นมาบนโรงพัก
“เพลินตา”
เพลินตายิ้มแย้มก่อนจะชี้ให้ดูที่กระเช้าของขวัญ

โอฬารเอากระเช้าของขวัญมาวางบนโต๊ะในห้อง ส่วนไชโยช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้เพลินตานั่ง เห็นธัมโมมองเพลินตาไม่วางตา แม้ขณะจะหย่อนตัวลงนั่ง
“ตาว่าจะมาขอบคุณธัมโม เรื่องที่ช่วยพี่จำเริญวันนั้นค่ะ”
“อ๋อครับ…เว้ย”
ธัมโมมัวแต่จ้องจนนั่งพลาดตกเก้าอี้หายพรวดไป เล่นเอาคนอื่นสะดุ้งเฮือก
เพลินตาร้อง “อุ้ย”
หมู่กะจ่าประสานเสียง “ผู้กอง”
ธัมโมตะเกียกตะกายขึ้นมานั่งเก๊กหน้าเป็นปกติ
“แหมไอ้เก้าอี้ตัวนี้มันแย่จริงๆ สงสัยจะเสียนะเนี่ยนะหมู่ จ่า เสียเนอะ”
“ครับ เสียก็เสียครับ” ไชโยเอออไปด้วย
โอฬารไม่รับมุก “เสียได้ไง ตัวนี้เพิ่งซื้อ”
ไชโยขยิบตา “เออน่า ผู้กองบอกเสียก็เสียละกัน หมู่ไปหาเครื่องดื่มมาต้อนรับคุณเพลินตาเหอะ”
“เอ่อ ไม่ทราบคุณเพลินตาจะรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”
ธัมโมบอกแทน “กาแฟเย็น”
เพลินตา ไชโย และโอฬารหันขวับ เห็นธัมโมอึกอักที่ดันหลุดปากออกไป
“แต่ก่อนคุณเพลินตาเค้าชอบทานกาแฟเย็นน่ะ”
เพลินตารีบบอก “เดี๋ยวนี้ก็ยังชอบค่ะ”
เพลินตามองหน้าธัมโมอย่างมีความหมาย ไชโยกับโอฬารมองหน้ากันอย่างรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

จ่าไชโยกับหมู่โอฬารเดินลงบันได หลบมุมมาหาที่เม้าท์เจ้านาย
“จ่า”
ไชโยโบกมือห้าม “ไม่ต้องพูดแล้วหมู่ แค่ดูก็รู้แล้ว ผู้กองธัมโมกับคุณเพลินตาต้องเคยมีติ่มซำรองกันมาแน่ๆ”
โอฬารแก้ให้ “ซำติ้งรอง”
“เออนั่นแหละ เคยซั่มกัน” หนักกว่าเก่า
โอฬารเซ็ง “เว้ยยย !! จะพูดให้ผิดทำไมเนี่ยจ่า เอาสาระหน่อยสิ”
ไชโยว่าต่อ “อาทิเช่น”

“มันจะมีผลต่อหน้าที่การงานของเรามั้ย ถ้าผู้กองธัมโมได้ลูกสาวเจ้าของบ่อนอย่างคุณเพลินตาเป็นเมีย” โอฬารปรารภ
“มีผลแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก่อนอื่นหมู่รีบไปซื้อกาแฟก่อนเหอะเพราะถ้าหมู่ชักช้า ผลเสียอาจตกอยู่ที่เราก็ได้”

จ่าไชโยเร่งให้หมู่โอฬารรีบไป

ขณะนั้นมีมือของใครคนหนึ่งกำลังชงกาแฟอย่างขันแข็ง และเห็นสีหน้าเก่งกำลังมองอย่างตั้งใจ แกมอึดอัด เป็นหมวยใหญ่สาวเอ็กซ์แตกนั่นเอง ที่กำลังชงกาแฟโดยโอบเก่งไปในตัว และเอานมเบียดหลังเก่งอยู่...อย่างจงใจ

แถมหมวยใหญ่กระซิบข้างหู “ว่าไงจ๊ะเก่ง ที่เจ๊สอนเนี่ยเข้าใจรึยังจ๊ะ ถ้าไม่เข้าใจ เจ๊ทำให้ดูใหม่นะ”
“ข..เข้าใจแล้วครับเจ๊ ไม่ต้องสอนแล้วครับ ผมชงได้” เก่งอึดอัดนัก
เถ้าแก่ตงขัดหูขัดตา “อาหมวยเอ้ย ลื้อปล่อยมันไปเหอะ มันจะเป็นแล้ว ดูสภาพนี้ยังไงมันก็เป็น”
“ชงกาแฟเป็นเหรอป๊า”
“เป็นผัวลื้อโว้ย !!! หนอย…อัดซะติดมุม ลื้อปล่อยให้มันออกมาหายใจบ้างก็ได้ ไม่ต้องเอาบาซูก้าไปจ่อหลังมันหรอก”
“ป๊าอ่ะ ทะลึ่ง”
หมวยใหญ่สะบัดหน้าไป หมู่โอฬารรีบปราดเข้ามา
“หมวยจ๋า ขอกาแฟเย็นสอง พร้อมขนมขบเคี้ยวแล้วเดี๋ยวช่วยให้ใครไปส่งด้วยนะจ๊ะ”
“จะมีใครไปส่งล่ะอาหมู่ ลูกชายอั๊วก็ไม่อยู่เนี่ย” เถ้าแก่ตงบอก
เก่งรีบอาสา “เดี๋ยวผมไปส่งให้ก็ได้ฮะ จะได้ลองวิชาว่ากาแฟอร่อยแค่ไหน”
“เด็กฝึกงาน” โอฬารเยาะ
“ไม่ช่าย เด็กในสังกัดอั๊วต่างหาก” หมวยใหญ่มองเก่งเขินๆ “อี๋ น่ารักที่สุด”
โอฬารมองหมวยใหญ่และเก่งอย่างหมั่นไส้ ขณะที่หนูเก่งชงกาแฟอย่างตั้งอกตั้งใจ

ไม่นานต่อมาเก่งกำลังเสิร์ฟกาแฟเย็นให้ธัมโมกับเพลินตา เห็นเพลินตามองเก่งที่ยืนปาดเหงื่อเพราะเดินมาเหนื่อยๆ แล้วมองแก้วกาแฟเหมือนแหยงๆ
“ตกลงจะเป็นคนขายกาแฟเหรอเรา”
เก่งพยักหน้า
เพลินตาสงสัย “ธัมโมรู้จักเหรอคะ”
ธัมโมประชดส่ง “อ๋อเจ้ากรรมนายเวรผมเองครับ เจอกันทีไรมีเรื่องทุกที”

“นี่แฟนผู้กองเหรอ” เก่งถาม หลังมองอยู่นาน
“ฮึ่ย ถามอะไรอย่างนั้นนายเก่ง คุณเพลินตาเค้าเอาของมาฝากชั้นต่างหาก”
เก่งเหน็บเอา “แบบนี้ไม่เข้าข่ายติดสินบนเจ้าพนักงานเหรอครับ”
เพลินตาชักฉุน “นี่นาย ของขวัญก็คือของขวัญ จะเป็นสินบนได้ยังไงพูดจาหาเรื่อง”
เก่งสวนเอา “ผมก็แค่สงสัยเลยถามดู ไม่เห็นต้องโมโหเลยนี่”
ธัมโมห้าทัพ “เอาล่ะๆ หมดเรื่องแล้วนายกลับไปเถอะ เดี๋ยวแก้วเนี่ยชั้นจะให้คนไปคืนให้ที่ร้าน"
เก่งอยากจะกลับเหมือนกันถ้าไม่สะดุดกับสายตาดูถูกของเพลินตาเข้าเสียก่อน เพลินตาแกล้งหยิบกาแฟเย็นมาชิมดู
“แหยะ รสชาติห่วยที่สุด ไม่รู้เอาอะไรชง”
เพลินตาว่าแล้วก็เทกาแฟทิ้งลงกระโถนแถวนั้น ธัมโมที่กำลังจิบกาแฟอยู่ถึงกับอึ้งไป ขณะที่เก่งไม่พอใจ
“อ๋อ พอดีมือผมไม่ว่างอ่ะ ให้เจ๊ทายละกันว่าผมใช้อะไร”
เพลินตาของขึ้นลุกยืนพรวด “นี่แก”
“เอ่อเพลินตาจ๊ะใจเย็น นายเก่ง นายกลับไปได้แล้ว”
เพลินตาไม่ยอม “ไม่ได้ค่ะธัมโม มันต้องขอโทษเพลินตาก่อน กล้าดียังไงมายวนใส่เพลินตาแบบนี้”
เก่งเถียงทันที “คุณต่างหากที่ต้องขอโทษผม กาแฟผมอร่อยจะตาย ไม่ห่วยซะหน่อย”
เพลินตาเสียงแข็งใส่ “แกต้องขอโทษชั้นเดี๋ยวนี้”
“ไม่” เก่งเดินหนีไป
เพลินตาฉุน “ธัมโมคะ ถ้าคุณไม่จัดการ เพลินตาจะให้คนของป๊าจัดการมันเอง”
ธัมโมรู้สึกว่าเรื่องชักจะบานปลาย

เก่งกำลังเดินหนีมาที่หน้าโรงพัก ธัมโมรีบตามมาขวาง
“นี่นาย กลับไปขอโทษคุณเพลินตาเดี๋ยวนี้”
“คุณไม่มีสิทธิ์มาบังคับผมนะผู้กอง”
“ชั้นไม่ได้บังคับนาย แต่ชั้นทำเพื่อความปลอดภัยของนาย” กระซิบบอกเบาๆ “คนที่นายมีเรื่อง เป็นถึงลูกเจ้าพ่อเชียวนะ”
เพลินตามออกมาดูที่หัวบันได ไชโยกับโอฬารตามมาด้วย

“ผู้กองเป็นตำรวจก็ปกป้องผมสิ ไม่ใช่มาสั่งให้ผมไปง้อเค้าลำเอียงนี่หว่าแบบเนี้ย”
“ไม่ได้ลำเอียง ชั้นเป็นผู้ชาย ชั้นต้องปกป้องศักดิ์ศรีให้เพื่อนหญิงของชั้น แล้วอีกอย่าง.. กาแฟนายมันรสชาติห่วยแตกจริงๆ”
เก่งของขึ้น “อะไรนะ”
“ชั้นชิมแล้ว รสชาติเหมือนน้ำซักผ้าไม่มีผิด”
“ผู้กอง คุณต้องขอโทษผม กาแฟผมอร่อย ขืนไม่ขอโทษล่ะก็ผมฟ้องจริงๆ ด้วย” เก่งอย่างยั๊ว
“เอาเลย นายไปขอโทษเพลินตาก่อน แล้วชั้นจะขอโทษนาย
ระหว่างนั้นย้งแต่งชุดวอร์มวิ่งออกกำลังกายเพิ่งไปซื้อนวม และเป้าชกมาจากร้านขายเครื่องกีฬาผ่านมา พึมพำอยู่คนเดียว
“คอยดูนะ ต่อไปนี้ทุกคนจะได้รู้จักกับไอ้ย้งยอดนักสู้ เย้”
ย้งชะงักเมื่อพบว่าบรรยากาศรอบตัวดูเงียบผิดปกติ ครั้นเมื่อเหลียวมองไปก็เห็นชาวบ้านรุมดูอะไรอยู่ จึงเข้าไปร่วมวงและเห็นธัมโมยืนเผชิญหน้ากับเก่ง
“เฮ้ยไอ้เก่ง ผู้กอง มีเรื่องอะไรกันเนี่ย”
เก่งพูดกับธัมโมอย่างเอาเรื่อง “จะเอายังไงผู้กอง ต่อยกันมั้ย”
เพลินตาเข้ามามาสมทบ “วิสามัญเลยค่ะธัมโม มีอะไรเดี๋ยวตาให้ป๊าเคลียร์เอง”
ธัมโมตกใจ “เอ่อ ผมว่าเราใช้วิธีอื่นดีกว่าครับ” หันมาหาเก่ง “ชั้นไม่สู้กับนายหรอกนายเก่ง เรามาดวลกันด้วยวิธีอื่นดีกว่า”
ย้งรีบเสนอ “อ๋อ งั้นอั๊วมีอยู่วิธีนึง”
ไชโยสงสัย “อะไรวะไอ้ย้ง”
เวลาผ่านไปอีก มีชาวบ้านมาออกันแน่นหนาขึ้น รวมทั้งเถ้าแก่ตง หมวยใหญ่ที่เข้ามาสมทบ
“อั๊วชอบหมู่บ้านนี้จริงๆ มันมีเรื่องให้มายืนมุงกันได้ทุกวัน” เถ้าแก่ตงว่า
ตาคงหอบขวดเหล้าโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ “มีเรื่องอะไรอีกวะเถ้าแก่”
เถ้าแก่ตงแขวะ “นั่น ขาประจำก็มา”
หมวยใหญ่ยี้ใส่ “เมามาด้วยเนี่ย กลิ่นละมุดหึ่งเชียว”
“ถูกต้องนะครับ”
ตาคงว่าแล้วเรอออกมาดังลั่น หมวยใหญ่กับเถ้าแก่ตงเบือนหน้าไปคนละทาง
ย้งซึ่งเป็นกรรมการให้กับผู้กองธัมโมและเก่ง ซึ่งเวลานั้นผู้กองธัมโมถอดเครื่องแบบส่งให้ไชโยกับโอฬารรับไปถือ เหลือแต่เสื้อกล้ามตัวเดียว...เล่นเอาเก่งมองอย่างอึ้งๆ
“นายไม่ถอดเสื้อเหรอ” ผู้กองถาม

“ถอดทำไม ผมไม่ได้กล้ามใหญ่เหมือนผู้กองนี่”

นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ตี๋ย้งเริ่มบอกกฎและกติกา การแข่งขัน หน้าตาจริงจัง

“เอาล่ะทั้งสองคนฟังให้ดี ออกไปนอกหมู่บ้านประมาณ 800 เมตรจะมีทุ่งทานตะวันอยู่ ใครก็ตามที่ไปเด็ดดอกทานตะวันกลับมาเป็นคนแรกคือผู้ชนะส่วนกติกาก็คือ จะใช้เส้นทางไหนยังไงก็ได้แต่ห้ามใช้พาหนะเด็ดขาด”
เก่งเริ่มสะกิดใจว่ารูปแบบการแข่งแบบนี้ตัวเองมีโอกาสชนะค่อนข้างมาก
“พร้อมนะ ถ้าพร้อมก็…”
เก่งขัดขึ้นเสียก่อน “เดี๋ยวก่อน” หันมาท้าทางธัมโม “ผู้กอง ผมขอเพิ่มเดิมพัน”
“อ้าว”
“ก็ผมเสียเปรียบนี่นา ถ้าแพ้ผมต้องขอโทษทั้งคุณเพลินตากับผู้กอง จริงมั้ย”
“ถูกต้อง”
“แล้วถ้าชนะผมได้อะไร ในเมื่อคุณเพลินตาไม่ยอมขอโทษผมแน” ธัมโมมองไปเห็นเพลินตาสะบัดหน้า ไม่ขอโทษเด็ดขาด
“แล้วนายจะเอายังไง”
“ใครแพ้ ผู้กองต้องโดนทำโทษด้วยการ…” นิ่งคิดครู่หนึ่ง “สักหน้าประจาน”
ธัมโม ไชโยและโอฬารสะดุ้งโหยง “เฮ้ย”
“ล้อเล่น! เอาแค่วาดหน้าวาดหนวดก็พอ”
ไชโยไม่พอใจ “จะบ้าเหรอ ผู้กองเป็นถึงนายตำรวจนะ เรื่องอะไรจะมาเล่นแผลงๆแบบนั้น”
“อ้าว ถ้าไม่กล้าก็เลิกแข่ง ไม่แจ๋วจริงนี่หว่า” เก่งเย้ยหยัน
ธัมโมฮึดสู้ “ก็ได้ชั้นรับปากนาย”
เพลินตาตกใจ “ธัมโมคะ”
“ไม่ต้องห่วงครับเพลินตา เค้าต้องขอโทษคุณแน่ ผมไม่มีทางแพ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเค้าเด็ดขาด”
เก่งลอยหน้าท้าทาย “รับปากแล้วนะผู้กอง ถ้าผิดคำพูดขอให้เป็นตุ๊ด”
โอฬารกรี๊ด “อร้ายยยย บ้าที่สุด หยาบคาย เป็นตุ๊ดมันเสียหายตรงไหนยะ”
ไชโยเซ็ง “เฮ้ย หมู่ทุเลาๆ บ้าง อย่าออกอาการขนาดนั้น เดี๋ยวชาวบ้านจะเข้าใจผิด”
“ขอโทษครับจ่า ผมเล่นมุกเพื่อลดความเครียดของไทยมุงครับ”
ย้งฟังอยู่นาน “เอาล่ะ ถ้าทั้งสองฝ่ายพร้อมแล้วก็… เตรียมตัว” ทิ้งจังหวะให้สองคนเข้าที่ “เริ่ม”
ย้งฟันมือฉับให้สัญญาณ เก่งกับธัมโมพุ่งทะยานตัวออกไปทันที

เก่งกับธัมโมวิ่งตีคู่กันมาอย่างสูสี ท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกที่ด้านหลัง
“นายเก่ง มีเรื่องนึงชั้นอยากบอกนาย” ผู้กองหันมาหาเก่ง
“เรื่องอะไร”
“สมัยเรียนชั้นเป็นแชมป์วิ่งระยะไกล”
ธัมโมว่าแล้วก็วิ่งแซงเก่งไปต่อหน้าต่อตา เก่งตัดสินใจหยุดวิ่ง
เก่งเบ้หน้า “ชิ มีเรื่องนึงผมอยากบอกผู้กองเหมือนกันผมเกิดที่นี่ ผมรู้ทางลัด”
แต่ธัมโมคงไม่ได้ยิน เก่งวิ่งผลุบเข้าซอยไปแล้ว ธัมโมกำลังวิ่งทางตรง ส่วนเก่งวิ่งไปทางลัด ทั้งคู่กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง วิ่งตัดหน้ารถ วิ่งลอดท้องช้าง ข้ามหลังวัวกันอย่างตื่นเต้น
เก่งวิ่งมาตามตรอกแคบๆ “สำเร็จแน่ ถ้าผ่านตรงนี้ไปก็จะเจอกับ…เฮ้ย”
เก่งตะลึงเมื่อวิ่งมาเจอกำแพงบ้านคนขวางอยู่
“แต่ก่อนตรงนี้มันเป็นที่โล่งนี่หว่า แล้วทำไม” นึกเจ็บใจ “โธ่เว้ยเอาไงดีวะ”
เก่งหันรีหันขวาง ก่อนจะเจอไม้ไผ่ที่ชาวบ้านกำลังตากเสื้อผ้าอยู่
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”
เก่งตั้งท่าเหมือนนักกีฬาค้ำถ่อ แล้วออกวิ่ง
“ไอ้เก่งสู้ตายโว้ย ย๊าก...”
ร่างของเก่งลอยละลิ่ว ป้าเจ้าของไม้ชะเง้อมองตามลุ้นๆ ไม้ไผ่ดันหักซะ
เก่งตกใจ “เย้ย”

ที่ทุ่งทานตะวัน…ได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งมาถึง ปรากฏว่าเป็นผู้กองธัมโมนั่นเอง
ธัมโมลิ้นห้อยวิ่งมาหอบแฮ่กๆ ก่อนจะเด็ดดอกทานตะวันไปถือไว้ แล้วกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณ
ธัมโมมองรอบกายมีแต่ความเงียบปราศจากวี่แววของเก่ง
ธัมโมมองซ้ายมองขวาอีกรอบ พอแน่ใจว่าไม่มีคน ก็เด้งเอวด้วยความสะใจ แบบไม่ต้องเก๊ก ไม่ต้องกั๊ก
“เย้ๆ ไอ้เก่งยังไม่มา ไอ้เก่งยังไม่มา ไอ้เก่งแพ้แน่นอน ย๊าฮู่”
ธัมโมสะใจเต้นด๊อกแด๊ก บ้าๆ บอๆ อยู่ท่ามกลางความเงียบในทุ่งทานตะวัน…คนเดียว

ผู้กองธัมโมกำลังวิ่งกลับมาโรงพักด้วยอาการลิงโลด ตาคงเห็นก่อนใคร
“เฮ้ยนั่นไงผู้กองธัมโมกลับมาแล้ว”
เพลินตาเป็นห่วง “ธัมโม”
“สำเร็จแล้วเพลินตา ผมทำสำเร็จแล้วนี่ไงดอกทานตะวันผมได้มาแล้ว ผมชนะแล้ว เห็นมั้ย เห็นมั้ย”
ธัมโมหันไปอวดดอกไม้ในมือด้วยความสะใจ ก่อนจะชะงักกึกเมื่อพบว่าคนที่เขาหันไปเห็นคือเก่งที่กำลังนั่งถือดอกทานตะวันอยู่ในสภาพเนื้อตัวมอมแมม ธัมโมแข็งทื่อ เหมือนโดนสาป
“ผู้กอง”
ธัมโมถามไชโย “มานานรึยัง”
“มาก่อนประมาณสามนาทีครับ”
“ผู้กองครับ ตะกี๊ผมไปซื้อไอ้นี่มาให้ครับ” โอฬารอวดปากกาเมจิกให้ดู “ยี่ห้อนี้ลบง่ายครับ ไม่ติดทนนาน”
เก่งคว้าปากกาหมับ “ก็ส่งมาทางนี้สิหมู่ คนวาดอยู่ทางนี้ นั่นมันคนโดนวาดต่างหาก เอ…จะวาดอะไรดีน๊า ทาแก้ม เขียนขอบตา ทาปากหรือว่าเขียนหนวดดีเอ่ย
ดอกทานตะวันของธัมโมร่วงลงกับพื้น ธัมโมมองปากกาอย่างสุดแสนสะเทือนอารมณ์ ที่พ่ายแพ้ต่อหน้านางในดวงใจ

เพลินตามองมาที่เก่งตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความแค้นใจ ขณะที่เก่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

เก่งกลับจากโรงพักมาที่บ้านครูเพิ่ม และกำลังนั่งเอกเขนกอยู่ในห้องนั่งเล่นแทะผลไม้อย่างอารมณ์ดี ขณะที่ครูเพิ่มกำลังกลุ้มใจ

“เฮ้อ ไอ้แก้วเอ้ย ข้าสั่งเอ็งแล้วไงว่าอย่ามีเรื่องนี่ผู้กองธัมโมเค้ายิ่งจับผิดเอ็งอยู่ด้วย เดี๋ยวก็ซวยกันพอดี” ครูเพิ่มกังวลเรื่องนี้เอง
เก่งบอกอย่างอวดเก่งถือดี “ไม่มีปัญหาหรอกครู กะอีแค่ผู้กองขี้เก๊กคนเดียว จะมีน้ำยาอะไร๊”
“ต่อให้เค้าไม่มี แต่คุณเพลินตาต้องมีแน่” ครูเพิ่มเครียดไป
เก่งหันขวับมาอย่างสนใจ “ครูรู้จักยัยนั่นด้วยเหรอ”
“คุณเพลินตาเป็นลูกสาวของเสี่ยเล้ง หุ้นส่วนของกำนันศร” ครูบอก
เก่งชะงัก นิ่งคิด “หุ้นส่วน ? กำนันศรค้าขายอะไรกับเจ้าของบ่อน”
“ข้าไม่รู้ แต่รับรองว่าต้องผิดกฎหมายแน่”
เก่งยังคงนึกสงสัยอยู่อย่างนั้น ในขณะที่ครูเพิ่มเริ่มรู้สึกเป็นห่วง

ในเวลาต่อมาครูเพิ่มเปิดตู้หรือหีบเสื้อผ้าก่อนจะหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมา เปิดออกจนเห็นภายในกล่องเป็นปืนพกสองกระบอกพร้อมด้วยเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง ครูเพิ่มลูบปืนอย่างใช้ความคิด
รำพึงรำพัน
“ปืนสองกระบอกนี้ข้าตั้งใจจะซื้อให้ผู้ใหญ่ทองตอนวันเกิด”

ปืนสองกระบอกวางอยู่ที่โต๊ะห้องนั่งเล่น ครูเพิ่มกำลังเล่าเหตุการณ์ให้หนูเก่งฟัง
“ผู้ใหญ่ทองปกป้องชาวบ้าน ต่อกรกับพวกนอกกฎหมาย ปืนสองกระบอก ก็หมายถึงสองภารกิจที่ว่า ไม่ได้มีไว้เพื่อฆ่าใคร” มองปืนสลับกับมองเก่ง “ตอนนี้เอ็งรับหน้าที่แทนผู้ใหญ่ทองแล้ว เอ็งสมควรเก็บมันไว้”
“ชั้นเป็นลูกโจรสามเศียรนะครู ปืนของชั้นเองก็มี” เก่งว่า
“แต่ข้าอยากให้ปืนนี่ เป็นเครื่องเตือนใจเอ็ง เอ็งรับไปเถอะแล้วจำไว้….ว่าอุดมการณ์ของผู้ใหญ่ทองคือความร่มเย็นเป็นสุขของชาวบ้าน ไม่ใช่การนองเลือด”
เก่งรับปืนมาอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด

ที่สนามยิงปืนในสวนบ้านเสี่ยเล้งเวลานั้น
เพลินตากำลังซ้อมยิงปืนเพื่อระบายอารมณ์อยู่ เห็นว่าฝีมือของเพลินตาค่อนข้างดีพอใช้ ยิงโดนเป้าหมายทุกนัด เสี่ยเล้งเห็นเพลินตาบรรจุกระสุนจะยิงอีกก็มาปลอบห้าม
“ไม่เอาน่าลูก เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องหงุดหงิดเลยนี่นา”
“ตาทนไม่ไหวค่ะป๊า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีผู้ชายคนไหนกล้าฉีกหน้าตาแบบนี้มาก่อน คิดดูสิคะ มันถือดียังไง มาสั่งให้ตาขอโทษ” เพลินตายังมีอารมณ์โกรธกรุ่นๆ
“ก็แค่คนขายกาแฟ ป๊าว่าหนูลืมๆ มันไปซะเถอะ”
มิ่งเข้ามาขัดจังหวะ “เสี่ยครับ”
เสี่ยเล้งหันไปหา “มีอะไร”
“บ่อนของเราต้องนี้ซ่อมเสร็จแล้วครับพร้อมจะให้บริการได้ทันที” มิ่งว่า
เสี่ยเล้งพยักหน้ากำชับหนักแน่น“ฮืม ถ้างั้นก็เปิดพรุ่งนี้เลยละกัน แต่ให้คนดูต้นทางเยอะหน่อยนะอย่าให้ตำรวจเข้ามาวุ่นวายอีกเด็ดขาด”
“ครับเสี่ย” เห็นเสี่ยเล้งจะผละไปมิ่งก็รีบทัก “เอ่อ...เดี๋ยวครับ ยังมีอีกเรื่องนึง”
เสี่ยเล้งหงุดหงิดหน่อยๆ “อะไรอีกวะ”
“โรงงานของเรา กำลังมีปัญหาครับ”
เสี่ยเล้งนึกเอะใจ “ปัญหาแบบไหน”
มิ่งมองหน้าเสี่ยเล้งอย่างหนักใจ

ที่ห้องนั่งเล่นบ้านพักผู้กองธัมโม เวลาเดียวกัน มองผ่านด้านหลังผู้กองธัมโม เห็นหมู่โอฬารกับจ่าไชโยกำลังมองจ้องหน้าผู้กองอย่างใช้ความคิด
หมู่โอฬารเอ่ยขึ้น “ฮืม ไม่ตลกหรอกครับผู้กอง ผมว่าเท่ห์ออกจะตาย”
จ่าไชโยผสมโรง “นั่นสิครับผู้กอง หล่อเข้ม เหมือนพระเอกหนังอินเดียเลยครับ”
หมู่กะจ่าคู่หู มองหน้าธัมโม ที่โดนเก่งวาดหนวดเคราจนเละ
“หมู่ จ่า ผมขอความจริงใจหน่อยได้มั้ย สภาพผมเป็นแบบนี้จะไปทำงานได้ยังไง ช่วยกันหาทางแก้หน่อยเหอะ”
“โอย ไม่ต้องแก้แล้วล่ะครับ ใช้ปี๊บคลุมหัวง่ายกว่า” โอฬารว่า
“ทางที่ดีผมว่าผู้กองไปง้อนายเก่งเค้าเถอะครับ ไอ้เรื่องเดิมพันขันต่อเนี่ย จะได้ยุติกันซะที”
ผู้กองธัมโมชั่งใจ นึกลังเล

ราตรีมาเยือนบ้านไม้งามแล้ว ค่ำคืนนั้น เก่งอยู่ในห้องนอน กำลังผลัดเสื้อผ้าเป็นชุดนางสิงห์ โดยถอดผ้ารัดอกออกพาดเก้าอี้ไว้

เสียงเคาะประตูหน้าบ้านดังขึ้น ครูเพิ่มเปิดประตูออกมาเจอผู้กองธัมโมยืนหันหลังอยู่
“ผู้กอง”
“นายเก่งอยู่มั้ย”

ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น เก่งที่แต่งชุดนางสิงห์ครึ่งๆ กลางๆ เปิดประตูมาเจอครูเพิ่ม
“ครู”
“ผู้กองธัมโมเค้ามาหาเอ็ง”
เก่งหงุดหงิด “ฮึ่ย แต่ชั้นเปลี่ยนชุดแล้วนะครู ชั้นจะออกไปหาข่าวครูช่วยรับหน้าให้ทีนะ บอกว่าชั้นไม่อยู่ก็แล้วกัน”
“บอกแล้ว แต่เค้าเห็นรองเท้าเอ็งวางอยู่ข้างนอก”
เก่งมองสภาพตัวเอง อย่างเซ็งๆ “นี่ชั้นต้องเปลี่ยนชุดอีกรอบเหรอเนี่ย”
ครูเพิ่มพยักหน้า เก่งเหนื่อยใจ

ธัมโมกำลังยืนรออยู่หน้าบ้าน ขณะที่เก่งลุกลี้ลุกลนออกมา หญิงสาวจัดแจงขยับวิกให้เข้าที่ก่อนจะกระแอมเตือนอีกฝ่ายเบาๆ
ธัมโมหันมา “นายเก่ง”
เก่งเห็นหน้าธัมโมก็ชะงัก เพราะธัมโมลบสีออกหมดแล้ว
“อ้าวผู้กอง อะไรเนี่ย ลบเองแบบนี้ โกงกันนี่นา”
“ชั้นขอล่ะ ไว้หน้ากันหน่อยเถอะ ถือว่าชั้นติดหนี้นายก็แล้วกัน”
“อ๊ะๆ ติดหนี้ก็ต้องรีบใช้ แปะโป้งเฉยๆ ไม่ได้นะครับผู้กอง”
“ชั้นรู้ นายจะเอายังไง ก็ว่ามา”
เก่งนิ่งคิด “ฮืม เอาอะไรดีหว่า ฮืมๆๆ อ๋อ นึกออกแล้วผมอยากขายกาแฟที่หน้าโรงพัก”
“ไม่ได้ หน้าสถานที่ราชการ ชั้นไม่ยอมเด็ดขาด”
“โห หยวนๆกันบ้างสิผู้กอง น่านะ…จะได้เจ๊ากันซะที”
ธัมโมคิดสักพัก “ตกลง แต่ถ้านายก่อเรื่องเมื่อไหร่ ชั้นจะยกเลิกสัมปะทาน”
เก่งทำท่าตะเบ๊ะ “โอเคคร๊าบ รับรองว่ากาแฟร้านนายเก่งสะอาด ปลอดภัยไร้ปัญหา กู๊ดไนท์นะคร๊าบ”
เก่งทำท่าจะเข้าบ้าน แต่ธัมโมดันเห็นชายผ้ารัดอกของเก่งแลบออกมาจากชายเสื้อ
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไรครับผู้กอง”
“นั่นผ้าอะไร”
เก่งมองตัวเองแล้วตกใจ “เฮ้ย..เอ่อ…ม..ไม่มีอะไรครับ ผ้า..ผ้าพันแผลน่ะ”
“นายบาดเจ็บเหรอ เป็นอะไรมากรึเปล่า เป็นตรงไหน” ธัมโมปรี่เข้าหาเก่งทันที
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร เฮ้ยผู้กอง ผู้กองจะทำอะไรเนี่ย”
ธัมโมคว้าผ้ารัดอกเก่ง แล้วสาวๆๆ ออกมา “ชั้นอยากดูแผลของนาย ผูกผ้ายาวเฟิ้อยแบบนี้แสดงว่าแผลต้องใหญ่แน่ๆ”
“ฮึ่ย ไม่ใหญ่ ขนาดแค่พอตัว” เก่งหลุดปาก
“แล้วนายจะซ่อนทำไม มาเถอะ ขอชั้นดูหน่อย” ผู้กองจะดูให้ได้
เก่งไม่ยอม “เฮ้ยไม่เอา บอกว่าดูไม่ได้ อย่านะครับผู้กอง อย่า”
เก่งกับธัมโมยื้อยุดจนเซไปกอดกัน ต่างคนต่างสบตา มือของธัมโมกับเก่งเกาะกุมกันแนบแน่น
“นายไม่เป็นไรนะ”
เก่งชักมือออกด้วยความรู้สึกเขินอาย รีบเดินหนีเข้าบ้านไปทันควัน

เก่งเดินลิ่วกลับเข้าห้องนอน รีบปิดประตู ก่อนจะรีบยกมือกุมหัวใจที่เต้นตึกๆ ไม่หยุดหย่อน
“ทำไมใจสั่นแบบนี้เนี่ย ตื่นเต้นอะไรกันนักหนาวะ”
ส่วนธัมโมยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ด้วยความแปลกใจ ผู้กองหนุ่มยกมือแตะที่หัวใจตัวเองเบาๆ รู้สึกแบบเดียวกับเก่ง แต่ผู้ชายอย่างเขาทื่อเกินกว่าจะเข้าใจความรู้สึกนั้น ธัมโมคิดอยู่สักครู่แล้วก็เดินกลับไปที่รถ

ยอดยังไม่นอน มันปลีกตัวมาเหม่อมองพระจันทร์ที่มุมหนึ่ง ก่อนจะหยิบรูปถ่ายของเพลินตาที่ขโมยจากบ้านเสี่ยเล้งออกมาดู
ยอดรำพึงรำพัน “คุณเพลินตา คุณเพลินตาของไอ้ยอด”
จู่ๆ เบิ้มโผล่พรวดเข้ามาประชิด “พี่ยอด”
ยอดตกใจ “โว้ย ไอ้เบิ้ม เรียกแบบนี้ เอ็งแทงข้าเลยดีกว่าแหกปากซะใกล้เชียวไอ้บ้า”
“โทษพี่ ชั้นจะถามว่าพ่อกำนันหลับรึยัง”
กำนันศรโผล่มาดูทางหน้าต่าง “ยังโว้ย มีอะไรวะไอ้เบิ้ม”
“เสี่ยเล้งให้ชั้นมาตามจ้ะพ่อกำนัน เห็นว่าที่โรงงานกำลังมีปัญหาที่กำนันศรนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ”

ภายในห้องรับแขกบ้านเสี่ยเล้ง สองผู้ทรงอิทธิพล กำนันศรกับเสี่ยเล้งหารือกันอยู่ โดยมียอด มิ่งร่วมรับฟังห่างๆ
“พวกคนงานที่กำนันหามาให้ผม ตอนนี้มันประท้วงกันยกใหญ่บอกว่าจะไม่ทำงานจนกว่าจะขึ้นค่าแรงให้มัน” เสี่ยเล้งปรารภ
กำนันศรฉุน “ฮึ ไอ้พวกนี้ได้คืบจะเอาศอก เสี่ยพอจะรู้มั้ยว่าใครเป็นแกนนำ”
“ผมว่าจะไปดูคืนนี้” เสี่ยบอก
“ถ้างั้นผมไปด้วย เจอตัวเมื่อไหร่ ผมจะสั่งสอนมันเอง”

สองคนไม่รู้ว่าที่หน้าต่าง เห็นเก่งในคราบนางสิงห์กำลังลอบฟังอยู่อย่างครุ่นคิด

นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 4 (ต่อ)

นางสิงห์อาศัยความมืดกำบังกาย ก่อนจะพุ่งมาซ่อนตัวบนรถของเสี่ยเล้ง สักครู่ก็เห็นกำนันศรกับเสี่ยเล้งออกมาจากบ้าน

“ไปรถผมก็ได้กำนัน ระหว่างทางจะได้คุยงานกันต่อ”
กำนันศรพยักหน้า แต่แล้วเพลินตาก็ตามออกมา ยอดตะลึง
“ป๊าคะ ตาขอไปด้วยค่ะ”
“จะดีเหรอลูก กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ แล้วลูก…”
เพลินตาสวนคำออกมา “ป๊าเป็นคนพูดเองนี่คะว่าต่อไปจะให้เฮียจำเริญดูแลบ่อนส่วนเรื่องโรงงาน เป็นหน้าที่ของตา”
กำนันศรเห็นด้วย “พาไปดูงานซะหน่อยคงไม่เป็นไรมั๊งเสี่ย ผมจะดูแลความปลอดภัยให้หลานเอง” กำนันหันไปที่ยอด “ใช่มั้ยไอ้ยอด”
ยอดมองจ้องเพลินตา ตาเป็นประกาย “ครับ สุดชีวิตเลยครับพ่อกำนัน”
เสี่ยเล้งพยักหน้าตกลง มิ่งหันไปตะโกนบอกสมุน
“เฮ้ยไปโว้ย ออกเดินทาง”
รถของเสี่ยเล้งแล่นออกไปโดยไม่มีใครสังเกตว่านางสิงห์ซ่อนตัวอยู่

รถของเสี่ยเล้งกำลังแล่นมาตามถนนลูกรัง เข้าสู่ทางเปลี่ยว ผ่านป่าเขา เก่งโผล่หัวจากที่ซ่อนมามองดูอย่างแปลกใจ
“นี่มันจะไปไหนกันแน่ ออกนอกเมืองมาตั้งไกลแล้วนะ”
เก่งเห็นท่าไม่ดี ตัดสินใจหยิบขวดน้ำมันเครื่องที่หาได้ในรถ ราดลงพื้นเพื่อทำเป็นเครื่องหมาย
เห็นรถของเสี่ยเล้งแล่นลับไป

รถเสี่ยเล้งขับมาทั้งคืน จนเช้าวันต่อมา ก็ถึงจุดหมาย เป็นแค้มป์กลางป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงงานตัดไม้เถื่อนขนาดย่อม
พอรถเสี่ยเล้งแล่นมาจอด คนงานคนหนึ่งเห็นเข้าก็ตะโกนเรียกพวก
“เฮ้ยพวกเรา เสี่ยมาแล้วโว้ย”
คนงานแห่กันมารุมล้อม พวกคนคุมงานถือปืนขู่ไว้ไม่ให้ใครเข้าใกล้คณะของเสี่ยเล้ง พวกคนงานตะโกนทวงค่าแรงกันระงม
“เอาเงินค่าแรงกูมาไอ้เสี่ยหน้าเลือด” / “ไม่ได้ตังค์กูไม่ทำงานนะโว้ย”
นางสิงห์ซึ่งซ่อนอยู่ในรถแอบสอดสายตามองดู
“เห็นมั้ยกำนัน ว่าคนที่กำนันหามาให้ผม มันแสบสันต์ขนาดไหนทวงค่าแรงไม่พอ แถมขอเพิ่มอีกต่างหาก” เสี่ยเล้งบอก
คนงานตะโกนอย่างไม่พอใจ “มึงหลอกกูไอ้เสี่ยเล้งไอ้กำนันศร มึงบอกจะให้พวกกูทำงานแค่อาทิตย์เดียว แต่นี่ลากมาอยู่ในป่าเป็นเดือน มึงหักหลังพวกกู”
เพลินตาตะคอกเสียงแข็ง “นี่แก กล้าดียังไงมาขึ้นเสียงกับพ่อชั้น”
คนงานไม่กลัวตาย แถมขู่กลับ “กูไม่กลัวโว้ย ถ้าไม่ได้เงินคุ้มค่าเหนื่อยล่ะก็…กูจะกลับไปแจ้งทางการ ว่าพวกมึงตัดไม้เถื่อน จริงมั้ยพวกเรา”
คนงานต่างส่งเสียงลั่นกันยกใหญ่ พอคนงานหัวโจกหันกลับมา กำนันศรก็ยกไม้เท้าปืนของตนชี้ไปที่ร่างของคนงาน แล้วเหนี่ยวไกยิงโป้งเดียวร่วง ทุกอย่างเงียบกริบทันตาเห็น
นางสิงห์ถึงกับผงะ เพราะจำได้ว่าผู้ใหญ่ทองก็ตายเพราะปืนไม้เท้ากระบอกนี้
“ฟังให้ดี เงิน! พวกเอ็งได้แน่ แต่ช้าหน่อย เสี่ยจะจ่ายให้พวกเอ็งในราคาที่ตกลงไว้หลังจากเสร็จงาน ซึ่งในระหว่างนี้ถ้าใครเห่าหอนขอค่าแรง หรือความยุติธรรมอีกล่ะก็ ตายสถานเดียว”
นางสิงห์มองกำนันศรด้วยความแค้นจนลืมระวังตัว คนคุมงานคนหนึ่งเหลือบเห็นเข้าพอดี
“เฮ้ย มีคนอยู่บนรถ”
นางสิงห์ได้สติรีบชักกระบองยิงลูกตุ้มโซ่ขึ้นไปพันกับกิ่งไม้
เสี่ยเล้งตะโกนถาม “นั่นใช่มันรึเปล่า”
กำนันศรพยักหน้า “นางสิงห์พิฆาต” สั่งการทันควัน “ตามไป ฆ่ามันให้ได้”
พวกคนคุมงานรีบออกไล่ล่านางสิงห์ทันที บางคนใช้มอเตอร์ไซค์วิบากเป็นพาหนะ
เสี่ยเล้งสั่งมิ่ง “ไอ้มิ่ง เอ็งไปช่วยพวกมัน”
“ครับเสี่ย”
ยอดหันมามองหน้ากำนันศรเป็นเชิงถาม พอกำนันพยักหน้า..ยอดก็รีบปราดตามไป
เพลินตาเห็นแล้วก็คันมือคันไม้ แย่งปืนมาจากคนคุมงานคนหนึ่งมาถือไว้

“ตาขอไปด้วยค่ะป๊า”
เสี่ยเล้งห้าม “เดี๋ยวก่อนเพลินตา อย่าไปลูก เพลินตา”
เพลินตาวิ่งไปไม่ฟังเสียง
“ไม่ต้องห่วงหรอกเสี่ย ถ้ามีไอ้ยอดอยู่ด้วย คุณเพลินตาต้องปลอดภัยแน่” กำนันศรบอก

ทางด้านนางสิงห์โหนตัวลงมาที่พื้นแล้ววิ่งไปหาที่หลบ พวกคนคุมงานไล่ตามมา ก่อนจะยกปืนยิงใส่นางสิงห์ จนนางสิงห์ต้องพลิกตัวหลบไปหลังต้นไม้เบื้องหน้า
นางสิงห์รำพึง “ไอ้พวกเลว จะถล่มทั้งป่าเลยหรือไง”
นางสิงห์พยายามหาทางหลบเลี่ยงด้วยการตีลังกาหนีไปอีกทาง เห็นคนร้ายที่ขี่มอเตอร์ไซค์กระโจนเหินหาวผ่านไปฉิวเฉียด มันกราดยิงใส่นางสิงห์จนต้องกลิ้งหลบไปกับพื้น ก่อนจะยิงตุ้มโซ่ออกไปพันรอบคอคนขับแล้วกระชากจนร่วงลงมาแล้วอัดซ้ำจนสลบ
พวกคนร้ายคนอื่นฉวยโอกาสยิงซ้ำใส่นางสิงห์เข้าอีก นางสิงห์ได้แต่พลิกตัวหลบอีกครั้ง ตะโกนก้อง
“พวกแกฟังให้ดี ชั้นมาที่นี่เพื่อล้างบางพวกคนชั่วในบ้านไม้งาม ใครไม่เกี่ยวก็หลีกไปซะ
แทนคำตอบคือกระสุนห่าใหญ่ที่สาดใส่ต้นไม้ซึ่งนางสิงห์หลบอยู่จนพรุน
“ก็ได้..พวกแกบังคับชั้นเองนะ”
นางสิงห์เก็บพลองศอกเข้าที่ ก่อนจะชักปืนคู่ออกมาแล้วโผนทะยานออกไปกระหน่ำยิงพวกเหล่าร้าย ทั้งยิงทั้งตีลังกาอย่างคล่องแคล่วว่องไว
มอเตอร์ไซค์อีกคนหนึ่งของคนร้ายกระโจนมา นางสิงห์พลิกตัวหลบ เก็บปืนไปกระบอกหนึ่งแล้วชักพลองศอกข้างหนึ่งออกมายิงตุ้มโซ่ ก่อนจะโหนตัวแกว่งไปตามแรงเหวี่ยง จากต้นนึงใช้เท้าถีบไปอีกต้น
พวกคนร้ายพากันแตกตื่น เพราะไม่รู้ว่านางสิงห์จะเหินเหาะมาทางไหน พวกมันโดนยิงจนล้มตายไปหลายคน ขณะที่ยอดกับมิ่งและเพลินตาเพิ่งตามมาถึง

“มันอยู่นั่น”
เพลินตายกปืนยิงใส่นางสิงห์ มิ่งช่วยยิงเสริม ถูกโซ่นางสิงห์จนขาดร่วงมาที่พื้น ก่อนที่ยอดจะชักมีดปาออกไป ทว่านางสิงห์คว้ามีดไว้ได้ด้วยมือเปล่า เพลินตาถึงกับอ้าปากค้าง
“มันหนังเหนียว” ยอดบอก
“ก็ให้มันรู้ไปสิวะ”

มิ่งควักลูกระเบิดที่พกไว้ออกมาดึงสลัก แล้วปาไปที่ตรงหน้านางสิงห์เป๊ะ ระเบิดทำงานเห็นร่างนางสิงห์หายไปท่ามกลางม่านฝุ่นควัน

เวลาเดียวกัน ลิ้นจี่ย่องมาที่ห้องรับแขกของกำนันศร แล้วแอบยกหีบใส่เครื่องทองที่ซ่อนอยู่ในตู้หนังสือ ออกมาเปิดดู

“แหม ของสวยๆ งามๆทั้งนั้น นี่ถ้าหายไปสักชิ้น คงไม่มีใครสังเกตหรอกมั้ง”
เสียงวาสนาดังมาจากด้านหลัง “ทำอะไร พี่ลิ้นจี่”
ลิ้นจี่ชะงัก หันไป “อุ๊ยน้องวาสนา ยังไม่ไปทำงานอีกเหรอจ๊ะ”
“พี่เอาเครื่องเพชรเครื่องทองของแม่ชั้นออกมาทำไม”
ลิ้นจี่กรี๊ด โมโหกลบเกลื่อน “อร๊ายยย พูดดีๆ นะน้องวาสนา คนตายแล้วก็ไปแต่ตัว
จะมาเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอะไรได้อีกจ๊ะ”
“แต่ถึงไงมันก็เป็นของครอบครัวชั้น พี่ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้อง” วสานาเสียงแข็ง
ลิ้นจี่ยั๊ว “นี่ ชั้นชักจะหมดความอดทนกับแกแล้วนะนังวาสนาให้มันรู้ซะบ้างสิ ว่าตอนนี้ชั้นนี่แหละคือแม่เลี้ยงของแกสรุปแล้วแก้วแหวนเงินทอง แล้วก็บ้านช่องหลังนี้ มันเป็นของชั้นย่ะ”
วาสนาแบมือพูดเสียงแข็ง “เอาคืนมานี่”
ลิ้นจี่กอดหีบแน่น “ไม่ แน่จริงก็เข้าแย่งเองสิ เข้ามาเล๊ย นังหมอขี้โรคนังลูกไม่มีแม่”
วาสนาฟิวส์ขาดปรี่เข้าไปแย่งชิงหีบเครื่องเพชรกับลิ้นจี่จนเกิดการตบตีกันเกิดขึ้น ลิ้นจี่เป็นฝ่ายสู้ไม่ได้และโดนเหวี่ยงจนล้มไป
“แกนังวาสนา แกทำร้ายชั้น คอยดูนะชั้นจะฟ้องพ่อกำนันชั้นจะให้ผัวชั้นเฆี่ยนแก”
วาสนากอดหีบเครื่องเพชรไว้แน่นด้วยความโกรธ ไม่พูดอะไรจนกระทั่งลิ้นจี่หนีลงไปจากเรือน
ลิ้นจี่เดินกระฟัดกระเฟียดมาด้วยความเจ็บแค้น ก่อนจะหยุดเหลียวมองกลับไปในบ้าน
“นังวาสนา คอยดูนะ งานนี้ชั้นต้องเอาคืนให้ได้”

ที่ลานซ้อมมวยริมแม่น้ำ ซึ่งย้งใช้เป็นค่ายมวยแบบง่ายๆ ของมัน มีกระสอบทรายที่ทำจากถุงปุ๋ยแขวนอยู่ ย้งชกเปะปะไปมา สักพักก็หยุดมือ
“โธ่ไอ้เก่งนะเก่ง นัดให้มาฝึกมวยแต่เช้า แล้วหายหัวไปไหนของมันวะสงสัยต้องเบี้ยวแหงๆ เลย” ย้งหน้าเซ็ง “ไม่เอาแล้วโว้ย กลับบ้านดีกว่า”

ในขณะที่ครูเพิ่มกำลังซ่อมรถอยู่ด้วยความเป็นห่วงเก่งหรือแก้วขึ้นมา
“ทำไมนังแก้วถึงยังไม่กลับมาอีกวะเนี่ย หายหัวไปไหนทั้งคืนหรือว่าจะเกิดเรื่อง”
ยินเสียงของหล่นโครมครามดังมาจากในบ้าน ครูเพิ่มหันมองไปตามเสียง
“นังแก้ว”

ข้าวของในห้องเก่งหล่นระเนระนาดอยู่ เก่งในชุดนางสิงห์คลานซมซานมาหาที่นั่งพักอย่างเหนื่อยล้า ครูเพิ่มผลักประตูเข้ามา มองตาค้าง

“นังแก้ว เอ็งเป็นยังไงบ้าง”
“เกือบไปแล้วครู ถ้าหนังไม่เหนียวป่านนี้ชั้นตายไปแล้ว”
“ตกลงเอ็งหายไปไหนมาทั้งคืนวะ แล้วได้เรื่องอะไรมาบ้าง”
“ชั้นเห็นพวกไอ้ศรกับไอ้เล้งมันลักลอบตัดไม้เถื่อน แต่พวกมันคงรู้ตัวแล้วล่ะ”
“มีของกลางเยอะรึเปล่า”
เก่งพยักหน้า สีหน้าสงสัย “ครูถามทำไม”
“จะขนย้ายไม้เถื่อนพวกนั้นมันต้องใช้เวลา”
“นี่ครูอย่าบอกนะ ว่าจะให้ชั้นกลับไปลุยอีกรอบ”
“ไม่ใช่เอ็ง แต่เป็นแนวร่วมของเอ็งต่างหาก”
ครูเพิ่มพูดเป็นนัย สีหน้ามาดหมาย ขณะที่เก่งนิ่วหน้าด้วยความสงสัย

เช้าวันต่อมาธัมโมกำลังล้างหน้าอยู่ในห้องน้ำ และก่อนจะสำรวจดูความเรียบร้อยในกระจก
“แหมค่อยยังชั่ว นี่ถ้าต้องเขียนหน้าไปทำงาน มีหวังฮาระเบิดแหงๆ”

ส่วนจ่าไชโยกับหมู่โอฬารกำลังนั่งเม้าท์เรื่องของธัมโมให้ลูกน้องฟัง
“ฮ่าๆ นี่เรื่องจริงนะโว้ย ถ้าพวกเอ็งเห็นหน้าผู้กองเมื่อไหร่รับรอง ขำกลิ้งรอบโรงพักสามตลบ” โอฬารว่านำร่อง
“แหม จะว่าไปก็น่าสงสารเหมือนกันนะหมู่ งานนี้ผู้กองสุดหล่อของเรา คงเก๊กไม่ได้ถ่ายไม่ออกไปอีกนาน” ไชโยผสมโรง
ตำรวจลูกน้องคนหนึ่งได้ยินเสียงรถ “ผู้กองมาแล้วจ่า”
ไชโยรีบบอก “เฮ้ยทำงานๆ ประจำที่”
บรรดาตำรวจต่างแยกย้ายกันไปทำงาน ขณะที่ธัมโมเดินผิวปากเดินหิ้วแฟ้มขึ้นมาบนโรงพักอย่างอารมณ์ดี โอฬารแอบหัวเราะแล้วชี้ให้ทุกคนคอยดู “หน้าๆ”
“อรุณสวัสดิ์ทุกคน”
ทั้งหมดหันไปแล้วต้องแปลกใจเมื่อเห็นธัมโมยืนหล่อเท่ห์ออร่าเปล่งปลั่งโอโม่กระเจิดกระจาย
“ผู้กอง! ท..ทำไมหน้าถึง…”
ธัมโมลูบหนวดทั้งที่ไม่มีสักเส้น “เรียบร้อย สะอาด เกลี้ยงเกลาหล่อไม่เบา ชิมิ”
จากนั้นผู้กองธัมโมเดินเข้าห้องทำงานอย่างอารมณ์ดี จ่ากะหมู่คู่หู ไชโยกับโอฬารแอบนินทาลับหลัง
“แสดงว่าต้องเคลียร์กับไอ้เก่งมาแล้วแหงๆ”

ผู้กองธัมโมเพิ่งเก็บแฟ้มเล่มเก่า แล้วหยิบเล่มใหม่ออกมาอ่าน แต่พอหย่อนตัวลงนั่ง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล สถานีตำรวจบ้านไม้งามยินดีรับใช้ประชาชนครับ” ผู้กองรับสาย
เก่งพูดเสียงจริงไม่แอ๊บ “ผู้กองธัมโม นี่ชั้นเอง เพื่อนเก่าของคุณ”
“นั่นใครครับ”
เก่งพูดเสียงหญิงไม่แอ๊บ “นางสิงห์พิฆาตทรชน”
ธัมโมยืนพรวด “ต้องการอะไร”
“คุณอยากเจอชั้นไม่ใช่เหรอ ชั้นจะรอคุณที่บ้านของผู้ใหญ่ทอง”
“ผู้ใหญ่ทอง” ผู้กองรำพึง สีหน้าครุ่นคิด

เก่งเพิ่งวางหูโทรศัพท์ซึ่งโทร.จากเครื่องหยอดเหรียญที่หน้าร้านเถ้าแก่ตง
“โทรเสร็จแล้วเหรอจ๊ะน้องเก่ง” หมวยใหญ่แถมาหา
“ครับเจ๊”
“วันนี้ขายกาแฟวันแรก ยังไม่รีบจัดของอีกเหรอจ๊ะเดี๋ยวสายนะ”
“อ๋อ พอดีผมดูฤกษ์ไว้ เดี๋ยวต้องรอฤกษ์ก่อนครับ” เก่งว่า
“เหรอ... งั้นเจ๊รอด้วยนะ เจ๊อยากเป็นแรงใจให้เก่งในวันเปิดกิจการ” หมวยเอ็กซ์แตกฉอเลาะ
“ขอบคุณครับเจ๊ เจ๊ดีกับผมมากๆ เลยครับ”
“แหม ก็ว่าที่ผัวทั้งคน เอ้ย เพื่อนจ้ะ เพื่อนของน้องชายรักเหมือนน้องแท้ๆ คลานตามกันมาจ้ะ"
เก่งยิ้มแบบขอไปที แล้วหันหน้าจะหนีออกจากร้านแต่แล้วก็เจอไอ้ย้งรี่เข้ามาประชิดตัว
“ไอ้เก่ง เอ็งหลอกข้า เอ็งปล่อยให้ข้ารอตั้งหลายชั่วโมง”
“เฮ้ยข้าเปล่านะ พอดีข้ามีธุระด่วน”
“ธุระอะไรของเอ็ง ทำไมถึงได้ผิดคำพูดกันแบบนี้วะ”
“เอาเหอะน่า เดี๋ยวข้าค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง”
พูดจบเก่งรีบเดินหนีไป ย้งมองตามอย่างสงสัย
“พิรุธสุดๆ แบบนี้ต้องสืบให้ได้ ว่ามันไปไหนของมัน”
หมวยใหญ่ระริกระรี้ “ฝากสืบเผื่อเจ๊ด้วยนะ” เขินอาย “เจ๊อยากรู้ว่าเก่งเค้ามีใครรึยัง”
ย้งมองหมวยใหญ่เอือมสุดบาทา

บริเวณแค้มป์ไม้เถื่อนกลางป่าลึก เมื่อสถานการณ์เป็นปกติ ยอด มิ่งและสมุนก็กลับมารายงานกำนันศร เพลินตาและเสี่ยเล้ง
“ว่าไง เจอศพมันรึยัง” เสี่ยเล้งถาม
“ท่าทางระเบิดคงเอาไม่อยู่ครับ มันหนีไปได้” มิ่งว่า
ยอดแปลกใจนัก “เลือดสักหยดก็ไม่มี ผมว่านังนี่ต้องมีวิชาอาคมแน่”
กำนันศรถามเร็ว “เอ็งจะบอกว่ามันหนังเหนียวเหรอวะไอ้ยอด”
“เหลวไหล ของพวกนี้มีจริงที่ไหนกัน ตาว่ามันคงเล่นกลซะมากกว่า” เพลินตาขัดขึ้น
“ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ดีกว่ามั้งหนูเพลินตา” กำนันบอก
เพลินตาไม่เชื่อ “ตาไม่เชื่อค่ะ เรื่องพวกนี้มันพิสูจน์ไม่ได้”
“ต้องได้สิ”
กำนันศรว่าแล้วก็ส่งไม้เท้าของตัวเองให้เพลินตารับไป เพลินตามองงงๆ เห็นกำนันศรเดินไปยืนห่างๆ ก่อนจะหันมาชี้ที่กลางอกของตัวเอง
“ยิง”
“ลุงกำนัน ตาแค่…”
กำนันศรสั่งซ้ำ “ยิง”
เพลินตามองไปที่เสี่ยเล้งเห็นเสี่ยเล้งพยักหน้ายิ้มๆ จึงยกปืนไม้เท้าเล็งใส่กำนันศร
นิ้วมือของเพลินตาเหนี่ยวไก นกสับตอกชนวนกระสุนปืน และลูกกระสุนก็วิ่งไปกระแทกร่างกำนันศรจังๆ
กำนันศรเซไปแค่ครึ่งก้าว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้
ทุกคนตกตะลึง เมื่อกำนันศรกระชากเสื้อให้ดูรอยสักที่หน้าอก เห็นมีรอยถูกยิงเป็นจ้ำแดงๆ เท่านั้น
“วิชาอาคมมีแต่โบร่ำโบราณ ของจริงของเก๊ต้องแยกแยะให้เป็นคนไม่มีของ ถึงไม่ลองก็ตาย!! แต่ถ้ามีของ….ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย”

ทั้งเพลินตาและมิ่งต่างตาค้างมองอย่างตะลึง แต่เสี่ยเล้งกับยอดยิ้มกริ่มเพราะรู้เรื่องนี้มาก่อน


โปรดติดตาม "นางสิงห์สะบัดช่อ" ตอนต่อไป
ชิงนาง ตอนที่ 4
ชิงนาง ตอนที่ 4
พฤกษ์อยู่ที่หน้าโถงใหญ่ของบ้านแสนสมุทร ชายหนุ่มกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน เสียงศรีเรือนดังลงจากชั้นบน “กลับบ้านได้แล้วเหรอ?” พฤกษ์มองตามเสียงขึ้นไป เห็นศรีเรือนยืนมองเขาอยู่ที่หน้าต่างห้อง พฤกษ์ยกมือไหว้ “ถ้าไม่ใช่เพราะวันเกิดน้อง คงไม่คิดจะกลับมาเหยียบบ้านหลังนี้แล้วล่ะสิ” ศรีเรือนค่อนขอด พฤกษ์ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับคำประชดของย่า ชายหนุ่มตัดสินใจเดินฉีกไปทางหลังบ้าน ศรีเรือนมองตามพฤกษ์..ยังไม่หายเคือง วงเดือนนั่งหลับอยู่ที่หน้าเรือนพัก ทั้งที่มือยังถักนิตติ้งคาอยู่ เสื้อเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว พฤกษ์เดินเข้ามาที่หน้าเรือน มองวงเดือนที่นั่งหลับอยู่
กำลังโหลดความคิดเห็น