ดอกโศก ตอนที่ 16
ภักดิ์ภูมินั่งด้วยท่าทีสบายๆ ทอดสายตาแสนอ่อนโยนไปที่ดอกโศก ที่กำลังจิบชาไม่วางตา สองคนอยู่ในร้านขนมบรรยากาศสวยหวาน ในศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง
ภักดิ์ภูมิตักขนมให้ดอกโศก
“ทานขนมนะครับ ชีสเค๊กที่นี่อร่อยมาก อ้อ...แอนเจล่ากลัวอ้วนหรือเปล่าครับ”
“ก็...กลัวเหมือนกัน” ดอกโศกว่า
“สองคำ...นะครับ แอนเจล่าทานเดี๋ยวผมทานที่เหลือเอง” ภักดิ์ภูมิบอก
“ตาย...ไม่ได้หรอกค่ะ” ดอกโศกว่าอีก เย้าเล่น
“ถ้างั้นก็ทานให้หมด ถ้าเหลือ...ผมจะทานต่อ” ภักดิ์ภูมิบอกย้ำคำเดิม
ดอกโศกมองค้อน นิดๆ รู้ดีว่าเป็นอุบายภักดิ์ภูมิ “แหม...”
“แหม....” ภักดิ์ภูมิล้อ หัวเราะเบาๆ “โถ...มีคำอะไรอีกที่แอนเจล่าพูด แล้วฟังเพราะอย่างนี้”
ดอกโศก เขินเล็กๆ ตามประสา ก้มลงทานขนม
ขณะเดียวกันนั้น อุ๊กับเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันเดินมาอีกทางหนึ่งในศูนย์การค้าแห้งนั้น เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า “ชั้นไปเสียค่าโทรศัพท์ก่อนนะ” แล้วเดินเข้าช็อปศูนย์บริการโทรศัพท์ไป
เพื่อนทั้งหมดยืนคอย คุยกันเบาๆ ไม่มีทีท่าซ่าเซี้ยวแต่อย่างใดเพราะเป็นเด็กมีมารยาทกันพอสมควร
คุยเรื่องชุดที่ใส่ หรือกระเป๋าหรู หรือจะเอนท์ที่ไหน
“เอ๊ะ ทำไมนานจัง” อุ๊ว่า
“คนเยอะมั้ง...ไปตามให้” เพื่อนคนหนึ่งว่า
“งั้นชั้นไปเสียตังค์ด้วย...ลืม” อีกคนหัวเราะ หน้าจ๋อยๆ
เพื่อนๆ ร้องโวย “โธ่เอ๊ย...” บางคนถือโทรศัพท์ขึ้นมาดูของตัวเอง บางคนกำลังส่งข้อความให้เพื่อน
อุ๊ มองไปเห็นภักดิ์ภูมิกับดอกโศกผ่านกระจกที่ร้านขนมแห่งหนึ่ง
“เอ๊ะ” อุ๊หยิบโทรศัพท์มาถือไว้ จะถ่ายรูป
เพื่อนๆ หันมาดูอุ๊กันใหญ่ มีคนหนึ่งถาม “อะไร เห็นอะไร” เสียงเบาๆ
ภักดิ์ภูมิเซ็นต์ชื่อในบิล พาดอกโศกลุกขึ้น ดูนาฬิกา
“บ่ายสองโมง ผมมีเวลาอีกห้าสิบนาที”
“กลับดีกว่าค่ะ เดี๋ยวรถติดนะคะ”
“โอเค เชิญครับแอนเจล่า” ภักดิ์ภูมินิ่งไปนิด สายตาคิดจะพูดดีมั้ย แต่ใจบอกให้ถาม “...เป็นห่วงเขาคอยมากหรือครับ”
“โธ่...”
ภักดิ์ภูมิเย้า “อีกคำแล้วที่ฟังเพราะมาก...โธ่”
เพื่อนอุ๊ 2 คน เดินออกมาจากร้านโทรศัพท์ เดินแกมวิ่ง
เพื่อนๆ ถามกันว่าทำไมช้า เพื่อนทั้ง 2 ตอบว่า คนแยะ ขนาดเค้าเปิดเคาน์เตอร์ใหม่ให้เลยนะ
อุ๊ไม่ได้สนใจฟัง มองไป เห็นภักดิ์ภูมิและดอกโศก กำลังออกจากร้านขนม
อุ๊กดโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปดอกโศกไปแล้ว “ฉันไปคนเดียวดีกว่า แยกกันเลยนะ บ๊าย..บาย” เดินไปทันทีเพื่อนๆ งงเป็นแถว
ภักดิ์ภูมิพาดอกโศกเดินไปเรื่อยๆ ผ่านหน้าร้านเฟอร์นิเจอร์ร้านหนึ่ง
เพื่อนภักดิ์ภูมิเดินจะออกจากร้านพอดี “คุณภักดิ์ภูมิ”
“อ้าว...คุณพัฒนะ”
“ผมกำลังจะไปหาครับ ร่างแบบรีโนเวทห้องอาหารเสร็จแล้ว เดี๋ยวผมหยิบให้...ดูก่อนมั้ย”
ภักดิ์ภูมิแนะนำดอกโศกให้รู้จัก “ดี...แอนเจล่า นี่คุณพัฒนะ อินทีเรียของโรงแรมเรา นี่คุณแอนเจล่าเลขาของผม” สองคนไหว้ทักทายกัน นัยน์ตาพัฒนะชื่นชมความสวยของดอกโศก
“คุณพัฒนะมาดูอะไรเนี่ย ซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือ”
“ครับ...ของลูกค้าคนหนึ่ง” หยิบกระเป๋าแบบ..ใบใหญ่เปิดหาของ
ภักดิ์ภูมิบอก “เอาไปดูที่โรงแรมได้ไหมคุณพัฒนะ”
พัฒนะบอก “1 นาทีครับ 1 นาที”
ภักดิ์ภูมิหันมาพูดกับดอกโศกใกล้ๆ เบาๆ “เดี๋ยวเดียวนะแอนเจล่า”
ดอกโศกเงยหน้าสบตา ตอบ “ค่ะ”
อุ๊ถ่ายคลิปไว้ทันที เป็นภาพสองคนในท่าทางที่ใกล้ชิดมากๆ มีเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลายเป็นฉากหลัง
ที่โรงแรมเวลาเดียวกัน เอ็ดดี้นั่งคุยกับมิสซิสเบนส์ ท่าทางเคร่งเครียด คุยเบาๆ
“แอนเจล่าออกไปกับภักดิ์ภูมิ”
“ไปไหน...รู้มั้ยเอ็ดดี้”
“ไม่รู้...”
“เขาทำงานด้วยกัน” มิสซิสเบนส์บอก
“ผมรู้...รู้แล้วไงแกรนด์มา..That ‘s why I really care - ผมถึงแคร์ไง แคร์มาก” เอ็ดดี้หยุดแล้วพูดต่อ “ยังมีอีกคนอีก คนนั้นยิ่งน่ากลัว”
พูดไม่ทันขาดคำ อัศนัยเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามา ไหว้คุณย่า “สวัสดีครับคุณย่า
เอ็ดดี้ เซ็งมาก พูดถึงก็มาพอดี
“คุณมาก่อนเวลาหรือเปล่าคะ” มิสซิสเบนส์ทัก เห็นหน้าเอ็ดดี้ด้วยว่าเซ็งจัด
“อ๋อ...ก่อนครับ” อัศนัยดูนาฬิกา “ยังไม่ถึงเวลานัด”
“แอนเจล่าทำงาน...เลิกเย็น คุณมาเร็วทำไม” มิสซิสเบนส์ถามซัก
“แอนเจล่านัดผมเองครับ”
“นั่นแหละ คุณน่าจะมาตรงเวลา มาก่อนไม่ดี” มิสซิสเบนส์ท้วงพยายามจะหาเหตุ
“ขอโทษครับ...ผมมาเร็วไป 5 นาที แอนเจล่านัดผมบ่ายสามโมง”
เจอคำพูดแบบนี้คุณย่าดอกโศกเลยเก้อ...อุตส่าห์ทำเสียงเข้ม
“แอนเจล่าไปไหนล่ะครับ” อัศนัยถาม
“ไปข้างนอกกับเจ้านายเขา กลับเย็นมั้ง” มิสซิสเบนส์บอก
“ไม่เป็นไรครับ ผมคอย” อัศนัยว่า
นาฬิกาบอกเวลา 16.00 น.
อัศนัยสีหน้านิ่งมาก แต่เหมือนภูเขาไฟสงบรอระเบิด พลิกข้อมือนิดเดียวเหลือบตาดูเวลา เสียงคุณย่าคุยกับเอ็ดดี้เบาๆ
“เอ็ดดี้เธอเสร็จธุระหรือยัง”
“เสร็จหมดแล้วครับแกรนด์มา”
“ดี...กลับหัวหินกันเถอะ”
“ครับ”
“ย่าจะพาแอนเจล่าไปด้วย”
อัศนัยได้ยินเต็มๆ สมใจมิสซิสเบนส์
ประตูห้องเปิดเข้ามา ภักดิ์ภูมิเข้าดอกโศกตามมาอย่างรวดเร็ว อัศนัยลุกขึ้นยืน
ดอกโศกไหว้ “ขอโทษค่ะ”
อัศนัยไม่สนใจทักทายภักดิ์ภูมิ
ดอกโศกยืนงงงัน ท่ามกลางผู้ชาย 3 คน ที่กำลังพูดคุยกัน มิสซิสเบนส์ลอบมองดอกโศกอย่างเพ่งเล็ง
เห็นนัยน์ตาดอกโศกอยู่ที่อัศนัยตลอดเวลา มิสซิสเบนส์ถอนใจ สงสารเอ็ดดี้มาก มองเอ็ดดี้นิ่ง
เอ็ดดี้ พูดคุยแจ่มใส ดูเป็นธรรมชาติ ภักดิ์ภูมิดูเป็นมิตร
อัศนัยฝืนๆ นิดๆ แต่มารยาทสังคม ต้องเก็บไว้ แล้วชำเลืองมองดอกโศก นัยน์ตาเข้มๆ รวนๆ ดอกโศกรับรู้สายตานั้น หวาดหวั่นลึกๆ ในใจ
สองคนมาถึงที่ออฟฟิศตอนค่ำ อัศนัยเดินเร็ว ดอกโศกตามเร็วๆ อัศนัยหันขวับมา “คุณนัยคอยชั่วโมงสิบนาที”
“ดอกโศกขอโทษค่ะ”
“ไปไหนกัน”
“วันนี้...ทานข้าวกับกงสุลญี่ปุ่น แล้ว...ไปพบอินทีเรียที่เขาจะมาปรับปรุงห้องอาหารของโรงแรมค่ะ” ดอกโศกแจง
“ทำไมต้องไปด้วยกัน เขาไปคนเดียวไม่ได้หรือ”
“คุณนัยคะ ดอกโศกไปทำงานนะคะ” ดอกโศกท้วง
“ทำไม เลขาเกี่ยวอะไรกับอินทีเรียห้องอาหาร...ไม่เห็นเกี่ยวกันไม่ต้องพาเลขาไปก็ได้ ไปพบที่ไหน”
“ที่ศูนย์การค้าค่ะ”
“อะไรนะ ทำไมต้องเป็นศูนย์การค้านัดพูดเรื่องซ่อมห้องอาหารทำไมต้องพูดที่ศูนย์การค้า”
ดอกโศกนิ่ง นัยน์ตาว้าวุ่นจะบอกดีหรือไม่ดี เสียงอัศนัยถามย้ำ
“ดอกโศก คุณนัยถามไม่ได้ยินหรือ”
“คุณนัยเสียงดังจะไม่ได้ยินได้ไงคะ”
“ทำไมไม่ตอบ ทำไมต้องเป็นศูนย์การค้า”
ดอกโศกนิ่งอีก...ไม่ตอบ
“ดอกโศก....ตอบสิ” อัศนัยคาดคั้น
“ไม่ทราบค่ะ”
“ไปที่ไหนมั่ง...ร้านอาหาร ร้านกาแฟ...ดูหนัง หรือช็อปปิ้ง ซื้อของ นอกจากไปพบอินทีเรีย”
ดอกโศกนิ่ง
“ดอกโศก ไปไหนอีกมั่ง”
ดอกโศกขยับตัวก้าวเข้ามาใกล้ เอามือแตะที่แขนอัศนัย แล้วมองหน้าเป็นเชิงตัดพ้อว่า ถามมากไปแล้ว
“ทำไม ฉันถามมากไปหรือ”
“คุณนัยไปที่ไหน ถ้าเกี่ยวกับงานของคุณนัย ดอกโศกจะไม่ถามเหมือนกัน”
อัศนัยอึ้ง แล้วเข้ามากอดแรงๆ ซบหน้ากับผมดอกโศกนิ่งสักครู่
ดอกโศกยอมปล่อยตัวเองให้อยู่ในอ้อมกอดอัศนัยสักครู่ แล้วกอดตอบเบาๆ ท่าทีนุ่มนวล ที่กล้าทำเพราะดูแล้วเป็นมุมที่ลับตาคน
“หวง” อัศนัยว่า
“ดอกโศกก็หวงคุณนัย”
อัศนัยหลับตานิ่ง เพื่อให้ความรู้สึกจากน้ำคำที่ได้ยินดื่มด่ำเข้าไปในหัวใจ “หวงนะคนดีของคุณนัย” กระซิบคำหวานแนบหูสำทับ
“ดอกโศกไปสั่งกาแฟให้นะคะ” ดอกโศกว่าพลางถอยตัวออกมา
“ไม่อยากให้ดอกโศกไปทำงานที่โรงแรมนั้นเลย” อัศนัยอ้อนคว้ามือไว้ จนดอกโศกเดินห่างออกไปจึงปล่อย
ดอกโศกออกไปแล้ว เสียงอัศนัยพูดตามหลังมา ไม่ดังมาก “ไม่อยาก”
ดอกโศกเดินออกมา อุ๊เดินเลี้ยวมุมมาพอดี สองคนตกตะลึงทั้งคู่
“มาทำไม” อุ๊ถามออกไป
“เธอล่ะ” ดอกโศกย้อน
“ไม่ต้องมาถาม ชั้นมีสิทธิ์จะมา พ่อกับแม่ชั้นมีหุ้นที่นี่ชั้นจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่เหมือนเธอ..เธอมาทำไม”
“ฉันมากับ...” ดอกโศกไม่อยากพูดแต่ห้ามปากไม่ได้ “หุ้นส่วนใหญ่ของที่นี่เหมือนกัน....ใหญ่กว่า”
อุ๊รู้ทันว่าเป็นใคร พูดไม่ออก หายใจแรง ดอกโศกจ้องหน้านิ่งๆ
อุ๊....สะอึกในอก สู้ไม่ได้ ค่อยๆ ถอยหันหลังกลับ เดินจากไป
ไม่นานต่อมา อัศนัยพาดอกโศกเดินดูภายในโรงงาน อธิบายโน่นนี่นั่นอยู่ไปอยู่ไปมา แล้วพาเดินอีกที่หนึ่ง จูงมือแนะนำให้รู้จักบุรี
บุรีมองเอ็นดู เต้ยกับวินด้วย คนอื่นๆ ก็ด้วย อัศนัยแตะหลังดอกโศก ให้ดูการเขียนลายเซรามิกของวินกับเต้ย ดอกโศกดูอย่างสนใจ
อุ๊ แอบมองด้วยหัวใจสลาย มองนิ่งๆ จนน้ำตาขึ้นมาคลอเต็มตา
เย็นวันนั้น อุ๊เปิดประตูเข้ามาในห้องเพ็ญพักตร์เร็วรี่ หน้าเสียมาก “คุณแม่”
“อุ๊ เป็นอะไรลูก” เพ็ญพักตร์ซึ่งแต่งตัวจะออกไปงานตกใจมาก
อุ๊เดินเข้ามาเร็วรี่ โถมตัวเข้าหาแม่ “คุณแม่...” เสียงสะอึกนิ่งไป
“ใครทำอะไร....เป็นอะไร”
อานัยพามันไปโรงงาน”
“ใคร...อ๋อ” เพ็ญพักตร์นึกรู้ทันที
“เขาเปิดตัวมันแล้วคุณแม่”
เพ็ญพักตร์ถอนใจยาว เหนื่อยใจไม่น้อยเหมือนกัน “เขาทำยังไง”
“เขาพามันเดินจนทั่ว จูงมัน..โอบหลังมันแนะนำคนโน้นคนนี้”
เพ็ญพักตร์กอดรั้งลูกสาวเข้ามาอีก...ตบหลังเบาๆ ปลอบ
“อุ๊ ไม่มีทางแล้วคุณแม่”
“อุ๊รักอานัย...อานัยเขารู้อยู่เต็มอก แม่ว่าเขาให้อุ๊แค่ความสงสารก็จริงแต่....” เพ็ญพักตร์ทอดคำ
“สงสารหรือคุณแม่...มีรึเปล่าไม่รู้” อุ๊เยาะตัวเอง
“มี..เชื่อแม่ ผู้ชายที่เป็นศิลปินละเอียดอ่อนแบบอานัยเขารับรู้ เขา sense ได้ว่าอุ๊รักเขา แต่เขายังไม่รักอุ๊เขาก็ต้องสงสาร สมัยก่อนเรามีคำพูดว่า ความสงสารเป็นบ่อเกิดของความรัก เคยได้ยินมั้ย”
“เคยค่ะ”
“นั่นล่ะ ถ้ายังรักเขาเรื่อยๆ ก็คอยเขา ไม่ต้องทำอะไร แค่ให้เขารู้ว่าเรารักเขา ไม่ต้องทำดอกโศกเพราะจะทำให้เขารักมันมากขึ้น”
“แต่อุ๊ไม่มีวันทำดีกะมัน”
“ก็ไม่ต้อง ต่างคนต่างอยู่ มันไม่มายุ่งกะเราแล้ว”
“ก็มันรวยแล้วนี่ ย่ามันน่ะค่ะ” อุ๊ว่า
“ช่างมัน..ไม่ต้องไปตื่นเต้นกับมัน..เรื่องอานัย ถ้าเขาลงเอยกะมันก็ช่างเขา อุ๊มีโอกาสอีกเยอะแยะ ต้องเจอผู้ชายดีๆ อีกมากแต่....” เพ็ญพักตร์พูดเรื่องเจื้อย พยายามปลอบลูกสาว
“อุ๊รักอานัยค่ะคุณแม่” เพ็ญตระการสวนออกมาแล้วก้มหน้านิ่ง ท่าทางสิ้นหวัง
เพ็ญพักตร์โยกตัวลูกสาวไปมา “แต่ถ้าเขากะมันเกิดอุปสรรคบางอย่าง ทำให้ต้องเลิกกันไป...อุ๊คือคนต่อไปของอานัย”
“ไม่จริงหรอก อานัยไม่มองอุ๊เลย” อุ๊บอกปลงๆ
“แต่เขารู้ว่านี่คือคนที่รักเขามากที่สุด รองจากดอกโศกหรืออาจจะเท่ากันหรือมากกว่า” เพ็ญพักตร์บอก
อุ๊แม้นัยน์ตาจะยังเศร้า แต่ก็ยังมีความหวังมากขึ้น
สมใจซุบซิบอยู่กับสมปองสองคน หน้าตาเป็นทุกข์ ดูกังวลทั้งคู่ ชุดเสือวางอยู่แถวๆ นั้น
“เอาไงล่ะแม่” สมปองหารือ
“แม่ว่าสุดจิตต์ไม่ยอมปล่อยคุณนัยแน่ๆ โธ่เอ๊ย ทำไมมันถึงใจดำผิดมนุษย์มนาอย่างนี้ ลูกสาวในไส้แท้ๆ มันจะเสียสละให้ลูกไม่ได้เชียวเรอะ”
สมปองหน้าตาไม่ดีแล้วตอนนี้ คิดถึงเรื่องแม่ก็ไม่เสียสละให้สุดจิตต์เหมือนกัน
“แม่จะคร่ำครวญทำไมเนี่ย พี่จิตต์เขาก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเขาไม่รักก็เค้าไม่ได้เลี้ยงมันมา จะให้เค้าเจอหน้าครั้งแรก โผเข้ากอดกันให้ลูกกราบเท้าแม่ แม่ก็ร้องไห้ฟูมฟายว่ารักลูกเหลือเกินแบบในทีวีน่ะเหรอ ชั้นก็ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก” สมปองว่า
“ลูกนะนังปอง ลูกในไส้” สมใจว่า
“ลูกก็เหอะ ไม่ได้เลี้ยงมาก็ไม่รักหรอก ใครบอกว่า...อู้ย...คนเรานะต้องมีสัญชาตญาณความเป็นแม่ เฮ่อ...ชั้นไม่เชื่อหรอกให้ตายสิ”
“ทำไม...ทำไมจะไม่มี คนเราเป็นแม่ต้องรักลูก รู้ว่าเป็นลูกยังไงๆ ก็ต้องรักก็เพราะ สัญชาตญาณความเป็นแม่...มันมีอย่าเถียง” สมใจบอก
“แล้วคนที่ขอเด็กมาเลี้ยงทำไมรักล่ะ” สมปองว่าไปนั่น
“อ้าว ก็เค้าเลี้ยงของเค้ามา”
“แม่” สมปองแตะแขนแม่ทันที นัยน์ตาจริงจัง “ถ้าเป็นงั้นน่ะ ทำไมแม่ไม่รักพี่จิตต์เค้าล่ะ ตอนเค้าอยู่กับแม่อ่ะ แม่มีทั้งสัญชาตญาณแล้วก็เลี้ยงเค้ามา แม่ก็ไม่รักเค้าจนเค้าหนี”
สมใจชะงักกึก สีหน้าเหยเก ขยับหันหลังให้สมปอง
“เค้าว่าแม่เลือกผัว รักผัวมากกว่าลูก จริงป่ะล่ะ”
สมใจก้มหน้าซุกลงกับเข่า มีแต่เสียงร้องไห้ดังๆ สมปองเหลียวมองอย่างปลงๆ
สมหวังได้ยินเสียงร้องไห้วิ่งออกมา “นังปอง แม่มึงเป็นอะไร”
สมปองรีบตัดบท ขี้เกียจอธิบายแกมไม่อยากให้พ่อรู้ “จะไปบ้านตานวมใช่มั้ย...ไปเถอะ”
“อ้าว มึงไล่กูทำไม กูอุตส่าห์ถามดีๆ” สมหวังฮึดฮัด
สมปองเสียงดังขึ้นมานิด อารมณ์เสียแล้ว “ตอบไม่ดีตรงไหน”
สมหวังนิ่งมองลูกสาวมากทอดสักครู่ “เออ...กูเห็นมึงซุบซิบกัน หลายวันแล้ว มีเรื่องอะไรไม่บอกกู กูไม่ยุ่งก็ได้วะ เชิญมึงซุบซิบกันต่อไปเหอะเว้ย” ว่าแล้วสมหวังเดินตัวเอียงๆ ไป ตะโกนเสียงโหวกเหวกค่อยๆ ลงตามลำดับ “ไอ้นวม..ไอ้นวมโว้ย มาแล้วโว้ย ตั้งกระดานเล๊ย
สมปองตักน้ำยื่นให้แม่ขันหนึ่งบอก “ล้างหน้าซะ”
สมใจรับไปล้างหน้าลวกๆ
“อยากรู้จริงเรื่องนี้มันจะจบยังไง....ฮึแม่” สมปองอึดอัดใจ กังวลก็ปานกัน
อุ๊นั่งเศร้าซึมอยู่นอกโรงงาน มีหนังสืออยู่ในมือ แต่ไม่มีกะจิตกะใจอ่าน อัศนัยไม่ทันมองกำลังเดินคุยโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี
“ดอกโศก ทำไมเมื่อคืนโทร.ไปไม่รับสาย”
“คุณนัยคะ อุ๊เขาไปฝึกงานวันไหนบ้างคะ”
“เอ๊ะ คุณนัยบอกดอกโศกแล้วเมื่อวานนี่นา”
“บอกแล้วบอกอีกไม่ได้หรือคะ” ดอกโศกย้อนถาม
“บอกได้ครับ...บอกได้ เขามาฝึกงานช่วงเช้าถึงบ่ายโมงแล้วเขาก็ไปเรียนพิเศษ”
“แต่เมื่อวานเจอเขาจวนห้าโมงเย็นแล้วนะคะ” ดอกโศกบอก
“คุณนัยก็ไม่ทราบ ทำไมเขาถึงกลับมา คุณนัยเห็นเขาออกไปแล้วตอนเที่ยง”
ดอกโศกนิ่งอึ้ง
“ดอกโศกจ๋า...เป็นอะไร”
“เท่านั้นนะคะ” ดอกโศกกดปิด ยืนสีหน้าไม่ดี คิดไม่ตกเรื่องเพ็ญตระการ
อัศนัยงงเล็กๆ ครุ่นคิดเช่นกัน แต่แล้วกลับนึกครึ้มใจหน่อยๆ ว่างานนี้มีหึงแฮะ กำลังอารมณ์ดีๆ อัศนัยมองไปเห็นอุ๊ท่าทางเศร้า ใบหน้าอมทุกข์ จึงเดินเข้าไปหา
ดอกโศกคุยโทรศัพท์จบแล้ว เห็นคุณย่าออกมาจากห้องน้ำ มองดูหลานอย่างพิจารณา ได้ยินหมดทุกคำ
ดอกโศกหันมายิ้มรับ
“แอนเจล่า ย่าจะกลับหัวหินแล้วนะ”
“ค่ะ” ดอกโศกรับคำ
“ย่าจะพาแอนเจล่าไปด้วย” มิสซีสเบนส์บอกเสียงเฉียบขาด
ดอกโศกตะลึงเล็กๆ เพราะไม่อยากไป
“อุ๊กลัวสอบไม่ติด ไม่มีกำลังใจเลย” เพ็ญตระการเป็นทุกข์หนักเรื่องพ่อกับแม่
“มีสิ อุ๊มีคุณพ่อคุณแม่ ญาติพี่น้อง...”
อัศนัยพูดยังไม่จบ อุ๊สวนออกมา
“ไม่มียังดีกว่า” น้ำเสียงนั้นเย้ยหยันตัวเอง
อัศนัยซัก “อุ๊...มีเรื่องอะไร...บอกอานัยซิ”
“คุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกันอีกแล้ว คุณพ่อกลับมาวันแรกคุณแม่ก็สั่ง...สั่ง..สั่ง คุณแม่เป็นอย่างนี้ทุกที”
“เรื่องของผู้ใหญ่ อุ๊เป็นเด็กอานัยบอกตั้งหลายครั้งแล้ว” อัศนัยพยายามปลอบ
“อานัยไปบอกผู้ใหญ่อีกคนสิว่าอย่าให้เขามายุ่งกับคุณพ่ออุ๊” อุ๊บอกเป็นนัย
“ใคร”
“คนไม่ดี อุ๊เกลียดเขา เกลียดที่สุด” อุ๊หมายถึงปรียากมล
“ใครเหรออุ๊” อัศนัยถามทั้งที่สีหน้าน่ะรู้แล้วว่าหมายถึงใคร
“อานัยรู้ อย่าให้อุ๊บอก เกลียดจนไม่อยากเรียกชื่อด้วยว้ำ ทำไมล่ะคะ เมื่อก่อนเขาเป็นแฟนอานัยไม่ใช่เหรอ” อุ๊ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ทำไมเค้าถึงไม่ดีเค้ามายุ่งกะคุณพ่ออุ๊ทำไม อานัยรู้มั้ยคะ คุณพ่อไม่เคยทำให้คุณแม่เสียใจเลย คุณพ่ออุ๊ดีที่สุด ไม่เจ้าชู้เลย..ยัยคนนี้ทำให้คุณพ่ออุ๊เสียคน เกลียดที่สุด”
เพ็ญตระการบอกอย่างที่ใจคิดว่ารู้จักพ่อดี อัศนัยมอง พูดอะไรไม่ออก
อ่านต่อหน้า 2
ดอกโศก ตอนที่ 16 (ต่อ)
นอกจากจะไม่ได้คิดเลิกรากับปรียากมลแล้ว ตระกูลยังมาป้อนคำหวานว่ากำลังจะหย่ากับเพ็ญพักตร์ แต่ปรียากมลไม่สน เวลานั้นสองคนจึงทะเลาะกันอยู่ภายในห้องที่คอนโด ตระกูลนั้นตื๊อสุดตัว ไม่ยอมเลิกท่าเดียว
“ปรียากมล ฟังผมหน่อยนะ”
“ฉันจะพูดเป็นคำสุดท้าย บอกแล้วไงถ้าอยากเป็นเพื่อนกันก็จากกันไปดีๆ”
“ผมรักคุณ...ผมรักคุณมาก”
“เป็นลูกผู้ชายนะมีศักดิ์ศรีมั่ง มาอ้อนวอนผู้หญิงอื่นทั้งๆ ที่เมียคุณก็มีอยู่ทั้งคน เห็นใจเมียคุณหน่อยซี้” ลดเสียงพูดเบาๆ “เฮอะ ถึงจะไม่ค่อยน่าเห็นใจก็เถอะ”
“ผมบอกแล้วว่าเรากำลังจะหย่า” ตระกูลพูดไม่จริง
ปรียากมลสวนทันที “อย่านะ บอกไว้เลยถ้าคุณหย่า คุณจะเสียทั้งเขาเสียทั้งฉัน”
ตระกูลใจหายผวาเข้าหา คุกเข่ากับพื้นกอดเอวอ้อน “ปรียากมล..ผมรักคุณนะ”
ปรียากมลหงุดหงิดมากที่ตระกูลพูดไม่รู้ฟัง “พอแล้วพูดไม่รู้เรื่องรึไง คุณกลับไปได้แล้ว”
ครู่ต่อมาตระกูลยืนก้มหน้านิ่ง ที่บริเวณหน้าประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่ และกำลังจะออกจากห้อง
เหลียวมาเห็นปรียากมล นั่งหันหลัง กิริยาหมองเศร้าทอดถอนใจ
ตระกูล ถอนใจยาวคิดหักใจ หันตัวกลับออกเดิน แต่ต้องชะงักกึก เห็นอัศนัย ก้มหน้าก้มตา เดินมาตามทาง ตระกูลเดินออกไปจนเจอกัน
อัศนัย ไหว้ “คุณตระกูล สวัสดีครับ”
“สวัสดี...ผมขอตัว” ตระกูลรีบไปทันที
ปรียากมลทิ้งตัวลงพิงพนักโซฟา แหงนหน้าสูง อัศนัยเข้าวางกุญแจบนโต๊ะเสียงดังกริ๊กเบาๆ ปรียากมลนึกว่าเป็นตระกูล บอกเสียงหงุดหงิด
“ฉันบอกให้คุณไป...ไปให้พ้นจากชีวิตฉันได้แล้ว โอ๊ย..เบื่อโว้ย อะไรกันนักหนา”
ปรียากมลลุกขึ้นหันไปเห็นเป็นอัศนัย
“ปรียากมล...ผมเอง”
ปรียากมลอึ้ง “อัศนัย” หันหลังให้ทันที “มีธุระอะไร” พูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดมาก ไม่คาดฝันว่าจะมาหา “ถ้าไม่มีก็กลับไปก่อนฉันยังไม่อยากพบใคร อยากอยู่คนเดียว”
“อย่างเดียว บอกผมอย่างเดียว คุณจะไม่ติดต่อกับคุณตระกูลอีกได้มั้ย” อัศนัยขอร้อง
“ได้” ปรียากมลตอบทันทีเหมือนไม่ต้องคิด
อัศนัยอึ้งเพราะผิดคาด
ปรียากมลลุกขึ้นหันมา “ได้ ตอบแล้วไง แต่ที่จริงไม่ใช่ฉันหรอกที่คุณจะมาบอกอย่างนี้ เขา...เขา ต่างหากที่คุณควรจะไปบอก ผู้ชายที่ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้น”
อัศนัยประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น”
“เขาว่าเขาจะหย่าเมียเขา...ทุเรศมั้ย” ปรียากมลเย้ยหยันอยู่ในที
“คุณไปทำอะไรล่ะ”
“ฉัน...” น้ำเสียงนั้นเจ็บปวดนัก “ไม่ได้ทำกับเขาเหมือนที่ทำกับคุณหรอก”
อัศนัยอึ้ง
“เขามันบ้าไปเอง”
“เป็นอันว่าจบแน่นะ”
“คุณยุ่งอะไรด้วยอัศนัย” ปรียากมลแปลกใจ
“ผมสงสารลูกสาวเขา” อัศนัยว่า
ปรียากมลทำเสียงบางอย่าง “ชิ เด็กคนนั้นฉันไม่เห็นจะน่าสงสาร ท่าทางยโส หยิ่งจองหอง ดูถูกคน
ยังกะอะไรดี”
“คุณไม่เคยเจอเขารู้ได้ไง” อัศนัยแปลกใจอีก
“ทำไมจะไม่เคย..เอาล่ะ ฉันรู้แล้วกัน...โอเคฉันจบกับตระกูลแล้ว” ปรียากมลตัดบท
“ดีแล้ว ขอบคุณ...แทนครอบครัวของเขา”
“อัศนัย....”
“หือม์”
“อัศนัย คุณรู้มั้ยว่า....” ปรียากมลเหมือนอยากจะบอกบางอย่าง แต่กลับนิ่งไป แล้วถอนหายใจแรงๆ
“อะไรปรียากมล คุณเป็นอะไร” อัศนัยถามน้ำเสียงอ่อนโยน
ปรียากมลมองจ้องอัศนัย ความรักความอาลัยพลุ่งขึ้นจนต้องสะท้อนไปหมด “ฉัน...” ส่ายหน้าไปมาอย่างอัดอั้นตันใจ กิริยาอัดอั้นมาก เดินไปมา “คุณกลับไปก่อน...”
“ปรียากมล ไม่สบายใจเรื่องอะไร ผมช่วยได้มั้ย”
“กลับไปก่อน” ปรียากมลโบกมือให้ไป “ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“คุณไม่สบายรึเปล่า” อัศนัยเป็นห่วง
“ฉันอยากอยู่คนเดียว” พูดเสียงดังมาก “อยากอยู่คนเดียว” คราวนี้ตะโกนขึ้นมา “คนเดียว...คนเดียว…”
ปรียากมล ระเบิดเสียงร้องไห้ อย่างแรงที่สุด ฟุบหน้ากับหมอน สะอื้นตัวโยน
อัศนัยยืนมองนิ่งๆ สายตาครุ่นคิด
ปรียากมลพยายามหยุด ไม่ร้องไห้ เช็ดน้ำตา สูดน้ำมูกลุกเดินเอาทิชชู่ไปทิ้งถังขยะใบสวยที่วางอยู่แอบๆ
“โอเค...เล่าได้หรือยังว่าคุณเป็นอะไร”
ปรียากมลกลับมานั่งที่เดิม “ไม่มีอะไรแล้ว”
“ไม่จริง คุณไม่เคยเป็นอย่างนี้ บอกผมเถอะถ้าช่วยได้ผมจะช่วย”
ปรียากมลนิ่งงันไป ซาบซึ้งใจ
“เราเป็นเพื่อนกันมานาน” สองมืออัศนัยจับมือปรียากมลสองมือ
“เพื่อนหรือ?” ปรียากมลถามย้ำ
อัศนัยบอกย้ำ “เพื่อน....เพื่อนที่เคยรักกัน”
คำพูดประโยคนั้นกระแทกเข้าหน้าปรียากมลเต็มคำ สั่นสะเทือนไปทั้งใจ ได้แต่จ้องหน้าอัศนัย
อัศนัยย้ำให้เห็นความจริงทางสายตาและกิริยา
ปรียากมล ก้มหน้าก้มตาเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาอีก
“ปรียากมล มันไม่ใช่เรื่องคุณตระกูลใช่มั้ย ผมรู้ว่าเรื่องนี้คุณไม่ได้ซีเรียสกับมัน เอ้อผมไม่รู้นะว่าคุณก้าวไปถึงขั้นไหนแต่ผมรู้ว่าคุณหยุดมันได้ถ้าคุณอยากหยุด” อัศนัยนิ่งไปอีกนิด “และผมขอร้องให้คุณหยุดเพราะอะไรรู้มั้ย เพราะคุณเพ็ญพักตร์เขาน่ากลัวมาก ผมไม่อยากให้คุณมีเรื่องกับเขา คุณอาจถูก...ผมไม่รู้นะ คุณอาจเจ็บตัวหรืออาจจะ...”
ปรียากมลตั้งใจฟัง
“นะ....ปรียากมล” อัศนัยขอร้อง
“คุณบอกว่าสงสารลูกเขา ตอนนี้บอกห่วงฉัน เพราะอะไรกันแน่”
“ทั้งสองอย่าง...ทั้งสองอย่างจริงๆ”
“เที่ยวได้ห่วงลูกสาวเขา แม่เขาล่ะทำอะไรที่ห่วงลูกมั่ง เห็นทำตะละอย่างเสือกไสไล่สงพ่อหนีไปทุกวัน คิดถึงลูกมั่งรึเปล่าล่ะนั่น”
“ก็ใช่อยู่ อุ๊เองก็บ่นแม่อยู่บ่อยๆ ว่าข่มพ่อ นิสัยคุณเพ็ญพักตร์เขาเป็นอย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ห่วงลูกเขาก็ห่วงอยู่หรอก”
อีกครั้งคำพูดของอัศนัยกระแทกเข้าหน้าปรียากมลเต็มๆ จนนิ่งไปอึดใจ สะอึกพูดไม่ออก
อัศนัยต่อพูดไปเรื่อยๆ ไม่ได้มองปรียากมล “เท่าที่ผมดูเขาก็รักลูก...รักมากด้วยเพราะเป็นลูกสาวคนเดียว แต่เพราะนิสัยเขาเป็นคนอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าเวลาอยู่คนเดียวเขาจะคิดได้ไหมว่าที่เขาทำน่ะ กระทบกระเทือนลูกสาวเขายังไง...ลูกสาวถูกกระทบเต็มๆ ตอนนี้น่าสงสารมาก”
ปรียากมลนิ่งไปอึดใจ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องปิดประตู
อัศนัยงง แต่ก็ไม่ว่าอะไร หยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วออกไป
คืนวันนั้นปรียากมล นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง มองออกไป สีหน้าเศร้าครุ่นคิด ตรึกตรองและไม่อยากคิดถึงเลย แต่ภาพเหตุการณ์ก่อนเก่าก็ผุดขึ้นมาหลอกหลอนอีกคราครั้ง
คืนนั้นปรียากมลในวัยสาวตั้งท้องแล้ว อยู่กับจอร์จ ในบ้านหลังเล็กในซอยแห่งหนึ่ง สองคนคุยกัน
“ฉันจะกลับบ้านไปขอเงินแม่มาแต่งงานกับเธอนะ แม่จะให้เงิน แม่อยากได้หลาน” จอร์จบอก สีหน้าจริงจัง
“แต่งงาน...จริงเหรอ...จริงนะจอร์จ” ปรียากมลดีใจสุดขีด
“จริง ฉันจะซื้อบ้านใหม่ให้เธอ แม่ฉันมีเงินเยอะ” จอร์จบอก
อีกค่ำคืนหนึ่งหลายเดือนต่อมา
ปรียากมลท้องโตมากแล้ว นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าบ้าน กางขา หลังพิงฝา คออ่อนคอพับ ผมรุ่ยร่ายไม่เป็นระเบียบ หน้าไม่แต่ง เพื่อนบ้าน เดินเร็วรี่ ผ่านมา 2 คน เป็นผู้หญิงวัยกลางคนทั้งคู่
ปรียากมลยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นบ่นพึมพำ “ไอ้จอร์จ มึงหลอกกูอย่าให้เจอเชียว” เริ่มเจ็บท้องนิดๆ “อุ๊ย..ทำไมกูต้องมาเจ็บอยู่คนเดียววะ” นิ่วหน้ารู้สึกเจ็บท้องมากขึ้น “เอ่อ....” ปรียากมลส่งเสียงไม่พอใจมองท้องตัวเอง “ไอ้ลูกเวร...น่าจะเอามึงออกให้รู้แล้วรู้รอดเพราะพ่อมึงหลอกกูว่าจะกลับมาซื้อบ้าน เฮอะ...ไอ้ทุเรศจอร์จ เจอกัน กูจะฆ่าซะเลย” ทุกคำพูดพึมพำอยู่ในคอ ด้วยความแค้นเคืองใจ
จู่ๆ ปรียากมลก็รู้สึกเจ็บท้องจี๊ดขึ้นมาร้อง “โอ๊ย” ตัวงอลง
เพื่อนบ้าน 2 คนนั้น หันขวับมาทันที
อีกเหตุการณ์ที่ปรียากมลลืมไม่ลง
ที่บริเวณไซต์งานก่อสร้างแห่งหนึ่ง ปรียากมลท้องโตมากแล้ว หน้าตาทรุดโทรม แม้จะพันหัวพันคอ แต่งมิดชิด แต่ยังเผยให้เห็นหน้าทุกข์ระทม หมองคล้ำ
ปรียากมลทำงาน ในบริเวณที่คนงานหญิงทำกัน เหนื่อย ท้อใจ ทำไม่ค่อยไหว หน้าคะมำจวนจะล้ม เจ็บขา เจ็บแขน ทำด้วยความยากลำบาก สุดท้ายเกลียดท้องตัวเอง เกลียดสายเลือดในท้องตัวเองเหลือเกิน
ปรียากมลดึงตัวเองกลับมา ยังนั่งอยู่ท่าเดิม และนั่งริมหน้าต่างอย่างเก่า
จู่ๆ เสียงร้องปวดท้องของตัวเองดังมาจากด้านใน ปรียากมลปวดมาก พร้อมๆ กับที่เสียงร้องไห้จ้าของเด็กแรกเกิดดังก้องอยู่ในหัว
ปรียากมลหลับตานิ่ง เหมือนความเจ็บปวดตอนนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้น
ขณะที่เฉลยยืนอยู่ที่ประตูบ้านรัตนชาติพัลลภ ทอดสายตามองออกไป สีหน้าเฉลยคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อเห็นดอกโศกเดินก้มหน้าก้มตามาตามทาง ตรงขึ้นมายังบริเวณหน้าตึกใหญ่ ก่อนจะเข้ามาในบ้าน มองขึ้นไปชั้นบน
วิชัยที่ไปเปิดประตูให้ดอกโศก เดินไวๆ แยกไปอีกทาง
ดอกโศกอดนึกถึงความหลังต่างๆ ในบ้านผู้ดีตระกูลเก่าหลังนี้ ตอนตัวเองถูกทารุณตั้งแต่เด็กๆ จนโตขึ้นมา แต่เสียงคุ้นหูของเฉลยก็ดึงดอกโศกออกจากภวังค์
“คุณอภิรมย์” เฉลยเรียกมาจากข้างหลัง
ดอกโศกหันขวับมา “ป้าเฉลย” แล้วไหว้อย่างนอบน้อม “อยู่ตรงนี้นานแล้วหรือคะ”
“เห็นตั้งแต่คุณเดินเข้ามา”
“ทำไมไม่ทักหนูล่ะคะ”
“มัวแต่ดีใจเห็นคุณมา คุณสบายดีหรือคะ”
“ค่ะ...หนูสบายดี”
เฉลยเดินนำ ดอกโศกเดินไปด้วย “คุณเอนท์ที่ไหน คุณอ้นคุณอุ๊ก็เอนท์ค่ะ เห็นดูหนังสือกันใหญ่”
ระหว่างนั้นจิ๋วเดินถือไม้กวาดขนไก่เข้ามา เห็นเข้ายิ้มทักทาย ก้มตัวนิดๆ แล้วไป
“หนูจะเรียนที่ ม.สุโขทัยค่ะป้าเฉลยเพราะหนูจะทำงานด้วย”
“โธ่ ทำไมคะ คุณไม่มีเงินมาเอาที่ดิฉันก็ได้ มีเงินที่ท่านให้ไว้ยังไม่ได้ใช้เลย”
ดอกโศกยิ้ม “โถ...ป้าเฉลยใจดีจัง ขอบคุณนะคะ”
เฉลยนึกได้ “อ้อ...อุ๊ย แต่คุณย่าคุณรวย แหมดิฉันลืมไป...บังอาจซะจริง”
ดอกโศกขำ “หนูมาหาน้าสวยค่ะ อยู่มั้ยคะ”
สุดสวยหลับอยู่ในห้องทำงานพ่อ นอนหมอนทรงสูงอ้าปากนิดๆ แขนทอดยาว มีรูปคุณตาอยู่ในมือ ถือแบบเกร็งๆ จิกๆ ประมาณว่าจิตใจว้าวุ่นก่อนหลับ
ดอกโศกมองสงสารเหลือเกิน “โถ.....น้าสวย”
สุดสวยลืมตา อ้าปากหาวยาว บิดตัวไปมากิริยาคนไม่ค่อยปกติ เอารูปคุณตามามอง แล้วเอามากอด เรียก “คุณพ่อ คุณพ่อ” ซบหน้ากับรูป น้ำตาหยด มือดอกโศกแตะแขน สุดสวยเงยหน้าดูแล้วเบะนิดๆ อ้าแขนหา ดอกโศกรับไว้ตบหลังปลอบโยน
สุดสวยหันมาเห็นเฉลย “ไป” ไล่ “บอกน้าว่าคุณพ่อจะมา...ไม่เห็นมาเลย”
“น้าสวยขา คุณตาเสียไปแล้วนะคะ”
“ตายเหรอ ไม่ตายหรอก ไปทำงานเดี๋ยวก็มา ใช่มั้ยเฉลย”
“ใช่ค่ะ”
“ป้าเฉลย ต้องบอกค่ะ น้าสวยคะ คุณตาเสียแล้วนะคะ ไม่มาแล้วค่ะ”
สุดสวยมองดอกโศกนิ่งนาน สายตารู้อยู่เต็มอก พยักหน้า น้ำตาค่อยๆ ไหลริน ซบหน้ากับรูปคุณตา
สักครู่ต่อมาสองคนเดินออก สุดสวยโศกาอยู่ในห้อง
“ผอมไปเยอะค่ะ ไม่ค่อยยอมทานอะไร” เฉลยบอก
“ยาล่ะคะ หนูว่าน้าสวยเป็นมากกว่าเดิมนะคะป้าเฉลย”
“คุณหมอที่รักษาอยู่ก็มาดูค่ะ โถท่านห่วงเหลือเกิน กลัวท่านจะตาไม่หลับ”
“เป็นยังไงคะป้าเฉลย”
“โบราณเขาว่า คนตายที่ยังมีห่วงอยู่ข้างหลังจะนอนตายตาไม่หลับค่ะน่ะสิคะ”
ดอกโศกแวะหา อ้น เมาท์มอยกันด้วยความคิดถึง
“แต่ชั้นเห็นคุณตาก็ตาหลับนะอ้นตอนที่ตายนะ” ดอกโศกเอ่ยขึ้น
อ้นมองหน้า กัดเอา “โง่หรือแกล้งโง่”
“ไม่รู้แค่เนี้ย...โง่เหรอ”
“รู้หรือแกล้งไม่รู้”
“ไม่รู้จริงๆ ไม่ฉลาดเหมือนอ้นนี่” ดอกโศกสัพยอก
“นี่ อภิรมย์คนทุกคนเกิดมาเท่ากัน ไม่มีใครฉลาดหรือโง่กว่ากัน แล้วก็ไม่มีใครฉลาดมาตั้งแต่เกิดด้วยจะบอกให้ย่ะ ทุกอย่างต้องมาหาเอง เธอน่ะระวังจะเหมือนยัยโอ๋มันไม่ยอมอ่านหนังสือ วันๆ เอาแต่เล่นเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ไม่ก็โทรศัพท์คุยกับเพื่อน ไร้สาระที่สุด” อ้นออกท่าออกทางอย่างระอาใจ “วันๆ เสียเวลากับเรื่องพวกนี้เยอะแยะสมองจะคิดอะไรได้”
“อ้น....ชัดเลยนะเนี่ย” ดอกโศกยิ้ม แซวขำๆ
“ทำไม อ๋อ แน่นอน ชั้นไม่ใช่ ก.ท.ม. นี่ยะ”
“อะไรเหรอ ก.ท.ม.” ดอกโศกงง
ระหว่างนั้นจิ๋วเดินเอาขนมมาวางให้กับน้ำ 2 แก้ว
“กะเทยเก๊กแมน” ตอบหน้าตาเฉย หยิบขนมเคี้ยวตุ้ยๆ “มองอะไรไอ้จิ๋ว ไม่เคยเห็นรึไง”
จิ๋วรีบไปอย่างรวดเร็ว
“มีเหรอกะเทยเก๊กแมน” ดอกโศกสงสัย
“อุ๊ย ทำไมจะไม่มีอีกอล์ฟฟี่ไง”
“ชื่อเค้าเหรอ” ดอกโศกซักอีก
อ้นเหล่มองดอกโศก เหมือนขี้เกียจบอกแล้ว “ฮื่อ” ตอบส่งๆ
“ไม่เชื่อหรอกอ้น...อะไรเหรอ”
“บอกแล้วพอไม่ต้องถามอีกนะ ขี้เกียจพูดแล้ว กอล์ฟฟี่ก็เป็นกะเทยมาดนิ่งๆ ทำท่าเริดๆ แต่ที่จริงร้าย...แซบ กัดคนไปทั่ว”
“อ้นใช่รึเปล่า” ดอกโศกถาม
“ชั้นไม่ใช่หรอก ชั้นก็เงี้ยทำตัวให้เก๋กู๊ดของชั้นอย่างเนี้ย” กะเทยผมทองออกท่าออกทาง
ดอกโศกจะอ้าปากถามต่อ
อ้นรีบบอก “หยุด...นั่นไอ้โอ๋มานั่น”
“โอ๋คงไม่อยากเจอฉันหรอก อ้นบอกเรื่องหลับตาก่อน แล้วจะไปล่ะ”
“มันเป็นคำเปรียบเทียบว่านอนตายตาไม่หลับก็คือยังเป็นห่วงลูกห่วงหลานอยู่ ไม่ใช่ตอนตายไม่หลับตาหรอก”
“อ้อ...ชั้นโง่จริงๆ ด้วย” ดอกโศกเพิ่งถึงบางอ้อ
“มันไม่มีในชั้นเรียนต้องอ่านหาความรู้เอาเอง ไอ้โอ๋มาแล้วเธอหลบไม่ทันแล้วอภิรมย์”
โอ๋มาถึงแล้วบ่นทันที “โอ๋โดนพี่อุ๊ว่าอีกพี่อ้น” มองดอกโศก แต่เมินๆ ไม่พูดด้วย “พี่อ้นไม่ว่างใช่มั้ยโอ๋ไปก่อนก็ได้”
“ไม่เป็นไรโอ๋ คุยเถอะ.....ไปเอง” ดอกโศกลุกขึ้น
“นี่....เธอทั้งสอง ชั้นไม่เห็นเหตุผลเลยที่เราจะคุยกันสามคนไม่ได้”
“ไม่มีเหตุผลหรอกพี่อ้นแต่โอ๋ไม่คุย” โอ๋บอก
“ทำไม” อ้นถามเสียงเข้ม จริงจัง “เหตุผล”
“เพราะพี่อุ๊สั่งไว้” โอ๋บอก
ดอกโศกที่กำลังหน้าอารมณ์ดีๆ หยุดนิ่งทันที...หน้าเฉยขึ้น
“โอ๋...ยังเชื่ออุ๊จนเดี๋ยวนี้เลยเหรอ ไม่ฉลาดขึ้นมั่งเลย เฮ้อ” อ้นไม่ไหวจะเคลียร์แล้ว
“อย่ามาว่าโอ๋พี่อ้น ตัวเองไม่เคยสนใจโอ๋เลยอ่านแต่หนังสือทั้งวันทั้งคืนจะให้โอ๋พูดกับใครล่ะ ที่บ้านมีแต่ยายติ่งก็แก่แล้ว โอ๋พูดอะไรๆ ก็ดีหมด คุณโอ๋ดีหมด โอ๋เบื่อยายติ่งพูดอย่างเนี้ยตั้งแต่โอ๋เด็กๆ” โอ๋ระบดระบาย
“ก็ยายติ่งเค้าเลี้ยงเธอมา” อ้นบอก
“โอ๋ก็ต้องพูดกับพี่อุ๊ ทั้งบ้านเนี้ยมีใครพูดกะโอ๋มั่ง พี่อุ๊เค้าว่าโอ๋แต่เค้าก็พูดกะโอ๋ โอ๋อยู่บ้านนี้ถ้าไม่มีพี่อุ๊ โอ๋ก็เหมือนคนใบ้นั่นแหละ...” ถึงตรงนี้โอ๋มองหน้าทั้งสองคน “ดีมั้ยล่ะพี่อ้น มีน้องทั้งโง่ ทั้งเป็นใบ้...สะใจใช่มั้ยล่ะ”
โอ๋พูดจบ น้ำตาเต็มหน้า หันหลังกลับวิ่งพรวดไปทันที
“โอ๋” อ้นร้องเรียกไว้
ดอกโศกตบหลังอ้นแรงๆ “ตามไปสิอ้น” จนหน้าคะมำ
โอ๋วิ่งไปต่อ
“โอ๋....เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป”
โอ๋ไม่ฟังเสียงวิ่งต่อ
อ้นกระโจนพรวดเดียวขวางโอ๋ไว้ “หยุดโอ๋”
โอ๋ มองอ้น เสียใจน้ำตาฉ่ำตาแล้ว
อ้น มองแบบสงสารน้องแล้วเข้าไปกอดโอ๋ โอ๋แข็งขืนนิดหน่อยแต่อ้นพยายามกอดปลอบ
“อย่ามาทำเป็นดีกะโอ๋เลยพี่อ้น โอ๋ไม่เชื่อหรอก”
“โธ่...ไอ้โอ๋เอ๊ย แกนี้มันไม่โตเสียทีนะ” อ้นปลอบ
“ก็ไม่ต้องเชื่อหรอกโอ๋ ไม่อยากเชื่อก็ยังไม่ต้องเชื่อ คอยดูกันต่อไปว่าอ้นพูดจริงรึเปล่า” ดอกโศกว่า
โอ๋หันมามองดอกโศกอย่างเพ่งเล็ง
“พี่พูดจริง” ดอกโศกบอก
“ใครเป็นพี่” โอ๋สวนคำ ไม่สบอารมณ์นัก
อ้นปราม “โอ๋”
“ไม่เป็นไรอ้น โอ๋เค้าจะไม่รับ แต่ฉันก็เป็นพี่เขาอย่างแน่นอนเป็นเหมือนที่อุ๊เป็น”
“ไม่เหมือน” โอ๋เถียง
“พี่โตขึ้นมาในบ้านหลังนี้ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ไม่มีใครพูดกับพี่เหมือนกัน วันๆ พี่จะพูดกับตัวเอง...คิดกับตัวเองแล้วมันดีมากเลยโอ๋ มันทำให้เรารู้จักคิดรู้จักตัดสินใจ รู้จักหาเหตุผล ของผู้คนรอบๆ ตัวเราว่าทำไมเขาถึงทำอย่างโน้น...ทำไมเขาทำอย่างนี้” ดอกโศกพูดโดยใช้น้ำเสียง และแววตาที่ทำให้โอ๋ต้องหยุดฟัง ไม่เถียงขึ้นกลางคัน “สุดท้ายนะโอ๋ มันทำให้เรามองคนได้ชัดมาก มองทะลุถึงหัวใจเลยล่ะ”
โอ๋มอง...ฟัง และมอง สมองเริ่มปะติดปะต่อคำพูดดอกโศกให้เป็นเนื้อความ
“ช่วยเอาไปคิดหน่อยนะโอ๋ อะไรที่เห็นมันอาจจะไม่ใช่ อะไรที่ไม่เห็นก็ไม่ใช่ไม่มี”
โอ๋ ฟัง ตั้งใจคิดตาม
“อ้น....ดอกโศกกลับก่อนนะ มาหาน้าสวยพบแล้ว อ้นไปหาน้าสวยมั่งสิ...น่าสงสาร”
“O.K.” อ้นโบกมือเล็กๆ “โชคดีนะ....ดอกโศก” เสียงเรียกเต็มปาก
ดอกโศกหันหลังกลับ
อุ๊ ยืนถือโทรศัพท์ มองมาท่าทางเป็นต่อ
ดอกโศก มองแล้วเดินหลีก อุ๊ ยื่นโทรศัพท์ขวางหน้าทันที ดอกโศกมองนิ่งๆ ดอกโศกเห็นตัวเองกับภักดิ์ภูมิที่ร้านเฟอร์นิเจอร์
“อานัยเห็นแล้วจะว่ายังไงเนี่ย....อยากรู้จริง”
ดอกโศกมองนิ่งๆ ไม่กลัวเพราะบอกอัศนัยไปแล้ว
“หรือเธอว่าไงดอกโศก”
ดอกโศกไม่ตอบ ยิ้มนิดๆ มองหน้าอุ๊ แล้วเดินผ่านไปเฉยๆ
“บ้า....คนบ้า”
โอ๋กับอ้นมองอุ๊ สายตาโอ๋เหมือนครุ่นคิดนิดๆ
“มันบ้าเห็นมั้ยโอ๋....คนอะไร....เกลียดที่สุด” อุ๊บอกอีก
“รูปอะไรพี่อุ๊” โอ๋ถาม
“มันแอบนัดกับผู้ชายทั้งๆ ที่นัดอานัยไว้แล้ว อานัยคอยตั้งนานโทร.มาถามที่ออฟฟิศเป็นสิบๆ ครั้งว่ามันมาหรือเปล่า ที่แท้ไปกับผู้ชายคนอื่น ชั้นไปเห็นไงเลยถ่ายรูปพรุ่งนี้จะไปให้อานัยดู”
“ไม่เห็นใช่เรื่องของตัวเลย” อ้นเหน็บเอา
“อย่ายุ่งได้มั้ย” อุ๊ตวาด
“มันก็ไม่ใช่เรื่องของพี่อุ๊จริงๆ ไม่ใช่เหรอ” โอ๋บอก...เริ่มคิดเองเป็นแล้ว
อุ๊มองโอ๋ตาขุ่น
อ้นตบไหล่ให้กำลังโอ๋เบาๆ ทำนองว่าคิดถูกแล้วไอ้น้องเอ๋ย
เพ็ญตระการเข้าออฟฟิศอัศนัยตั้งแต่เช้า พอเข้ามาในห้องทำงาน ก็นั่งดูภาพดอกโศกกับภักดิ์ภูมิในมือถือง่วนอยู่ อัศนัยถาม
“อะไรหรืออุ๊”
“อ๋อ อุ๊เจอดอกโศกกับผู้ชายคนนี้ค่ะ อยากรู้ว่าเค้าเป็นใคร คิดว่าอานัยคงรู้จักอุ๊คุ้นหน้าเค้ามากค่ะ”
“อ๋อ...นี่ที่ร้านเฟอร์นิเจอร์ ดอกโศกไปทำงานผู้ชายคนนี้เป็นเจ้านายเขาชื่อภักดิ์ภูมิ” อัศนัยบอก
“อ๋อ อุ๊เคยพบที่ร้านอาหาร....ใช่แล้ว อ๋อ ทำงานกับคนนี้เหรอคะ” อุ๊แอ๊บใสซื่อ
“ใช่ นี้เขาก็ไปทำงานกัน อุ๊ไม่ได้ทักกับเขาเหรอ”
“อุ๊ก็ว่าจะทักแล้วค่ะ ตั้งแต่เห็นเขานั่งทานขนมกันที่ร้าน...จำชื่อไม่ได้ ร้านสวยเชียวค่ะ”
อัศนัยชะงักกึก แต่ไม่ได้ทำกิริยาอยากรู้ออกนอกหน้า
“ร้านอะไร...ที่ไหน”
“อุ๊ถ่ายรูปมาด้วย....นี่ไงคะ”
อัศนัยมองดูภาพในมือถืออุ๊ด้วยหัวใจที่เต้นแรง
ภาพนั้นภักดิ์ภูมิตักขนมให้ดอกโศก ดอกโศกยิ้มด้วย มุมกล้องที่อุ๊ถ่ายยิ่งทำให้เห็นว่าสองคนนั่งใกล้กันมาก
อ่านต่อหน้า 3
ดอกโศก ตอนที่ 16 (ต่อ)
ค่ำนั้นอัศนัยยังไม่เข้านอน กำลังนั่งอัศนัยวาดรูปดอกโศกอยู่ในห้องวาดรูป วาดๆ ไป โดยไม่มีสมาธิสักนิดในหัว ได้ยินแต่เสียงเพ็ญตระการ และเห็นแต่ภาพดอกโศกกับภักดิ์ภูมิติดตา
อัศนัยวาดรูปปัดไปมา อารมณ์เสียอย่างหนัก สุดท้ายหนุ่มใหญ่ปาดเต็มแรงผ่ากลางรูป แล้วปาดินสอไปเต็มแรง
ระหว่างนั้นหมื่นถือถาดกาแฟเข้ามา คะมำพรวด ด้วยความตกใจ
สีหน้าอัศนัยนิ่งจนน่ากลัว ขณะเหลือบมองหมื่น บ่าวจอมทะเล้นวางกาแฟแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าเล่นหัวลามปามอย่างเคย
หมื่นเล่าเรื่องที่เห็นให้แม่ฟัง
“ฉันไม่เคยเห็นคุณนัยหน้าตาแบบนี้เลยแม่”
“เป็นไง” หม่อนซัก
“น่ากลัวแม่” หมื่นบอก
“โดนด่าเหรอ”
“ไม่โดน แค่มองยิ่งกว่าด่าอีก แม่ไปจัดการไป”
ครู่ต่อมาหม่อนเดินเข้ามาในห้องวาดรูป อัศนัยลุกพรวดเดินออกไปทันที
“เดี๋ยวค่ะ คุณนัย”
“ไม่เอาอะไรแล้วป้าหม่อน”
“ชาสักถ้วย...” หม่อนบอกแต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง
อัศนัยรีบบอก น้ำเสียงมีอารมณ์ “บอกว่าไม่เอาอะไร...ไม่เข้าใจหรือไง” จ้องหน้าหม่อนนิ่งๆ
หม่อนหลบตาวูบ
อัศนัยรู้สึกตัว “ไม่เป็นไรป้าหม่อน” เสียงอ่อนลง “...ขอโทษ” เดินออกไปอย่างเร็วรี่
หม่อนหันสบตากับหมื่นที่มาแอบๆ
“แม่...” หมื่นเรียกเป็นเชิงถามว่าทำไงกันดี
“แกไปเฝ้าหน้าห้อง”
อัศนัยเดินไปไม่ทันพ้น เหลียวหันมาบอกเสียงเขียว “ไม่ต้อง...ทำไมต้องเฝ้า...คิดว่าฉันจะเป็นอะไร” เดินหายลับตาสองแม่ลูกไป
“เป็นอะไรอ่ะแม่” หมื่นงวยงง
“ไม่รู้...แต่คุณนัยไม่เคยเป็นอย่างนี้” หม่อนเป็นห่วงนัก
กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่น้อยสะบัดตัวตามแรงลม บรรยากาศรอบบ้านอัศนัยเช้านี้ สดใสยิ่งนัก น้ำค้างเกาะพราวบนใบไม้ ดูแล้วแสนสดชื่น ตรงข้ามกับอารมณ์ขุ่นมัวในใจอัศนัย ที่กำลังเดินออกมาหน้าตึก
หม่อนวิ่งตาม ทักไว้ “คุณนัย...ไม่ทานข้าวเล๊ย”
อัศนัยไม่ฟังเสียงเดินพรวด “ไอ้หมื่นล่ะ”
หมื่นโผล่ออกมาอย่างไว “อยู่นี่ครับคุณนัย”
“ทำไมยังไม่ไปเอารถ” อัศนัยถาม
“ก็คุณนัยยังไม่ทานข้าว หมื่นก็เลย...” หมื่นอธิบายยังไม่จบ
อัศนัยย้อนเข้าให้ “ฉันไม่กินข้าว แกไปเอารถไม่ได้?”
“ครับ” หมื่นรับคำเสียงดังฟังชัด
“มาใกล้ๆ นี่” อัศนัย
“ไปเดี๋ยวนี้ครับผม”
หมื่นรีบเผ่น อัศนัยยืนหงุดหงิด หม่อนยืนรีรอไม่กล้า
สักพักหนึ่งอัศนัยหยิบโทรศัพท์กดโทร.ออก
“พี่บุรีครับ ผมขอโทษนะครับ ผมจะเข้าออฟฟิศสายหน่อย พี่บุรีเอาคอนแท็คที่จะให้เราผลิตเซ็ตกาแฟให้โรงแรมที่ลอนดอนวางบนโต๊ะผมนะครับ ผมถึงแล้วจะรีบอ่านทันทีครับ” อัศนัยนิ่งฟังนิดๆ “โอเคครับผมทราบแล้ว” นิ่งฟังอีกแล้วว่า “ก็ประมาณสิบโมงสิบเอ็ดโมงผมคงถึงครับพี่บุรี ขอบคุณครับ”
แน่นอนว่าเหตุผลที่หนุ่มใหญ่เข้าออฟฟิศสายเป็นเพราะ...ดอกโศก
ไม่นานหลังจากนั้น อัศนัยเดินดุ่มๆ ไปหาดอกโศก ที่ในสวนโรงแรม ชะงักมอง เห็นดอกโศกอยู่กับเอ็ดดี้ เอ็ดดี้ท่าทางสุภาพแต่ก็ร่าเริง
สองหนุ่มสาววัยเดียวกัน คุยกัน และหัวเราะกัน แบบขำๆ จริงๆ มองจับกิริยาดอกโศกที่หัวเราะร่าเริงนั้น อัศนัยหน้าเครียดขึ้นอีก จ้องมองไป แต่ไม่ได้ยินว่าพูดอะไรกัน
ดอกโศกคุยอยู่กับเอ็ดดี้
“คุณไม่ว่าจริงๆ นะที่ผมตามลงมา...โอเคจริงๆ นะ” เอ็ดดี้ถามย้ำ
“โอเคจริงๆ....ทำไมจะไม่ล่ะ” ดอกโศกถาม
“หลายวันผมจะมา” เอ็ดดี้พูดเหมือนฝรั่งฝึกพูดไทย
“ผมจะมาหลายวัน” ดอกโศกยิ้มบอก
“อ๋อ....โอเค ผมจะมาหลายวันแต่ไม่กล้าหาญ” เอ็ดดี้หัวเราะทำท่าตลก “ภาษาไทยยาก...โคตรยาก”
ดอกโศกขำ “ตายจริงเอาคำนี้มาจากไหนเหรอเอ็ดดี้”
“โคตรเหรอ maid บนชั้นที่เราอยู่ She was about to clean room next door.” (เขาจะทำ
ความสะอาดห้องข้างๆ เรา) เขาพูดว่า “โคตรเละเลย” ผมถามเขาบอกว่า แปลว่า มาก...มากๆ”
ฟังที่เอ็ดดี้เล่า ดอกโศกหัวเราะขำ
“ผมเห็นแล้ว มันโคตรเละจริงๆ”
อัศนัยจ้องเขม็ง สองคนหัวเราะกัน เอ็ดดี้พูดอะไรอีก แต่อัศนัยไม่ได้ยิน
ดอกโศกก้มลงเก็บลั่นทมมาถือไว้ คุยสองสามคำจะเสียบผม
เอ็ดดี้เขย่งเก็บบนต้นให้ ทำกิริยาว่าดอกนั้นเปื้อน แล้วทำท่าจะเสียบผมให้ดอกโศก แต่ดอกโศกถอยไปนิดแล้วเสียบเอง
สีหน้าเครียดของอัศนัยนัยน์ตาอ่อนลงนิดหน่อย
เอ็ดดี้อุทาน “Beautiful……very”
“ฉันจะขึ้นข้างบนแล้ว...ไปหรือ ยังเอ็ดดี้”
“ไป...แน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีคุณสวนก็ไม่สวย”
สองคนเดินออกมาจากสวนตรงมา อัศนัยแอบ เดินผ่านอัศนัย
“คุณจะลงมาทุกเวลาเช้าใช่มั้ย...ผมจะคอยนะ”
อัศนัยได้ยินเต็มๆ หน้าเครียดจัดมาก สองคนเดินลับตัวไป อัศนัยไม่ได้ยินที่ดอกโศกตอบ
สองคนเดินห่างออกมา
“เสียใจเอ็ดดี้ วันนี้ฉันจะลงมาเป็นวันสุดท้าย” ดอกโศกบอก
เอ็ดดี้หน้าเสียมาก “ทำไม เพราะผมลงมาหรือ”
“ไม่ใช่ เอ็ดดี้คุณอย่าคิดอย่างนั้น ต้องถามเหตุผลของฉันก่อน”
“อะไรคือเหตุผล” เอ็ดดี้ย้อนถาม
“เหตุผลคือฉันลงมาทุกวันจนเบื่อแล้ว”
สีหน้าเอ็ดดี้ เศร้าๆ แต่แล้วก็ฝืนทำท่าร่าเริง
“มันไม่ใช่เหตุผล....ใช่หรือไม่แกรนด์มา” เอ็ดดี้เอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่หรอก ทำหน้าอย่างนั้นทำไม ย่าบอกแล้วว่ายังไม่ใช่เวลาของเธอ เวลาของเธออยู่ข้างหน้า...ที่หัวหิน”
“ผมวอรี่ จะหมดเวลาก่อน”
สีหน้ามิสซีสเบนส์ตรึกตรองสักครู่หนึ่ง
“ถ้าหมด....ก็หมด ยังมีเวลากับคนอื่นอีกมากนะเอ็ดดี้”
เอ็ดดี้บอก “I love her…grandma …but…”
“I love her too…and also I love you.”
สองย่าหลานมองตากัน สายตามิสซีสเบนส์สื่อเป็นความหมายว่า...ย่าจะช่วยเอ็ดดี้
สองคนพูดกันเสียงค่อยๆ เพราะดอกโศกอยู่ในห้องน้ำ
สักครู่หนึ่งประตูห้องน้ำเปิด ดอกโศกออกมาเร็ว
“ขอโทษนะคะ...เสร็จแล้วค่ะ” ดอกโศกขยับมาหยิบกระเป๋าโอเวอร์ไนท์ “วันนี้หนูกลับไปค้างกับยายนะคะย่า”
เย็นวันนั้น อัศนัยตามสมใจที่แวะกลับเข้ามาเอาถุงพลาสติกในบ้าน
“วันนี้ดอกโศกกลับมานอนนี่ใช่มั้ยครับยาย” อัศนัยจำได้ว่าดอกโศกจะมาค้างที่นี่
“ใช่...คุณนัยมีอะไรกับมันหรือเปล่า” สมใจหาของง่วนอยู่
“นิดหน่อยครับ ผมจะคอย”
“ทำไมไม่ไปรับมันล่ะ งานจวนเลิกแล้ว” สมใจบอก
อัศนัยไม่ตอบ สีหน้าขรึมลง
ตอนเย็น ในเวลาเดียวกันนั้น ดอกโศกก้มหน้าก้มตาทำงานจนภักดิ์ภูมิท้วงขึ้น
“แอนเจล่า งานเลิกแล้วครับ”
“ขอแปลให้เสร็จ อีก paragraph เดียวค่ะ”
ภักดิ์ภูมิวางมือบนกระดาษที่ดอกโศกเขียนแปลงานอยู่
“หมดเวลาทำงานแล้ว ขยันมากอย่างนี้ ถึงเวลาต้องไป ผมไม่ให้ไปนะครับ”
ดอกโศกมองยิ้ม พลางเย้า “อย่างนี้ใจดีหรือใจร้ายกันแน่” สายตาค้อน นิดๆ
ภักดิ์ภูมิตะลึงงัน เผลอจ้องสายตานั้นอยู่อึดใจ
ดอกโศกรู้ในสายตา รีบเก็บของทันที ปิดกระดาษที่เขียนอยู่
ภักดิ์ภูมิรู้สึกตัว ถอตัวถอยไปนิดๆ แต่ตายังจ้องไม่วาง
ดอกโศกเก็บโน่นเก็บนี่ รู้ว่าภักดิ์ภูมิมองอยู่ เก็บจนเสร็จ
“วันนี้คุณอัศนัยไม่มา....ผมไปส่งแอนเจล่านะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะแอนเจล่าไปเอง”
“ผมจะโกรธตัวเองไปจนตายเลย ถ้าให้แอนเจล่าไปเอง”
ดอกโศกหัวเราะจะลุกขึ้น ผลักเก้าอี้ไปด้านหลัง แต่เก้าอี้ล้อหมุนติดนิดๆ
ภักดิ์ภูมิสุภาพมาก มาช่วยเลื่อนเก้าอี้ใกล้กันเข้ามาอีก
“เหมือนล้อล็อค....ได้แล้วครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ผมถือให้” ภักดิ์ภูมิรับของซึ่งเป็นกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ หนังสือ 2-3 เล่ม และถุงใส่ของอีก 1 ใบ บอกเสียงสุภาพ “เชิญครับ”
ทางด้านยายสมใจเดินเร็วๆ ออกมาจากบ้าน ถือห่อถุงพลาสติกใส่ขนมมาด้วย “เดี๋ยวคงมาคอยก่อนนะคุณนัย ฉันมาเอาถุงพลาสติกไปขายขนมต่อ...ถุงหมด”
“เดี๋ยวครับยาย ดอกโศกจะไปที่ขายขนมรึเปล่าครับเนี่ย”
“ถ้าจะไปเขาต้องกลับบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” สีหน้าสมใจดูเหมือนคนไม่สบายใจตลอดเวลา พูดอะไรร่าเริงไม่ได้
อัศนัยกำลังจะพูดตอบมองตามออกไป เห็นภักดิ์ภูมิหิ้วหอบของดอกโศกเดินมาด้วยกัน หันหน้าคุยกันสนิทสนมดี
อัศนัยหน้านิ่งจ้องภาพนั้น สมใจมองตามจดจ้องมองอาการ สีหน้าเหมือนมีความคิดบางอย่าง
สองคนเดินมาจนใกล้ถึง ดอกโศกหยุดไหว้อัศนัย ภักดิ์ภูมิไหว้ตาม พูดยิ้มทักทายท่าทีสุภาพ
“คุณอัศนัยมาคอยอยู่ที่นี่เอง”
สีหน้าอัศนัยนิ่งเป็นปกติมาก...มาก ทั้งที่ในใจระอุ “ครับ มาส่งดอกโศกหรือครับคุณภักดิ์ภูมิ ขอบคุณมาก”
“คุณภักดิ์ภูมิคะ นี่ยายของแอนเจล่าค่ะ” ดอกโศกแนะนำภักดิ์ภูมิกับยาย
สีหน้าอัศนัยตึงขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินดอกโศกเรียกแทนตัวเองว่าแอนเจล่า
ขณะที่ภักดิ์ภูมิไหว้ และสมใจก็ยิ้มแย้มทักทาย สองคนพูดคุยซักถามว่า “โศกทำงานกับคุณหรือคะ”
ภักดิ์ภูมิตอบ “ครับ”
“ยายฝากด้วยนะคะ ยังเด็ก” สมใจยิ้มเยื้อน
ภักดิ์ภูมิเอ่ยชม “ทำงานดีมากครับ”
สองหนุ่มสบสายตากัน อัศนัยนัย์ตาขุ่นบอกอารมณ์ ดอกโศกเห็นรู้สึกหวาดหวั่นในท่าทีนั้น ทั้งสองคนปรับสายตาภักดิ์ภูมิหันมาพูดต่อกับดอกโศก
“แอนเจล่าครับผมจะไปซื้อขนมวันหลัง...คุณอัศนัยผมลา” ภักดิ์ภูมิไหว้ลาสมใจ “ลาครับคุณยาย”
สมใจ รีบรับไหว้
ภักดิ์ภูมิไปแล้ว สมใจบอกต้องรีบไปเหมือนกัน
“ไอ้โศกไม่ต้องไปขายขนมเพราะจวนหมดแล้ว” แล้วเดินออกไปปากซอยทันที
(ต่อจากเมื่อวานนี้)
อัศนัยยืนเฉยสายตานิ่ง ดอกโศกแตะแขนเบาๆ ยังไม่ทันไม่รู้สึก อัศนัยเดินห่างออกไปนั่งที่ม้านั่งทันที
“คุณนัย” ดอกโศกหน้าเสีย
“ทำไมให้เขามาส่ง” อัศนัยถามเหมือนหาเรื่อง
“ก็...คุณนัยไม่ไปรับ” ดอกโศกบอก
อัศนัยเริ่มพาลพาโล “กลับเอง...ทำไมกลับไม่ได้”
“กลับได้ค่ะ แต่คุณภักดิ์ภูมิบอกจะมาส่ง”
“ก็ถามอยู่นี่ไงว่าทำไมถึงยอมให้มาส่ง” อัศนัยถามน้ำเสียงเรียบ ออกอาการงอนนิ่งๆ
“คุณนัย ดอกโศกปฏิเสธแล้วค่ะ แต่คุณภักดิ์ภูมิยืนยัน ดอกโศกไม่ทราบจะทำยังไง วันหลังดอกโศกจะปฏิเสธให้เด็ดขาด หรือถ้าคุณนัยไปรับดอกโศกก็ไม่ลำบากใจ ถ้าคุณนัยไปรับได้ กรุณาไปรับดอกโศกด้วยได้ไหมคะ”
สาววัยใสตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เป็นผู้ใหญ่มากกว่าอัศนัยที่เวลานี้ขี้หึงมาก...
เจอไม้นี้ อัศนัยอึ้งไป พูดไม่ออก แต่อุตส่าห์หาเรื่องต่อ
“ทำไมต้องเรียกตัวเองว่าแอนเจล่า”
ดอกโศกหน้าเหวอ “คะ...อะไรนะคะ”
“ทำไมต้องเรียกตัวเองอย่างนั้น”
“ก็...คุณภักดิ์ภูมิเขาเรียกดอกโศกว่าแอนเจล่า เขาไม่ได้เรียกดอกโศกนี่คะ”
อัศนัยจ้องนิ่ง นัยน์ตาเข้มจัด
ดอกโศกงงงวย “ทำ....ทำไมคะคุณนัย”
“ถ้าเขาเรียกดอกโศก จะเรียกตัวเองว่าดอกโศกเหมือนกันหรือไง”
ดอกโศกตอบทันที
“ไม่ค่ะ เขาขอแล้วแต่ดอกโศกก็บอกเขาว่าดอกโศกสัญญาว่าจะเรียกกับคุณนัยคนเดียว”
อัศนัยหงุดหงิด เดินไปเดินมาห่างออกไป บ่นงึมงำกับตัวเอง “ขอ....ชะ..ไอ้นี่”
ดอกโศกมองฉงนมาก
อัศนัยหันมา ยังหงุดหงิดไม่หาย อุตส่าห์สวนไปได้หน่อยหนึ่ง แต่ดอกโศกกลับเคลียร์ข้อข้องจิต แถมอธิบายได้อย่างชัดเจน
“หิวมั้ย” อัศนัยถาม
ดอกโศกยิ้มยั่ว ล้อนิดๆ เห็นแฟนหนุ่มรุ่นใหญ่หึงจนหน้ามืด ส่ายหน้านิดๆ
“ทำไม ก็....”
ดอกโศกรีบตอบเร็วรี่ “หิวค่ะ”
อัศนัยท้วง “เมื่อกี้ส่ายหน้าไม่หิว”
“ไม่ใช่ส่ายหน้าไม่หิว...ส่ายหน้าเพราะ.....” ดอกโศกยิ้มกว้างมากขึ้น
“เพราะอะไร....ฮึ เพราะอะไร” อัศนัยหมั่นเขี้ยวยื่นมือจะบีบจมูก
ดอกโศกเบี่ยงตัวหลบ “ม่ายอาว...บีบจมูกเรื่อยเลย ฮื่อ...เห็นเป็นเด็กรังแกเหรอ”
“ใช่....รังแก จะรังแกไปจนตายเลย” อัศนัยยิ้มออก อารมณ์เริ่มดีขึ้นแล้ว
ดอกโศกเขินนิดๆ ยืนทำหน้าเฉยๆ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง
อัศนัยหัวเราะ หึ...หึ แล้วหัวเราะดังมากขึ้น พึมพำ “ยังกะไม่เคยได้ยิน”
ดอกโศกทำนัยน์ตาค้อนใส่ มองจ้องหน้า อัศนัยคว้าข้อมือหมับ
“ไปบ้านคุณนัยดีกว่าเดี๋ยวโทร.ไปบอกให้ป้าหม่อนเตรียมกับข้าว”
ไม่นานหลังจากนั้นสองคนพากันมานั่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำบ้านอัศนัยแล้ว ดอกโศกนั่งนิ่ง นึกถึงหลายเหตุการณ์เมื่อวันวารตอนเป็นเด็กที่ท่าน้ำแห่งเดียวกันนี้
อัศนัยรู้ว่าดอกโศกชอบอาหาร รสจืด เช่น ไก่ทอด ไข่ต้ม แกงจืด ผัดมะระใส่ไข่ วันนั้นด.ญ.ดอกโศกตักไข่ต้มใส่จานข้าว ตักใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
ในมืออัศนัยตักไก่ทอดให้ ดอกโศกไหว้ สบตา แล้วยิ้มหวาน พยายามใช้ช้อนส้อมตัดไก่ทอด อัศนัย หยิบกระดาษทิชชูพันน่องไก่ส่งให้ ดอกโศกรับมา กัดกินยิ้มหวาน รับรู้รสแสนอร่อย เสียงอัศนัยถาม อร่อยมั้ย ดอกโศกพยักหน้า
“ตอบคุณนัยอย่าพยักหน้า” อัศนัยสอน
ด.ญ.ดอกโศกยิ้ม “อร่อยค่ะ อร่อยที่สุดในโลก ป้าหม่อนทอดไก่อร่อยที่สุดในโลก”
“อะไรอีก”
“ผัดมะระใส่ไข่อร่อยที่สุดในโลก”
“ไม่ขมเหรอ” อัศนัยสงสัย ย้อนถาม
“ขมค่ะ”
“ขมทำไมกินได้ล่ะ”
“ขมเป็นยาค่ะยายบอก”ด.ญ.ดอกโศก
สีหน้าอัศนัยมองนิ่งๆ สายตาลึกซึ้งมาก
ดอกโศกดึงตัวเองกลับมาจากภาพวันวาร กำลังเอาทิชชูหยิบขาไก่ขึ้นมาชู ดอกโศก กำลังจะกัดไก่ เห็นสายตา ชะงักไก่คาอยู่ที่ปาก
“เอ้า...ทำไม” อัศนัยฉงน
“อย่ามองสิคะ”
“นี่...คุณนัย เห็นมาตั้งแต่เด็กไอ้ท่าแทะขาไก่เนี่ย เห็นจนชิน ทีแต่ก่อนไม่เห็นอาย”
ดอกโศกวางไก่ในมือ “ก็เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนก่อนนี่คะ”
“ไข่ต้มดีกว่า...เออถามหน่อย ทำไมดอกโศกชอบกินไข่ต้มจัง” อัศนัยถามยิ้มๆ
“ก็ทานบ่อย ยายต้มให้เพราะมันถูกที่สุด วันไหนมีตังค์น้อยทุกคนเก๊าะ...ไข่ต้มคนละฟองแต่ตาสองฟอง”
“อือม์....เหรอ ทำไมล่ะ....เอ๊ะไม่น่าถามนะ”
“ค่ะก็ผู้ชายผู้หญิงไม่เท่ากันอยู่แล้วววว....ผู้ชายไม่ต้องกวาดบ้านถูบ้านไม่ต้องซักผ้ารีดผ้า ไม่ต้องหุงข้าว ทำกับข้าว ไม่ต้องล้างจาน แต่ด่าได้ตีได้ซ้อมได้ คนที่ถูกด่าถูกซ้อมก็คนที่ถูบ้านกวาดบ้าน ซักผ้ารีดผ้าทำกับข้าวให้กินนั่นแหละ”
อัศนัยหน้าขรึมลง มองดูดอกโศกนิ่งๆ
“มองอะไรคะ”
“บางทีคุณนัยรู้สึกว่าดอกโศกโตกว่าคุณนัยซะอีก”
“อะไร...ดอกโศกสูงแค่ไหล่คุณนัยมั่ง” ดอกโศกท้วงเสียงซื่อใส...ไม่ได้อำ
“เออ...เออ ไม่โตกว่าแล้ว....เด็กมากเลยเรา” อัศนัยตบหัวเบาๆ
“พูดเด็ก...เด็กอยู่เรื่อย เดี๋ยวก็โดนว่าหรอก”
“ว่า ว่าไง” อัศนัยซัก
ดอกโศกก้มหน้า ตอบเบาๆ “กินเด็ก”
อัศนัยหูผึ่ง “อะไรนะ”
ดอกโศกหันไปทางหม่อน “ป้าหม่อนขา...”
อัศนัยคาดคั้น “เดี๋ยว...บอกก่อน”
หม่อนรีบเข้ามา “ไข่ต้มเพิ่มมั้ยคะ”
“ป้าหม่อนอย่าเพิ่งยุ่ง ดอกโศก....”
อัศนัยบอกหม่อน แต่พูดไม่ทันจบ ดอกโศกบอกหม่อนทันที
“ไข่ต้มค่ะ ป้าหม่อน”
“จัดให้” หมื่นตั้งท่าแล้ววิ่งจู๊ดไป
อัศนัยส่ายหน้าขำๆ ชี้หน้าดอกโศก “ระวังตัวให้ดี”
หมื่นวิ่งเข้ามาในบ้าน ตั้งท่าจะตรงไปที่แพนทรี่ แต่ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นปรียากมล นั่งกอดอก หน้าเฉยสนิท
“เอ่อ....ครับ”
ปรียากมลถาม “คุณนัยล่ะ”
“อยู่ที่ท่าน้ำครับ”
ปรียากมลขยับตัวลุกขึ้น “ขอไวน์ชั้นแก้วหนึ่งนะหมื่น เดี๋ยวนี้เลย”
“คุณจะไปไหนครับ” หมื่นถามอย่างอึดอัดใจ
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณนัยนิดหนึ่ง”
หมื่นอึกอัก “เอ่อ...”
“ทำไม...คุณนัยอยู่กับใคร...ดอกโศกเหรอ”
“ครับ”
ปรียากมลนิ่งไปอึดใจหนึ่ง “งั้น” พยักหน้านิดๆ รับรู้ และรู้ว่าอัศนัยอยู่กับใคร “ขอบใจ”
หมื่นยืนงงๆ ปรียากมลคิดสักครู่ สีหน้าเจ็บลึกๆ แล้วเดินออกไปทางหน้าบ้าน
หมื่นโกยมาแล้วชะงักก่อนถึง สีหน้าอึกอัก
“ไหนล่ะ...ไข่ต้ม” หม่อนถามลูกชายเสียงเขียว
“เอ่อ....” หมื่นทำท่ากระซิบ
“เดี๋ยวเหอะ ทะลึ่งใหญ่ ว่าไงพูดดังๆ”
“คุณปรียากมลมา” หมื่นโพล่งออกมา
ดอกโศก สะดุ้ง ทำท่าจะลุก อัศนัยจับแขนไว้ทันที ปลอบด้วยสายตา
ดอกโศกคุมตัวเองได้แล้ว นั่งอย่างเดิม
หม่อนหันมามองดอกโศก สายตาเป็นห่วงเดินเข้ามาใกล้
“คุณนัย คุณปรียากมลมาแต่กลับไปแล้ว ทานต่อค่ะคุณหนูดอกโศก เดี๋ยวไข่ต้มมาเพิ่ม”
“ขอบคุณค่ะ” ดอกโศกค่อยคลายสีหน้าขมวดมุ่นลงไป
“ไม่มีใครทำอะไรดอกโศกได้...ไม่ต้องกลัว”
“แต่...คุณปรียากมลบอกว่าเขามาก่อน” ดอกโศกท้วง
“ถ้าจำที่คุณนัยบอกได้ คุณนัยยืนยันคำนั้น ไม่มีอะไรลึกซึ้งระหว่างคุณนัยกับเขา เราคบกันเหมือนผู้ชายผู้หญิงที่คบๆ กันสมัยนี้เพราะพอใจที่จะคบกัน...”
“รักกัน?” ดอกโศกต่อประโยคเสียงแผ่วเบา
อัศนัยจ้องดอกโศกอยู่อึดใจก่อนจะเอ่ยออกมา “รักกัน”
ดอกโศกเมินไปทางอื่นทันที หน้าเสียมาก
อัศนัยแตะเชยคางเบาๆ ให้หันมา “ถ้าคุณนัยบอกไม่รักดอกโศกจะยิ่งเสียใจเพราะนั่นคือคุณนัยโกหก คุณนัยตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่โกหกดอกโศก...ดอกโศกก็ไม่โกหกคุณนัยเหมือนกันเราจะพูดแต่ความจริงถึงจะทำให้เสียใจก็ตาม สัญญาสิ”
“ค่ะ ดอกโศกสัญญา แต่ดอกโศกไม่อยากแย่งของรักของใคร”
“ดอกโศกไม่ได้แย่ง เพราะคุณนัยไม่ใช่ของรักของใคร
สองคนสบตากันอย่างจัง
“นอกจากของดอกโศกคนเดียว” อัศนัยบอกเสียงจริงจัง
หม่อนนั่งอยู่ไกลมาหน่อย พอมองเห็น สีหน้าอิ่มเอิบใจ ขณะที่หมื่น นั่งเคลิ้มอยู่ตรงนั้น หันมาสบตาแม่ยิ้มอายๆ
หม่อนกระซิบถาม “เป็นอะไรไอ้หมื่น”
หมื่นกระซิบตอบ “อยากมีแฟนอ่ะ”
“หน้าอย่างแกเนี่ยนะ” หม่อนเยาะ
“ฉันว่าฉันหล่อกว่าคุณนัยนะแม่...ดูดีๆ สิ”
หม่อนส่ายหน้าปลงอนิจจัง
อ่านต่อตอนที่ 11 พรุ่งนี้ (17พ.ค.55) เวลา 9.30 น.