บ่วง ตอนที่ 10
รัสตี้ กับไลล่าอาบน้ำแต่งตัวแล้วกำลังจะขึ้นเตียงนอน พัชนีที่ดูแลเด็กๆ หันมาเจออนุกูลเดินเข้ามาในห้อง
“เอ๊า ขึ้นเตียงเลย... เอ้าคุณยังไม่ไปหรือคะ”
เด็กๆขึ้นไปนั่งเล่นบนเตียง รัสตี้เอาเกมกดขึ้นมาเล่นต่อ
“ให้ไปไหนอ่ะ” อนุกูลถาม
“คืนนี้วันเสาร์ ทุกทีก็ไปเที่ยวไม่ใช่หรือ”
“เพื่อนก็โทรมาอยู่ แล้วเธอล่ะ”
“ฉันสงสารเด็ก ว่าจะนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยหารถกลับ คุณไปเถอะค่ะ”
พัชนีขึ้นไปนั่งข้างไลล่าที่ด้านหนึ่งของเตียง
“เดี๋ยวมาอ่านนิทานกันนะคะ เอาเล่มไหนดี”
ไลล่าหยิบนิทานมา ทำท่าจะอ่านกับพัชนี อนุกูลมองๆลังเล แล้วโดดขึ้นเตียงด้วย โดยไปนั่งข้างรัสตี้ที่เล่มเกมอยู่ ดูเหมือนพ่อแม่ลูกที่มีเด็กทั้งสองอยู่ตรงกลาง
“ไหนเล่นเกมอะไรสอนมั่งสิ” อนุกูลถามรัสตี้
“อ้าว” พัชนีแปลกใจ
“เที่ยวมาเยอะแล้ว ที่จริงมันก็เหมือนๆกัน เปลี่ยนมั่งอะไรมั่ง”
อนุกูล กับพัชนีกลายเป็นพ่อแม่ของเด็กๆไป พัชนีนั่งอ่านหนังสือกับไลล่า อนุกูลนั่งเล่นเกมกับรัสตี้ อนุกูลแอบมองพัชนี พัชนีหันมาเจอยิ้มให้
กลางดึก เด็กทั้งสองหลับไปแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสองกึ่งนั่งกึ่งนอนหลับไป หัวของทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกัน อนุกูลตื่นก่อนมองไปข้างๆ เห็นหัวของพัชนีอยู่ใกล้ ยิ้มมองหน้าพัชนีชื่นชมความงามอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆหันไปอีกด้าน เอาหมอนมาวางค่อยๆ จับหัวของพัชเอนไปพิงไว้ พัชเลยตื่นขึ้น
“เอ้า กี่โมงแล้วคะเนี่ย”
“ดึกแล้วล่ะ”
พัชนีมองเด็กๆ
“หลับปุ๋ยเลย น่าสาสารแกสองคนจังนะคะ”
“เราสองคนเลยกลายเป็นพ่อแม่จำเป็น”
“จริงด้วย”
พัชนีตอบไปไม่ได้คิดอะไร พอหันมา เจออนุกูลมองมาสายตาวิบวับเธอก็รู้สึกอายขึ้นมา ก้มหน้าก้มตาอย่างเดียว
“อืม ไม่เคยนึกถึงการเป็นพ่อคนเหมือนวันนี้เลย มันเป็นอย่างนี้เองหรือนี่”
อนุกูลมองเด็กทั้งสองอย่างเอ็นดู พัชนียิ้มแห้ง มองสภาพตัวเอง ชักไม่เหมาะที่อยู่ตรงนี้
“ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
อนุกูลถามดักขึ้นมา
“แล้วเธอล่ะ เคยคิดเรื่องแบบนี้ไหม หรือจะบวชท่าเดียว”
“คิดหรือไม่คิดก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“ก็แล้วถ้าผมอยากเกี่ยวด้วยล่ะ!”
“คุณนุ”
จู่ๆอนุกูลพูดขึ้น จนพัชนีงงหันมามองหน้าว่าจะเอาไงกับตน อนุกูลดูนิ่งไม่ล้อเล่น ส่งสายตาจริงจังด้วยความรู้สึกจากภายใน มือของอนุกูลยื่นมือมาจับพัชนี ดูไม่ใช่คนขี้เล่นเหมือนปกติ
“คุณนุ ไหนบอกจะไม่ล้อเล่นแบบนี้แล้วไง”
“ก็คราวนี้ไม่ได้เล่น อืม...คิดๆไป ที่จริงก็ไม่เคยล้อเล่นสักครั้งนะ”
ทั้งสองมองหน้ากันอีก พัชก้มหน้าอายจริงจัง ในใจก็เริ่มชอบอนุกูลเหมือนกัน แต่ก็ดึงมือออกมาไม่ให้จับนาน
“เอ้อ ไปนะคะ”
พัชนีเดินหนีไป อนุกูลมองตามดวงตามีประกายของความรักชัดเจน
วันต่อมา...อนุกูลไปถึงที่ทำงาน เดินผ่านห้องศามนที่ประตูเปิดอยู่ เห็นไม่มีใครอยู่ ขณะเดียวกันพัชนีถือเอกสารเดินมากับวรรณศิกาที่ถือโทรศัพท์มือถือ พยายามพูดโทรศัพท์อยู่
“เอ๊า สายป่านนี้แล้ว คุณศามนยังไม่มาทำงานหรือ” อนุกูลหันมาถาม
“ไม่มาไม่เท่าไหร่ โทรไป ไม่รับสายนี่สิ นี่มันชักไปกันใหญ่แล้วนะทำตัวเหมือนคนไม่รับผิดชอบ ไม่ยอมรับสายใครเลย” วรรณศิกาหงุดหงิด
“แล้วเอกสารพวกนี้ล่ะคะพี่วรรณ จะให้เอาไปวางไว้หรือว่า...”
พัชนีพูดไม่ทันจบ อนุกูลรีบบอก
“เดี๋ยวผมดูให้เอง”
อนุกูลรับเอกสารไปจากพัชนี วรรณศิกามองเก้าอี้ว่างเปล่าแล้วถอนใจ
“ตอนเจอคุณมน เล่นเอาฉันเพ้อไปเลย เจอเจ้านายหล่อ สุภาพ ใจดี ทำงานเก่ง แล้วดูสิ ฮึ่ย ไม่อยากเชื่อว่าจู่ๆจะกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้!”
ความรู้สึกของวรรศิกา ไม่ต่างจากความรู้สึกของอนุกูล และพัชนีแม้แต่น้อย
ที่ห้องนอนในเรือนเล็ก...ศามนในชุดเปลือยอก นั่งเหม่ออยู่ขณะที่เดือนแรมนอนอยู่ข้างๆในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย
“คุณมน” เดือนแรมหันไปกอด
ขณะเดียวกัน แพงนอนอีกข้างของคุณหลวงในชุดน้อยชิ้นเช่นกัน สะใจ มีความสุข
ทางด้านรัมภานั่งเหม่อ เลื่อนลอย อยู่บนเตียงในห้องพักของโรงพยาบาล ควันสีขาวลอยมาตามพื้น แล้ววิญญาณของคุณหญิงอบเชยปรากฏตัวขึ้น...
“ลูกแม่ ...ทำแบบนี้กับตัวเองทำไม”
รัมภาไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบ
“ลูกจ๋า ลูกก็ไม่ได้ยินเสียงแม่ด้วยงั้นหรือ”
รัมภาเหม่อ สมองปิดรับทุกอย่างเวลานี้...
ช่วงพักกลางวัน อนุกูลชวนพัชนี และวรรณศิกามาทานาหารด้วยกัน อนุกูลกับพัชนีแอบมองกันยิ้มๆ มีท่าทีเขินอายด้วย อนุกูลพูดจาอ่อนหวานกว่าปกติ
“กินนี่สิ ชอบไม่ใช่หรือ” อนุกูลตักอาหารให้พัชนี
“ขอบคุณค่ะ”
วรรณศิกามองทั้งสองคนชักสงสัย
“ตักให้ฉันมั่งสิ” วรรณศิกาบอกอนุกูล
“มีมือก็ตักเองเด่ะ”
“หนอย...”
อนุกูลขำที่ได้แกล้ง วรรศิกาจ้องหน้าพัชนี
“หนูพัชหน้าแดงทำไม คู่นี้นี่ ชักยังไง มีอะไรกันคุณนุ”
“ไม่รู้สักเรื่องแล้วมันจะตายไหม”
วรรณศิกาวางช้อนเคร้ง
“ตายแน่ๆ ตายอยู่แล้ว ฉันไม่ยอมหรอก มานี่ มานี่เลย”
วรรณศิกาลากพัชนีให้ลุกขึ้นออกไปจากโต๊ะทันที อนุกูลนั่งขำกินต่อไม่สนใจ
วรรณศิกาลากพัชนีมาถาม ที่มุมหนึ่งของร้าน
“บอกมานะ เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ไปทำอะไรกันมา”
“อะไรคะ”
“เธอกับคุณนุน่ะ จมูกฉันได้กลิ่นผิดปกติ” วรรณทำจมูกฟุดฟิด “กลิ่นคาวชู้สาว กลิ่นคาวชู้สาวแน่ๆ”
พัชนีรีบโวยวาย เลยเผลอหลุดปากไป
“เปล่านะคะ เปล่าๆ...ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ก็แค่จับมือ”
พัชนีรีบปิดปากแค้นตัวเองไม่น่าบอก
“หา...จับมือ”
“เอ้อ”
พัชนียิ้ม อายมาก รีบหันหนี เดินหนี
“นี่ ไปไหนยะหล่อน ยายพัช ยายพัช !”
วรรณศิกาเดินตามพัชนีที่หนีมาจะเข้าห้องน้ำ วรรณศิกาตามมาขวาง ลากให้นั่งลง
“นี่หยุดนะ หล่อนเริ่มมาขนาดนี้ ไม่เล่าต่อแล้วฉันจะนอนหลับได้ไง ถ้าจะทำแบบนี้ ฆ่ากันให้ตายไปเลยดีกว่า ...นั่งเลย เล่ามา เล่ามา”
“อืม พัชไม่แน่ใจหรอกค่ะ คุณนุน่ะเข้าใจยากจะตาย บางทีก็บอกว่าไม่ชอบผู้หญิงอย่างพัช บางทีก็เอ้อ ทำท่าทางแปลกๆ ที่จริง แกอาจจะอยากแกล้งพัชเหมือนทุกทีก็ได้”
วรรณศิกาครุ่นคิด แล้วจริงจังขึ้น
“ไม่หรอก...เขาคิดจริงๆ”
“หา”
“พี่น่ะเป็นเลขาแผนก ทำงานให้เขามาตั้งแต่เขาเรียนจบนั่นแหละ มีอะไรเขาก็เล่าให้พี่ฟังหมด”
“พี่วรรณชอบพูดว่าเขาเจ้าชู้ แล้วก็ชอบออกไปกับผู้หญิง”
“ผู้ชายผู้หญิงเดี๋ยวนี้ เป็นโรคกกลัวความรัก กลัวความผูกพัน คุณนุเป็นคนฉลาด จะยุ่งแต่กับผู้หญิงที่ไม่ผูกมัดเขา เหมือนกระสือไง ตกดึกก็วาบๆ...กินแต่อาจม!”
“ยังไงคะ”
“หนึ่ง...แม่ม่ายอารมณ์เปลี่ยว สอง...แฟนสาวที่อยากประชดรัก สาม...ผู้หญิงเลว รักสนุก ที่เป็นได้แค่ของเล่นของผู้ชาย ทั้งหมดนั่นของชอบเขาเลย แต่เขาจะไม่ยุ่งกับผู้หญิงดีๆ เพราะเขาไม่อยากผูกมัด”
“นี่พี่จะบอกว่า…เขาคิดกับหนู”
พัชนียืนยิ้มตาค้างไป
“ก็น่าจะจริงนะ แต่ดูๆไปก่อนก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบ...แหม ผิดปากเจ๊ที่ไหน ว่าแล้วเชียว มันต้องกินไก่วัดฉันแน่ๆ ไอ้สมภารตัวดี คบกันแบบนี้อีกหน่อย หนูก็ต้องแสดงสปิริตให้บริษัทด้วยการลาออก ฉันก็ต้องหาคนมาทำงานใหม่ โฮ้ยเหนื่อยเจ๊อีกละ เอ้าแล้วนี่ …ยืนตาลอยหน้าแดงเป็นลูกตำลึงเชียว”
“ก็ เอ้อ คือ...”
พัชนีจ๋อย วรรณศิกายิ้มๆเอ็นดู ดีใจที่เขาชอบกัน
ที่เรือนเล็ก...ศามนซึมๆนั่งกินข้าว เดือนแรมคอยตักให้ดูแล เหมือนเป็นผัวเมีย ขณะที่ดีดี้กวาดบ้านทำงานอยู่ อย่างยึดเรือนเล็กเป็นของตนไปแล้ว
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น รัสตี้ ไลล่าเมื่อไปโรงเรียนก็ได้แต่นั่งซึม ไม่มีอารมณ์เล่นกับเพื่อนๆ ส่วนที่โรงพยาบาล คุณหญิงอบเชยนั่งมองรัมภาที่อยู่ในอาการเหมอลอยอย่างเศร้าใจ
ที่โรงงาน...อนุกูลเดินตรวจสายงานการผลิตอยู่ เดินดูการทำงานของพนักงานในโรงงาน พัชนีเร่งรีบมาหา
“คุณนุ ...คุณนุอยู่นี่เอง”
“มีอะไรหรือเปล่า”
“นายที่สิงคโปร์เขาจะประชุมทางไกล ทางอินเตอร์เน็ตน่ะค่ะ อีกสิบนาที ก็จะเริ่มแล้ว”
“คุณมนไม่มาอีกแล้วหรือ วันนี้วันที่สามแล้วนะ”
“ไปรับหน้าที่ห้องประชุมก่อนเถอะค่ะ พี่วรรณคอยอยู่”
“ชักจะไปกันใหญ่แล้ว อยากโดนไล่ออกหรือไง เห็นทีต้องคุยกันหน่อยแล้ว”
อนุกูลยืนโมโหอยู่
ศามนนั่งดูทีวีกับเดือนแรม เดือนแรมกอดไว้ ศามนเหม่อๆ ไม่ต่างจากหลวงภักดีในอดีต อนุกูลเดินนำวรรณศิกาและพัชนีเข้ามา
“คุณมน” อนุกูลเรียกอย่างโกรธๆ
“เอ๊า คุณนุ ไปไงมาไงครับนี่” ศามนหันไปทัก
“นึกว่าตายไปแล้วเสียอีก มือถือทำไมไม่รับสาย”
“คุณโทรมาหรือ ผมไม่เห็นได้ยินเสียง”
อนุกูลเห็นมือถือวางอยู่ หยิบขึ้นมาดู
“โทรศัพท์ไม่มีซิม”
“อ้าวทำไมล่ะ ถึงว่า ไม่มีใครโทรมา” ศามนรับมาดูงงๆ
เดือนแรมยิ้มสะใจ
“คุณภาไม่สบายอยู่ที่โรงพยาบาล คุณไม่ไปเยี่ยมเลย เธอป่วยเพราะคุณนะ”
“คุณศามนไม่ใช่หมอ ถึงไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ โรคบ้านะคุณ รักษายากจะตาย”
เดือนแรมตอบแทน อนุกูลไม่สนใจหันไปว่าศามนต่อ
“แล้วงานการน่ะ ตกลงจะทำไหม ผมวุ่นทั้งวันเพราะคุณคนเดียว”
“ตกลงที่มาตามเพราะไม่อยากเหนื่อยว่างั้น ไหนบอกเป็นเพื่อน ช่วยๆกันหน่อยไม่ได้หรือไง” เดือนแรมถามอีก
“คุณมน นี่คุณเป็นอะไรไป คุณไม่ใช่คนแบบนี้นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนี้ไม่มีอะไรสู้คุณภาได้เลย ยิ่งคบยิ่งตกต่ำ รู้ตัวไหม”
เดือนแรมตวาดแว๊ด
“นี่มันจะมากไปแล้วนะ ทำเป็นว่าคนอื่น ตัวคุณดีแค่ไหนกันเชียว”
“ทำไม ตัวผมเป็นไง”
“ตอนแรก ฉันไม่อยากแฉหรอกนะ แต่ไหนๆก็ไหนๆ คุณมนฟังให้ดีนะคะ ผู้ชายคนนี้ เพื่อนคุณ กำลังสวมเขาคุณ เขามีอะไรกับเมียคุณมานานแล้ว”
“พูดพล่อยๆ”
เดือนแรมกดรูปจากมือถือของตนให้ดู
“นี่ไงคะหลักฐาน”
ศามนดูรูปแล้วตกใจมาก โกรธสุดๆ เขวี้ยงมือถือทิ้ง เข้าไปหาอนุกูล
“หนอยแก ไอ้คนชั่ว !”
ศามนต่อยอนุกูลร่วงลงไป วรรณศิกาและพัชนีร้องกรี๊ด
“คุณเป็นเพื่อนผม สวมเขาผม ทรยศผม ไอ้คนเลว”
“หยุดๆ ก่อนนี่มันอะไรกัน หยุดก่อนหยุด มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้นี่”
วรรณศิการีบเข้าไปขวาง ปกป้องอนุกูลไว้เพราะศามนทำท่าเหมือนจะเข้าไปต่อยอีก พัชนีหยิบมือถือจากพื้นขึ้นมาดูแล้วตกใจ เสียใจเมื่อเห็นภาพที่ชวนให้เข้าใจผิด อนุกูลรีบแย่งรูปไปดู
“นี่มัน!”
อนุกูลนึกถึงเหตุการณ์ที่เสื้อเขาเปียก แล้วรัมภาพามาเปลี่ยนที่เรือนใหญ่อย่างนึกไม่ถึงว่าจะถูกถ่ายรูปไว้
“ไหนดูซิ มันอะไรกันนักหนา” วรรณศิกาดึงไปดูแล้วสะดุ้ง “ชะอุ้ย!”
วรรณศิกาตกใจมากเช่นกัน
“ไสหัวออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว ก่อนที่ผมจะฆ่าคุณ” ศามนตวาด
“คุณนุ คุณกับคุณภา...ไม่ ฉันรู้จักคุณดี...นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด เข้าใจผิดใช่ไหมคุณนุ” วรรณศิกาถามร้อนรน
อนุกูลเกิดความคิดขึ้นมาว่า ควรจะหลอกให้ศามนหึง เพื่อให้ทิ้งเดือนแรมกลับไปหารัมภา จึงเดินไปหาศามน แล้วพูดยั่ว
“ทีตัวเองมีชู้ ทำได้…แต่พอเมียมีมั่ง โมโหงั้นหรือ”
พัชนีตกใจ คาดไม่ถึง
“คุณนุ...นี่หมายความว่า...”
“คุณนุ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ อย่าเพิ่งโชว์หมาในปากได้ไหม ถ้าไม่ได้ทำก็บอกเขาไปว่าไม่ได้ทำ เดี๋ยวก็ไปกันใหญ่หรอก แค่นี้ก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว” วรรณศิกาพยายามเตือน
“แน่จริงก็ปฏิเสธมาสิ ว่าคุณไม่มีอะไรกับรัมภา” เดือนแรมถาม
อนุกูลยืนนิ่งจนทุกคนงง วรรณศิกาลุ้น
“ตอบปฏิเสธไปสิ”
พัชนีหายใจไม่ทั่วท้องมองหน้าอนุกูล ลุ้นเช่นกัน
“แล้วถ้าผมมีอะไรกับคุณภาจริงๆล่ะ” อนุกูลย้อนถามหน้าตาเฉย
“โอย จะเป็นลม.. เฮ้อ”
วรรณศิกานั่งลงทันที พัชนีหน้าซีด ช็อค
“นั่นไง เห็นไหม” เดือนแรมสะใจ “พูดออกมาเองนะ”
“ใครๆก็รู้ ผมชื่นชมคุณรัมภาเมียคุณมาตั้งนานแล้ว”
“หนอย ไอ้เลว !”
ศามนพุ่งเข้ามา คราวนี้ อนุกูลไวกว่าต่อยสวนเปรี้ยงเข้าหน้าศามนเซลงไป
“อ๊าย คุณนุ”
เดือนแรมพุ่งเข้าไปหาศามนที่ลงไปกองที่พื้นแล้ว
“ฟังนะ ถ้าคุณรักเมียคุณ หวงเมียคุณ ก็เลิกกับผู้หญิงคนนี้ซะ ไม่งั้น ผมจะแย่งคุณรัมภาไปจากคุณ”
“ไอ้อนุกูลแก!”
ศามนเข้ามา ต่อยไปอีก อนุกูลหลบคล่องแคล่วกว่า ศามนต่อยพลาดเซไปโดนอีกมุม ข้าวของแถวนั้นแตกกระจายแล้วล้มลงกับพื้น วรรณศิกากับเดือนแรมร้องวี้ด
“ฮึ คนเรามีของดีอยู่ในมือ เห็นเขาไม่ดิ้น ก็เลยคิดว่าเป็นของตาย ถ้ามันไม่หายคงไม่มีวันรู้สึกสินะ เอาเลยโง่ให้พอ คนอื่นเขาจะได้ครอบครองของชิ้นนั้นบ้าง”
ศามนชี้หน้าด่า
“แกมันโรคจิต ไอ้คนโรคจิต ชอบยุ่งกับเมียชาวบ้าน”
อนุกูลยักไหล่ แล้วเดินออกไป
“ฮือ นี่มันอะไรกันเนี่ย คุณนุ...คุณนุ...”
วรรณศิกากับพัชนีเดินตามไป เดือนแรม รีบเข้าไปหาศามน ที่ยืนโกรธจัดอยู่กับพื้น
“คุณศามน เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ...โธ่”
อนุกูลเดินออกมาระบายอารมณ์โมโห ที่หน้าเรือนเล็ก
“โธ่โว้ย...เซ็งจริงๆ”
วรรณศิกากับพัชนีเดินตามมา
“คุณนุ นี่มันอะไรกัน มันเป็นเรื่องจริงหรือ แล้วคุณกับหนูพัชล่ะ”
“พัช !”
อนุกูลตกใจเพิ่งนึกออก เมื่อกี๊ทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบเลยลืมนึกเรื่องพัชนีไป พัชนียืนหน้าเสียเหมือนจะร้องไห้
“มันยังไงกัน คุณกับคุณภา คุณกับหนูพัช”
“พัชบอกแล้วไงคะ ว่าคุณนุน่ะเขาชอบแกล้งพัช เขาเห็นพัชโง่ๆ เซ่อๆเขาก็แกล้งเล่นเหมือนทุกครั้งนั่นแหละค่ะ !”
พัชนีพูดเสร็จเดินหนี
“หา...ตกลงว่าไง ฉันงงไปหมดแล้ว อะไรจริง อะไรไม่จริงบอกมาได้ไหม”
อนุกูลหันหนี ไม่พูด ยังโมโหไม่หาย ตอนนี้มีแต่เป็นห่วงรัมภาและเด็กๆ ขณะที่พัชนีเมื่อกลับถึงบ้าน ก็นั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจ เพราะหลงรักอนุกูลเหมือนกัน
วันต่อมา...อนุกูลนั่งคุยงานกับพนักงานในห้องทำงานของศามน พัชนีนั่งห่างไป คอยค้นเอกสารให้ เป็นผู้ช่วยอนุกูลอีกที
“นี่ครับ เรื่องงบประมาณอยู่นี่ คุณนุลองดูให้ที”
อนุกูลดูเอกสาร
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้คงต้องรอคุณศามน”
“รอไม่ไหวแล้วนะครับ เกือบอาทิตย์แล้ว ถ้าไม่เซ็นเบิกเงินมาให้ ฝ่ายเราก็เริ่มงานไม่ได้”
“แต่ผมไม่มีอำนาจ...โฮ้ย เบื่อจริงโว้ย คุณพัช เอาเบอร์คุณชิน ฝ่ายการเงินมาที เดี๋ยวเอางบที่อื่นมาให้ก่อน”
พัชนีเหม่อ อนุกูลเสียงดังขึ้น
“คุณพัช...เบอร์ฝ่ายการเงิน!”
“เอ้อ ขอโทษค่ะ”
พัชนีค้นสมุดโทรศัพท์ ยื่นให้ อนุกูลพูดด้วยเบาๆ
“เป็นอะไรไป เหวอตั้งแต่เช้าแระ”
“ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ เดี๋ยวเอาใหม่ค่ะ”
อนุกูลแอบยิ้มเอ็นดู รู้สึกดีใจที่พัชนีดูจะมีอาการ ยิ่งมีอาการ แสดงว่ายิ่งชอบตนมาก อนุกูลเก๊กหน้าดุ
เข้าไปใกล้กระซิบ แกล้งดุ
“ช่วยแยกเรื่องส่วนตัว กับเรื่องงานให้ออกจากกันหน่อยนะ”
พัชนีเข้าใจไปว่าดุ เลยจ๋อยๆ
“ค่ะๆ”
อนุกูลแอบยิ้มขำ
อ่านต่อหน้า 2
บ่วง ตอนที่ 10 (ต่อ)
ช่วงเที่ยง...พัชนีนั่งกินอาหารจานเดียวของตนอยู่มุมหนึ่ง อนุกูลก็นั่งกินอาหารจานเดียวของตนอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง วรรณศิกาเดินมานั่งที่โต๊ะอนุกูล
“นี่ ทำไมยายนั่นไปนั่งคนเดียวล่ะ” อนุกูลถาม
“ก็ทำตามคำสั่งคุณไง หนูพัชบอกว่าเขาอยากจะแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน ช่วงนี้ เขาขอกินข้าวคนเดียวสักพัก ฉันว่าก็ดีเหมือนกัน”
“กินคนเดียวแล้วมันช่วยตรงไหน”
“เอ๊า ห่างๆกันหน่อย จะได้ทำใจได้ไง”
“ทำใจเหรอ...อื้อ ยังไงก็ไม่ถูก คุณไปตามเขามานั่งกับผมที”
วรรณศิกาเบื่อ รู้สึกอนุกูลใจร้ายกับพัชนีเกินไป
“คุณนุ เราสองคนสนิทกัน เวลางานฉันนับถือว่าคุณเป็นนาย เวลาเลิกงาน คุณนับถือฉันเป็นพี่สาวถูกไหม”
“ก็ถูก”
วรรณศิกามองไปรอบๆ แล้วเดินไปยืนข้างๆอนุกูล
“ในร้านนี้ไม่มีพนักงานคนอื่น แล้วก็เป็นเวลาพักไม่ใช่เวลางาน ขอสักทีเถอะ”
วรรณศิกาตบหัวอนุกูลหน้าคว่ำเปรี้ยง!
“เฮ้ย หน้าเกือบจะทิ่มข้าวอยู่แล้ว คุณเป็นเลขาผมนะ นับถือกันหน่อยสิ ไม่กลัวถูกไล่ออกหรือไงถามจริง”
“ก็บอกแล้วไง ผัวรวย อยากไล่ก็ไล่สิ ไล่เลย ไล่เดี๋ยวนี้”
อนุกูลคิดๆ
“...โธ่โว้ย”
อนุกูลไม่กล้าไล่จริงๆด้วย ได้แต่เซ็งโวยวาย
“หัวใจผู้หญิงไม่ใช่ผักใช่ปลานะ สงสารเขามั่ง แล้วไอ้ที่ไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้านนั่นอีก โฮ้ย เป็นน้องนุ่งแท้ๆ เตะตูดโด่งออกไปโน่นแล้ว เฮ้ย ยิ่งพูดยิ่งแค้น ....” วรรณหันไปบอกในร้าน “น้องพี่ไม่เอาแล้วนะ จะไปกินร้านอื่น”
วรรณศิกาหัวเสียออกไป อนุกูลยิ้มร้ายมองไปที่พัชนี เห็นเขามีอารมณ์เสียใจยิ่งสนุก เพราะแสดงว่าชอบตัวเองมาก อนุกูลยกจานอาหารของตัวเดินไปนั่งโต๊ะเดียวกัน พัชนีเงยหน้าขึ้น โกรธไม่พูด เธอยกจานอาหารของตนไปวางอีกโต๊ะ หนีอีก ยังไงก็ไม่ร่วมโต๊ะด้วย
อนุกูลไม่ลดละ ยกจานของตัวเอง ตามไปนั่งตรงหน้าอีก พัชนี ถอนใจหยิบเงินวางให้แล้วเดินออกไป ไม่กงไม่กินมันแล้ว อนุกูลแอบขำสะใจ
รัมภานอนหลับไป...คุณหญิงอบเชยลูบหัวลูกสาวอย่างสงสาร พยายามปลอบใจ
“เวลาที่น่าแค้นใจที่สุด ก็คือเวลาที่ความดีพ่ายแพ้ เมื่อคนดีเจ็บปวดเพราะคนไม่ดี”
“คุณแม่ขา”
คุณหญิงหันไป จิตของรัมภามายืนอยู่ข้างหลัง เวลานี้ร่างรัมภานอนหลับ แต่จิตออกมาคุยกับคุณหญิงในรูปขอเงความฝัน
“ลูกเหนื่อยที่จะคิด เหนื่อยที่จะเจ็บ ไม่อยากแม้กระทั่งหายใจ ลูกไม่ไหวแล้ว”
รัมภาร้องไห้เข้าไปกอดคุณหญิง
“ลูกจ๋า ลูกต้องอดทน ลูกต้องลุกขึ้นสู้นะ เวลาทุกข์หนักนี่แหละ เวลาของการ พิสูจน์ความดี พิสูจน์ใจที่เข้มแข็งของผู้ชนะ ชื่นกลิ่นต้องชนะนางแพงให้ได้”
รัมภาร้องไห้ส่ายหน้า อ่อนแอถึงที่สุดแล้วในเวลานี้
“ไม่ไหว...ไม่ไหวแล้วจริงๆค่ะคุณแม่ ถ้าคุณแม่อยากให้ลูกดีขึ้น คุณแม่ต้องบอกวิธีลูก เพราะตอนนี้ หนูอับจนหนทาง จนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว”
“ลูกบ่นว่าอยากตาย หากลูกตายไปจริงๆ เด็กสองคนนั้นจะเป็นยังไง เคยคิดไหม”
“รัสตี้ ไลล่า”
รัมภาตกใจ นึกห่วงลูก
ที่เรือนใหญ่ รัสตี้ กับไลล่านั่งกินอาหารเย็นอยู่ บุญสืบคอยดูแลอย่างเป็นห่วง เพราะทั้งสองคนเศร้าซึมมาก
“ทำไมวันนี้ อานุ ไม่มาล่ะครับ” รัสตี้หันมาถาม
“คุณนุ คุณพัชมีประชุมถึงดึกครับ”
“ในที่สุดก็ลืมเรา เหมือนพ่อกับแม่” ไลล่าบอกเศร้าๆ
“ไม่มีใครลืมคุณหนูหรอกค่ะ อย่าคิดมากนะ กินข้าวซะ วันนี้มีละครตอนอวสานด้วย เดี๋ยวกินข้าว นั่งดูละคร แล้วก็นอน ตื่นมาก็ไปโรงเรียน ไม่ต้องคิดมากนะ”
บุญสืบเห็นเด็กทั้งสองกินข้าวอยู่ก็เลยแว่บออกไป
คำกับหล้า อาบน้ำประแป้ง นั่งดูละครเครื่องที่เปิดไว้ในครัว บุญสืบวิ่งมานั่งข้างๆ เข้ามาสนใจทีวี ไม่สนใจอย่างอื่น
“มาหรือยัง มาหรือยัง...”
ทางด้านรัสตี้ กับไลล่ากินข้าวไปสักพักก็หยุด กินไม่ลงแล้ว น้ำตาคลอขึ้นมา
“ไลล่าคิดถึงแด๊ดดี้ คิดถึงหม่ามี้”
“อานุสั่งไม่ให้ไปเรือนเล็กไง”
“ไลล่าจะไป ไปหาแด๊ดดี้”
ไลล่าเสียงสั่น ลงไปจากเก้าอี้ เดินออกไปเลย
“ไลล่า นี่มันมืดแล้วนะ ไลล่า”
รัสตี้จำต้องเดินตามไป ทั้งคู่เดินออกไปผ่านห้องครัว บุญสืบ คำ หล้านั่งดูทีวีอยู่ จึงไม่รู้ว่าเด็กทั้งสองคนไปแล้ว
ที่เรือนเล็ก...เดือนแรมดูอาหารให้ศามน ขณะที่ศามนนั่งเครียดคิดเรื่องรัมภาอยู่
“เอาล่ะ เรียบร้อย ทานเลยค่ะ คุณมน”
“คุณรัมภากับอนุกูลเนี่ยนะ” ศามนพึมพำ
“ไปคิดถึงคนชั่วพวกนั้นทำไมกัน ทานข้าวเถอะค่ะ”
ศามนนั่งเครียดอย่างทั้งกลุ้ม ทั้งแค้น
รัสตี้ กับไลล่าเดินมาถึงเรือนเล็ก ดีดี้ออกมาเห็น
“เอ๊า คุณหนูมาทำไมคะ”
“มาหาแด๊ดดี้ อยู่ข้างในหรือคะ”
“นี่ไม่ได้นะคะ กลับไปเรือนใหญ่ดีกว่า ไว้รอแด๊ดดี้ไปหาเองนะคะ ไปไป๊”
รัสตี้ตะโกนเรียก
“แด๊ดดี้ แด๊ดดี้ครับ !”
ศามนได้ยินเสียงลูก รีบลุกขึ้นจะเดินออกไปทันที
“ลูก!”
“คุณมน”
ทันใดแพงพุ่งเข้ามาประชิดหน้าศามน พร้อมควันสีดำและเสียงสวดมนต์
“ไปไม่ได้ ยังไงก็ไปไม่ได้”
ศามนเจ็บจี๊ดขึ้นมา
“โอ๊ย ปวดหัว”
เดือนแรมรีบออกไปทันที จะไปไล่เด็ก ขณะที่ไลล่าช่วยรัสตี้เรียกเข้าไปในบ้าน
“แด๊ดดี้ แด๊ดดี้” ไลล่าตะโกน
“ไปหาแด๊ดดี้ข้างในดีกว่า”
ทั้งสองเดินไป เดือนแรมออกมาดักหน้าไม่ให้เข้า
“จะไปไหนกัน”
“น้าเดือน เราสองคนจะไปหาแดดดี้ค่ะ”
“ไปไม่ได้ “
“ทำไมล่ะครับ”
“แด๊ดดี้เขาไม่อยากพบหน้าเธอสองคนน่ะสิ”
ไลล่าหน้าเสีย ไลล่าเป็นเด็กขี้อ้อน เรื่องพวกนี้ทำให้เสียใจมากกว่ารัสตี้
“จริงหรือรัสตี้...” ไลล่าจะร้องไห้แล้ว
“ไม่จริงหรอก ไปเถอะไลล่า”
รัสตี้ลากไลล่าเข้าไป เดือนแรมเข้ามามองเด็กทั้งสอง ไม่แกล้งทำเป็นใจดีแล้วเพราะจริงๆเกลียดเด็กทั้งสองไม่อยากให้มายุ่ง
“นี่ฟังนะ การมีลูกน่ะ คนเป็นพ่อเป็นแม่เหนื่อยแค่ไหนรู้ไหม ทำงานหนัก หาเงินมา เป็นค่าเทอมค่าข้าว เวลาส่วนตัวก็ไม่มี อยู่กับเด็กน่ะโยเย งอแงน่าเบื่อจะตาย!”
ไลล่าร้องไห้โฮออกมาทันที
“ฮือ ไม่จริง ไม่จริง”
“จริง จริงที่สุด” เดือนแรมมองเด็กๆอย่างเกลียดชัง
ไลล่ายกมือปิดหู เป็นความสะเทือนใจอย่างที่สุดในชีวิตสำหรับเด็กทั้งสองคน รัสตี้กัดฟัน น้อยใจ
“ไม่จริง น้าเดือนโกหก พ่อรักหนู...แด๊ดดี้...แด๊ดดี้อยู่ไหน ไลล่าจะหาแด๊ดดี้”
ไลล่าร้องไห้โฮลั่นน่าสงสารดีดี้เข้าไปจับแขน ดุ ไม่มีน้ำใจเหมือนนายของมัน
“นี่ กลับไปซะ กลับเรือนใหญ่ไปเลยทั้งสองคนนั่นล่ะ เดี๋ยวน้าจะพาไป มาๆ ไปกับน้า”
“ไม่ ไลล่า ไม่ไป”
ไลล่ายังยืนร้องไห้อย่างสะเทือนใจอยู่ตรงหน้า รัสตี้แค้นมองเดือนแรม น้ำตาคลอ
ศามนยังยืนเผชิญหน้ากับแพง สามัญสำนึกผลักให้เดินไปด้วยความเป็นห่วงลูก
“ลูก ลูกพ่อ...” ศามนมีอาการปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ
แพงมองหน้า เสียงสวดมนต์กำกับมีมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของแพงกลายเป็นสีแดง แสดงอำนาจที่มากที่สุด
ทำให้ศามน ปวดหัวจนเป็นลมสลบ ล้มทั้งยืน โครมลงไปที่พื้น
ด้านนอก...รัสตี้กับไลล่ายังคงยืนร้องไห้ เดือนแรมตวาด
“ยัง...ยังจะดื้ออีก ดื้ออย่างนี้ไง พ่อแม่ถึงหนีไปหมด พ่อของเธอทะเลาะกับแม่ของเธอ อีกไม่นานก็คงเลิกกัน”
ไลล่านั่งลงปิดหู คร่ำครวญทนไม่ไหว
“ไม่...ไม่จริง ฮือ”
“ไม่...ไม่จริง แด๊ดดี้ไม่มีวันเลิกกับหม่ามี้” รัสตี้ครวญเช่นกัน
“มีสิ ก็เพราะจะเลิกกันนี่ไงล่ะ แม่ของเธอก็เลยเสียใจจนไปอยู่โรงพยาบาล ตอนนี้ใครๆก็ลืมเธอกันไปหมด รู้อย่างนี้แล้ว ทำตัวดีๆ เชื่อฟังคำสั่งของฉันจะดีกว่านะ”
“ไม่ แด๊ดดี้กับหม่ามี้ไม่ได้เลิกกัน ไม่”
ไลล่ายังนั่งร้องไห้คร่ำครวญ
“ฮือ แดดดี้...ไลล่าจะหาแดดดี้ จะหาหม่ามี้ ฮื้อ”
“เอ๊าร้องไห้เข้าไป นี่ล่ะ พวกผู้ใหญ่เขาถึงเบื่อพวกเธอ ถ้ารักพ่อ ก็ปล่อยพ่อเขาไปบ้าง ทีหลังไม่ต้องมาบ้านนี้อีก ปล่อยให้พ่อเธอพักผ่อนที่นี่ อย่ามารบกวนได้ยินไหม”
เดือนแรมหันไปพยักหน้าให้ ดีดี้เข้าไปลากทั้งสองคน ออกไปนอกบ้าน
“มานี่ มาค่ะ ดีดี้จะพาไปส่งเรือนใหญ่...มานี่”
ดีดี้จูงไลล่าที่ร้องไห้และรัสตี้ที่น้ำตาคลอ ผลักเข้าไปในเรือนใหญ่
“เข้าบ้านไป อย่าไปเรือนเล็กอีกนะ ไม่งั้นโดนดีแน่”
ดีดี้ขู่แล้วกลับไป
“ฮือ หม่ามี้ ไลล่าจะไปหาหม่ามี้”
ไลล่าไม่หยุด ยังร้องไห้โฮ จะเดินออกไปจากบ้านอีก จนรัสตี้งง เข้าไปจับแขนไว้
“นี่จะไปไหน”
“ไลล่าจะไปหาหม่ามี้ ไลล่าไม่เชื่อหรอกว่าแด๊ดดี้กับหม่ามี้ไม่รักเรา ไลล่าไม่เชื่อ”
“จะไปได้ยังไงเล่า ไว้รออานุมาก่อน ให้อานุขับรถพาไป”
“ ไม่...ไลล่าไม่รอ...ไลล่าจะไปหาหม่ามี้”
ไลล่าสะบัดแขนหลุดออก เดินดุ่ยๆออกไปทันที
“ไลล่า ไลล่าเดี๋ยวสิ”
รัสตี้คิดอะไรได้ วิ่งไปเปิดลิ้นชักหยิบเงินสดได้แบงก์ห้าร้อยมา แล้วหยิบเครื่องเล่นเกม แล้วรีบวิ่งตามไลล่าไป
ไลล่ากับรัสตี้เดินมาถึงถนนใหญ่ ไลล่ายังร้องไห้มาตลอด
“หม่ามี้ หม่ามี้”
รัสตี้คอยจูงมือไลล่าไว้
“นี่เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆ เราต้องเรียกแท็กซี่ก่อน”
รถแท็กซี่ขับผ่านมา รัสตี้กวักมือเรียก รถจอด รัสตี้เข้าไปเปิดประตู บอกชื่อโรงพยาบาลที่จะไป คนขับแท็กซี่มองหา
“ไม่มีผู้ใหญ่มาด้วยหรือ”
“นี่ไง เรามีเงิน” รัสตี้ชูแบงก์ให้ดู
“พ่อแม่หนู อยู่ไหนเนี่ย”
รัสตี้วางท่าเป็นผู้ใหญ่ ทำท่าดุ
“ไม่ไปใช่ไหม งั้นก็เชิญครับ เราจะได้เรียกคันอื่น”
“เอ๊าๆ ขึ้นมา!” คนขับแท็กซี่บอก
เด็กทั้งสองขึ้นรถไป รถแล่นออกไป
อนุกูลเป็นประธานการประชุมกับพนักงานระดับสูง แทนศามนในห้องประชุม เขาบอกทุกคน
“เรื่องการผลิตที่จะเพิ่มขึ้น ผมคงต้องขอความช่วยเหลือให้ดูเอกสารหน้า 10”
วรรณศิกาที่ประชุมอยู่ด้วย คุยเสียงเบากับพัชนีที่นั่งข้างๆ
“โห...สามทุ่มแล้ว โทรไปหาเด็กๆหรือยังล่ะพัช”
“โทรไปเมื่อเย็นทีหนึ่งแล้ว อืม เดี๋ยวโทรอีกทีก็ได้ค่ะ !”
พัชนีเดินออกไป
คำ หล้า และบุญสืบ ยังนั่งดูทีวีติดจอสนุกสนานอยู่ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นอยู่ที่เดิม เสียงโทรศัพท์ไร้สายดังขึ้น คำไม่อยากรับสาย
“ ไอ้บุญสืบไปรับสิ”
บุญสืบค้อนๆ ถูกขัดจังหวะ
“โหยกำลังมันส์ ใครโทรมาตอนนี้วะ...ฮัลโหล อ๋อ คุณพัชหรือครับ เรียบร้อยดีครับ เด็กๆกินข้าวอยู่ ป่านนี้คงเสร็จขึ้นห้องนอนไปแล้ว”
“ขอสายเด็กๆหน่อยสิจ๊ะ”
“อ๋อได้ครับ”
บุญสืบเดินออกไปหาเด็กๆ ตามมุมต่างๆ แต่ไม่เจอ
“รอเดี๋ยวนะครับสงสัยอยู่บนห้องนอน”
บุญสืบบอกแล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอน พลางร้องเรียก
“คุณหนู น้าพัชโทรมาครับ....แย่แล้วคุณหนู...คุณหนูหายไป!”
บุญสืบร้องอย่างตกใจ
คนขับแท็กซี่ขับพาเด็กไป ตามองมาที่เด็กสองคนผ่านกระจกมองหลัง รัสตี้ยังเล่นเกมอยู่
“จะไปที่โรงพยาบาลทำไม” คนขับถาม
“ไปหาแม่”
“ไปกันแค่สองคนหรือ แล้วไปเอาเงินมาจากไหน”
“ถามมากจัง อยากรู้ไปทำไมครับ” รัสตี้เสียงเข้ม
“แหม แค่นี้ถามไม่ได้ ต้องดุด้วย แล้วเอาเงินที่บ้านมาเยอะป่ะ แล้วนั่นเกมอะไร แพงไหม”
รัสตี้หน้าเสีย รีบเอาเกมไปซ่อนข้างหลัง จิตที่ชอบแต่งเรื่องของรัสตี้เกิดภาพในจินตนาการ เห็นคนขับ หน้าดุแดงกล่ำเหมือนยักษ์ แสงสีน่ากลัว แล้วหยิบปืนยาว เอาออกมาขู่ เด็กทั้งสอง
“เอาเงินมา เอาเกมมา ไม่งั้นแกตาย!”
รัสตี้สะดุ้ง ขณะเดียวกันคนขับแท็กซี่ขับรถฮัมเพลงสบายใจ ไม่ได้มีทีท่าแบบที่รัสตี้คิดไปเอง รัสตี้กลัวมาก ตัวแข็ง ไลล่าลง
“มีอะไรหรือรัสตี้”
รัสตี้กระซิบบอก
“คนชั่ว แท็กซี่คนนี้เป็นคนร้าย”
“จริงหรือ!”
เด็กทั้งสองประหวั่นมองไปที่คนขับแท็กซี่ เกิดความกลัวขึ้นมาหน้าซีดเข้ามานั่งเบียดกัน
จิตของรัมภานั่งอยู่กับคุณหญิงอบเชย ที่พยายามพูดให้คิด...
“ภาระที่ติดตัวอยู่กับผู้หญิงทุกคน ทุกสมัยคือภาระความเป็นแม่ เพราะมีลูก แม่จึงไม่เคยมีชีวิตของตนเอง เพราะมีลูกนี่เอง แม่ทุกคนจึงมีความอดทนสูงยิ่งกว่าผู้ชาย”
“รัสตี้ ไลล่า” รัมภาคิดถึงลูกขึ้นมาแล้วน้ำตาคลอ
“คิดถึงลูกเอาไว้ แล้วแม่ชื่นจะชนะนังแพง”
“คิดถึงลูกเอาไว้หรือคะ วิธีที่จะชนะผีร้ายตนนั้น”
คุณหญิงพยักหน้า
“เมื่อสมัยก่อน ในเวลาที่คุณหลวงหลงใหลอีแพง จนไม่อยากกลับมาหาชื่นกลิ่น เวลานั้นลูกอ่อนแอเหมือนอย่างนี้”
“อ่อนแอเหมือนอย่างนี้ เคยเจ็บปวดเพราะผู้ชายคนเดียวกันเหมือนตอนนี้ ทั้งในชาติอดีตและชาตินี้เลยหรือคะ” “ใช่ เจ็บป่วย กินไม่ได้นอนไม่หลับเหมือนกัน”
“ตอนชาติที่แล้ว ลูกฆ่าตัวตายไปหรือเปล่าคะ”
“ไม่...ไม่เลย เวลานั้น ลูกชื่นกลิ่นของแม่ กลับมาเข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง ลูกเหมือน ผู้หญิงทุกๆคน เข้มแข็งขึ้น เพราะหน้าที่ความเป็นแม่”
“หน้าที่ความเป็นแม่ นี่หมายความว่า”
“แม่จะเล่าเรื่องในเวลานั้นให้ฟัง!”
ในอดีต...แพงวางตัวเป็นคุณนายเหมือนชื่นกลิ่น นั่งวางท่าเชิดเริ่ดกินอาหารกับหลวงภักดีบทมาลย์ มีนวลเป็นบ่าวรับใช้จงรักภักดี ดูแลอยู่ข้างๆ
“พริกน้ำปลาของคุณหลวง”
“มาแล้ว นวลทำไว้แล้วเจ้าค่ะ นี่ค่ะ” นวลวางให้
“น้ำส้มของฉัน”
“คั้นไว้แล้วค่ะ นี่ค่ะ” นวลวางให้
“ดีมาก!”
นวลเดินออกไป กล้าเดินมาดู ค่อนขอดตรงไปตรงมา
“อยู่บ้านใหญ่ ใส่เสื้อผ้าสวยๆ ดื่มน้ำส้ม มีบ่าวให้ใช้งาน ตอนนี้คุณมีทุกอย่างเหมือนคุณชื่นเลยสินะ”
แพงยิ้มเยาะ
“มีเหมือนกันน่ะ ไม่พอหรอก ต้องมีเหนือกว่า”
“เหนือกว่า?”
“มีทายาทไง คุณหลวงอยู่กับแพงทั้งวันทั้งคืน ยังไงก็ต้องท้อง เมื่อแพงมีทายาท แพงก็จะกลับบ้านเดิมคุณหลวง แม่ของคุณหลวงต่อให้ดุแค่ไหน ก็ต้องยอมรับหลาน ถึงเวลานั้น แพงก็จะได้เป็นเมียหนึ่งเมียเดียวของคุณหลวง”
กล้าไม่เชื่อ สีหน้าเยาะ หันหลังให้ พึมพำ
“แผนการยาวไกล ฮึ...พระเจ้าจะเข้าข้างคนเลวอย่างเอ็งขนาดนั้นเชียวรึนังแพง”
นวลเดินผ่านหน้ากล้าถือถาดใหญ่ใส่ของดองเช่น มะม่วง มะดัน มะขาม ผ่านหน้ากล้าไป กล้ามองตามตกใจ
“ของที่คุณแพงสั่งมาแล้วค่ะ” นวลวางให้ตรงหน้า
“ทำไมวันนี้กินของพวกนี้ล่ะ อื๋อ ... เปรี้ยวๆทั้งนั้นเลย” หลวงภักดีถาม
“ก็แพงอยากกินนี่คะ จู่ๆตื่นเช้ามาก็อยากกิน คุณหลวงกินข้าวไปคนเดียวนะ แพงมีของพวกนี้ก็อิ่มแล้ว” แพง กิน “อืม....อร่อยๆ”
แพงหันมายิ้มเยาะ กล้าเห็นแล้วแค้นใจ
บนเรือนใหญ่...ชื่นกลิ่นนั่งอยู่บนเตียงรอหมอมา ไม่ได้ป่วยมาก แค่อ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรง บัวสวรรค์นั่งเป็นเพื่อน ขณะที่คุณหญิงเดินนำหมอเข้ามา
“ช่วยด้วยเถอะค่ะคุณหมอ ลูกอิฉันน่ะ กินอะไรก็อาเจียนออกมาหมดเป็นอย่างนี้มาหลายอาทิตย์แล้ว”
หมอตรวจหน้าตา ชีพจร
“มีไข้หรือเปล่าครับ”
“ไม่มีค่ะ แค่เอ้อ...มีเรื่องไม่สบายใจ”
หมอเอาหูฟังไปตรวจท้องแล้วยิ้มออกมา
“ไม่ใช่ความเครียดหรอกครับ หมอดีใจด้วย คุณตั้งท้องน่ะครับ !”
ชื่นกลิ่นดีใจ
“ท้อง!”
คุณหญิงกังวล
“ลูกชื่นท้องงั้นรึ นี่แสดงว่าที่ทานข้าวไม่ได้มานมนาน ที่กินแล้วอ้วกออกมานี่เพราะท้อง ไม่ใช่เพราะเสียใจรึ”
หมอพยักหน้า บัวสวรรค์ดีใจ
“พี่ชื่น…บัวดีใจด้วยนะคะ”
“ท้อง....กำลังจะมีลูก ลูกของคุณหลวง!”
รัมภายิ้มอย่างสุขใจ
อ่านต่อหน้า 3
บ่วง ตอนที่ 10 (ต่อ)
ในอดีต...แพงเดินเฉิดฉายเข้ามาหาพึ่งและติ่ง ที่ทำงานจำพวกเด็ดผักอยู่ในครัว นวลเดินตามมาในฐานะบ่าวผู้ภักดี
“ฉันเอาเงินมาให้แม่” แพงยื่นให้
“โห เท่าไหร่น่ะ” ติ่งเข้าไปใกล้แพง
“เอ๊ะอีนี่ ห่างๆคุณแพงหน่อย” นวลตวาด
ติ่งมองไม่พอใจ
“เรียกคุณแพงเชียวหรือ จิ้งจกเปลี่ยนสีจริงนะเอ็ง เมื่อก่อนเกลียดนังแพงอย่างกับอะไรดี”
นวลตบหน้าติ่งเปรี้ยง ติ่งตกใจมาก สีหน้านวลจงรักภักดีสุดจิตสุดใจ ดุติ่งจริงจังมาก จนติ่งกลัว
“บอกให้เรียกคุณแพง...คุณแพง ไม่ได้ยินหรือ”
“เงินที่ได้มาจากกองน้ำตาของผู้มีพระคุณ เอ็งอยากเอา เอาไปคนเดียวเถอะ ข้าไม่อยากตกนรกด้วย ข้าไม่อยากยุ่งกับเอ็ง”
พึ่งเดินหนีไปทำงานมุมอื่นไม่สนใจแพง
“เอ๊ะ แม่นี่ ฟังนะ ฉันน่ะกำลังท้องลูกคุณหลวง อีกหน่อยแม่ต้องมาช่วยฉันเลี้ยงลูกคุณหลวง แม่จะทิ้งฉัน ไม่ยุ่งกับฉันไม่ได้นะ”
พึ่งชะงักไป ยอมหันมาสนใจแพง
“เอ็งไปหาหมอมาแล้วหรือ”
พึ่งถาม แพงส่ายหน้า
“แล้วเอ็งรู้ได้ยังไง”
“ประจำเดือนฉันไม่มา สองอาทิตย์แล้ว”
“ประจำเดือนไม่มาแค่นี้ ไม่เห็นต้องท้องนี่”
“ก็ฉันอยากกินของเปรี้ยวนี่ ฉันรู้เอง ฉันมั่นใจ ฉันท้องแน่ๆ”
“คุณหลวงยังไม่มีลูก ครอบครัวคุณหลวงหรือแม้แต่ตัวคุณหลวงเอง จะต้องเห่อหลานคนแรกคนนี้” นวลบอกแล้วเดินไปเอาจานของดองจากตู้กับข้าว
“ใช่ เด็กคนนี้แหล่ะ จะทำให้ทั้งฉันและแม่ สบายไปตลอดชีวิต เฮ้อ...ไม่รู้ทำไมฉันรู้สึกเสียด้วยสิ ว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กผู้ชาย ถึงขนาดนี้แล้ว แม่ยังจะดื้ออีกทำไมกัน”
“ของที่คุณแพงชอบมาแล้วค่ะ”
นวลยกจานของดองมาให้ เพ็ญเดินมาจากไหนไม่รู้มาแย่งไป
“เอ๊ะ น้าเพ็ญ”
เพ็ญยิ้มร้ายถือจานของดองเข้าไปใกล้ แกล้งทำท่านอบน้อมกับแพง
“อุ๊ยต๊าย ทายาทคนแรกของคุณหลวงชอบกินของพรรค์นี้หรือเจ้าคะ คุณแพง”
“หา น้าเพ็ญก็เรียกนังแพงว่าคุณเหรอ” ติ่งตกใจ
“เอ๊า ก็ต้องเรียกสิจ๊ะ เขาไม่ใช่นางบำเรอ ไม่ใช่นางโสเภณีแล้ว เอ็งไม่เรียกคุณแพงตอนนี้แล้วจะเรียกตอนไหน มีลูกให้คุณหลวงเชียวนะโว้ย…คุณแพงเจ้าขาอาหารว่างมาแล้วเจ้าค่ะ”
แพงยิ้มอย่างพอใจ
“ฮึ น้าเพ็ญนี่ฉลาด รู้ทางลมเป็นเยี่ยม ไปรับใช้ทำไมกับคุณหญิงอบเชย มารับใช้ฉันนี่ ฉันจะดูแลน้า ดูแลทุกคนให้ดียิ่งกว่าคุณหญิงอีก”
“ฮู้ยจริงเจ้าค่ะ ดิฉันจะรับใช้อย่างดี เอาแบบถวายหัวเลย ถวายหัวยังไงรู้ไหมคะ นี่ไง!”
เพ็ญยกจานของดองเทราดใส่หัวแพงเต็มๆ
“อ๊าย นังเพ็ญ นี่มึง หนอย มึงตายเสียเถอะ”
แพงตบเพ็ญเปรี้ยงกระเด็นไป แต่พอหันมา เจอคุณหญิงอบเชยมายืนอยู่ข้างหลัง คุณหญิงเข้าไปตบแพงเปรี้ยงเอาคืนแบบฉับพลันทันใด!!
“อีคุณหญิง !”
“ที่กูเข้ามานี่ เพราะจะมาดับฝันมึง! หมอเขายืนยันว่าคุณชื่นกลิ่นท้องได้สองเดือนว่าแล้ว คุณชื่นกลิ่นท้องได้ยินไหมอีแพง!”
เพ็ญเข้าไปหัวเราะเยาะ
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า ขอหัวเราะคนชั่วให้สะใจหน่อยเถอะวะ”
“คุณชื่นกลิ่นท้อง” แพงยังตะลึงอยู่
“ใช่ คุณชื่นกลิ่นท้อง ทายาทของคุณหลวงมาเกิดกับคุณชื่นกลิ่นไม่ใช่มาเกิดกับคนเลวอย่างมึง คุณหลวงกับคุณชื่นกลิ่นทำบุญมาร่วมกัน ขนาดมีมารมาผจญ ก็ยังมีเด็กตามมาเกิด มาผูกพันคนทั้งสองเอาไว้ด้วยกันอีก อีแพงเอ๊ย ชะตามึงขาดแน่คราวนี้”
“ไม่! ไม่จริง! แพงต่างหากที่ท้องลูกคุณหลวง”
“เหรอ ประจำเดือนขาดเล็กๆน้อยๆ อยากกินของเปรี้ยวนิดๆหน่อยๆ เอ็งก็คิดแล้วหรือ ว่าเอ็งท้อง ถุย อีคนช่างฝัน ฝันกลางวัน คิดไปเองทั้งนั้น”
“ไม่ ไม่จริง อีแพงจะไปหาหมอ จะไปตรวจ อีแพงต่างหากที่ตั้งท้อง ไม่ใช่คุณชื่น ไม่ใช่! นังนวล ไปตามไอ้มิ่งมาขับรถพาข้าไปสุขศาลา พาข้าไปเดี๋ยวนี้ !”
“เจ้าค่ะ เดี๋ยวไปเลยเจ้าค่ะ ไปสุขศาลา ไปตรวจท้อง ไปตรวจท้อง”
นวลรีบไปจัดการตามคำสั่ง
“ฉันจะกลับมาพร้อมข่าวดี คอยดูไปแล้วกัน!”
แพงรีบออกไป อบเชยและเพ็ญสะใจ แพงเดินเข้าไปนั่งที่ตอนหลังของรถหลวงภักดีบทมาลย์ โดยมีนวลเปิดประตูให้ รถเคลื่อนออกไป สีหน้าของนั้นมุ่งมั่น แต่ในใจแอบกังวล
“ฉันท้องลูกคุณหลวง...ฉันท้องลูกคุณหลวง ไม่ใช่นางชื่น...ไม่ใช่นางชื่น”
ที่พื้นดินใต้ต้นไม้ในสนามหน้าบ้าน มีกองไฟอยู่กองหนึ่ง คุณหญิงอบเชยถือถ้วยใส่พริกและเกลือ มองท้องฟ้า ทำพิธีสาปแช่ง
“เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา เทพยดาอารักษ์ ขอให้ฟังคุณหญิงอบเชยคนนี้ ข้าขอสาปแช่ง นังแพงผู้มีจิตคิดคดทรยศ อกตัญญู ขอให้มันตกเลือด ขอให้มันแท้งลูก ขออย่าให้มีเด็กคนใดมาเกิดกับมัน”
คุณหญิงซัดเกลือและพริกถ้วยแรกใส่กองไฟ ไฟเกิดปะทุขึ้น ด้วยความอาฆาต เพ็ญรับถ้วยไปตักพริกกับเกลือมาส่งให้อีก
“ใส่ลงไปค่ะ ใส่ลงไปอีก เผาพริกเผาเกลือแช่งมัน สาปแช่งมัน ใส่ลงไปอีกค่ะ”
“คนเลว กฎหมายบ้านเมืองเอาผิดไม่ได้ แต่อยากจะรู้นัก หากพวกมันถูกคนดีๆสาปแช่ง โดนทุกวี่ทุกวัน มันจะทานทนได้แค่ไหน คนพวกนี้ มันจะเจริญได้ยังไง ข้าขอสาปแช่งเอ็ง ข้าของสาปแช่งเอ็ง อย่าได้มีเด็กคนใดมาเกิดกับเอ็ง อย่าได้มี !”
คุณหญิงสาดพริกกับเกลือใส่ลงไปอีก ไฟลุกโชน ท่ามกลางความอาฆาตของคุณหญิงและเพ็ญ
ที่สุขศาลา...แพงซึ่งตรวจเรียบร้อยแล้ว นั่งรออยู่ ไม่นานนักหมอเดินเข้าห้องมาหา
“เป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ ฉันท้องใช่ไหม ท้องเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชาย” แพงถามร้อนรน
“เสียใจด้วยค่ะ คุณไม่ได้ท้อง”
“อะไรนะ” แพงช็อค
“ประจำเดือนของผู้หญิงเป็นเรื่องไม่แน่นอนอยู่แล้ว บางครั้งอาจมาช้าไปบ้าง เป็นเดือนๆก็มี สาเหตุก็อาจจะมาจากความเครียด หรือการทานอาหารผิดสำแดง”
“ไม่จริง หมอตรวจผิด หมอตรวจผิด! ฉันแพ้ท้องเห็นๆอยู่ ฉันอยากกินของเปรี้ยวทุกวัน ฉันท้องแน่ๆ”
“คุณคงอยากมีลูกจนคิดไปเอง ก็เลยอยากทานของเปรี้ยว”
แพงตบโต๊ะ
“ไม่ ไม่จริง ฉันบอกแล้วไงว่าฉันท้อง!”
“หมอตรวจจนแน่ใจแล้ว เสียใจด้วยนะคะ”
“ไม่ ไม่ ไม่จริง !”
แพงช็อค ตกใจ เสียใจ คิดไม่ถึง
ที่เรือนใหญ่...เพ็ญรู้เรื่องแล้วมารายงานกับคุณหญิง ซื่นกลิ่น และบัวสวรรค์ คุณหญิงปรบมือ ตบโต๊ะ หัวเราะลั่นสะใจสุดๆ บัวและชื่นกลิ่นนั่งอยู่ด้วย
“ฮะฮะฮ่า สะใจ สะใจจริงๆ ฮะฮะฮ่า อีเพ็ญ...ข้ามีความสุขจริงๆโว้ย”
“เพ็ญก็มีความสุขเจ้าค่ะ คุณชื่นขา อีแพงไม่ได้ท้อง คุณชื่นกลิ่นต่างหากที่มีบุพเพสันนิวาสกับคุณหลวง คุณหลวงจะต้องกลับมาหาคุณชื่น อย่าท้อใจไปนะคะ”
เพ็ญพยายามให้กำลังใจ ชื่นกลิ่นยังไม่สบายใจ
“แล้วถ้าเขาไม่มาล่ะ ชื่นจะทำยังไงคะคุณแม่”
“ไม่มาก็ไม่ต้องมา ช่างมัน!” คุณหญิงประกาศทันที
“คุณแม่!”
คุณหญิงเข้าไปจับมือชื่น พูดให้ได้สติ
“ไม่มีรักใดในโลกอบอุ่นใจไปกว่ารักของพ่อแม่ ชื่นกลิ่นรู้ไหม วันที่หนูเกิดมา แม่มีความสุขแค่ไหน”
“คุณแม่!”
“ทันทีที่แม่ทุกคนให้กำเนิดลูก โลกของแม่เหมือนเต็มบริบูรณ์ขึ้นมา ชีวิตมีค่า ชีวิตมีความหมาย ชีวิตของคนเป็นแม่ จะรู้จักรักที่สมบูรณ์ จนไม่อาจมีรักใดเสมอเหมือน”
“ไม่มีรักใดเสมอเหมือน เพราะลูกของเราหรือคะ”
คุณหญิงพยักหน้า
“ใช่แล้ว ใครๆก็เข้าใจว่า ลูกเป็นคนดีขึ้นมาได้ เพราะคำสั่งสอนของพ่อแม่ เพราะมีรักของพ่อแม่ ลูกจึงไม่กล้าทำชั่ว แต่หากคิดให้ดี พ่อแม่ก็เป็นคนดีขึ้นมาได้ เพราะลูกเหมือนกัน”
“เพราะพ่อแม่มีลูก พ่อแม่จึงเข้มแข็งยิ่งกว่าที่เคยทำ เป็นคนดีได้มากกว่าที่เคยเป็น เพราะลูกงั้นหรือคะ”
คุณหญิงพยักหน้า บัวสวรรค์ยิ้มให้กำลังใจพี่สาว
ชื่นกลิ่นมองอาหารบนโต๊ะสีหน้าพะอืดพะอม แค่ได้กลิ่นก็จะอ้วกอีกแล้ว คุณหญิงกับบัวสวรรค์นั่งคนละด้านให้กำลังใจ
“เด็กในท้องของหนู กินข้าวกินน้ำผ่านจากตัวหนู ถ้าหนูไม่กิน เด็กคนนี้ก็ตาย” คุณหญิงชี้ที่ท้อง
ชื่นกลิ่นเม้มปาก เกิดฮึด เอื้อมมือไปตักอาหาร กินเข้าไป พยายามสะกดอารมณ์อยากอ้วก บัวสวรรค์รีบหยิบผ้าเช็ดปากมาเตรียมให้ ทุกคนลุ้นว่าจะอ้วกไหม
“ไหวไหมคะ”
ชื่นกลิ่นพยักหน้า กลืนไป แล้วเริ่มกินเข้าไปอีก ชื่นกลิ่นเกิดกำลังใจที่จะดูแลตัวเอง คุณหญิงกับอบเชยยิ้มพอใจ
คุณหญิงนำยาบำรุงครรภ์มาให้ชื่นกลิ่นกิน ชื่นกลิ่นมองยาหม้อในถ้วยบนถาด ที่วางตรงหน้า สีหน้าพะอืดพะอมอีก
“พี่ชื่นกลิ่นไม่ชอบกินยา ขนาดยาเม็ดยังไม่กิน แล้วยาหม้อบำรุงครรภ์ เป็นชามๆแบบนี้ ต้องกินตั้งสามเวลา” บัวสวรรค์มองหน้าชื่นกลิ่นว่าจะเอาไง
คุณหญิงพยายามให้แง่คิด
“เด็กคนหนึ่งไม่มีพ่อได้ แต่ขาดแม่ไม่ได้ หนูเป็นลูกแหง่ของแม่ เพราะตั้งแต่เล็ก แม่อบเชยคนนี้จัดการทุกอย่างให้หนู แต่นับจากนี้เป็นต้นไป หนูต้องเป็นแม่คน เด็กคนนี้ต้องพึ่งแต่หนูคนเดียว เขาจะมีชีวิตเติบโตขึ้น ดีขึ้นมาหรือไม่ ขึ้นกับหนูคนเดียว”
ชื่นกลิ่นพยักหน้ากับแม่ กลั้นใจ ดื่มยาหม้อชามนั้นเข้าไป
หลายวันต่อมา ชื่นกลิ่นลงมาเดินออกกำลังกาย มีบัวสวรรค์คอยประคองเดิน คุณหญิงเดินตามมาห่างๆ ชื่นกลิ่นเศร้า เมื่อมองไปที่นั่งเล่นที่เก้าอี้สนามที่ตนเองเคยนั่งเล่นกับคุณหลวง
คุณหญิง กับบัวสวรรค์มองชื่นกลิ่นอย่างเข้าใจ
“หนูต้องเข้มแข็งนะชื่นกลิ่น จะอ่อนแอ อ่อนต่อโลกอีกไม่ได้แล้ว พอกันทีกับการนอนร้องไห้เศร้าโศกเสียใจเพราะผู้ชายเพียงคนเดียว พอกันทีกับการเป็นลูกแหง่ที่ไม่สิ้นสุด หนูต้องเข้มแข็ง ถึงเวลาเข้มแข็งแล้วนะลูก!”
ชื่นกลิ่นพยักหน้า กลืนน้ำตาเข้าไปในอก ไม่ให้ไหลออกมาอีก เริ่มมีความเข้มแข็งขึ้น
“ค่ะ หนูจะคิดถึงลูกทุกครั้งที่จะร้องไห้ ลูกจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของหนู หนูจะไม่ร้องไห้อีก!”
ปัจจุบัน...รัมภาฟังคุณหญิงอบเชยเล่าอย่างตั้งใจ...
“หนูจำความรู้สึกในวันไหนได้ไหม วันที่หนูรู้ว่าหนูเป็นแม่คน แม่ของเด็กแฝด”
รัมภาเริ่มได้สติ พยักหน้ารับ
“เพราะพ่อแม่มีลูก เราจึงเข้มแข็งยิ่งกว่าที่เคยทำ เป็นคนดีได้มากกว่าที่เคยเป็น”
“ในเมื่อจำได้แล้ว...หนูรู้หรือยัง ในเวลาเช่นนี้ หนูจะรอดเพราะใคร”
รัมภามองหน้าคุณหญิง เริ่มรับรู้และเป็นปกติมากขึ้น กำลังจะดีขึ้นเรื่อยๆ คุณหญิงเห็นอย่างนั้นก็คลายความกังวลลง เล่าเรื่องอดีตให้ฟังต่อว่า เมื่อครั้งที่ชื่นกลิ่นท้อง เกิดเรื่องปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง...
ในอดีต...หลวงภักดีบทมาลย์ เดินออกมามองหาในบริเวณบ้าน พลางร้องเรียก
“แพง...แพงอยู่ไหนน่ะ...แพง”
กล้าเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีโมโหมาก
“มัวแต่เรียกหานางบำเรอทำไมกัน ทั้งๆที่เมียคนสวย แม่ของลูกคุณหลวงกำลังนอนรอคุณอยู่บนตึกนั่น”
“แม่ของลูก?”
“ใช่ ลูกของคุณ คุณชื่นกลิ่นท้องลูกของคุณ หมาแมว มันยังไม่ทิ้งลูกของมัน ถ้าคนเป็นถึงคุณหลวงอย่างคุณยังไม่รู้จักคิด ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
หลวงภักดีอึ้งไป เมื่อรู้ว่าเมียท้อง
ชื่นกลิ่นร่างกายแข็งแรงขึ้น นั่งทานข้าวกับบัวสวรรค์ โดยไม่ต้องให้ป้อนแล้ว ชื่นกลิ่นจับท้องตัวเอง เพื่อบอกกับลูก สีหน้ายิ้มแย้มขึ้น
“ลูกจ๋า แม่จะกินข้าว แม่จะบำรุงเลี้ยงดูหนู อย่าเกเรกับแม่นะลูก”
ชื่นกลิ่นตักอาหารเข้าปาก บัวสวรรค์ยิ้มพอใจ
“ทานเยอะๆนะหลานน้า กินเยอะๆ”
บัวสวรรค์มองไปที่ประตู
“เสียงคนมา สงสัยคุณอามา คุณอาต้องดีใจ ที่พี่ชื่นทานข้าวได้เยอะ”
หลวงภักดีเดินเข้ามา ทั้งชื่นกลิ่นและบัวสวรรค์ตะลึง
“คุณหลวง” ชื่นกลิ่นยิ้มดีใจ
บัวสวรรค์ก็ดีใจรีบวางช้อนลุกขึ้น ไม่กินแล้ว
“คุณหลวงมา...เอ้อ บัวออกไปข้างนอกก่อนนะคะ”
บัวสวรรค์ออกไป หลวงภักดีสีหน้าเจื่อนเศร้าๆ เดินเข้ามาหา
“เจ็บตรงไหนไหม”
ชื่นกลิ่นส่ายหน้า
“เอ้อ ไม่ใช่เจ็บสินะ เขาเรียกแพ้ท้องใช่ไหม”
“มีอยู่บ้างค่ะ มีอาเจียน บางครั้งก็เวียนหัว”
“ลูก ลูกของพี่ อยู่ในนี้หรือ” หลวงภักดีมองที่ท้อง
ชื่นกลิ่นพยักหน้า
“ให้พี่ป้อนนะ”
หลวงภักดีนั่งลงป้อนอาหาร ชื่นกลิ่นกินเข้าไปน้ำตาร่วงออกมา จับมือเขาไว้
“คุณหลวงกลับมาหาน้อง กลับมาหาน้องแล้วน้องไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ”
หลวงภักดีเช็ดน้ำตาให้
“อย่าร้องไห้เพราะคนเลวอย่างพี่ อย่าร้องเลย”
“คุณหลวงของชื่น” ชื่นกลิ่นโผเข้ากอด
“พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ”
สองกอดกัน เอาหัวชนกัน ร้องไห้ทั้งคู่ ความรักกลับคืนมาอีกครั้ง ซึ่งซื่นกลิ่นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าอีกนานแค่ไหน
รัมภาฟังเรื่องราวอย่างตื่นเต้น...
“คุณหลวงกลับมาหาคุณชื่นกลิ่นจริงๆหรือคะ แล้วคุณไสยที่แพงทำไว้ล่ะคะ”
“ไม่มีใครรู้ว่าทำไม วันนั้นคุณหลวงจู่ๆก็มา บางทีมนตรามืดดำอาจพ่ายแพ้ต่อวิญญาณบริสุทธิ์ดุจผ้าขาวของเด็กน้อย”
“เพราะลูกเป็นห่วง...เป็นบ่วงร้อยรัดพ่อแม่เอาไว้ให้เดินไปสู่ความดี ความเจริญที่ยิ่งๆขึ้นไป”
“มันเป็นอย่างนั้นเสมอ เป็นมาทุกยุคทุกสมัย หนูกับศามน มีบุพเพสันนิวาสต่อกัน แม้ผ่านเวลากี่ชาติภพ มีอุปสรรคอย่างไร สุดท้ายก็ยังมาเกิดร่วมกัน เป็นคู่ผัวตัวเมีย สิ่งนี้ล่ะที่นังผีแพงมันแค้นใจนัก”
“หนูจะต้องไม่อ่อนแอ หนูจะต้องชนะเท่านั้น หนูกับรัสตี้และไลล่า ไม่มีทางอื่นนอกไปจากลุกขึ้นสู้กับผีตนนั้น ลุกขึ้นสู้เท่านั้น”
รัมภาพยายามรวบรวมกำลังใจขึ้นมาใหม่
รถแท็กซี่วิ่งพาเด็กสองคนที่นั่งหลังไปโรงพยาบาล สักพักมือถือดังขึ้น เพื่อนของแท็กซี่คนนี้โทรมา บอกว่ามีอุบัติเหตุข้างหน้า
“เอ้าเหรอ ข้างหน้านี้เหรอ เออๆขอบใจโว้ย”
คนขับแท็กซี่วางสาย แล้วเลี้ยวขวากลับรถ
“กลับรถทำไมครับ จะไปไหน”
“เพื่อนโทรมาบอก รถชนกันถนนข้างหน้า ต้องเลี้ยวเข้าทางลัดในหมู่บ้านนี้แหละ”
คนขับแท็กซี่เลี้ยวเข้าไปในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่ง รัสตี้ครุ่นคิดระแวง เพราะเป็นเด็กที่มีอาการประสาทหลอนเมื่อเครียด และเป็นโรคคิดมาก เป็นทุนเดิมอยู่ รัสตี้พึมพำเบา มองคนขับแท็กซี่ระแวง
“โกหก...โกหกเรา”
หน้าเรือนใหญ่...บุญสืบถือไฟฉาย กลับจากไปหาเด็กๆที่สวน หล้าลงมาจากบนบ้าน เดินมาเจอกันที่หน้าบ้าน
“เจอไหม”
“ไม่เห็นเจอเลย หาจนทั่ว ทั้งใต้โต๊ะ ตู้เตียง ข้าหาหมดแล้ว”
“ที่สวนก็ไม่มี ฉันก็ดูจนทั่วแล้ว”
ขณะเดียวกัน คำเร่งเท้ามา มืออุ้มพระพุทธรูปแบบตั้งในบ้าน เร่งเดินเข้ามาสมทบ
“แม่ที่เรือนเล็กอ่ะ ... เป็นไง” บุญสืบมองพระ แล้วสะดุ้ง “เฮ้ย ถือไปอย่างนี้เลยหรือ”
“หาองค์เล็กๆไม่ทัน เลยอัญเชิญไปทั้งองค์เลย ท่านจะได้มองให้ทั่วไง ว่ามีผีอยู่ตรงไหนบ้าง...ที่เรือนเล็ก ปิดไฟนอนกันแล้ว ไม่รู้มันจะรีบนอนอะไรกันนักหนา ลูกเต้าหายไปทั้งคน ไม่สนใจสักนิด”
“แปลว่าไม่มีคุณหนูที่เรือนเล็กหรือ”
“เขาไม่ได้ล็อคบ้าน ข้าเดินดูทั่วแล้ว ไม่มีจริงๆ” คำบอก
“คุณหนูหนีออกจากบ้านจริงๆด้วย ฮือทำไงดี ทำไงดี” บุญสืบคร่ำครวญ
ที่ห้องประชุม...อนุกูล ยืนคุยกับ พัชนีและวรรณศิกา ขณะที่พนักงานนั่งอ่านเอกสาร คุยงานห่างไป
“อะไรนะ เด็กแฝดหายออกไปจากบ้านหรือ หาทั่วหรือยัง หายไปเล่นที่ไหนหรือเปล่า” อนุกูลถามร้อนใจ
“ยายคำกับตาหล้า หากันทั่วแล้วค่ะ บุญสืบเขาบอกว่าเงินค่ากับข้าวหายไปด้วย เขาเลยสงสัยว่า เด็กๆจะ เอ้อ หนีออกจากบ้าน” พัชนีบอก
“หนีออกจากบ้าน...ไม่ได้แล้ว ไปเร็ว”
อนุกูลขยับจะออกไป วรรณศิการีบห้าม
“เดี๋ยวๆ แล้วคุณสองคนนี้ล่ะคะ”
อนุกูลตัดสินใจทันที
“คุณพรหมกับคุณชัยมาจากต่างจังหวัด คุณพาเขาไปที่โรงแรมที่เราจองไว้ ดูแลเขาให้ดีนะ บอกเขาว่าผมมีธุระด่วน พรุ่งนี้ค่อยคุยงานต่อ”
“โอเค งั้นหนูพัชไปช่วยกันกับคุณนุ ทางนี้พี่จัดการเอง” วรรณศิการีบบอก
พัชนีกับอนุกูลรีบเก็บเอกสาร หยิบของออกไปทันที
อนุกูลกับพัชนีมาที่รถ ขณะที่กำลังจะขึ้นรถ พัชนีรีบถาม
“เดี๋ยวค่ะเดี๋ยว แล้วเราจะเริ่มไปหาเด็กที่ไหนก่อนคะ”
“อืม จริงด้วย เราต้องคิดแทนเด็กแฝดว่า ทำไมเขาถึงหนีออกจากบ้าน ที่ไหนที่เขาอยากไปมากที่สุด”
“เขาสองคนบ่นอยู่แต่คิดถึงพ่อกับแม่ ถ้าอย่างนั้นก็…”
นึกได้พร้อมกัน
“โรงพยาบาล!”
ทั้งสองรีบขึ้นรถไปทันที
ที่โรงพยาบาล..
อนุกูลกับพัชนียืนคุยกับพยาบาลที่หน้าห้องรัมภาที่หลับสนิทบนเตียง
“วันนี้คุณรัมภาหลับตลอดเลยค่ะ หลับทั้งวันไม่ตื่นเลย ดิฉันไม่เห็นมีใครมาเยี่ยมนะคะ” พยาบาลบอก
“เด็กๆไม่ได้มาหาแม่เขาหรือคะ” พัชนีถาม พยาบาลส่ายหน้า
“อาจจะยังมาไม่ถึง เขาต้องมาที่นี่ ไม่มีที่อื่นหรอก” อนุกูลบอกอย่างมั่นใจ
“แล้วนี่ จะทำยังไงต่อดีคะ”
“ตามรอยเส้นทาง จากที่โรงพยาบาลนี่ กลับไปที่บ้านของเด็กๆไปเร็ว”
อนุกูลกับพัชนีออกไป จิตของคุณหญิงยืนอยู่กับจิตของรัมภา ได้ยินทั้งหมดไปด้วย
“ลูก... ลูกหนู”
จิตของรัมภามองไปที่ร่างของตัวเองที่นอนอยู่ ทันใดรัมภาตื่นขึ้นทันที เรียกชื่อลูกออกมา
“รัสตี้ ไลล่า”
“เอ้าคุณตื่นแล้วหรือคะ”
พยาบาลเข้าไปดูแลรัมภา ที่มีแต่สายตากังวลคิดถึงลูก
อนุกูลขับรถตามหาเด็กไปอย่างช้าๆ พลางสั่ง
“คุณคอยมองสองข้างทางไว้นะ มองหารถแท็กซี่ทุกคัน มองตามข้างทางแล้วก็ป้ายรถเมล์”
“โอเคค่ะ” พัชนีมองข้างๆอย่างตั้งใจ
ขณะเดียวกัน แท็กซี่ขับมาถึงตรงที่เปลี่ยว เป็นหมู่บ้านสร้างไม่เสร็จ มีพงหญ้า กลางซอย ที่ใช้เป็นทางลัดออกถนนอีกด้านหนึ่ง รถเกิดเสียดับกลางคัน
“เอ๊า เป็นอะไรขึ้นมาวะ”
เด็กสองคนเริ่มประหวั่นมองซ้ายขวาไม่มีรถ มีแต่บ้านที่สร้างไม่เสร็จ ร้างๆ ไม่มีคนผ่านไปมา ไม่มีคนแถวนั้น
“หมู่บ้านแถวนี้ ทำไมเงียบจัง”
รัสตี้จับตามองแท็กซี่ระวังตัว
ภาพในจินตนาการเกิดขึ้นอีกครั้ง คนขับแท็กซี่จอดรถ แล้วเดินลงไปจากรถ แล้วเดินมาเปิดประตูหลัง คนขับแท็กซี่หน้าแดง ตาแดงเหมือนยักษ์ พร้อมควักปืนยาวออกมาจ่อขู่
“เอาเงินมา เอาเกมมา ไม่งั้นเอ็งตาย!”
รัสตี้ตาเหลือกมอง กลัวมาก
อ่านต่อหน้า 4
บ่วง ตอนที่ 10 (ต่อ)
ในความจริง...แท็กซี่ยังนั่งที่เดิม ยังอยู่หน้ารถตามปกติ ยังไม่ได้ลงจากรถ
“เดี๋ยวนะหนู สงสัยรถเสียน่ะ”
คนขับแท็กซี่เอารถจอดข้างทางแล้วเดินไปเปิดกระโปรงหน้ารถ จัดการดูรถของตนเอง
“แท็กซี่คนนี้เป็นคนร้ายแน่ เราไปกันเถอะ” รัสตี้บอก
“ไปไหนอ่ะ”
“หนี หนีก่อน เร็วเข้า”
ทั้งสองแอบลงไปจากรถ ย่องเดินแอบหนีไปพักหนึ่งแล้ว คนขับแท็กซี่ค่อยหันมาเห็น ตะโกนลั่น
“เฮ้ยไอ้หนูหนีไปไหนอ่ะ เงินยังไม่จ่ายเลย”
“วิ่งเลย วิ่งเร็ว มาทางนี้”
รัสตี้ลากน้องสาววิ่งเข้าไปเลี้ยวไป ลับตาหายไปที่มุมหนึ่ง
“เอ้าเฮ้ย จะไปไหน ค่ารถล่ะ เฮ้ยหยุดๆ”
คนขับแท็กซี่วิ่งตามไป ตะโกนเรียกด้วยความโมโห รัสตี้ลากไลล่ามานั่งลงในพงหญ้า เพื่อใช้พงหญ้าเป็นที่หลบภัย
“หลบก่อน หลบตรงนี้ก่อน” รัสตี้บอก
“แท็กซี่คนนั้นเป็นคนไม่ดีหรือ รัสตี้รู้ได้ไงอ่ะ”
“รู้แล้วกัน”
คนขับแท็กซี่วิ่งตาม แล้วหยุดมองหา ไม่เห็นคนแล้ว
“เฮ้ย ไอ้หนู อยู่ไหนวะ ออกมานะ คิดจะเบี้ยวค่ารถหรือ บอกให้ออกมาได้ยินไหม”
คนขับแท็กซี่มองไปรอบๆ มองหาเด็กไม่เจอ
อนุกูลกับพัชนี นั่งอยู่บนรถที่ติดยาว รถไม่ขยับ
“ทำไมรถติดอย่างนี้นะ”
“สงสัยจะมีอุบัติเหตุนะคะ ดึกป่านนี้แล้ว”
ทั้งสองอยู่บนเส้นทางเดียวกับรถแท็กซี่คันที่รัสตี้ กับไลล่านั่งมา จึงมีอุบัติเหตุเดียวกับที่เพื่อนแท็กซี่โทรมาบอกคนขับ
คนขับแท็กซี่เดินหา ไม่เจอเด็กๆ บ่นอย่างหงุดหงิด
“จู่ๆมันวิ่งหายไปไหนของมัน โฮ้ย เสียเวลาจริง”
จึงเดินกลับไปสตาร์ทรถ ปรากฏว่าติดขึ้นมา
“ติดซะที...เฮ้อ คืนนี้ ทำไมมันซวยอย่างนี้วะ รถก็เสีย มาเจอเด็กหลอกอีก”
คนขับแท็กซี่ตัดใจจากเด็ก ไม่สนใจเด็กอีก ขับออกไป
รัสตี้กับไลล่ายังนั่งซุกอยู่ในพงหญ้า ความกลัว และความไร้เดียงสาของเด็กเป็นเหตุให้นั่งนิ่งที่เดิม แทนที่จะหาทางแก้ปัญหาอย่างอื่นที่ดีไปกว่านี้
“เราจะหลบอยู่ตรงนี้อีกนานเท่าไหร่”
“รอให้มีคนผ่านมา แล้วเราค่อยออกไปให้เขาช่วย”
“ฮือ ตรงนี้มืดก็มืด แล้วจะมีงูไหมอ่ะ!”
ไลล่ามองไปรอบๆ ไม่ชอบเลย ออกไปก็กลัว นั่งอยู่ก็กลัว
อนุกูลถอนใจเฮือกที่รถไม่ขยับเลย...
“เบื่อจริงโว้ย ไม่มีอะไรทำเลย นี่แม่ชี ขอพุทธภาษิตสักบทซิ”
“พึงตัดความโกรธด้วยปัญญา” พัชนีตอบทันที
“เฮ้ยของแท้ต้องภาษาแขก”
“โกธัง ปัญญายัง อุจฉินเท”
อนุกูลหัวเราะ
“น่าน...มันต้องอย่างนั้น เออ ค่อยได้ขำหน่อย...“
อนุกูลมองหน้าขยับเข้าไปใกล้ กรุ้มกริ่ม
“แล้วความรักล่ะ มีพุทธภาษิตไหม”
พัชนีมองหน้าอนุกูลที่เข้ามาใกล้แล้วเศร้า เมื่อคิดว่าอนุกูลไม่ใช่ของๆตน
“อย่าติดอยู่ในสิ่งที่เรารักหรือไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก เป็นทุกข์การพบเห็นแต่สิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์” “แล้วทำไมต้องทำหน้าเศร้า”
“เปล่านี่คะ”
อนุกูลแอบยิ้ม ชอบเหลือเกินเวลาที่เธอมีปฎิกริยา
“นึกว่าเศร้าเรื่องฉันคบคุณรัมภาเสียอีก”
พัชนีเมินหน้าหนี ยิ่งเศร้า อนุกูลยิ่งขยับเข้าไปชิด แทบจะกระซิบที่ข้างหู ดวงตาแพรวพราว
“ถ้าเธอเสียใจ บอกว่าชอบฉัน บอกว่ารักฉันสิ ถ้าเธออ้อนวอน ฉันอาจเปลี่ยนใจก็ได้นะ”
พัชนีโกรธมาก ก้มหน้า หลับตาพึมพำสะกดจิตตัวเอง
“พึงตัดความโกรธด้วยปัญญา...พึงตัดความโกรธด้วยปัญญา”
อนุกูลหัวเราะอีก สนุกที่ยั่วเขาได้
“อย่าเชื่อโดยนึกเดา อย่าเชื่อโดยคาดคะเน อย่าเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล อยู่ในพระสูตรชื่ออะไรนะ กาลามสูตรใช่ไหม เห็นไหม ฉันก็เป็น”
พัชนีมองหน้างง
“นี่คุณกำลังจะพูดอะไร”
“สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น เธอเห็นอะไรล่ะ แล้วเธอเป็นอะไร”
พัชนีงง ทั้งสองมองหน้ากัน อนุกูลเข้าไปใกล้อีก ส่งสายตาแห่งความรักไปให้ ทำท่าเหมือนจะพูด เสียงมือถือขึ้นขัดจังหวะ อนุกูลรับสาย
“คุณภาหรือครับ ตื่นแล้วหรือ”
พัชนีเศร้าไปอีก รัมภาถามอย่างร้อนใจ
“เจอรัสตี้ ไลล่าไหมคะ”
“นี่คุณรู้ได้ไง คุณหลับอยู่ไม่ใช่หรือ”
“ฉันรู้แล้วกัน ว่าไงคะ เจอเด็กไหม”
“รถติดมากเลย สงสัยข้างหน้าจะมีอุบัติเหตุ”
“เด็กสองคนนั้น ไม่เคยไปไหนเอง แล้วแกก็เพิ่งมาอยู่ที่นี่”
“คุณภา ฟังผมนะ ใจเย็นๆก่อน ผมกับพัช แล้วก็พวกที่บ้านทุกคนกำลังช่วยกันออกตามหาเต็มที่ เราทุกคนจะทำให้ดีที่สุด อย่าห่วงนะครับ”
รัมภาวางสาย ทนไม่ไหวแล้ว หยิบตัวเรียกพยาบาลมากด แล้วรีบส่งเสียงออกไป
“คุณพยาบาลคะ คุณพยาบาล ตามหมอให้ที ฉันอยากออกไปจากโรงพยาบาล ฉันจะไปแล้ว ได้ยินไหมคะ”
คุณหญิงอบเชยมองลูกสาวอย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วง แม่จะดูแลหลานๆเอง”
คุณหญิงหายตัวไป
รัสตี้กับไลล่า นั่งแอบอยู่ในพงหญ้า ไลล่าเริ่มร้องไห้กระซิกๆออกมา
“ฮือ ยุงกัด ฮือ...”
“ไลล่า เงียบหน่อย จะร้องทำไม”
“ฮือ กลัวงู...ฮือ มันมืดๆ ไลล่ากลัว”
“อยู่ตรงนี้อีกแป๊บหนึ่งนะ รอรถมา รถคนผ่านมา เดี๋ยวค่อยออกไปบอกให้เขาช่วย”
รัสตี้มองออกไป หารถหาคน ถ้ามีจะวิ่งออกไป
รถยังติดอยู่ อนุกูลถอนใจเฮือก
“ทำยังไง จะพ้นไปจากตรงนี้ได้นะ”
จู่ๆเสียงคุณหญิงอบเชยก็ดังขึ้นมา พัชนีได้ยินคนเดียว
“เปิดวิทยุ”
“เอ๊ะ”
พัชนีหันไปเบาะที่นั่งด้านหลัง ไม่เห็นใคร
“มีอะไรหรือ”
“ฉันได้ยิน เอ้อ...”
พัชนีขี้เกียจพูดต่อ เอื้อมมือไปเปิดวิทยุทันที เปิดมาปุ๊บก็ได้เรื่อง เป็นคลื่นรายงานการจราจรพอดี...
“ขณะนี้เกิดเหตุรถบรรทุกดินพลิกคว่ำ บนถนนสุวิทวงศ์ขาออก สำหรับท่านที่รถติดอยู่บนถนนสุวินทวงศ์ขอให้ใช้เส้นทางเลี่ยง กรุณากลับรถแล้ว เลี้ยวซ้ายเข้าไปในซอยสุวินทวงศ์ 28 26 และ 24”
“กลับรถ แล้วเข้าซอยหรืออืม....”
อนุกูลเห็นว่าอยู่บนทางกลับรถพอดี รีบเข้าช่องที่ว่าง เลี้ยวรถกลับรถทันที คุณหญิงอบเชยนั่งยิ้มเป็นกายเรืองแสง อยู่ในรถด้านหลังตามลำพัง...
ในพงหญ้า...ไลล่ายังร้องไห้กระซิกๆอยู่ ไม่อยากนั่งตรงนี้เลย จะลุกไปแล้ว
“เมื่อไหร่จะไปจากตรงนี้ ฮือ...ไม่อยากอยู่แล้ว ไม่อยากอยู่”
รัสตี้ดึงไว้
“บอกแล้วไงว่าให้รอแป๊บหนึ่ง รอคนมาช่วยก่อนค่อยออกไป”
มอไซค์รับจ้างคันหนึ่งขับมาพอดี
“มีรถมาแล้ว ช่วยด้วย ช่วยด้วย” ไลล่าวิ่งออกไปหาทันที
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวๆ”
ไลล่ากับรัสตี้วิ่งออกมาจากพงหญ้า เกือบตัดหน้า รถมอเตอร์ไซค์หักหลบไปจอดห่างไป
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
“เฮ้ยๆ โฮ้ย ตกใจหมดนึกว่าผี ไอ้เด็กพวกนี้นี่” คนขับโวยวาย
ไลล่า รีบวิ่งเข้าไปหา
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย หนูจะไปโรงพยาบาล ไปหาแม่ ช่วยหนูด้วย”
คนขับยิ้มร้าย มองไปรอบๆ เห็นว่าทั้งซอยเปลี่ยวนี้ไม่มีคน จึงคิดจะปล้นเด็ก
“มีกันแค่สองคนหรือ”
รัสตี้ชูแบงก์ห้าร้อย
“เรามีเงิน พาออกไปที”
“มาแค่สองคนแน่นะ”
“ครับ มากันแค่สองคน”
คนขับจอดรถแล้วเดินมาแย่งเงินไปทันที
“เอาเงินมานี่ แล้วไหนดูซิ มีของในตัวอะไรบ้าง เกมนี่ท่าจะแพงนะ”
คนขับเข้ามาค้นของรัสตี้รวดเร็ว จะยึดเกม
“เฮ้ยเอามานะ.. เอามา ของผม ของผม”
“ก็แค่ขอดูหน่อย...มา...เอามานี่ เอามา”
รัสตี้ยื้อเกมไว้พลางร้อง
“ช่วยด้วย ขโมยๆ ช่วยด้วย”
“โธ่โว้ย ดื้อจริง”
คนขับผลักรัสตี้จนล้มลงไปกับพื้น แย่งของเล่นมาได้สำเร็จแล้วไปขึ้นรถตัวเอง
“รัสตี้” ไลล่าเข้าไปดู
“ขอโทษนะน้อง ถือว่ายืมก่อนแล้วกัน ไปล่ะ” คนขับออกรถไป
รถอนุกูลขับพุ่งเข้ามา บีบแตรลั่น!
รถมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่งออกตัวไป ถูกรถอนุกูลทำท่าพุ่งจะชนก็ตกใจ หักหัวเซล้มลงไป คนขับพลอยเซล้มไปอยู่กับพื้นด้วย
“เฮ้ยๆ”
อนุกูลกับพัชนีรีบวิ่งลงจากรถ พัชวิ่งไปหาเด็ก ประคองรัสตี้ขึ้นมา ดูตามเนื้อตัว ไลล่าแค่เห็น ก็ร้องไห้โฮทันที
”อานุ...น้าพัช ฮือ”
“รัสตี้ เป็นอะไรไหม” พัชนีถาม
อนุกูลวิ่งไปกระชากคอเสื้อคนขับขึ้นมา ทำท่าจะต่อย เพราะเห็นพฤติกรรมตั้งแต่เลี้ยวรถเข้ามาแล้ว เลยขับพุ่งตรงเข้ามาสกัดไว้ได้
“ไอ้ชั่ว คิดจะขโมยเงินเด็กหรือ หนอย”
“โอ๊ย พี่กลัวแล้ว กลัวแล้ว อย่าทำผม”
“รัสตี้ไลล่า เขาทำอะไรหนูหรือเปล่า มีอะไรหายไปบ้าง” อนุกูลร้องถาม
“เงินกับเกมครับ”
“เราไม่เป็นไรค่ะ แต่หนูกลัว หนูจะไปหาแม่”
คนขับรีบเอาของวางให้ที่พื้นคืนให้หมด
“นี่ๆไง เงินกับเกม ผมให้หมดแล้ว ปล่อยผมไปเถอะนะ อย่าเรียกตำรวจจับผมเลย”
“ปล่อยก็ได้ แต่เอาบัตรประชาชนมา ฉันจะถ่ายรูปเอาไว้ก่อน เจอเด็กแทนที่จะช่วย น้ำใจน่ะมีไหม แหมมันน่านัก”
อนุกูลด่าแหลก คนขับยกมือไหว้ปลกๆ รีบหยิบกระเป๋าเงิน หาบัตรประชาชนมาส่งให้
รัมภาเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดา ถือกระเป๋าเดินออกมาจากห้อง พยาบาลเดินตามมาห้ามไว้ เสียงดังกันอยู่ ตรงหน้าห้อง
“คุณคะคุณ เดี๋ยวค่ะ คุณจะไปไหนไม่ได้นะคะ”
“ฉันต้องไป... ลูกหายไป...ฉันห่วงลูก”
“คุณต้องรอพบหมอก่อน แล้วไหนจะค่าใช้จ่ายที่ยังไม่เคลียร์”
“งั้นคุณก็มากับฉัน ฉันจะกดเงินสดให้ จะเอาเท่าไหร่ก็บอกมา แต่ฉันต้องไป ฉันมันบ้าไปเอง ฉันลืมลูกของฉันได้ยังไง ฉันจะไปดูลูก”
พยาบาลจับแขนไว้
“ไม่ได้ค่ะ ยังไงก็ไปไม่ได้นะคะ”
“ไม่ ปล่อย ฉันต้องไป” รัมภายื้อกัน
ทันใด รัสตี้ กับไลล่าวิ่งร้องไห้เข้ามากอดรัมภา
“หม่ามี้”
“ลูกแม่”
“หนูคิดถึงหม่ามี้ หนูคิดถึงหม่ามี้”
“ผมพาน้องมา แต่มาไม่ถึง ไอ้คนนั้นมันจะเอาเงิน มันหน้าแดง มันถือปืน”
ทั้งสองระล่ำระลักฟ้องทั้งน้ำตา รัมภางงตกใจ พัชนีกระซิบบอก
“เอ้อ เข้าใจว่า แกจินตนาการไปเองค่ะ คนที่จะเอาเงินจริงๆเป็นมอไซค์รับจ้างที่คุณนุเก็บหลักฐานไว้ แล้วปล่อยตัวไป”
รัมภาเข้าใจหมดแล้ว มองเด็กสงสาร
“ไม่ใช่ความผิดหนู แต่เป็นความผิดแม่เอง เป็นความผิดของแม่ แม่ต่างหากที่ลืมหนูไป แม่ต่างหาก”
จู่ๆไลล่าก็คุกเข่าลง จับมือรัมภา อ้อนวอนขอ ร้องไห้น่าสงสาร
“หม่ามี้ ต่อไปนี้หนูจะไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่งอแงโยเยอีกแล้ว หม่ามี้ อย่าทิ้งหนูไปนะคะ”
“ไลล่าทำไมพูดอย่างนี้ล่ะลูก”
รัสตี้น้ำตารินออกมา คุกเข่าลงวอนขออีกคน
“น้าเดือนบอกว่า แด๊ดดี้เบื่อเด็ก เด็กงอแง น่ารำคาญ หม่ามี้ก็เหมือนกัน หม่ามี้เบื่อเราจริงๆหรือครับ เบื่อจริงๆหรือครับ”
ผู้ใหญ่ทั้งหมดตกใจมาก
“ไม่นะ...ไม่จริง เขาพูดอย่างนั้นได้ยังไง ไม่จริงสักหน่อย”
“เดือนแรมขู่เด็กอย่างนี้นี่เอง มิน่าจู่ๆถึงหนีกันออกมา” พัชนีบ่น
“เกิดมาไม่เคยด่าผู้หญิง ยายเดือนแรมนี่ ขออีกทีเถอะ ต่ำจริงๆ” อนุกูลโมโห
“ผู้หญิงคนนั้น เขาพูดไม่จริง อย่าไปเชื่อเขานะคะ ทั้งแดดดี้และหม่ามี้รักหนู ลุกขึ้นเถอะ” พัชนีบอกเด็กๆ
เด็กไม่ยอมลุก รัมภาคุกเข่าลงกับพื้นกอดเด็กทั้งสองไว้ ท่าทางวอนขอของเด็กทั้งสอง เรื่องราวอันตรายที่เกิดขึ้นในวันนี้ นับว่าสุดๆแล้ว ได้เห็นแล้วว่าการทิ้งลูกเอาไว้ส่งผลอย่างไร รัมภาบอกเด็กทั้งสอง
“แม่อ่อนแอ เอาแต่ป่วย...เพราะแม่อ่อนแอ ลูกทั้งสองถึงถูกเขาทำร้ายคุณทวดของหนูพูดถูกแล้ว ไม่ใช่ลูกที่ได้ดีเพราะพ่อแม่ พ่อแม่ก็ได้ดีเพราะลูกเหมือนกัน ต่อไปนี้จะไม่เกิดเรื่องร้ายๆขึ้นในชีวิตหนูอีก แม่สัญญา แม่จะไม่มีวันทิ้งหนูไป แม่สัญญา”
สามแม่ลูก โผเข้าหากัน ร้องไห้ อนุกูลพูดเสียงเบากับตัวเอง งงๆ
“คุณทวดหรือ เฮ้ย ศพที่ตั้งอยู่อ่ะนะ!”
ทั้งหมดเข้ามาในห้องแล้ว รัมภายอมเปลี่ยนกลับเป็นชุดคนไข้แล้ว นั่งอยู่บนเตียง เด็กทั้งสองนั่งเล่นเขียนรูปกันอยู่มุมหนึ่ง เป็นปกติแล้ว ปล่อยให้ผู้ใหญ่คุยกันไป ไม่สนใจ
“วันพรุ่งนี้ ฉันจะขอหมอกลับบ้าน” รัมภาบอก
“คุณแน่ใจหรือ” อนุกูลถาม
“คุณไม่เห็นหรือ ลูกต้องการฉัน”
“บุญสืบเล่าว่า ตอนนี้เด็กสองคน การบ้านก็ไม่ทำ ไม่สนใจการเรียน บางทีก็ทะเลาะกัน เขากำลังจะกลายเป็นเด็กมีปัญหา” พัชนีเล่า
รัมภาพยักหน้ารับรู้
“เอ๊ายายนี่ คุณภาก็ต้องรักษาตัวเหมือนกัน”
“ไม่ ฉันป่วยไม่ได้แล้ว ฉันอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยคุณก็เห็น ยาของหมอ ทำให้ฉันนอน ทำให้ฉันไม่คิด แต่ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไม่ได้”
“การรักษาแค่หนีปัญหา แต่หากจะแก้ไขชีวิต เราต้องไปจัดการที่ต้นตอของมัน” พัชนีเตือน
อนุกูลดุ
“ยายนี่ก็ยุจริง จริงสิ ในรถนั่น จู่ๆ เธอก็เปิดวิทยุแล้วไอ้วิทยุนั่น ก็พูดเรื่องทางไปหาเด็กแฝดพอดี เธอสืบทอดการเป็นแม่มด มาจากลุงช่วงของเธอที่เป็นพ่อมดหรือเปล่า”
“บ้าสิ พ่อมดแม่มดอะไรของคุณ ฉันก็แค่ได้ยินเสียง ช่างเถอะๆ อย่าไปพูดถึงมันเลย”
ขณะเดียวกัน คุณหญิงอบเชยนั่งอยู่ข้างเด็กๆ มองหลานด้วยความรัก ลูบหัวรักใคร่
“คนเรามีผีเจ้ากรรมนายเวรคอยทำร้าย ก็ต้องมีผีปู่ย่าตายายคอยปกป้องเหมือนกัน หลานรักของทวด ทวดจะอยู่ปกป้องหนูเสมอ รู้ไหม”
รัมภาถามพัชนี
“เสียงของผู้หญิงใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ ทำไมคุณรู้ล่ะคะ”
“คงเป็นคุณทวดอบเชย ตอนนอนอยู่ที่นี่ ฉันฝันเห็นท่าน ท่านเล่าเรื่องในอดีตบางส่วนต่อจากลุงช่วงให้ฉันฟัง”
“จริงหรือคะ”
“ฉันกำลังเผชิญหน้าโดยตรงกับเงาอดีต ฉันหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไม่ได้อีกแล้ว จะชนะหรือพ่ายแพ้ก็ยังไม่รู้ แต่ฉันออกจากเกมไม่ได้ หนีไม่พ้นเสียแล้ว”
พัชนีจับมือรัมภา ดีใจด้วยที่รัมภาเข้มแข็งขึ้น อนุกูลงงมากกับเรื่องผีสางที่สองคนนี้เล่ากันอยู่
“เฮ้ย อะไรกันวะเนี่ย เป็นตุเป็นตะทั้งสองคน เรื่องผีเนี่ยนะ”
อนุกูลมองไปรอบๆชักหวาดๆ แล้วผีจะอยู่แถวนี้ไหมเนี่ย
วันต่อมา...อนุกูล พัชนีและเด็กๆ พารัมภาที่หมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เข้ามาที่เรือนใหญ่ บุญสืบ คำ หล้ารีบเดินมาหา
“คุณผู้หญิง” บุญสืบไหว้ “ผมขอโทษ เรื่องเด็กๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันกลับมาแล้ว ฉันจะดูแลเด็กๆเอง” รัมภาย้มแย้ม
“คุณหายแล้ว เราสองคนดีใจจริงๆ” คำบอกอย่างยินดี
“ขอต้อนรับกลับบ้านนะครับคุณผู้หญิง”
บุญสืบแซวเด็กสองคนที่จับมือแม่แน่น ยิ้มแย้ม
“แหมยิ้มใหญ่เลยนะ ปากจะฉีกถึงใบหูแล้ว”
“โอ๊ยปากนะครับ ไม่ใช่ทุเรียน จะฉีกได้ไงคร้าบ”
ทุกคนหัวเราะกันสนุกสนาน ผ่อนคลายเป็นครั้งแรก หลังจากเกิดปัญหาขึ้น
รัมภาจูงมือรัสตี้ กับไลล่า พาทุกคนเดินมาดู รัมภาหยิบขวดยาออกมาสองสามขวดที่ซื้อตุนเก็บไว้ โชว์ให้เด็กดู
“หนูดูนี่นะ เมื่อก่อน แม่เป็นทาสของสิ่งนี้ ยานอนหลับ แม่ขอบอกหนูต่อหน้านี้เลย แม่จะเลิกกินมันแล้ว”
รัมภาทิ้งลงถังขยะ โครม!
“เย้”
เด็กทั้งสองปรบมือดีใจ
“คุณเคยบอกว่า ถ้าคุณไม่กิน คุณก็นอนไม่หลับ พอคุณนอนไม่หลับ คุณก็ป่วย แล้วนี่ยังมาปฏิเสธการรักษาจากหมออีก แล้วถ้านอนไม่หลับขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำยังไง” อนุกูลกังวล
“หมอมีเอาไว้รักษาโรคทางกาย แต่ทางใจ เรามีศาสนา ใช่ไหมคะคุณพัช”
พัชนีกับอนุกูล งงไป
“คะ...เอ้อ ค่ะ เขาเรียกธรรมะโอสถ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ถ้ารักษาเยียวยาจิตใจให้มีความสุข โดยอาศัยที่พึ่งคือศาสนาที่ตนเชื่อถือ ในที่สุด โลกทางกาย ก็อาจจะหายไปได้”
รัมภาพยักหน้า อนุกูลโวย นี่หรือคือแผนการที่รัมภาเตรียมไว้
“เฮ้ย ไม่นะ ไปวัดอีกแล้วหรือ ฮือ ไม่ไป....”
อนุกูลส่งเสียง งอแง…
จบตอนที่ 10
อ่านต่อ ตอนที่ 11 พรุ่งนี้