xs
xsm
sm
md
lg

ดอกโศก ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดอกโศก ตอนที่ 10

เช้าวันเกิดพลเอกสุดเขต ลูกหลานทุกคนแต่งตัวสวยในชุดไทยรวมตัวกันอยู่พร้อมหน้าอยู่ที่ที่บริเวณหน้าบ้าน บริวารร่วมชายคา เฉลย จิ๋ว นายสม รวมทั้งจวนแม่ครัวมาดูแลเรื่องอาหารคาวหวาน เครื่องใส่บาตร ให้พระหลายรูป

สุดเขตตั้งใจใส่บาตรไปเรื่อยๆ เพ็ญพักตร์ กับสุดสวยร่วมใส่ด้วย หลายจังหวะสุดสวยพยายามแย่งเพ็ญพักตร์หยิบของให้สุดเขต
เพ็ญพักตร์เรียกอุ๊มาช่วยหยิบ อุ๊กับโอ๋ช่วยกัน
ครั้นพอถึงพระรูปสุดท้าย สุดเขตหันไปเรียกดอกโศกที่ยืนอยู่ห่างออกไปให้มาช่วย ดอกโศกเข้ามาช่วยหยิบของให้คุณตา เพ็ญพักตร์ อุ๊ และโอ๋ ยืนหน้าเฉย อ้นเข้ามาช่วยหยิบดอกไม้ส่งให้ดอกโศกส่งให้คุณตา

ใส่บาตรรับพรพระเสร็จ นายพลสุดเขตเดินนำหน้าเข้าบ้าน ลูกหลานทุกคนเดินตามเป็นพรวน
สุดสวยเดินข้างๆ คุณตาพูดไปหัวเราะไปหันไปทางเพ็ญพักตร์ กับเพ็ญตระการ “พี่เพ็ญ...นี่ไงคุณพ่อซื้อชุดให้ใส่วันนี้ตั้งสองชุด ชุดเนี้ย...สวยมั้ย อุ๊ ชุดน้าสวยมั้ย คุณพ่อเลือกนะเนี้ย....ชุดตอนเย็นน้าสวยกว่าชุดนี้อีก”
อุ๊เมินไปไม่ตอบ เพ็ญพักตร์ชักหน้ารำคาญเดินหนีไปอีกทาง
สุดเขตเห็นปฏิกิริยาเข้า สีหน้าเป็นห่วงลูกสาวคนนี้มาก

ลูกๆ หลานๆ นั่งระเกะระกะอยู่เต็มห้องโถงใหญ่ของบ้าน ดอกโศกนั่งแอบๆ อยู่อีกทาง สุดสวยนั่งแอบอิงอยู่กับพ่อ อุ๊มานั่งข้างคุณตาอีกข้าง
สุดสวยดึงคุณตามาทางตัวเอง
สุดเขตรู้ดีอารมณ์ลูกสาวดี โอบเข้ามากอดไว้ ตบไหล่เบาๆ ปลอบโยน
“ปีนี้เจ็ดสิบ...จะอยู่อีกนานแค่ไหน”
ลูกๆ หลานๆ ต่างก็ตอบกันไปมา ทำนองว่า ยังหรอก คุณพ่อ คุณตายังไม่แก่
“ใครแสดงอะไรมั่งล่ะวันนี้” สุดเขตถามถึงการแสดงตอนค่ำ
หลานๆ ตอบทำนองว่า เป็นความลับบอกก่อนไม่ตื่นเต้น
“อุ๊ มีเพื่อนๆ มาแสดงด้วยใช่มั้ยลูก” เพ็ญพักตร์รีบนำเสนอ
“ค่ะ ของอุ๊แสดงสุดๆ ค่ะคุณตา” เพ็ญตระการยิ้มระรื่น
“โอ๋ เต้นกับพี่อุ๊ค่ะ สุดๆ เหมือนกันค่ะ”
“ไอ้เด็กสมัยนี้พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง สุดๆไม่รู้สุดอะไรหรืออะไรสุด”
เสียงหัวเราะกันเบาๆ
“อ้นล่ะลูก แสดงอะไรให้ตา”
อ้นตอบการแสดงของตนออกมา
“เออ...น่าดู ตาจะคอยดู”
ผู้พันพฤกษ์เอ่ยขึ้น “เสียดายวันนี้ผมไม่อยู่งานวันเกิดคุณพ่อ”
สุดเขตประหลาดใจ “อ้าว...ทำไม เธอจะไปไหนล่ะพฤกษ์”
“ผบ.ทบ.จะไปตรวจหมู่บ้านชุนชนสีขาวที่....คุณพ่อทราบโครงการนี้ใช่มั้ยครับ”
“ก็รู้อยู่ หมู่บ้านปลอดยาเสพติด”
“ครับ....ผมทำอยู่ด้านการประเมินผลครับ” พฤกษ์บอก
”ดี....ช่วงหลังนี้ทหารร่วมมือกับชาวบ้านมากขึ้น พ่อว่าดี...ไปจังหวัดไหนบ้าง” คุณตาว่า
“ไล่ตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่างขึ้นไปครับ”
“ดี...ดี” มองไปยังหลานๆ “นี่จะปิดเทอมแล้วใช่มั้ย สอบเสร็จแล้วรู้ผลรึยัง”
อ้น อุ๊ ยกมือ หน้าบาน ตอบว่า “ทราบแล้วครับ” / “ทราบแล้วค่ะ” พร้อมกัน ขาดโอ๋ ที่เงียบกริบ
“โอ๋ล่ะลูก”
โอ๋หน้าซีดเผือด พฤกษ์เห็นเพ่งมอง

เพียงไม่นานต่อมานายพันพฤกษ์เดินหน้าตั้งเข้าบ้าน โอ๋เดินตามมา กลัวจนสะท้านไปทั้งตัว
พฤกษ์หันหลังกลับเผชิญหน้า โอ๋หลบเกือบไม่ทัน “บอกฉันมา”
“คะ”
“แกอย่าทำไขสือไอ้โอ๋ แกสอบตกใช่มั้ย”
โอ๋ตัวสั่น ใจยิ่งสั่นกว่า “เอ่อ...”
“ได้เท่าไหร่...ฮะ เกรดอะไร” พฤกษ์คาดคั้นหนัก
“เอ้อ...”
เสียงพฤกษ์ตวาดก้อง “เท่าไหร่ บอกมา”
“หนึ...หนึ่งจุดห้าค่ะ” โอ๋บอกไม่เต็มเสียง
พฤกษ์ฟาดโต๊ะเต็มแรง
อ้นตามมาแอบดูอยู่ที่ประตูตกใจมาก ส่วนโอ๋นั้นสะดุ้งสุดตัวเลยทีเดียว
“แกเรียนหนังสือภาษาอะไร ฮะ ไอ้โอ๋ เรียนรึเปล่า ไปโรงเรียนหนีไปเที่ยว...แกรู้มั้ยต่อให้คนเรียนเลวที่สุดมันต้องได้มากกว่าหนึ่งจุดห้า”
“โอ๋ขอคุณพ่อเรียนพิเศษ คุณพ่อไม่ให้” โอ๋ท้วงเสียงค่อย
“หยุด....ไม่ต้องพูดเรื่องเรียนพิเศษ ฉันจะไม่เสียเงินให้แกเรียนเป็นอันขาด แกต้องเรียนในชั้นเรียนให้ได้ ขนาดไม่เรียนพิเศษแกยังเรียนเลวขนาดนี้ ถ้าเรียนพิเศษแกก็ไม่สนใจเรียนในห้องเรียนเลย แล้วครูเขาจะคิดยังไง...ฮะ ไหนบอกซิ”
โอ๋เงียบ ก้มหน้านิ่ง แต่สีหน้ากดดันสุดขีดแล้ว
“ฉันเลี้ยงแกดีทุกอย่างเป็นตัวอย่างให้แกอย่างดีฉันตั้งใจเรียนแค่ไหนเล่าให้แกฟังแล้ว เป็นคนมันต้องทำหน้าที่ของตัวเอง แกเป็นนักเรียนแกต้องเรียน....นี่มัวทำอะไร คบผู้ชายเหรอ”
“คุณพ่อ ! ...โอ๋เปล่า ทำไมคุณพ่อว่าโอ๋....” โอ๋สะอื้นขึ้นมา
“งั้นเพราะอะไร แกไม่เรียนเพราะอะไร ฮะ....ทำไมไม่ตั้งใจเรียน” พฤกษ์ตวาดเสียงดังก้อง
โอ๋เสียงดังตอบกลับ “ก็โอ๋ตั้งใจแล้ว” แล้วสะอื้นแรงขึ้น
“โกหก! ตั้งใจแล้วทำไมเป็นอย่างนี้....แกไม่น่าเป็นลูกชั้นเลยไอ้โอ๋...ไปให้พ้นหน้าฉัน”
โอ๋ช้ำเกินช้ำ ลุกพรวด “โอ๋ก็ไม่อยากเป็นลูกคุณพ่อเหมือนกัน” วิ่งพรวดออกมา “ไม่อยากเป็น....ไม่อยากเป็น” เสียงแว่วมาตามร่างที่ห่างออกไป
พฤกษ์ตะโกนเรียก “ไอ้โอ๋”

โอ๋วิ่งพรวดออกมานอกบ้าน เจอะอ้น..ชะงัก สะอื้นแรง
“โอ๋”
“ไม่ต้อง...ไม่ต้องมาซ้ำเติม” วิ่งหนีต่อไป

ผู้พันพฤกษ์ตะโกนเรียกโจ้ พลทหารรับใช้ประจำบ้าน
“ไอ้โจ้...ไอ้โจ้”
โจ้วิ่งพรวดออกมา
“มึงทำบ้าอะไรอยู่เรียกทำไมช้า”
“รีดเสื้อนายอยู่ครับ”
“ไปจัดกระเป๋า...ไป” พฤกษ์สั่ง
“กี่โมงครับ”
พฤกษ์รุนหลังไปเต็มแรง “มึงไม่ต้องถาม...ถามทำไม กูสั่งให้ไปทำก็ไป...ไป๊”

ในขณะที่เพ็ญตระการเดินลงมาที่รถอย่างเร็วรี่ โอ๋วิ่งถลาร้องไห้เข้าไปหา
“พี่อุ๊....พี่อุ๊ โอ๋ไม่อยากเต้นแล้ว”
“เดี๋ยวโอ๋ พี่รีบไปทำผม....กลับมาค่อยคุยกัน” ขึ้นรถไปทันควัน
โอ๋ยืนนิ่งงัน
อ้นเข้ามาจูงมือ “ไปทางนี้ จะพูดอะไรให้ฟัง”
โอ๋มองอ้น สายตาคลางแคลง อ้นปลอบใจ จูงมือกันไป

เวลาต่อมาริมน้ำสวยๆ โอ๋นั่งสะอื้นเงียบๆ อ้นพยายามพูดปลอบ
“แค่คิดว่าเขาหวังดี” อ้นว่า
“ทำไมเค้าต้องว่า...ว่า...ว่า” โอ๋พูดไปสะอื้นไป
“เขารัก” อ้นบอก
“รัก....ไม่จริงหรอกพี่อ้น เค้าไม่รักหรอก เค้าหาว่าโอ๋ทำแม่ตาย...แม่ตายเพราะคลอดโอ๋” น้ำเสียงเย้ยหยันตัวเอง
“ลุงพฤกษ์รักโอ๋มาก ไม่งั้นเค้าก็มีเมียใหม่แล้วสิ” อ้นพยายามเอาส่วนดีมาปลุกปลอบ
“ใครจะมาเป็นเมียเค้า เค้าไม่เห็นจะดีกับลูกเค้าก็ต้องไม่ดีกะเมีย” โอ๋ยังไม่รู้สึกดีกับพ่อ
“ถ้าเค้าไม่รักเค้าไม่เสียเวลามาเคี่ยวเข็นโอ๋หรอก แต่วิธีเค้าผิดเท่านั้น”
“เถียงแทนเค้าได้อะไรขึ้นมาพี่อ้น ลองพี่อ้นเป็นลูกเค้าแล้วพี่อ้นเป็นกะเทยอย่างเงี้ย เค้าฆ่าพี่อ้นเลยรู้เปล่า...รักป๊ะล่ะแบบนั้น” พูดจบโอ๋ก็ลุกเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
อ้นร้องตะโกนตามหลัง “รัก.....เค้าเป็นพ่อ”

พฤกษ์แต่งเครื่องแบบยศนายพันท่าทีสง่าผึ่งผาย ขณะที่โจ้ยกกระเป๋าออกไป พฤกษ์เขียนจดหมายเสร็จพอดี
“ไอ้โจ้....เดี๋ยวเอ็งขับรถไปส่งข้า” พูดพร้อมกับเอาซองจดหมายวางบนโต๊ะ จ่าหน้าด้วยลายมือว่า
“ โอ๋...ลูกรัก”
โจ้เอากระเป๋าใส่รถ ปิดรถ
พฤกษ์ลงมาเร็วรี่ จะขึ้นรถ เหลียวไปมองหาโอ๋
โอ๋แอบๆ อยู่ข้างตึกมองมาหน้าตายังแดงก่ำเพราะร้องไห้หนัก วินาทีนั้นสองพ่อลูกสบตากัน
“โอ๋” พฤกษ์ร้องเรียก
แต่โอ๋หันหลังกลับ วิ่งไปทันทีพฤกษ์ยืนอึ้ง

เวลาเดียวกันสุดเขตนั่งอยู่ในห้อง เฉลยส่งยาให้ บ่นตามเคย
“ท่านลืมอีกแล้ว”
“เออ...ลืม ขอบใจ” กินยาแล้วดื่มน้ำตาม
“หมอนิรันดร์เอายาแก้ฮัลไซเมอร์ให้ท่านรับทาน” เฉลยบอก
“ฮื่อ...ยาอะไร ไหนมาดู” สุดเขตรับกล่องยาจากเฉลย
กล่องยากล่องนั้นมีชื่อยา “ Aricep” กำกับพร้อมราคาติดอยู่ด้วย 5,500 บาท
“ยาแพงนี่ ฉันเป็นอัลไซเมอร์แล้วเรอะ”
“ท่านยังไม่เป็นมาก เป็นน้อยๆ อมครึ่งเม็ดพอ กลางคืนก่อนนอน” เฉลยพูดไปทำงานเช็ดถูกโต๊ะไปด้วย “หมอนิรันดร์สั่งให้อมค่ะ ไม่ให้กลืนเลย” เฉลยกำชับ
“เออ...คนแก่ไม่มีอะไรดี หวังว่างานนี้คงไม่ใช่งานวันเกิดครั้งสุดท้ายนะ”
สุดเขตเปรยขึ้น ขณะที่เฉลยกำลังจะออกจากห้องถือถาดใส่กาชา แก้วน้ำ...จานขนม หันมา “ท่าน” น้ำเสียงเฉลยเอ็ดนาย “ทีหลังอย่าพูดอะไรอย่างนี้อีก”
“ครับ...คุณเหลย” สุดเขตประชดประชัน รับรู้ความห่วงใยของบ่าวเจ้าระเบียบประจำบ้าน
เฉลยเขม้นมองสายตาปรามๆ สุดเขต ยกมือโบกให้ไป
เฉลยออกไป สุดเขตพึมพำหน้าตาอารมณ์ดี “พูดแล้วเป็นจริงทุกอย่างก็ดีสิ เหลยเอ๊ย”
สุดเขตเดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองออกไป

เวลาผ่านไป ใกล้ค่ำแล้ว สนามด้านหน้าตึกมีเป็นการเตรียมสถานที่ โดยพนักงานจัดสถานที่ บ้างขนต้นไม้ ไปจัดวาง บางคนขนโต๊ะ เก้าอี้ จัดวางเวที ติดป้ายหลังเวที ว่าสุขสันต์วันเกิด พล.อ.สุดเขต รัตนชาติพัลลภ ติดไฟ
บนโต๊ะพร้อมเก้าอี้ มีแจกันดอกไม้เล็กๆ ประดับบนโต๊ะสวยงาม
ทุกอย่างพร้อมแล้วสำหรับงานเลี้ยง 70 ปี ประมุขแห่งรัตนชาติพัลลภ ทีมงานเปิดไฟเช็คความพร้อม ไฟถูกเปิด พรึ่บ...พรึ่บ...พรึ่บ ทุกโต๊ะว่างเปล่า

พริบตาเดียวโต๊ะมีคนนั่งเต็มแล้วหลายโต๊ะ โต๊ะคนแก่ และโต๊ะหนุ่มสาว
โต๊ะเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวพูดคุยกันหัวเราะฮาเฮ มีบ้างซุบซิบคุยเป็นคู่ๆ
เด็กเล็กๆ วิ่งวนเวียนไล่จับกัน
โต๊ะนายพลสุดเขตมีคนเข้ามาไหว้อวยพรไม่ขาด สุดสวยนั่งอยู่โต๊ะนี้ด้วย
แบคกราวน์เป็นโต๊ะของขวัญ คนเอาไปให้ เซ็นคำอวยพรในสมุด
คุณตาต้อนรับยิ้มแย้ม มีคนตักอาหารรมาวางให้ผู้ใหญ่โต๊ะคุณตา
โต๊ะของเพ็ญพักตร์ มีตระกูล พจน์และเพื่อนๆ วัยกลางคนนั่งด้วยกัน
ระหว่างนั้นบนเวที นักร้องร้องเพลงลูกกรุงเก่าๆ ขับกล่อมแขกสูงวัยในงาน
โต๊ะของเพ็ญตระการแยกออกมา อุ๊แต่งตัวสวยงามน่ารัก แบบเด็กสาววัยรุ่น เพื่อนๆ อุ๊เด็กผู้หญิงหน้าแจ่มๆ ตัวบางๆ แต่งตัวน่าเอ็นดูบ้าง แต่งเปิดบ้างนิดหน่อย
อ้นก็นั่งอยู่โต๊ะนี้ มีเด็กผู้ชายนั่งด้วยคนสองคน คนหนึ่งจ้อหัวเราะร่าเริง อีกคนนั่งสงบเสงี่ยมมาดขรึม
อุ๊พูดอะไรบางอย่าง เพื่อนๆ หัวเราะกันเกรียว หรือหันมาล้อเด็กผู้ชายบ้าง แล้วตบมือเฮกัน ทั้งโต๊ะพูดคุยได้ยินแว่วๆ ในบรรยากาศเฮฮาสนุกสนาน โอ๋ไม่ได้นั่งอยู่ร่วมโต๊ะ

นายพลสุดเขตคุยกับเพื่อนนายทหารด้วยกัน บางคนมีภรรยาอยู่ด้วย
“เออ...ไหนแกลองวิจารณ์เรื่องเขาจะแก้ พรบ.กลาโหมซิ” เพื่อนสุดเขตปรารภขึ้นมา
“จริงด้วยค่ะ อยากฟังความเห็นคุณสุดเขต” ฝ่ายเมียเสริม
ทุกๆ คนบนโต๊ะ ต่างพูดเห็นด้วย
คุณตายกมือห้าม “วันเกิดฉัน...ไม่พูดเรื่องการเมืองเว้ย ไอ้เรามันนอกราชการแล้วพ้นแล้ว”
เพื่อนคนหนึ่งย้อนให้ “ถ้ายังอยู่ในราชการ”
“อ๊ะ อันนั้นไม่พูดได้ไง” สุดเขตบอก
เสียงหัวเราะกันเกรียวทั้งโต๊ะ สุดเขตหัวเราะไปด้วย แต่นัยน์ตามองไป เห็นดอกโศกยืนอยู่ไกลออกไปหน่อย เหมือนเป็นส่วนเกิน
เฉลยเดินเข้ามา พร้อมถ้วยยามาวางให้ใกล้ๆ มือ แล้วตั้งท่าจะไป
“เดี๋ยวก่อนเหลย”

ไม่นานต่อมา สุดเขตเดินกลับเข้ามาในห้อง นั่งลงแล้ว มีเฉลยตามมา
“ไหนล่ะ อภิรมย์ บอกให้ไปตามไง”
“บอกแล้วค่ะ...มาพอดี”
ดอกโศกเดินเข้ามาหน้าตาแจ่มใส ถือพวงมาลัยพวงใหญ่พิเศษ มาถึงคุกเข่ากราบที่หัวเข่าคุณตา
สุดเขตวางมือบนหัวดอกโศก นิ่งๆ อยู่สักครู่ “อายุมั่นขวัญยืน”
ดอกโศกเงยหน้าขึ้นสบตาคุณตาเต็มๆ สุดเขตมองหน้าหลานสาว นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต

วันนั้น ด.ญ.ดอกโศก กราบและมองหน้าคุณตา ตอนนั้นดอกโศกยังโศกเศร้า น้ำตาคลอๆ
เหตุการณ์ตอนที่ ดอกโศกที่โดนสุดเขตเอ็ด ตวาด ต่างๆ นานา

ทั้งหมดที่ผ่านมาสุดเขตเสียใจนัก ดึงหลานสาวเข้ามากอด กอดนิ่งๆ ไม่พูดไม่จา ดอกโศกน้ำตาซึม ค่อยๆยกมือโอบรอบหลังคุณตา เฉลยมองภาพนั้นอย่างตื้นตัน พลอยจะร้องไห้ไปด้วย

บริเวณห่างจากงาน อุ๊เดินเร็วๆ ออกมาจากงาน เพ็ญพักตร์เดินสวนเข้าไป ถือผ้าพันคอ
“ไปไหนลูก”
“คุณแม่ไปไหนมา” อุ๊ถาม ท่าทีร้อนใจ
“ไปหยิบผ้าพันคอ”
“เห็นยัยนั่นมั้ยคะ”
“ดอกโศกเหรอ...ไม่เห็นทำไม”
“คุณตาให้เหลยเรียกมันเข้าไปในตึก...อุ๊จะตามไปดู อาจจะแจกอะไรมันคนเดียวไม่แจกหลานคนอื่น”
“อ้าว แล้วเพื่อนๆ ล่ะ เค้าอยู่กับใคร....อย่าไปเลยลูก แจกก็คงไม่เท่าไหร่หรอก”
“อุ๊จะไปอุ๊อยากรู้ค่ะคุณแม่” เพ็ญตระการไม่ฟังแม่วิ่งไปทันที

“เจ้าจะได้อยู่บ้านนี้ไปตลอดชีวิตของเจ้า ได้เรียนหนังสือสูงที่สุดเท่าที่เจ้าอยากจะเรียน เจ็บป่วยอะไรทนายความของตาจะดูแลรักษาเจ้า” สุดเขตเอ่ยขึ้น
ดอกโศกก้มกราบลงที่เข่าคุณตา
“ตามีเงินให้เจ้าอีก 5 ล้าน ถ้าตาตาย ตาเขียนไว้แล้วในพินัยกรรม”
ดอกโศกส่ายหน้า “หนูไม่รับค่ะ หนูไม่อยากได้”
“ทำไมเจ้าถึงไม่อยากได้”
“เพราะหนูไม่อยากให้คุณตาตาย”
สุดเขตนิ่งไป สีหน้านายพลชราเสียใจ และรู้สึกผิด
“คุณตาแข็งแรง คุณตาไม่เป็นอะไร เหลยดูแลคุณตาอย่างดี”
ดอกโศกหันไปมองขอบคุณเฉลย
“คุณตาอยู่อีกนานมากๆ จนหนูเรียนจบ หนูจะดูแลคุณตาเองและหนูก็จะ....” ดอกโศกนิ่งไปนิด เหมือนชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่
สุดเขตมองหน้า คอยฟังต่อ
“หนูจะดูแลน้าสุดสวยด้วยค่ะ”
คุณตาถอนหายใจยาว รู้สึกโล่งใจ สีหน้าตื้นตันใจนัก เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น
“ขอบใจอภิรมย์ฤดี ตาขอบใจเจ้ามาก เจ้ารู้...รู้ใจตา”
“ค่ะ....หนูสัญญาค่ะ”
สุดเขตวางมือบนไหล่ดอกโศก ตาหลานมองกันเหมือนเป็นสัญญาซึ่งกันและกัน เฉลยซับน้ำตา
“ความตายเกิดขึ้นได้ทุกเวลา อภิรมย์ฤดี” สุดเขตบอกออกมา เหมือนบอกให้ดอกโศกทำใจ

ไม่มีใครรู้ว่าเวลานั้นอุ๊ แนบหูกับประตูได้ยินทุกอย่าง ทุกเรื่อง สีหน้าอุ๊กลับเฉยนิ่งสนิท ลึกล้ำมาก

อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.





ดอกโศก ตอนที่ 10 (ต่อ)

เวลาต่อมาในงานวันเกิด บนเวทีเป็นการแสดงของอ้น สุดเขตทานอาหารไป คุยกับเพื่อนๆ ถ้วยยาวางอยู่ยาเต็มถ้วย นายพลชรายังไม่ยอมทาน ตามที่เฉลยกำชับ

สุดเขตเหลียวดูอ้นบ้างเป็นบางครา ขณะที่สุดสวยทำท่าตื่นเต้นดูโชว์ของอ้นอย่างตื่นตา
“เจ้าอ้น หลานชายลูกของพจน์เขา” สุดเขตบอกกับเพื่อนๆ
เพื่อนคนหนึ่งตั้งท่าจะพูด “เอ่อ...เป็น...”
สุดเขตสวนออกมา “เออ มันเป็นกะเทย...เป็นแล้วไง”
“แกไม่ว่าอะไรรึนายเขต” เพื่อนอีกคนแปลกใจ
สุดเขตนิ่งตรึกตรองสักครู่ “ฉันก็...รับไม่ค่อยได้เหมือนกัน แต่ชีวิตของเขา...เขาควรจะได้เลือกเอง”
เพื่อนๆ ทุกคนฟังแล้วหน้าตาเห็นด้วยบ้าง ไม่เห็นด้วยบ้าง
สุดเขตมองอ้นบนเวที พยักหน้ากับตัวเอง...พอใจ

ส่วนที่โต๊ะอุ๊เวลานั้น อุ๊มองไปมาบ่นกับเพื่อน “เอ๊ะ ยัยโอ๋ไปไหน จวนจะเต้นแล้ว” ลุกขึ้นมองหา

โอ๋ยังอยู่ที่บ้าน นั่งหน้าหมองๆ มองจดหมายจากพ่อที่ยังวางอยู่ที่เดิม
“โอ๋...โอ๋ สวิชท์ไฟอยู่ไหนเนี่ย”
“พี่อุ๊ อย่าเปิดไฟ” โอ๋บอก แต่ช้าไปแล้ว
ไฟเปิดสว่างพรึ่บพอดี โอ๋ซ่อนใบหน้าที่มีคราบน้ำตานองหน้า
“โอ๋จะบ้าเหรอ จวนเวลาแสดงแล้วยังไม่แต่งตัวอีก”
“โอ๋ปวดหัวพี่อุ๊ ไม่เต้นได้มั้ย”
“ไม่ได้ ลุกขึ้นแต่งตัวเดี๋ยวนี้” อุ๊สั่ง
โอ๋เงียบ
“เธอจะโศกเศร้าเสียใจเรื่องอะไรก็ตาม เก็บไว้ก่อน ตอนนี้เป็นหน้าที่เธอต้องทำให้คุณตา งานคุณตาปีหนึ่งมีหนเดียว เรื่องเสียใจคนเราน่ะมีทั้งปีแหละ ชั้นก็มีเรื่องเสียใจตอนนี้”
โอ๋สนใจขึ้นมา “เรื่องอะไรพี่อุ๊”
“จะรู้ไปทำไม ตอนนี้ชั้นลืมแล้ว หน้าที่เราอยู่อีก 15 นาทีข้างหน้า ถ้าเธอไม่ไปนะยัยโอ๋ ชั้นจะไม่พูดกับเธอตลอดชีวิต” อุ๊ขู่แล้วเดินไปทันที

ที่บริเวณงานวันเกิดโฆษกบนเวที ประกาศคิวการแสดงชุดต่อไป
“คุณอุ๊ เพ็ญตระการ คุณโอ๋ มนัสสุข กับเพื่อนๆ มอบเป็นของขวัญพิเศษแด่ท่านนายพลครับ เชิญครับ”
อุ๊ลุกจากที่นั่งมองหาโอ๋ พึมพำออกมา “ยัยบ้าโอ๋ มันไม่มาจริงๆ”
จังหวะนั้นโอ๋ออกมาพอดี เด็กๆ วิ่งผ่านโต๊ะสุดเขตไปขึ้นเวที โอ๋วิ่งไปด้วยหน้าตาไม่ดีเอาเสียเลย
“ดีมากยัยโอ๋น้องรักของพี่” อุ๊เข้าจูงมือโอ๋ไป
สุดเขตมองเห็นโอ๋ ฉุกใจคิดขึ้นมานิดหน่อย อุ๊แวะเข้าไปกอดคอ จูบแก้มสุดเขตฟอดใหญ่
“โชว์พิเศษสุดสำหรับคุณตาที่น่ารักที่สุด”
สุดสวยค้อนแบบต๊องๆ ขำๆ อุ๊วิ่งออกไป
เสียงแขกผู้หญิงที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะสุดเขตออกปากชื่นชม
“น่ารักจริงๆ เด็กสาวๆ”
“หลานสาว ลูกคุณเพ็ญพักตร์ใช่มั้ยคะ”
“ครับ โน่นพ่อแม่เขาอยู่โน่น...ยายอุ๊ นั่นยายโอ๋ ลูกตาพฤกษ์ คนโต ไม่อยู่ไปราชการทางเหนือ”

ระหว่างนั้นที่บริเวณโต๊ะเพ็ญพักตร์ อัศนัยเดินเข้ามาพร้อมกับบุรี เต้ยกับวิน เดินตามมาห่างๆ อัศนัย บุรี ทักทายคนที่รู้จัก แล้วบอกเต้ยกับวินไปหาที่นั่ง สองคนเดินไป
“อีกหน่อยหัวกระไดบ้านไม่แห้ง” เพื่อนร่วมรุ่นสุดเขตออกปากชมหลานสาว
“จะอยู่ถึงรึเปล่าไม่รู้” สุดเขตพึมพำออกมา
อุ๊ โอ๋ และเพื่อนๆ อุ๊ ยืนนิ่งบนเวที คอยดนตรี
ดนตรีขึ้น ทุกคนเต้นตามเพลง ท่าเต้นสวยๆ แต่ละคนเต้นกันเก่งๆ ด้วยสเต็ปสมัยใหม่
แขกทุกคนในงานหันไปดูเป็นตาเดียว
ดอกโศกยืนแอบๆ มองดู สายตาหมองๆ
ขณะที่เพื่อนๆ คุณตา ชมกันเบาๆ น่ารักจริงๆ เต้นกันเก่งๆ
สุดเขตเขม้นมองไปที่โอ๋ ในขณะที่เด็กๆ ทุกคนเต้นร่าเริงสดใส แต่ใบหน้าโอ๋ ทั้งหน้าและหมองจัด
ในที่สุด เด็กๆ จบด้วยท่าประทับใจมากๆ
แขกในงานทุกคนตบมือกราวใหญ่

ที่โต๊ะเพ็ญพักตร์ เพื่อนไฮโซ ผู้ดีเก่าทุกคนในโต๊ะต่างตบมือกันเสียงดัง แล้วหันไปชมเชยกับเพ็ญพักตร์และตระกูล
อุ๊และเพื่อนๆ วิ่งลงมาผ่านโต๊ะนี้ บรรดา พ่อ แม่ ป้าๆ อาๆ หันไปเรียกชื่นชมเป็นแถว
“อุ๊...มานี่ก่อน”
อุ๊เข้ามาไหว้ทุกคน “สวัสดีค่ะ คุณป้า...คุณอา”
ป้าๆ อาๆ ชมเชยว่าเต้นเก่ง สวย น่ารัก
“อานัยไม่เห็นชมอุ๊เลย” อุ๊ทำท่างอน
“กำลังชมอยู่ในใจเนี่ย...จะให้ชมดังๆ ได้หรือยัง”
“ได้เลยค่ะ อุ๊คอยฟังอยู่”
“เป็นโชว์ที่ perfect ที่สุด เป็นไฮไลท์ของงานเลย”
“ขอบคุณค่ะ” อุ๊จงใจเข้ามาไหว้ใกล้ๆ และต่ำมากจนอัศนัยต้องยกมือให้อุ๊ไหว้ลงไปบนมือ “ซ้อมทุกวัน” หัวเราะร่าเริงกับอัศนัย “อานัยชมคนเดียวก็ตัวลอยแล้วค่ะ อานัยเดี๋ยวจะมีเต้นรำกัน อุ๊จองอานัยนะคะ”
“โอเค...ผมแก่แล้วนะต้องเปิดเพลงช้าหน่อย” อัศนัยเย้า
“ค่ะ...เดี๋ยวเปิดเพลงยุคซิกตี้เลย”
ทุกคนหัวเราะ
อุ๊ไหว้ทุกคน “อุ๊ขอตัวนะคะ” เดินออกไปเลย
“ทำไมคุณปรียากมลไม่มาคะคุณอัศนัย”
เพ็ญพักตร์ถามขึ้น สีหน้าตระกูลเฉยนิ่ง
“ปรียากมลไปต่างประเทศครับ ไปสิงคโปร์”
“ไปเที่ยวเหรอคะ”
“ไปเรื่องธุรกิจครับ” อัศนัยหยิบแก้วน้ำดื่ม แสดงด้วยกิริยาว่าไม่อยากพูดต่อ
แต่เพื่อนผู้หญิงในโต๊ะกลับพูดขึ้นมาอีก “ปรียากมล แซ่ซิม ใช่มั้ย สามีเขาคนจีนสิงคโปร์...รวยมาก เพิ่งตายนี่”
เพ็ญพักตร์หน้าเฉยสนิท
“ผมยังไม่ได้ไปสวัสดีท่านเลยครับ ขอตัวนะครับ”
ขณะที่บนเวที มีคนขึ้นไปร้องเพลง
อัศนัยเข้าไปไหว้ สุดเขตรับไหว้ยิ้มแย้ม
“กราบอวยพรท่านนะครับ ขอให้ท่านสุขภาพดี...อายุยืนเป็นมิ่งขวัญของลูกหลานไปนานๆ”
“ขอบใจ...ขอบใจ ตามสบายนะ”
สุดสวย นั่งมองอัศนัย สบตาแล้วส่งยิ้มให้แบบเว่อร์เล็กน้อย
อัศนัยยิ้มทักทายด้วยความสุภาพ
“นั่งมั้ยค้า...ตรงนี้” สุดสวยตบเก้าอี้ข้างๆ ตัวเอง
“ขอบคุณครับ....ผมต้องขอตัวครับ” อัศนัยไหว้ทุกคน

อัศนัยเดินออกมา มีแขกในงาน 2-3 คนเดินสวนมา เป็นสาวๆ คุยกันหัวเราะกิ๊กกั๊ก
“ห้องน้ำหรือคะ ทางโน้นค่ะ”
“ขอบคุณครับ”

อัศนัยเดินต่อ จิ๋วเดินสวนมาในถือของบางอย่าง
“ห้องน้ำหรือคะคุณอัศนัย”
“เข้าแล้ว ขอบใจจิ๋ว”
จิ๋วเดินไป อัศนัยเดินออกไปที่ระเบียงหลังบ้าน กวาดสายตามองไป ทั่วบริเวณเงียบสงบไม่มีอะไร

ดอกโศกนั่งอยู่ที่บริเวณริมสระน้ำ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง มองทอดสายตาไปข้างหน้าอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
ภาพในความคิด เป็นภาพที่ ปรียากมลจูบอัศนัย
ดอกโศกหน้าเศร้าลงหลับตานิ่งอยู่
เสียงอัศนัยดังแทรกขึ้น “ดอกโศก”
ดอกโศกสะดุ้งสุดตัว “คุณนัย” แล้วยกมือไหว้
“นึกแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่ ทำไมไม่ไปสนุกข้างนอก”
“ไปแล้วค่ะ เพิ่งเข้ามาตรงนี้”
“คุณนัยนั่งด้วยคนได้มั้ย”
“ดอกโศกจะตอบว่าไม่ได้หรือคะ”
อัศนัยเพ่งพิศดูวงหน้า “ลองตอบว่าไม่ได้หน่อยสิ”
ดอกโศกหัวเราะเบาๆ “คุณนัยจะลองทำอะไรคะ ถ้าดอกโศกตอบยังงั้น” ดอกโศกเน้นเสียงตรงคำว่าลอง
“จะลองไม่เชื่อ....แล้วก็นั่งลง....แบบนี้”
ดอกโศกขำ กระเถิบออกไปหน่อย
“ทำไมไม่แสดงอะไร”
“ไม่ทราบจะแสดงอะไร ไม่เป็นอะไรซักอย่าง”
อัศนัย มองหน้าอย่างเพลินตา
“ถ้าแสดงขายหนังสือพิมพ์....แสดงได้ค่ะ”
อัศนัยหัวเราะ ดอกโศกก็หัวเราะด้วย
แล้วทั้งสองคนก็หยุดนิ่ง เหมือนมีอะไรบางอย่างก่อตัวขึ้น สองคนจ้องมองกันนิ่งๆ
จังหวะหนึ่งอัศนัยแตะผมที่ปรกหน้าให้ขึ้นไป ดอกโศกก้มหน้าถอยไปนิด อัศนัยรู้สึกตัว เบนตัวไปนิดหน่อย
“คุณปรียากมลไม่มาหรือคะ” ดอกโศกถาม
“ไปสิงคโปร์”
“ทำไมคุณนัยไม่ไปด้วย”
อัศนัยหันมาจ้องดอกโศกนิ่งๆ ดอกโศกสู้ตา
อัศนัยย้อนถาม “ทำไมคุณนัยต้องไปด้วย”
“แหม...ไม่น่าถามเลย”
“หมายความว่ายังไง”
“ยังไง...ยังไงเหรอคะ”
“อย่างนี้เรียกว่าถามกวนๆ”
“อ้าว...ถามจริงๆ ก็ได้ในเมื่อคุณนัยเป็นแฟนกับคุณปรียากมลก็ต้องไปด้วยกันสิคะ”
อัศนัยนิ่งไปนิดหนึ่ง “ดอกโศก...ฟังคุณนัยนะ คุณนัยยังไม่ได้เป็นแฟนกับใครทั้งนั้น”
ดอกโศกท้วงทันที “แหม ดอกโศกไม่เชื่อหรอกค่ะ”
“คุณปรียากมลกับคุณนัยเคยรักกันตั้งแต่เรายังอายุน้อย...ทั้งคู่ นานมากแล้วแต่ในที่สุดก็เลิกกันไป”
ดอกโศกพูดต่อให้ทันที “แล้วกลับมาเจอกันอีกที....ถ่านไฟเก่า”
“แก่แดด...ใครบอก”
“ดอกโศกไม่ใช่เด็กสิบขวบ จะได้ดูไม่ออก”
อัศนัยนิ่งไปอึดใจ “โอเค เรากำลังจะเริ่มจะคบกัน” ดอกโศกทำหน้าเป็นเชิงต่อล้อ...เห็นมั้ย อัศนัยรับรู้ “ยัง...ยังไม่ได้คบจริงจัง แค่เริ่มๆคิดเท่านั้น”
“อู๊ย...คิดอะไรเยอะแยะ” ดอกโศกก้มหน้าพูดออกมาเบาๆ
“ว่าไงนะ”
“ไม่พูดซ้ำหรอกค่ะ”
“บอกมา.....เมื่อกี้ว่าไง”

ดอกโศกทำท่าเม้มปากแน่น ไม่ยอมบอก อัศนัยจูงมือ เดินไปเรื่อยๆ
“คุณนัยรักคนยาก แต่รักแล้วรักจริง รักยาวนาน”
ดอกโศกนิ่งฟัง ตั้งใจ
“เมื่อรักแล้ว...ไม่มองผู้หญิงคนอื่น เพราะถ้าหัวใจปิดเพื่อใครบางคนแล้วจะไม่เปิดง่ายๆ” อัศนัยว่า
ดอกโศกน้ำตาซึมรู้สึกใจหาย ร่างกายโหวงเหวง ขยับตัวดึงมืออกจากมืออัศนัยอย่างหมางเมิน
“ดอกโศกไปก่อนนะคะ” ดอกโศกออกเดินอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยว....” อัศนัยคว้าแขนไว้อย่างแรง
ดอกโศกสะบัดตัว แต่กลับมาปะทะกับอัศนัยเต็มแรง ดอกโศกถอยออกมาทันควันเหมือนกัน จนเซนิดๆเหมือนจะล้ม
“ขอโทษดอกโศก เจ็บมั้ย” อัศนัยจับแขนดอกโศกไว้อย่างมั่นคง
ดอกโศกมีน้ำตาจางๆ “ไม่ค่ะ...ไม่ เข้าข้างในเถอะค่ะ”
“อย่าเพิ่งเลย ที่งานเสียงดัง คุณนัยอยากเดินเล่นก่อน”
สองคนเดินมาด้วยกัน ดอกโศกขยับตัวเดินห่างออกไป อัศนัยดึงแขนให้มาเดินใกล้ๆ

ในงานวันเกิดบรรยากาศครื้นเครง บนเวทีนักร้องกำลังร้องเพลงสำเนียงเพราะพริ้ง เพลงช้าสลับ เพลงเร็ว ผู้คนสนุกสนาน เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวเต้นสนุกๆ ท่าแปลกๆ
สุดเขตกวาดสายตามองหาโอ๋ แต่ไม่เห็น
“คุณพ่อมองอะไร” สุดสวยสงสัย
“มองหาโอ๋”
“มองหาโอ๋ทำไมคะ”
“หายไป”
“ไปไหนล่ะคะ....ถามเหลย” สุดสวยมองหาเฉลย แล้วคิดได้ “คุณพ่อจะหาทำไมลูกอยากรู้”
“พ่อจะไปห้องน้ำ ลูกไปมั้ย”
“ไม่ไปค่ะ” สุดสวยไม่สนใจ หันไปยิ้มกับคนนั่งข้างๆ
สุดเขตจับแขนสุดสวย ค่อยๆ ประคองให้ลุกขึ้น
“พ่อเดินคนเดียวเดี๋ยวล้มนะ”

สุดเขตจับแขนสุดสวยเดินเข้ามาในบ้าน สุดสวยดึงตัวเองนิดๆ
“ลูกจะให้พ่อไปคนเดียวหรือ” สุดเขตถามสุดสวย
“เปล่าค่ะ เอ้า โอ๋...ยัยโอ๋มาพอดีพาคุณปู่ไปห้องน้ำ” สุดสวยหันไปเห็นโอ๋
“คุณปู่ให้จิ๋วไปตามหาโอ๋” โอ๋ว่า
“โอ๋เป็นอะไรลูก ปู่เห็นหน้าเศร้าๆ”
“โอ๋....” โอ๋อึกอัก
“ยัยโอ๋พาคุณปู่ไป....” สุดสวยบอก
“ว่าไงโอ๋....ตอนพ่อไปพบกับเขารึเปล่า”
“พบค่ะ”
“โดนเขาเอ็ด...เรื่องเรียนใช่มั้ยลูก”
โอ๋มองคุณปู่ น้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
สุดเขตส่งแขนให้ “พาปู่ไปห้องน้ำ” เดินนำไปพลางสั่งสอน “ ผู้ชายที่เลี้ยงลูกสาวมาจนอายุ 16 ปี โดยไม่มีแม่เลี้ยงให้ลูก เหตุผลยิ่งใหญ่ที่สุดคือเขารักลูกเขา”
โอ๋หยุดเดิน
“ใน 100 คนอาจจะมีแค่คนเดียว เพราะเขารู้ว่าเด็กที่มีแม่เลี้ยงความสุขที่เขาจะให้ลูกไม่เต็มร้อย ต้องแบ่งปันให้คนอื่น” สุดเขตบอก
“คุณพ่อชอบว่าโอ๋ เอ็ดโอ๋” โอ๋บ่น
“โตขึ้นกว่านี้จะรู้ว่านั่นคือเขารัก แต่เขาแสดงออกไม่ถูก...” ตบไหล่โอ๋เบาๆ “โตขึ้นจะรู้” สุดเขตเดินไป นิ่วหน้านิดๆ
“โตขึ้นจะรู้นะ” สุดสวยสงสารเว่อร์ตามประสา “ตอนนี้ยังไม่รู้หรอก”
“เหมือนคุณปู่กะอาสวย” โอ๋ว่า
สุดสวยชอบใจ “ใช่...เหมือนคุณปู่กะอา”

โอ๋นึกถึงจดหมายพ่อ จึงขอตัวสุดเขตกลับบ้าน เวลานั้นกำลังเดินเข้าบ้านมาอย่างเร็ว เช็ดน้ำตาป้อยๆ เหลือบเห็นจดหมายหยิบเปิดอ่านทันที
“พ่อเป็นคนโมโหร้าย พ่อรู้ตัวดี พ่อทำให้ลูกเสียใจหลายครั้ง แต่ทุกครั้งพ่อเสียใจยิ่งกว่า”

เวลาเดียวกันบนถนนทางไปต่างจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ นายพันพฤกษ์อยู่ในรถคันหนึ่ง กับพนักงานขับรถ
รถแล่นไปตามทาง สีหน้าพฤกษ์อยู่ในกังวลชัดเจน กำลังคิดถึงโอ๋
คนขับรถหน้าตาเครียดจัด เพราะกังวลในใจมีศัตรูหมายหัว และอาจจะโดนศัตรูตามยิง

โอ๋อ่านจดหมายพ่อต่อ
“ในชีวิตพ่อรักผู้หญิงสามคนยิ่งกว่าชีวิตพ่อเอง คนแรก คือคุณย่าของโอ๋คนที่สองคือ แม่ของโอ๋ และคนที่สามคือโอ๋”

ส่วนแหวงนึกถึงคำขู่เพื่อนขึ้นมา “ไอ้แหวง กูเตือนมึงแล้วนะ อย่าทำอีก”
“แหวง....มึงเป็นอะไรวะ” พฤกษ์สงสัยจนต้องถาม
แหวงไม่ยอมตอบ
พฤกษ์สั่ง “ขับช้ากว่านี้อีกหน่อย.....แหวง....ไอ้แหวง ไอ้แหวง มึงหยุดรถเดี๋ยวนี้...หยุดเว๊ย”

“รู้ไว้นะลูกว่าพ่อรักโอ๋ที่สุดเพราะเวลานี้พ่อเหลือผู้หญิงที่พ่อรักเพียงคนเดียวเท่านั้น”
อ่านถึงตอนนี้โอ๋น้ำตาไหลพราก

แหวงชะลอรถ จังหวะนั้นรถปิ๊กอัพคันหนึ่งแซงมาแต่ไกล มีเสียงปืนดัง เปรี้ยง....เปรี้ยง....เปรี้ยง
พฤกษ์สะดุ้งเฮือกแล้วฟุบไป

โอ๋อ่านจดหมายต่อ
“พ่อจะรักผู้หญิงคนนี้ไปจนตาย ไม่มีวันจะรักผู้หญิงคนไหนให้มารังแกลูกยอดรักของพ่อเป็นอันขาด”
“คุณพ่อ.....” โอ๋ครางเบาๆ
จากนั้นโอ๋นั่งนิ่งงัน จดหมายหลุดจากมือ

ภายในรถปิ๊กอัพคันนั้น มีคนนั่งมาด้วยกัน 2 คน รวมคนขับ
“เฮ้ย มึงยิงไอ้แหวง แต่กูเห็นโดนเจ้านายมันนะ” คนขับบอก
“ให้มันลงนรกไปทั้งคู่....ไอ้แหวง...มึงเป็นชู้กับเมียกู” เพื่อนที่เป็นมือปืนไม่แยแส

งานวันเกิดดำเนินต่อไป บนเวทีเวลานั้น มีนักร้องร้องเพลงขับกล่อม สลับกับอุ๊ และเพื่อนๆ ที่ขึ้นไปร้องแจมเพลงวัยรุ่น
ระหว่างนั้นปกรณ์เดินอย่างเร็วรี่ตรงมา มือถือกระเป๋าเอกสาร สุดเขตมองเห็น ยกมือเรียก
ทนายปกรณ์มาถึงยกมือไหว้ “ท่านครับ ผมเพิ่งกลับจากต่างจังหวัด รถติดมากครับ”
“ไม่เป็นไร มาถึงก็ดีแล้ว ไปคอยฉันที่ห้องทำงานเอกสารครบแล้วนะ”
“ครับท่าน”
“เดี๋ยวตามไปเซ็น” สุดเขตบอก
“เชิญค่ะ เราเห็นจะต้องกลับเหมือนกัน” แขกผู้หญิงเอ่ยขึ้น
“อ้าว...ทำไมรีบกลับ”
“ท่านจะได้พักผ่อน” หญิงคนนั้นว่า
เพื่อนชายคราวเดียวกันสงสัย “ยังมีเอกสารเซ็นอีกรึ”
“หรือว่าเข้าชื่อแก้ไขอะไร” เพื่อนคนเดิมซัก
“ไม่มี...ไม่มี” สุดเขตลุกขึ้นล่ำลาแขกที่จะกลับ
ถ้วยยาที่เฉลยนำมาให้ ยายังอยู่เต็ม สุดเขตไม่ยอมแตะ
สุดสวยล่ำลาผู้คนด้วยกิริยาชดช้อย
“คุณปู่....คุณปู่ขา” เสียงโอ๋ดังแว่วๆ มาแต่ไกล
สุดเขต กับสุดสวยยังล่ำลาแขกเหรื่ออยู่
ระหว่างนั้นโอ๋วิ่งเตลิดเข้ามา “คุณปู่...คุณปู่” สะอึกสะอื้นจนตัวโยน สุดเขตหันไปมอง สีหน้าเริ่มสังหรณ์ประหลาด ด้วยประสบการณ์ของคนแก่
โอ๋เข้ามายืนตรงหน้าสุดเขตแล้ว “คุณปู่...”
แขกที่ได้ยิน หันมาดู เพ็ญพักตร์พุ่งเข้ามาอย่างเร็ว ตระกูลตามติด
อัศนัยเดินเข้ามาพร้อมกับดอกโศก ได้ยินเสียงโอ๋
“เป็นอะไรโอ๋” สุดเขตถาม
“มีคนโทรศัพท์มาบอก.....บอกว่า...คุณพ่อตายแล้วค่ะ” โอ๋บอกเสียงสั่น
มีเสียงหวีดร้องเบาๆ ตามมาด้วยเสียงกระหึ่มของผู้คนในงานที่พากันตกใจ
ร่างสุดเขตนิ่งไปชั่วขณะ หัวใจกระตุกอย่างแรง ร่างแข็งเกร็งสักครู่แล้วเซซวน อัศนัยมาถึงพอดี กรากเข้ารับตัวคุณตาที่เอนลง จนทรุดลงไปกับพื้น
ดอกโศกมาพร้อมๆอัศนัย เข้ากอดประคองคุณตา
“คุณตาขา...คุณตา”
อัศนัย กึ่งอุ้มกึ่งประคองให้คุณตานอนราบลง ส่วนบนพิงกับอกของเขา ดอกโศกทรุดตัวลงอย่างเร็ว
“ดอกโศก”
“คุณพ่อ....คุณพ่อเป็นอะไร....คุณพ้อ....” ทั่วบริเวณได้ยินเสียงหวีดร้องของสุดสวย
สุดเขตนัยน์ตาขุ่นคว้าง มองจ้องหน้าดอกโศก แล้วหันไปมองตามเสียงสุดสวย อ้าปากเหมือนอยากจะพูดกับลูกสาวแสนรักผู้อาภัพ “สุด.....สว.....สวย”
“คุณพ่อ” สีหน้าสุดสวยเหรอหรา มองคนโน้น คนนี้ “ช่วยด้วย....ช่วยคุณพ่อ”
“ตระกูล โทรตามรถพยาบาล” เพ็ญพักตร์บอกสามี
“พาไปเองดีกว่า ผมจะไปเอารถ....เร็วกว่า” ตระกูลว่า
“ดอก....โศก....ฝากน้าสวย...” นายพลสุดเขตกลั้นใจสั่งเสียน้ำเสียงสะอึกๆ เป็นคำสุดท้าย แล้วหลับตานิ่งไปเฉยๆ
เพ็ญพักตร์ตะโกนเรียก “ตระกูล....เร็ว”
“พี่เพ็ญ.....พาคุณพ่อไปที่รถเถอะครับ อย่ารอแอมบูแลนซ์เลย” พจน์เอ่ยขึ้น
แขกคนหนึ่ง แหวกคนเข้ามา “ผมเป็นหมอครับ”
หมอเข้าไปตรวจ ดูอาการ ปฏิบัติทุกอย่างตามขั้นตอน เป็นเวลานานสักอึดใจ
ก่อนที่หมอจะเอ่ยขึ้น “ท่านสิ้นใจแล้วครับ”
สุดสวยหวีดเสียงดังมาก แล้วร้องไห้ออกมาสุดเสียง
สุดท้ายดอกโศก สอดมือเข้าไปโอบรอบตัวสุดเขต นัยน์ตาดอกโศกแห้งผาก ไม่มีน้ำตากอดคุณตาแน่น
ตัวเองอิงพิงอัศนัยซึ่งกอดไว้อย่างแนบแน่น เป็นภาพสามคน


หลายวันผ่านไป วันนี้เป็นวันนัดหมายเพื่อเปิดอ่านพินัยกรรม ดอกโศกสวมชุดดำไว้ทุกข์ นั่งเหม่อมองสายน้ำสีหน้าหมองเศร้า

โอ๋ยังอยู่ที่บ้าน คุยอยู่กับอ้น บอกอ้นว่าไม่อยากไปฟังอ่านพินัยกรรม
โอ๋ นัยน์ตาแดงช้ำ ยังร้องไห้ยังไม่เลิก อ้น ตบหลังปลอบๆ
โอ๋ พึมพำออกมา “ไม่อยากไป...ไม่อยากได้”
“มันต้องไป...เขาจะอ่านพินัยกรรมวันนี้ ไปซะให้หมดเรื่อง...นะโอ๋”

ภายในห้องเพ็ญพักตร์ เวลาเดียวกัน สองแม่ลูกคุยกันเรื่องพินัยกรรม
“คุณแม่...” อุ๊กระซิบ “คุณแม่ว่าคุณตาให้อะไรดอกโศกมั่งคะ”
เพ็ญพักตร์นิ่งสีหน้าอึดอัดใจ
“คุณแม่ขา” อุ๊ถามย้ำ
“ให้เท่าๆ กับให้อุ๊ ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลย”
“คุณแม่จะทำยังไงคะ”
“ทำไงได้พินัยกรรมระบุอย่างนั้น”
“อุ๊ได้ยินว่ามีเงินตั้ง 5 ล้าน แล้วได้อยู่บ้านนี้ไปตลอดค่ะ” อุ๊บอก
“เท่าๆ กับอุ๊ มีที่ดินมั้ย”
“ไม่ได้ยินค่ะ”
“ไม่ได้แปลว่าไม่มี เอาเถอะอุ๊มันได้แค่ไหนก็แค่นั้น มันอยู่บ้านนี้ เราก็ทำให้มันอยู่ไม่ได้” เพ็ญพักตร์หยิบกระเป๋า หยิบของเสร็จแล้ว “ไปเถอะ”

สุดสวยร้องไห้อย่างหนักในห้องสุดเขต ร้องอยู่เงียบๆ แต่น้ำตาไหลชุ่มโชก นัยน์ตาแดงช้ำเพราะร้องมาหลายวันแล้ว นัยน์ตาลอยคว้างๆ รู้สึกอ้างว้างใจ
เฉลยเปิดประตูเข้ามา “ทนายมาแล้วค่ะ คุณสวยคะ”
สุดสวยหันหน้ามาช้าๆ มองเฉลยอยู่สักครู่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
เฉลยหยิบผ้าพันคอมาถือไว้ “ห้องโน้นเย็น...ไปหรือยังคะ”
สุดสวยกรี๊ดออกมาสุดเสียง หายใจหอบแรง ร้องไห้น้ำตาหลั่งพรั่งพรายเรียกหาพ่อ
“คุณพ่อ...คุณพ่อขา คุณพ่อไปไหน”
เฉลยมองรู้สึกสงสารเอามาก “โธ่เอ๋ย...คุณสุดสวย น่าสงสารจริง
ดอกโศกเปิดประตูเข้ามาเร็วรี่ “น้าสวยขา”
สุดสวยไม่ฟังเสียงใคร ร้องไห้อยู่อย่างนั้น
ดอกโศกเข้าไปกอด...กอด...ปลอบโยน “น้าสวย...นิ่งนะคะ น้าสวยคนดี แล้วหนูจะพาไปหาคุณตานะคะ”
สุดสวยหยุดกึก หันมามองดอกโศก แล้วอ้าแขนเข้าหาอ้อมกอด ดอกโศกยังสะอึกสะอึ้น สุดสวยลูบหลังต่างปลอบโยนกันไปมา

สมใจใส่เสื้อลายสีสด แต่งตัวเต็มยศ สวมทองเส้นใหญ่ที่คอหรา เดินออกมา
“รีบไปกันเร็วๆ สิวะ ป่านนี้รู้ดีรู้ชั่วกันไปแล้ว” สมหวังบอกไม่ทันมอง
“รีบแล้ว...นังปอง เสร็จรึยัง”
“ฉันไม่เห็นเป็นเรื่องเลยแม่ จะไปทำไมเนี่ย ไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย”
“เออ....เหมือนๆ ข้าก็คิดยังงั้น แต่ไปซะหน่อยจะได้รู้ว่าโศกมันจะได้อะไรมั่ง” สมใจว่า
“โศกมันบอกแม่แล้วไง” สมปองถามขณะจะเดินออกไป
สมหวังสวนขึ้น “ใช่แล้วเว๊ย เอาไปเลี้ยงตั้งหลายปีตายไปก็ต้องมีติดปลายนวมมั่งล่ะวะ”
สมหมายงงไม่เก็ต “เป็นไงพ่อติดปลายนวม”
“ติดมือ” สมหวังบอก
“ไม่รู้เรื่องพูดว่าติดมือไม่ได้เรอะ” สมหมายว่า
“มึงอย่าชักใบให้เรือเสีย” สมหวังฉุน หันมาทางเมีย “ไปได้แล้ว” แต่แล้วต้องชะงักเห็นสร้อยทองคำบนคอสมใจ “เฮ้ยยายใจ สายสร้อยอะไรโอ้โฮ เส้นเบ้อเร่อกี่บาท” ลุกพรวดมาฉวยดู เคาะน้ำหนักบอกออกมา “อย่าใส่ไปเลยไม่ปลอดภัย เอามานี่เก็บไว้ให้”
“มันขายไม่ได้นะแกตาหวัง”
“ทำไม” สมหวังงง
“ทองเก๊” สมใจบอกหน้าตาเฉย
สมหวังหน้าเหวอไปเลย “เก๊...เก๊จริงง่ะ
“จริง” สมใจบอกเยาะอยู่ในที
“ชั้นซื้อให้แม่แกเองง่ะ สามร้อยพ่อขายขี้หมูขี้หมาคงได้ซักสามสิบให้แกไปเหอะแม่” สมปองว่า
สมหวังฉุนขาด ไล่ตะเพิด “รีบไปโว้ย”

ทันทีที่วิชัยเปิดประตูบ้านให้ รถตุ๊ก..ตุ๊ก ของสมปองก็เลี้ยวขวับเข้ามาอย่างแรง วิ่งโครมครามเข้ามาในบ้าน เบรกเอี๊ยด...แล้วจอดนิ่ง
“ถึงแล้ว แม่ เอ้าแม่เป็นอะไร”
สมใจคออ่อนคอพับ
สมปองแซวเอา “แม่...ตื่นเต้นขนาดเนี้ยเชียวเหรอ”
“นังปองถ้าเอ็งอยากตายตายคนเดียว ไม่ต้องเอาแม่มาตายด้วย” สมใจด่าเช็ด
“ขอโทษจ้ะแม่” สมปองไหว้ “ก็เห็นรีบ เข้าไปคนเดียวนะฉันไม่เข้าหรอกไม่เกี่ยว”

ภายในห้องอ่านพินัยกรรม ทนายปกรณ์ เพ็ญพักตร์ ตระกูล พจน์ สุดสวย อุ๊ โอ๋ อ้น และดอกโศก พร้อมด้วยพยานอีก 2 คน คือนายทหารชั้นผู้ใหญ่แต่งเครื่องแบบเต็มยศนายพล พลเอกพิริยะ วัฒนกวีและหม่อมเจ้าหญิงจันทรสุดา รัตนา ทุกคนนั่งตามที่ของตนแล้ว ทนายปกรณ์ถือซองเอกสารไว้ในมือ
เพ็ญพักตร์เอ่ยเร่งขึ้น “ทนายปกรณ์ ฉันว่าดำเนินการเถอะเกรงใจพยานท่าน”
“ขอโทษ เราจำเป็นต้องรอครับ” ปกรณ์ว่า
“คุณอาคะ ท่านหญิงเพคะ ขออภัยด้วยนะเพคะ”
พยานสองคนพูดเสียงสุภาพว่าไม่เป็นไร...คอยได้
เฉลยพาสุดสวยเข้ามา สุดสวยหน้าตาเศร้า ดอกโศกตามเข้ามาด้วย พจน์มารับสุดสวยไปนั่งด้วย สุดสวยเรียกดอกโศก
“มานั่งกะฉัน”
ทนายปกรณ์เริ่มเปิดพินัยกรรม
“มาพร้อมกันแล้วนะครับ ผมจะเปิดพินัยกรรมของพลเอกสุดเขต รัตนชาติพัลลภ ต่อหน้าบุคคลทั้งหมดในครอบครัวโดยมีพยานสองท่าน นายพลเอกพิริยะ วัฒนกวีและหม่อมเจ้าหญิงจันทรสุดา รัตนา” ทนายปกรณ์เปิดพินัยกรรมออกมา “พินัยกรรมมีสามฉบับ ฉบับในมือผมฉบับที่อยู่กับนายพลพิริยะและท่านหญิงจันทรสุดา เมื่อผมอ่านเสร็จแล้วท่านจะตรวจสอบกับอีกสองฉบับได้ครับว่ามีข้อความเหมือนกัน....ข้อแรก บุตร ธิดาทั้ง 4 จะได้รับ...”

อีกบริเวณหนึ่งในบ้าน สมใจกำลังสอบถามจิ๋ว
“เขาอ่านพินัยกรรมที่ไหน” สมใจถามเสียงค่อยๆ
“ทำไมเหรอยาย..ยายเข้ามาได้ไงเนี่ย....เป็นใครเหรอ”
“จะไปฟังอ่ะดิ” สมใจว่า
“โห..ทันสมัยนะยาย...ไปไม่ได้” จิ๋วว่า
“ทำไม” สมใจสงสัย
“ยายเป็นใคร”
“เป็นยายของคุณดอกโศก เป็นเมียท่านนายพลที่ตาย…..ชัดมั้ย”
จิ๋วอ้าปากค้างมาก สมใจ ดันคางจิ๋วให้หุบลงดังกั๊บ แล้วเดินสะบัดเข้าไปในตึก

ทนายปกรณ์ดำเนินการเรื่องพินัยกรรมต่อ “ชัดเจนแล้วนะครับว่า คุณเพ็ญพักตร์ คุณพฤกษ์ คุณพจน์และคุณสุดสวย บุตรและธิดาของท่านได้รับส่วนแบ่งเป็นมูลค่าเท่าๆกัน รายการสุดท้ายของมรดกให้ คือ ตึกรัตนชาติพัลลภ”
เพ็ญพักตร์ขยับตัวนิดหนึ่ง
“ท่านยกให้คุณสุดสวย...” ทนายปกรณ์อ่าน
เพ็ญพักตร์ขัดขึ้น “เอ๊ะ” เสียงเบาๆ
ทนายปกรณ์อ่านต่อ “และคุณเพ็ญพักตร์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน”
เพ็ญพักตร์โล่งใจ
“ท่านระบุไว้ในพินัยกรรมว่าให้คุณเพ็ญพักตร์ดูแลคุณสุดสวยเหมือนหรือใกล้เคียงกับที่ท่านดูแล”
เพ็ญพักตร์หน้านิ่งสนิท จังหวะเดียวกันสุดสวยมองเห็นสีหน้าเพ็ญพักตร์
ทนายปกรณ์อ่านพินัยกรรมต่อ
“ต่อไปผู้ครองมรดกชั้นหลานครับ หลานคือ คุณเพ็ญตระการ คุณพัชรและคุณมนัสสุขได้ที่ดินคนละ 1 แปลง ตีราคาแล้วใกล้เคียงกัน โฉนดครบ 3 ฉบับอยู่ในซองนี้ครับระบุชื่อผู้รับอยู่หน้าซองทั้งสามคนมีสิทธิเบิกค่าเล่าเรียนสูงที่สุดเท่าที่แต่ละคนต้องการจากเงินกองกลาง รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย เบิกได้จนกว่าจะเรียนจบ นอกจากนี้ทุกคนจะได้รับเงินสดคนละห้าล้านบาท ทุกคนได้รับเครื่องประดับมีมูลค่าไล่เลี่ยกันตามที่ระบุไว้ในรายการทรัพย์สินนี่แล้ว”
ทั้งห้องเงียบกริบ
เพ็ญพักตร์ มองหน้าอุ๊ และหันไปสบตากับพจน์
“อภิรมย์ล่ะครับ...”
อ้นยังไม่ทันพูดจบ สุดสวยถามขึ้น
“ดอกโศกล่ะ...ดอกโศกได้อะไรมั่ง ปกรณ์...ดอกโศกได้อะไร”
“มีผู้ได้รับส่วนแบ่งในกองมรดกครั้งนี้อีกครับ”
ทุกคนตั้งใจฟัง
“ไม่....ถามว่าดอกโศกได้มั้ย....ตอบมา ทนาย....ได้มั้ย” สุดสวยถามย้ำ
ทนายปกรณ์อ่านต่อ “นางเฉลย พันธะ ได้เงินสดสามแสนบาท นางจวน วิลา เงินสดหนึ่งแสนบาท นางสาวจิ๋ว ต้องตา เงินสดห้าหมื่นบาท นายวิชัย กลั่นกล้า เงิดสดห้าหมื่นบาท
สุดสวยถามขึ้นเสียงแหลม “ถามว่าดอกโศก...อภิรมย์ฤดีน่ะ..ได้อะไร”
สีหน้าดอกโศกนิ่งสนิท
ปกรณ์ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยออกมา “ไม่มีชื่อคุณอภิรมย์ฤดี รัตนชาติพัลลภในพินัยกรรมฉบับนี้เลยครับ”
เฉลยเงยหน้าหันขวับแปลกใจยิ่งนัก
เพ็ญพักตร์ อุ๊ และพจน์ มีสีหน้าพอใจ โอ๋เฉยๆ อ้นแปลกใจ
“ไม่จริง...ไม่จริง คุณพ่อทำไมไม่ให้ดอกโศก” สุดสวยเอ่ยขึ้น
“จริงครับ พินัยกรรมสิ้นสุดเพียงแค่นี้ ไม่มีชื่อคุณอภิรมย์ฤดีครับ”

“ไม่จริง” เสียงสมใจแทรกขึ้นมาอย่างดัง!

อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.





ดอกโศก ตอนที่ 10

ทุกคนในห้องหันขวับไปมองทางสมใจที่เดินเข้ามาเร็วรี่ แล้วมานั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ที่เพ็ญพักตร์นั่งอยู่ จนเพ็ญพักตร์ต้องถอยกรูดไป

“ได้ไง....ไม่ มีได้ไง ก็ไอ้โศกมันเล่าว่าท่านจะให้นี่นา” สมใจพูดเสียงดัง
ดอกโศกก้มหน้างุด รู้สึกอับอายมาก
เพ็ญพักตร์เยาะ “แกได้ยินแล้วนี่ว่าไม่มีชื่ออหลานแก”
“ไม่มีเพราะปลอมหรือเปล่าล่ะ” สมใจสวนออกมา
ดอกโศกรีบห้าม เพราะอายเหลือเกิน “ยายจ๋า...พอเถอะจ้ะ” ก่อนจะลุกขึ้น ทำท่าจะเดินออกไป
สมใจเรียกไว้ “ไอ้โศก...ยายกำลังเรียกร้องสิทธิ์ให้เอ็....เอ็งมีสิทธิ์” เปิดฉากทะเลาะกับเพ็ญพักตร์
“นี่แม่สมใจไปทวงสิทธิ์ที่อื่น ที่นี่ไม่มี”
“ทำไมไม่มีมันเป็นหลาน....”
“หลานเรอะ....ทำไมท่านไม่ให้ล่ะ” น้ำเสียงเพ็ยพักตร์ทั้งเยาะทั้งหยัน
สมใจจ๋อยมาก จนน่าสงสาร
“ให้...คุณพ่อให้ คุณพ่อบอกว่าให้ดอกโศกอยู่บ้านนี้ไปจนตาย” สุดสวยขัดขึ้น
“สุดสวย อย่าเพิ่งพูดอะไรดีกว่า เราต้องเชื่อหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร” เพ็ญพักตร์จ้องหน้าน้องสาว
“คุณพ่อบอก...ถามเหลย ถามเหลยสิ” สุดสวยไม่ยอม
“ไม่ต้อง” เพ็ญพักตร์พูดเสียงเฉียบขาด “ไม่ถามใคร”
เฉลยขัดขึ้น “แต่...คุณเพ็ญคะ ท่านบอก”
เพ็ญพักตร์วาดใส่ “หุบปากเฉลย ไม่ใช่เรื่องของแก”
“พี่เพ็ญครับ ถามคุณปกรณ์ดีกว่า” พจน์บอก
“ไม่ต้องถาม” เพ็ญพักตร์ไม่ยอม
“ถาม...ถามปกรณ์ ปกรณ์พูด...พูดเร็วๆ” สุดสวยบอกเร่งเร้า
“ทนายความใช่มั้ยพูดเลยคุณท่านบอกไว้นี่ พูดเลย...” สมใจผสมโรง
ทนายปกรณ์ทำมือห้ามสมใจ “เป็นความจริงครับ ท่านมอบหมายให้ผมแก้ไขพินัยกรรมบางส่วน คือให้คุณอภิรมย์ฤดีได้ทุกอย่างเท่าหลานคนอื่น ยกเว้นที่ดินและเครื่องเพชร เพราะเป็นของคุณหญิงท่านให้แต่ลูกหลานคุณหญิง”
ทั้งห้องเงียบกริบ
“พี่เพ็ญครับในเมื่อคุณพ่อประสงค์เช่นนั้น และท่านก็แจ้งความจำนงกับหลายคน รวมทั้งดอกโศกด้วย...จริงมั้ยดอกโศก” พจน์ว่า
ดอกโศกมองทุกคน นัยน์ตาหมองไม่สบายใจเลย
“คุณตาท่านบอกเธอไว้หรือ” พจน์สนใจ
“แต่หนูไม่....ไม่อยากได้ค่ะ ไม่ต้องให้หนู...” ดอกโศกบอก
สมใจขัดใจนัก “นังโศกแกจะบ้าเรอะ แกต้องเอา”
“หยุด แม่สมใจ อย่าสอดไม่ใช่เรื่องของแก” เพ็ญพักตร์ของขึ้น
“ฉันจะพูดเรื่องอะไรมาห้าม แกต้องเอานะดอกโศก ของของแก”
เพ็ญพักตร์หัวเราะเย้ยหยัน “แกจะเอาจากที่ไหน ฮะ แม่สมใจ จะเอาจากไหน”
“เอาจากคุณนั่นแหละคุณผู้ดี คุณก็รู้แก่ใจทุกอย่างจะใจร้ายใจดำไปถึงไหน” สมใจหยันกลับ
“แกกลับไปซะดีกว่า อย่าฝันถึงสิทธิ์ลมๆแล้งๆ แกอาจจะเคยมีนะ....แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เดี๋ยวนี้สิทธิ์มันเป็นลายลักษณ์อักษรไม่ใช่สิทธิ์ที่เกิดจากการยั่วยวนคุณพ่อฉันแบบต่ำๆ ของแก” เพ็ญพักตร์ของขึ้น จัดหนัก
สมใจฟังแล้วสะอึก เถียงไม่ออก หน้าตาน่าสงสารมาก เบ้หน้า มองจ้องหน้าเพ็ญพักตร์
“คุณเพ็ญ ผมว่าเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นป้าแล้วนี่ก็หลาน” ตระกูลเอ่ยขึ้น อยากคลี่คลายเรื่องราว
“ฉันไม่เชื่อว่าคุณพูดจริง เงินคุณไม่เคยไม่อยากได้” เพ็ญพักตร์พูดเสียงอยู่ในคอ ก่อนจะหันมาพูดใส่หน้าตระกูล “อย่าสร้างภาพเลย”
ตระกูลคอแข็ง
“พี่เพ็ญ เราคิดใหม่ดีมั้ยครับ” พจน์ออกความเห็น
อ้นพูขึ้น “ครับป้าเพ็ญ เงิน 5 ล้าน ที่ให้ดอกโศกเอามาให้เรา 3 คน มันก็แค่คนละล้านกว่า”
เพ็ญพักตร์ตวาดสวน “แกหยุดนะอ้น เป็นเด็กอย่าสอด”
“พี่เพ็ญ....ครับ ผมว่าอ้นเขาจะทำก็ได้นะครับ” พจน์บอก
“ก็ด้าย เพราะฉันเชื่อว่าคุณพ่อท่านต้องการให้เป็นอย่างนั้น แต่ในเมื่อไม่มีในพินัยกรรมฉันไม่เห็นเหตุผล ถ้าใครจะให้ก็ให้ส่วนของตัวเอง แต่ถ้าจะแบ่งไปจากลูกฉัน...ฉันจะฟ้อง” เพ็ญพักตร์เสียงกร้าว
ทุกคนนิ่ง
“เอาสิว่ะ ฟ้องก็ฟ้อง” สมใจลุกขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว
“หยุด...ถ้าไม่หยุดจะให้คนมาจับโยนออกไป”
สมใจจะพูด
เพ็ญพักตร์ตวาดลั่นน้ำเสียงทรงอำนาจ “ฉันบอกให้หยุด”
สมใจชักกลัวหยุด แต่กิริยายังโอหัง
“เคลียร์มั้ย”
“ไม่เคลียร์...ไม่ยอม” สุดสวยว่า
“ฟ้องศาล...สุดสวยไปฟ้องศาล ศาลจะเอาเธอไปอยู่ในคอกแล้วซัก...ซัก...เธอตายแน่”
เจอไม้นี้ สุดสวยกลัวขึ้นมา ไม่กล้าพูดต่อ
“ผมแบ่งให้ดอกโศกสองล้าน”
อุ๊เยาะ “โห...ใจดีจริง...โอ๋ล่ะ”
“โอ๋ไม่รู้ ให้ก็ได้ค่ะ” โอ๋สะอื้นออกมา “โอ๋ไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว”
ทนายปกรณ์เอ่ยขึ้น “คุณมนัสสุขจะได้ส่วนแบ่งของคุณพฤกษ์ด้วยครับ”
อุ๊ตาโต “จริงเหรอคุณแม่ โอ้โฮ...ได้เยอะน่ะสิ”
สีหน้าเพ็ญพักตร์บึ้งตึงมาก มองโอ๋หน้าเครียดๆ ตอนนี้ทุกคนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
“เฮ้อ...คนรวยเนี่ยมันไม่พอจริงๆเว้ย..กูก็อยากจะดูเหมือนกันว่าจะกินกันจนท้องแตกตายมั้ย เอ้า โศก เอ๊ย ยายกลับก่อนนะ พระคุ้มครองเอ็งด้วย”
เพ็ญพักตร์สวนทันควัน “เดี๋ยว...แกเอาหลานแกกลับไปด้วย”
“เอ๊ะ..คุณเพ็ญพักตร์ ยังไงกันเนี่ย พูดอย่างนั้นถูกเรอะ แค่อยู่บ้านก็ไม่ให้อยู่เหรอเนี้ย จะใจคอโหดเหี้ยมมากไปหน่อยมั้งคุณ”
“เราจะทำทุกอย่างตามพินัยกรรมคุณพ่อ รู้กันไว้ด้วย”
“ทำไมล่ะ ให้มันแค่อาศัยอยู่ไม่ได้ ตอบมา คุณก็ไปอ้อนวอน”
“ใครอ้อนวอนพูดให้ดีๆ”
“ก็คุณนั่นแหละ เค้าเห็นกันทั้งซอย ใส่ชุดสีแดงแปร๊ด หมูหมาเห่ากันเกรียว เอาเงินไปล่อมันด้วย” สมใจหยามหยัน
“ฉันไม่เคยเอาเงินล่อแก”
สมใจสวนอย่างรวดเร็ว “งั้นก็พ่อคุณ”
“แกพาหลานไปจากบ้านชั้นเดี๋ยวนี้” เพ็ญพักตร์ตวาด วางอำนาจเต็มขั้น
“ไม่ต้องไป อยู่ได้อยู่กับน้า...ดอกโศก” สุดสวยพูดพลางหันไปมองดอกโศก
ดอกโศกเวลานั้น น้ำตาฉ่ำตา มองสบตาสุดสวย สุดสวยพยักหน้าให้อยู่ร้องไห้ไปด้วย พอดอกโศกไหว้สุดสวย สุดสวยยิ่งร้องเสียงดังขึ้น
ดอกโศกคลานไปหายาย “ยายจ๋า...กลับบ้านเราเถอะจ้ะ”
“เอ็งอยู่ ใครเอาเอ็งมาต้องเลี้ยง ไม่งั้นข้าจะฟ้องหมดทุกศาลเลยเว๊ย” สมใจปรี๊ดสุดขีดแล้ว
“ปกรณ์ อธิบายให้เขาฟังด้วย ตระกูล อุ๊...ไป” เพ็ญพักตร์เอ่ยขึ้น
สามคนพ่อแม่ลูกเดินออกไป
โอ๋ขยับจะไปด้วย “พี่อ้น โอ๋ให้เค้าเท่าพี่อ้นนะ”
“โอ๋” อุ๊ขัดเคืองใจ
โอ๋เดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
ดอกโศกไหว้ทุกคน “หนูลาค่ะ” แล้วเดินออกอย่างรวดเร็ว ไม่รีรอ ไม่มองหน้าใครอีกเลย
ไดนามิกทันที
เพ็ญพักตร์ไม่ตวาด ไม่เสียงดังมากนัก ในช่วงแรกเพราะเป็นต่ออยู่เต็มร้อย แต่พอสมใจกวนมาก
ขึ้นค่อยของขึ้นไปตามบท
2) ขอเล่นเร็วๆ บทคล่องๆ กลัวอืด

ดอกโศกก้าวขึ้นรถตุ๊ก ตุ๊ก สีหน้าเศร้า
“ยายล่ะโศก”
“โน่น”
สมใจวิ่งตุ๊บตั๊บมา
“แล้วไงเนี่ย”
“กลับบ้าน” ดอกโสกบอก
“โศกเอ๊ย ทำไมเอ็งยอมเขา...อย่ายอมเราต้อง...” สมใจจะพูดต่อ
“ยาย” ดอกโศกสวนออกมา เสียงแข็ง “เขาเกลียดเราขนาดนี้ยายจะให้หนูอยู่อีกเหรอ”
อ้นวิ่งตามมา “อภิรมย์ ฉันให้นะสองล้าน คนละครึ่งก็ได้สองล้านห้า”
ดอกโศกมองตอบด้วยสายตาอ่อนโยน ยิ้มให้ทั้งน้ำตา “แล้วพบกันนะอ้น”

สมปองขับรถโครมครามออกไป สีหน้าดอกโศก ทั้งโศก ทั้งสลดใจ เหลียวไปดู ป้ายบ้านรัตนชาติพัลลภ มีแพรดำที่ป้ายนั้น
ดอกโศกหันขวับกลับมา คิดในใจอย่างเด็ดเดี่ยว ลาทีบ้านที่มีแต่ความทุกข์ใจ

ไม่นานต่อมา สมใจ สมปอง และดอกโศกเดินเข้ามาในบ้าน สมหวังรีบเดินออกมารับ ถามทันที
“เป็นไงมั่ง” แต่ไม่มีใครตอบ
“พักนะโศก น้าไปทำงานต่อล่ะ” สมปองปลอบ
“จ้ะ...” ดอกโสกไหว้สมปอง “หนูขอบคุณ”
“ไม่ต้องเศร้าเว้ย อยู่คนเดียวซะเมื่อไหร่”
ปองหันหลังกลับจะเดินไป แต่ชะงักเมื่อเห็นอัศนัยตรงหน้า
“ปอง”
สมปองส่ายหน้า “นกปีกหักกันทุกคนเล๊ย คุณนัย”
อัศนัยไม่ฟัง เดินเข้าไปหาดอกโศก “ดอกโศก”
ดอกโศกทนไม่ได้อีกแล้ว สะอื้นฮักๆ แม้จะข่มเต็มที่เนื้อตัวเด็กสาวก็ไหวสั่นสะท้าน อัศนัยอยากกอดเหลือเกิน แต่ไม่กล้า ได้แต่ขยับตัว และส่งสายตาสงสารสุดใจ
ดอกโศกสะอื้น ความรู้สึกขมขื่นพุ่งประดังขึ้นมา จนต้องปิดหน้า ซวนเซลงนั่ง ก้มหน้ากับเข่าตน
อัศนัยคุกเข่าลงข้างๆ “ดอกโศก...เล่าให้คุณนัยฟังนะจ๊ะ” พลางแตะมือเบาๆ
ดอกโศกมองนัยน์ตาโศกเศร้า อัศนัยพูดเบาๆ “ไปริมน้ำโน่น”

สองคนนั่งอยู่ริมน้ำในสวนแห่งนั้น ดอกโศกเล่าเรื่องจบแล้ว หยุดร้องไห้แล้ว แต่นัยน์ตาและจมูกยังแดงก่ำ
ระหว่างนั้นมีใครคนหนึ่งวิ่งไปมา อีกคนขี่รถจักรยาน คู่นั้นวิ่งไล่จับกัน ทุกสิ่งข้างๆ เคลื่อนไหวในขณะที่สองคนไม่เคลื่อนไหวเลย
“ไม่ต้องรู้สึกอะไรมาก เรื่องของผู้ใหญ่”
“ดอกโศกอายค่ะ เหมือนอยากได้แต่ไม่มีสิทธิ์”
“ดอกโศก...ดอกโศกมีสิทธิ์ทุกอย่างถ้าจะฟ้องก็ฟ้องได้ ยายพูดถูก มีพยานหลักฐานว่าคุณตาพยายามไป...เอ้อ ซื้อดอกโศกไปอยู่กับท่าน ความเป็นหลาน ความที่ท่านไปพาตัวมา เจตจำนงของท่านที่จะให้ดอกโศก ศาลเขาสืบพยานได้”
“ไม่” ดอกโศกแทบจะสวนออกมาทันควัน พูดเสียงแข็ง “ดอกโศกจะหยุด ไม่เอาอะไรอีกเลย ไม่กลับไปบ้านนั้นด้วย”
อัศนัยแสนสงสารเป็นที่สุด “ดอกโศกไปอยู่บ้านคุณนัยนะ”
ดอกโศกนิ่งอึ้ง
“คุณนัยขอ...ดอกโศกอย่าดื้อเลยนะ”
ดอกโศกไหว้ขอโทษ
อัศนัยถอนหายใจมีอาการผิดหวังรู้ดีว่านั่นคือคำปฏิเสธ
“ดอกโศกขอพูดอะไรบางอย่าง คุณนัยฟังให้จบนะคะ อย่าเพิ่งคิดว่าดอกโศกจองหอง”
“พูดสิ...”
ดอกโศกพูดเสียงมั่นคง สีหน้าตรึกตรอง แต่คำพูดที่บอกออกมาคือมั่นใจในทุกคำ
“ตอนเป็นเด็กดอกโศกอยู่กับยาย เท่ากับยายเป็นเจ้าของชีวิตดอกโศก พอโตขึ้นอีกหน่อย คุณตารับไปเลี้ยง ดอกโศกก็กลายเป็นอภิรมย์ฤดีของคุณตา แต่เวลานี้คุณตาไม่อยู่แล้ว อภิรมย์ฤดีก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของอีกต่อไป”
อัศนัยถามลองใจ “ไม่มีใครเลยหรือ”
“คุณนัยเป็นผู้มีพระคุณ ดอกโศกเชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีใครหวังดีกับดอกโศกเท่ากับคุณนัย”
“แล้วทำไม...”
ดอกโศกพูดขัดขึ้น “ดอกโศกอยากเป็นอิสระ”
“อยากเป็นอิสระ หมายความว่ายังไง” อัศนัยถามเสียงแข็ง “จะทำอะไรจะไปไหน...ยังเด็กอายุเท่านี้”
“ทำเท่าที่จะทำได้...ดอกโศกจะไปอยู่กับยาย จะทำงาน...”
“ทำงาน” อัศนัยพูดเสียงดัง “จะบ้าเหรอดอกโศก ยังเรียนหนังสือไม่จบจะไปทำงาน”
“ทำได้ค่ะ ทำงานด้วยเรียนหนังสือไปด้วย”
“ไม่ได้...คุณนัยไม่ให้ทำ เรียนหนังสืออย่างเดียวจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ”
“ได้ค่ะ มีเยอะแยะที่เขาทำงานส่งตัวเองเรียน ดอกโศกทำได้ คุณนัยลืมแล้วหรือคะ ดอกโศกเคยทำมาแล้ว”
“นั่นตอนเป็นเด็ก”
ดอกโศกแย้ง “คุณนัยดูถูกเด็กจัง”
อัศนัยฟังแล้วนิ่งงัน อึ้งไปนิด “ดอกโศก...คุณนัยเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในตัวเอง...ทุกคนถ้าใช้เต็มที่ก็ทำอะไรก็ได้”
ดอกโศกพยายามทักท้วง “แต่...”
อัศนัยพูดสวนออกมา “แต่...ต้องเป็นไปตามอายุ ตามความจำเป็นอย่างเช่น เป็นเด็ก...ก็ควรจะใช้ศักยภาพให้เต็มที่เรียนหนังสือ”
“ดอกโศกจะเรียนหนังสือเต็มที่...ดอกโศกสัญญากับคุณนัย”
“ไม่มีเวลาไปทำงานแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้น” อัศนัยท้วง
“มีค่ะ...ดอกโศกจะใช้เวลาทุกนาทีให้มีค่า” รู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาไหลรินออกมาจางๆ “ชีวิตดอกโศกมีค่ามากตอนที่ทำงานช่วยยาย ช่วยหาเงินให้ยายตอนดอกโศกยังเด็ก”
อัศนัยตั้งใจฟังมาก มองจ้องหน้าดอกโศกตลอดเวลา
“จำได้ว่าไม่เหนื่อย...ไม่ท้อถอยเลยซักวัน” ดอกโศกบอก
อัศนัยพยักหน้า
“ถ้าไปอยู่กับคุณนัยรู้ค่ะว่าคุณนัยจะดูแลอย่างดี ดอกโศกจะสบายไม่ต้องทำงานมีเงินใช้ เยอะแยะ อยากได้อะไรคุณนัยจะหาให้...จะอยู่สุขสบายเรียนหนังสืออย่างเดียว เหมือนตอนอยู่กับคุณตา อยู่กับคุณนัยดอกโศกจะเป็นคุณหนูมากกว่าเสียอีก เพราะมีป้าหม่อน มีพี่หมื่นทำอะไรให้ทุกอย่าง”
สีหน้าอัศนัยคิดตาม
“ไม่อยากเป็นแบบนั้นค่ะ อยากเป็นอิสระ อยากทำงาน อยากภูมิใจว่าช่วยยายได้ เรียนหนังสือก็จะไม่ให้เสีย คุณนัยคะ ดอกโศกอยากสู้ชีวิตด้วยตัวเองค่ะ”
อัศนัยมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชมอยู่ลึกๆ ดอกโศกมองสบตา นัยน์ตาขอร้องให้เชื่อมั่นว่าจะทำได้
“คุณนัยจะกลับล่ะ...วันไหนที่เข้าไปเก็บของที่บ้านคุณตาบอกคุณนัย คุณนัยจะพาไป...ขอร้องนะอย่าบอกว่าไม่...จะไปเอง ขนของนั่งรถตุ๊กตุ๊กออกมามัน เอ่อ...เอาเถอะ อย่าทำอย่างนั้นเลย” อัศนัยร้องขอ
ดอกโศกยิ้มเต็มที่ “ไม่ทำค่ะ จะนั่งรถเบนซ์ออกมาเลย”
อัศนัยลุกขึ้นส่งมือให้ อัศนัยดึงตัวดอกโศกลุกขึ้นยืน
ดอกโศกวางมือในมืออัศนัย สองคนยืนประจันหน้ากัน
อัศนัยมองจ้องหน้าดอกโศกนิ่ง
ภาพความสัมพันธ์ระหว่างดอกโศกกับอัศนัย ซ้อนเข้ามาในความคิดของอัศนัย รวดเร็วราวกับสายน้ำไหล
สายตาอัศนัยดูอ่อนโยน ชวนซาบซึ้ง และน่าประทับใจ
“นอนให้หลับอย่าคิดมาก”
“ค่ะ...คิดเสร็จแล้วนี่คะ”
อัศนัยยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ดอกโศกยิ้มรับ
“ดอกโศกโตเป็นผู้ใหญ่ชั่วข้ามคืนเลยนะ” อัศนัย
ดอกโศกยิ้มน้อยๆ มองจ้องอัศนัย นัตย์ตานั้นมีแววประหลาดบางอย่างที่อัศนัยมองแล้วรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาชั่ววูบ

ภาพสุดท้ายให้ห้วงความคิดคำนึงของอัศนัย เป็นภาพดอกโศกนัยน์ตาคลอเต็มไปด้วยน้ำตา ในวันที่ปรียากมลจูบเขาต่อหน้าต่อตา เป็นนัยน์ตาที่มีความรักซ่อนเร้นอยู่ในนั้น

อัศนัยตระหนัก ประจักษ์แก่ใจตนเองในวินาทีนั้น เหมือนแสงสว่างวาบเข้ามา
ดอกโศกอ่านสายตานั้นออก ใจสั่นวูบวาบขึ้นมา แล้วตัดสินใจถดตัวถอยห่างออกมา
อัศนัยเหมือนอยากจะตามไป แต่ก็ยั้งตัวเองไว้ทัน ดอกโศกพนมมือไหว้ลา แล้วหันหลังกลับเดินจากไปทันที อัศนัยเดินตามไปสองก้าวแล้วยืนนิ่งงันงัน

ดอกโศกอยู่ที่บ้านยายแล้ว ล้มตัวลงนอน แต่นอนไม่หลับ คิดถึงแต่อัศนัย ข้างๆ กายสมปองนอนหันหลังให้

อัศนัยเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน นัยน์ตาของดอกโศกยังคงรบกวนจิตใจเขาเป็นอย่างมาก จังหวะหนึ่งอัศนัยลุกขึ้นนั่งบนเตียง
ครู่ต่อมาอัศนัยยืนมองออกไปข้างนอก ก่อนที่จะกลับมานั่งอีกท่าหนึ่ง หยิบหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง
ทว่าอัศนัยอ่านหนังสืออ่านไม่รู้เรื่อง ปิดหนังสืออย่างแรง เดินไปยังห้องวาดรูป
อัศนัยนั่งวาดรูปดอกโศก เป็นภาพที่เขาจดจำในครั้งที่แล้วที่เจอกัน ดอกโศกน้ำตาคลอมองจ้องมา เสียงเพลงจากแผ่นเสียง ‘โอ้ดอกโศกเจ้าโศกใจไฉนกัน’ ดังคลอแผ่วๆ

ส่วนดอกโศกกำลังพนมมือสวดมนต์อยู่ในมุ้งเงียบๆ สมปองงัวเงียอยู่หันมามอง พยักหน้าให้นิดๆ แล้วหลับต่อ

ตอนบ่ายคล้อยของอีกวันหนึ่งถัดมา เลิกเรียนแล้วดอกโศกแวะมาที่บ้านคุณนายประดับ ในชุดนักเรียน และกำลังกราบไหว้พระในห้องพระ กับคุณนายประดับ
สักครู่หนึ่งสองคนเดินมาอีกห้องหนึ่ง คุณนายประดับเอ่ยถามขึ้น
“ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่
“เมื่อวานตอนค่ำค่ะ”
“ไม่มีใครมาตามหรือ”
ดอกโศกหน้าหมองเศร้า นิ่งไปชั่วครู่ “ไม่มีค่ะ ทุกคนทราบว่าหนูจะไม่อยู่บ้านนั้นอีกแล้ว”
คุณนายประดับเองก็นิ่งไปชั่วครู่ “จะทำยังไงต่อไป”
“ทำงานค่ะ...”
“ทำงาน! งานอะไร ขายหนังสือพิมพ์อีกน่ะหรือ”
“หนูอาจจะขายก็ได้ ตอนนี้น้าหมายช่วยป้าแกขายแต่ป้าบ่นว่าน้าหมายหยุดบ่อย บางทีแอบไปหลับ”
“ถ้าไปช่วยป้าแกก็ดีใจตาย แต่เจ้าจะมีเรื่องกับใครรู้มั้ย” คุณนายประดับถามอย่างเดาถูก
ดอกโศกเริ่มหน้าเสีย “ค่ะกับน้าหมาย”
“มาช่วยทำงานที่นี่อาทิตย์ซัก 2 วันแล้วกัน”
ดอกโศกมองจ้องหน้าคุณนายประดับอย่างตื้นตันใจ ก้มหน้าไหว้ต่ำ อยากจะร้องไห้
“เสียใจหรือนั่นถึงจะร้องไห้”
“ไม่ใช่ค่ะ ดีใจค่ะ”
“ก็ได้....ดีใจร้องไห้ก็มีเหมือนกัน”
ดอกโศกหัวเราะทั้งน้ำตา
“ใครจะพาไปเก็บของ”

ดอกโศกนึกถึงอัศนัยขึ้นมา

อ่านต่อตอนที่ 11





กำลังโหลดความคิดเห็น