*ติดตามความสนุกของ "หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ" เต็มอิ่มจุใจ 2 รอบเวลา 9.30 น. และ 17.00 น.*
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 3
เสียงกริ่งดังขึ้น นับดาวกับอลิสาอยู่ตรงหน้าต่างชั้นบน แอบมองลอดผ้าม่านออกไป เห็นปราบ ปกป้อง และน้อยหน่า ยืนกดกริ่งอยู่
“อย่าออกไปนะดาว พวกนี้มันดูเพี้ยนๆยังไงไม่รู้” อลิสาบอก
“เล่นตามตื๊อน้าอะซ่าถึงบ้านเลยเหรอ น่ากลัวจัง แจ้งความดีไหมคะ” นับดาวถามความเห็น
“ช่วงนี้น้าไม่อยากให้เป็นข่าวน่ะ อยู่เงียบๆดีกว่า”
“ก็ได้ค่ะ แต่ถ้ามันปีนรั้วบุกเข้ามา ยังไงก็ต้องโทรแจ้งตำรวจนะคะ”
“ถ้าถึงขนาดนั้นก็ต้องแจ้งล่ะ แต่น้าว่าคงไม่ทำขนาดนั้นหรอก” อลิสาชะเง้อมองหน้าบ้านอย่างไม่ค่อยสบายใจ
ที่หน้าบ้าน ปราบชักหงุดหงิด...
“เอ รถก็อยู่ แต่ทำไมไม่ลงมาเปิดประตูนะ”
ปกป้องถอนใจ
“ก็บอกแล้ว เขาคงนึกว่าอาจะมาตื๊อเขา เขาไม่มาเปิดให้หรอก วันหลังค่อยมาใหม่เถอะ”
น้อยหน่าดีใจ
“เย้ ไชโย”
“ไม่ได้นะครับ ผมอุตส่าห์ขับมาถึงที่นี่แล้ว” ปราบแย้ง
“ยังไงเขาก็ไม่ออกมาพบหรอก อาขอโทษว่ะที่ทำเสียเรื่อง แต่ว่า...วันนี้เรากลับก่อนเถอะ”
“นั่นน่ะสิคะ กลับเหอะพ่อ” น้อยหน่าสนับสนุน
“เธอเงียบไปเลย”
“ถือว่าอาขอร้อง อย่าทำให้เขาลำบากใจเลย เดี๋ยวเขาจะยิ่งเกลียดขี้หน้าอาเข้าไปอีก”
ปราบมองปกป้อง แล้วก็ถอนใจเบาๆ
“ก็ได้ครับ”
“ขอบใจ”
ปราบขึ้นรถรถหน้าเซ็งๆ ปกป้องตามขึ้นมาหน้าเศร้า น้อยหน่ายิ้มร่า
“งั้นก่อนกลับเราแวะห้างดีไหมคะ ไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน ดูหนังซักเรื่อง แล้วขอหนูเดินช็อปปิ้งด้วยนะคะ แป๊บเดียวนะคะ สัญญา นานๆหนูจะได้เข้ากรุงเทพ นะคะป๊าขา...”
รถของปราบวิ่งไปตามถนนจนลับตา
ร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้า...นับดาวใส่แว่นกันแดด เดินเข้ามาในร้านหนังสือ มาที่หมวดหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค เธอยกแว่นขึ้น พนังงานเดินมาผ่านมาเห็นเธอ จำได้ก็อมยิ้ม สักพักก็หายไป กลับมาพร้อมเพื่อน ทำมาเป็นจัดหนังสือ แต่แอบดูหน้าเธอแล้วก็อมยิ้ม ขำๆ นับดาวชักรู้สึกผิดปกติ เธอเลือกหนังสือได้ เดินมาจ่ายเงินที่แคชเชียร์
“3 รายการ 640 บาทค่ะ”
นับดาวหยิบกระเป๋าตังค์ แคชเชียร์มองซ้ายขวาแล้วกระซิบ
“พี่ใช้บัตรพนักงานหนูซื้อไหมคะ ลดราคาได้ 20 เปอร์เซ็นต์นะคะ”
นับดาวงง
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ หนูรู้ว่าพี่ไม่ค่อยมีตังค์”
“ว่าอะไรนะคะ”
“อ้าว ก็พี่นับดาวถังแตกอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
นับดาวหน้าเครียด
“นี่คุณ...ว่าใครถังแตกพูดดีๆนะ”
แคชเชียร์หน้าเสีย หยิบหนังสือพิมพ์บันเทิงให้ดู
“ก็หนูอ่านจากในนี้อ่ะค่ะ”
นับดาวเอาหนังสือพิมพ์มาดู แล้วก็ตาโต ตะลึงพรึงเพริด
เมื่อกลับมาบ้าน นับดาวยื่นหนังสือพิมพ์ให้อลิสาดู
“อะไรเหรอ”
อลิสาเปิดดู แล้วร้องกรี๊ด บนหน้าปกหนังสือพิมพ์บันเทิงมีรูปจากคลิปที่ลูกค้าถ่ายอลิสาในโรงรับจำนำ เห็นหน้าอลิสาชัดเจน พร้อมพาดหัว
" ไฮโซถังแตก!!!???? แจ๋นเข้าโรงจำนำกลางวันแสก ทำปายด๊ายยยย"
นับดาวหยิบมาอ่านข้อความ ให้อลิสาฟัง
“ผู้หญิงที่กำลังเอาแล็ปท้อปไปจำนำนั้น ใบหน้าช่างคล้ายคลึงเหลือเกินกับน้าสาวที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของของนับดาวไฮโซจอมฉาว ยิ่งกว่านั้น แล็ปท้อปที่เอาไปจำนำก็คล้ายคลึงเหลือเกินกับแล็ปท้อปของนับดาว จนนำไปสู่ข่าวลือสนั่นวงการว่านับดาว เซเล็ปสาวชื่อดังนั้น กำลังถังแตกบ่จี๊จริงหรือ”
นับดาววางหนังสือพิมพ์ลงกับโต๊ะ
“โอย น้าจะเป็นลม”
อลิสาวิงเวียนจริงๆไม่ได้มุข นับดาวต้องรีบวิ่งมาประคอง หยิบยาดมให้
“ใจเย็นค่ะน้าอะซ่า”
“น้าขอโทษนะดาว น้าประมาทไปจริงๆ ไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ได้”
“ช่างมันเถอะค่ะน้าอะซ่า ไม่ใช่ความผิดน้าซะหน่อย”
อลิสาสติแตก
“แล้วอย่างงี้เราจะไงดีเนี่ย เราไม่ต้องหนีความอับอายย้ายไปอยู่ต่างประเทศเลยเหรอ แล้วจะย้ายไปประเทศไหนดีเนี่ย ประเทศไหนๆก็มีคนไทยไปอยู่หมดแล้ว ไปประเทศเล็กๆในแอฟริกาดีมั้ย อาจจะยังไม่มีคนไทยอยู่นะ”
“น้าอะซ่าขา ตั้งสติหน่อยค่ะ เรื่องมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“แต่ว่า...รูปมันลงหนังสือพิมพ์ขนาดนี้ แถมเห็นหน้าน้าชัดด้วย แล้วจะให้ทำยังไง”
“ดาวว่านิ่งๆไว้ ปล่อยให้มันลือกันไป ถ้ามีใครมาถามก็บอกว่า...ว่า...เอ่อ...ตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าเข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ค่อยๆนึกไปก่อนก็ได้ค่ะ”
“งั้นปิดมือถือก่อนเนอะ นึกเหตุผลออกแล้วค่อยเปิดเครื่อง”
“ก็ดีค่ะ”
อลิสารีบปิดมือถือ นับดาวหยิบมือถือเธอออกมา กำลังจะปิดบ้าง เครื่องก็ดังซะก่อน นับดาวสะดุ้ง
“ใครอ่ะ”
“ชนะชัยค่ะ...สงสัยเรื่องนี้แน่เลย”
นับดาวตั้งสติครู่หนึ่ง ค่อยรับสาย
“สวัสดีค่ะชนะชัย...อ๋อ เห็นแล้วค่ะ...ฮิๆๆๆ เรื่องไร้สาระน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...อ๋อ...เอ่อเดี๋ยวเย็นนี้อธิบายให้ฟังละกันนะคะ...แค่นี้ก่อนนะคะ ดาวกำลังประมูลเครื่องลายครามทางอินเตอร์เน็ตอยู่ค่ะ เดี๋ยวเสียสมาธิ...ค่ะ...เจอกันค่ะ”
นับดาววางสาย
“ว่าไง”
“คุณจ๊อบเค้าสงสัยเรื่องข่าวนั่นแหละค่ะ เรามีเวลาหาข้อแก้ตัวถึงตอนเย็น”
อลิสาเงียบไป แล้วก็นั่งสมาธิ เอานิ้วแตะน้ำลาย แล้วเอาไปวนๆสองข้างที่หน้าผากแบบอิ๊กคิวซัง
“ทำอะไรอ่ะน้าอะซ่า”
“ใช้หมองนั่งมาติ๊ไง เผื่อจะคิดออก”
นับดาวหัวเราะ
“ติงต๊องจังเลยน้าอะซ่าอะ”
สองอาหลานหัวเราะกัน
นับดาวมากินข้าวกับชนะชัยและชัชฎาที่บ้านของเขา นับดาวยิ้มแย้มพูคุยอย่างปกติ
“เรื่องโรงรับจำนำเป็นเรื่องจริงค่ะ ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดอะไรหรอกค่ะ”
ชนะชัยกับชัชฎาอึ้งๆไป
“ไหน เมื่อเช้าคุณดาวบอกว่า...”
“แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วยค่ะ น้าอะซ่าเข้ามาหลายครั้งแล้วค่ะ นาฬิกามั่ง แหวนมั่ง สร้อยมั่ง”
ชัชฎาถอนใจ มองหน้าชนะชัยอย่างอึดอัด
“เอ่อ คุณดาวเดือดร้อนเรื่องเงินขนาดนั้นเลยหรือครับ”
นับดาวทำเป็นงง มองหน้าชนะชัยกับชัชฎา แล้วก็หัวเราะเสียงดัง
“ตายละ...ขอโทษค่ะ ดาวเล่าไม่ละเอียด คุณชนะชัยกับคุณแม่เลยเข้าใจผิดกันไปใหญ่...ไม่ใช่เรื่องเงินหรอกค่ะ”
“แล้วมัน...ยังไงเหรอครับ”
“ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องเงิน แต่มันก็เป็นเรื่องค่อนข้างน่าอายอยู่เหมือนกัน ขอความกรุณาเก็บเป็นความลับด้วยนะคะ”
ชัชฎารีบบอกด้วยความอยากรู้
“ไม่มีปัญหาหรอกจ้ะ เล่ามาเถอะ”
“คือน้าอะซ่าของดาวน่ะค่ะ มีอยู่วันนึง ไปเดินเล่นแล้วไปปิ๊งอาเฮียคนหนึ่งเข้า ปรากฏว่าอาเฮียเขาเป็นเจ้าของโรงรับจำนำ น้าอะซ่าเลยสานสัมพันธ์ด้วยการเอาของไปเข้าโรงรับจำนำ ตอนแรกก็เอาทีวีเก่าๆพัดลมเก่าๆไป จนของเก่าๆหมดบ้าน ก็ยังไม่เป็นแฟนกันซักที ดาวก็เลยแนะนำให้เอาของใหม่ๆแพงๆไปจำนำมั่ง เผื่อจะกระตุ้นความสนใจของอาเฮียได้บ้าง ก็เลยกลายเป็นนาฬิกาบ้างอะไรบ้าง จนหมดมุข ทองคำก็ไม่ค่อยมีเพราะดาวซื้อแต่กองทุนทองคำไว้ หาอะไรไม่เจอดาวก็เลยหยิบแล็ปท้อปให้ไป”
“อ๋อ อย่างงี้นี่เอง มิน่า ถึงออกมาแก้ข่าวไม่ได้”
“ค่ะ ถ้าแก้ข่าว อาเฮียรู้ตัว ไก่ก็ตื่นสิคะเลยต้องทำเงียบๆ”
ชัชฎาพยักหน้า พอใจที่ได้ฟังอย่างนั้น
“แปลว่าคุณน้าของดาวเป็นพวกอ้อมค้อมสินะ ป่านนี้แล้วถึงยังไม่รู้เรื่องกันซักที ถ้าเป็นฉันล่ะก็ ครั้งสองครั้งก็เคลียร์แล้วว่าจะเอายังไง”
“แหม เรื่องแบบนี้มันไม่เหมือนการเจรจาทางธุรกิจนะครับแม่” ชนะขัยออกความเห็น
“แต่ถ้าน้าอะซ่ารวบรัดชัดเจนแบบคุณแม่ว่าก็ดีสิคะ อย่างน้อยก็ไม่มีเรื่องแบบวันนี้”
ชัชฎาพยักหน้ารับ
“ฉันเองก็คิดว่าคงต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรสักอย่าง มีอย่างที่ไหน ไฮโซตระกูลดังอย่างหนูจะตกต่ำจนต้องเอาของไปจำนำ”
นับดาวยิ้มแหย
“นั่นสิคะ...คนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยใช้วิจารณญาณกันหรอกค่ะ ใครลืออะไรก็เชื่อกันไป”
“ถ้าฉันเชื่อเธอก็แปลว่าฉันไม่มีวิจารณญาณด้วยหรือเปล่า”
นับดาวชะงัก ชนะชัยรีบพูดแก้
“คุณแม่ท่านล้อเล่นน่ะครับ”
ชัชฎายิ้มอ่อนโยนให้นับดาว
“จะว่าไป หนูดาวกับฉันก็ไม่ใช่คนอื่นไกล ยิ่งนานวันหนูดาวกับลูกฉันก็สนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆใช่ไหมจ๊ะ”
“ค่ะ”
“อืม นี่ ตาหนู ถ้าอย่างนั้นวันไหนเราเปลี่ยนบรรยากาศไปกินข้าวที่บ้านหนูดาวบ้างดีไหม”
ชนะชัยพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็ดีนะครับ คุณดาวสะดวกไหมครับ”
“ค่ะ แต่พอดีดาวอยู่กับน้าอะซ่าสองคนแบบสบายๆ บ้านไม่ค่อยมีระเบียบเท่าไหร่ กลัวอายคุณแม่น่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ฉันไม่ใช่ผู้ลากมากดีที่ไหน เนี้ยบเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น แต่เรื่องไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ฉันเข้าใจ เอาเป็นว่านัดวันกันเลยดีกว่า ช่วงนี้ฉันยุ่งๆอยู่...เอาเป็นวันศุกร์สะดวกไหมจ๊ะ”
“ได้สิคะ สะดวกค่ะ”
ชนะชัยรีบบอก
“งั้นวันศุกร์ผมไปช่วยเตรียมอาหารด้วยดีไหมครับ”
“อุ๊ย อย่าเลยค่ะ แหม ขอดาวโชว์ความเป็นเจ้าภาพบ้างสิคะ”
ชนะชัยยิ้มให้นับดาว
นับดาวกับอลิสานั่งกินพิซซ่ากันในบ้าน ขณะที่อลิสาบ้นไปด้วย...
“โธ่ ยัยดาว ทำไมแกไม่บ่ายเบี่ยงไปก่อน บ้านเราตอนนี้แทบจะเหลือแต่เสากับคานอยู่แล้ว ขืนให้มาก็จบเห่กันพอดี”
“บ่ายเบี่ยงไม่ไหวหรอกค่ะ ดาวดูก็รู้ว่าแม่คุณจ๊อบน่ะเขายังไม่เชื่อดาวร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาเลยอยากมาดูที่บ้านให้แน่ใจ”
“จะเขี้ยวอะไรขนาดนี้”
“น้าอะซ่าอย่าลืมสิคะว่าเขาเป็นนักธุรกิจๆก็อย่างงี้แหละค่ะ”
“แล้วจะเอาไงล่ะ”
“ก็ต้องหาของเข้าบ้าน มาถมๆให้ดูแน่นๆก่อนดีมั้ยคะ”
“ดีจ๊ะ ว่าแต่จะเอาเงินที่ไหนล่ะ”
นับดาวส่ายหน้าจนปัญญาเหมือนกัน อลิสานิ่งไป
“น้านึกออกแล้วยังพอมีของให้เอาไปตึ๊ง พอได้เงินแล้วเราไปให้ฟู่เค้าหาพวกอาร์ตหนังหรือละครมาสักคน ให้เขาหาของเข้าฉาก พวกนี้เก่งมากเรื่องหาของราคาถูกแต่ดูแพง เอามาใส่บ้านเรา พอจัดฉากเสร็จเรียบร้อย เราก็เอาไปขายต่อ ได้เงินคืนมาอีก”
“กู๊ดไอเดียค่ะน้า”
อลิสายิ้มอก
“งั้นเดี๋ยวน้าคุยกับฟู่เอง”
ที่ร้านปราบสัตวแพทย์...เด็กชายคนหนึ่งยืนหน้ากังวล ดูปราบตรวจดูเม่นของเขา โดยมีแก้วยืนอยู่ข้างๆ
“ไม่มีอะไรล่ะ เม่นของเธอปกติดี” ปราบบอก
“อ้าว ที่น้ำลายมันฟูมปากล่ะครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก เป็นธรรมชาติของเม่น มันชอบเล่นน้ำลาย ไม่ก็เอาน้ำลายทาขน เป็นพฤติกรรมปกติของเม่นน่ะ”
“เหรอครับ ขอบคุณมากนะครับ...เอ่อ แล้วค่ารักษาหมอเอาเท่าไหร่ครับ”
“ไม่มีค่ารักษาอะไรนี่นา เอาเม่นกลับไปบ้าน เลี้ยงดูดีๆแล้วกัน แล้วถ้ามันไม่สบายค่อยเอามาให้หมอดูใหม่ละกัน”
“ขอบคุณครับ”
เด็กชายหิ้วกรงเม่นออกไป แก้วตามไปส่งที่หน้าประตู กลับเข้ามา เจอปราบอ่านหนังสือบันเทิงอยู่ ท่าทางตั้งอกตั้งใจอ่านมาก
“พี่ปราบคะ”
“ว่าไง”
ปราบถามโดยไม่ละสายตาจากหน้าหนังสือ
“อินอะไรขนาดนั้นคะเนี่ย ปกติอ่านยังไม่เคยอ่านด้วยซ้ำ”
ปราบถอนใจ วางหนังสือลง
“อ่านข่าวคุณนับดาวน่ะ”
“อ๋อ ที่มีข่าวว่าเขาไหแตกใช่ไหมคะ”
“ถังแตกจ้ะ”
“อุ๊ย ค่ะๆถังแตกค่ะ...แล้วทำไมพี่ปราบต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยล่ะคะ”
“ก็ไอ้คนที่โพสต์ด่าเขาจนทำให้เขาตกงานก็ยัยน้อยหน่าลูกสาวพี่ ส่วนคนที่ทำให้น้าสาวเขาโดนถ่ายรูปในโรงจำนำก็อาป้อง อาแท้ๆของพี่ จะไม่ให้พี่กลุ้มได้ยังไง”
“อย่างงี้พี่ก็เท่ากับเป็นตัวซวยของเขาเลยใช่ไหมคะ”
“จ้า”
“อุ๊ย แก้วพูดตรงไปเหรอคะ”
“อืม แต่ยังไงมันก็ถูกของเธอนั่นแหละ”
“แต่เรื่องอย่างนี้มันช่วยไม่ได้นี่คะ”
“ไม่หรอก...พี่ลอยตัวไม่ได้หรอก พี่คิดว่าพี่ต้องรับผิดชอบแทนคนของพี่”
ปราบมองจ้องรูปนับดาวในหนังสือ
วันต่อมา...นับดาวอาบน้ำ และกำลังสระผมอยู่ ร้องเพลงไปด้วย มีเสียงกริ่งดัง นับดาวหยุดร้อง เงี่ยหูฟัง เหมือนไม่ค่อยแน่ใจ แต่ไม่มีเสียงอะไรอีก นับดาวอาบน้ำต่อจนเสร็จ แล้วใส่เสื้อคลุมออกมาจากห้องน้ำ
“น้าอะซ่าคะ”
ข้างนอกเงียบ นับดาวเดินออกลงบันไดมาที่ห้องโถง ได้ยินเสียงก่อกแก่กเหมือนมีคนอยู่ นับดาวเดินเข้าไปที่ห้องโถง
“น้าอะซ่าคะ...ว้าย...”
นับดาวร้องลั่นเมื่อเจอปราบยืนอยู่ ปราบไม่ทันมองมา เธอกรีดร้องลั่น วิ่งหลบออกมา
“ช่วยด้วย”
อลิสาวิ่งหน้าตื่นออกมาจากห้องหนึ่ง
“มีอะไรเหรอดาว”
“มีคนเข้ามาในบ้านเราค่ะ”
“อ๋อ ก็น้าเปิดให้เขาเข้ามาเอง”
ปราบเดินเข้ามาหานับดาว
“สวัสดีครับคุณนับดาว”
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”
ปราบรีบวิ่งกลับออกไป พลางร้องบอก
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“น้าอะซ่าให้เขาเข้ามาได้ไง ผู้ชายตัวเบ้อเริ่ม เกิดทำอะไรบ้าๆขึ้นมา เราจะสู้เขาไหวเหรอ”
“ก็เขาจะมาขอซื้อรูปถ่ายคืน ให้ราคาเท่าที่เราประมูลมาได้ น้าก็เลยให้เขาเข้ามาน่ะ”
นับดาวอึ้ง
นับดาวเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วมานั่งคุยกับปราบ
“คุณจะขอซื้อรูปคืนจริงๆเหรอ”
“ครับ”
“ราคาเดิมด้วย”
“ครับ”
“รูปนั้นมันสำคัญกับคุณขนาดนั้นเชียวเหรอ” นับดาวถามอย่างแปลกใจ
“ผมชอบรูปนี้มากครับที่สำคัญ มันมีแค่รูปเดียว ฟิล์มต้นฉบับก็ทำหายไปแล้ว”
นับดาวเงียบไป อลิสาถือรูปเข้ามา
“นี่ค่ะ ยังอยู่สภาพเดิมไม่มีบุบสลายตรงไหน ...ว่าไปดาวเขาชอบรูปนี้มากเลยนะคะ ดูแลอย่างดีเลย”
“ขอบคุณครับ”
ปราบยื่นมือมาจะรับรูปไป นับดาวยื่นมือมาดึงรูปไปจากมืออลิสาก่อน อลิสากับปราบมองหน้านับดาว
“ฉันขอโทษนะคะ ฉันไม่ขายค่ะ”
อลิสาอ้าปากค้าง รีบดึงนับดาวไปที่มุมห้อง
“ยัยดาว ถ้าเป็นช่วงปกติน้าคงไม่ว่าอะไรเธอหรอกนะ เธออยากแก่นเซี้ยวอะไรก็ตามใจ แต่ตอนนี้เธอก็รู้ว่าเราอยู่ในช่วงวิกฤติขนาดไหน เงินแสนห้าตอนนี้มันมีค่ามาก ฉันจะไม่ยอมให้เธอแลกเงินแสนห้ากับรูปถ่ายใบเดียวแบบนี้เด็ดขาด”
อลิสาดึงรูปถ่ายไปจากมือนับดาว เอาไปให้ปราบ
“นี่ค่ะ”
ปราบจะรับ นับดาวตามมาดึงรูปกลับไป
“ไม่ขายค่ะ”
อลิสาชักโมโห
“ยัยดาว เธอต้องขาย”
“ไม่ขายค่ะ”
ปราบงง
“คุณจะดื้อไปถึงไหน ทำไมไม่เชื่อน้าคุณ”
“คุณไม่เกี่ยว”
“น้าคุณเขาหวังดีนะ อย่าลืมสิว่าคุณกำลังถังแตกอยู่นะ”
นับดาวชะงัก หันขวับ
“คุณพูดว่าอะไรนะ”
“ก็คุณกำลังถังแตกอยู่ หรือไม่จริง”
“ฐานะของฉันจะเป็นยังไงไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”
“ความจริงที่ผมมานี่เพราะเห็นข่าวคุณแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ที่มาซื้อรูปคืนเนี่ย ตั้งใจจะมาช่วยคุณนะครับคุณนับดาว”
“อ้อ สรุปว่าที่จะมาขอซื้อรูปก็เพราะอยากช่วยฉันใช่มั้ย”
“ครับ”
“ไม่จำเป็นค่ะ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“ถือว่าเป็นการขอโทษก็ได้”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“เอ่อ...ผมจะขอโทษเรื่องที่...”
นับดาวมองไม่พอใจ
“ถ้าเงินเหลือเยอะนักละก้อ คุณเอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเองดีกว่า”
“หมายความว่ายังไง”
“เสื้อผ้าเห่ยๆแบบนี้เนี่ย ใส่เดินออกมานอกบ้านได้ยังไง ไม่เข้าใจ ถ้าเป็นผู้ใช้แรงงานฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก พวกเขารายได้น้อยอยู่แล้ว แต่นี่ท่าทางคุณก็น่าจะมีเงินอยู่บ้าง น่าสงสารนะ ดันไม่มีรสนิยมเอาซะเลย”
“ชุดผมอาจจะเห่ย แต่ยังดีกว่าพวกที่ใส่ชุดสวยๆหรูๆแต่ข้างในกลวงโบ๋ วันๆต้องวิ่งเอาข้าวของไปจำนำ เอาเงินมาซื้อบะหมี่สำเร็จรูปกิน”
“ใครกินบะหมี่สำเร็จรูปยะ
ปราบชี้ไปที่มุมห้อง มีถุงพลาสติกวางอยู่ ข้างในมีบะหมี่สำเร็จรูปหลายห่อ นับดาวจนมุมก็เถียงข้างๆคูๆ
“ทำไม ฉันชอบ ฉันกินเพราะมันอร่อย”
ปราบหัวเราะ
“คุณออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว เดี๋ยวนี้เลย”
“นี่ ผมขับรถมาถึงกรุงเทพเพื่อมาช่วยคุณนะ คุณไล่ผมอย่างงี้เหรอ”
“ฉันไม่ได้ขอให้ช่วย แล้วทำไมจะไล่คุณไม่ได้ด้วย ไปๆชิ้วๆ”
ปราบโมโหสุดๆ จ้องหน้านับดาว
“ไม่ต้องมาทำจ้องหรอกย่ะ ฉันไม่กลัว ชิ้วไป”
“ยัยหน้าขี้ไก่”
นับดาวร้องกรี๊ด มองซ้ายมองขวา หาของเขวี้ยงใส่ เกือบโดนหัวปราบ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่หยุดผมจะ...”
ปราบชะงัก ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“ทำไม จะมาปล้ำฉันหรือไง”
“จะ...”
ปราบนึกไปถึงเหตุการณ์ในวัยเด็ก ที่เขาเอาขี้ไก่เขียนหน้านับดาว แล้วงงๆกับภาพที่แว่บเข้ามาในหัวตัวเอง
“ไง นึกออกรึยัง กลับไปนั่งนึกที่บ้านไป”
“จะเอาขี้ไก่ทาหน้าคุณ”
นับดาวเม้มปาก ตัวสั่น แต่ยิ้มหวานให้
“อยู่ตรงนี้นะคะ อย่าเพิ่งไปไหนนะ”
นับดาววิ่งขึ้นข้างบนไป สักครู่ก็วิ่งลงมาพร้อมปืนในมือ อลิสาตามมายื้อยุด
“อย่านะดาว ใจเย็นๆ”
ปราบเห็นท่าไม่ดี รีบถอย
“เออ คนมาช่วยดีๆไม่รับความช่วยเหลือ แล้วอย่ามาง้อผมทีหลังละกัน”
“เออๆๆ ไม่ง้อหรอก จะไปไหนก็ไปเลยไป๊”
ปราบรีบออกจากบ้านไป
นับดาวนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง อลิสาเข้ามาในห้องเคืองๆ
“เธอเป็นบ้าอะไร”
“น้าก็รู้ ดาวเกลียดที่สุดเวลามีใครมาว่าดาวแบบนั้น”
“ใช่ อันนั้นรู้ แต่ที่ถามเนี่ย เธอเป็นบ้าอะไร ทำไมไม่ขายรูปนั้นคืนเขาไป”
นับดาวเงียบไป มองรูปถ่าย ที่พิงอยู่ข้างฝา
“น้าจะหาว่าดาวเพี้ยนก็ได้ค่ะ แต่ว่าเวลาดาวดูรูปรูปนี้แล้ว...มันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอจะขายถึงรู้สึกว่าไม่อยากเสียมันไป”
“ความสุขราคาแสนห้า”
“ล้านห้าก็ไม่ขาย มันเป็นความสุขที่เงินซื้อไม่ได้ ดาวก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน”
อลิสายังโกรธอยู่ เดินสะบัดหน้าจากไป นับดาวดูรูปอยู่คนเดียว
“มันทำให้ดาวคิดถึงแม่”
อลิสานั่งข่มอารมณ์อยู่คนเดียวในห้อง นับดาวเคาะประตูแล้วเข้ามา อลิสายังงอนอยู่ไม่หันมามองนับดาว จนนับดาวเอากระเป๋าแบรนด์ใบสวยมายื่นตรงหน้า
“ใบนี้รุ่นลิมิตเต็ด ถ้าเราเอาไปประมูลในเน็ตคงได้เกินแสนห้า”
อลิสาอึ้งไป ดูของที่นับดาวเอามาให้
“ใบนี้มันของรักของหวงของเธอเลยนะ”
“ช่างมันเถอะค่ะ ของนอกกายน้าอะซ่าเอาไปขายเถอะค่ะ”
“ดาว เก็บไว้ก่อนก็ได้ สมบัติของคุณพ่อยังพอมีอยู่”
“เก็บของคุณตาไว้ก่อนละกัน กระเป๋าใบนี้ถือซะว่าเป็นส่วนที่ดาวเอามาแทนรูปถ่ายใบนั้น”
อลิสาพยักหน้า นับดาวมองกระเป๋าของเธอ ตาละห้อย
“ตัดใจไม่ได้ใช่ไหม”
“ได้ค่ะ...ไม่เป็นไร อีกไม่นานเราจะกลับไปอู้ฟู่เหมือนเดิม ถึงตอนนั้นดาวจะซื้อมันกลับมา”
นับดาวมองของหรูอย่างตัดใจ แล้วเดินออกไป
หลายวันต่อมา...นับดาวกับอลิสานั่งดูดีวีดีกัน กินขนมขบเคี้ยว ท่าทางเซ็งๆเบื่อๆทั้งคู่
“ประมูลเป็นไงบ้างคะ” นับดาวถาม
“น้าค่อยๆปล่อย ทำท่าจะไปได้สวย”
มือถือนับดาวดัง นับดาวเอื้อมมือไปหยิบมา
“เพิ่งเปลี่ยนซิมไม่ใช่เหรอ ใครโทรมา”
“คงไม่ใช่พวกโทรมาด่าหรอกนะ”
นับดาวรับสาย
“สวัสดีค่ะ...ใช่ค่ะ...อ๋อ ทราบเบอร์จากพี่ฟู่...ค่ะ มีธุระอะไรคะ...อะไรนะคะ...ไม่รู้ค่ะ ไม่เคยมีใครบอก รอสักครู่นะคะ”
นับดาวหันมาถามอลิสา
“มีคนโทรมาบอกอยากคุยเรื่องที่ ที่คุณพ่อทิ้งไว้ให้เป็นมรดกดาว”
“น้าไม่เห็นไม่รู้เรื่องเลย”
นับดาวไปคุยโทรศัพท์ต่อ
“เช็คดีแล้วเหรอคะว่าของฉันแน่ๆ... อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันไปเสียภาษีที่ดินน่ะ...อ๋อค่ะ ค่ะ จะขอซื้อเหรอคะ...เท่าไหร่นะคะ...”
นับดาวได้ยินตัวเลขแล้วอ้าปากค้าง สำลักขนม ทุบอกตัวเองปั้กๆ อลิสารีบเอาน้ำมาให้ นับดาวกลืนน้ำอึกๆ หันมาบอกกับอลิสาเสียงแตกพร่า
“เขาขอซื้อที่ 50 ล้านบาท”
อลิสาตาโต
นับดาว อลิสา มานั่งคุยกับนักธุรกิจคนหนึ่งที่ล็อบบี้โรงแรมหรู นักธุรกิจอธิบาย
“ผมสืบมาชัดเจนแล้วครับว่าพ่อของคุณนับดาว คุณนิ่ง เป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่ว่า จนเมื่อพ่อคุณเสีย ท่านได้ยกที่แปลงนั้นเป็นมรดกให้คุณ ตอนนี้ที่แปลงนั้นมีชื่อคุณเป็นเจ้าของอยู่ครับ”
นับดาวตื่นเต้น แกล้งพูด
“เหรอคะ เป็นอย่างนี้หลายครั้งแล้วค่ะ ท่านชอบซื้อที่ทิ้งไว้ จนบางทีก็ลืมเอง ดาวก็เป็นเหมือนกันนะคะ เห็นแปลงสวยๆก็ซื้อ แล้วก็ลืม”
“แต่แปลงนี้น่ะสวยจริงๆ ผมอยากทำเป็นรีสอร์ต สปาบวกสนามไดร้ฟ์กอล์ฟ ระดับห้าดาวเลย”
นับดาวพูดไปเรื่อยยังมึนๆ
“ก็น่าสนใจนะคะแถวนั้นเนี่ยแหล่งโอโซนเลย”
“ครับ ไม่ทราบคุณดาวคิดจะขายมั้ยครับ”
“ขายก็ได้ค่ะ เก็บไว้ก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร ที่ดินลืมๆแบบนี้มีจนเบื่อค่ะ ระบายออกมั่งก็ดี”
“แล้วราคา 50 ล้านที่เสนอไป ไม่ทราบว่าคุณนับดาว...”
“ห้าสิบก็ห้าสิบค่ะ ถึงไม่ใช่เงินมากมายอะไรก็ตาม ดาวนิสัยไม่ค่อยดีค่ะ ไม่ค่อยแคร์เรื่องเงินซักเท่าไหร่ ของนอกกายทั้งนั้นได้มาก็เอาไปทำบุญซะเยอะ”
“ใจบุญจริงๆครับ แปลว่าคุณนับดาวตกลงขายที่แปลงนี้ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ จะซื้อวันนี้เลยไหมคะ”
“ยังซื้อไม่ได้หรอกครับ จนกว่า...”
“จนกว่าอะไรคะ”
“คุณปราบศึกจะตกลงด้วย”
นับดาวงง
“พ่อคุณใส่ชื่อคุณกับชื่อเขาเป็นเจ้าของร่วมกันครับ”
นับดาวหันมาทางอลิสา
“พ่อมีเมียน้อยรึเปล่าคะน้าอะซ่า”
“ไม่รู้แฮะ แม่เธอก็ไม่เคยเล่าให้น้าฟังนะ...” อลิสาหันไปถามนักธุรกิจ “แล้วนายบวชสึกนี่เขาเป็นใครอยู่ที่ไหนคะ”
“ปราบศึกครับไม่ใช่บวชศึก...เขาก็อาศัยทำกินอยู่ในที่ของพ่อคุณนั่นแหละครับ”
อลิสาหน้าตึง
“อ๋อ คิดจะครอบครองโดยปรปักษ์ล่ะสิ”
“เป็นยังไงเหรอคะ” นับดาวไม่เข้าใจ
“ก็ถ้าเธอไม่แสดงตัว เขาอาศัยอยู่ตรงนั้นคนเดียว เวลาผ่านไป ที่ก็จะเป็นของเขา”
“ว้าย ขี้โกงนี่นา...” นับดาวหันไปถามนักธุรกิจ “แล้วคุณไปคุยกับเขามาแล้วเหรอคะ”
“ครับ เขายืนกรานไม่ขาย ... ผมก็เลยลองติดต่อมาทางคุณ ถ้าคุณสามารถเปลี่ยนใจเขา ทำให้เขายอมเซ็นเอกสารนี่ได้ล่ะก็...”
“ไม่มีปัญหาค่ะ ฉันจัดการเองค่ะ ไม่ว่านายปราบศึกนี่จะเป็นใครก็ตาม นับดาวว้าวแซ่บ คนนี้จะเปลี่ยนใจเขาเอง”
นับดาวรับเอกสารมาจากนักธุรกิจ
ร้านกาแฟริมทางหลวง...นับดาวกับอลิสานั่งจิบกาแฟคุยกัน อลิสากางแผนที่ทางหลวงเทียบกับแผนที่ที่เป็นลายมือที่นักธุรกิจเขียนให้
“ใกล้จะถึงแล้วล่ะ ...ดาว...ดาว...”
อลิสาเรียกนับดาว เมื่อเห็นว่านับดาวนั่งเหม่ออยู่
“คะ ว่าไงคะ”
“เหม่ออะไรของเธอ”
“ดาวกำลังพยายามนึกว่าดาวรู้อะไรเกี่ยวกับพ่อบ้าง นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ค่อยออกมันลางๆเลือนๆ ยังไงก็ไม่รู้ค่ะน้า”
“ก็เขาไม่เลี้ยงเธอนี่นา”
“มีแต่เรื่องแย่ๆของพ่อทั้งนั้น ที่คุณตาคุณยายเล่าให้ฟัง”
“ตอนที่แม่เธอไปอยู่กินกับพ่อเธอ น้าอยู่ออสเตรเลียเลยไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน มีแต่คุณตาคุณยายเธอโทรมาปรับทุกข์อยู่บ่อยๆว่าแม่เธอเลือกผู้ชายเหลือขออะไรทำนองนั้น”
นับดาวเงียบไป นึกถึงอดีตที่พ่อพาเธอมาจากโรงเรียนคราวนั้น หลังจากที่ออกมาจากบ้านปรีดา นิ่งขับรถพานับดาวมาส่งที่บ้านตายาย เมื่อมาถึงก็พบนฤทธิ์ หน้าบึ้งตึงรออยู่ ขณะที่อัญชัญรีบวิ่งมารับนับดาว
“สวัสดีครับ คุณพ่อคุณแม่”
นิ่งไหว้ทั้งคู่ อัญชัญไม่พอใจ
“ทำไมหลานฉันหน้าแดงอย่างนี้ ไปโดนอะไรมา...แล้วนี่กลิ่นอะไรเนี่ย ยังกะขี้ไก่ ...จะอ้วก...”
นฤทธิ์ชี้หน้านิ่ง
“ครั้งหน้า ถ้าแกลักพาตัวหลานฉันไปแบบนี้อีก ฉันจะให้ตำรวจลากคอแกเข้าคุกซะ”
“ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ คุณพ่อจะยอมให้ผมพาลูกไปเที่ยวกับผมเหรอครับ นับดาวเป็นลูกสาวผม ผมไม่พาเขาไปอยู่กับผมเลยก็ถือว่าเกรงใจคุณพ่อแล้วนะครับ”
“ก็ลองดูสิ ถ้าทำแบบนั้นแกได้เห็นดีแน่ แกฆ่าลูกสาวฉัน แกยังจะฆ่าหลานสายฉันอีกเหรอ”
นฤทธิ์โมโห แต่ข่มอารมณ์ได้ เดินเข้ามาหานับดาว นิ่งหันมาบอกลูก...
“พ่อกลับก่อนนะลูก...อยู่กับคุณตาคุณยายเป็นเด็กดีนะ”
อัญชัญตัดบท
“พอได้แล้ว กลับได้แล้ว ฉันจะรีบพานับดาวไปอาบน้ำ”
นิ่งเข้ามากระซิบอะไรข้างหูนับดาว แล้วหันไปไหว้นฤทธิ์กับอัญชัญ ทั้งสองรับไหว้อย่างเสียไม่ได้ จากนั้นนิ่งก็กลับไป นับดาวหันมาถามสองตายาย
“ทำไมคุณตาว่าคุณพ่อฆ่าคุณแม่ล่ะคะ”
นฤทธิ์บอกอย่างแค้นใจ
“เพราะความอวดดีของมัน หลอกแม่หลานไปตกระกำลำบาก แล้วก็ไม่ดูแลเขา ไม่ฆ่าก็เหมือนฆ่า”
อัญชัญบอกอย่างเกลียดชัง...
“สำมะเลเทเมาไม่เอาถ่าน ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่รู้เวรกรรมอะไรแม่หลานถึงได้ไปชอบไอ้ผู้ชายแบบนี้”
นฤทธิ์เสริม
“นับดาว คราวหลังถ้าพ่อเขามารับที่โรงเรียนอีกละก็ รีบบอกคุณครูเลยนะว่าหลานไม่ไปกับเขา เข้าใจใช่ไหม”
นับดาวลังเล อัญชัญเร่ง
“รับปากสินับดาว ถ้าไปอยู่กับพ่อนะหลานจะลำบาก ที่บ้านพ่อเขามีแต่แมลงสาปกับงู เหม็นอึสัตว์ที่อยู่ในฟาร์มด้วย”
“เขาไม่ได้รักแม่หลานหรอก เขารักเงินของแม่หลานต่างหาก รู้มั้ย...”
“ค่ะ...”
อัญชัญจูงมือนับดาวไปอาบน้ำ
“ไปอาบน้ำไป พ่อเธอเขาพาไปทำอะไรมาเนี่ย เหม็นยังกับขี้ไก่ พรุ่งนี้ไปโรงเรียนหลานโดนเพื่อนล้อแน่ๆว่ายัยหน้าขี้ไก่”
นับดาวเศร้าๆ
นับดาวหน้าซึมลง เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต
“หลังจากวันนั้นดาวก็ไม่ได้เจอพ่ออีกเลย จำได้ว่าอีกไม่เท่าไหร่ พ่อก็เสีย ดาวก็อยู่กับคุณตาคุณยายมาตลอด”
“ถึงน้าจะไม่ค่อยรู้จักพ่อเธอ แต่น้ารู้ว่าแม่เธอน่ะรักพ่อเธอมาก”
“ค่ะ”
นับดาวพยักหน้ารับรู้ในท่าทีเศร้าๆ
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
*ติดตามความสนุกของ "หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ" เต็มอิ่มจุใจ 2 รอบเวลา 9.30 น. และ 17.00 น.*
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 3(ต่อ)
นับดาวขับรถ โดยมีอลิสาคอยดูแผนที่ ทางเริ่มเป็นดินลูกรัง นับดาวชะลอรถเมื่อเข้าใกล้ฟาร์มแห่งหนึ่ง อลิสามองไปเบื้องหน้า
“ตามแผนที่ก็ที่นี่แหละ”
นับดาวหยุดรถ มองไปข้างหน้าเป็นทางเข้าไร่ มีป้ายเขียนว่ายินดีต้อนรับ “ไร่ปรีดา” ใกล้ๆกันก็มีอีกป้าย เขียนว่า “ไร่แห่งความฝัน” นับดาวแปลกใจ
“ทำไมมีสองป้ายล่ะค่ะ”
“ไม่รู้สิ แต่ไร่ที่เป็นของเธอน่ะชื่อไร่แห่งความฝัน”
นับดาวหัวเราะ
“ตั้งชื่อได้เฉิ่มมาก”
“แต่ชื่อฟังดูคุ้นๆแฮะ”
นับดาวไม่ว่าอะไร มองไปที่ป้ายไร่แห่งความฝัน ทันใด ภาพอดีตก็เข้ามาในหัว เมื่อครั้งที่พ่อกระซิบบางอย่างกับเธอ
“ดาวจำไว้นะ พ่อรักดาวนะ”
วันนั้น...นิ่งหอมแก้มนับดาว ก่อนที่จะจากไป
นับดาวเหม่อมองป้าย อลิสาสงสัย
“ดาว เหม่ออะไร”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
นับดาวขับรถต่อไปเข้าไปในไร่ หันกลับมามองป้ายอีกแว่บหนึ่ง
นับดาวกับอลิสาเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน ลลิสาตะโกนถาม
“โทษค่ะ มีใครอยู่ไหมคะ”
สักพักก็มีเสียงฝีเท้าตึงตัง ก่อนที่น้อยหน่าจะวิ่งออกมา
“สวัสดีค่ะ”
อลิสายิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะ คุณปราบศึกอยู่ไหมคะ”
“อ๋อ...”
น้อยหน่ากำลังจะตอบ แต่มองไปเห็นนับดาวที่มาด้วย น้อยหน่าอึ้งไป
“นับดาว”
“ค่ะ นับดาวเองค่ะ...นับดาว ว้าวแซ่บ”
นับดาวทำท่าและยิ้มให้แบบผูกมิตร น้อยหน่ากลับยิ้มหยัน
“จะมาขอยืมกาวซีเมนต์เหรอคะ”
นับดาวชะงัก
“กาวซีเมนต์...เอาไปทำอะไรคะ พี่งง ไม่เข้าใจ”
“เอาไปอุดรูที่ถังไงคะ ได้ข่าวว่าคุณนับดาวถังแตก”
อลิสากับนับดาวตะลึง นึกไม่ถึงว่าจะเจอแบบนี้ นับดาวฝืนยิ้ม
“หนูจ๋า พี่จะบอกให้นะว่าหนูไม่ควรไปเชื่อหนังสือพวกนั้นรู้มั้ย อ่านเอาขำๆก็พอ อย่าไปจริงจัง พวกนี้น่ะชอบพาดหัวแรงๆ ชอบขยายข่าว บางทีไม่มีอะไรให้ขยายก็นั่งเทียนเขียนข่าวเอาเองโดยไม่มีข้อเท็จจริงอะไรเลย เช่นเรื่องของพี่เป็นต้น เข้าใจแล้วใช่ไหมจ๊ะ”
น้อยหน่าหัวเราะ
“ถ้าหนูเป็นคุณ หนูก็ต้องพูดแก้ตัวแบบนี้แหละค่ะ ใครจะกล้ายอมรับล่ะคะว่าตัวเอง...ถังแตก”
นับดาวมองหน้าน้อยหน่ากำลังจะสวน อลิสารีบเข้ามาแทรก
“เอาเถอะจ้ะ เตือนแล้วไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร โตขึ้นหนูคงเข้าใจเอง ว่าแต่ว่าคุณปราบศึกอยู่ไหมคะ”
“อยู่”
“หนูช่วยไปบอกคุณปราบศึกหน่อยนะคะว่าคุณนับดาวมีธุระอยากคุยด้วย”
“แต่ตอนนี้ไม่อยู่”
อลิสาอึ้ง นับดาวเดินแทรกมายืนตรงหน้าน้อยหน่า
“จะเอาไง ตัวแค่นี้หัดเหวี่ยงแล้วเหรอ ไหน มีเหตุผลอะไรว่ามาซิ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
“พอใจ”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอเป็นอะไรกับคุณปราบศึก แต่เธอกำลังทำให้เขาเดือดร้อน ถ้าเขาไม่ได้พบฉันล่ะก้อ เขาจะต้องเสียใจแน่ๆ แล้วก็อาจจะลงโทษเธอด้วย”
น้อยหน่าทำท่ากลัว
“แล้วปกติเขาเป็นคนยังไง โมโหร้ายไหม ถ้าอย่างนั้นเขาอาจจะลงไม้ลงมือกับเธอด้วยก็ได้นะ”
น้อยหน่าตัวสั่น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น
“หนูขอโทษค่ะ...หนูไม่รู้ พี่อย่าบอกเขานะคะว่าหนูพูดไม่ดีกับพี่”
นับดาวหันมาแอบยิ้มให้อลิสา ประมาณว่าเห็นมั้ย ง่ายๆ ก่อนจะหันมาหาน้อยหน่า
“งั้นเอางี้ ถ้าหนูพาฉันไปหาคุณปราบศึก ฉันจะไม่บอกเขาว่าหนูพูดไม่ดีกับฉัน ตกลงไหมจ๊ะ”
“เอ่อ...ก็ได้ค่ะ...แต่ว่า...”
“แต่อะไรจ๊ะ”
“เขาอยู่ที่ฟาร์มน่ะค่ะ หนูกลัวว่าถ้าเราไปตามเขาที่นั่น แล้วเขากลับมาบ้านก็จะสวนกัน...เอ่อ พี่ไปกับหนูได้ไหมคะ แล้วให้คุณน้าคนนี้รออยู่ที่นี่ก่อน”
“งั้นก็ได้ ไป”
น้อยหน่าจับมือนับดาวพาไปขึ้นรถกอล์ฟ ไปกับเธอ
น้อยหน่าขับรถกอล์ฟพานับดาวไปตามถนนในฟาร์มไก่ นับดาวหน้าเบ้
“กลิ่นแรงจังเลยนะคะ คุณปราบศึกเขาทำอะไรอยู่เหรอ”
น้อยหน่าไม่พูดอะไร เดินลิ่วๆไปอย่างรวดเร็ว นับดาวเดินตามไปท่าทางขยะแขยง กะย่องกะแย่ง สักพักก็มองไม่เห็นน้อยหน่า
“หนู...หนูอยู่ไหนจ๊ะ...หนู...”
นับดาวชะเง้อมอง แล้วก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงประตูฟาร์มไก่ปิดดังปัง นับดาวหันกลับไป ประตูที่เธอเข้ามาตอนนี้ปิดแล้ว นับดาวตกใจ รีบวิ่งมาที่ประตู ดันประตู
“เดี๋ยว ใครปิดอ่ะ ข้างในมีคนอยู่นะคะ”
น้อยหน่าที่อยู่ข้างนอกหัวเราะเยาะ
“ก็รู้ว่ามีคนอยู่ ฮ่าๆๆ”
“หนูเองเหรอ...ทำอย่างนี้ทำไม เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“คุณนึกว่าฉันเป็นเด็กอนุบาลหรือไง ทำมาขู่จะฟ้องพ่อแล้วคิดว่าฉันจะกลัว อ่อนว่ะ ฉันจะ
บอกให้ ตอนนี้คนงานกลับบ้านไปหมดแล้ว ฉันจะขังคุณไว้ในนี้ คืนนี้นอนดมกลิ่นขี้ไก่ไปละกัน พรุ่งนี้เช้าฉันค่อยมาปล่อย”
“นี่ ไม่ตลกนะ เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้”
“แล้วอย่าหวังให้เพื่อนคุณมาช่วยด้วย ฉันจะหลอกเพื่อนคุณไปเรือนเพาะชำ ฮ่าๆๆ"
แล้วเสียงน้อยหน่าก็เงียบหายไป นับดาวรีบก้มลง พยายามมองออกไปที่ช่องประตูเห็นน้อยหน่าเดินตรงไปที่รถกอล์ฟ ขับออกไป นับดาวตะโกนเรียก
“หนู...กลับมาก่อน นะ...หนู...หนู...”
น้อยหน่าขับรถหายไป นับดาวโกรธจัด ทุบประตูปังๆ
“ไอ้เด็กบ้า”
นับดาวเดินกลับเข้ามา มองซ้ายมองขวา หาของทุ่นแรง
“ไม่มีค้อนอะไรเลยหรือไงเนี่ย”
นับดาวมองไปเห็นบันไดวางพิงอยู่ริมผนังด้านหนึ่ง
อลิสารออยู่ที่บ้านคนเดียว รู้สึกใจคอไม่ดี มองซ้ายมองขวาใจตุ๊มๆต่อมๆ ทันใดนั้นประตูเปิดพรวดออกมา พร้อมกับปราบที่เดินเข้ามาเสื้อผ้าเปื้อนเลือด อลิสาร้องกรี๊ด ปราบหันมามอง อลิสาหมดทางหนี ทำอะไรไม่ถูก
“คุณอลิสารึเปล่าครับ”
อลิสาเอะใจ
“คุณปราบ”
“คุณอลิสามาที่นี่ได้ยังไงครับเนี่ย”
“ฉันมากับนับดาวน่ะค่ะ เรามาหาคุณปราบศึก”
“ผมนี่แหละครับปราบศึก”
“คุณปราบ...โอย ตกใจหมด ไปทำอะไรมาคะ เลือดเต็มตัวแบบนั้นน่ะ”
“ไปช่วยหมาถูกรถทับน่ะครับ มันฉุกละหุก เลยไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อ ขอโทษนะครับที่ทำให้ตกใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“มาคนเดียวเหรอครับ”
“มากับนับดาวค่ะ”
“แล้วคุณนับดาวล่ะครับ”
“มีเด็กผู้หญิงคนนึงบอกจะพาเธอไปหาคุณน่ะค่ะ”
ปราบขมวดคิ้ว ระหว่างนั้นน้อยหน่าก็วิ่งเข้ามา ไม่ทันเห็นปราบ
“น้าขา เพื่อนน้าเขาตกบ่อที่เรือนเพาะชำน่ะค่ะ รีบไปช่วยเขาเถอะค่ะ”
อลิสาตกใจ
“จริงเหรอ”
“ค่ะ ตามหนูมาเร็วๆค่ะ”
ปราบแปลกจึงใจถามขึ้น
“ที่เรือนเพราะชำมีบ่อด้วยเหรอน้อยหน่า”
น้อยหน่าสะดุ้งสุดตัว หันมาเจอปราบ เธอหน้าซีดทันที
“เธอพาคุณนับดาวไปไว้ที่ไหน”
น้อยหน่าอึกอัก
“เอ่อ...”
ในฟาร์มร้อนมาก นับดาวเหงื่อโทรมกาย เธอเอาบันไดพาดพยายามปีนหาทางหนีทีไล่ แต่บันไดไม่ค่อยดีมันโยกเยก นับดาวปีนขึ้นไปได้ 3-4 ขึ้น ก็ไม่กล้าปีนต่อ กลัวตกลงมา เธอมองลงไปข้างล่าง ท่าทางหนักใจ แต่ก็ตัดสินใจสู้
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน...ไม่งั้นน้าอะซ่าเสร็จยัยเด็กเปรตนั่นแน่ๆ”
นับดาวปีนต่อ บันไดโยกเยกมากขึ้น เธอแข็งใจปีนต่อ บันไดเสียหลัก เอียงล้มลง นับดาวร้องลั่นหล่นลงมา โชคดีตกลงบนกองฟางกองลังที่สุมๆกันไว้ เธอลุกขึ้น สำรวจตัวเอง ไม่มีบาดแผล ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิด ยกมือเช็ดแก้มตัวเอง เห็นขี้ไก่ติดมือ นับดาวหันขวับไปมองที่ที่เธอหล่นลงมา มีขี้ไก่เปื้อนอยู่เป็นหย่อมๆ เธอขยะแขยงสุดชีวิต หาอะไรแถวนั้นเช็ดเป็นพัลวัน ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงกึงกังที่ประตู นับดาวชะงักหยิบไม้กวาดแถวนั้นมาถือก่อนวิ่งไปแอบ
“เด็กเปรต ถ้าเป็นแกฉันจะฟาดให้จั๋งหนับเลย”
มีคนเดินเข้ามา หยุดยืนตรงประตูย้อนแสงทำให้ไม่เห็นหน้า เห็นแต่ว่าเป็นผู้ชาย เนื้อตัวเปื้อนเลือด ในมือถือขวานอันใหญ่ นับดาวกลืนน้ำลายเอื๊อก รีบก้มหมอบต่ำ
“นี่ฉันมาอยู่ในบ้านฆาตกรโรคจิตเหรอไงเนี่ย”
นับดาวก้มมอง เห็นเท้าของผู้ชายตัวเปื้อนเลือดเดินช้าๆตรงมาที่ๆตนเองซ่อนอยู่ เธอกลัวจนตัวสั่น เท้าของเขามาหยุดใกล้ๆ นับดาวปิดปากตัวเอง สักครู่เท้าคู่นั้นเดินผ่านเลยไป นับดาวโล่งอก แต่ปลายไม้กวาดที่ถืออยู่ไปชนอะไรแถวนั้นดังกุกกัก เท้าคู่นั้นหันขวับมาทันที เดินตรงมาหาเธออย่างรวดเร็ว นับดาวตัดสินใจ กำไม้กวาดแน่น พุ่งออกไปฟาดไม้กวาดใส่สุดแรงเกิด โดนกลางแสกหน้า ปราบหงายหลัง ขวานหล่นจากมือ นับดาวฟาดมาอีกครั้ง ปราบรีบคว้าปี๊บสังกะสีมากันไว้ นับดาวตีใสปี๊บดังสนั่น ปราบโยนปี๊บทิ้งไป กาวยางข้างในไหลออกมานองพื้น เขารีบลุกขึ้น นับดาวจะตีอีก ปราบรีบจับด้ามไม้กวาดไว้ ทั้งสองคนยื้อไม้กวาดกัน
“คุณนับดาว คุณมาตีผมทำไม”
นับดาวชะงัก มองหน้า
“นายปราบ...เอ๊ะ...หรือว่านายคือคุณปราบศึก”
“ใช่ ผมนี่แหละ”
“คุณทำแบบนี้ทำไม...หรือว่า คุณคิดจะฆ่าข่มขืนฉัน”
“ไปกันใหญ่แล้ว เรื่องมันยาว ผมมาช่วยคุณ แล้วนี่เหม็นอะไรเนี่ย”
“เอ่อ...เมื่อกี้...” นับดาวอุบอิบ “หน้า...ฉัน...เปื้อนขี้ไก่น่ะ”
“กลิ่นกาวยางกับกลิ่นขี้ไก่บนหน้าคุณนี่มันคุ้นๆแฮะ”
ทั้งสองมองหน้ากัน
ในอดีต...ครั้งที่ปราบกับนับดาวยังเป็นเด็กๆ เด็กชายปราบแกล้งเด็กหญิงนับดาว เขาหยิบกระป๋องที่เตรียมมา เอาตะเกียบจุ่มลงไป แล้วเขียนที่หน้าเธอ นับดาวลืมตามอง
“อะไรอ่ะ เหม็นจังเลย”
“กาวยางผสมขี้ไก่...”
ทั้งสองตาโต จำกันได้แล้ว นับดาวชี้หน้า
“นาย...ที่แท้นายคือไอ้เด็กจอมแสบคนนั้น”
“ส่วนเธอ ก็ยัยเด็กกวนโอ๊ย”
ทั้งสองจ้องหน้ากันฮึ่มฮั่ม
ปราบพานับดาวมาที่ห้องน้ำในบ้าน ยื่นผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าให้
“นี่เสื้อผ้าของน้อยหน่า ผมไม่รู้คุณจะใส่ได้หรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขอบใจ”
“ตามสบายนะครับ”
ปราบยิ้มให้ เดินจากไป นับดาวมองตามไป ปิดประตูลงกลอน กวาดสายตาสำรวจห้องน้ำ
“ห้องน้ำก็ดูดีใช้ได้นะ...แต่ว่า วางใจไม่ได้ อาจจะเป็นพวกโรคจิตก็ได้ แอบซ่อนกล้องไว้รึเปล่านะ”
นับดาวสำรวจอย่างละเอียด จนแน่ใจว่าไม่มีกล้อง เธอถอดเสื้อผ้ากำลังจะอาบน้ำก็ได้ยินเสียงน้อยหน่าแผดเสียงเถียงปราบดังแว่วๆเข้ามา
“พ่อเข้าข้างยัยนั่นเหรอ...ไม่จำเป็น นี่บ้านของหนู จะพูดเสียงดังใครจะทำไม ใครไม่อยากได้ยินก็เชิญออกไปนอกบ้านได้เลย”
นับดาวสะดุ้ง เงี่ยหูฟังต่อ
“ก็ยัยนั่นมันดูถูกเรา ทำไมหนูต้องทำดีกับยัยนั่นด้วย...”
เสียงเดินลงส้นปังๆๆแล้วก็เสียงปิดประตูห้องโครม แล้วก็เงียบไป นับดาวคิดๆ
“แสบจริงๆ...ท่าทางแสบพอๆกับฉันเลยแฮะ ยัยเด็กคนนี้”
นับดาวหัวเราะคนเดียว ก่อนจะอาบน้ำต่อ
นับดาวสวมเสื้อผ้าของน้อยหน่า นั่งข้างๆอลิสาคุยกับปราบที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแล้วอยู่ในห้องโถง ป้ายวงเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟแล้วเดินออกไป
“ต้องขอโทษแทนลูกสาวผมด้วยนะครับ คือเค้ากำลังเป็นวัยรุ่น พฤติกรรมอาจจะนอกลู่นอกทางไปหน่อย โดยเฉพาะเรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตเนี่ย ผมก็พยายามเตือนเขาตลอด แต่ก็ยังมาเกิดเรื่องแบบนี้จนได้”
นับดาวยิ้มแย้มบอก
“เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ฉันเข้าใจ”
อลิสามองนับดาวด้วยความแปลกใจ ขณะที่ปราบรู้สึกผิดมาก
“แล้วก็ต้องขอโทษแทนอาผมด้วย ที่เป็นต้นเหตุทำให้คุณอลิสาถูกถ่ายคลิปที่โรงรับจำนำน่ะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ความจริงฉันแวะเข้าไปคุยกับเพื่อนน่ะค่ะ แต่พูดไปก็เท่านั้น” อลิสาพยจายามแก้ตัว
“เราไม่โกรธพวกคุณหรอกค่ะ ยิ่งตอนนี้รู้ว่าเราไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ ความจริงฉันจำหน้าคุณ
ตอนเด็กได้นะ แต่คุณเปลี่ยนไปเยอะเลย” นับดาวยิ้มให้อย่างเป็นมิตรเต็มที่
“นั่นน่ะสิครับ คุณก็เหมือนกัน”
“ตลกดีนะคะ ที่ตอนโตเรามาเจอกันแบบนี้”
“ครับ”
ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง อลิสาหันไปหานับดาว
“ตอนเธออาบน้ำ น้าอธิบายให้คุณปราบรู้แล้วว่าเรามาพบเขาทำไม”
“งั้นดาวไม่พูดซ้ำนะคะ...แล้วคุณปราบโอเคไหมคะ 50 ล้าน หักค่าโอนค่าภาษี ได้เท่าไหร่เรามาแบ่งครึ่งกันตกลงไหมคะ”
“ไม่ตกลงครับ”
นับดาวชะงักไปนิดนึง
“แหม ร้ายนะคะ ก็ได้ค่ะ ค่าจุกจิกพวกนั้นดาวออกให้ก็ได้ คุณปราบรับไป 25 ล้านก็ได้”
“ผมไม่ขายครับ”
นับดาวชะงักไปอีกครั้ง
“คุณปราบต้องการเงื่อนไขพิเศษอะไรเพิ่มรึเปล่าคะ เราคุยกันได้”
“ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ผมไม่ขาย”
“อ้ะ...ค่าที่แบ่ง 40 - 60 ก็ได้ค่ะ คุณได้ 60 เพราะที่ผ่านมาคุณก็อยู่ดูแลที่ผืนนี้มาตลอด”
“ไม่ขายครับ”
นับดาวพยายามต่อรอง
“ฉันเข้าใจ ดูแลที่มันเหนื่อย งั้น 30-70 ไม่มากไปกว่านี้แล้วนะคะ”
ปราบยืนยันเสียงแข็ง
“ไม่ขาย ต่อให้ผมได้ค่าที่คนเดียวผมก็ไม่ขายครับ”
นับดาวชักฉุน
“เอ๊ะ แต่ฉันอยากให้ขายนี่นา”
“ครับ รู้แล้วครับ แต่ผมไม่อยากขายและจะไม่ขายครับ”
นับดาวพยายามหาข้ออ้าง
“ฉันจะเอาเงินไปทำบุญนะ คุณทำแบบนี้มันบาปนะ”
“ถ้าอยากทำบุญแต่ไม่มีเงิน ไปบริจาคโลหิตก็ได้นี่ครับ”
นับดาวโมโห
“ใครบอกฉันไม่มีเงิน พูดดีๆนะ”
ปราบยิ้มๆ
“ขอโทษครับที่เข้าใจผิด”
นับดาวเปลี่ยนวิธี ยิ้มหวานให้
“คุณปราบคะ เขาว่ากันว่า ถ้าได้ทำบุญด้วยกัน ชาติหน้าก็จะได้...เกิดมา...” นับดาวทำเขิน “ได้ใกล้ชิดกัน เป็นเพื่อน...ถ้าทำบุญด้วยกันมากๆก็จะได้เป็นเพื่อนสนิทกัน ยิ่งมากยิ่งสนิท ยิ่งใกล้ชิด...ถ้ายังไง...”
นับดาวอมยิ้มเซ็กซี่
“ผมไม่ชอบทำบุญหวังผลครับ”
นับดาวเลิกโหมดยั่วยวน ยื่นมือมาทางอลิสา อลิสารู้งาน รีบหยิบโบชัวร์ให้
“พอดีก่อนดาวจะแวะมาที่นี่ ดาวไปหาเพื่อนที่โชว์รูมรถมาน่ะค่ะ...นี่ เขาเพิ่งนำเข้ารถสปอร์ต รุ่นใหม่เข้ามาเลย ประเทศไทยมีแค่คันเดียว สวยไหมคะ”
ปราบดูผ่านๆ
“ราคา 18 ล้านเอง ถ้าคุณปราบอยากได้ล่ะก็ ไม่ยากเลย แค่คุณปราบ...”
“ไม่ขายครับ แล้วผมก็ไม่สนใจรถพวกนี้ด้วยครับ”
นับดาวนำเสนอใหม่
“นี่ อันนี้เป็นเรือยอร์ช ขอบอกว่าหะรูหะรามาก เศรษฐีเก๊ๆไม่มีใช้แน่นอน”
ปราบยืนยัน
“ไม่ขายที่ ไม่สนเรือครับ”
นับดาวปาโบชัวร์ลงพื้น
“สรุปว่ายังไงคุณก็จะไม่ขายที่”
“ถูกต้อง คุณเข้าใจก็ดีแล้ว”
“คุณปราบ คุณจำได้ไหม เมื่อก่อนคุณเอาอุจจาระไก่ทาหน้าฉันนะ”
“ครับ”
“คุณรู้ไหมว่ามันทำให้ชีวิตตกต่ำ ฉันกลายเป็นคนหมดความมั่นใจในตัวเอง ชีวิตฉันล่มสลายเพราะความคึกคะนองของคุณ” นับดาวทำท่าขมขื่นจนจะร้องไห้ “คุณต้องรับผิดชอบ”
ปราบอึ้ง
“เหรอครับ”
“ฉันให้โอกาสคุณไถ่บาป ขายที่ซะ แล้วถือว่าเราหายกัน”
“เท่าที่ผมจำได้ คุณนั่นแหละเอาปากกาเมจิกมาเขียนหน้าผมก่อน เราหายกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะครับ”
นับดาวฉุนกึก หาทางใหม่
“ได้ งั้นฉันจะแจ้งความว่าลูกสาวคุณโพสต์ด่าฉัน ฉันจะเรียกร้องค่าเสียหาย 100 ล้านบาท”
ปราบยิ้ม
“ก็ดีครับ ยัยน้อยหน่าจะได้รับบทเรียนซะมั่ง ส่วนเรื่องค่าเสียหายน่ะ คุณอยากเรียกเท่าไหร่ก็ตามสบาย แต่อยากให้ความรู้นิดนึงว่าศาลท่านไม่ได้ติงต๊องอย่างที่คุณคิดหรอกนะ โพสต์ว่าคุณจั๊กกะแร้เหม็นเนี่ย อย่างมากก็ปรับห้าร้อยบาทเท่านั้นแหละ และอาจจะเหลือ 50 บาทก็ได้ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าจั๊กกะแร้คุณเหม็นจริง...ผมว่าสุดท้ายแล้ว คดีนี้ผมคงจ่ายแค่ 50 บาทเท่านั้นแหละ”
นับดาวโกรธชี้หน้าปราบ
“ฉันจะให้เพื่อนฉันที่เป็นมาเฟียมาเก็บคุณ”
ปราบไม่กลัว
“บอกเพื่อนคุณด้วยว่าวันที่มาใส่เสื้อกันกระสุนมาด้วยนะ คนงานที่นี่ยิงปืนแม่นทุกคน”
นับดาวหงุดหงิดมาก
“นายปราบ ฉันขี้เกียจเสียเวลาแล้ว พูดมาตรงๆเลย บอกมาเด๊ะ ต้องทำยังไงถึงจะยอมเซ็นต์
เอกสารนี่ หา”
“ทีตอนนี้อยากได้ลายเซ็นต์ผมขึ้นมา วันก่อนผมไปขอลายเซ็นต์คุณ คุณไล่ผมยังกับหมูกับหมา...ฝันไปเถอะ ผมไม่เซ็นต์ให้คุณหรอก”
นับดาวรีบเสนอ
“ได้ 1 ลายเซ็นต์คุณ แลกกับ 100 ลายเซ็นต์ของฉัน ตกลงไหม”
ปราบเบ้หน้า
“หลงตัวเองไปหน่อยแล้วคุณนับดาว ลายเซ็นต์คุณไม่มีค่าอะไรทั้งนั้นในสายตาผม จะไปเซ็นต์ที่ไหนก็ไปเถอะ อย่ามาเซ็นแถวนี้ละกัน ขี้เกียจเอาสีทาทับ”
นับดาวจ้องหน้าปราบ ท่าทางโกรธจัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ร้องโอยเบาๆ เป็นลมล้มพับ
อลิสาตกใจ
“ดาว ดาวเป็นอะไร”
นับดาวลืมตาบอก
“โรคหัวใจกำเริบค่ะ...ถ้าดาวไม่สามารถขายที่เพื่อเอาเงินไปทำบุญได้ล่ะก็...ดาวคง โอ๊ย...”
นับดาวกุมหน้าอก หน้าซีด ปราบก็ตกใจ
“คุณนับดาว ทำใจดีๆไว้นะครับ”
ปราบรีบวิ่งออกไป นับดาวแอบขยิบตาให้ อลิสายิ้มโล่งอก ปราบวิ่งกลับเข้ามา นับดาวรีบแกล้งโอดโอยต่อ เขาแกะกล่อง หยิบขวดยาออกมา จิ้มเข็มไซริงค์ลงไปดูดยา
“คุณโชคดีมาก ผมมียารักษาโรคหัวใจของสุนัขอยู่พอดี รอแป๊บนึงนะครับ”
นับดาวสะดุ้ง
“จะบ้าเหรอ ฉันเป็นคนนะ”
“หลักการมันเหมือนกัน เชื่อผมเหอะ ผมเป็นสัตวแพทย์ครับ”
“ไม่ต้อง ฉันหายแล้ว เก็บไว้ฉีดตัวเองเถอะ...กลับเถอะค่ะน้าอะซ่า”
นับดาวลุกเดินออกไปทันที อลิสารีบวิ่งตามไป ปราบยิ้มมองตามไป
นับดาวขับรถไปบนถนนอย่างหงุดหงิด อลิสานั่งหน้าเศร้าอยู่ข้างๆ
“เฮ้อ เสียดาย เงินตั้งหลายล้าน”
“หลายสิบล้านค่ะน้าอะซ่า”
“ยิ่งพูดยิ่งเสียดาย ว้า เซ็งวุ้ย”
“จะเซ็งทำไมคะ เกมส์ยังไม่จบ”
อลิสาแปลกใจ
“หา หมายความว่า...”
“นี่แค่ยกแรกค่ะ เงินขนาดนี้ยอมแพ้ง่ายๆได้ไง ที่ถอยนี่ถอยตั้งหลักค่ะ...เอ๊ะ นั่นนายปกป้องใช่
ไหมคะ”
นับดาวมองไปข้างหน้าเห็นปกป้องกำลังขี่มอเตอร์ไซลค์เข้ามา อลิสามองแค้นๆ
“ใช่...ไอ้ตัวแสบ”
“ชนเลยมั้ยคะ”
นับดาวตั้งท่าหักพวงมาลัย อลิสารีบห้าม
“อย่าๆๆ สงสารเขา”
นับดาวเหลือบดูอลิสาแว่บหนึ่ง อมยิ้มเล็กน้อย ขับผ่านไปเฉยๆ ปกป้องหันมองตามไปแว่บหนึ่ง
ปกป้องเข้านั่งคุยกับปราบในห้องโถง
“แหม เสียดายจังโว้ย รู้งี้รีบกลับบ้านก็ดีหรอก จะได้เจอคุณอะซ่า”
“เดี๋ยวก็โดนเขาตบอีกหรอก”
“มือชั้นนี้แล้วกลัวที่ไหน...ว่าแต่ แกจะขายที่รึเปล่าวะ”
“ไม่ขายครับ”
“แต่ถ้าแกขาย เขาอาจจะมาเป็นเพื่อนบ้านเราก็ได้นะ”
“ทันทีที่เราขายให้เขา เขาก็จะขายให้คนอื่นต่อ ไม่มาปลูกบ้านอยู่หรอกครับ”
“อืม แต่เงินก็ไม่น้อยนะปราบ แกคิดดีแล้วใช่ไหม”
“ครับ ผมไม่อยากมีเพื่อนบ้านเป็นสนามกอล์ฟหรือรีสอร์ตอะไรอีกทั้งนั้น เก็บไว้เลี้ยงวัว ทำไร่ ทำนาอะไรดีกว่า ขืนขายไปยัยนั่นได้เงินก็คงไปถลุงของฟุ่มเฟือยหมดแน่นอน เดี๋ยวก็ว้าวแซ่บ ว้าวแซ่บอะไรไม่รู้ ปัญญาอ่อน”
ปราบบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
นับดาวกับอลิสากลับมาถึงบ้านยังไม่อาบน้ำ นั่งดูทีวีกันกินขนมกันไป เป็นรายการประมาณบางกอกกระซิบ พิธีกรกำลังดำเนินรายการ
“ส่วนข่าวต่อไปนะคะ จะเป็นข่าวอื่นไม่ได้ ก็งานเปิดร้านกระเป๋าแบรนด์สุดฮิตของมาดามแป้น...ยังค้า ยังไม่เปิดแต่กำลังจะเปิดเร็วๆนี้ ไปฟังคุณน้องเอมี่หน่อยนะคะ ว่าชีจะชวนใครไปงานนี้ค้า”
ภาพในทีวีตัดเข้าเอมี่
“งานเปิดร้านพี่แป้นเหรอคะ ต้องไปสิคะ เห็นพี่แป้นบอกว่ามีลิมิเต็ดหลายชิ้นเลย...อุ๊ย พูดแล้วนึกได้ เพื่อนนับดาว อย่าพลาดนะคะ เอมี่ไม่เชื่อข่าวลือเรื่องเพื่อนต้องเข้าโรงตึ๊งหรอกนะคะ มาเจอกันในงานเจ๊แป้นดีกว่า กระหน่ำช้อปให้พวกขาเม้าธ์เงียบไปเลยนะคะ”
“แล้วถ้าคุณนับดาวไม่ไปละคะ”
“แหม ไปสิคะ ถ้าไปก็แปลว่าข่าวลือไม่จริงไงคะ เอ แต่ถ้าไม่ไปก็แปลว่า...อุ๊ย ไม่อยากคิดค่ะ เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เพื่อนนับดาวไม่ถังแตกจริงๆหรอกใช่มั้ย”
เอมี่พูดกับกล้อง ทำหน้าตาตอแหล นับดาวโกรธมาก แต่พูดอะไรไม่ออก ทุบอกปั้กๆ อลิสาแปลกใจ
“ดาว เป็นอะไร”
“ขนมติดคอค่ะ”
นับดาวกลืนน้ำอึ๊ก แค่นหัวเราะ
“ได้เลย ยัยเอมี่ เจอกันงานเจ๊แป้น”
อลิสาถอนใจ
“ถ้าไปก็ต้องไปช้อป แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปช้อปยะ”
นับดาวอึ้ง
“แล้วจะปล่อยให้มันเยาะเย้ยเราอย่างงี้เหรอคะ”
“แล้วจะให้ทำไงเล่า ก็เราไม่มีเงิน เข้าใจมั้ย ไม่มีเงิน”
นับดาวฮึดฮัด ทันใดนั้นมือถือส่งสัญญาณมีแมสเสจเข้า นับดาวกดอ่าน
“เอาเข้าไป”
อลิสาสงสัย
“เรื่องอะไรอีก”
“ชนะชัยแมสเสจมาเตือนเรื่องที่แม่เขาจะมากินข้าวที่บ้านเราน่ะค่ะ”
อลิสาเงียบไปครู่ใหญ่
“ทำไฟไหม้บ้านมั้ย ซักห้องนึงก็ได้ แค่นี้ก็ปฎิเสธเขาได้แล้ว”
“อย่าเลยค่ะ ดีไม่ดีเดี๋ยวไหม้ทั้งบ้าน”
นับดาวเงียบไป นึกอะไรขึ้นได้ เดินออกไป อลิสางงๆ
“จะไปไหนของเธอน่ะดาว”
“ไปแบงค์ค่ะ”
นับดาวบอกอย่างมุ่งมั่น
อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ 9.30 น.
*ติดตามความสนุกของ "หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ" เต็มอิ่มจุใจ 2 รอบเวลา 9.30 น. และ 17.00 น.*
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 3(ต่อ)
นับดาวตัดสินใจเอาบ้านเข้าจำนองกับธนาคาร เธอตรวจเอกสารแล้วเก็บเข้าตู้เก็บเอกสาร อลิสานั่งดูอยู่ตาปริบๆ
“เฮ้อ น้าไม่สบายใจยังไงไม่รู้”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เขาเรียกกลยุทธทุบหม้อข้าว พระเจ้าตากใช้ได้ผลมาแล้ว”
“แต่ว่า...”
อลิสามองไปรอบๆบ้าน นับดาวพูดขึ้น
“ถ้าเราไม่จำนองบ้านเอาเงินมาใช้ เราคงต้องเผาบ้านอย่างที่น้าว่านั่นแหละค่ะ ไหนๆจะเสี่ยงแล้ว เอาให้ถึงที่สุดเลยดีกว่า เอาเงินมาซื้อผักชีโรยหน้าให้แม่คุณชนะชัยดู...แล้วเรื่องนี้จะทำให้เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหาทางบีบให้นายปราบขายที่ให้เราให้ได้ ไม่งั้นเราก็จะเสียบ้านหลังนี้ไป กลายเป็นคนเร่ร่อนนอนข้างถนน”
“แล้วก็เอาเงินที่ได้มาไปดวลดับยัยเอมี่ ที่งานเปิดร้านมาดามแป้นด้วยใช่ไหมล่ะ”
“แหม อันนั้นมันผลพลอยได้น่ะค่ะ อุตส่าห์จำนองบ้านทั้งทีเนอะ”
นับดาวหัวเราะอิอิ อลิสาถอนใจ
“เอาไงก็เอา”
รถหกล้อวิ่งมาจอดหน้าบ้านนับดาว ฟู่กับทีมอาร์ตลงมาจากรถ อลิสามาเปิดประตูต้อนรับ
“หวัดดีค่ะพี่ฟู่ แหม มาเร็วทันใจจัง”
“ก็งานด่วนไม่ใช่เหรอจ๊ะ นี่หมู เป็นอาร์ตได ชำนาญมากเรื่องเอาของถูกมาทำให้ดูแพง”
“พี่ฟู่บรี๊ฟงานแล้วครับ รับรองไฮโซเลยครับ พร็อบฉากละครบ้านคุณหญิงคุณนายทั้งนั้น” หมูโอ่เสร็จเดินไปหยิบกรอบรูปมาให้ดู ท่าทางหนักอึ้ง “กรอบรูปไม้สักครับ ของเก่ามาก”
“ตายแล้ว ท่าทางจะแพงนะคะ ฝืมือดีมากเลย”
หมูโยนกรอบรูปให้ อลิสาร้องว้าย รับไว้ แล้วก็งง
“โฟมนี่นา”
กรอบรูปที่ว่าทำด้วยโฟมแกะทาสี ฟู่กับหมูหัวเราะ
“ไม่ต้องห่วงนะครับ พวกนี้เอาไว้ตั้งไกลๆ ของใกล้ตัวเราใช้ของจริงครับ”
หมูและทีมอาร์ตได เริ่มการทำงานตกแต่งบ้านนับดาว
หน้าบ้านนับดาว มีไม้ดอกไม้กระถางและของตกแต่งมาจัดเรียงอย่างสวยงาม รถหรูคันหนึ่ง จอดหน้าบ้าน คนขับรถเปิดประตูให้ ชนะชัยกับชัชฏาในชุดดูเป็นทางการลงจากรถ ชัชฎากวาดตามองไปทั่วบริเวณบ้าน
พยักหน้าพอใจ
“บ้านดูหรูดี มีแต่ต้นไม้ราคาแพง ดูแลยาก แสดงว่าจ้างคนสวนเก่งๆมาทำงาน”
ชนะชัยยิ้มยิ้มพึงใจ
“ดูมีรสนิยมดีนะครับ”
“ชมนิดหน่อยไม่ได้เลยนะ คอยหาทางเสริมตลอด”
ชนะชัยหัวเราะเล็กน้อย บัตเลอร์เปิดประตูให้
“คุณชนะชัยกับคุณชัชฎาใช่ไหมครับ เชิญครับ คุณผู้หญิงรออยู่แล้วครับ”
ชัชฎาพยักหน้าให้ เกาะมือชนะชัยเดินตามบัตเลอร์เข้าไป ชัชฎาถึงกับอึ้งๆที่บ้านนับด้าวจ้างหน่วยบริการอย้างหรูมาดูแลบ้าน กระซิบกับชนะชัยเบาๆ
“ท่าทางเขาจะจัดหนักนะ แกว่าแม่ควรจะกลับบ้านไปเปลี่ยนสร้อยให้เส้นใหญ่กว่านี้ดีไหม”
“ไม่ต้องหรอกครับ นับดาวเขาเป็นคนง่ายๆกันเองๆครับ”
ชนะชัยยิ้มอย่างมีความสุข ที่เห็นนับดาวรวยมาก
ชัชฎากับชนะชัยเข้ามาในบ้านแล้วก็อึ้ง บ้านนับดาวที่โดนทีมอาร์ตถมพร็อบซะแน่นยังกะพระราชวังแวร์ซาย บัตเลอร์ผายมือไป เห็นนับดาวกับอลิสารออยู่ในชุดเดรสราตรีหรูหรา จัดเต็มทั้งสร้อยเพชร ต่างหูเพชร วิ้งๆจนแสบตา มีสาวใช้ในชุดแชมเบอร์เมด คอยท่าอยู่ที่โต๊ะอาหารดูหรูหราทั้งเชิงเทียน เครื่องถ้วยชามฯลฯ ชัชฎาปรับสีหน้า ยิ้มให้นับดาวกับอลิสา นับดาวไหว้อย่างอ่อนน้อม
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
ชัชฎารับไหว้
“สวัสดีจ้ะหนูนับดาว สวัสดีค่ะคุณอลิสา”
ชนะชัยมองรอบๆ
“บ้านสวยมากเลยครับ”
“อุ๊ยตายแล้ว คุณจ๊อบไม่ได้อำดาวเล่นใช่ไหมคะ”
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ”
“ความจริงดาวอายด้วยซ้ำ ไม่ค่อยอยากใช้บ้านหลังนี้ต้อนรับคุณกับคุณแม่หรอกค่ะ มันค่อนข้างซอมซ่อ ดาวไม่ค่อยมีเวลาตกแต่งอะไรมันมาก เอาไว้ซุกหัวนอนเฉยๆ ไว้วันไหนถ้าสะดวก จะเชิญไปที่คฤหาสถ์ของครอบครัวดีกว่าค่ะ หลังนั้นค่อยดูหรูหราหน่อย”
ชัชฎายิ้มแย้ม
“เอาเถอะจ้ะ แม่ไม่ใช่คนเรื่องมากเจ้ายศเจ้าอย่างอะไรนักหรอกจ้ะ”
อลิสาเชื้อเชิญ
“เชิญนั่งค่ะ เดี๋ยวจะได้เสิร์ฟอาหารเลยนะคะ”
นับดาวหันไปเรียก
“อัลเฟรดคะ”
บัตเลอร์เดินเข้ามาโค้ง
“ครับคุณนับดาว”
“ค่ำนี้เรามีอะไรทานคะ”
“ซุปใสนอร์มังดี สลัดล็อปสเตอร์ พาสต้ามิลาโน่สไตล์ เสต็กเนื้อมัสซึซากะ ส่วนของหวานเป็น สลิ่มแม่ลำดวนครับ”
ชัชฏาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ มาสะดุดตรงสลิ่ม นับดาวกับอลิสาสะดุ้ง หน้าแหย ฝืนยิ้ม
“ไหนตอนแรกบอกเป็นเจลาโต้เวนิเชี่ยนไม่ใช่เหรอจ๊ะ อัลเฟรด”
“พอดีงบหมด เอ๊ย...ค่าแคลอรี่ในมื้อนี้เต็มพิกัดแล้ว ผมเลยเปลี่ยนเมนูของหวานเพื่อสุขภาพของ
คุณผู้หญิงและแขกของเราในคืนนี้ครับ”
ชัชฎายิ้มแย้ม
“ขอบใจจ๊ะ น่าประทับใจมากค่ะ”
อลิสาหันไปสั่ง
“เสิร์ฟเลยละกันจ้ะ อัลเฟรด”
หลังจากทุกคนทานอาหารกันอย่างชื่นมื่น สาวใช้เก็บจานชามไป แล้วเริ่มเสิร์ฟสลิ่ม
“พ่อครัวที่นี่ฝีมือดีมากเลยนะคะ”
“ค่ะ พอดีดาวไปทานอาหารที่โรงแรมแล้วถูกใจฝีมือ เลยขอซื้อตัวมาดื้อๆเลย ให้มาทำอาหารที่
บ้านน่ะค่ะ”
ชัชฎาพยักหน้า สบตากับชนะชัย แล้วเข้าเรื่อง
“นิสัยหนูดาวคล้ายๆกับแม่เลยนะ”
“นั่นสิครับ ถ้าได้ทำธุระกิจด้วยกันก็ดีเลยนะครับ สไตล์ถูกใจแล้วต้องได้เหมือนกันแบบนี้”
“อย่าคุยเรื่องงานบนโต๊ะอาหารสิจ๊ะ ลูกคนนี้ก็ หนูนับดาวเขาอาจจะถือก็ได้”
นับดาวยิ้มกว้าง
“ไม่หรอกค่ะ คุยได้ค่ะ หนูสบายๆค่ะ ไม่ค่อยเคร่งครัดอะไรหรอกค่ะ”
“คืองี้ครับ บริษัทของคุณแม่กำลังจะขยายกิจการ ความจริงเป็นกิจการในครอบครัว ไม่เคยหุ้นกับใคร แต่พอเพื่อนๆคุณแม่รู้ก็มาขอหุ้นด้วยเพราะกำไรดีมากๆ คุณแม่ก็ใจอ่อน ยอมให้เพื่อนๆมาหุ้นด้วย คนละห้าเปอร์เซ็นต์บ้าง สิบเปอร์เซ็นต์บ้าง พอผมรู้ผมก็ขอคุณแม่ว่าอยากให้คุณดาวหุ้นด้วย เพราะผมว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากๆ คุณดาวไม่ต้องบริหารอะไรเลย รอรับเงินส่วนแบ่งอย่างเดียว”
ชัชฎาหัวเราะ
“เพื่อนๆแม่เขาก็คิดแบบนี้แหละ เพราะรู้ฝีมือแม่ดีว่าเขี้ยวลากดินขนาดไหน เรื่องขาดทุนน่ะไม่มีวัน แต่แม่ให้หนูดาวเป็นคนสุดท้ายนะ บอกตรงๆว่าถ้าไม่ใช่แฟนตาจ๊อบแม่ก็ไม่ให้หรอก”
นับดาวรีบไหว้ชัชฎา
“ขอบคุณคุณแม่ค่ะที่เมตตาดาว ถ้าดาวจะหุ้นด้วยต้องทำยังไงบ้างคะ”
“คุณดาวลงยี่สิบล้านก็ได้ครับ เท่าที่เพื่อนแม่ลง ขืนลงมากกว่านั้นเดี๋ยวคุณแม่อาจจะนึกว่าคุณ
ดาวจะเทคโอเวอร์”
ชัชฏาหันไค้อนลูกชาย
“แซวแม่เหรอ เดียวเถอะ”
นับดาวกับอลิสาสบตากัน
“ดาวก็สนใจนะคะ แต่ดาวกับน้าอะซ่าคงต้องขอเวลาปรึกษากันก่อน”
อลิสาเสริม
“20 ล้านถึงจะไม่ใช่เงินมากมายสำหรับเรา แต่ก็อยากขอศึกษาข้อมูลก่อนน่ะค่ะ”
ชัชฎาตอบกลับน้ำเสียงเย็นชา
“ถ้าไม่ไว้ใจก็ไม่เป็นไรค่ะ ไม่อยากให้ลำบากใจเหมือนกัน”
นับดาวรีบบอก
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ น้าอะซ่าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอกค่ะ”
“ถือว่าแม่ไม่ได้พูดก็แล้วกัน...เปลี่ยนเรื่องคุยเถอะ เดี๋ยวจะอึดอัดกันเปล่าๆ สลิ่มนี่อร่อยดีเหมือนกัน นานๆกินทีก็ชื่นใจดีนะคะ”
นับดาวกับอลิสายิ้มให้
นับดาวกับอลิสามาส่งชนะชัยกับชัชฎาที่หน้าบ้าน ไหว้ล่ำลากัน ชนะชัยรีๆรอๆจนชัชฎาไปขึ้นรถ ชนะชัยก็คุยกับนับดาวเสียงเบาๆ
“คุณดาวไม่ต้องเครียดนะครับ ท่านไม่ได้โกรธคุณหรอก ท่านเป็นคนตรงไปตรงมาแบบนี้เอง”
“ค่ะ ดาวเข้าใจค่ะ”
“ส่วนเรื่องหุ้น ถ้าคุณดาวไม่สบายใจก็ไม่ต้องซื้อหรอกครับ ผมผิดเองที่จู่ๆก็ชวนคุณดาวแบบนี้”
“สนใจค่ะ อยากซื้อค่ะ”
“อย่าซื้อเพราะเกรงใจผมนะครับ...แต่ถ้าคุณดาวอยากซื้อจริงๆ ก็ต้องรีบตัดสินใจนะครับ คุณ
แม่ท่านเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“ค่ะๆ”
“งั้นผมไปก่อนนะครับ...นอนหลับฝันดีนะครับ”
“ค่ะ”
ชนะชัยยิ้มให้ แล้วขึ้นรถไปกับชัชฏา นับดาวกับอลิสามองตามรถของชนะชัยไป อลิสาหันมาถามอย่างสงสัย
“ถามจริงเหอะนี่คิดจะซื้อหุ้นจริงๆเหรอ”
“คงต้องแล้วมั้งค่ะ”
นับดาวถอนใจ
เวลานั้นชนะชัยคุยกับชัชฎาในรถ
“ถ้าเขาไม่อยากซื้อหุ้นล่ะครับ”
“ถ้าเงินแค่ 20 ล้านยังยึกยัก ก็แปลว่าไม่รวยพอ แกก็เลิกคบกับยัยนี่ได้เลย คบไปก็ช่วยอะไรเราไม่ได้”
“แต่เท่าที่ดูวันนี้ พวกเขาก็เรียกได้ว่ารวยมากเลยนะครับ”
“ยังบอกอะไรไม่ได้หรอก บางคนกินส้มตำข้างปั๊มแต่มีเงินสดเป็นพันล้าน บางคนกินไวน์หรูแต่
มีเงินจริงๆไม่กี่แสน แม่เจอมาเยอะแล้ว ทางเดียวที่จะบอกได้ว่าใครมีเงิน ก็คือคนๆนั้นมีเงิน ก็แค่นั้นแหละ” ชัชฎาบอกอย่างมั่นใจในความคิด
นับดาวทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างแรงคุยกับอลิสา
“ดาวต้องหาทางซื้อหุ้นแม่คุณจ๊อบให้ได้ ถ้าเราไม่ซื้อเขาจะสงสัยฐานะของเราได้”
“วันนี้ก็หมดงบไปตั้งเยอะแล้วนะ ไหนจะค่าของ ไหนจะค่าจ้างนักแสดง ไม่ช่วยอะไรเลยเหรอ”
“แม่คุณจ๊อบเขาระดับไหนแล้ว มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกค่ะ ฉากละครวันนี้เรียกได้ว่าแค่เอา
ตัวรอดไปได้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะหาเงินที่ไหนมาซื้อหุ้นล่ะ”
อลิสาพูดจบก็นึกออก
“ขายไร่ของพ่อเธอใช่ไหม”
“ค่ะ คงต้องรีบลงมือ หาทางเปลี่ยนใจนายปราบให้ได้เร็วที่สุด...แต่ก่อนหน้านั้น ดาวยังมีเรื่อง
อื่นต้องจัดการก่อน”
นับถือคิดถึงเอมี่อย้างแค้นๆ
ปราบเช็ดหูให้หมาตัวหนึ่งที่เป็นคนไข้ของคลินิก ทันใดนั้นโทรศัพท์ดังขึ้น แก้วรับสาย
“ปราบสัตวแพทย์ค่ะ…ค่ะ...ค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
แก้ววางสาย รีบบอกปราบ
“พี่ปราบคะ คุณเพชรสีโทรมา บอกไอ้แม็คกระเพาะบิดค่ะ”
ปราบแปลกใจ
“หา ไอ้แม็คเนี่ยนะ...แล้วเขารู้ได้ไงว่ามันกระเพาะบิด”
“แก้วไม่ได้ถามค่ะ คุณเพชรสีเขาคงพอจะรู้เรื่องสุนัขอยู่บ้างมั้งคะ”
ปราบพยักหน้า
บ้านเพชรสี มีอาณาเขตกว้างขวาง บอกฐานะผู้ร่ำรวยและมีอิทธิพลท้องถิ่น มีคนงานเดินไปเดินมา... รถของปราบวิ่งเข้ามาจอด เพชรสีแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงแต่ไม่ไม่เข้ากันเลย เธอนั่งเล่นแท็บเล็ตอยู่แถวนั้น พอมองเห็นรถปราบ เพชรสีก็ยิ้ม วางแท็บเล็ต เดินมานั่งยองๆ ข้างๆหมาตัวเล็กตัวหนึ่ง
“แม็คจ๋า เล่นละครกับฉันหน่อยนะ”
เพชรสีเอื้อมมือไปหยิกพุงหมา ปราบลงจากรถ สะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงหมาร้องลั่นปราบมองไปเห็น เห็นเพชรสีร้องไห้อยู่ ก็รีบวิ่งไปดู เพชรสีเงยหน้ามาเจอปราบ ยิ้มดีใจ วิ่งเข้ามากอด
“สวัสดีค่ะพี่ปราบ คิดถึงจังเลยค่ะ”
“แม็คเป็นไงบ้าง”
“แย่มากเลยค่ะ พี่ปราบได้ยินเสียงมันร้องไหมคะ”
เพชรสีปาดแขนเช็ดน้ำตา
“ครับ เสียงเหมือนโดนใครหยิก”
“ใครจะไปหยิกมันคะ ดูพูดเข้า มันป่วยอยู่นะคะ”
ปราบเข้าไปจับๆไอ้แม็ค อุ้มขึ้นมาดู
“ใครบอกคุณเพชรสีว่ามันป่วย”
“ก็มันร้องเจ็บ บิดตัวไปมา เพชรสีกลัวมันตาย ถ้าหมาเป็นกระเพาะบิดต้องรีบให้สัตวแพทย์มา
รักษาไม่ใช่เหรอคะ”
“ผมกะแล้วว่าต้องมีการเข้าใจผิด กระเพาะบิดน่ะส่วนใหญ่เป็นกับหมาโต ไม่ใช่หมาตัวเล็กแบบนี้ แต่ผมก็มาดูเพราะคิดว่าอาจจะเป็นโรคอะไรอย่างอื่น แต่นี่มันปกติและแข็งแรงดีครับ”
ปราบวางไอ้แม็คลงพื้นวิ่งหนีไป เพชรสียิ้มแหยๆ
“ขอบคุณพี่ปราบมากนะคะที่เป็นห่วงเพชรสีจนอุตส่าห์ขับมาดูอาการเนี่ย”
“ผมห่วงหมาครับ...เอาล่ะครับ แม็คปลอดภัยก็ดีแล้ว งั้นผมกลับก่อนแล้วกัน”
เพชรสีรีบห้าม
“ไม่ได้ค่ะ พี่ปราบเหนื่อยๆมา ต้องพักกินน้ำกินท่านิดนึง เพชรสีเพิ่งกลับมาจากยุโรป มีของฝากมาฝากพี่ปราบด้วยนะคะ มีทั้งช็อกโกแล็ต เสื้อผ้า น้ำหอมก็มีนะคะ”
ปราบเหนื่อยใจ
“เอาอีกละ ต้องบอกกี่ครั้งว่าผมไม่เอา ต้องให้บอกซ้ำอีกครั้งมั้ยว่าของฝากของคุณน่ะผมเอาไปบริจาคให้วัดหมดแล้ว”
ปราบเดินกลับไปที่รถ เพชรสีตะโกนตามหลัง
“ไอ้นั่นก็ไม่เอาเหรอคะ”
ปราบชะงัก
“ไอ้นั่น”
“ค่ะ ไอ้นั่นไงคะ”
ปราบมองมาที่หญิงสาว เพชรสีอมยิ้ม
เพชรสีจูงมือปราบเข้ามาในห้องนอนเธอ ปราบเข้ามาแล้วชะงัก
“ผมว่าผมรอข้างล่างดีกว่าครับ คุณเพชรสีช่วยเอาไปให้ผมข้างล่างแล้วกัน”
ปราบเดินออกไป เพชรสีกระชากกลับเข้ามา
“ไม่ได้ค่ะ เพชรสีอุตส่าห์แบกมันกลับมา ต้องหลบๆซ่อนๆเพราะต้องการให้พี่ปราบได้เห็นมันคนเดียว เกิดเอาไปข้างล่าง คนอื่นรู้เข้า มาขอแบ่งมาขโมยไป เพชรสีไม่เสียใจแย่เหรอคะ”
“ใครมันจะมาขโมยอาหารม้าครับ ไม่ใช่เพชรไม่ใช่ทองซักหน่อย”
“แต่มันเป็นอาหารม้าหายากไม่ใช่เหรอคะ พี่ปราบบอกเพชรสีเอง แล้วก็หายากจริงๆด้วย กว่าเพชรสีจะได้มันมาเลือดตาแทบกระเด็น แล้วพี่ปราบจะมาดูแคลนคุณค่าของมันอย่างงี้น่ะเหรอคะ”
“ผมไม่ได้ดูแคลนอะไรมันเลย ตรงข้าม ผมอยากได้มากเลยครับคุณเพชรสี”
“อุ๊ย เขิน อยากได้มากเหรอคะ เดี๋ยวปิดประตูห้องก่อน”
“ผมหมายถึงอาหารม้านะครับ”
“ก็ใช่น่ะสิคะ พี่ปราบนึกว่าเพชรสีหมายถึงอะไรเหรอ...บ้าจัง”
เพชรสีวิ่งไปปิดประตูห้องนอน ปิดผ้าม่าน แล้ววิ่งมาดึงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาจากใต้เตียง เปิดกระเป๋าออกมีถุงกระดาษใบใหญ่มาก ปราบแกะถุงกระดาษออก ข้างในเป็นถุงพลาสติก บรรจุอาหารม้าหน้าตาแปลกๆอยู่ ระหว่างที่ปราบกำลังดูถุงอาหารนี้ เพชรสีก็เข้ามาโอบกอดจากด้านหลัง
“ชอบไหมคะ”
“ชอบครับ”
เพชรสีลูบไล้
“แล้วอย่างงี้ล่ะคะ ชอบไหมคะ”
“ชอบครับ...เฮ้ย”
ปราบตกใจ รีบกะเด้งตัวออกมา
“คุณทำอะไรผมน่ะ”
“แต๊ะอั๋ง เอ๊ย...ก็กอดพี่ปราบไว้ไงคะ เผื่อดีใจจนเป็นลม เพชรสีจะได้ช่วยทันน่ะค่ะ”
เพชรสีหัวเราะคิกคัก
เจิดนั่งกินข้าวเหนียวจิ้มแจ่วเงียบๆอยู่ที่มุมคอกเฉาก๊วย ปราบแบกถุงอาหารม้าเข้ามา เพชรสีเดินตามมาด้วย ปราบแกะถุงออกหยิบอาหารขึ้นมากำหนึ่ง เดินเอามาให้ เฉาก๊วยดมแล้วกิน ปราบยิ้มดีใจมาก
“เฉาก๊วยน่ะ มันเป็นโรคไต ถ้าจะให้หายต้องผ่าตัด แต่เป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก พอดีมีคนบอก
ว่าที่ยุโรปมันมีอาหารยาตัวนี้อยู่ เป็นสูตรโบราณ หายากมาก ตอนที่คุณเพชรสีถามผมว่า อยากได้อะไรมั้ย ผมก็บอกไป แต่ไม่คิดว่าคุณเพชรสีจะหามาให้ผมได้จริงๆ ขอบคุณคุณมากนะครับ”
“อุ๊ย เรื่องเล็กค่ะ ถ้าพี่ปราบต้องการ เพชรสียอมถอด...”
“เดี๋ยวครับ”
เจิดร้องลั่นจนเพชรสีตกใจ
“อย่าเพิ่งถอดครับ ผมกลัวเป็นตากุ้งยิง”
เพชรสีหันไปค้อนใส่
“กุ้งโยงกุ้งยิงอะไรเล่า ที่ฉันว่ายอมถอดน่ะ...ยอมถอดหัวใจออกมาให้พี่ปราบดู ว่าเพชรสีเต็มใจช่วยพี่ปราบ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนอะไรเลย”
เจิดทำท่าโล่งอก ปราบหันไปไล่
“แกออกไปได้แล้วเจิด”
เจิดลังเล
“จะดีเหรอครับนาย ผมออกไป นายกับคุณเพชรสีก็อยู่กันสองต่อสอง ผมว่ามันจะไม่เหมาะไม่
งามนะครับ”
ปราบเกาหน้าแข้ง เจิดมองๆ
“อาการแบบนี้แปลว่าคันหน้าแข้ง สงสัยจะเอาแก้มไอ้เจิดไปเกาให้...งั้นผมว่าผมออกไปก่อนดีกว่า เนอะนายเนอะ”
เจิดรีบวิ่งออกไป เพชรสีมองปราบ
“ทีนี้ เราก็อยู่กันสองคนแล้ว คุณปราบรู้ตัวไหมคะว่าน่าขี่มาก”
ปราบถอยหลัง
“เฉาก๊วยน่ะค่ะ ขอเพชรสีขี่หน่อยได้ไหมคะ”
“ไอ้นี่มันพยศมากนะครับ มีผมคนเดียวที่ขี่มันได้”
เพชรสีมองหน้าปราบอย่างงอนๆ
เพชรสีขี่เฉาก๊วยท่าทางสนุกสนานไปในทุ่งหญ้า ปราบยืนดูอยู่ เพชรสีขี่เฉาก๊วยมาใกล้ปราบ
“เป็นไงคะพี่ปราบ”
“คุณเพชรสีเก่งมากครับ”
“ม้ายิ่งพยศน่ะยิ่งน่าขี่...คนก็เหมือนกัน ยิ่งดื้อ ยิ่งเล่นตัว ยิ่งอยากเอาชนะค่ะ”
เพชรสีมอง ปราบหน้าเจื่อน เพชรสีหัวเราะ ขี่เฉาก๊วยต่อไป ห่างออกมา ปกป้อง น้อยหน่า เจิด ยืนดูทั้งสองคนอยู่ น้อยหน่าแปลกใจสงสัย
“ยัยเพชรสี เขากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย”
“ได้ข่าวว่าเพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้เอง” ปกป้องบอก
“มาขี่เฉาก๊วยอีกยัยเจ๋อ เฉาก๊วยสะบัดยัยนั่นให้ตกลงมาคอเคล็ดทีเหอะ น้อยหน่าจะหัวเราะให้
ท้องแข็งเลย”
เจิดปราม
“อย่าไปแช่งเขาสิครับคุณน้อยหน่า เขาเอายามาให้เฉาก๊วยด้วยนะครับ”
“มิน่า พ่อดูอารมณ์ดีขนาดนั้น”
ปกป้องมองๆ
“พ่อน้อยหน่าอาจจะใจอ่อนก็งานนี้แหละ”
น้อยหน่าหันขวับมาทางปกป้อง
“ไม่นะคะ น้อยหน่าไม่อยากได้ยัยเจ๋อนี่มาเป็นแม่เลี้ยง”
เจิดหน้าตามุ่งมั่น
“ไม่ต้องห่วงครับ เรื่องนี้ผมช่วยคุณน้อยหน่าได้สบายๆ”
น้อยหน่ามองเจิดอย่างสงสัย
“พี่เจิดมีวิธีไล่เขาออกไปเหรอคะ”
เจิดยิ้มกริ่ม
“เปล่าครับ ผมจะจีบให้เขาหลงรักผม จะได้ไม่มายุ่งกับนายอีก”
ปกป้องถุยน้ำลาย
“ทุ้ยส์...อาว่างานนี้มีลุ้น ถ้าคู่นี้ลงเอยกัน เธอก็เป็นลูกเลี้ยง ได้เดินกร่างทั่วจังหวัดเลย ในฐานะหลานของมาเฟียใหญ่ประจำจังหวัด”
น้อยหน่าเบ้หน้า
“เชอะ ต้องเอาปี๊บเดินคลุมหัวสิไม่ว่า ที่ต้องไปเป็นญาติคนแบบนั้น”
น้อยหน่ากะฟัดกะเฟียด มองไป เพชรสีขี่เฉาก๊วย โบกมือให้ปราบ ปราบโบกมือตอบใบหน้ายิ้มแย้ม
งานเปิดร้านเครื่องหนังเป็นช็อปในโรงแรม มีผู้ใหญ่มาทำพิธีตัดริบบิ้นหน้าร้าน แขกเหรื่อเดินไปเดินมาในงาน เอมี่เดินมาหาโจโจ้ที่เพิ่งสัมภาษณ์ไฮโซคนหนึ่งเสร็จ
“นี่โจโจ้ ยัยนับดาวมารึยัง”
“ยังไม่เห็นเงาเลย ป่านนี้แล้ว คงไม่มาละมั้ง”
เอมี่ยิ้มเหยียด
“แปลว่าข่าวลือคงเป็นจริง โถ นึกว่าไฮโซ ที่แท้ก็ไฮโทรม”
“อืม เยอะแยะไป พวกรวยแต่เปลือก”
“งั้นเธอสัมภาษณ์ฉันเลยละกัน ฉันจะถล่มมันให้เละ ปิดจ๊อบตอกฝาโลงยัยนั่นให้มิดไปเลย”
โจโจ้หัวเราะชอบใจ
“อุ๊ย โหด”
โจโจ้ส่งซิกให้ช่างภาพ ช่างภาพเปิดกล้อง โจโจ้หันไปพูดกับกล้อง
“อุ๊ย เจอคุณเอมี่ค่ะ...” โจโจ้หันไปหาเอมี่ “เอมี่แสนหวานขา”
เอมี่ตอบเสียงหวาน
“ขา”
“ครั้งที่แล้วเอมี่ชวนคุณนับดาวมาด้วย ทำไมคุณนับดาวไม่มาล่ะคะ”
“อ๋อ...สงสัยชีคงยังลบหมึกพิมพ์ที่นิ้วโป้งไม่ออกน่ะค่ะ ฮิๆๆๆ”
เอมี่หัวเราะ ทันใดนั้นมีเสียงฮือฮาดังขึ้น พวกนักข่าวกรูกันไปหน้าร้าน
เอมี่กับโจโจ้มองไปเห็นนับดาวกับอลิสาเดินเข้ามา นับดาวอยู่ในชุดสีแดงเพลิง สวยงาม เฉิดฉายมากๆ
อ่านต่อหน้า 4
*ติดตามความสนุกของ "หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ" เต็มอิ่มจุใจ 2 รอบเวลา 9.30 น. และ 17.00 น.*
หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ ตอนที่ 3(ต่อ)
นับดาวไปร่วมงานอีเว้นท์เปิดสินค้าแบรนด์ดัง มาดามแป้นหญิงสูงวัยลุคดูดี เดินเข้ามาหา นับดาวไหว้สวยพร้อมยิ้มหวาน แป้นยิ้มเยื้อนรับไหว้
“สวัสดีค่ะมาดามแป้น”
“สวัสดีจ้ะหนูนับดาว คิดทึ้ง คิดถึง”
“คิดทึ้ง คิดถึงเหมือนกันค่ะ และก็ขอแสดงความยินดี๊ ยินดีกับมาดามด้วยนะคะ”
“อุ๊ย ชื่นใจ๊ ชื่นใจ วันนี้พี่มีหนังจระเข้รุ่นลิมิเต็ดที่หนูดาวเคยถามด้วยนะจ๊ะ”
แป้นพานับดาวมาดูสินค้าหมวดหรูที่สุด นับดาวหยิบกระเป๋ามาดูใบหนึ่ง
“นี่ไง งามมั้ยคะ”
“ว๊าย เลิศมากเลยค่ะ”
“ตาถึงเหมือนเดิมนะหนูดาว รุ่นนี้น่ะทั่วโลกมีแค่ 10 ใบ อยู่ที่ร้านพี่แค่ใบเดียว สนใจมั้ย ถ้าเป็น
หนูดาวพี่ออฟเฟ่อให้พิเศษสามแสนหก”
“อุ๊ย ขอบคุณค่ะ มาดามใจดีจัง งั้นเอาใบนี้ละกันค่ะ”
นักข่าวกับแขกเหรื่อแถวนั้นส่งเสียงฮือฮา
“แหม น้องรัก ประเดิมชิ้นที่แพงที่สุดเลยนะจ๊ะ”
แป้นกอดนับดาว เอมี่กับโจโจ้อยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน มองไปที่นับดาวกับแป้น เอมี่หน้าเหวอ
“ตายแล้ว มันซื้อของที่แพงที่สุดเลยเหรอ”
“ตกใจทำไม เกี่ยวอะไรกับเธอ” โจโจ้ถาม
“เดี๋ยวมันต้องเอามาบลั๊ฟฉันแน่ๆ ฉันซื้อแค่เข็มขัดเส้นเดียว...ฉันกลับก่อนนะโจโจ้ ก่อนที่มันจะ
เห็นฉัน”
เอมี่กำลังจะกลับ พอดีที่นับดาวกวาดตามองทั่วร้าน พูดเสียงดัง
“มีใครเห็นเอมี่มั่งมั้ยคะ”
เอมี่ค้อมตัว เอาโจโจ้เป็นกำบัง ค่อยๆเดิน กำลังจะออกจากร้านได้อยู่แล้ว แต่นับดาวเห็นพอดี
“อ้าว...นั่นเอมี่ไม่ใช่เหรอ เพื่อนเอมี่จ๋า”
เอมี่หันขวับ รีบปรับสีหน้าเป็นยิ้มหวาน
“หวัดดีเพื่อนนับดาว”
ทั้งสองเข้ากอดกัน นักข่าวรุมถ่ายรูป นับดาวดูกล่องเข็มขัดในมือเอมี่
“เพื่อนเอมี่ซื้อแค่เข็มขัด ยังไม่ได้ซื้อกระเป๋าใช่ไหมจ๊ะ”
เอมี่กัดฟันกรอด รู้ว่าจะโดนอะไร
“ใช่ แล้วไง ฉันพอใจจะซื้อเข็มขัด ใครพอใจจะซื้ออะไรก็ซื้อไปสิ”
“นับดาวซื้อกระเป๋าล่ะ เป็นไง สวยมั้ยลิมิเต็ดด้วยนะจ๊ะ”
เอมี่กระแทกเสียง
“สวย”
นับดาวยิ้มเยาะ
“เอ ถ้าดาวจำไม่ผิด เดือนหน้าก็วันเกิดเธอแล้วใช่มั้ย”
“ใช่”
นับดาวยื่นกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดให้เอมี่
“แฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์จ้ะ”
เอมี่อึ้ง ไม่ทันตั้งตัว แป้นปรบมือชอบใจ
“ให้ล่วงหน้านะจ๊ะ หวังว่าเพื่อนจะชอบ ราคาค่างวดไม่ต้องพูดถึง เทียบไม่ได้กับมิตรภาพของ
เราหรอกจ้ะ”
เอมี่มองหน้านับดาว รู้ตัวว่าเสียท่าแล้ว นับดาวยิ้มให้ แป้นยิ้มชื่นชม
“น่ารักจังเลยคู่นี้ พี่ล่ะปลื๊มปลื้ม”
เอมี่จำต้องฝืนยิ้ม ยื่นมือไปรับ แป้นกอดไหล่ทั้งสองไว้ ยิ้มให้พวกนักข่าว เอมี่จำต้องยิ้มแย้มให้นับดาว
“ขอบใจนะเพื่อน”
นับดาวยิ้มรับ
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ”
นักข่าวถ่ายรูปกันสนุกสนาน
วันต่อมา...นับดาวอ่านหนังสือพิมพ์ไปหัวเราะไป หนังสือพิมพ์ คอลัมน์ไฮโซ หลายฉบับลงรูปตอนนับดาวให้กระเป๋าเอมี่
“นับดาวสยบข่าวลือ ช็อบกระเป๋าใบละสามแสนหก...” เธออ่านอีกฉบับ “อุแม่เจ้า นับดาวคนถังแตกซื้อของขวัญให้เอมี่เพื่อนรักราคาหลักแสน ...” อ่านอีกฉบับ “เอมี่อึ้ง นับดาวรักเพื่อนจริง ให้ของขวัญเกือบสองแสน”
อลิสายืนดูอยู่ข้างๆ ถอนใจหน้าตาละเหี่ย
“สะใจมากใช่มั้ย”
“สะใจสิคะ ยัยเอมี่ไปไม่เป็นเลย หน้าแหกเป็นริ้วๆเลย โดนมุขนี้เข้าไป คงพูดไม่ออกไปนานเลย
ล่ะค่ะ”
“สามแสนหก...”
“น้าอะซ่าไม่ต้องกลุ้มใจไปหรอกค่ะ ดาวจ่ายไปสามแสนหกก็จริง แต่ดาวก็จะทำงานหนักเพื่อให้นายปราบเซ็นขายที่ให้ได้ ถึงตอนนั้นเราก็จะได้เงินมาสามสิบล้านเป็นอย่างต่ำ”
อลิสาวางถ้วยมาม่าคัพลง
“ข้าวเย็น”
นับดาวอึ้ง
“บะหมี่สำเร็จรูปเนี่ยนะ”
“ถ้ายังไม่ได้เงินจากการขายที่ก็ต้องกินไอ้นี่ไปก่อน สามมื้อ เช้า กลางวัน เย็น”
อลิสาเดินออกไป นับดาวเซ็งเลย
เพชรสีวุ่นวายอยู่กับการทำขนมในครัว เสี่ยไฝ พ่อของเพชรสีท่าทางน่าเกรงขาม เดินเข้ามาในครัว
“โอ้โห กลิ่นอะไรเนี่ย ตลบอบอวลไปทั้งบ้าน”
“เอแคลร์ค่ะ”
“ทำขนมฝรั่งซะด้วย อย่าบอกนะว่าจะทำไปให้ไอ้หมอหมานั่นกิน”
“สัตวแพทย์ค่ะพ่อ ไม่ใช่หมอหมา”
“เฮ้อ...ผู้ชายดีๆ พ่อหามาให้ตั้งหลายคนก็ไม่ชอบ”
“ที่พ่อหามาให้เพชรสีๆว่าไม่เห็นได้เรื่องซักคน มีแต่พวกกินเหล้าสูบบุหรี่ชอบยิงปืน เพชรสีไม่ชอบหรอกค่ะ เพชรสีชอบแบบพี่ปราบ เป็นคนดีมีเมตตา พูดจาใช้เหตุใช้ผล”
“ถ้าลูกได้ผัวตุ๋มติ๋มแบบนั้น มันจะคุ้มครองลูกได้มั้ยล่ะ”
“งั้นเพชรสีคุ้มครองเขาเองก็ได้ค่ะ”
เสี่ยไฝเกาศีรษะ จนปัญญา ไม่รู้จะทำยังไง
ปราบกับปกป้อง ช่วยกันกำลังคุมลูกน้องช่วยกันซ่อมคอกวัว ทันใดนั้นมีรถโฟรวีลคันใหญ่วิ่งมาจอด เสี่ยไฝกับบอดี้การ์ดท่าทางโหดจริงลงจากรถ เดินมาหา ปกป้องเห็นก่อน จึงสะกิดปราบ
“เฮ้ย”
ปราบหันมาเจอเสี่ยไฝ พวกคนงานพากันวางมือ กำชับอาวุธ อยู่ในท่าเตรียมพร้อม บอดี้การ์ดขยับมือเข้าไปในเสื้อแจ็กเก็ต เสี่ยไฝแตะบอดี้การ์ดให้ใจเย็น ปกป้องก็ปรามลูกน้อง
“สวัสดีครับเสี่ยไฝ”
“สวัสดีหมอ”
ปกป้องมองหน้าเสี่ยไฝแล้วพูดทันที
“ถ้าเสี่ยจะมาเรื่องบีบให้เราขายที่อีกก็กลับไปเหอะ ไม่ก็พาลูกน้องมาให้เยอะกว่านี้”
เสี่ยไฝเซ็งๆ
“ครั้งที่แล้วเราคุยกันจบแล้ว วันนี้ผมมาเรื่องอื่น”
ปราบแปลกใจ
“ว่าไงครับ”
“ผมอุตส่าห์เกลี้ยกล่อมตั้งนานกว่ายัยเพชรสีจะยอมไปเที่ยวยุโรป แต่พอกลับมาแป๊บเดียว มันก็มาเจอคุณอีก...ยังไงคุณก็ไม่เลิกยุ่งกับลูกสาวผมใช่มั้ย”
“ล่าสุด ผมไปรักษาหมาให้เขา และเขาก็ซื้อให้อาหารม้าให้ผม ใช่ เรายังยุ่งกันอยู่ ยุ่งกันด้วย
เรื่องสัตว์ๆอย่างที่เล่าให้ฟังนี่แหละ”
เสี่ยไฝไม่พอใจ
“แล้วคุณชวนเขามาที่นี่ทำไม”
ปราบงง
“เขากำลังมาที่นี่...ผมให้เกียรติมาเตือนคุณก่อนเพราะคุณเป็นหมอ ถึงจะหมอหมาก็เถอะ อย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเลย...อยู่ห่างๆลูกสาวผมซะ”
ปราบเงียบไป บอดี้การ์ดสอดขึ้น
“ไม่อย่างนั้นก็ระวังลูกสาวคุณไว้”
ปราบขยับค้อนในมือ
“ลองทำอะไรลูกสาวผมสิ”
บอดี้การ์ดรีบชักปืนออกมาจากแจ็กเก็ตขู่ปราบ
“อยู่เฉยๆเหอะ ถ้ามึงไม่อยาก...”
บอดี้การ์ดพูดได้แค่นั้นก็เงียบไป มีปากกระบอกปืนลูกซองมาจ่อที่หลัง เจิดนั่นเองเป็นคนจ่อ
“คันหูมั้ย เดี๋ยวกูช่วยเกาให้”
“งั้นกูจั๊กกะจี๋ให้มึงละกัน”
เจิดก้มมอง มืออีกข้างของบอดี้การ์ดถือปืนอีกกระบอก จ่อที่สีข้างเจิด เสี่ยไฝตวาด
“เฮ้ย เก็บปืน”
บอดี้การ์ดเก็บปืน เจิดเลยยกปืนออกจากหลังมันบ้าง
“ผมขอโทษแทนลูกน้องด้วย คุณไม่ต้องห่วง ผมไม่ยุ่งกับลูกสาวคุณหรอก คุณมีปัญหากับผม ผมจัดการคุณ จบ”
เสี่ยไฝกับบอดี้การ์ดเดินกลับไปขึ้นรถ ปราบหันไปหาเจิด
“ขอบใจมากนะเจิด”
“ไม่เป็นไรครับนาย เรื่องเล็ก”
ปกป้องส่ายหน้าเซ็งๆ
“เลิกยุ่งกับยัยเพชรสีเหอะ แกก็ไม่ได้ชอบเขานี่หว่า จะหาเรื่องไปทำไมวะ”
ปราบแค้นๆ
“ถ้าขอร้องกันดีๆยังพอไหว แต่พาลูกน้องสวะๆมาข่มขู่กันอย่างงี้ผมรับไม่ได้”
“แต่ไอ้เสี่ยไฝมัน...”
ปกป้องยังพูดไม่จบ ปราบขัดขึ้น
“ผมรู้ว่ามันเป็นใคร แต่ผมจะไม่ยอมให้ใครมาข่มขู่แบบนี้”
ปกป้องหนักใจ ขณะเดียวกันนั้น ป้ายวงขี่มอเตอร์ไซค์มา
“คุณปราบขา คุณเพชรสีมาหาค่ะ”
นับดาวจอดรถหน้าบ้านปราบ หยิบถุงขนมของโรงแรมออกมาแกะกล่องกระดาษหรูออก เทใส่กล่องทัปเปอร์แวร์เก่าๆที่เตรียมมา อลิสามองอย่างไม่เข้าใจ
“เอ้า แกะออกทำไมน่ะ กล่องออกจะสวย”
“ดาวจะบอกว่าดาวทำเองค่ะ นายนั่นจะได้ซาบซึ้งใจว่าดาวมีแก่ใจคิดถึงเขา อุตส่าห์ทำให้เขากิน”
“แต่กล่องนี่มันเยินมากเลยนะ”
“ดาวตั้งใจเองล่ะค่ะ นายปราบเขาเป็นพวกลูกทุ่ง มาหรูมากไม่ได้เดี๋ยวจะผิดสังเกตต้องบ้านๆมาเนียนๆแบบนี้แหละ”
นับดาวเอาแป้งขนมที่เตรียมมา ป้ายๆหน้าให้เลอะๆ
“แหม รอบคอบเหลือเกินนะ”
อลิสาประชด นับดาวหัวเราะ
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป เวลา 17.00 น.
เพชรสีรอปราบอยู่ในห้องรับแขก นับดาวเดินเข้ามา ทั้งสองมองกันงงๆ แต่ก็ยิ้มให้ตามมารยาท
“สวัสดีค่ะ มาพบคุณปราบศึกน่ะค่ะ”
เพชรสีชะงัก ดูนับดาวหัวจรดเท้า สายตาเย็นชา
“มาจากไหนเหรอ”
นับดาวสลายยิ้ม
“เพื่อนค่ะ”
“เพื่อนที่ไหน”
นับดาวไม่ค่อยพอใจ
“จะถามละเอียดไปไหมคะ”
“ฉันอยากรู้ว่าเพื่อนที่ไหน เพื่อนโรงเรียน เพื่อนมหาลัย เพื่อนทำงาน หรือว่า...เพื่อนห่างๆ”
นับดาวยิ้มเล็กน้อย
“บอกไม่ได้ค่ะ เป็นความลับของดิฉันกับคุณปราบ”
เพชรสีโมโห
“บอกมานะว่าแกเป็นใคร”
ปราบเดินออกมา เพชรสีแถเข้าไปหา
“สวัสดีค่ะพี่ปราบ”
ปราบยิ้มแย้มทักทายทุกคน
“สวัสดีครับคุณเพชรสี...คุณนับดาว เอ๊ะ วันนี้เรามีนัดกันเหรอครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ พอดี เมื่อเช้านับดาวเหงาๆ ก็เลยทำขนมเล่น เลยชวนน้าอ่ะซ่าเอาขนมมาให้คุณน่ะค่ะ“
ปราบมองนับดาวอย่างงงมาก
“คุณนับดาวขับรถมาที่นี่ เพื่อเอาขนมมาให้ผมแค่นั้นนะ”
“ค่ะ...ทำไมคะ นับดาวแค่อยากแสดงความตั้งใจจริงให้คุณเห็น ว่านับดาวตั้งใจทำขนมให้คุณปราบได้ลองชิมจริงๆ”
นับดาวเปิดกล่องทัปเปอร์แวร์เก่าๆ โชว์ขนมน่ากิน เพชรสีแค่นหัวเราะ ยกกล่องขนมของเธอเบียดกล่องของนับดาวออกไป
“เพชรสีก็ทำขนมมาให้พี่ปราบเหมือนกันค่ะ”
“เอ่อ...สงสัยวันนี้เป็นวันลาภปากนะครับ มีคนเอาขนมมาให้ตั้งสองคนแน่ะ”
“นั่นสิคะ พี่ปราบเก็บของเพชรสีไว้ทานคนเดียวก็ได้ค่ะ ที่เหลือก็เอาไปให้คนงาน ไม่ก็หมู
หมากาไก่ในไร่กิน”
นับดาวฉุนกึก
“นับดาวว่าคุณปราบกินทั้งสองกล่องน่ะแหละค่ะ จะได้รู้ว่าอันไหนของมีคุณค่า อันไหนของ
กากๆ”
เพชรสีปรายตามองขนมของนับดาว
“ทำเองเหรอเธอน่ะ”
“ใช่สิค่ะ”
“โกหก ดูก็รู้ว่าฝีมือร้านเบเกอรี่ โธ่เอ๊ย ยัยของปลอม”
นับดาวอึ้งไป รีบหัวเราะกลบเกลื่อน
“ของปลอมน่ะ คุณมากกว่ามั้ง”
“ฉันทำเองทุกขั้นตอนย่ะ”
“ฉันไม่ได้พูดถึงเอแคลร์”
นับดาวเข้ามาดูจมูกเพชรสีใกล้ๆ แล้วดูตา แล้วดูอก เพชรสีถอย
“มีอย่างน้อยสามอย่างที่ปลอม”
เพชรสีอึ้ง
“พูดดีๆนะ อะไรปลอม”
“แน่ใจเหรอว่าอยากให้แฉ”
เพชรสีเหลือบมองปราบแว่บหนึ่ง
“พี่ปราบ วันนี้เพชรสีมีธุระด่วน ต้องไปก่อนนะคะ...”
เพชรสีจะเดินออกไป หันมาจ้องหน้านับดาว นับดาวทำหน้าหลั่นล้า เพชรสีสะบัดหน้าเดินออกไป
ปราบรีบตามออกไป
ปราบตามออกมา แต่ไม่ทันเพชรสีขึ้นรถขับออกไปแล้ว อลิสารอนับดาวอยู่หน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูท่าทางแล้วเดาออกว่าคงมีเรื่อง นับดาวตามออกมาเจอปราบ
“คุณก็กลับไปได้แล้ว”
“ฉันเพิ่งมาถึงเองนะ”
“ผมบอกให้กลับก็กลับไปซะ”
“คุณชอบยัยนั่นเหรอ”
“เรื่องของผม ผมไม่จำเป็นต้องตอบคุณ”
“ถ้าชอบแม่นั่น ก็รีบเซ็นสัญญาขายที่ซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะป่วนคุณสองคนให้เละกว่าเมื่อกี้อีก”
ปราบหัวเราะ
“มากไปแล้วนะ ถึงคุณจะเป็นไฮโซเป็นเซเล็บอะไรก็ตาม แต่ผมจะไล่คุณเหมือนหมูเหมือนหมาเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะนี่มันบ้านผม”
“หยาบคาย”
นับดาวกัดริมฝีปาก จ้องหน้าเขา ปกป้องเดินออกมาจากในบ้าน
“คุณนับดาวจะอยู่ที่นี่ก็ได้นะครับ”
ปราบตกใจ นับดาวมองปกป้องอย่างงงๆ
“บ้านนี้มีชื่อผมเป็นเจ้าของอยู่ด้วย ไอ้ปราบไม่ให้ แต่ผมอนุญาต คุณอยากมาเที่ยวเมื่อไหร่ก็
เชิญตามสบาย ถือว่าคุณเป็นแขกของผม”
นับดาวยิ้ม ปกป้องยิ้มให้นับดาว แล้วเลยยิ้มไปถึงอลิสาด้วย อลิสาหน้าเจื่อน ปกป้องยักคิ้วและส่งจุ๊บให้ แต่ก่อนที่จะพูดอะไร อลิสาก็รีบดึงนับดาวออกไป ขณะที่ปราบก็กระชากปกป้องออกมาทางหลังบ้าน
ปราบโวยใส่ปกป้อง
“ผมรู้นะว่าอาคิดอะไรอยู่ ให้ยัยดาวไถมาเที่ยวเพื่อที่น้าของเขาจะได้มาด้วยใช่มั้ยล่ะ อาทำ
อย่างงี้มันเกินไปแล้วนะครับ แค่จะจีบผู้หญิงแก่ๆคนนึง”
“โอ้โฮ เดี๋ยวต่อย มาว่าขวัญใจอาว่าแก่ เดี๋ยวปั๊ด...”
“ผู้หญิงวัยทองก็ได้อ่ะ”
“อาขอเถอะ คนนี้อารักจริงหวังยิงเจ้า...เอ๊ย รักจริงหวังแต่ง เห็นใจอาหน่อยเถอะวะ”
ปราบมองหน้าปกป้อง
“ชอบจริงง่ะ”
“เออ”
ปราบนิ่งไป
“ก็ได้...ถือว่าเขาเป็นแขกของอา แต่ผมจะไม่ดูแลอะไรเขาทั้งนั้นแล้วถ้าเขาก่อเรื่องอะไร อาต้องเป็นคนรับผิดชอบ”
“เออ...ขอบใจว่ะ”
ปกป้องยิ้มกริ่ม
อลิสากับนับดาวออกมาคุยกันข้างนอก
“อย่านะ ตาปกป้องอะไรนั่นเขาจะให้อามากับเธอ แล้วก็จะ...เอ่อ...อะไรซักอย่างกับอา”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดาวมาคนเดียวก็ได้”
“ไม่ได้ มาคนเดียวยิ่งไม่ได้ ยังไงฉันก็เป็นอาเธอ ฉันไม่ยอม...จุ๊ๆ...ตานั่นมาแล้ว”
ปกป้องเดินมาหานับดาว มองอลิสาด้วยหน้าตากรุ้มกริ่ม อลิสายิ้มแหยๆ ปกป้องกวักมือเรียกนับดาวเข้าไปหาคุยกับนับดาวเสียงเบาๆ หน้าตากรุ้มกริ่มดูจริงจัง
“คุณนับดาว ผมรู้ว่าคุณต้องการให้ไอ้ปราบขายที่ให้คุณ คุณมาที่นี่เพื่อหาโอกาสนั้นใช่ไหม”
นับดาวมองปกป้อง ระแวงว่าจะมาไม้ไหน
“เอ่อ...ใช่ค่ะ”
“ผมไม่แคร์หรอกนะว่าคุณจะทำสำเร็จมั้ย แต่ผมให้โอกาสคุณ...เพราะผมก็มีเงื่อนไขเหมือนกัน”
“อะไรคะ”
“ทุกครั้งที่ยัยเพชรสีมาที่นี่ หรือที่อื่นก็ตาม คุณต้องทำแบบเมื่อกี้คือไล่ยัยนั่นให้เผ่นกระเจิง”
นับดาวเหล่ตามอง
“อย่าบอกนะว่าคุณชอบยัยเพชรสี คิดจะแย่งแฟนหลานตัวเองเหรอไง”
“ผิด ยัยเพชรสีคือตัวปัญหาของที่นี่ พ่อของยัยเพชรสีเป็นบุคคลอันตรายมาก ผมต้องการตัดเพชรสีออกไปจากชีวิตไอ้ปราบ คุณทำตามที่ผมบอกได้ไหม”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา” นับดาวฉีกยิ้มทันที
ที่ห้องประชุมของโรงเรียน มีป้ายเขียนติดตรงบอร์ดว่า "ค่ายเยาวชนใฝ่ธรรมะ ครั้งที่ 14" มีนักเรียนราว 30 -40 คนซึ่ง มีน้อยหน่า ตะวันวาด และ แองจี้ร่วมอยู่ด้วย ทั้งสามสวมชุดไปรเวทสีขาว นั่งสมาธิ แต่แอบลืมตามองกัน หน้าตาแต่ละคนเบื่อหน่ายมาก ที่หน้าชั้นมีวิทยากรนุ่งข่าวห่มขาวนั่งสมาธิอยู่ ท่าทางสงบ น่าเลื่อมใส เสียงออดดัง วิทยากรพูดทั้งที่หลับตา
“เอาล่ะ ได้เวลาพักกินข้าวแล้ว ค่อยๆออกจากสมาธินะครับ อย่ารีบร้อน จิตของเรากำลังสงบนิ่ง ค่อยๆเคลื่อนจิต ลืมตาขึ้นช้าๆนะครับ
วิทยากรลืมตาขึ้น ในห้องไม่มีใครเหลืออยู่เลย มองออกไปนอกห้อง เห็น นักเรียน บางคนเลี้ยวหายวับไปพอดี น้อยหน่าเดินออกมากับตะวันวาด
“สอบตกเลขแต่ให้มาเข้าค่ายธรรมะ ฉันยอมรับว่างานนี้พวกอาจารย์ชนะ ต่อไปฉันจะขยันเรียนแล้ว ดีกว่ามานั่งฟังธรรมะแบบนี้ จะตาย”
แองจี้ที่เดินตามมาพูดขึ้น
“แต่ฉันว่าดีออก ธรรมะทำให้เราทุกคนเป็นคนดีไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
น้อยหน่าหันหน้าไปทางอื่น ทำหน้าเซ็งแองจี้ ตะวันวาดมองแองจี้อย่างแปลกใจ
“เธอไม่เบื่อเหรอ แองจี้”
“ไม่น่าเบื่อหรอกนะ ถ้าเราคิดตามที่ท่านสอน เราจะพบว่าธรรมะเป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออย่างที่น้อยหน่าพูดหรอก”
“จ้ะๆๆ”
น้อยหน่าเดินหนีไปอีกทาง ตะวันวาดจะตามไป แองจี้ดึงตะวันวาด
“ตะวันไปกินข้าวที่แคนทีนกันเถอะ”
“ฉันต้องไปทำอย่างอื่นก่อน”
“นี่มันพักเที่ยงแล้ว ถ้าเธอไม่ไปกินข้าวกับฉัน ฉันจะฟ้องครู”
“ฟ้องว่าอะไร”
“ฉันเห็นนะ ตอนนั่งสมาธิเธอแอบเอามือถือออกมาเล่นเกมส์ ฉันจะฟ้องให้ครูริบมือถือเธอ”
“แต่ฉันปวดอึ๊ แค่นี้ก็ปวดมากอยู่แล้ว ขืนกินข้าวเติมเข้าไปอีกมันก็ไปดันของเก่าออกมาหมดน่ะสิ เพราะฉะนั้นฉันต้องอึ๊ก่อน เข้าใจมั้ย”
ตะวันวาดตดออกมาดังป๊าป แองจี้เบ้หน้ารังเกียจ
“อี๊ ตะวันอ่ะทุเรศ”
ตะวันวาดรีบเดินจากมา แองจี้ทำท่าเง้างอด
ในร้านฟาสต์ฟู้ด น้อยหน่ากับตะวันวาดรออาหารตรงเคาเตอร์มีลูกค้าพอสมควร น้อยหน่าบ่นอุบ
“ดูซิ ออกมาช้า คนเยอะเลย”
“ก็บอกแล้วให้ไปโทษแองจี้ ฉันต้องไปหลบในส้วมตั้งนาน เขาถึงยอมเดินไปที่อื่น”
“รู้งี้แอบโดดออกมาคนเดียว ปล่อยให้นายไปกินข้าวกับแองจี้ดีกว่า”
“ไม่เอาอ่ะ มากับเธอดีกว่า”
น้อยหน่าทำเชอะ แต่แอบยิ้มดีใจ...ทั้งสองได้อาหารก็ถือถาดอาหารเดินออกมา ชนกับนับดาวกับอลิสาที่เพิ่งเข้ามาในร้าน น้อยหน่ารีบขอโทษ
“ขอโทษค่ะ...”
สองฝ่ายมองกัน นับดาวจำได้
“น้อยหน่าใช่มั้ย”
น้อยหน่าตกใจ
“นับดาว...”
อลิสามองตะวันวาดแล้วถามยิ้มๆ
“มาเที่ยวกับแฟนเหรอ”
น้อยหน่ารีบแย้ง
“ไม่ใช่แฟน เพื่อน”
น้อยหน่าเอะใจเมื่อเห็นว่าตะวันวาดเงียบไปจึงหันไปหาก็พบว่า ตะวันวาดมองนับดาวตาค้างอยู่ นับดาวยิ้มให้ ตะวันวาดยิ้มแฉ่ง
“ไปเหอะ”
น้อยหน่าดึงแขนเสื้อตะวันวาดให้เดินจากมา นับดาวกับอลิสาก็กำลังจะไปต่อน้อยหน่าวิ่งกลับมา
“เดี๋ยวค่ะ อย่าบอกพ่อนะว่าเจอหนูที่นี่”
นับดาวพยักหน้า
“อื้อ”
“รับปากแล้วนะ”
นับดาวไม่พูดอะไร น้อยหน่ามองหน้าแล้วดึงตะวันวาดจากไป
ตะวันวาดยังคงยิ้มให้นับดาว จนเดินเหยียบเท้าน้อยหน่า สาวน้อยร้องลั่นทันที
อ่านต่อตอนที่ 4