หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 4
น้อยหน่ากับตะวันวาดเดินกลับมาที่รั้วโรงเรียน แบกถุงขนมมาเพียบปีนกำแพงไปคุยกันไป
“พี่นับดาวตัวจริงนี่สวยขั้นเทพเลยเนอะ”
น้อยหน่าไม่พอใจ
“โอ๊ย เบื่อ ชมอยู่ได้ ชมไม่ขาดปากเลยนะ สวยทะลุโลกมั่ง สวยไม่เกรงใจใครมั่ง ทั้งสวยทั้งน่ารักมั่ง เป็นอะไรของนาย ชอบเขามากหรือไง”
“ก็...ไม่หรอก...แต่เขาสวยจริงๆนี่นา”
“ถามจริงๆเหอะ ฉันกับเขาใครสวยกว่า”
“เธอก็น่ารักดี”
“ถามว่าใครสวยกว่า”
“พี่นับดาวสวยกว่า”
น้อยหน่าอึ้ง แล้วผลักตะวันวาดที่กำลังปีนกำแพงอยู่ เขาร้องลั่นเสียหลัก หล่นตุ้บ
“ทำอะไรของเธอน้อยหน่า ขาหักรึเปล่าก็ไม่รู้”
น้อยหน่าไม่สนใจ กระโดดลงพื้นแล้วเดินหนีไป
“น้อยหน่า...น้อยหน่า...”
ตะวันวาดรีบลุกเดินกะเผลกตามไป
อลิสาขับรถมาจอดที่หน้าบ้านปราบ นับดาวถือกระเป๋าเดินทางอย่างหรูใบย่อมออกมาจากรถ อลิสามองหลานสาวแล้วกำชับ
“อย่าลืมนะ ถ้าผิดแผนล่ะก้อ รีบโทรไปหาน้าเลยนะ”
“ค่ะ...ถ้าโทรทันนะคะ”
“ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองเธอนะ”
“ว้าย ไม่ได้ไปรบกับใครนะคะ”
อลิสาฝืนยิ้ม ไม่พูดอะไรอีก ขับรถออกไป นับดาวหันมามองที่บ้าน พออลิสาจากไปแล้ว บ้านดูทะมึน เมฆฝนตั้งเค้าอยู่ข้างบน ฟ้าร้องฟ้าแลบ ยิ่งทำให้บรรยากาศดูน่ากลัว หญิงสาวปลอบใจตัวเอง แล้วเดินไปที่บ้าน กดกริ่ง สักครู่ปราบก็เปิดประตูออกมา พอเห็นนับดาวก็ชะงัก
“ลืมของเหรอครับ”
“เปล่า คืนนี้ฉันจะมาค้างที่นี่”
“ไม่ได้”
“ฉันเป็นแขกของคุณปกป้อง อย่าลืมสิคะ”
นับดาวเดินเบียดผ่านชายหนุ่มเข้าประตูไป ปราบมองตามไป ทำท่าเหมือนจะบีบคอ นับดาวหันกลับมาเห็นพอดี
“จะบีบคอฉันเหรอ...อ้ะ เอาสิคะ”
นับดาวปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนออก แบะสาบเสื้อ เดินเข้าไปหา ปราบอึ้ง ถอยหลังทันที หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย หันกลับมา ชายหนุ่มด้วยหางตา ยิ้มเจ้าเล่ห์
“อย่างนี้ท่าทางจะไม่ยาก”
ป้ายวงเปิดประตูห้อง พานับดาวเข้ามาในห้องรับรองแขก
“นี่ค่ะ ห้องนอนคุณ ป้าเช็ดทำความสะอาดให้หมดแล้ว อาหารเย็นป้าเตรียมให้ตามที่คุณต้องการแล้วนะคะ สะดวกเมื่อไหร่ก็เชิญเลยค่ะ”
นับดาวยิ้มหวานให้
“ป้ายวงน่ารักจังเลยค่ะ”
ป้ายวงมองอย่างชื่นชม
“ป้าดีใจมากเลยนะคะที่คุณมาพักที่นี่”
“ทำไมล่ะคะ”
“ที่นี่ไม่มีแขกผู้หญิงมาพักนานมาก ตั้งแต่คุณปรายฟ้า...เอ่อ...เอาเป็นว่านานมากก็แล้วกันค่ะ ป้าก็เลยต้องดูแลคุณให้ดีเป็นพิเศษไงคะ”
“ขอบคุณป้ามากๆค่ะ”
นับดาวยกมือไหว้ขอบคุณอย่างอ่อนน้อม ป้ายวงรับไหว้ ยิ้มให้ แล้วเดินออกไป นับดาวปิดประตู มองสำรวจห้อง เปิดกระเป๋า หยิบกล้องปากกาออกมา 2 ด้าม ตามด้วยแล็ปท้อป ชุดนอนวาบหวิวเซ็กซี่ นกหวีด สเปรย์พริกไทย แฟ้มสัญญา ออกมาจากกระเป๋า หญิงสาวมองอุปกรณ์ แล้วอมยิ้ม
เธอจินตนาการขึ้นมาว่า...ปกป้อง น้อยหน่า ปราบ นั่งกินข้าวกันอยู่ ป้ายวง คอยดูแล นับดาวเดินออกไปในชุดนอนวาบหวิว ทุกคนเห็นแล้วอึ้ง ปราบกลืนน้ำลายเอื๊อก นับดาวเดินบิดสะโพกเบียดเขา ชายหนุ่มได้กลิ่นจากร่างหญิงสาวก็เคลิ้ม นับดาวค่อยๆบิดกายเยื้องย่างลงนั่ง ตักโยเกิร์ตกินด้วยท่าทีเย้ายวน ปราบมองไม่วางตา
“ทำไมคุณปราบมองดาวอย่างนั้นล่ะคะ”
“ผม...ร้อน...เอ๊ย...”
ปราบพูดอะไรไม่ถูก นับดาวแลบลิ้นเลียโยเกิร์ตที่เลอะมุมปากนิดนึง
“อิ่มแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”
หญิงสาวลุกเดินกลับเข้าห้อง ปราบมองตาม หายใจถี่
ดึกแล้ว นาฬิกาบอกเวลาตีสอง ในห้องเปิดไฟหัวเตียง สว่างพอสมควร นับดาวนอนหลับอยู่บนเตียง ขณะเดียวกันนั้นลูกบิดประตูที่กดล็อคอยู่เด้งออก ปราบถือพวงกุญแจเข้ามาด้วยสีหน้ากระหยิ่มมองไปที่นับดาวที่นอนอยู่บนเตียง แล้วเดินเข้าไปหา เลิกผ้าห่มออก ลงนอนข้างๆ จูบแก้มเธอ นับดาวลืมตาตื่นตกใจ
“คุณปราบจะทำอะไรคะ”
“เป็นของผมเถอะครับ”
ปราบกอดนับดาวแน่น ระดมจูบ หญิงสาวพยายมผลักแต่ไม่เป็นผล
“ไม่นะ อย่าค่ะ ฉันบอกว่าอย่า”
“ดิ้นๆอย่างเงี้ยฉันชอบ ฮ่าๆๆ”
ปราบกระชากกระดุมเสื้อนอนตัวเองขาด เห็นแผงอกล่ำ
“เธอหนีฉันไม่พ้นหรอก ยัยตัวดี”
นับดาวหยิบสเปรย์พริกไทยที่เตรียมไว้ ฉีดปู้ดเข้าหน้า ปราบปิดหน้าร้องอย่างแสบร้อน
“เธอทำอะไรน่ะ”
นับดาวหยิบนกหวีดเป่าปรี๊ดๆๆ ปราบจะวิ่งหนี แต่มองไม่เห็น ชนตู้ล้มกลิ้ง ปกป้อง ป้ายวง น้อยหน่า เปิดประตูห้องเข้ามา ปกป้องเข้ามาถาม
“เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย”
“คุณปราบจะข่มขืนฉัน”
ปราบเถียงทั้งๆที่ยังแสบตา ชี้ไปที่ป้ายวง
“ไม่จริง ยัยนี่โกหก”
ป้ายวงสะดุ้ง จับมือปราบชี้ไปที่นับดาว
“ผิดคนแล้วค่ะ”
“เขาไปเคาะเรียกผม ชวนผมมาที่นี่ เสร็จแล้วเขาก็เอาสเปรย์พริกไทยฉีดหน้าผม”
นับดาวโมโห
“หาว่าฉันโกหกเหรอ หึ ดูหลักฐานละกัน”
นับดาวเอากล้องปากกาเสียบช่องยูเอสบีของแล็ปท้อป แม้แสงน้อยแต่ก็เห็นเหตุการณ์ชัดเจนตั้งแต่เขาเข้ามาในห้อง ปราบอึ้ง ปกป้องมองหน้าปราบอย่างโกรธๆ
“อาผิดหวังในตัวแกมากไอ้ปราบ”
น้อยหน่ามองพ่ออย่างไม่พอใจ
“พ่อเป็นพ่อที่น่าขยะแขยงที่สุด”
ปราบก้มหน้า นับดาวยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ
“ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันแจ้งความแล้วโดนตำรวจจับล่ะก็ รู้ใช่มั้ยว่าต้องทำยังไง”
หญิงสาวหยิบแฟ้มสัญญากับปากกายื่นให้ ปราบมองนับดาว ด้วยความเจ็บแค้นใจ
“จะให้เซ็นขายที่ใช่ไหม”
“ถูกต้อง...และขอแจ้งล่วงหน้าว่าครั้งนี้ คุณ 30 ฉัน 70”
“ฮึ่ม...ยัยเขี้ยว”
ปราบรับปากกามาเซ็นสัญญา นับดาวหัวเราะ
“อย่าหาว่าฉันเขี้ยวเลยนะนายปราบ ตอนแรกฉันให้โอกาสนายแล้ว นายโยนมันทิ้งเอง ตอนนี้เป็นโอกาสของฉันบ้าง”
นึกถึงสิ่งที่คิด นับดาวมั่นใจมากว่าต้องทำสำเร็จ...เธอใส่ชุดนอนเซ็กซี่ เดินบิดกายออกมาจากห้องรับรองแขก เดินมาสู่ห้องรับประทานอาหาร ปราบนั่งหันหลังให้เธอ กินข้าวอยู่คนเดียว นับดาวกะแอมเบาๆ พอชายหนุ่มหันมา หญิงสาวก็ยิ้มยั่ว ปราบไม่สนใจ กินข้าวต่อ
“หิวรึยัง กินเลย ป้ายวงเขาเตรียมให้คุณแล้ว”
นับดาวปลุกปลอบใจตัวเอง เดินบิดสะโพกเฉียดๆเขาไป ปราบเงยหน้ามองเขม็ง
“ทำไมคุณปราบมองฉันอย่างนั้นล่ะคะ”
“กลิ่นน้ำหอมของคุณแรงมาก ถ้าคุณใช้น้ำหอมพวกนี้ อย่าออกไปนอกบ้านนะครับพวกสัตว์มันไม่ชอบ”
“จริงเหรอคะ ดาวว่าหอมออก กลิ่นมันเซ็กซี่ด้วยซ้ำ”
“แต่สำหรับพวกสัตว์ มันเหม็นเหมือนกลิ่นสกั๊งค์ ดีไม่ดีเดี๋ยวคุณจะโดนวัวมันขวิดเอา”
นับดาวนั่งลง รอให้มีคนมาทำนู่นทำนี่ให้ แต่ไม่เห็นใคร
“ป้ายวงล่ะคะ”
“ตอนกลางคืนเขาก็กลับไปนอนบ้านเขาสิครับ”
“แล้วคุณปกป้องล่ะคะ”
“ออกไปกินเหล้าครับ กว่าจะกลับคงเช้า”
“แล้ว...น้อยหน่า”
“เข้าค่ายที่โรงเรียนครับ”
นับดาวอึ้งไป
“มีคนอื่นอยู่ในบ้านอีกมั้ยคะ”
“ไม่มีครับ คืนนี้คุณอยู่กับผมสองคน”
ปราบจ้องนับดาว นับดาวกลืนน้ำลายเอื๊อก หลบตาวูบ
“คืนนี้คุณอย่าออกไปดูดาวนอกบ้านเลย นอนรอบนเตียงดีกว่า”
“หมายความว่ายังไง รอใคร”
“ก็รอดูดาวไงครับ เดี๋ยวฝนก็ตกแล้ว รอฝนตก ฟ้าใส อยู่ในห้องก็เห็นดาวเหมือนกัน”
ปราบหัวเราะหึๆ ลุกขึ้นยืน นับดาวเกร็ง ขยับคอเสื้อให้มิดชิด ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวยิ้มดูมีเลศนัย แล้วเดินออกไป
ตีสอง... ในห้องเปิดไฟสว่าง นับดาวอยู่บนเตียงลืมตาโพลง กำสเปรย์กับนกหวีดแน่น จ้องไปที่ประตูห้อง ข้างนอกฝนตกหนัก ฟ้าผ่าเปรี้ยง ไฟดับมืด นับดาวเลิ่กลั่ก รีบเอื้อมมือเปิดปิดไฟหัวเตียง แต่ก็ยังมืด แถมอารามรีบร้อนยังทำนกหวีดตกพื้นอีก
“นกหวีด”
นับดาวคุกเข่าลงหา เจอนกหวีดหล่นไปอยู่ในซอกหัวเตียง นับดาวพยายามขยับแต่ไม่เขยื้อนเลยเพราะหนักมาก
“เอาไงดีเนี่ย...”
นับดาวกลับขึ้นมา นั่งพิงหัวเตียง จ้องเขม็งที่ประตู กำสเปรย์พริกไทยแน่น
ตีห้ากว่า...นับดาวหลับไปในท่าเดิม ไฟมาแล้ว ไฟในห้องสว่าง นับดาวสะดุ้งตื่น
“อย่าเข้ามานะ นี่แน่ะ”
นับดาวกดสเปรย์ แต่หันที่พ่นเข้าผิดทาง สเปรย์เข้าหน้าเธอเต็มๆ นับดาวร้องกรี๊ดลั่น
เช้าวันใหม่...ปราบกำลังจะออกไปทำงาน กินกาแฟอยู่ ก็งงๆ เมื่อจู่ๆเห็นนับดาวในชุดนอน เดินหลับตาปี๋ออกมาจากห้อง ร้องโอ๊กอ๊าก มือคลำทางสะเปะสะปะ ปราบสงสัย เดินมาดู
“คุณเป็นอะไรมากรึเปล่าเนี่ย”
นับดาวสะดุ้ง พยายามยืนนิ่งๆ แต่เอามือปิดตาตัวเองอยู่
“ไม่มีอะไร๊ เช้าๆอย่างนี้ตาฉันสู้แสงไม่ค่อยได้น่ะ”
“แล้วทำไมต้องร้องแบบนี้ด้วย”
“เรื่องของฉัน”
นับดาวค่อยๆเดิน คลำผนังไปจนเข้าห้องน้ำได้ ปิดประตูปัง สักพักก็มีเสียงเปิดก๊อกน้ำ แล้วตามด้วยเสียงนับดาวร้องโอดโอยขึ้นมาอีกครั้ง
“ปวดอึ๊ก็ไม่บอก”
ปราบส่ายหน้าเดินกลับมากินกาแฟต่อ โดยยังมีเสียงนับดาวยังร้องโอดโอยอยู่ ชายหนุ่มหันไปมองทางห้องน้ำแว่บหนึ่ง
“สงสัยจะเจ็บน่าดู พวกไม่กินผักผลไม้ก็งี้แหละ”
นับดาวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสวยเริ่ด เดินออกมาสุดอากาศบริสุทธิ์หน้าบ้าน ท่าทางปลอดโปร่ง
ปราบขับรถเอทีวีมาจอด
“กินข้าวเช้ารึยังครับ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ อร่อยมาก”
“ดีครับ งั้นขึ้นรถเลยครับ”
นับดาวมอง ปราบยิ้มน้อยๆ แล้วนับดาวก็ขึ้นรถไปกับเขา... นับดาวซ้อนท้ายปราบ ชมวิวในไร่ปรีดายามเช้า หญิงสาวรู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด
ปราบจอดรถ ทั้งสองเดินลงมาที่โรงเลี้ยงไก่
“ไร่คุณนี่สวยมากเลยนะ อากาศก็สดชื่น ฉันชอบมากเลย ฉันไปเที่ยวมาแล้วเกือบทั่วโลก แต่รู้
อะไรมั้ย ฉันว่าไร่คุณสวยที่สุดเลย”
“ขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“ไม่เชื่อเหรอไง ฉันไม่มีความจำเป็นอะไรต้องเอาใจคุณซักหน่อย”
“ก็จริง”
ปราบเดินนำนับดาวเข้ามาในโรงเลี้ยงไก่ไข่ ยื่นตะกร้าพลาสติกให้
“อ้ะ ไปเก็บไข่ไก่มา”
หญิงสาวมองหน้าเขา
“ฉันไม่ใช่คนงานของคุณนะ”
“แต่เมื่อคืนคุณนอนบ้านผม ตื่นมาก็กินข้าวบ้านผม ถึงผมบอกว่าไม่คิดเงิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้คุณอยู่ฟรีๆนะ”
“ก็คิดเงินมาสิ กี่บาทก็ว่ามา”
“บอกแล้วว่าไม่เอาเงิน...คุณต้องทำงานแลกกับที่คุณกินเข้าไป ถ้าไม่ทำก็อ้วกไอ้ที่กินออกมา
ซะ”
“งั้นรอพรุ่งนี้เช้าจะใส่ถุงมาคืนให้”
นับดาวจะเดินออกไป ปราบจับมือกระชากมา บีบปากเธอให้อ้าปากออก
“อุน อะ อำ อะ ไอ อ่ะ”
“ล้วงคอคุณให้อ้วกเอาข้าวเช้าของผมออกมา”
ปราบจิ้มนิ้วเข้าไปในปาก เธองับเข้าให้ เขาร้องลั่น ดึงนิ้วออกมา
“ทุเรศที่สุด กะอีแค่ข้าวมื้อเดียว ทำซะขนาดนี้ จะบ้าเหรอ”
“ไปเก็บไข่ซะ”
นับดาวถอนใจเฮือก มองรางเลี้ยงไก่แถวยาวเหยียด แล้วเดินเก็บไข่ไก่ไป บ่นพึมพำ ปราบมองตามไป ยิ้มสะใจ ขณะเดียวกันนั้น ปกป้องเดินเข้ามา
“ทำไมแกต้องไปแกล้งเขาขนาดนี้ด้วย”
“ต้องโดนซะหน่อย พวกไฮโซพวกนี้ ถือว่ารวย เอะอะก็ใช้เงินฟาดตลอด ต้องให้เขาได้เรียนรู้อะไรซะบ้าง อย่างไข่ไก่ที่เขากินทิ้งกินขว้างน่ะ กว่าจะได้มามันก็ไม่ใช่ง่าย นี่แค่ไข่ไก่นะ ถ้ามีโอกาสจะจับไปทำนาข้าวด้วย”
“โถ น่าสงสาร เขายิ่งเกลียดกลิ่นขี้ไก่ด้วยไม่ใช่เหรอ”
“ช่วยไม่ได้ครับอา ต่อให้ร้องไห้ผมก็ไม่สนใจหรอกครับ”
ปราบมองขำๆไปที่นับดาว ที่กำลังเก็บไข่อย่างทุลักทุเล
นับดาวกลับเข้ามาในห้องรับแขก ท่าทางอารมณ์ดี หยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะมาดูเห็นมิสคอลจากชนะชัยมากมาย นับดาวตกใจ
“สิบมิสคอล...คุณจ๊อบมีอะไรรึเปล่าเนี่ย”
นับดาวรีบโทรกลับไปทันที
“สวัสดีค่ะจ๊อบ...อ๋อ ดาวติดธุระนะค่ะ...คุณจ๊อบมีอะไรรึเปล่าคะ...เหรอคะ...เอ่อ วันนี้เหรอคะ
เหรอคะ...เอ่อ...” นับดาวหน้าตายุ่งยากใจ “ค่ะ ได้ค่ะ...เจอกันค่ะ”
นับดาววางสาย
ค่ำนั้น...นับดาวกับชนะชัยมานั่งจิบเครื่องดื่มกันที่มุมหนึ่งในผับหรู อีกมุมหนึ่งเอมี่กำลังโบกมือล่ำลากับเพื่อน
“บ๋ายบายจ้ะ แล้วเจอกันนะจ๊ะ”
เอมี่กำลังจะเดินไปต่อ พอดีเห็นนับดาวกับชนะชัยที่นั่งอยู่ด้วยกันในร้าน
“เชอะ ยัยดาวตก”
เอมี่กำลังจะเดินต่อ แต่คิดอะไรขึ้นมาได้ มองกลับไปที่นับดาวกับชนะชัย
ชนะชัยกับนับดาวคุยกันอยู่
“ช่วงนี้ดาวยุ่งมากหรอครับดู คุณซูบไปนะ ตาก็แดง อดนอนรึเปล่าครับ”
“เอ่อ ค่ะ...”
ชนะชัยมองตานับดาว สายตาหวานจ๋อยและอบอุ่น นับดาวยิ้มเขิน บริกรเดินเข้ามา พร้อมถาด ยกเครื่องดื่มให้ชนะชัย เป็นพวกค็อกเทลสีสวย
“คุณผู้หญิงท่านนั้นให้นำมาให้ครับ”
บริกรจากไป ชนะชัยกับนับดาวมองไปเห็นเอมี่ อยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ยิ้มให้ นับดาวหน้าบึ้ง ชนะชัยยิ้มให้ เอมี่ลุกเดินมาหาที่โต๊ะ
“สวัสดีจ้ะดาว...”
“สวัสดีจ้ะเอมี่”
ชนะชัยลุกขึ้น
“เชิญนั่งสิครับ คุณเอมี่”
“อุ๊ย เอาเปรียบกันนี่คะ”
ชนะชัยงง
“คุณรู้จักเอมี่แล้ว เอมี่ยังไม่รู้จักคุณเลย”
ชนะชัยยิ้มขำ
“อ๋อ ผมชื่อชนะชัยครับ”
เอมี่ยิ้มหวาน
“ยินดีที่รู้จักค่ะ”
“เช่นกันครับ”
“อุ๊ย คุณเอาเปรียบเอมี่อีกแล้วนะคะ”
ชนะชัยงงๆอีก
“ว้า ผมนี่แย่จัง ว่าแต่คราวนี้เรื่องอะไรล่ะครับ”
“ก็เอมี่เลี้ยงเครื่องดื่มคุณแล้ว แต่เอมี่ยังไม่มีเครื่องดื่มเลยนี่นา”
ตลอดเวลานับดาวนั่งกัดริมฝีปาก เดือดปุดๆ จะแทรกก็ยังไม่มีจังหวะ พอมาถึงจังหวะนี้ก็รีบแย่งพูดทันที
“มา ฉันเลี้ยงเอง”
นับดาวเรียกบริกร
“ขอเครื่องดื่มให้เพื่อนฉันหน่อยค่ะ...เอาน้ำสะตอละกัน”
บริกรชะงัก
“หมายถึงน้ำสตอเบอรี่ใช่ไหมครับ”
นับดาวยิ้ม
“สะตอเบอแหล เอ๊ย สตอเบอรี่จ้ะ ถูกแล้วจ้ะ”
เอมี่มองนับดาว บริกรจะเดินไปเอมี่เรียกไว้
“เดี๋ยว...เครื่องดื่มที่ฉันสั่งให้คุณผู้ชายคนนี้น่ะ ชื่ออะไรนะ ฉันลืมไปแล้ว ช่วยบอกอีกทีซิ”
“นิวช้อยส์ครับ”
เอมี่ยิ้มยียวน
“นิวช้อยส์ ทางเลือกใหม่...ชื่อเพราะเหมือนกัน อร่อยไหมคะ”
ชนะชัยจิบเครื่องดื่ม
“อร่อยดีครับ”
เอมี่หัวเราะชอบใจ นับดาวหน้าบึ้ง
“คุณจ๊อบคะ ดาวมีธุระด่วน กลับกันเถอะค่ะ”
ชนะชัยอึ้ง
“อ้าว...”
นับดาวเดินออกไป ชนะชัยรีบวางเงินให้บริกรแล้วหันมายิ้มให้เอมี่
“ขอตัวก่อนนะครับ”
เอมี่ยิ้มตอบ จงใจพูดเสียงดังเผื่อไปถึงนับดาว
“ค่ะ เสียดายจัง เจอกันแป๊บเดียวเอง เจอกันครั้งหน้าหวังว่าจะมีเวลาทำความรู้จักกันได้นานกว่านี้นะคะ”
นับดาวเดินออกไปจากร้านทันที ชนะชัยยิ้มให้เอมี่ แล้วรีบตามไป ชนะชัยหันมามองเอมี่อีกครั้ง เอมี่ยิ้มหวานให้จนลับตา แล้วเอมี่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์
น้อยหน่ายืนทำใจอยู่หน้าบ้าน ตะวันวาดยืนอยู่ข้างๆ ทั้งสองเพิ่งกลับมาจากเข้าค่าย สะพายเป้ใบใหญ่มาด้วย น้อยหน่าหน้าเครียด
“ไม่กล้าเข้าไปอ่ะ ถ้ายัยนับดาวฟ้องพ่อฉันตายแน่ๆ”
“ปกติเธอไม่ใช่คนขี้กลัวนี่นา”
น้อยหน่ายังอิดออด ตะวันวาดรำคาญเปิดประตูให้ แล้วส่งเสียงดัง
“สวัสดีครับคุณอา”
“เฮ้ย อย่า”
น้อยหน่าแกะมือตะวันวาด จะปิดประตูคืน แต่ปราบเดินมาเสียก่อน
“หวัดดีตะวัน...กลับมาแล้วเหรอยัยตัวดี เข้ามานี่”
น้อยหน่าเดินก้มหน้าเข้าไป ตะวันวาดตามไปด้วย ปราบมองทั้งสองหน้าตาเคร่งเครียด
“ทำอย่างงี้ได้ไง”
“หน่า...คือว่า...หน่า...”
ตะวันวาดพยายามจะช่วยน้อยหน่า
“คือผมอธิบายได้นะครับ”
ปราบมองดุ
“พอเลย ทั้งสองคนนั่นแหละ”
น้อยหน่าก้มหน้า ตะวันวาดก้าวมายืนปกป้องน้อยหน่า
“ถ้าจะด่าก็ด่าผมเถอะครับ”
“ทั้งสองคนนั่นแหละ บอกกี่ครั้งแล้วเข้าบ้านให้ถอดรองเท้าก่อน แล้วประตูบ้านก็ไม่ปิดอีกแมลงเข้าบ้านกันพอดี”
น้อยหน่ากับตะวันวาดสะดุ้ง ก้มลงมอง แล้วรีบถอดรองเท้า
“แค่นี้ใช่ไหมคะ”
ปราบแปลกใจ
“แปลว่าอะไร...หรือเธอไปก่อเรื่องอะไรมาอีก”
น้อยหน่าหน้าเสีย
“ไม่มีค่ะ ไม่มี”
ปราบหันไปหาตะวันวาด
“ตะวันวาดกินข้าวเย็นด้วยกันนะ”
ตะวันวาดยิ้มรับหน้าแหยๆ
“ได้ครับ แหะๆ”
ปราบเดินเข้าไปในตัวบ้าน น้อยหน่าโล่งอก เดินไปจะปิดประตูบ้าน หันหน้ามาพูดกับตะวันวาด
“แปลว่ายัยนับดาวตัวแสบนั่นยังไม่ได้ฟ้องพ่อเรื่องที่เราโดดค่ายน่ะสิ ค่อยยังชั่วหน่อย”
“ก็เธอบอกพี่เขาไม่ให้ฟ้องไม่ใช่เหรอ”
นับดาวเดินเข้าบ้านมาเงียบๆ น้อยหน่าตกใจร้องเฮ้ย ตะวันวาดเห็นนับดาวแล้วยิ้มแฉ่ง ตะวันวาดยกมือไหว้
“สวัสดีครับพี่นับดาว”
นับดาวรัยไหว้
“หวัดดีจ้ะรูปหล่อ”
นับดาวใช้เท้าถอดรองเท้า สะบัดๆรองเท้ากลิ้งไปคนละทาง แล้วหันไปพูดกับน้อยหน่า
“ต่อไปนี้ฉันจะมาที่นี่บ่อยๆ คงได้เจอกับพ่อเธอบ่อยขึ้นด้วย ถ้าอยากให้ฉันเก็บความลับให้ก็ทำตัวดีๆกับฉัน เข้าใจไหม”
น้อยหน่าจ้องหน้านับดาว จำต้องพยักหน้า
“ดีมาก งั้นเก็บรองเท้าให้ฉันทีนะ”
นับดาวเดินยิ้มหวานจากไป น้อยหน่าก้มลงเก็บรองเท้าให้ ตะวันวาดมองตามไปตาเยิ้ม
“น้ำหอมพี่นับดาวนี่ฮ้อมหอม”
น้อยหน่าเอาร้องเท้านับดาวเคาะหน้าแข้ง ตะวันวาดร้องลั่น
“นี่แน่ะ เป็นไง เจอรองเท้านับดาวฟาดเข้าให้ ปลื้มมั้ย”
“อืม...ขนาดรองเท้ายังสวยกิ๊งจริงๆ...สวยกว่าหน้าเธออีก”
“ไอ้ตะวัน”
น้อยหน่าลุกพรวด ตะวันวาดกระโดดหนี หัวเราะชอบใจ
ตะวันวาดเดินเข้ามาในบ้าน เพิ่งวางเป้ลง สุนทรีแม่ของตะวันวาดท่าทางคล่องแคล่ว ในมาดสาวนักธุรกิจเดินตามเข้ามาในบ้านติดๆ
“กลับมานานรึยังลูก โทษทีนะ งานมันยุ่งกว่าที่แม่คิดน่ะ กินข้าวแล้วใช่มั้ย อย่าบอกนะว่ารอแม่น่ะ”
“ผมกะอยู่แล้ว เลยแวะกินข้าวที่บ้านน้อยหน่าเรียบร้อยแล้วครับ เพิ่งกลับเข้ามาก่อนแม่นิดเดียวเอง”
“สงสัยแม่ต้องเอาของไปขอบคุณคุณปราบเขาสักวัน อ้อ วันนี้แม่ไปประชุม เจอพ่อของลูกด้วย เขาบอกถ้าวันศุกร์นี้เคลียร์งานได้ เขาจะมาหาช่วงวันเสาร์อาทิตย์”
“เชื่อก็โง่แล้ว ถึงเขาเคลียร์งานได้ก็คงเอาเวลาไปเที่ยวกับกิ๊กมากกว่า”
“โกรธพ่อเขาเหรอ”
“เปล่าครับ บอกตรงๆนะครับ ตั้งแต่เขายอมหย่ากับแม่ ผมว่าชีวิตผมมีความสุขขึ้นเยอะเลย จะมาไม่มาก็ช่างเขาเถอะครับ ว่าแต่แม่กินข้าวเย็นมารึยังครับ”
“ยังเลยจ้ะ ที่ประชุมเขาก็ไปกินข้าวกันต่อ แต่แม่รีบกลับมาก่อน”
“คราวหลังถ้าเขาไปต่อ แม่ก็ไปกับพวกเขาเถอะครับ เดี๋ยวเสียคอนเน็คชั่นเปล่าๆ...งั้นแม่นั่งพักก่อนนะครับ ผมไปทำอะไรเบาๆมาให้แม่กิน”
สุนทรีจุ๊บหน้าผากลูกชาย
“ถ้าได้แบบนี้ล่ะก็ แม่ยอมเสียคอนเน็คชั่นจ้ะ”
ตะวันวาดยิ้ม เดินหายไป สุนทรีนั่งเอนหลังพักผ่อน
ตะวันวาดเข้าไปในครัว หั่นขนมปัง ใส่แฮม ใส่ผัก ทำน้ำผลไม้ดูคล่องแคล่ว เมื่อเสร็จแล้วเขาถือจานแซนด์วิชกับแก้วน้ำผลไม้ออกมาจากครัว แต่แล้วก็เจอสุนทรีนั่งหลับอยู่ที่โซฟา
ตะวันวาดวางจานกับแก้วลง เดินไปหยิบหมอนมาวาง แล้วเอนตัวแม่ลงนอนกับโซฟา หาผ้าห่มมาห่มให้แล้วปิดไฟ เดินออกไปจากห้องไป
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 4 (ต่อ)
เพชรสีขับรถมาจอดหน้าบ้านปราบ ปกป้องซ่อมรถอยู่แถวนั้นไม่ไกลนัก มองมาด้วยความไม่สบายใจ หญิงสาวลงจากรถ ถือกล่องรองเท้ามาด้วย ทำหน้าตาทุกข์ร้อน วิ่งตรงไปที่บ้าน
“พี่ปราบขา”
ประตูบ้านเปิดออก นับดาวเดินออกมา ปกป้องจับตามองด้วยความสนใจ
“ฉันมาหาพี่ปราบ”
“มีอะไรเหรอคะ”
“ธุระของฉันกับพี่ปราบ เธอไม่เกี่ยว หลีกไป”
นับดาวมองเพชรสีหัวจรดเท้า มองในกล่องรองเท้า เจอลูกนกตัวหนึ่ง นอนอยู่มีผ้าบุๆในกล่องมาด้วย
“อ๋อ จะบอกว่าเก็บลูกนกได้ แล้วให้คุณปราบสอนวิธีดูแลให้ หลังจากนั้นก็จะให้คุณปราบคอยไปเยี่ยมลูกนก หรือไม่ก็สอนคุณป้อนข้าวป้อนยาลูกนกใช่มั้ย”
เพชรสีอึ้ง พูดไม่ออก นับดาวส่ายหน้า
“แผนเด็กๆ กลับไปเหอะ เค้าไม่หลงกลหรอก”
เพชรสีค้อน
“แผนเผินอะไร ฉันเก็บได้จริงๆ มันตกลงมาหน้าบ้าน ฉันสงสาร ก็เลยจะเอามาให้พี่ปราบ”
“จะบอกให้เอาบุญนะยะ...นี่น่ะคือนกตะคุ้มหงอนแดง พวกนี้มันทำรังในป่าลึก ที่สำคัญมันทำรังบนพื้นดิน มันไม่ตกลงมาหน้าบ้านเธอหรอก นอกเสียจากว่าเธอสั่งให้คนงานไปเก็บลูกนกมาให้เธอ เขาก็คงเดินเข้าป่า เจอรังไอ้เจ้านี่พอดีก็เลยเอามาให้เพราะมันหยิบง่ายสุด”
“จะ...จะบ้าเหรอ...ใครเขาจะทำอย่างที่เธอพูด ทุเรศ”
“ถ้าคุณยืนยันอย่างนั้นก็ได้ งั้นเดี๋ยวฉันตามคุณปราบให้ ดูซิว่าคุณปราบเขาจะคิดเหมือนฉันรึเปล่า”
“ไม่ต้อง”
เพชรสีจ้องหน้านับดาว
“เธอมาทำอะไรที่นี่”
“ธุระของฉันกับคุณปราบ คุณไม่เกี่ยว”
เพชรสีจ้องหน้านับดาว
“ถ้าคิดจะเป็นศัตรูกับฉันล่ะก็ เธอคิดผิดมหันต์แล้วล่ะ”
“ฉันไม่รู้จักคุณซะหน่อย จะเป็นศัตรูกับคุณทำไม”
“แล้วมาทำลายแผนฉันทำไม”
“ที่แผนแตกน่ะไม่ใช่เพราะฉันนะ เพราะสติปัญญาคุณเองต่างหาก”
เพชรสีปรี๊ด เงื้อมือจะตบ แต่มองเห็นปกป้องที่มองมาอยู่
“ครั้งหน้าฉันซัดแกแน่”
เพชรสีฝืนยิ้ม เดินกลับไปขึ้นรถ ขับรถออกไปอย่างฉุนเฉียว นับดาวนึกได้มองกล่องลูกนกในมือ ตะโกนเรียก
“นี่ เดี๋ยว เอานกกลับไปด้วย”
รถเพชรสีวิ่งหายลับไป ปกป้องเดินมาหัวเราะหึๆ
“นกตะคุ่มหงอนแดงเนี่ยนะ แถมทำรังบนพื้นดินอีก มั่วชะมัดเลย”
นับดาวยิ้มๆ
“แต่ก็ได้ผลนะคะ”
“คุณเก่งมาก ทุกครั้งที่เขามา ผมปวดหัวตลอด ไม่รู้จะจัดการเค้ายังไง”
“สงสารแต่ไอ้เจ้านี่...ทำไงดีล่ะคะ”
“เดี๋ยวผมเอาไปให้ที่คลินิกของนายปราบในเมืองละกัน”
ปกป้องรับกล่องลูกนกมา
“อ้อ ผมลืมเตือนคุณเรื่องนึง”
“คะ”
“ยัยเพชรสี...คุณทำให้ยัยนี่โกรธ คุณก็ต้องระวังตัวไว้หน่อย พ่อเขาใหญ่มากที่นี่ ยัยนี่เลยพลอยกร่างไปด้วย ถ้าเจอเขาข้างนอก หลบได้ก็หลบ”
นับดาวหัวเราะ
“ขอบคุณที่เตือน ฉันเชื่อว่าฉันจัดการเขาได้ค่ะ”
ที่โต๊ะข้างสนามบอล แองจี้กำลังนั่งคุยกับเพื่อนผู้ชายอีก 2 - 3 คน
“วันก่อนเราดูทีวี ตกใจมากเลยนะ พระเอกกับนางเอกเขาจูบกัน ถึงจะบอกว่าใช้มุมกล้องก็เถอะ แต่ในเรื่องเขายังไม่ได้แต่งงานกันเลยแล้วมาจูบกัน เราว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับเด็กๆเลย”
“เธอนี่เรียบร้อยจังเลยนะ แองจี้” เพื่อนแซว
“ไม่หรอก แต่เราถูกสั่งสอนให้เป็นกุลสตรี โดยเฉพาะเรื่องแบบนี้เนี่ย...ขนาดนั่งคุยกับพวกเธอ เรายังเขินอยู่เลยนะ”
น้อยหน่าเดินคุยมากับตะวันวาดผ่านมาด้านหลัง ตะวันวาดเล่าอะไรสักอย่างให้ฟัง น้อยหน่าหัวเราะ
“ขี้โม้”
แองจี้หันขวับ
“น้อยหน่า เธอว่าฉันเหรอ”
น้อยหน่าชะงัก
“เปล่า...ฉันคุยกับตะวันวาด ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย”
ตะวันวาดช่วยยืนยัน
“เรากำลังคุยกันจริงๆ เธออย่าเข้าใจผิดสิ”
“ไปเหอะ”
น้อยหน่าจับแขนตะวันวาดเดินต่อไป แองจี้ดวงตาลุกวาว
“น้อยหน่า เธอว่าฉันแน่ๆ เธอจะเอายังไง”
“นี่ อย่ามาหาเรื่องกันนะ บอกแล้วไงว่าฉันคุยกับตะวันวาด พูดไม่รู้เรื่องหรือไง”
แองจี้มองเลยไป เห็นครูคนหนึ่งเดินมาทางด้านหลังน้อยหน่า แองจี้เข้าไปใกล้ๆน้อยหน่าพูดเบาๆ
“ยัยเด็กไม่มีแม่”
“แก...”
น้อยหน่าตบแองจี้เพี๊ยะ แองจี้ถลาไปไกลเกินแรงตบ ฟุบหน้า ร้องโฮ
“น้อยหน่า ฉันพูดกับเธอดีๆ เธอมาตบตีฉันทำไม คุณครูสอนให้เรารักกันนะ”
“ฉันไม่สนหรอกนะว่าครูจะพูดว่าไง ปากอย่างเธอมันเสียมันก็ต้องโดนแบบนี้”
“น้อยหน่า เธอไม่ควรด่าคุณครูแบบนั้นนะ”
น้อยหน่างง ด่าครูตอนไหน ครูก็เข้ามาพอดี
“น้อยหน่า ตามครูไปที่ห้องเดี๋ยวนี้...แองจี้ด้วย...”
น้อยหน่าอึ้ง แองจี้รีบบอก
“ครูคะ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เราแค่เล่นกัน ครูอย่าเข้าใจผิดนะคะ”
“เธอไม่ต้องปกป้องเพื่อน ครูเห็นหมดทุกอย่าง ตามครูมา”
ครูบอกเสียงเครียด แองจี้สะใจมาก
เย็นวันนั้น...ปราบเซ็นชื่อในเอกสาร น้อยหน่านั่งอยู่ข้างๆ ครูบอกเสียงเข้ม
“ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วนะครับ ครั้งหน้าจะถูกพักการเรียนนะครับ”
“ครับ”
ปราบเซ็นชื่อ หันมามองน้อยหน่า น้อยหน่าเมินไปทางอื่น ปราบไม่พูดอะไรเลย แต่เมื่อกลับถึงบ้านก็ดุทันที...
“เธอจะหัวหกก้นขวิดไม่เรียบร้อย ไม่อ่อนหวานพ่อไม่เคยว่า แต่พ่อเคยบอกแล้วว่าพ่อเกลียดการทะเลาะวิวาท พ่อส่งเธอไปโรงเรียนให้ไปเรียนหนังสือ ไม่ใช่ไปมีเรื่องตบตีกับคนอื่นแบบนี้ ที่สำคัญ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว”
“พ่อถามหน่าซักคำรึยังว่าทำไมหน่าต้องไปตบมัน”
“จะเรื่องอะไรก็เถอะ เธอเรียนหนังสือมาจนป่านนี้ ทำไมไม่รู้จักใช้สติปัญญาใช้เหตุผลแก้ปัญหา ทำตัวเป็นคนโง่ทำไม เอะอะก็ใช้กำลัง”
“พูดไปพ่อก็ไม่เข้าใจหรอก พ่อมีเหตุผลของพ่อเสมอแหละ”
น้อยหน่าลุกเดินหนีเข้าห้อง
“ยัยหน่า”
น้อยหน่าปิดประตูกระแทกปัง ปราบกลุ้มใจ ไม่รู้จะทำยังไง จึงเดินไปนั่งที่ระเบียงบ้าน มองบนท้องฟ้าอย่างเศร้าๆ
“ปรายฟ้า...ผมพยายามเต็มที่แล้ว แต่ว่า...เลี้ยงลูกนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
ปราบถอนใจเบาๆ ขณะที่ข้างๆบ้านนับดาวนั่งจิบไวน์แอบฟังอยู่
วันใหม่...ปราบเดินเข้ามาในห้องตรวจ เจอหมาตัวหนึ่งเลือดโชก มีผ้าขนหนูห่อไว้นอนหายใจพะงาบๆอยู่บนเตียง เจ้าของยืนหน้าทุกข์ใจอยู่ข้างๆ แก้ววิ่งสาละวนอยู่ เตรียมอุปกรณ์ที่จะใช้ผ่าตัด
“คุณหมอขา ช่วยด้วยนะคะ อย่าให้เจ้ามูมู่ตายนะคะ” เจ้าของบอกอย่างกังวล
ปราบหันไปถามแก้ว
“เป็นไงบ้าง”
“โดนหมาใหญ่กัดมาค่ะ มีแผลใหญ่ๆอยู่สองสามแผล แก้วฉีดยาให้แล้วอุปกรณ์เตรียมพร้อมแล้ว ผ่าตัดได้เลยค่ะ”
ปราบเปิดผ้าขนหนูดูแผล
“โอเค ไม่มีปัญหา...เดี๋ยวจะผ่าตัดเดี๋ยวนี้แหละ ช่วยเฝ้าร้านให้ด้วยนะครับ”
เจ้าของหมาพยักหน้า ปราบกับแก้วเข็นหมาเข้าห้องผ่าตัด
ปราบผ่าตัดไปด้วย คุยกับแก้วไป...
“กัดกันน่ะเป็นวิธีแก้ปัญหาแบบหมา แต่คนพอทะเลาะกัน ทำไมต้องใช้กำลังเหมือนหมาด้วยนะ”
แก้วงง
“พี่ปราบไปโดนใครต่อยปากมาเหรอคะ”
“เปล่า พี่หมายถึงยัยน้อยหน่า เมื่อวานมีเรื่องตบตีกับเพื่อนมาจนโรงเรียนต้องเรียกพี่ไปตักเตือน”
“ก็น้องเขากำลังเป็นวัยรุ่น”
“แล้วไง เป็นวัยรุ่นแล้วไม่ต้องใช้เหตุผลเหรอ”
“พี่ปราบต้องพยายามทำความเข้าใจเขาหน่อย...เฮ้อ แก้วไม่อยากจะเล่า พี่รู้มั้ย น้อยหน่าเขาแอบมาปรึกษาเรื่องนู้นเรื่องนี้กับแก้วหลายครั้งแล้ว เพราะเขารู้ว่าถึงถามพี่ปราบๆก็ไม่เข้าใจเขา”
“จริงเหรอ...เขาปรึกษาแก้วเรื่องอะไรมั่ง เรื่องผู้ชายรึเปล่า แล้วทำไมเขาไม่มาถามพี่”
“น้องเขาไม่ได้ถามเรื่องผู้ชายหรอกค่ะ เขาถามเรื่องหน้าอกมั่ง เรื่องประจำเดือนมั่ง พี่จะตอบเขาได้เหรอ”
ปราบเงียบไป
“แต่เรื่องบางเรื่องแก้วก็ตอบเขาไม่ได้ก็มี...ประเด็นที่แก้วจะบอกพี่ก็คือว่าน้อยหน่าอาจจะเป๋ได้ ง่ายๆนะคะ ถ้าพี่ไม่ปรับปรุงตัวในการเป็นพ่อ”
“แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไง ให้ฉันเป็นตุ๊ดหรือไง”
“อันนี้ไม่ทราบค่ะ จะทำยังไงก็เรื่องของพี่ปราบ แก้วแค่ชี้ให้เห็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น”
แก้วผ่าตัดต่อไป ไม่พูดอะไรอีก ปราบถอนใจ
นับดาวนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในบ้าน ป้ายวงเอากาแฟมาให้
“กาแฟค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ เอ ป้ายวงคะ ที่บ้านนี้นอกจากคุณปราบ คุณปกป้อง คุณน้อยหน่าแล้ว ไม่มีคนอื่นอีกเหรอคะ”
“ค่ะ ที่เหลือก็เป็นพวกคนทำงานในไร่น่ะค่ะ”
นับดาวหยั่งเชิงเพื่อให้ป้ายวงเล่า
“อ้าว แล้วคุณปรายฟ้าล่ะคะ”
ป้ายวงลดเสียงลง
“เบาๆค่ะ คุณน้อยหน่าเธอยังอยู่ข้างบน”
นับดาวงง แต่ทำเออออตามน้ำเพราะอยากรู้
“อุ้ย โทษค่ะ”
“เฮ้อ พูดแล้วก็สงสารคุณน้อยหน่า”
“นั่นน่ะสิคะ ไม่น่าเล้ย”
“สงสารคุณปราบด้วย”
“เวรกรรมแท้ๆเลยนะคะ”
“แต่ป้าสงสารคุณปรายฟ้าที่สุด”
“ค่ะ ชีวิตคนเราเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้”
ป้ายวงถอนใจเฮ้อ นับดาวถอนใจเฮ้อด้วยแล้วป้ายวงก็เงียบไป
“เดี๋ยวป้าไปทำข้าวต้มให้ก่อนแล้วกันนะคะ”
ป้ายวงเดินออกไป นับดาวอึ้ง
“สรุปว่าฉันไม่ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นเลยใช่มั้ยเนี่ย”
นับดาวออกมาหน้าบ้านคุยมือถือกับอลิสา
“เมื่อคืนดาวก็ยังปลอดภัยค่ะ น้าอะซ่าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอกค่ะ ท่าทางนายปราบคงไม่ใช่พวกบ้ากามหรอกค่ะ...ไม่ใช่เกย์หรอกค่ะ แต่อาจจะมีรสนิยมวิตถารอะไรซักอย่าง อันนี้ดาวไม่รู้ ถ้ารู้ก็ดี จะได้เอามาแบล๊คเมล์ซะเลย...ใจเย็นๆค่ะน้าอะซ่า ขอเวลาดาวอีกนิด ดาวต้องรู้วิธีเล่นงานเขาแน่ๆ...แค่นี้ก่อนนะคะ”
นับดาววางสาย เมื่อเห็นรถคันหนึ่งมาจอด ลุงเย็นลงมาจากรถ เจิดเดินผ่านมาพอดี
“ลุงเย็นมาทำไมเนี่ย”
นับดาวสงสัย
“ลุงเขาเป็นใครเหรอคะพี่เจิด”
“คุณนับดาวครับ ก่อนอื่นเลยเนี่ย ผมขอเรียนว่า ชื่อเจิด เนี่ยเฉพาะคนที่สนิทกับผมเท่านั้นถึงเรียกได้ เราเพิ่งรู้จักกันคุณต้องเรียกผมว่า เจอราร์ด”
“ขอโทษค่ะ พี่เจอราร์ด...แล้วไม่ทราบว่าลุงเย็นที่กำลังเดินมาเนี่ย เขาเป็นใครเหรอคะ”
“ก็ลุงเย็นไงครับ”
“เดี๋ยวพี่เจอราร์ดก็เจอมะเหงกหรอกค่ะ ตกลงว่ารู้หรือไม่รู้คะ”
“เฉลยให้ก็ได้ เขาเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ครับ ชาวบ้านให้ความนับถือแกมาก แบบที่เขาเรียกกันว่าปราชญ์ชาวบ้านอะไรเนี่ยครับ”
“งั้นก็เป็นคนสำคัญสิคะ”
“อุ๊ย สำคัญสิครับ...สงสัยจะมาคุยธุระกับคุณปราบ”
“งั้นฉันออกไปต้อนรับเค้าเอง พี่เจอราร์ดไปตามคุณปราบเถอะค่ะ”
เจิดเดินแยกไป นับดาวอมยิ้ม เดินไปต้อนรับลุงเย็น แต่เธอมองลุงเย็นหัวจรดเท้า จนลุงเย็นชักเคือง
“สวัสดีค่ะมาหาใครคะ”
“มาหาคุณปราบ ไม่ทราบอยู่ไหมครับ”
“อ๋อ คุณปราบออกไปแต่เช้ามืดแล้วค่ะ ไม่ทราบนัดไว้รึเปล่าคะ”
“ไม่ได้นัดหรอก แหม มาแต่เช้านึกว่าจะได้เจอหน้าซักหน่อย”
“คุณปราบเป็นคนมีธุระยุ่งมาก ถ้าอยากเจอคงต้องนัดก่อน คุณลุงมีธุระด่วนรึเปล่า”
นับดาวดูเย็นชา หน้าตาไม่รับแขก จนลุงเย็นชักไม่พอใจ แต่ยังเก็บอาการอยู่
“ไม่มีธุระด่วนอะไรหรอก ก็แค่...”
นับดาวแทรก
“คุณลุงเป็นเพื่อนเขารึเปล่า”
“เอ่อ...เปล่า แต่ก็พอจะรู้จักกัน...”
นับดาวแทรก
“ที่บอกรู้จักกันเนี่ย ปีนึงเจอกันกี่ครั้ง”
“ก็...เจอกันครั้งหลังสุดก็เกือบสองปีแล้ว...”
นับดาวแทรก
“ไม่ได้นัด...ไม่มีธุระด่วน...ไม่ใช่เพื่อน...แล้วอยากเจอหน้า...จะมาขอยืมเงินเหรอ”
นับดาวทำหน้าหน่ายใจส่ายหน้าช้าๆ ลุงเย็นฉุน
“เอาล่ะ ถือว่าผมไม่ได้มาแล้วกัน”
ลุงเย็นหัวเสียเดินออกไป นับดาวยิ้มสำเร็จตามแผนป่วนปราบ
น้อยหน่าเดินลงมาสวมชุดนักเรียนถือกระเป๋า ชะงักเมื่อเห็นนับดาวเดินเข้ามาในบ้าน น้อยหน่ามองไปรอบๆบ้าน ไม่เห็นคนอื่น
“พ่อล่ะ”
“ออกไปแล้ว...จะไปโรงเรียนใช่มั้ย”
น้อยหน่าพยักหน้า
“พ่อเธอบอกให้ฉันไปส่งเธอ”
“ไม่ต้องมีรถประจำทาง”
น้อยหน่าเดินผ่านนับดาวจะออกประตูไป
“ฉันขอเตือนว่าวันนี้แดดร้อนมาก กว่าจะถึงโรงเรียน เหงื่อคงจะออกเยอะ ทำให้มีกลิ่นตัว ตัวเธอจะไม่ได้กลิ่นตัวของตัวเอง แต่คนรอบข้างจะได้กลิ่นเหงื่อตุๆของเธออย่างง่ายดาย ถ้าเธอมีเหงื่อตอนเช้า แบคทีเรียจะเติบโตได้ดีมากในตอนบ่าย นั่นหมายถึงเธอจะเหม็นสุดๆตอนเลิกเรียน ถ้าเธอคิดว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร”
น้อยหน่าหยุดกึกอยู่ตรงประตู
นับดาวขับรถ น้อยหน่านั่งอยู่ข้างๆ น้อยหน่าไม่พูดอะไร นับดาวก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน นั่งเงียบๆกันมาครู่หนึ่ง
“คุณมาทำดีกับหนูทำไมนี่” น้อยหน้าตัดสินใจถาม
“อยากผูกมิตร”
“เพื่ออะไร”
“ฉันอยากให้พ่อเธอขายที่ แต่พ่อเธอไม่ยอม ถ้าเราผูกมิตรกันได้ บางทีเธออาจจะช่วยฉันพูดให้เขาเปลี่ยนใจได้”
“คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ”
“เรื่องอะไร”
“ต่อให้ฉันช่วยพูด แต่พ่อก็ไม่ฟังฉันหรอก เผลอๆจะยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่”
“ทำไมงั้นล่ะ ฉันรู้ว่าพ่อเธอเขารักเธอมาก”
“รัก แต่ในสายตาเขา หนูเป็นเด็กไม่ได้เรื่อง”
นับดาวไม่พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้าเข้าใจ
“อย่างครั้งล่าสุด หนูทำผิดกฎที่โรงเรียน เขาไม่เพียงแต่ไม่ฟังเหตุผลของหนู แต่เขาไม่ถามด้วยซ้ำว่าความจริงมันคืออะไร เอาแต่ว่าแล้วก็สอนนู่นสอนนี่”
“เธอไปทำอะไรเข้าล่ะ”
“หนูไปตบเพื่อนคนนึง อย่าเรียกว่าเพื่อนเลย แค่คนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันน่ะ”
“เขาทำอะไรให้เธอเหรอไง”
น้อยหน่ามองนับดาวแว่บหนึ่ง นับดาวยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
“มันด่าแม่หนู”
“อืม สมควรโดน”
นับดาวยิ้มให้น้อยหน่า
ปราบเข้ามาในบ้าน มองไปรอบๆ ไม่เจอนับดาว เจอแต่ป้ายวงเดินออกมา
“นับดาวไปแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ”
ปราบยิ้ม
“เฮ้อ ไปซะได้ก็ดียัยแสบ”
“ค่ะ เขาไปส่งคุณน้อยหน่าน่ะค่ะ เดี๋ยวก็คงกลับ”
ปราบชะงักด้วยความผิดหวัง โทรศัพท์บ้านดัง ปราบรับสาย
“สวัสดีครับ...”
ปราบมองไปนอกหน้าต่าง นับดาวจอดรถพอดี กำลังเดินเข้ามา
“ป้าพู ภรรยาลุงเย็น จำได้สิครับ ลุงเย็นสบายดีนะครับ...มาหาผมเมื่อเช้าเหรอครับ...หา...เอ่อ คือว่า...ลุงเย็นโกรธขนาดนั้นเลยเหรอครับ...ผมต้องขอโทษด้วยครับ ... คือว่า...”
อีกฝ่ายวางสายไป
“ป้าพูครับ...ป้าพู...”
นับดาวเดินเข้ามาพอดี ปราบวางโทรศัพท์บนโต๊ะ เดินเข้าไปหานับดาวทันที
“คุณ”
“คะ”
“เมื่อเช้ามีผู้ชายแก่ๆมาหาผมใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วคุณไปหาว่าเขาจะมาขอยืมเงินผมเหรอ”
“ฉันแค่ถาม ไม่ได้กล่าวหาอะไรใครทั้งนั้น ทำไม เขาโทรมาฟ้องเหรอ ... วุ้ย ผู้ชายอะไร ใจมดจริงๆ”
“คุณรู้มั้ย ลุงเย็นเขาเป็นใคร เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ทุกคนแถวนี้เคารพนับถือมาก แล้วคุณไปพูดกับเขาอย่างงั้นได้ยังไง”
“ฉันพูดสุภาพนะ น้ำเสียงก็ราบเรียบ ไม่กระโชกโฮกฮากแบบที่คุณกำลังพูดอยู่แบบนี้หรอก”
ปราบกำหมัดแน่น โกรธจนตัวสั่น
“ออกไปเดี๋ยวนี้ ผมสั่งให้คุณออกไปจากบ้านผมเดี๋ยวนี้ ได้ยินไหม”
“เรื่องนี้เราคุยกันจบไปแล้วนะ...คุณไล่ฉันได้ แต่ฉันไม่จำเป็นต้องฟัง เพราะคุณปกป้องอนุญาตให้ฉันอยู่”
ปราบทุบโต๊ะปัง
“จะออกไปดีๆ หรือให้ผมเหวี่ยงคุณออกไป”
“จะใช้กำลังกับฉันเหรอเนี่ย”
“ใช่ ผมไม่แคร์หรอกว่าคุณจะเป็นไฮโซมาจากไหน แต่ผมจะจับคุณโยนออกไปจากบ้านของผม ถ้าคุณไม่ยอม ผมจะจิกผมคุณแบบนี้ แล้วลากคุณออกไป คิดว่าผมไม่กล้าใช่มั้ย”
ปราบขยุ้มเส้นผมนับดาว ท่าทางเอาจริง แต่ความจริงแค่จะขู่ นับดาวโวยวาย
“ไหนบอกเป็นปัญญาชน เรียนหนังสือมาเยอะ ควรแก้ปัญหาด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์และความรุนแรง ไม่ใช่เหรอคะ”
ปราบอึ้ง อ้าปากค้าง
“ตัวคุณเองยังทำไม่ได้ ยังมีหน้าไปสอนคนอื่นอีกเหรอ”
“คุณหลอกถามยัยน้อยหน่ามาเหรอ”
“เราคุยกันตามประสาลูกผู้หญิงค่ะ”
นับดาวยื่นหน้าเข้ามาพูดกับปราบ
“เอาสิ ไหนบอกจะเหวี่ยงฉันออกไปไง จะจิกผมฉันแล้วลากออกไปไม่ใช่เหรอ เอาซิๆ”
ปราบยืนกำหมัดแน่น
“ผมยังไม่ได้ทำอะไร ก็แค่ขู่คุณเท่านั้นแหละ”
“ก็ดี เพราะถ้าคุณรังแกฉันจริงๆล่ะก็ น้อยหน่าคงเลิกเชื่อคำพูดคุณไปตลอดกาล”
ปราบจ้องหน้านับดาว โกรธสุดๆ แต่ไม่รู้จะทำยังไง
“นี่แค่เริ่มต้นนะ ถ้ายังไม่รีบเซ็นขายที่ล่ะก็ ฉันจะป่วนให้ย่อยยับกว่านี้อีก”
นับดาวเดินไปจะกลับเข้าห้อง ปราบมองตามไป ราวจะกินเลือดกินเนื้อ
ในคลินิก...ปราบนั่งกินกาแฟนิ่งๆ อย่างใช้ความคิด แก้วจับตาดูอยู่พักหนึ่ง แล้วถามอย่างสงสัย
“พี่ปราบคิดอะไรอยู่เหรอคะ เห็นนั่งแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะเนี่ย”
“จำผู้หญิงที่พี่เล่าให้ฟังได้มั้ย ยัยนับดาวน่ะ”
“"คุณ"นับดาวน่ะเหรอคะ”
ปราบชำเลืองมองแก้วแว่บหนึ่ง ไม่ค่อยพอใจที่แก้วดูเหมือนจะอยู่คนละข้างกับเขา
“ใช่ ยัยไฮโซหมามุ่ยนั่นแหละ พี่กำลังคิดอยู่ว่าจะหาทางโยนเขาออกไปยังไงดี...ว่าจะตั้งป้ายรับซื้องูเขียว เอาให้ได้ซัก 2-3 ร้อยตัว เอาไปปล่อยไว้ในบ้าน เพราะยัยนี่เกลียดงูเขียวมาก แก้วว่าดีมั้ย”
“พี่ปราบจะบ้าเหรอคะ ถึงจะเป็นงูเขียว แต่มันก็มีเชื้อโรค เอาไปปล่อยในบ้านตั้งสองสามร้อยตัว พี่กับคนในบ้านนั่นแหละจะเดือดร้อน”
“พี่ก็ว่างั้นเหมือนกัน...แก้วช่วยพี่คิดหน่อยสิ ยัยนี่แสบมาก มาอยู่บ้านแป๊บเดียวก็ทำชีวิตพี่ปั่นป่วนไปหมดแล้วเนี่ย”
นับดาวเดินเข้ามาในคลินิก แก้วเห็น แต่ปราบไม่เห็น
“ช่วงนี้พี่อาจจะต้องเข้าคลินิกบ่อยหน่อย ไม่อยากอยู่ใกล้ๆยัยนั่น เห็นหน้าแล้วทนไม่ไหวกลัวจะบีบคอเขาตาย... เฮ้อ ยังดีมีที่นี่เป็นที่หลบภัย ต้องบอกคนที่บ้านว่าอย่าให้ยัยนั่นรู้ เดี๋ยวตามมาถึงนี่ ไม่รู้จะก่อเรื่องอะไร”
“เช่นปล่อยหมาแมวในกรง ให้ออกมากัดกันอะไรงี้เหรอคะ”
ปราบหันขวับมา เจอนับดาวกำลังยืนดูพวกหมาแมวที่อยู่ในกรงที่คนพามารักษาโรค
“ลองดูสิ ผมฆ่าคุณแน่”
แก้วรีบพูดแก้ให้
“พี่ปราบเป็นอะไรไปคะ คุณนับดาวเขาแค่พูดเล่นน่ะค่ะ”
“ถูกต้องค่ะคุณน้อง อุ๊ย เป็นลูกน้องฉลาดที่กว่าเจ้านายนี่ท่าทางจะลำบากใจอยู่ใช่ไหมคะ”
ปราบมองไม่พอใจ
“ผมไม่ถามหรอกนะว่าคุณรู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่...แต่คุณมาทำไม”
“มาเดินเล่น ไม่ได้เหรอ ถ้าไม่อยากให้ฉันเข้ามาก็ติดป้ายหน้าร้านสิว่าห้ามคนสวยเข้า” นับดาวหันไปยิ้มหวานให้แก้ว “...คุณก็เข้ามาไม่ได้นะ เพราะคุณก็สวยเหมือนกัน”
แก้วยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ”
“คุณแก้ว”
ปราบเสียงดุมาก แก้วหุบยิ้มลง
“คุณจะเอาไงกันแน่” ปราบหันมาถามนับดาวเสียงเข้ม
“ไม่เห็นต้องถาม คุณก็รู้จุดประสงค์ของฉันดี”
ปราบไม่พูดอะไร ตะวันวาดเปิดประตูเข้ามา
“อาปราบครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ...อุ๊ย พี่นับดาว สวัสดีครับ”
ตะวันวาดยิ้มให้นับดาวหวานจ๋อย นับดาวยิ้มรับ
“เพื่อนน้อยหน่าใช่ไหมคะ”
“ครับผม ผมชื่อตะวันวาดครับ”
ปราบขัดทันที
“นายตะวัน ตกลงเรื่องใหญ่อะไรของเธอ”
ตะวันวาดเพิ่งนึกได้
“น้อยหน่าครับ...เลิกเรียนแล้ว ผมกำลังจะกลับบ้าน แวะซื้อขนม แล้วตอนนั้นเอง...”
ตะวันวาดเล่าให้ฟังว่าเขา เข้ามาเลือกขนมอยู่ในช่องขนมในมินิมาร์ทใกล้โรงเรียน เห็นนักเรียนหญิงโรงเรียนเดียวกัน 3 คน เดินเข้ามา ทั้งสามกำลังคุยกัน
“นี่ เดี๋ยวค่อยมาซื้อกินเถอะ ไปตบยัยน้อยหน่าก่อนเถอะ”
อีกคนแย้ง
“อีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด”
“คอยดู ซ่านักคราวนี้จะรุมตบยัยน้อยหน่าให้คุกเข่าร้องไห้ขอโทษแองจี้ให้ได้”
มือถือ คนหนึ่งดังขึ้น จึงหยิบมาอ่านข้อความ
“แองจี้บอกให้รีบไปหาที่โรงยิม วางแผนตบกับพวกยัยน้อยหน่าเดี๋ยวนี้เลย”
ทั้งสามคนออกจากร้าน
ตะวันวาดเล่าเรื่องจบ ปราบร้อนใจ
“อะไรนะ ถึงขั้นนัดตบกันเลยเหรอ เป็นเด็กเป็นเล็กทำอะไรกันอย่างนี้”
“ถ้าผมห้ามน่ะ น้อยหน่าไม่เชื่อผมแน่ แต่ถ้าปล่อยให้ตบกัน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ โดนพักการเรียนหรือโดนไล่ออกเลยนะครับ”
“ไป...งั้นรีบไปกันเถอะ”
ปราบกับตะวันวาดรับออกไป นับดาวรีบวิ่งตามไปด้วย
อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ตะวันวาดเดินนำปราบกับนับดาวเข้ามาในโรงเรียน เห็นเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปดูอะไรกัน
“จ๊ะจ๋า เขาวิ่งไปไหนกันน่ะ”
“เขาบอกแองจี้กับน้อยหน่ากำลังตบกัน”
“เร็วตะวัน”
ตะวันวาดวิ่งนำ ปราบวิ่งตาม นับดาวร้องบอก
“เฮ้ย รอฉันด้วย”
ตะวันวาดกับปราบวิ่งเข้ามาในโรงยิม พวกนักเรียนกำลังแบ่งข้างเชียร์ เฮ้ๆ เสียงดังและมันส์มาก
น้อยหน่ากับแองจี้อยู่คนละข้าง พร้อมๆเพื่อนๆกำลังเล่นวอลเล่ย์บอลกัน แต้มสูสี ทีมแองจี้นำอยู่ 23 ต่อ 22
ปราบกับตะวันวาดยืนอึ้ง
“ที่บอกว่านัดตบกัน นี่ตบลูกวอลเล่ย์หรอกเหรอเนี่ย”
ตะวันวาดหน้าแหย
“เอ่อ...สงสัยผมจะเข้าใจผิดน่ะครับ นึกว่าจะตบกันแบบในคลิป”
นับดาวตามเข้ามา หอบแฮ่ก
“โอ้โฮ แต้มสูสีซะด้วย”
ฝ่ายแองจี้ทำลูกออก น้อยหน่ารับหน้าที่เสิร์ฟ ฝ่ายแองจี้รับได้ โต้กลับมา ฝ่ายน้อยหน่ารับได้ ตีกลับไป
ฝ่ายแองจี้ทำลูกออก น้อยหน่ารับลูกมา เดินไป กำลังจะเสิร์ฟ นับดาวตบหลังปราบค่อนข้างแรง
“โอ๊ย ตีผมทำไม”
“ยืนเฉยอยู่ได้ ทำไมไม่เชียร์เขา”
“เฮ้ย ไม่จำเป็นหรอกน่า”
พวกกองเชียร์แองจี้โห่ลั่น น้อยหน่าหน้าเสีย เสิร์ฟไม่ดี ฝ่ายแองจี้รับได้ โต้กลับมา ปราบหน้าเครียดไปด้วย ฝ่ายแองจี้ตีกลับมา โต้ไปโต้มา ปราบลุ้นระทึก ในที่สุด ฝ่ายแองจี้ตีเฉียดเส้นออกไป
“ออก”
ทีมน้อยหน่าเฮลั่น เสียงเด็กๆเจี๊ยวจ๊าวดังลั่น กรรมการประกาศ
“24 -23 แมทช์พ้อยต์”
น้อยหน่าถือลูก หน้าตาเคร่งเครียด กองเชียร์แองจี้โห่หนัก โบกไม้โบกมือ พยายามทำลายสมาธิน้อยหน่ามือสั่น พยายามตั้งสมาธิ แต่คู่แข่งโห่ เสียงปราบตะโกนลั่น
“น้อยหน่า”
เสียงปราบดังกลบเสียงโห่ ทุกคนเงียบหันมามองปราบ
“สู้เขาลูกพ่อ”
ปราบยกกำปั้นให้ น้อยหน่าอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มให้ปราบ ก่อนหันมามองหน้าแองจี้ แสยะยิ้ม ท่าทางเปี่ยมความมั่นใจ น้อยหน่าเสิร์ฟลูกอย่างแรง แองจี้รับได้แต่บอลกระเด้งออกไปนอกสนาม ทีมน้อยหน่าเฮลั่น
ปราบจับมือนับดาวชู
“ไชโย”
นับดาวดึงมือกลับ หน้าแดง ปราบไม่สนใจ ร้องไชโยต่อ ตรงกลางสนาม นักกีฬาทั้งสองทีมเข้ามาจับมือกัน ครูที่อยู่เกมส์อยู่ด้วย เดินเข้ามาหานักกีฬา
“สนุกมาก เป็นเกมส์ที่ดี แพ้ชนะไม่สำคัญ เพราะพวกเธอทุกคนคือผู้ชนะในเกมส์นี้ เอ้า ปรบมือให้ตัวเองหน่อย”
นักกีฬาทั้งสองทีมปรบมือกัน น้อยหน่ากับแองจี้มองหน้ากัน เชือดเฉือนกันด้วยสายตา
การแข่งขันจบลงไปครู่ใหญ่ พวกคนดูแยกย้ายกันกลับหมดแล้ว ปราบเดินคุยมากับน้อยหน่า นับดาวกับตะวันวาดเดินตามมา
“ตอนแรกหน่าก็ตั้งใจจะตบกับยัยแองจี้จริงๆ แบบว่ามันยังไม่เคลียร์ พ่อไม่รู้จักยัยแองจี้ เขาเลวมาก” น้อยหน่าเล่า
“นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่เราจะทำร้ายคนอื่นนะ”
“หน่าไม่สนหรอก มันด่าหน่าทำไม พอดี...”
“พอดีอะไร”
“เมื่อเช้าหน่าคุยกับพี่ดาว พี่ดาวบอกถ้าตบกันแบบนั้นหน่าก็โง่ เพราะต้องโดนไล่ออกแน่ๆ แล้วคนที่จะหัวเราะก็คือยัยแองจี้ หน่าก็เลยเปลี่ยนใจ เปลี่ยนมานัดตบวอลเล่ย์กัน”
ปราบหันมามองนับดาว ที่เดินตามมาห่างๆคุยกับตะวันวาด
“นับดาวบอกลูกเหรอ”
“ค่ะ ตอนแรกนึกว่าจะชนะใสๆ ที่ไหนได้ มันไปตามตัวโรงเรียนมาได้ไงไม่รู้ เกือบแพ้มัน...ดีนะคะที่พ่อมาเชียร์ หน่าเลยชนะมันได้แบบสะใจที่สุด”
“ลูกเก่งมาก...แบบนี้สิลูกพ่อ พ่อภูมิใจในตัวลูกมากนะ”
น้อยหน่ากอดแขนปราบ มีความสุข ปราบยิ้มให้ แล้วแอบมองไปทางนับดาว
พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า แดดอ่อน ขอบฟ้าสีส้ม สวยงาม ขณะที่ปราบกับคนงานช่วยกันซ่อมรั้ว
“โอเค วันนี้พอก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อแล้วกัน” ปราบหันไปสั่ง
“ทำต่อได้นะครับนายจะได้เสร็จเลย”
“จะมืดค่ำแล้วกลับบ้านไปหาลูกหาเมียกันได้แล้ว หรือเบื่อหน้าเมียแล้วเลยอยากทำงานต่อ”
พวกคนงานหัวเราะกัน ปราบเดินมาขึ้นรถขับออกมาจากฟาร์มวัว ขับไปตามถนนไปที่บ้าน เจอนับดาวนั่งดูวิวอยู่คนเดียว ปราบจอดรถบนถนน เดินตัดเนินมาหานับดาว
“ทำอะไรอยู่เหรอ”
“กำลังคิดอยู่ว่าจะหาเรื่องเผาคอกม้าคุณยังไงดี ให้ดูเป็นอุบัติเหตุแบบเนียนๆ”
ปราบหัวเราะ
“ผมรู้ว่าคุณทำได้ แต่อย่าเพิ่งเลย สงสารม้า แล้วอีกอย่าง วันนี้ผมเหนื่อยมาก ขอผมพักหน่อยเถอะ”
นับดาวมองหน้าปราบ
“อ้ะ ก็ได้ ถือว่าพักยก”
นับดาวมองวิวข้างหน้า รู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด
“ตรงนี้ใช่มั้ยที่คุณถ่ายรูปประกวดน่ะ”
“ใช่ ไม่คิดว่าคุณจะจำได้นะ”
“ทำไมจำได้ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าชอบ นั่งดูแล้วมีความสุขดี”
“อยู่ในป่าคอนกรีตมากเกินไปรึเปล่า มาสัมผัสธรรมชาติเลยชอบ”
“เป็นความคิดที่เชยมาก เซเล็บอย่างพวกฉันน่ะ รักธรรมชาติเหมือนกันนะยะ ลองวีดเอ็นด์ก็ชวนกันไป ดำน้ำ ปีนเขา ตั้งแค้มป์กัน ไม่ใช่เดินช็อปปิ้งในห้างอยู่ตลอดปีตลอดชาติ อย่างที่คุณเข้าใจหรอกนะ”
“อาจจะแตกต่างกันก็ได้ ตอนคุณไปเที่ยวดำน้ำแค้มปิ้งอะไรนั่นน่ะ ผมว่าพวกคุณไปทำกิจกรรมมากกว่า แต่ตอนนี้ ที่คุณนั่งอยู่ที่นี่ ไม่มีคนงานคนไหนรู้ว่าคุณเป็นเซเล็ปที่ชื่อนับดาวว้าวแซ่บ ไม่ต้องใส่หน้ากากสร้างบรรยากาศเฮฮา ไม่ต้องห่วงสวยเพราะไม่มีปาปารัสซี่ตามมาแน่นอน แต่คุณได้พักผ่อนจริงๆ”
นับดาวอึ้งไป
“คุณพูดถูก”
ปราบกับนับดาวนั่งกันเงียบๆ ฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว เมฆฝนมาเต็มฟ้า ฟ้าร้องครืนๆ
“อ้าว เฮ้ย มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เร็ว คุณ”
ฟ้าแลบเปรี้ยง
“ว้าย อย่าเพิ่งตกนะ อั้นไว้ก่อนนะ”
นับดาวกะเย้อกะแย่ง อารามรีบ ลื่นเกือบล้ม ปราบยื่นมือไปจับมือนับดาวไว้ นับดาวมองปราบแว่บหนึ่ง ปราบพานับดาววิ่งมาถึงที่รถ ฝนตกแล้ว ปราบออกรถออกไปทันที
ปราบจอดรถ ปราบกับนับดาววิ่งฝ่าสายฝนและเสียงฟ้าร้องมาที่บ้าน นับดาววิ่งไปหัวเราะไปสนุกเหมือนเด็ก จนมาถึงหน้าบ้าน
“ขำอะไรของคุณนักหนา”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันไม่ได้วิ่งเล่นแบบนี้มานานมาก นานนนมาก”
ปราบหัวเราะ ทั้งสองมองตากัน รู้สึกเขินขึ้นมาวูบหนึ่ง ขยับตัวห่างออกจากกัน ปราบกระแอม เปิดประตูบ้านให้
“ขอบคุณค่ะ”
นับดาวก้มหน้า เดินเข้าบ้านไปก่อน ปราบมองตามนับดาวก่อนจะเดินตามเธอเข้าไปอย่างรู้สึกดี
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 4 (ต่อ)
กลางดึก...ในบ้านปิดไฟมืด ปราบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาเปิดตู้เย็นกินน้ำ กำลังจะกลับเข้าห้อง เห็นประตูห้องนับดาวเปิดออก น้อยหน่าเดินออกมา น้อยหน่าปิดประตูห้อง กำลังจะเดินกลับเข้าห้องเธอ
“น้อยหน่า”
น้อยหน่าสะดุ้งเฮือก หันมาเจอปราบ
“เข้าไปทำอะไรห้องคุณนับดาว”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
น้อยหน่ากลับเข้าห้องเธอทันที ปราบมองตามไป แล้วมองไปที่ห้องนับดาว
เช้าวันใหม่...นับดาวขี่จักรยานออกมา เห็นรถของปราบจอดที่คอกวัว นับดาวเลี้ยวเข้าไปหา ปราบกำลังดูคนงานรีดนมวัวอยู่ หันมาเห็นนับดาวกำลังดูคนงานรีดนมวัวด้วยความสนใจ ปราบจึงเดินมาหา
“เมื่อคืนผมเห็นน้อยหน่าออกมาจากห้องคุณ คุยเรื่องอะไรกัน”
นับดาวกำลังดูเพลิน ไม่ทันฟัง
“ทำไมนมมันถึงห้อยแล้วก็ยานขนาดนี้นะ”
ปราบตาโต
“อะไรนะ”
นับดาวหันมา
“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ ไม่ทันฟัง”
“ผมถามว่าเมื่อคืนน้อยหน่าเข้าไปคุยอะไรกับคุณ”
“อ๋อ ขอโทษที ฉันมัวแต่ดูเขารีดนมวัวอยู่”
ปราบโล่งอก
“ความจริงก็เป็นเรื่องของผู้หญิงอ่ะนะ แต่ถ้าฉันไม่บอกเดี๋ยวคนเป็นพ่ออย่างคุณจะไม่สบายใจซะเปล่าๆ...”
“ถ้ามันความลับระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิงไม่ต้องบอกก็ได้ ผมก็ไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของน้อยหน่า ผมแค่อยากรู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดีอะไรรึเปล่า”
นับดาวมองปราบ สายตาแสดงความพอใจระดับหนึ่ง
“เขาปรึกษาฉันเรื่องวิธีรักษาสิว”
“เมื่อเดือนก่อนเขาก็ถามผมอยู่เหมือนกัน”
“แล้วคุณตอบเขาว่าไง”
“ปล่อยๆไปมันก็หายเอง ไม่เห็นต้องไปทำอะไรเลย”
“รู้ตัวไหมว่า คุณกับน้อยหน่านี่นอกจากมีช่องว่างระหว่างวัยแล้ว ยังมีช่องว่างระหว่างเพศด้วย”
ปราบอึ้งไป
“ถ้าถามว่ารู้ตัวไหม ก็รู้ตัว แต่ไม่รู้จะทำยังไง ผมก็พยายามอย่างที่สุดแล้ว”
“คุณอาจจะทำหน้าที่พ่อได้ แต่คุณก็มีข้อจำกัดว่าแต่แม่น้อยหน่าไปไหนล่ะคะ”
ปราบหน้าเครียดลง
“คุณไม่ต้องรู้ซักเรื่องก็ได้นะ”
นับดาวเบะปาก ปราบมอง...
“อ่อ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณหน่อย”
ปราบเดินออกไปที่รถ นับดาวมองตาม แล้วเดินตามไป
ปราบพานับดาวไปนั่งอยู่ใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ หยิบกระติกน้ำร้อน เปิดฝา เทกาแฟลงถ้วยพลาสติกใบหนึ่งให้นับดาว ส่วนของเขารินใส่ฝากระติก
“ผมอยากจะคุยกับคุณเรื่องขายที่”
“ใจอ่อนแล้วล่ะสิ”
ปราบส่ายหน้า
“ยัง แต่ผมมีข้อเสนอ ถ้าคุณทำงานที่ไร่นี่กับผม 6 เดือน ผมจะยอมเซ็นขายที่ตามที่คุณต้องการ”
“โอ๊ย 6 เดือนไม่ไหวหรอก ฉันต้องการใช้เงิน...เอ๊ย...คือหมายถึงเอาเงินไปบริจาคองค์กรการกุศลน่ะ...ต้องรีบๆหน่อย เดี๋ยวช่วยคนตกทุกข์ได้ยากไม่ทัน”
“คุณจะเอาเงินไปทำอะไรก็เรื่องของคุณ”
“เรื่องของฉันอยู่แล้วล่ะ...2 เดือน เต็มที่”
“4 เดือน ส่วนแบ่ง 50 / 50”
“ส่วนแบ่ง 50 / 50 ฉันโอเค แต่ขอ 3 เดือน”
ปราบยิ้มเล็กน้อย ก่อนยื่นข้อเสนอที่เขาตั้งใจไว้แต่แรก
“3 เดือนก็ 3 เดือน แต่ว่าคุณต้องทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้ยัยน้อยหน่าด้วย”
นับดาวเงียบไป
“พี่เลี้ยงยังไง”
“ให้คำปรึกษาเขาทุกเรื่อง แบบผู้หญิงๆอะไรเงี้ย”
“คุณไว้ใจฉันเหรอ”
“คุณน่ะสุดแสบบางเรื่องไว้ใจไม่ได้เลย อันตรายสุดๆ... แต่เรื่องนี้ผมเชื่อว่าผมไว้ใจคุณได้”
“อ้ะ ก็ได้”
“แต่ถ้าคุณอยู่ไม่ถึง 3 เดือน ถือว่าโมฆะ ไม่ต้องมาพูดเรื่องขายที่กับผมอีก”
“แล้วถ้าทางคุณเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาล่ะ”
“ผมแบ่งค่าที่ให้คุณ 80 เปอร์เซ็นต์ ผมเอา 20 ตกลงมั้ย”
“ตกลง”
ปราบยิ้ม นับดาวก็ยิ้ม เช็คแฮนด์กัน
ที่ร้านอาหารในกรุงเทพ..นับดาวมากินข้าวกับชนะชัยในบรรยากาศหรูหรา
“จ๊อบคะ ดาวมีเรื่องบางอย่างจะปรึกษาคุณหน่อย”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“ดาวคงต้องห่างๆคุณสักพักหนึ่งน่ะค่ะ”
ชนะชัยอึ้งๆ
“มีอะไรเหรอครับ”
“คือดาวจะไปบวชชีพราหมณ์ค่ะ”
“บวชชีพราหมณ์”
“ค่ะ มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ดาวเคารพมาก ท่านเห็นช่วงนี้ดาวมีปัญหามาก ท่านเลยแนะนำให้ดาวบวชชีสักช่วงหนึ่งเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร อะไรๆจะได้ดีขึ้น”
“แล้วคุณดาวจะบวชนานไหมครับ”
“ก็ซักเดือนนึงน่ะค่ะ”
นับดาวเงียบไปนิดนึง
“แต่ถ้าติดใจในรสธรรมะ ก็อาจจะนานกว่านั้น...จ๊อบคงไม่ว่าอะไรนะคะ”
“ไม่หรอกครับ”
นับดาวยิ้มหวาน ชนะชัยไม่ผิดสังเกตอะไร
เมื่อกลับมาที่บ้าน ชนะชัยมาคุยกับชัชฎาเรื่องนับดาว
“ตั้งเดือนนึง...แล้วเรื่องที่หนูนับดาวเขาจะมาร่วมหุ้นกับเราล่ะ” ชัชฎาย้อนถามทันที...
“ผมก็พูดไม่ออกครับแม่ ก็คนเขาจะไปปฏิบัติธรรม แม่จะให้ผมไปพูดเรื่องนี้ได้ยังไงล่ะครับ”
ชัชฎาไม่พอใจ
“แกนี่อ่อนจริงๆ เป็นนักธุรกิจได้ไง”
“เราไม่ได้ทำธุรกิจกับคุณนับดาวนะครับ เธอเป็นแฟนผม อย่าลืมสิครับ”
“แฟน...ถ้าเค้ามีปัญหาเรื่องการเงิน เขาก็ไม่ใช่แฟนเธอหรอกนะ”
ชนะชัยเงียบไป จะเดินออกไป แต่ก็เปลี่ยนใจ เดินกลับเข้ามาใหม่
“แม่ครับ ผมขอร้องล่ะครับ แม่อย่ายุ่งอีกได้มั้ย ครั้งที่แล้วเพราะผมเชื่อแม่ผมถึงเสียคนที่ผมรักไป ครั้งนี้แม่อย่าทำแบบนั้นอีกเลยนะครับ”
ชัชฎาอึ้งไป มองหน้า ชนะชัยหลบตา เดินออกจากห้องไป ชัชฎามองตาม สีหน้าเคร่งเครียด
นับดาวลงจากรถ เดินตรงไปที่ประตูบ้าน วันนี้นับดาวถักเปียสองข้าง ลากกระเป๋าเดินทางสองใบ รู้สึกตัวเองเป็นพจมานยังไงก็ไม่รู้ ที่ตัวเองจะต้องมาอยู่บ้านปราบเป็นเดือนๆ ปราบนั่งดูอยู่ โดยนับดาวไม่ทันเห็น
“ทำอะไรของคุณน่ะ”
นับดาวสะดุ้ง
“ไม่ได้ทำอะไรหรอก ยืนทำใจน่ะค่ะ ต้องเจอกับคนที่ไม่คุ้นหน้า งานที่ไม่เคยทำ ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”
ปราบยิ้มอ่อนโยน
“ไม่ต้องเครียดหรอกครับ ผู้คนที่นี่ไม่มีใครมีปัญหาอะไร ยิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดีทุกวัน ยกเว้นวันหวยออก อาจจะยิ้มฝืดๆกันบ้าง...งานก็สบายๆ ไม่มีอะไรต้องเสี่ยง”
“แถมยังได้สัมผัสกับธรรมชาติด้วย ดีจังนะคะ”
“ถูกต้องครับ ... เอากระเป๋าวางไว้หน้าบ้านก็ได้ เดี๋ยวป้ายวงเอาไปเก็บให้เอง คุณมากับผมเถอะครับ งานที่นี่สนุกมาก พวกสัตว์ก็น่ารัก อยู่กับธรรมชาติรับรองไม่เครียด ไม่เป็นออฟฟิศซินโดรม ไม่ต้องเจอรถติด มีแต่ทุ่งกว้างๆกับอากาศบริสุทธิ์ มาเถอะครับ เริ่มงานกันเลย”
“ได้เลยค่ะเจ้านาย”
นับดาวยิ้มสดใส
ปราบพานับดาวมาข้างๆตัวบ้าน ในมือเขามีไม้กวาดกับที่โกย นับดาวยกนิ้วอุดจมูก ขณะที่ปราบยืนเฉยๆ ตรงหน้าทั้งสองคืออึวัวเหลวเป๋วกองใหญ่
“เมื่อคืนมีวัวตัวหนึ่งมันหลุดออกมา ไม่รู้ไปกินอะไรเข้า ท้องเสียอึแตกตลอดคืน”
“ยี้”
“ที่แย่คือมันเดินไปทั่วไร่ สาดอึกระจัดกระจายเละเทะมาก เอ้า งานแรก เก็บอึมันให้หมด”
นับดาวอ้าปากค้าง
“นายปราบ ให้ฉันทำงานอะไรอย่างนี้เนี่ย นี่ ฉัน นับดาวว้าวแซ่บนะ ให้เกียรติกันมั่งได้มั้ย”
“คุณนับดาวว้าวแซ่บ ไม่ทราบคุณรีดนมวัวเป็นมั้ย”
“ไม่เป็น”
“ฉีดยาให้ไก่เป็นมั้ย”
“ไม่เป็น”
“แบกปุ๋ยถุงละสิบโลไหวมั้ย”
“ไม่ไหว”
“แล้วคุณจะทำอะไรถ้าไม่เก็บอึวัว นี่คืองานที่ง่ายที่สุดในไร่นี้แล้ว ไม่ต้องใช้ทักษะอะไรทั้งนั้น แค่เดินไป ก้มหน้ามองพื้น แยกให้ออกระหว่างอึวัวกับเท้าคุณเอง อันไหนเป็นอึวัวก็โกยใส่ไอ้นี่ ส่วนเท้าคุณก็ปล่อยให้มันเดินต่อไป เข้าใจแล้วนะ เอ้า”
ปราบยื่นไม้กวาดกับที่โกยให้ นับดาวจ้องหน้าปราบ รับไม้กวาดกับที่โกยมา ปราบทำหน้าเรียบเฉย รีบหันหน้ามา เดินไปที่รถ กลั้นยิ้มไม่อยู่ จนเกือบจะหัวเราะ นับดาวมองตามปราบที่ขับรถออกไป
“ฉันจะจำความแค้นครั้งนี้ไว้ หวังว่านายจะไม่ลืมเรื่องนี้นะ”
นับดาวหันมาทำใจ แล้วกวาดขี้วัวเละๆเข้าที่โกยจนเต็ม
“ทุเรศจริงๆเล้ย นี่ ฉันต้องแบกขี้เหม็นๆนี่ไปตลอดรึไงเนี่ย”
นับดาวมองไปรอบๆ เห็นไม่มีใคร ก็เทขี้วัวใส่หมกๆแถวไม้พุ่มไม้ดอกแถวนั้น นับดาวเดินตามรอยขี้วัวต่อไป
นับดาวเก็บอึวัวเสร็จแล้ว นั่งยองๆล้างมือตรงก๊อกน้ำริมทาง ปราบขับรถเอทีวีมาจอดใกล้ๆ
“หิวรึยังครับ”
นับดาวส่ายหน้า
“กินไม่ลง เหม็นอึมันจนจะอาเจียนอยู่แล้ว กลิ่นติดมือด้วยเนี่ย”
ปราบหัวเราะ
“ไม่ต้องล้างให้สะอาดนักหรอก เดี๋ยวจะพาไปให้อาหารสัตว์”
“งั้นยิ่งต้องล้างสิ เดี๋ยวสัตว์ได้กลิ่นอึ มันจะกินไม่ลง”
“สัตว์มันไม่เรื่องมากเหมือนคนหรอก แล้วไอ้ตัวนี้ยิ่งได้กลิ่นแบบนี้ มันยิ่งเจริญอาหาร”
นับดาวงงปราบพูดเรื่องอะไร
นับดาวใส่บู๊ตยาง ถุงมือยาง หน้าเหยสุดๆ ข้างหน้าเธอคือบ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่ มีลูกกรงตาข่ายล้อม ในบ่อมีตัวเงินตัวทองหลายสิบตัวเดินไปเดินมา บางตัวก็นอนเล่น ปราบเดินถือถังสังกะสีมา นับดาวได้กลิ่นแล้วหน้ายู่
“อะไรอ่ะ”
“พวกเศษเนื้อเน่าๆน่ะ พวกนี้ชอบ เมนูห้าดาวเลยล่ะ”
นับดาวขย้อนจะอ้วก แต่ฝืนกลั้นเอาไว้ ปราบยื่นถังให้ นับดาวรับไป
“เดินไป หยิบเนื้อโยนให้ทั่วๆบ่อ อย่าโยนกระจุกที่เดียวนะ เดี๋ยวมันจะแย่งแล้วกัดกัน”
“อะไรนะ ให้ฉันเดินเข้าไปในนั้นเนี่ยนะ ฝันไปเหอะ ไม่มีทาง”
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ทำไปเหอะ นี่จะเป็นงานประจำของคุณด้วย นอกจากวันไหนมีวัวท้องเสียอีกคุณไปเก็บอึก่อน แล้วค่อยมาให้อาหารพวกนี้”
ปราบเปิดประตูให้ นับดาวมองเข้าไปในบ่อ ตัวเงินตัวทองมองกลับมา แลบลิ้นแผล็บๆ
“ไม่ ฉันไม่เข้าไปเด็ดขาด”
“ถ้าไม่เข้าไปก็ถือว่าสัญญาของเราเป็นโมฆะนะครับ”
นับดาวอึ้งไป ยืนมองๆ ไม่กล้าเข้าไป”
“งั้นผมทำเอง”
ปราบเดินมาแย่งถังเนื้อเน่าไป นับดาวกระชากกลับ
“ฉันทำได้”
นับดาวยืนเกร็งไปทั้งตัว ปราบผลักนับดาว นับดาวร้องกรี๊ด ถลาเข้าไปในบ่อท่ามกลางตัวเงินตัวทอง ที่พวกมันได้กลิ่นอาหารก็วิ่งสี่ขาตั่บๆๆเข้ามา นับดาวร้องวี้ด วิ่งกลับมา ปราบรีบปิดประตูขังนับดาวไว้
“โยนเนื้อออกไปสิ ไม่งั้นมันจะปีนมากินบนตัวคุณนะ”
นับดาวกลั้นใจ หลับหูหลับตาโยนเศษเนื้อออกไป ฝูงตัวเงินตัวทอง กรูกันไปตามเนื้อ นับดาวโยนเศษเนื้อออกไปจนหมดถัง ร้องไห้โฮ ปราบหัวเราะ
ค่ำคืนนั้น นับดาวนั่งมองหน้ากับน้อยหน่า ที่นั่งอยู่บนเตียง หน้านับดาวดูเหนื่อยมาก
“พ่อบอกว่าให้คุณมาเป็นพี่เลี้ยงฉัน”
“ใช่”
“ถึงหนูจะปลื้มคุณ แต่ยังไงหนูก็ไม่ได้ต้องการพี่เลี้ยง”
“เยี่ยมเลย ฉันก็ไม่อยากเป็นพี่เลี้ยงเธอเท่าไหร่นักหรอก โดยเฉพาะวันนี้ ฉันเหนื่อยมาก”
น้อยหน่าจ้องหน้านับดาว
“เอางี้ ถึงเวลา ฉันก็จะเข้ามานั่งในห้องเธอ เธออยากทำอะไรก็ทำไป ฉันไม่ยุ่ง พอหมดเวลาฉันก็จะออกไป ทำแบบนี้พ่อเธอจะได้ไม่มายุ่งกับเรา โอเคมั้ย”
“โอเค”
“งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อน ฉันง่วงนอนสุดๆแล้ว”
นับดาวเดินโผเผออกไป
นับดาวเดินมาล้มตัวนอนแผ่บนเตียง ทำท่าจะหลับ แต่แล้วก็ทำจมูกฟุดฟิด
“กลิ่นขี้วัวจากไหนอีกเนี่ย”
นับดาวดมมือตัวเอง ไม่มีกลิ่น ดมตามเนื้อตามตัวก็ไม่มีกลิ่น เธอลุกขึ้นจากเตียง พบว่ากลิ่นมาจากนอกหน้าต่าง นับดาวเปิดหน้าต่างมองออกไป พบว่าตรงกับที่ที่เธอหมกขี้วัวไว้เมื่อตอนเช้านั่นเอง
“นี่มันที่ที่ฉันหมกขี้วัวไว้นี่นา โธ่ ไอ้วัวบ้า ทำไมต้องมาขี้แถวนี้ด้วยนะ...ฉันเกลียดแก...ฉันเกลียดขี้แก...”
นับดาวแทบกรี๊ด ตัดสินใจออกไปกวาดขี้วัว เอาขี้วัวไปทิ้ง เก็บไม้กวาด กำลังเดินกลับเข้าบ้าน ได้ยินเสียงคนคุยกัน นับดาวยื่นหน้าไปดู เห็นปราบคุยกับปกป้อง
“แกเล่นแรงไปรึเปล่าวะ ฉันเห็นแล้วสงสารคุณดาวว่ะ” ปกป้องถาม
“ผมก็สงสารครับ แต่พอนึกถึงสิ่งที่เขาทำไว้ ก็สะใจดีเหมือนกัน”
“ไอ้ปราบ ยังไงเราก็ลูกผู้ชาย อย่าไปผูกใจเจ็บผู้หญิงมากนักสิวะ”
“แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ อาอย่าใจอ่อนนักเลย ยังเล่นได้อีก”
นับดาวมองซ้ายมองขวา หยิบก้อนหิน ตั้งท่าจะเขวี้ยง
“เดี๋ยวเขาทนไม่ไหว วิ่งหนีกลับบ้าน แกจะไม่มีคนช่วยดูยัยน้อยหน่านะ”
“ผู้หญิงคนนี้งกกว่าที่อาคิดครับ เขาไม่หนีกลับบ้านง่ายๆหรอก...อีกอย่าง ผมเชื่อว่าต่อให้เขาเป็นผู้ดีตีนแดงแค่ไหนก็ตาม ยังไงซะในตัวเขาก็ต้องมีเลือดของพ่อเขาอยู่...พูดง่ายๆนับดาวเขาก็เป็นลูกสาวชาวไร่นะครับ”
นับดาวอึ้งไป มือที่จะเขวี้ยงก้อนดินลดลงข้างตัว
“แปลว่าถ้าเขาอยู่ได้สามเดือน แกจะขายที่ให้เขาตามสัญญาเหรอ”
“ไม่มีทาง ผมไม่ปล่อยให้เขาอยู่ถึงสามเดือนหรอกครับ ที่ของนายนิ่งมีความหมายแค่ไหนอาก็รู้ ผมไม่มีวันขายหรอกครับ”
นับดาวตาโต ปรี๊ดขึ้นมาจะออกไปโวย แต่ห้ามตัวเองไว้ทัน มองไปที่ปราบ
“ได้ นายปราบ...แล้วเราจะเห็นกัน”
นับดาวถดตัวถอยกลับเข้าไปในความมืด
อ่านต่อหน้า 4
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 4 (ต่อ)
เวลาขณะนั้นตีสี่ครึ่ง...นับดาวนอนหลับอยู่ เสียงเคาะประตูห้องดังลั่น
“ตื่นๆๆๆ ตื่นได้แล้ว”
นับดาวงัวเงียเอาหมอนอุดหู ปราบอยู่ตรงประตู เคาะประตูรัวดัง
“ตื่นๆๆได้เวลาทำงานแล้ว”
นับดาวหยิบหนังสือบนโต๊ะหัวเตียงเขวี้ยงไปที่ประตู หนังสือกระแทกประตูปั้ง ปราบสะดุ้ง
“อะไรกันนักกันหนา ฉันจะนอนต่อ ไม่พอใจก็เข้ามาฆ่ากันเลย”
ปราบเงียบไป นับดาวถอนใจ นอนต่ออย่างเป็นสุข โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ปราบปีนเก้าอี้ ยืนตรงหน้าต่าง มองเข้ามาในห้องแงะบานมุ้งลวด ยื่นสายยางเข้ามาแล้วเปิดหัวฉีดตรงปลายสายยาง น้ำฉีดพุ่งเข้าเต็มหน้า นับดาวร้องวี้ด ปราบปิดหัวฉีด เธอหันไปจ้องหน้าเขา
“ตอนนี้คุณเป็นคนงานในไร่ปรีดาแล้ว คนงานในไร่ต้องตื่นขึ้นมาทำงานแต่เช้ามืดแบบนี้ทุกคน ไม่มียกเว้นใครทั้งนั้น”
นับดาวเอาแต่จ้องหน้าราวจะกินเลือดกินเนื้อ ปราบไม่สนใจ
“รีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว วันนี้มีงานอีกเพียบ”
ปราบลงไป หายไปจากหน้าต่าง
“ดีนะที่ฉันไม่เอาปืนมาด้วย ไม่งั้นนายตายแน่ๆ”
ปราบจอดรถที่ริมถนน มีน้อยหน่านั่งอยู่ข้างๆ นับดาวลงจากรถ ปราบส่งกระดาษมีรายการของให้
“ซื้อของตามรายการนั่นนะ เดี๋ยวผมไปส่งน้อยหน่าเสร็จแล้วจะกลับมารับ”
“ตกลงจะให้ฉันเป็นคนงานหรือเป็นแจ๋วเนี่ย”
“แล้วแต่คุณละกัน อยากเรียกตัวเองว่ายังไงก็ตามใจ”
ปราบขับรถออกไป นับดาวเชิด
“เชอะ” หญิงสาวก้มดูรายการของ “ผงซักฟอก แปรงล้างห้องน้ำ ถุงมือ...” รายการยังมีอีกแต่เธอขี้เกียจอ่าน “อะไรของเขาเนี่ย”
นับดาวเดินเข้าไปในตลาด
นับดาวเหงื่อซ่ก เดินถือถุงหลายใบดูเป็นยัยเพิ้ง เดินก้มหน้าดูรายการของไปด้วย ไม่ทันมองทาง จนถึงหัวมุม ชนกับใครอีกคนที่เดินมาจากอีกด้าน จนล้มลงไปด้วยกัน นับดาวล้มลงทับไปบนตัวเพชรสี ใบหน้าพุ่งเข้าหาหน้าเพชรสี ริมฝีปากแนบชิด นับดาวตะลึง
“เพชรสี”
“นับดาว”
ทั้งสองฝ่ายรีบลุกขึ้นมา แยกจากกัน เช็ดปากกันพัลวัน เพชรสีไม่พอใจมาก
“เดินประสาอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือ”
นับดาวไม่สนใจข้างของที่หล่นกระจัดกระจาย หันมาโต้เพชรสี
“ก็เดินภาษาเดียวกับคุณนั่นแหละ...ก็เห็นๆอยู่ว่าต่างฝ่ายต่างเดินมาชนกันเอง ยังไม่ทันไรก็ด่าก่อนเลยนะ ทำไม คุณต้องเป็นฝ่ายถูกตลอดรึไง”
เพชรสีหน้าบึ้ง แม่ค้าแถวนั้นหันดูด้วยความสนใจ
“ฉันเดินมาตามปกติของฉัน เธอนั่นแหละ เดินมาชนฉันก่อน ยังจะมาเหมาว่าฉันซุ่มซ่าม เหมือนกับเธออีกเหรอ ไม่ยอมผิดคนเดียวใช่ไหม เพราะมีคนคิดแย่ๆแบบเธออยู่น่ะสิ ประเทศชาติถึงไม่เจริญ”
แม่ค้าส่วนหนึ่งร้องเออๆ พยักหน้าเห็นด้วย นับดาวเถียงอย่างไม่ยอม
“ถ้าฉันผิดฉันก็ยอมรับว่าผิดและพร้อมจะขอโทษ ส่วนคุณน่ะพวกผิดไม่เป็น ปากแข็ง เปลี่ยนประเด็น แถไปเรื่อยๆ ใครกันแน่ที่ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ ฉันว่าคนอย่างคุณมากกว่า”
แม่ค้าอีกส่วนร้องใช่ๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพชรสีมองเหยียด
“จะให้ฉันขอโทษคนอย่างเธอน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ เธอคิดว่าเธอเป็นใคร ถือว่าพวกไฮโซบ้านรวย มีอิทธิพล แล้วจะมาทำเบ่งเป็นอภิสิทธิชนเหรอไง ถึงพวกเราจะจน แต่พวกเราก็มีศักดิ์ศรี ไม่ให้ใครข่มเหงหรอก ใช่มั้ยพวกเรา”
แม่ค้าฝ่ายเพชรสีเฮ
“ใครพวกเธอ อย่ามาทำเนียนหน่อยเลยย่ะ” นับดาวกวาดตามองพวกแม่ค้า “ความจริงบ้านเขารวยปลิ้น รวยกว่าบ้านเราทุกคนรวมกันซะอีก ปกติไม่เห็นหัวใครหรอก พอทะเลาะกับฉัน จะหาแนวร่วม ทีงี้ทำมาเป็นพวกคนจน พี่ๆพวกนี้เขาจะจนแต่ไม่โง่หรอกย่ะ”
คราวนี้แม่ค้าทั้งสองฝ่ายเฮ เพชรสีหน้าเจื่อน
“ไม่จริง ใครๆก็รู้ว่าฉันเกิดและโตที่นี่ เป็นคนที่นี่ ยัยนี่สิ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ จะมา สร้างความแตกแยกให้พวกเรา พวกเราอย่าไปเชื่อมัน”
“เธอเกิดที่นี่โตที่นี่แล้วไง เวลาคนที่นี่เขาลำบากเธอเคยลำบากกับเขามั้ย เวลาที่นี่น้ำท่วม เธออยู่ที่นี่หรือเปล่า หรือหนีน้ำไปเที่ยวที่อื่น ตอบได้มั้ย”
เพชรสีอึ้ง ขณะที่แม่ค้าเฮสะใจ ปรบมือเกรียว นับดาวหันไปยิ้ม ยกมือขอเสียงเฮจากแม่ค้าดังๆ แม่ค้าเฮให้ นับดาวสะใจ แต่พอหันกลับมาก็เจอเพชรสีต่อยหน้า นับดาวร่วงลงไปกอง
“เป็นไงล่ะยัยไฮโซ”
นับดาวมึนตึ้บ มองมา เห็นเพชรสีตั้งการ์ดแบบเป็นมวยรออยู่แล้ว แม่ค้าคนหนึ่งยุ
“สู้เค้าเว้ยอีหนู”
เพชรสีจ้องหน้า แม่ค้าคนนั้นก้มหน้าเงียบ นับดาวลุกขึ้นมา
“ทุเรศ ป่าเถื่อน”
นับดาวเห็นเพชรสีตั้งการ์ด ก็ตั้งการ์ดบ้างแบบเก้ๆกังๆ เพชรสีเข้ามาต่อยอีกหมัด นับดาวหน้าหงายลงไปกอง
“จำไว้ใส่หัวสมองไฮโซของเธอนะว่าที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพ อย่ามาทำปากดีอวดเก่ง โดยเฉพาะกับฉัน”
เพชรสีมองซ้ายขวา เห็นขันใส่น้ำล้างมือที่แผงปลาก็ยกมาราดหน้านับดาว
“ไม่งั้นจะโดนหนักกว่านี้”
เพชรสีหัวเราะเบาๆ แล้วเดินจากไป แม่ค้ารีบมาดูนับดาว
“เป็นไงบ้างหนู”
“เจ็บค่ะ...อูย ฉันจะตายมั้ยเนี่ย”
“แค่โดนต่อยเอง ไม่ถึงตายหรอกค่ะ ทีหลังก็อย่ายุ่งกับยัยเพชรสีอีกเลยนะคะ พ่อเขาก็เป็นมาเฟีย คนแถวนี้ไม่มีใครกล้าหือกับเขาหรอก เจอหน้าก็หลบๆมัน คิดซะว่าเจอหมาบ้าละกัน”
นับดาวแค่นหัวเราะ ไม่พูดอะไร
ปราบจอดรถรออยู่ สักครู่นับดาวก็เดินมาเปิดประตูหลัง ใส่ของที่ซื้อมา แล้วเดินมาขึ้นรถนั่งข้างๆ ปราบติดเครื่อง ถามโดยไม่ได้สังเกตนับดาวมากนัก
“ซื้อของได้ครบมั้ย”
“ครบ”
“ดี”
ปราบมองกระจกข้าง แล้วออกรถ แต่พอหันมาเห็นหน้านับดาว ปราบเหยียบเบรกเอี๊ยด นับดาวร้องว้าย หน้าทิ่ม ปราบหันมาดูหน้า
“เกิดอะไรขึ้น หน้าคุณไปโดนอะไรมาเนี่ย”
“นี่ เบรกดีๆไม่ได้เหรอไง”
ปราบจับหน้านับดาวพลิกหันดูอีกด้าน เห็นรอยเขียวช้ำ นับดาวร้องลั่น ปัดมือเขาออก
“ใครต่อยคุณ”
“ฉันหกล้ม”
“โกหก นี่มันรอยโดนต่อยชัดๆ”
“อ้อ แค่ดูรอยก็บอกได้แล้วเหรอ คนแถวนี้เขาถนัดเรื่องชกต่อยกันมากสินะ”
“บอกผมมาว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันเป็นคนงาน เป็นแจ๋ว คุณสั่งงานมา ฉันทำให้เรียบร้อย จบ ที่เหลือเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ไม่จำเป็นต้องบอกคุณ”
“ผมช่วยคุณได้นะ”
“ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็น”
ปราบมองหน้านับดาว แล้วก็หันไป เข้าเกียร์ ขับรถต่อ ก่อนจะหันมามองหญิงสาวแว่บหนึ่ง แต่เธอยังหน้านิ่ง เขาเลยได้แต่ขับรถต่อไป
เพชรสีนั่งเล่นกับหมาอยู่ เสี่ยไฝเดินเข้ามา
“มีคนมาบอกว่าลูกไปมีเรื่องที่ตลาดอีกแล้วเหรอ”
“วุ้ย ข่าวไวกันจัง...อย่าเรียกว่ามีเรื่องเลยค่ะ เรียกว่าสั่งสอนคนบางคนดีกว่าค่ะ”
“ทำไม มันปากเสียเหรอ”
“มาก”
เสี่ยไฝหัวเราะ
“พ่ออยากเตือนลูกไว้หน่อยนะ ลูกน่ะโตแล้ว จะทำอะไรน่ะต้องสุขุมรอบคอบหน่อย...คราวหลังน่ะ หัดพาลูกน้องพ่อไปเป็นบอดี้การ์ดด้วย ถ้าอีกฝ่ายมันมีคนมาช่วยรุม ลูกจะสู้ไม่ได้ เข้าใจไหม”
“ไม่ใช่ไม่คิดค่ะ แต่ว่าที่นี่น่ะที่ไหน ใครจะกล้ากับหนูล่ะคะ”
“ก็ไอ้คนที่ลูกสั่งสอนไปนั่นไง”
“ยัยไฮโซนั่นมันเพิ่งมาจากกรุงเทพ ไม่รู้เรื่องอะไร ต้องอบรมกันซะหน่อย เดี๋ยวอีกหน่อยมาอยู่ที่นี่จะได้ทำตัวได้ถูก...มีคนมาบอกว่าคุณปราบอาจจะขายที่ให้มัน”
“อะไรนะ ที่แปลงไหน”
“ก็ที่ไร่เขาน่ะค่ะ แบ่งให้ยัยนี่ครึ่งนึง”
เสี่ยไฝหน้าบึ้งตึงทันที
นับดาวนั่งอยู่หน้ากระจก พยายามใช้เครื่องสำอางค์โบ๊ะ ปิดรอยเขียวช้ำ ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงเคาะประตูดังชึ้น นับดาวลุกไปเปิดประตู เจอ ปราบยื่นไข่ต้มฟองหนึ่งให้
“ยังไม่หิว”
“ไม่ได้ให้กิน เอาไปคลึงตรงเบ้าตา มันจะทำให้ดีขึ้น”
“ขอบคุณ”
ปราบยื่นน้ำมันให้อีกขวด
“เอาน้ำมันนี่ทาก่อน ทาเบาๆนะ”
นับดาวเอาดมดู
“เหม็น แหวะ ไม่เอาอ่ะ เอาคืนไปเหอะ”
“ก็มันของดี...ยืนเฉยๆ”
ปราบเปิดฝาขวดน้ำมันออก นับดาวหน้าตื่น
“ทำอะไร บอกว่าไม่เอา”
ปราบเทน้ำมันใส่มือ
“เหม็นไม่เท่าไหร่หรอก แต่มันช่วยให้หายเร็วขึ้น ไม่งั้นตาคุณจะเขียวไปหลายวันเลยนะ”
นับดาวยืนนิ่ง ยอมให้ปราบใช้น้ำมันนวดให้เบาๆ
“เสร็จแล้ว ทาอีก 2-3 วัน”
ปราบยัดน้ำมันใส่มือนับดาว ป้ายวงเดินมาหา
“คุณปราบคะ เสี่ยไฝมาพบค่ะ”
ปราบเดินออกไป ป้ายวงเห็นหน้านับดาว
“ว้าย คุณนับดาว ไปทำอะไรมาคะ”
นับดาวฝืนยิ้ม
“เรื่องมันยาวน่ะค่ะ วันหลังค่อยเล่าให้ฟังแล้วกันนะคะ”
ปราบออกมา เจอเสี่ยไฝกับบอดี้การ์ด
“สวัสดีครับ”
“สวัสดี รู้สึกผมจะเจอคุณเร็วกว่าที่คิดนะ”
“นั่นสิครับ”
เสี่ยไฝเงียบไปครู่หนึ่ง
“ผมได้ยินมาว่าคุณจะขายที่คุณให้คนอื่น...ถูกต้องไหม”
“จะว่าถูกก็ถูก จะว่าผิดก็ผิด”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับผมนะปราบ...ครั้งที่แล้ว ผมขอซื้อ แต่คุณยืนยันไม่ขาย แล้วก็รับปาก ผมด้วยว่าจะไม่ขายให้ใคร จำได้ไหม”
“ที่ผมจำได้คือผมยืนยันว่าผมไม่ขาย แต่ผมจำไม่ได้ว่าเคยรับปากคุณไว้เมื่อไหร่”
“เหมือนกันนั่นแหละ คุณจะรับปากหรือไม่ก็ตาม ถ้าคุณจะขายคุณต้องขายให้ผมคนเดียว ไม่อย่างนั้นผมจะถือว่าคุณหักหน้าผม เพราะใครๆเขาก็รู้ว่าผมอยากได้ที่ผืนนี้มาก ที่คุณยังทำไร่อยู่ได้เพราะผมยังให้เกียรติคุณและพ่อของคุณ เข้าใจไหม”
“ที่ของผม ผมจะขายให้ใครก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้”
“แปลว่าคุณจะขายที่ให้คนอื่นใช่ไหม”
“ผมบอกแล้วไง ว่าใช่และไม่ใช่”
“ผมเบื่อคนอย่างคุณ พูดจาสำบัดสำนวนลีลาเยอะเหลือเกิน ผมชอบพูดตรงๆง่ายๆ ฟังทีเดียวก็เข้าใจ ผมจะลองพูดแบบของผมให้คุณฟังนะ”
เสี่ยไฝจ้องหน้าปราบ
“ถ้าคุณขายที่ให้คนอื่น คุณตาย”
ปราบไม่พูดอะไร เสี่ยไฝเดินกลับออกไป บอดี้การ์ดตามไป
ปราบคุยกับปกป้องอย่างกังวลใจอยู่ที่ระเบียงบ้าน
“มันคงรู้เรื่องที่แกตกลงกับคุณนับดาวน่ะสิ ก็ไม่แปลกหรอก ที่นี่มันถิ่นมัน ใครจะฉี่ใครจะตดมันรู้หมดแหละ”
“ผมกลัวเสี่ยไฝเข้าใจผิดแล้วคุณนับดาวจะเดือดร้อน”
“ไอ้เสี่ยไฝนี่ท่าทางมันอยากได้ที่ผืนนี้จริงๆนะ...อาก็นึกไม่ถึงว่ามันยังสนใจอยู่อีก”
“จะใครหน้าไหนผมก็ไม่ขายให้ทั้งนั้นแหละครับ”
ในอดีต...ท่ามกลางแดดเปรี้ยง ร้อนระอุ ปรีดากับคนงานกำลังช่วยกันขุดดินอยู่ ปราบกับแม่อยู่ในร่ม
“นี่เป็นไร่อานิ่งไม่ใช่เหรอครับ”
“ตอนนี้อานิ่งไม่อยู่ เขาฝากเราดูแล”
“งั้นพ่อก็เป็นเจ้าของไร่ไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมต้องไปขุดดินเองด้วยล่ะครับแม่”
“ถึงจะเป็นเจ้าของ แต่ก็ต้องทำเองเหมือนกัน เราเป็นชาวไร่ เราไม่ใช่นายทุน”
ปราบนั่งดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็วิ่งออกไป
“ปราบ จะออกไปไหน แดดมันร้อนนะลูก”
ปราบวิ่งไปหยิบจอบอันหนึ่ง แล้ววิ่งไปช่วยพ่อขุดดิน ปรีดาหันมาเห็น หัวเราะชอบใจ ลูบศีรษะลูกชาย แม่ยิ้มทั้งภูมิใจทั้งเป็นห่วง
ฝนตกหนัก บันไดไม้ไผ่ยาวถูกวางพาดขึ้นไปบนหลังคาโรงเลี้ยงไก่ ข้างบนหลังคา ปรีดากับปกป้องกำลังช่วยกันซ่อมหลังคาอยู่ ปราบอยู่กับแม่ใต้กันสาดแหงนหน้ามอง
“แม่ครับ ทำไมพ่อไม่รอให้ฝนหยุดก่อนล่ะครับ”
“ถ้าข้างในชื้นแฉะ ไก่จะอ่อนแอ ติดโรคง่าย แล้วจะเป็นโรคติดต่อตายกันยกเล้าได้”
ปราบ พยักหน้าเข้าใจ แม่ก็ร้องกรี๊ดเมื่อเห็นปรีดาลื่นหล่นลงมาจากหลังคา แต่มือคว้ารางน้ำฝนไว้ทัน ร่างห้อยต่องแต่ง กำลังจะหล่น ปราบรีบวิ่งไปหยิบบันไดไม้ไผ่มา จะเอามาวางพาดให้พ่อ แต่เกิดสะดุดหกล้ม
ปรีดาจับไม่ไหว หล่นลงมากระแทกพื้น
บรรยากาศหน้าหนาว...หมอกลงจัด คลุมทั่วบริเวณสวยงามมาก ปราบกับแม่และพ่อยืนชมวิวอยู่ด้วยกัน ปรีดาใส่เฝือก เดินโขยกเขยก แต่สีหน้าแววตายังแจ่มใสอยู่
“ทำไมเราต้องช่วยอานิ่งดูแลที่เขาด้วยล่ะครับ”
“อานิ่งคือเพื่อนของพ่อ เขาไว้ใจพ่อมาก พ่อจะให้ดวงวิญญาณของเขาผิดหวังไม่ได้”
“แล้วเขาไม่มีลูกหลานเหรอครับ”
“มี ถ้าลูกหลานเขาอยากทำไร่พ่อก็ให้เขาทำ แต่ถ้าจะเอาไปทำอย่างอื่น อานิ่งเขาไม่ยอม ปราบจำให้ดีนะ ถ้าวันไหนพ่อไม่อยู่ ปราบต้องดูแลไร่ของอานิ่งแทนพ่อด้วย เข้าใจไหม”
“ครับพ่อ”
ปราบหน้าตามุ่งมั่นเมื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมา
“กว่าที่ผืนดินผืนนี้จะอุดมสมบูรณ์แบบนี้ ไม่ได้เสกมานะครับ เราต้องแลกด้วยอะไรบ้างอาก็รู้ดี ผมไม่มีวันขายที่ของอานิ่งไปหรอกครับ...นอกเสียจากว่า...”
“นอกจากว่าอะไร”
“นับดาวเขาอยากเป็นสาวชาวไร่”
ปราบพูดจบ ปกป้องกับปราบก็หัวเราะก๊ากด้วยความรู้สึกว่า...เป็นไปไม่ได้
ปราบพานับดาวมาที่คอกวัวตัวหนึ่ง
“เอ้าขอแนะนำ พี่กะทิ”
“สวัสดีค่ะพี่กะทิ...น่ารักดีเนอะ”
นับดาวมองวัวตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ ลูบหน้ามันเบาๆด้วยความเอ็นดู
“ไอ้นี่แหละตัว ที่ท้องเสียที่ทำให้คุณต้องไล่เก็บอึไปทั่วไร่น่ะ”
“หา แกเองเหรอไอ้ตัวแสบ คราวหน้าจะกินอะไรดูให้มันดีๆหน่อยได้มั้ย ไล่เก็บขี้แกน่ะมันเหนื่อยนะยะ”
นับดาวทุบหัววัวเบาๆ ปราบอธิบายต่อ
“ทีนี้ สำหรับขั้นตอนการรักษาวัวท้องเสียเนี่ย หลังจากมันหายเป็นปกติแล้ว เราก็ต้องล้างคอกมันให้สะอาดด้วย ข่าวดีคือพี่กะทิมันหายเป็นปกติแล้ว ดังนั้น...”
ปราบส่งยิ้มให้ นับดาวเหล่มอง
“อย่าบอกนะว่า...”
“เดี๋ยวผมจะพาพี่กะทิออกไป เสร็จแล้วเชิญคุณตามสบายเลยนะครับ”
ปราบเข้าไปปลดเชือก จูงพี่กะทิออกไป นับดาวมองเข้าไปในคอกแล้วแทบเป็นลม ทั้งอึวัวทั้งฉี่วัวเหม็นคลุ้งเขลอะน่าดู...นับดาวทำงานไปบ่นไป คนงานยืนแถวนั้นดูนับดาวขัดล้างคอกวัว คนงานกระซิบกัน บางคนยิ้มและหัวเราะ เจิดเดินเข้ามาหานับดาว
“จะให้ผมช่วยไหมครับ”
“เอาสิคะ ขอบคุณมากนะคะพี่เจอราร์ด”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ว่า...ผมช่วยไม่ได้หรอกครับ งานใครงานมันครับ”
เจิดหัวเราะก๊าก พวกคนงานฮาไปด้วย นับดาวได้แต่กัดฟัน ก้มหน้าล้างคอกวัวต่อ
นับดาวเหงื่อท่วมตัว ผมฟู หอบแฮ่ก นั่งดูปราบจูงวัวเดินกลับเข้าคอก
“ไง พี่กะทิ คอกใหม่สะอาดเอี่ยมเลยนะ”
นับดาวชี้หน้าวัว
“แก...ไอ้กะทิ...ถ้าแกขี้เลอะคอกอีกฉันจะฆ่าแก”
ปราบเดินมาหานับดาว
“เหนื่อยมั้ย”
“เหนื่อยสิ ถามได้”
“นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนก็ได้”
“จริงๆก็ดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบคุณ”
“ถ้าหายเหนื่อยแล้วก็อาบน้ำให้มันด้วย นู่น อุปกรณ์อยู่นู่น”
ปราบชี้ไปที่มุมหนึ่ง มีกระป๋องน้ำ ขวดยา แชมพู แปรง ฯลฯ ครบ นับดาวอ้าปากค้าง เมื่อนับดาวอาบน้ำให้พี่กะทิ ปราบแอบดูอยู่ ยิ้มสะใจ
ปราบทำความสะอาดเครื่องอุปกรณ์ปศุสัตว์ต่างๆ น้อยหน่าวิ่งหน้าตาตื่นมาหา
“พ่อคะพ่อ”
“มีอะไรยัยหน่าเรียกซะตกอกตกใจ”
“พี่นับดาวแย่แล้วค่ะ”
ปราบวางมือรีบ ตามน้อยหน่าเข้ามาในห้อง เห็นว่านับดาวนอนหลับเหงื่อออกเต็มหน้า
“ตอนแรกเขาบอกจะขึ้นไปหาหน่าที่ห้อง หน่ารออยู่ ไม่เห็นเขา เลยลงมาดู...แล้วก็เจอเขาสภาพนี้แหละค่ะ”
ปราบเอาหลังมือแตะหน้าผาก แล้วแตะที่ซอกคอ
“ไข้ขึ้นสูงมาก”
ปราบรู้สึกหนักใจขึ้นมา เขาอุ้มนับดาวออกมา น้อยหน่าวิ่งมาเปิดประตูรถให้ นับดาวลืมตา สะลึมสะลือ มองปราบ พูดจาอู้อี้แผ่วเบาฟังแทบไม่รู้เรื่อง
“จะพาฉันไปไหน”
“ไปโรงพยาบาล” ร่าบบอกด้วยน้ำเสียงอาทร
เมื่อนับดาวลืมตาตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองสวมชุดคนไข้นอนอยู่ที่โรงพยาบาล ข้างนอกสว่างแล้ว มีสายน้ำเกลืออยู่ที่แขน เธอลุกขึ้น เห็นปราบนั่งหลับอยู่ที่โซฟา นับดาวนั่งนึกทบทวนเหตุการณ์ ปราบตื่นขึ้นมาพอดี
“อ้าวคุณ ตื่นแล้วเหรอเป็นไงบ้าง”
นับดาวงงๆ
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“เมื่อคืนคุณเป็นไข้สูงมาก ผมเลยพามาส่งโรงพยาบาล อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แต่ไข้ก็ยังไม่ลด หมอเขาเลย...”
นับดาวหน้าตื่น
“เดี๋ยว เมื่อกี้คุณบอกคุณทำอะไรนะ พาฉันมาโรงพยาบาล เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า งั้นเหรอ”
ปราบงงไปนิด ก่อนจะเข้าใจว่าหญิงสาวสงสัยอะไร
“ขอโทษครับ พูดเร็วไปหน่อย ผมพาคุณมาโรงพยาบาล นางพยาบาลเช็ดตัวและเปลี่ยน
เสื้อผ้าให้ ผมนั่งอยู่นอกห้อง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย”
นับดาวพยักหน้าพอใจ ชายหนุ่มกำลังจะเล่าต่อ พอดีมีเสียงเคาะประตู หมอเดินเข้ามากับนางพยาบาลหนึ่งคน
“สวัสดีครับคุณนับดาว...หวัดดีปราบ หน้ายับเลยนะ”
“เพิ่งตื่นว่ะ...ผลตรวจเป็นไงมั่ง”
หมอหันไปบอกนับดาว
“เมื่อคืนไข้คุณขึ้นสูงมาก เราเลยเจาะเลือดคุณไปตรวจครับ โชคดี ไม่พบการติดเชื้ออะไร สงสัยเป็นเพราะขาดน้ำ แล้วก็พักผ่อนไม่พอ”
ปราบโล่งใจ
“ค่อยยังชั่ว”
นับดาวค้อนขวับ
“งั้นช่วยให้พยาบาลถอดสายน้ำเกลือนี่ทีเถอะค่ะ ถ้าไม่เป็นอะไรมาก ฉันคงต้องไปทำงานในไร่ต่อ ไม่รู้วันนี้จะต้องโดนใช้ให้ไปล้างพะเนียดช้างด้วยหรือเปล่า”
ปราบรู้สึกผิด หน้าเสียไปทันที
“คุณพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนเถอะครับ”
นับดาวค้อน
“เชอะ ใจดีซะด้วย”
“เปล่าครับจะบอกว่าไร่ผมไม่มีช้าง ไว้รอคุณแข็งแรงก่อน ค่อยให้คุณไปล้างบ่อจระเข้ก็แล้วกัน”
นับดาวชะงัก
“ล้อเล่นใช่ไหม”
ปราบหัวเราะ หมอยิ้มขำๆก่อนจะพูดกับนับดาว
“ถ้าคุณรู้สึกว่าไอ้ปราบใช้งานคุณหนักเกินไปล่ะก็ บอกผมได้นะครับ ผมรู้จักทั้งตำรวจ ทั้งแรงงานจังหวัด ทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชน รับรองมันเดือดร้อนแน่ๆ”
นับดาวแค้นๆปราบ
“ขอบคุณมากค่ะ คงอีกไม่นานหรอกค่ะ ฮึ”
ปราบหัวเราะหันไปหาหมอ
“งั้นฉันฝากแกช่วยดูแลเขาหน่อยละกัน ฉันจะกลับไปไร่ก่อน”
ปราบเดินออกไป นับดาวหันมาถามหมออย่างแปลกใจ
“คุณหมอรู้จักเขานานแล้วเหรอคะ”
“ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยน่ะครับ”
นับดาวหน้าตื่น
“หา นายปราบจบมหาวิทยาลัยจริงๆเหรอเนี่ย นึกว่าหมอเถื่อน”
“ไม่เถื่อนหรอกครับ ปริญญาตรีคณะสัตวแพทย์ศาสตร์เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วย”
นับดาวอึ้งไป หมอยิ้มแย้ม
“มีอะไรก็บอกพยาบาลได้เลยนะครับ”
หมอกำลังจะเดินออกไป นับดาวเรียกไว้
“เดี๋ยวค่ะ คุณหมอรู้จักคนชื่อปรายฟ้าไหมคะ”
หมอเงียบไปนิดหนึ่ง
“ถ้าไม่ใช่เพราะปรายฟ้า ป่านนี้ไอ้ปราบจะเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้”
หมอเดินออกไปนอกห้อง ปิดประตู นับดาวขัดเคืองใจอยู่คนเดียว
“เล่าให้มากกว่านี้ไม่ได้หรือไง พูดให้รู้เรื่องแล้วมันจะตายใช่มั้ย คนที่นี่เขาเป็นอะไรกันเนี่ย”
อ่านต่อตอนที่ 5 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.