กระบือบาล ตอนที่ 4
สรนุช สุบินและอรอนงค์เดินมาตามทางในสถานีฯ ด้วยความมืดมิดที่แผ่คลุมไปทั่วบริเวณบวกรวมเข้ากับบรรยากาศแสนวังเวง ทำให้อรอนงค์ที่มองไปรอบๆ รู้สึกกลัวขึ้นมา
“มันจะมีตัวอะไรออกมามั้ยอ่ะ”
“มี” สุบินบอก
“ว้าย”
“สุบิน...เลิกหลอกอรได้แล้ว...มัวแต่เล่นเดี๋ยวก็เสียงานพอดี”
สรนุชเอ็ด แต่สุบินอมยิ้มขำ ทั้งหมดเดินต่อ สรนุชกับสุบินเดินนำ อรอนงค์ที่กลัวเดินตาม จังหวะหนึ่งหูกางเกงของอรอนงค์ไปเกี่ยวกับกิ่งไม้เข้า ทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าถูกใครดึง อรอนงค์ถึงกับชะงักกึกทันที
อรอนงค์เสียงสั่น “นุช”
สรนุชกับสุบินหยุดแล้วหันมา ก็เห็นอรอนงค์ยืนห่างทิ้งท้ายออกไป
สรนุชหงุดหงิด “อะไร”
อรอนงค์ปากคอสั่น “มี...มีใครดึงฉันก็ไม่รู้”
สรนุชระอา “อร...ถ้าเธอกลัวมากก็มาเดินข้างหน้า”
“ฉะฉะฉันเดินไม่ได้จริงๆ...อะไรมันดึงฉันไว้ก็ไม่รู้”
ทันใดนั้นสุบินมองไปทางหลังอรอนงค์ แล้วก็ทำสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา
“ไม่...ไม่จริง”
อรอนงค์สติแตก เพราะคิดว่ามีอะไรอยู่ข้างหลัง
“อ๊าย”
อรอนงค์กรีดร้องเสียงดังลั่นออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะกระชากตัวเองออกวิ่งสุดแรงเกิดทำให้หูกางเกงหลุดออกจากกิ่งไม้ อรอนงค์วิ่งสติแตกออกไป สรนุชกับสุบินตกใจ
“อร!” สรนุชหันไปเอ็ดสุบิน “เป็นไงละ...อร”
อรอนงค์วิ่งแบบไม่คิดชีวิตจนมาถึงคอกพ่อพันธุ์ สรนุชกับสุบินวิ่งมาทันก่อนจะรีบกระโดดตระครุบอรอนงค์เอาไว้ แล้วรีบเอามือปิดปาก
“ตั้งสติหน่อยซิอร...มันไม่มีอะไรซะหน่อย...ใช่มั้ยสุบิน”
“เออ...ใครจะไปคิดว่าเธอจะกลัวขนาดนี้”
จังหวะนั้นสรนุชหันไปเห็นแสงไฟฉายสาดส่องออกมาจากคอกพ่อพันธุ์
“มีคนมา”
ทั้งสามลืมเรื่องทุกอย่าง ต่างรู้ตัวกันดีว่าต้องทำให้เงียบที่สุด ทุกคนจับจ้องคนที่เดินออกมาจากคอกแล้วจึงเห็นว่าเป็นเกริกไกรนั่นเอง
“เหมือนเราได้ยินเสียงคุณอรเลย...อืม...หรือว่าเราจะคิดถึงคุณอรมากไป”
เกริกไกรหาวหวอดออกมา “เฮ้อ...กลับไปอาบน้ำซะหน่อยดีกว่า”
เกริกไกรหันไปปิดคอกก่อนจะเดินถือไฟฉายออกไป
สรนุช สุบินและอรอนงค์ค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมาหลังจากที่เกริกไกรเดินผ่านไป
“เกือบไปแล้วเห็นมั้ย”
“ขอโทษ” อรอนงค์รู้สึกแย่
“เธอไม่ผิดหรอก...” สรนุชหันไปเอานิ้วจิ้มหัวสุบิน “นายนี่ต่างหาก”
“เอ้า...เออๆ ฉันมันผิดฉันมันเลว...พอใจยัง”
“ยัง...จนกว่าฉันจะได้รูปควายพวกนั้น”
สรนุชมองไปทางคอกพ่อพันธุ์เหมือนเห็นความสำเร็จอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ขณะเดียวกันใจเด็ดใส่รองเท้าอยู่หน้าบ้านพร้อมไฟฉายและไม้ที่วางอยู่ข้างตัว ระหว่างนั้นได้ยินเสียงเกริกไกรตะโกนเรียก
“วู้...!”
ใจเด็ดมองไปก็เห็นเกริกไกรเดินเข้ามา ใจเด็ดรีบพุ่งไปหาทันที
“มีอะไรไอ้หมอ...จะเด็ดเป็นไร” ใจเด็ดเข้าไปเขย่าตัว
“เดี๋ยวๆ...ฟังก่อนซิเว้ย...ฉันจะกลับมาอาบน้ำ”
“แล้ว...จะเด็ด”
“ดีขึ้นแล้ว...พรุ่งนี้พาเดินพาวิ่งซักหน่อยก็น่าจะหายแล้ว”
ใจเด็ดโล่งอก “งั้นแกนอนเลยก็ได้...เดี๋ยวฉันไปเฝ้าต่อเอง”
“ที่จริงแกไม่ต้องไปเฝ้าแล้วก็ได้นะ...ไม่น่าจะมีอะไรแล้วละ”
“ไม่เป็นไร...ฉันอยู่นี่ก็นอนไม่หลับ”
ใจเด็ดพูดจบก็จะเดินออกไป เกริกไกรมองตามรู้ว่าใจเด็ดเป็นห่วงจะเด็ดมาก ระหว่างนั้นใจเด็ดนึกได้ก่อนจะหันมา
“ขอบใจมากนะหมอ
เกริกไกรยกไม้ยกมือเป็นเชิงบอกว่าเรื่องเล็ก ใจเด็ดยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะรีบเดินออกไป
เวลาเดียวกันสรนุช กับสุบิน เดินเข้ามาในคอกพ่อพันธุ์ ควายบางตัวที่ยังไม่นอนพอเห็นคนและได้กลิ่นแปลกๆ ก็เริ่มหันมองไปทางกลุ่มสรนุช
“เอาไงดี”
“ถ่ายให้หมดทุกตัวแล้วกัน...รีบๆ เข้าดีกว่า...ฉันกลัวแม่ขวัญอ่อนนั่นจะตกใจเสียงใบไม้ไหวอีก
สรนุชกับสุบินต่างเริ่มแยกย้ายกันไป สรนุชเดินมาถึงคอกที่จะเด็ดนอนอยู่ สรนุชยกกล้องดิจิตอลขึ้นถ่ายทันที
แต่ทันทีที่สรนุชกดถ่ายรูป แสงแฟลชทำให้จะเด็ดตกใจ ควายหลายตัวเองก็เริ่มมีปฏิกิริยาเหมือนกัน
“พวกมันเป็นอะไร” สรนุชสงสัย
“สงสัยจะตกใจแสงแฟลช...ฉันว่ารีบถ่ายแล้วรีบไปเถอะ” สุบินบอก
อรอนงค์เดินออกมาจากคอกพ่อพันธุ์ มองไปรอบๆ บรรยากาศทุกที่มืดมิด ระหว่างนั้นอรอนงค์ก็เห็นแสงไฟจากไฟฉายสาดส่องเข้ามา อรอนงค์เพ่งไปในความมืดที่ลำแสงของไฟฉายนั่น
เพียงชั่วครู่ใจเด็ดก็เดินพ้นจากบังไม้เข้ามา อรอนงค์ถึงกับตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นใจเด็ด
สรนุชกับสุบินต่างรีบถ่ายรูปควายพ่อพันธุ์ในคอก แต่ยิ่งถ่ายควายเหล่านั้นก็ยิ่งตกใจ ภายในคอกเริ่มวุ่นวาย อรอนงค์วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น พอเห็นอาการตื่นของควายอรอนงค์ก็ยิ่งตกใจ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“เข้ามาทำไม...ฉันบอกให้ดูต้นทางเอาไง”
“นุชไปเถอะ..คุณใจเด็ดมา” อรอนงค์บอก
“อะไรนะ”
ใจเด็ดเดินมาใกล้ถึงหน้าคอกเข้าไปทุกที รู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงควายร้องและวิ่งชนคอก ใจเด็ดตกใจรีบวิ่งเข้าไปที่คอกทันที
ทางด้านสุบินและอรอนงค์พยายามดึงสรนุชที่ยังดื้อไม่ยอมออกไป
“ไปเถอะ...เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาใหม่ก็ได้”
สรนุชสะบัดมือออก “เดี๋ยว”
สรนุชวิ่งกลับไปถ่ายรูปควายอีกรูป ระหว่างนั้นสุบินหันไปเห็นใจเด็ดเดินเข้ามาที่คอกพ่อพันธุ์
“แย่แล้ว...ไปเร็วอร”
สุบินรีบดึงอรอนงค์ออกไปอย่างเงียบเชียบและรวดเร็ว สรนุชวิ่งเข้ามาที่หน้าคอกกำลังจะถ่าย แต่แล้วใจเด็ดก็เดินเข้ามาพอดี สรนุชตกใจ
สุบินกับอรอนงค์วิ่งออกมาจากคอกพ่อพันธุ์ได้ทันหวุดหวิด ทั้งสองหอบทั้งเหนื่อยและตื่นเต้น
อรอนงค์หันไปมองทางคอกอย่างกังวล “ทำไมนุชยังไม่ออกมาอีก”
สุบินกับอรอนงค์มองเข้าไปในคอกพ่อพันธุ์ด้วยความเป็นห่วงสรนุช
ด้านสรนุชแอบหลบอยู่ที่หลังควายตัวหนึ่ง ใจเด็ดเดินเข้ามาสำรวจภายในคอก พอเห็นควายที่ต่างตื่นตระหนกก็แปลกใจ
“เป็นไรของพวกแก...มีอะไร”
ควายในคอกยังไม่หายตื่น ใจเด็ดแปลกใจจึงเริ่มเดินสำรวจ สรนุชแอบมองขาของใจเด็ดก่อนจะคลานสวนไปในทิศทางตรงกันข้าม
แต่เพราะสรนุชเองมัวแต่มองขาของใจเด็ด ทำให้ไม่ทันเห็นถังที่วางกองเอาไว้อยู่ จึงทำให้หัวของเธอชนเข้ากับถังเต็มๆ
สรนุชอ้าปากค้างเมื่อเห็นถังกำลังจะร่วงลงมา เสียงถังหล่นดังเคร้งคร้าง ใจเด็ดหันขวับไปทางเสียงก่อนจะรีบวิ่งไปทันที
สรนุชถูกถังครอบหัวอยู่ก่อนจะค่อยๆ ยกถังออก “อี๋!”
แต่ทันทีที่สรนุชยกถังออก สรนุชก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใจเด็ดยืนอยู่ตรงหน้า
เสียงถังนมที่สรนุชชนร่วงจากในคอกทำให้อรอนงค์ตกใจยืนไม่ติด
“สุบิน แกได้ยินเสียงนั่นมั้ย? ต้องเกิดอะไรขึ้นกับยัยนุชข้างในแน่ๆ เลยอ่ะ”
“เพื่อนต้องไม่ทิ้งเพื่อน เราต้องเข้าไปช่วยยัยนุช! แต่เราจะเข้าไปทื่อๆ แบบนี้ ไม่รอด ต้องถูกจับได้แน่ๆ”
“แล้วจะเข้าไปยังไงล่ะแก?” อรอนงค์ปรึกษา
“ก็ปลอมตัวแบบในละครสิ”
ว่าแล้วสุบินก็หันไปคว้าฟางแห้งที่กองอยู่ขึ้นมาใส่ๆหัวตัวเองกับอรอนงค์
“อ๊าย...ไอ้สุบินบ้า แบบนี้ทางละครของแก เรียกว่าปลอมตัวแล้วเหรอห๊ะ”
“ก็ฉันมุกแป้ก ทำอะไรไม่ถูกแล้วนี่หว่า”
สุบินขยี้หัวหันไป แล้วดันเจอเกริกไกรยืนถือไฟฉายส่องที่ใต้คางเหมือนผีอยู่ สุบินตกใจแทบช็อกร้องลั่น
“จ๊ากก...ผี!”
“แหะๆ ผีคนดม...ผมคนดีเองคร๊าบ เอิ๊กๆ ออกมาเล่นอะไรกันครับเนี่ยะ” เกริกไกรถาม
“มาตามยัยนุชน่ะค่ะ”
อารามตกใจ อรอนงค์เลยชี้บอกเข้าไปในคอก สุบินยกมือตบกระบาลตัวเอง...อยากจะบ้าตาย
ในขณะที่เกริกไกรเลิกคิ้วแปลกใจมองเข้าไปในคอก
ส่วนภายในคอกพ่อพันธุ์เวลานั้น ใจเด็ดส่องไฟฉายย่างสามขุมเข้ามาหาสรนุชที่ยืนถือถังนมช็อกๆอยู่ พลางไฟฉายส่องหน้า จนเห็นหน้าสรนุชชัดมาก
ใจเด็ดเสียงเครียด “คุณเข้ามาทำอะไรที่นี่?”
สรนุชกอดถังนมแน่น ส่ายหน้าดิก “ปละๆ...ปล่าว ฉันไม่ได้เข้ามา”
“ยืนอยู่โทนโท่ตรงนี้ ยังบอกไม่ได้เข้ามาอีก”
“ฉะๆ ฉันไม่รู้ ฉันเข้ามาได้ยังไง งงไปหมดแล้ว ไม่รู้จริงๆ”
สรนุชตะแบงแก้ตัวน้ำขุ่นๆ พลางส่ายตาตาล่อกแล่กคิดแผนอาตัวอดไปด้วย
“หึ จะบอกว่าละเมอเดินเข้ามาไม่รู้ตัวอีกเหรอแม่คุณ หา!”
ใจเด็ดตวาดใส่หน้า สรนุชเลยโยนถังทิ้งร้องกรี๊ดชี้ไปที่มุมมืดหลังใจเด็ด
“อ๊าย....ผี!”
ใจเด็ดหันมองหา “ผีที่ไหนของคุณ?”
“ยะๆๆๆ อยู่นั่นไง ใส่ชุดขาวๆ ผมยาวๆ ตาถลน อ๊าย...ต้องเป็นมันแน่ๆที่สะกดจิตพาฉันมา ที่นี่”
“ไปหลอกเด็ก 3 ขวบเถอะคุณ ไม่ต้องมาหลอกผม ผมไม่กลัวผี!”
สรนุชเห็นไม่สำเร็จ เลยทำตาเบิกโพลงชี้โบ้ชี้เบ้ไปข้างหลังใจเด็ดกรีดร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย
“อ๊าย...มันลอยเข้ามาแล้ว...อย่านะ...อย่าเข้ามา...อย่าทำอะไรฉัน อย่า”
ว่าแล้วสรนุชก็โผเข้ากอดซุกใจเด็ด ทำเอาใจเด็ดตกใจ อ้าปากค้าง สยิวกิ้ว พูดจาละล่ำละลั่กไปหมด
“ช่วยด้วย...คุณใจเด็ดช่วยฉันด้วย”
“เอ่อ...ผะ...ผีอะไรของคุณ...ที่นี่ไม่มีหรอก”
“มีซี มันอยู่ข้างหลังคุณไง มันหลอกล่อฉันมาจะฆ่าที่นี่ อ๊ายฉันกลัว”
ใจเด็ดเลยหันไปส่องไฟหาอีกครั้ง...ไม่เห็นมีผี นอกจากควายและเครื่องไม้เครื่องมือ ใจเด็ดถอน
“ไม่เห็นจะมีผีอะไรอย่างที่คุณว่าเลยสักตัว” ใจเด็ดหันมาดึงไหล่สรนุชผละออกจากอก “นี่...หยุดส่งเสียงเหมือนผีเข้าได้แล้ว เดี๋ยวควายสุดที่รักของผมก็ช็อกตายหรอก บอกมาซะดีๆ...คุณเข้ามาทำอะไรในคอกนี่กันแน่ ห๊ะ”
สรนุชเห็นท่าจะจนตรอก เลยได้ไอเดียจากคำว่าผีเข้าของใจเด็ด ก้มหน้าทำผมยาวๆ ปรกหน้า ทำตาปะหลับปะเหลือก ส่งเสียงหัวเราะหงิงๆ ตัวสั่นเหมือนคนถูกผีเข้า “ฮี่ๆๆๆ”
ระหว่างนั้นภิรมย์เดินส่องไฟฉายเข้ามาทางด้านข้างคอก
“เสียงใครคุยอยู่ในนี้?” พอเห็นอาการสรนุช ตกใจ “เจ้ย”
“นี่คุณ...ผมถามไม่ได้ยินหรือไง เข้ามาทำไม?”
สรนุชแกล้งทำเสียงผี “ได้ยิน หูไม่ได้หนวก นายกระบือบาลบ้ารักควายเอ้ย ฉันอยากจับควายของแก หักคอ เอาเครื่องในมาทำลาบให้หมด ฮี่ๆๆๆ”
เกริกไกร อรนงค์ สุบินเดินเข้ามาเห็น
“ว้าย อะไรน่ะ ดูยัยนุชซี ท่าทางแปลกๆ เป็นอะไรไป?” อรอนงค์ทั้งแปลกใจทั้งสงสัย
“อะๆ อาการอย่างซี้ ชัดเลยเด้อ ทะๆๆ ที่บ้านผมเรียกว่าผีเข้า”
สุบินกับอรอนงค์ประสานเสียง “หา...ผีเข้า”
“ผีเข้าอะไรกัน เมื่อกี้ยังยืนคุยกับฉันดีๆอยู่เลย ท่าทางจะคุยกันไม่รู้เรื่อง” ใจเด็ดคว้าแขนหมับ “มานี่ดีกว่า ไปคุยกันที่โรงพักดีกว่า”
สรนุชแทบช็อก ยิ่งแสดงชุดใหญ่ “ปล่อยฉันนะไอ้กระบือบาล ฉันหิว ฉันจะกินควายแก”
“เฮ้ยไอ้เด็ด...เย็นก่อนซีวะ...คุยดีๆ กับสุภาพสตรีหน่อย กระชากลากถูยัง กับเป็นเด็กในคอกแกไปได้ เรื่องเล็กๆทำไมต้องถึงโรงพักด้วยวะเพื่อน” เกริกไกรเอ่ยขึ้น
“บุกรุกคอกสัตว์ของราชการยามวิกาล นี่เรื่องเล็กๆ เหรอวะไอ้หมอ” ใจเด็ดเสียงกร้าว
“เอ่อ ยัยนุชมันไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกหรอกครับ อย่าจับมันส่งตำรวจเลย ดูดิ...อาการมันน่าเป็นห่วงออก ตาขวางๆ พูดจาไม่รู้เรื่อง หรือว่าจะถูกผีเข้าอย่างที่ภิรมย์ว่าจริงๆ” สุบินผสมโรงช่วย “เย้ย...น่ากลัว”
“ฉันบอกให้ปล่อย ไม่ปล่อยใช่ไหม๊ งั้นฉันจะกินแกแทน”
ว่าแล้วสรนุชก็กระโดดเกาะหลังใจเด็ด กัดหมับไปที่ไหล่เขาเต็มแรง
“อ๊าก” ใจเด็ดแหกปากร้องลั่น
“เฮ้ยๆๆๆ มีกัดกันแล้ว ช่วยกันแยกเร็ว”
เกริกไกรและทุกคนรีบเข้าไปช่วยกันดึงออกชุลมุน
“จั่งซี้ส่งโรงพักช่วยบ่ได้ดอก มันต้องส่งหมอ” ภิรมย์บอก
เกริกไกรกับภิรมย์ช่วยกันล็อคแขนสรนุชคนละข้างเดินออกมาเพื่อพาไปขึ้นรถ โดยมีใจเด็ดเดินจับไหล่ที่ถูกกัดตามมาอย่างหัวเสีย
ส่วนสรนุชยังคงตั้งหน้าโวยวายตลอดๆ “ปล่อยฉันนะ...ฉันไม่ไป...ฉันไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไร ฉันไม่ไปหาหมอ...ปล่อย...ฉันไม่ไป”
สรนุชหันไปมองสุบินกับอรอนงค์ที่เดินตามมา สรนุชแอบขยิบตาส่งสัญญาณความช่วยเหลือจากเพื่อนทั้ง 2...ปิ๊ง...ปิ๊งๆ อรอนงค์สะกิดกระซิบกับสุบิน
“ดูยัยนุชดิสุบิน...ขยิบตาทำไมไม่รู้ สงสัยผีจะตาเจ็บ”
“ผีตาเจ็บที่ไหนกันแกก็ ยัยนุชมันกำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเราต่างหาก”
อรอนงค์ดีใจ “งั้นก็แสดงว่ายัยนุชไม่ได้ผีเข้าจริงๆ น่ะสิ เฮ่อ...ค่อยโล่งอกไปที”
สุบินเซ็งเป็ดเกาหัวแกร๊ก “โล่งอกอะไร๊ ดันทำผีเข้าแบบไม่วางแผนกันล่วงหน้าแบบนี้ แล้วมันจะทำให้ผีออกยังไงล่ะ”
“เอ๊า...เข้าเองก็ออกเองดิ” อรอนงค์ว่า
“ผีบ้านแกเหรอ เข้าๆ ออกๆ ทำอย่างงั้นนายใจเด็ดก็รู้หมดสิว่ายัยนุชน่ะมันตอแหล”
“เออใช่...แล้วเราจะช่วยมันยังไงดีล่ะ”
จังหวะนั้นสรนุชยังขยิบตาปิ๊งๆๆๆๆๆ รัวเลยทีนี้ ขอความช่วยเหลือ แต่เห็นทั้ง 2 ยังคุยกันอยู่ สรนุชโมโหลืมตัว โพล่งออกมา
“จะคุยกันอีกนานไหม๊ ไอ้ 2 ตัวนั่นน่ะ ทำอะไรสักอย่างซี”
“ห๊ะ ว่าใครนะ” ใจเด็ดชะงัก หันมาจ้องหน้าสรนุช
สรนุชรู้ตัวนึกได้รีบกลับมาทำพูดเป็นเสียงผีอีก “ฮิๆๆ ว่าพวกแกนั่นแหละ แน่จริงอย่าจับฉันไว้ซี ปล่อยฉัน นี่แน่”
สรนุชกระทืบเท้าภิรมย์เข้าให้
“จ๊ากก” ภิรมย์ร้องลั่นปล่อยมือ ทำให้สรนุชสะบัดหลุดจากมือเกริกไกร
“เฮ้ยๆๆ ผีหลุดแล้ว จะหนีไปไหน”
เกริกไกรตามคว้าแขนสรนุช แต่ถูกสรนุชดีดเท้าหลังใส่ หงายผึ่ง
สรนุชออกวิ่งหน้าตั้งไป ใจเด็ดวิ่งตาม
“ผีอะไรเนี่ยะ เก่งแต่วิ่งหนี แน่จริงหายตัวเลยสิ เอาซีหายตัวเลยไม่หายตัวก็เสร็จฉัน”
แล้วใจเด็ดก็ตามตะครุบตัวไว้ได้
“อ๊าย....ปล่อยฉันนะ ช่วยด้วย...ช่วยด้วยซี”
สรนุชหันไปยักคิ้วหลิ่วตาสารพัดจะทำให้สุบินกับอรอนงค์ แต่ทั้งคู่ก็ได้แต่ทำหน้าจนปัญญา
“ผีที่ไหนเนี่ยะ ร้องให้ช่วย อิทธิฤทธิ์ไม่มีเลยเหรอ ถอดหัว ควักไส้น่ะ”
“นั่นมันผีกระสือชั้นต่ำ แต่ฉันไม่ใช่”
“อ๋อ เป็นผีเทวดาว่างั้นเหอะ เร็ว...ไอ้หมอ ภิรมย์ มาช่วยกันจับไว้”
ทั้งหมดช่วยกันจับตัวสรนุชถูกพาตัวขึ้นท้ายรถกระบะ
ใจเด็ดแอบบ่น “หึ เดี๋ยวก็รู้ว่าผีเข้าจริงหรือเก๊ เฮ้ย...จับล็อดไว้ให้ดีๆ นะ อย่าเพิ่งให้ผีออกกลางทางเสียก่อนจะถึงมือหมอล่ะ ฉันจะรีบพาซิ่งไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ใจเด็ดรีบขึ้นสตาร์ทรถ
สุบินตะโกน “รอด้วย...เร็วยัยอร”
สุบินกับอรอนงค์ตามขึ้นไปนั่ง ใจเด็ดขับเอี๊ยดออกไป
“ฉันไม่ไป ...ปล่อยฉันซี...พวกแกลบหลู่ฉัน ฉันจะกินตับพวกแกให้หมด”
เสียงของสรนุชโวยวายไปตลอดทาง
ไม่นานหลังจากนั้นใจเด็ดขับรถเข้ามาจอดเอี๊ยด ที่บ้านไม้เก่าๆ แบบมีใต้ถุนสูง ตั้งอยู่อย่างวิเวกวังเวงท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่ลมพัดไหวไปมา ซึ่งเป็นบ้านของมหาเหม็น
สุบินกับอรอนงค์หน้าแหยมองไปที่บ้าน กระซิบกัน
“มาหาหมออะไร ไม่เห็นมีโรงบาลหรือสถานีอนามัยเลย”
“นั่นดิ”
ใจเด็ดลงจากรถ ตะโกนขึ้นไปบนบ้าน “หมอ...หมออยู่มั้ย”
สักครู่หนึ่งประตูถูกถีบเปิดผางออก มหาเหม็นหิ้วตะเกียงออกมาพร้อมกับถือดาบหน้าเหี้ยม
“ไอ้โจรตัวไหน กล้ามาลองดีกับกูตอนดึกๆวะ”
ทำเอาทุกคนตกใจ สุบิน อรอนงค์ถึงกับถลาเข้าเกาะกัน ในขณะที่สรนุชตาเหลือก
สรนุชถามขึ้นทันที “มะๆ หมออะไรของพวกแก”
“ก็หมอผีไงฮิ” ภิรมย์บอก
สรนุชถึงกับลมจะใส่ ตัวอ่อนปวกเปียก
“หมอผี! ตายล่ะหว่ายัยนุช กะคนยังโหดขนาดนี้ กะผีจะโหดขนาดไหนวะเนี่ยะ” สุบินสยองแทน
“ยัยนุชตายแน่ๆ” อรอนงค์จ๋อย
“ผมเองลุงหมอ ไม่ใช่โจรที่ไหน” ใจเด็ดบอก
มหาเหม็นส่องตะเกียงดูชัดๆ “อ้าว...หัวหน้าใจเด็ดเองหรอกเหรอ โทษทีๆได้ข่าวช่วงนี้มีโจรขโมยควายออกอาละวาดที่ตำบลโน้น ฉันก็เลยต้องระวังตัวไว้ก่อน”
“ปัดโธ่ลุง...ขนาดผียังไม่กล้ากับลุง โจรที่ไหนมันจะกล้าแหยม” ใจเด็ดเหล่มองสรนุช
“แล้วนี่ หัวหน้ามาหาฉันกลางดึกป่านนี้ มีเรื่องอะไรเร๊อะ” มหาเหม็นถาม
“ผมก็มีผีมาให้ลุงปราบน่ะสิ มันสิงอยู่ในผู้หญิงคนนั้น”
ใจเด็ดหันไปชี้ที่สรนุช สรนุชส่ายหัวดิกตัวสั่นงันงก แต่เกริกไกรเข้าใจผิด
“ตัวมันเริ่มสั่นแล้วไอ้เด็ด มันเฮี้ยนหนักข้อขึ้นแล้ว จะทำอะไรก็รีบทำเหอะ”
มหาเหม็นมองมาหน้าเหี้ยม “ฮะฮ่า! ไม่ต้องห่วง เฮี้ยนนักเหรอ ฉ้านจะไล่ม้านกลับลงนรกให้เอง มะ...พามันขึ้นมาบนเขียงเลย”
เกริกไกรกับภิรมย์หิ้วปีกสรนุชลงจากรถ สรนุชแทบร้องไห้ขัดขืน
“ไม่นะ...ไม่...ไม่”
ครู่ต่อมามหาเหม็นกำลังยืนถือเทียนท่องมนต์ฮึมฮัมพลางหยดเทียนลงไปในขันทองเหลืองใส่น้ำขนาดใหญ่ โดยมีภิรมย์ทำหน้าเป็นผู้ช่วยถือขันให้ มีโทนยืนเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ
มหาเหม็นท่องเสร็จตวัดชี้เทียนไปยังสรนุชที่นั่งหน้าง้ำอยู่กลางเรือน เพราะไม่รู้จะเอาตัวเองออกจากสถานการณ์นี้ยังไง น้ำตาเทียนตวัดถูกภิรมย์สะดุ้งโหยง
“อู้ย...ว้าว...ซี๊ด”
“นังผีเร่ร่อน แกบังอาจมาก ที่มาสิงสู่แขกของหัวหน้าใจเด็ดเค้า”
“แล้วทำไม นายคนนี้มันวิเศษอะไรนักเชียว ถึงต้องไปกลัวเกรงเค้า” สรนุชเถียงคำไม่ตกฟาก
“หน็อย...นังฝีปากกล้า เถียงคำไม่ตกฟาก แกจะไม่ออกดีๆ ใช่มั้ยต้องเจอกับน้ำมนตร์ข้า”
ว่าแล้วมหาเหม็นก็หันไปดื่มน้ำจากขัน อมกลั้วปากกลั้วคอไปมา แล้วพ่นพรวดๆใส่สรนุช
สรนุชขยะแขยงร้องลั่น
“อ๊าย...ตามหาบ้า มาพ่นน้ำใส่ฉันทำไมเนี่ยะ” สรนุชยกแขนดม “อ๊าย...มีกลิ่นด้วยอ่ะ ฮึ่ยย์ ฉันไม่อยู่แล้ว”
สรนุชหันคลานจะลุกหนีลงจากเรือน แต่ใจเด็ดกับเกริกไกรหันมาจับตัวไว้
“เดี๋ยวๆๆ จะไปไหน ผียังไม่ออกเลย”
“ปล่อยฉันนะ...ปล่อย”
สุบินกับอรอนงค์ได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่รู้จะช่วยอะไรได้
มหาเหม็นตะโกนบอก “จับตัวมันไว้ อย่าให้หนี น้ำมนตร์คำเดียวเห็นจะเอามันไม่อยู่ มันต้องทั้งขัน”
สุบินกับอรอนงค์อ้าปากค้างประสานเสียง “หา”
ว่าแล้วมหาเหม็นก็หันไปคว้าน้ำมนตร์ทั้งขันมาจากมือภิรมย์ สาดเข้าใส่หน้าสรนุช โครม!
“ว้าย” สรนุชร้องลั่นเพราะไม่ทันตั้งตัว
ใจเด็ดกับเกริกไกรผงะหนี ปล่อยให้สรนุชนั่งสำลักน้ำที่เข้าปากครึ่งจมูกครึ่ง ลูบหน้าลุกขึ้นชี้หน้า
“อี่ย์...ฉันทนไม่ไหวแล้ว สาดเข้ามาได้ แกจะไล่ผี หรือจะฆ่าคนกันแน่ห๊ะ”
เกริกไกรร้องเตือน “ระวังนะมหา ท่าทางผีมันจะสู้แล้ว”
โทนสังเกตการณ์อยู่รีบยื่นไม้หวายอันใหญ่ยาวให้ “เอาหวายไปเลยพ่อ จัดการฟาดมันเลย”
“จะสู้เหรอ มามะ ไอ้ผีบ้า เจอกับหวายข้าหน่อยเป็นไง”
มหาเหม็นรับไม้หวายอันยาวมา ทำฟาดฟึดฟัดตีอากาศขู่ไปมา
จนทำเอาอรอนงค์ตกใจ เขย่าแขนสุบินยิกๆ “ยัยนุชแย่แล้ว คิดเร็วๆ ซีสุบิน จะช่วยยัยนุชยังไง”
“ช่วยยังไงล่ะ ตอนนี้คิดไรไม่ออก”
มหาเหม็นถือไม้หวายพนมมือท่องคาถา แล้วเป่าใส่ไม้พ่วงๆ ก่อนจะชี้ไม้มาที่สรนุช
“มา...เอ็งเข้ามา...ดูสิว่าจะสู้หวายสยบวิญญาณของข้าได้มั้ย ฮ่ะๆๆ”
“ไม้นี่น่ะเหรอ หวายสยบวิญญาณฮ่ะๆๆ อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วงงมงาย ไร้สาระที่สุด” สรนุชเยาะ
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าแกจะทนได้สักกี่ผัวะ จ๊ากกก”
มหาเหม็นจัดเต็มเงื้อไม้ตีไปที่หลังสรนุชสุดแรง
“อ๊าย... ฉันเจ็บนะ...อ๊าย...อู๊ย...ซี๊ด” สรนุชเจ็บจริงอะไรจริง
อรอรนงค์เขย่าสุบินอีก
“คิดออกซะทีซี เพื่อนแกจะตายอยู่แล้วนั่นเห็นมั้ย”
วินาทีนั้นสุบินก้มลงมองสร้อยพระตัวเอง
“คิดออกแล้ว! ยังงี้นะ....ฉู่ฉี่ๆๆๆ”
สุบินหันไปกระซิบกระซาบบอกแผนกับอรอนงค์ที่ข้างหู
ในขณะที่สรนุชยังคงถูกเฆี่ยนต่อไป
“อู๊ย....ไอ้หมอผีซาดิสต์... คนนะไม่ใช่วัวใช่ควาย เฆี่ยนอยู่ได้ฉันเจ็บ ทนไม่ไหวแล้ว ฉันจะฆ่าแก”
สรนุชคว้าหวายที่มหาเหม็นฟาดลงมาไว้ แล้วทำท่าเหมือนจะฆ่าจะแกงมหาเหม็น
“เฮ้ย...มันเฮี้ยนจริงๆ ไม่กลัวหวายข้าเลย” มหาเหม็นคำราม
“งั้นต้องพิฆาตด้วยมีดหมอเลยพ่อ” โทนภูมิใจนำเสนอ
ว่าพลางโทนคว้ามีดหมอออกมา ทำเอาทั้งใจเด็ด เกริกไกรตกใจ
“เฮ้ยหมอ...พอเถอะ...อย่าถึงกับใช้มีดเลยนะ” ใจเด็ดบอก
“ไม่ได้ อีนี่ฤทธิ์มันมาก คงจะหลุดมาจากนรกขุมสุดท้าย โอม”
มหาเหม็นยกมีดขึ้นพนมท่องคาถา แล้วทำท่าควงเงื้อขึ้น
“ย๊าก”
สุบินโผล่เข้ามาขวาง “อย่า!ถอยครับถอย...ผมมากับพระ”
มหาเหม็นชะงัก เห็นสุบินรีบก้าวเข้ามาสวมสร้อยพระใส่คอให้สรนุช สรนุชก้มลงมองพระแล้วก็รับมุก ทำเป็นหยุดยืนกระพริบตาเหมือนผีออก แล้วทำหน้างงๆ
“แกทำอะไรฉันน่ะสุบิน”
“เฮ้...ผีออกไปแล้ว”
เกริกไกรงง “แล้วมันออกไปไหน”
อรอนงค์ที่ยืนอยู่ข้างหลังทำเป็นผมปรกหน้า ตาเหลือกเหมือนถูกผีเข้าแทน
“ฮี่ๆๆๆ”
มหาเหม็นชี้ “เย้ย...ผีไปเข้าอีหนูนั่นแทน”
อรนงค์หันขวับไปที่มหาเหม็น มหาเหม็นภิรมย์สะดุ้งตะโกนพร้อมกัน “เย้ย”
“ไอ้หมอผี...แกอย่าอยู่เลย”
อรอนงค์กระโจนเข้าไปบีบคอมหาเหม็น ทำเอาตกใจกันทั้งบ้าน
“อ๊ากกก หายใจไม่ออก แค่กๆๆ ช่วยฉันที ผีม้านจะฆ่าฉ้าน”
ใจเด็ดเริ่มหวั่นไหว “เฮ้ยๆๆปล่อย...นี่ผีเข้าจริงๆ เหรอเนี่ยะ”
ใจเด็ดกับเกริกไกรรีบลุกเข้าไปช่วยกันแกะมืออรอนงค์วุ่น ขณะที่ภิรมย์ตกใจกลัวจนเกาะเสาบ้านแน่น
“เย้ย...ผีตัวนี้เฮี้ยนจริงๆ ว่ะ”
“ปล่อยครับคุณอร เอ้ย...ปล่อยเถอะครับคุณผี” เกริกไกรว่า
“ไม่ต้องกลัวครับ พระช่วยได้”
ว่าแล้วสุบินก็ถอดสร้อยจากคอสรนุชมาสวมคออรอนงค์แทน อรอนงค์ทำทีเป็นผีออกปล่อยมือ จากคอมหา แต่แล้วมหาต้องร้องจ๊าก เมื่อผีมาเข้าสรนุชแทน ยื่นมือมาบีบคอหมอจากด้านหลัง
“จ๊าก....มันกลับมาเข้าคนเดิมอีกแล้ว”
สุบินเลยถอดสร้อยจากอรอนงค์มาใส่ให้สรนุช ผีออกจากสรนุช ไปเข้าอรอนงค์อีก กลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ จนสรนุชชักเหนื่อย
“พวกแกเล่นอะไรกันวะเนี่ยะ ผีไม่ไหวแล้ว เฮิ้ก”
สรนุชขาอ่อนทรุดลงนอนลมใส่อยู่กลางบ้าน
“แหะๆๆๆ ผีมันยอมแพ้ ยอมออกอย่างถาวรแล้ว”
สุบินบอก พลางยิ้มแหยๆ
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้ เวลา 9.00 น.
กระบือบาล ตอนที่ 4
ไม่นานหลังจากนั้น กลับจากบ้านมหาเหม็น ใจเด็ด เกริกไกร และภิรมย์เดินมาส่งสรนุช อรอนงค์ สุบินที่หน้าบ้านพัก สีหน้าสรนุชดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด เนื้อตัวเปียกปอน ผมเฝ้ายุ่งเหยิงเป็นกระเซิง
“พวกเราส่งแค่นี้นะครับ คุณอรอนงค์ไม่เป็นอะไรแน่นะ” เกริกไกรเป็นห่วงเป็นใย
อรอนงค์ยิ้มแห้งๆ “เอ่อ...ค่ะ ไม่เป็นไร”
“ยัยอรไม่เป็นอะไรหรอก แต่ยัยนุชนี่สิ เกือบตาย...เจ้ย”
สุบินสะดุ้งโหยง เพราะเจ็บจี๊ดเนื่องจากถูกสรนุชแอบหยิกหมับเข้าที่ก้น ขณะที่ใจเด็ดมองสภาพสรนุชแล้วขำออกมา
“ตั้งแต่ผมทำงานที่นี่มา ก็เพิ่งจะเคยเห็นคุณเป็นคนแรกนี่แหละที่ถูกผีเข้าที่คอกควาย หึๆ” ใจเด็ดขำไม่หาย
“ขอบคุณที่บอก ฉันคงจะเป็นคนที่โชคดีมากสินะ ราตรีสวัสดิ์ หึ!”
สรนุชหันตัวเดินเข้าบ้านอย่างอารมณ์เสียสุดขีด
“ก่อนนอนอย่าลืมสวดมนต์ด้วยเด้อคุณนุช เดี๋ยวผีมันจะกลับมาเข้าอีก” ภิรมย์เตือนอย่างหวังดี
สรนุชกัดฟันแทบอยากจะกรี๊ดออกมา จึงรีบเดินจ้ำพรวดๆ เข้าบ้านไป
“เชิญคุณอรเข้าบ้านไปพักผ่อนเถอะคร๊าบ” เกริกไกรบอก
“ค่ะ” อรอนงค์หันตัวจะเดินไป
เกริกไกรเรียกไว้ “เดี๋ยวครับคุณอร”
อรอนงค์หันมาท่าทีอ่อนใจ “อะไรอีกล่ะคะ”
“ผมอยากจะบอกว่า ตอนที่คุณอรผีเข้าน่ะ น่ารั๊ก...น่ารักครับ”
อรอนงค์ยิ้มเหยเก ส่วนสุบินหลุดขำ
“หัวเราะอะไร เข้าบ้านสิ ฉันง่วงตาจะปิดแล้ว” อรอนงค์เอ็ดสุบิน
“เข้าบ้านก่อนนะคร๊าบ กู้ดไนท์ สามหนุ่มกระบือบาล”
สุบินทำท่า ตะเบ๊ะแล้วหันเดินตามอรอนงค์เข้าบ้านไป ในขณะที่ใจเด็ดยืนกอดอกมองยิ้มขำๆ พลางคิดในใจไม่อยากเชื่อเรื่องผีเข้า คิดไปคิดมาแล้วส่ายหน้า
กลางดึกคืนนั้นสรนุชเพิ่งอาบน้ำเสร็จใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมหัวคลุมตัว กำลังจามฟุตฟิต
“ฮัดดด...เช้ย!ฮัดเช้ย!ฮัดเช้ย!” สรนุชดึงกระดาษทิชชู่สั่งน้ำมูกฟืดฟาด
“ไอ้ตาหมอผีนั่น ไม่รู้เอาน้ำอะไรมาสาดฉัน เย็นยะเยือกยังกับน้ำในตู้เย็น”
“คงจะเป็นน้ำจากปลักควายค้างปีล่ะมั้ง” สุบินแซว
สรนุชฉุนเลยปาทิชชู่ฉ่ำขี้มูกใส่ สุบินปัดหลบอย่างขยะแขยง
“อี๋!”
อรอนงค์เอายาแก้ไข้มายื่นให้พร้อมแก้วน้ำ
“อ่ะ...รีบกินยาแก้ไข้ดักไว้ก่อนดีกว่านุช เดี๋ยวหวัดจะถามหา”
สรนุชรับยาไปกิน ซดน้ำตาม ก่อนจะวางกระแทกก้น แค้นใจเด็ดไม่หาย
“เพราะนายใจเด็ดคนเดียว ไม่รู้จักหลับจักนอน โผล่เข้าไปได้ ทำเอาฉันจนตรอก”
“แกก็เลยต้องทำเป็นผีเข้า ฮ่ะๆๆ นี่...ถ้าไม่เห็นกับตา ฉันไม่เชื่อนะเว้ย ว่าแกจะทำได้ถึงขนาดนี้ มันยิ่งกว่าในละครอีกว่ะ ฮ่ะๆๆ”
สรนุชทำหน้าเจื่อนๆ ทำเป็นลูบผมลูบหัวแก้เก้อ อรอนงค์ตีสุบิน
“นี่แน่ะ! มีความสุขนักเหรอห๊ะ ที่ได้ซ้ำเติมเพื่อน”
สุบินหันขวับมาชี้อรอนงค์ “โดยเฉพาะแกยัยอร...แกทำให้ฉันเห็นว่าความรัก ของเพื่อนมันยิ่งใหญ่จริงๆว่ะ เพื่อที่จะช่วยเพื่อน...แกถึงกับลงทุนทำเป็นผีเข้าแทนเพื่อน กร๊ากๆๆ....”
สุบินลงไปขำกลิ้ง อรอนงค์ทำหน้ามุ่ยๆ
“ก็แผนของแกนั่นแหละ ยังจะมาหัวเราะเยาะอีก”
สรนุชคว้าแก้วใกล้มือเงื้อขึ้น “ใช่ เดี๋ยวแม่ปาหัวแตก”
“เย้ย! อย่านะเฟ้ย ถ้าไม่ได้สร้อยของฉัน ป่านนี้พวกแก 2 คนก็ไม่รู้จะเอาผี ออกยังไง ยังไม่รู้จักขอบใจฉันอีก” สุบินโวย พร้อมทวงบุญคุณ
“ย่ะ ขอบใจ” สรนุชวางแก้วลง “เฮ่ย...พอกันที ฉันตัดสินใจแล้ว”
สุบินและอรอนงค์ตกใจ ลุ้นระทึกอีกแล้ว “ตัดสินใจอะไรอีกอ่ะ”
“ตอนนี้ฉันเก็บข้อมูลของไอ้พวกกระบือบาลได้มากพอแล้ว พรุ่งนี้เราจะไปจากที่นี่กัน”
สุบินกับอรอนงค์หันมามองหน้ากัน สุดแสนจะดีใจ
“เย้!”
รุ่งเช้าวันต่อมาใจเด็ดกับเกริกไกรตื่นแต่เช้ามาตั้งโต๊ะรอใส่บาตร เกริกไกรชะเง้อมองไปที่เรือนรับรองมุมไกล
“คุณอรนอนน่ารักจัง” เกริกไกรเพ้อ
“เฮ้ย...ไอ้บ้า! ทำยังกะตามีเรดาร์ แค่มองหลังคาบ้าน ก็ทะลุถึงข้างใน”
“ไว้ให้แกรักใครสักคนก่อนเถอะใจเด็ด แกจะเข้าใจถึงความรู้สึกข้างในนี้”
เกริกไกรชี้ที่หัวใจตัวเอง ใจเด็ดยิ้มขำ
“อยากใส่บาตรร่วมกับคุณอร ทำไมไม่ลองไปตามเธอมาล่ะ” ใจเด็ดแนะ
“ไม่อยากไปกวนเธอ ป่านนี้เธอคงนอนจับไข้หัวโกร๋น เพราะโดนผีหลอก”
“นี่ไอ้หมอ...แกเชื่อเหรอว่าสองสาวนั่นถูกผีเข้าจริงๆ”
“แล้วคุณสรนุชกับคุณอรเธอจะมาแกล้งผีเข้าหลอกเราทำไมวะ”
ใจเด็ดอึ้งไปไม่ถูก “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เกริกไกรถอนหายใจ “แบบนี้ที่ดอยเต่าบ้านฉัน เค้าเรียกว่าอคติ”
“ไอ้....”
ใจเด็ดเถียงไม่ออก เจนจิรากับสมหญิงเดินถือถาดใส่อาหารสำหรับตักบาตรเข้ามา
“วันนี้ขอตักบาตรร่วมขันด้วยนะคะหัวหน้า”
ทุกคนหันขวับไปมองเจนจิราเป็นตาเดียว เจนจิรางง
“มองอะไรกันคะ?”
“อ้าว...ก็คำว่าตักบาตรร่วมขัน มันหมายถึงจะใช้ชีวิตร่วมกันน่ะสิคุณเจน” สมหญิงบอก
“ออ...เหรอ...แฮ่...คิดมากกันจัง...เจนหมายถึงขอตักบาตรด้วย” เจนจิราว่า
“นั่นน่ะสิ...คิดลึกกันไปได้” ใจเด็ดบอก
“แต่ถ้าเป็นจริงได้ก็ดีสิ หัวหน้าก็โสด คุณเจนก็สด เข้ากั๊นเข้ากัน” สมหญิงบอก
“นี่...หาให้ตัวเองให้ได้ก่อนเถอะแม่สมหญิง ก่อนจะมาหาให้คนอื่นน่ะ” ใจเด็ดดุสมหญิง
“แหม...หัวหน้าก็” สมหญิงหน้ามุ่ย
“เอ๊า...เตรียมตัวเถอะ โน่น...พระมาแล้ว” เกริกไกรบอก
ใจเด็ดยกถาดอาหารทูนหัวอธิษฐาน
เวลาเดียวกันที่เรือนรับรอง สรนุชกับอรอนงค์กำลังรีบเก็บเสื้อผ้าข้าวของใส่กระเป๋ากันใหญ่ ส่วนสุบินยังยืนหาวหวอดๆ
“นี่พวกแกจะรีบไปไหน ยังเช้าอยู่เลย” สุบินหาวหวอดๆ ต่อ
“ก็กลับกรุงเทพฯน่ะสิแก ลืมตาได้แล้ว” อรอนงค์บอก
“แกรีบไปเก็บสมบัติแกเร็วเข้าสุบิน ฉันอยากออกไปจากที่นี่โดยไม่ต้องเจอหน้านายใจเด็ดเป็นการสั่งลาอีก”
สุบินกวนใส่ “ฮ่ะๆๆๆ นี่คุณน๊าย...แกเกลียดเค้าหรืออายเค้ากันแน่วะ”
“ฉันต้องอายเค้าเรื่องอะไรไม่ทราบ”
“เหอะ! กล้าถามเนอะ ก็อายที่แกแกล้งทำเป็นผีหลอกเค้าไง แฮ่...”
สุบินทำแลบลิ้นปลิ้นตายั่ว
“ไอ้กร๊วก!”
สรนุชคว้าทิชชู่ปาใส่ สุบินหลบทัน แล้วทำแลบลิ้นรัวใส่
“ล่อแล่ๆๆๆ”
“จ๊าก”
สรนุชกระโดดเตะผ่าหมากสุบินโดนเต็มๆ จังๆ จนสุบินยืนกุมเป้าทั้งจุก ทั้งเจ็บจนหน้าเขียว
“ว้ายตายแล้ว! สุบิน...หน้าแกเขียวอ่ะ”
“เออดิ...ก็ฉันจุก อ๋อย...” สุบินชี้หน้าสรนุช “แก...ไอ้ซาดิสต์”
ด้านใจเด็ด เกริกไกร เจนจิรา และสมหญิงเดินคุยกันกลับมาหลังจากใส่บาตรเสร็จแล้ว
“ฉันไปดูอาการเจ้าเพชรฉายก่อนนะ”
“ค่ะ หัวหน้า” เจนจิรายิ้มให้
ใจเด็ดหันเดินแยกไป เจนจิรา ยิ้มมองตาม แอบปลื้มเงียบๆ
“เฮ่อ...ขยันดูแต่ควาย ไม่รู้จักดูสาวซะมั่งเล๊ยหัวหน้าเรา” สมหญิงว่า
“ก็ดีแล้วนี่จ๊ะ” เจนจิราบอก
สมหญิงหันมามองเจนจิราอย่างเหรอหราคิดในใจ...เอ้ ดียังไง ในขณะที่เจนจิราแอบอมยิ้มคิดในใจ ดี...ใจเด็ดจะได้ไม่มีสายตามองใคร
ส่วนเกริกไกรก็เอาแต่ชะเง้อมองไปที่เรือนรับรอง แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วเขม้นมองอย่างแปลกใจ
“หื๊อ”
เมื่อเห็นสรนุช อรอนงค์ และสุบิน กำลังหิ้วกระเป๋าข้าวของพะรุงพะรังลงจากเรือน ด้วยท่าทางรีบร้อน อาการลับๆ ล่อๆ ราวกับแอบหนีเจ้าหนี้ ตรงไปที่รถตู้ แล้วรีบยัดๆ ของใส่รถ
“เร็วๆ เข้าสิพวกแก” สรนุชเร่งยิกๆ
เกริกไกรเดินมาเงียบๆ แล้วย่องเข้าไปที่ด้านหลังทั้ง 3 “หวัดดีตอนเช้าคร๊าบ”
ทั้ง 3 หันมามอง ด้วยความตกใจ อุทานพร้อมกัน “เฮ้ย”
เกริกไกรสะดุ้งไปด้วย “เฮ้ย ตกใจอะไรกันเหรอครับเนี่ย”
สรนุชรีบฉีกยิ้ม
“ก็...แหม...เมื่อคืนพวกเราเพิ่งเจอผีกันมาหยกๆ นี่คะ เลยยังขวัญอ่อนอยู่”
“โอ๋ๆ...ขวัญเอยขวัญมานะครับ แล้วนี่จะไปไหนกันแต่เช้าคร๊าบคุณอร”
อรอนงค์บอกหน้าเฉย “กลับกรุงเทพฯน่ะสิคะ”
เจนจิราเดินเข้ามาพอดี “อ้าว... ไม่เห็นมีใครรู้เรื่องเลยค่ะ ว่าพวกคุณจะกลับกันวันนี้”
“นั่นน่ะสิคะ ทำไมรีบกลับล่ะ หรือว่าพวกเรารับรองไม่ดี” สมหญิงถามอีกคน
“โอ๊ย...ไม่ใช่หรอกครับ พวกเราต่างหากล่ะที่ไม่ดี จึ๋ย” สุบินว่า
สุบินหน้าเบ้เพราะถูกสรนุชเหยียบตีนให้หยุดพูด
“แฮ่...คือพวกเรามีงานด่วนน่ะค่ะ บริษัทที่กรุงเทพฯ โทรมาตาม อีกอย่างนึง พวกเราก็เก็บข้อมูลของสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ และคนที่รักควายทุ๊กคนที่นี่ ได้ตรงตามเป้าแล้ว ก็ต้องขอลากลับก่อนล่ะค่ะ สวัสดีค่ะ ไปๆ ขึ้นรถ”
สรนุชรีบต้อนสุบินกับอรอนงค์ขึ้นรถ แทบลากันไม่ทันเลยทีเดียว
“ไปก่อนนะครับ” สุบินบอกลา
“สวัสดีค่ะ” อรอนงค์ลาทุกคนเช่นกัน
“เอ่อ...เดี๋ยวซีครับ จะไม่ลาใจเด็ดก่อนเหรอครับ เดี๊ยว” เกริกไกรท้วง
ไม่ทันซะแล้ว สุบินรีบซิ่งรถตู้เสียงดังเอี๊ยด จนฝุ่นตลบ แล่นออกไป ฝุ่นฟุ้งใส่หน้าเกริกไกร เจนจิรา สมหญิงจนไอโขลก ยกมือปัดตามๆกัน เกริกไกรมองตาละห้อย
“โธ่คุณอร ทำไมถึงรีบจรลีจากจร ไม่ให้เว้าวอนกันสักนิด”
ภายในรถตู้ สรุนุชกำหมัดสุดแสนดีใจ
“เยส!ในที่สุดฉันก็ออกมาจากโรงเลี้ยงควายได้ โดยไม่ต้องเห็นหน้านายใจเด็ดนั่นอีก”
“ทำไม กลัวทำใจไม่ได้หรือไง ที่ต้องจากเค้า” สุบินเย้า
“นี่...แกเลิกกวนฉัน แล้วขับรถไป ให้ไวๆ ด้วยนะ ฉันอยากจะกลับไปอาบ น้ำอุ่น นอนเตียงนุ่มๆ แอร์เย็นๆ ที่บ้านฉันเต็มแก่แล้ว”
“แล้วรูปควายที่แกแอบถ่ายเมื่อคืน เช็คดูหรือยังนุช มัวแต่รีบๆ ถ่ายติดป่าวเหอะ” อรอนงค์ถาม
“โธ่...มือชั้นนี้ ติดอยู่แล้ว กล้องอยู่ไหนนะ”
สรนุชควานหาในกระเป๋า แต่ไม่พบ ชักหน้าเสีย
“เอ๊ะ...ฉันเก็บไว้ไหนเนี่ยะ? ยัยอร...แกเห็นบ้างมั้ย”
“ฉันจะไปรู้ได้ไงล่ะ ไม่ได้เป็นคนเก็บ”
“ในเป๋าฉันไม่มีจริงๆ ด้วย” สรนุชร้อนใจ รื้อข้าวของโยนกระจุยกระจาย “มันหายไปไหนเนี่ยะ สุบิน”
“เฮ้ยๆๆๆ แกไม่ต้องมาพาดพิงถึงฉันเลย เมื่อคืนแกเป็นคนถ่ายเองกับมือฉันไม่รู้! ว่าแต่...ตอนที่แกทำเป็นผีเข้า แกเก็บกล้องไว้ที่ไหน”
“ฉันก็ไม่รู้ ตอนนั้นมันมั่วไปหมด”
“หรือว่า...แกทำกล้องหล่นไว้ในคอก” สุบินบอก
สรนุชอ้าปากค้าง นึกได้สั่งเสียงดัง “หา...เบรกรถ”
“เจ้ย”
สุบินตกใจเหยียบเบรกกะทันหันจนหัวทิ่ม เสียงดังเอี๊ยดลั่นถนน
ภิรมย์กำลังกวาดทำความสะอาดรอบๆ คอกควาย แต่แล้วสายตาก็หันไปเห็นบางสิ่งบางอย่างโผล่มาจากเศษหญ้าแห้งที่พื้น ภิรมย์ร้องเป็นเพลง
“เอ๊ะ...นั่นไง...อะไร...แฝงตัวร่มเงาไม้ใหญ่?”
ภิรมย์หยิบขึ้นมา กลายเป็นกล้องถ่ายรูป
“กล้องใครเนี่ย ท่าทางจะแพงซะด้วย” ภิรมย์หันไปแซวควาย “เฮ้ย...เอ็งอึออกมาเหรอไอ้จุ๊บลูกพ่อ แหะๆ อ่า...ล้อเล่ง”
ภิรมย์มองไปที่ใจเด็ดที่กำลังใช้ไม้เกาหลังเกา เกาหลังเอาใจเพชรฉายอยู่
“หัวหน้าคร๊าบ ผมเจอกล้องถ่ายรูป ไม่รู้ใครมาทำตกเอาไว้ในนี้”
ใจเด็ดรับมาดูอย่างแปลกใจ “กล้องรุ่นใหม่แบบนี้ ไม่ใช่ของพวกเราที่สถานีแน่”
“แล้วถ้าไม่ใช่พวกเรา จะมีใครภายนอกเข้ามาในคอกพ่อพันธุ์ของเราได้ล่ะครับหัวหน้า”
คำพูดของภิรมย์ทำให้ใจเด็ดฉุกคิดสงสัย
“ผมว่าอย่ายืนเดาให้เสียเวลาเลยครับ เปิดดูรูปในกล้องเลยหัวหน้า เห็นรูปอาจจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของกล้องนี้ก็ได้” ภิรมย์เร่งเร้า
ใจเด็ดลังเล ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเปิดหรือไม่เปิด
เวลาเดียวกันสุบินขับรถตู้เข้ามาจอดเอี๊ยด ทำเอาเกริกไกร เจนจิรา สมหญิงที่กำลังหันจะเดินแยกย้ายกันไปทำงานต้องหยุดหันขวับมา
สรนุชเปิดประตูรถ แทบกระโจนลงมา เดินรีบร้อนมาทันที
เกริกไกรดีใจ “ตกลงจะอยู่ต่อ ไม่กลับแล้วเหรอครับ”
“เอาะ...อ๋อ...ปล่าวค่ะ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้น่ะค่ะว่ายังไม่ได้ร่ำลาคุณใจเด็ดหัวหน้าสถานีเลย ก็เลยจะกลับมาลาก่อน เค้าอยู่ทางโน้นใช่มั้ยคะ”
สรนุชรีบชี้มั่วๆ แล้วเดินไปยังคอกพ่อพันธุ์ทันที โดยไม่มีใครทันได้ตอบอะไร
“เอ่อคุณ...” เจนจิราชักไม่ชอบใจ “แม่คนนี้ดูแปลกๆ”
“แกคงลืมลาจริงๆ น่ะค่ะ ดูดิ...เดินลิ่วๆ เลย”
ในขณะที่เกริกไกรรีบวิ่งเข้าไปหาอรนงค์ที่ลงมายืนรอสรนุชกับสุบินที่นอกรถ
“เจอกันอีกแล้วครับ คิดถึงจริงๆ”
“นี่คุณ...ฉันเพิ่งไปยังไม่ถึง 5 นาทีเลย”
“แค่ 5 วิ ถ้าผมไม่เห็นหน้าคุณอร ผมก็จะลงแดงแล้วครับ” เกริกไกรหวานใส่อีกดอก
สุบินขำ “เป็นเอามากนะเนี่ยะ”
อรอนงค์มองสุบินตาเขียว
“คุณอรกลับมาก็ดีแล้ว รออยู่ที่นี่นะครับ อย่าเพิ่งไป ผมมีอะไรจะมาให้คุณ รอแป๊บบบนึง”
เกริกไกรหันวิ่งหน้าตั้งไปยังสำนักงาน
อรอนงค์เห็นเริ่มใจคอไม่ดี “ตาหมอเพี้ยนนั่นจะเอาอะไรมาให้ฉันก็ไม่รู้”
“ลูกกะตาควายดองในโหลมั้ง แกจะได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก” สุบินเย้า
อรอนงค์ตีสุบินเผียะ “อี่ย์ ไอ้บ้าสุบิน แกอย่ามาขู่ฉันซี”
สุบินสะกิดให้อรอนงค์หยุด เพราะสายตาเจนจิรากำลังมองจับจ้องทั้ง 2 อยู่
สรนุชรีบวิ่งเข้ามาในคอกพ่อพันธุ์ แล้วต้องหยุดยืนช็อกเมื่อเห็นใจเด็ดกำลังยืนกดดูรูปในกล้องถ่ายรูปอยู่ สีหน้าดูนิ่งเสียจนน่ากลัว สรนุชตัดสินใจ...หนีดีกว่า ค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปทีละก้าวๆ แต่ภิรมย์ดันหันมาเห็นเสียก่อน
“อ้าวคุณสรนุช...มาหาหัวหน้าเหรอครับ”
สรนุชเบรกเอี๊ยด ฉีกยิ้ม มองไปเห็นใจเด็ดหันมามองแล้วเดินถือกล้องตรงเข้ามาหา สรนุชกลืนน้ำลายเหนียวคอคิดในใจ...โดนแน่ฉัน
ใจเด็ดถามเสียงเรียบ “กล้องคุณใช่มั้ย?”
สรนุชอึกอัก พูดอะไรไม่ออก “เอ่อ...”
“คุณเล่นถ่ายรูปควายของผมเสียเต็มกล้องนี่เลย”
สรนุชเสียวสันหลัง เหงื่อแตกพลั่ก “คือฉัน...”
“คุณจะถ่ายทำไม! อยากได้รูปควายของผม ก็บอกผมซี ผมจะได้หาให้”
คำพูดประโยคนี้ทำเอาสรนุชงงไปเลย “หา...คุณ...คุณจะให้ฉันเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ผมถ่ายเก็บไว้ตั้งเยอะแยะ คุณจะต้องลำบากลำบนเข้ามา ถ่ายตอนกลางดึกทำไม ลำบากแล้วยังถูกผีอำอีก”
สรนุชยิ้มออก อย่างโล่งอก “ฮ่ะๆก็แหม...ฉันก็เกรงใจ อีกอย่างหนึ่ง ฉันก็อยากเห็น พฤติกรรมของควายกับตาของตัวเอง ว่าเวลามันนอนน่ะ มันยืนหลับ หรือนอนหลับ แฮ่ๆ”
“แล้วเวลานอน คุณยืนหลับหรือว่านอนหลับล่ะ?”
“ฉันก็นอนหลับน่ะสิ”
“ใช่ ก็เพราะคุณไม่ใช่ควาย”
สรนุชชักฉุนที่โดนเปรียบกับควาย “จะบอกว่าควายยืนหลับก็บอกตรงๆ ก็ได้ ต้องมาเปรียบเทียบกันด้วย”
“แล้วรู้ป่าว เวลาควายหลับน่ะ มันจะไม่หลับตา แต่จะเปิดตาค้างไว้” ใจเด็ดเอ่ยขึ้น
สรนุชจะเอากล้องคืน “ไม่รู้ เพราะฉันไม่ใช่ควาย”
ใจเด็ดหัวเราะหึๆ กวนใส่ “หึๆๆพูดยังงี้ ไม่คืนกล้องซะดีมั้ย”
“อ๊าย...ไม่ได้นะ! รูปทั้งหมดในกล้อง มันอนาคตของฉันเลยนะ ขอคืนนะคะ นะๆ” สรนุชอ้อน
ใจเด็ดมองสรนุชแล้วยิ้มๆ “พูดหวานๆ แบบนี้ก็เป็นเหรอคุณน่ะ”
สายตาใจเด็ดที่มองมายามนี้ ช่างกรุ้มกริ่ม ทำเอาสรนุชร้อนวูบวาบ ต้องรีบหลบตา ใจเด็ดค่อยๆ ยื่นกล้องคืนให้ สรนุชรีบคว้ามา
“ขอบคุณนะที่เก็บไว้ให้ เอ่อ...งั้นฉันลาคุณตรงนี้เลยก็แล้วกันฉันกำลังจะกลับกรุงเทพฯ แล้ว”
ใจเด็ดอึ้ง “ว่าไงนะ คุณจะกลับแล้วเหรอ”
ไม่นานหลังจากนั้นเกริกไกรกำลังยืนตาเยิ้ม ยื่นกล่องของขวัญให้อรอนงค์ ที่หน้ารถตู้ที่จอดรออยู่
“ที่ระลึกจากใจของผม แด่คุณอรอนงค์คนสวยคนเดียวคร๊าบ”
“เอ่อ...อะไรเหรอคะ?”
“ระเบิดครับ” เกริกไกรอำเล่น
“หา”
“ฮ่ะๆๆ ผมล้อเล่นน่ะครับ ดูดิ คุณอรอนงค์ตกใจอย่างน่ารักเลยครับ”
อรอนงค์สุดเซ็งกับอาการขี้หลี “ขอบคุณ”
อรอนงค์คว้ากล่องของขวัญมา ใจเด็ดยื่นของให้สรนุชบ้าง
“ส่วนนี่...ที่ระลึกจากผมครับ”
สรนุชมองแล้วแทบกรี๊ด...เพราะมันคือตุ๊กตาควายแกะสลักด้วยไม้
“อุ้ย...ตุ๊กตาควาย” สรนุชกัดฟันพูด “น่ารักจังเลย ขอบคุณค่ะ”
สรนุชรับมาถือไว้ในมือทั้งที่ในใจอยากจะเขวี้ยงทิ้งใจจะขาด
“เวลาท้อแท้ หรือมีปัญหาในการทำงาน ก็ดูควายตัวนี้นะครับคุณจะได้อดทนเหมือนกับมัน”
สรนุชฝืนอมยิ้มพยักหน้าให้ “อืม...”
สุบินมองไปที่เจนจิรา
“แล้วคุณเจนจิราจะไม่มีที่ระลึกให้บัดดี้คนนี้บ้างเหรอครับ”
“ก็ไม่บอกล่วงหน้านี่คะว่าจะกลับวันไหน ฉันไม่ได้เตนียมอะไรไว้ ฉันให้ตำราทำมาหากินของฉันก็แล้วกัน มันน่าจะเหมาะกับคุณ”
“ขอบคุณคร๊าบ” สุบินรับมาดูหน้าปกแล้วต้องสะดุ้ง “ตำราทำหมันควาย เย้ย”
สมหญิงกับภิรมย์ขำก๊าก
“ดูดิ คุณสุบินดีใจใหญ่เลย” สมหญิงว่า
ภิรมย์ชอบใจ “ถ้าตกงานเมื่อไหร่ ก็ยังมีวิชาทำหมันควายติดตัว คิกๆๆ”
“ก่อนจะทำกับควาย ฉันจะทำหมันนายเป็นคนแรก” สุบินสัพยอก
ภิรมย์เหวอ “เอิ้ก”
ช่อผกาขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาแต่ไกล สรนุชหันไปเห็น ไม่อยากเสวนาด้วย รีบสะกิดอรอนงค์
“ไปเหอะ...ฉันมีงานสำคัญรออยู่ ลาล่ะนะทุกคน บาย”
สุบินกับอรอนงค์เอ่ยขึ้นพร้อมๆ กัน “ไปนะครับ” / “ไปนะคะ”
เกริกไกรยิ้มจ้องอรอนงค์ “เดินทางปลอดภับนะครับ แล้วอย่าลืมกลับมาอีกนะครับ”
สรนุช สุบิน และอรอนงค์รีบขึ้นรถโดยไม่หันมามองอีก แล้วรถตู้ก็แล่นออกไป สวนกับช่อผกาที่ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา ช่อผกาหันมอง
“ดูรีบร้อนกันชอบกล” เจนจิราตั้งข้อสังเกต
“ก็คุณสรนุชบอกว่ามีงานสำคัญต้องรีบกลับไปทำนี่คะ” สมหญิงบอก
เกริกไกรนึกได้รู้สึกโมโหตัวเองขึ้นมา “โธ่เอ้ย...ลืมจนได้เรา...ลืมขอเบอร์โทร.คุณอร ลืมได้ไงนี่”
ใจเด็ดได้แต่มองตามรถตู้ไปอย่างเงียบงัน รู้สึกใจหายอย่างประหลาด
ช่อผกาขี่มอเตอร์ไซด์เข้ามาจอด พลางเอ่ยถาม
“พวกถ่ายสารคดีนั่น เค้าจะไปถ่ายที่ไหนกันจ๊ะพี่ใจเด็ด”
“เค้ากลับกรุงเทพฯ กันแล้วครับ” ใจเด็ดบอก
“ฮิๆ คิดแล้วว่าคงอยู่ได้ไม่นานหร๊อก ควายมันจะมีอะไรให้ถ่ายหนักหนา” ช่อผกาดี๊ด๊า แต่หันมาต้องตกใจ ทุกคนเดินหนีไปหมดแล้ว “อ๊าย...ไปก็ไม่บอก ปล่อยให้ฉันพูดอยู่คนเดียว พี่เด็ดขา พี่ใจเด็ด...อี่ย์ ไม่ได้ดั่งใจเลย”
ภายในรถตู้เวลานั้น สรนุชนั่งมองควายไม้ในมือ
“ตากระบือบาลเอ้ย...ให้ตุ๊กตาควายฉันมาได้ แล้วยังจะให้ฉันอดทนเหมือนควายอีก ฉันเกือบจะปากระบาลคืนไปให้”
ว่าพลางสรนุชโยนตุ๊กตาทิ้งไปด้านหลังรถ
สุบินมองอย่างเซ็งๆ “แกก็...คนพวกนั้นเค้าทำอะไรด้วยจิตบริสุทธิ์นะเว้ย”
“ให้ตำราทำหมันควายกับแกเนี่ยะนะจิตบริสุทธิ์ หึ” สรนุชเยาะ
อรอนงค์มองกล่องของขวัญด้วยความสงสัย
“แล้วพวกแกคิดว่า ในกล่องของขวัญนี่มันจะเป็นอะไรล่ะ?”
“ไม่น่าถาม ก็คงไม่พ้นของที่เกี่ยวกับควายนั่นแหละ” สรนุชว่า
“แล้วมันอะไรล่ะ ของที่เกี่ยวกับควายน่ะยัยนุช?” อรอนงค์สงสัย
“อาจจะเป็นขี้ควายให้แกเอากลับไปทำโคลนพอกหน้าก็ได้ ฮ่ะๆ” สุบินหัวเราะขบขัน
“อี๋!” อรอนงค์รีบวางกล่องของขวัญทิ้งลงบนเบาะทันที
ขณะที่สรนุชหันมองออกไปยังท้องทุ่งนานอกรถ พร้อมกับบอกลาบ้านหนองระบือ
“ลาก่อน...ลากันทีหนองระบือ หึ!”
รถตู้คันนั้นแล่นผ่านท้องนายามเช้า ที่มีหมอกบางๆ แผ่คลุมไปทั้งบริเวณ มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ
อ่านต่อหน้า 3
กระบือบาล ตอนที่ 4
ช่วงตอนกลางวันที่บ้านผู้พันชาญณรงค์ ในมือของผู้พันเลือดเดือดเวลานี้ อุ้มหมาพุดเดิ้นชูขึ้นมาพูดด้วยอย่างอารมณ์ดี โดยมีช่อผกา และสมคิด คนงานชายอยู่ข้างๆ
“อีหนูได้ยินมั้ย ไอ้พวกถ่ายสารคดีมันกลับกันไปหมดแล้วฮ่ะๆๆ”
“ได้ยินแล้วค๊าบ” สมคิดคนรับใช้บอก
“ฉันถามหมาฉัน”
สมคิดจ๋อย!
“หึ ไอ้พวกกระบือบาลมันคงคิดสินะว่า แค่สารคดีกระจอกๆเรื่องเดียว จะทำให้ควายดูมีค่าสูงส่งขึ้นมาได้ ไอ้พวกฝันเฟื่อง ไดโนเสาร์ ไร้บูรณาการ
“หนูก็เบื่อๆๆๆๆ พ่อช่วยทำให้พี่เด็ดเลิกสนใจแต่ควาย แล้วหันมาสนใจหนูเสียทีซี” ช่อผกาตีอกชกตัว
“นั่นน่ะสิครับ คุณช่อผกาออกจะสวยที่สุดในซอยขนาดนี้ นายใจเด็ดทำไม๊...ถึงไม่มองสักที หรือว่า...เพราะคุณช่อผกาฉีดจมูกโด่ง ไปทำตา 2 ชั้นลึกไป หรือว่าคุณใจเด็ดดันรู้ว่าอึ๋มนั่นของปลอม” สมคิดว่า
“ไอ้บ้า...ปากไม่มีหูรูด เอาเงินนี่ไปซื้อกล้วยแขกเลยไป๊” ช่อผกาควักแบงค์ 20 ยื่นให้
“อึ๋ย คุณผกาจะกินเหรอครับ”
“ให้แกนั่นแหละกิน กินหมดเมื่อไหร่ค่อยกลับมา”
“คร๊าบ” สมคิดเดินคอตกออกไป
“หึ ฉันเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าตราบใดที่ไอ้ใจเด็ดมันยังมีหวัง จะทำให้มันเลิกยุ่งกับควายไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ต้องเจาะยางมันซะก่อนทำให้มันหมดหวัง เสียกำลังใจ” ชาญณรงค์เอ่ยขึ้น
“ทำไงล่ะพ่อ”
“ฉันก็จะแย่งที่นาที่มันซื้อจากตาน้อย กลับมาเป็นของฉันให้ได้นะสิไม่ว่ามันจะไปซื้อที่ซื้อนาจากใครที่ไหนในตำบลนี้ ฉันก็จะไปตามซื้อคืนมาเป็นของฉันให้หมด ไอ้ใจเด็ดมันจะได้รู้ว่า ถึงชาวบ้านจะนับถือมัน แต่ก็บูชาเงินเป็นพระเจ้าของผู้พันชาญณรงค์มากกว่า เอิ้กๆๆ”
ในขณะที่ชาญณรงค์กำลังหัวร่อชอบใจ อยู่นั้น เสียงมือถือของผู้พันดังขึ้นพอดี
“ฮัลโหล...กำลังนึกถึงแกอยู่พอดี เรื่องที่ให้ไปสืบเรื่องลูกชายตาน้อยที่กรุงเทพฯ น่ะ ได้เรื่องมาหรือยัง?”
ค่ำวันนั้น ภายหลังเดินทางกลับจากสุรินทร์โดยสวัสดิภาพ สรนุชยืนมองแสงสีของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนที่ระเบียงห้องในคอนโดของสุบิน
สรนุชตะโกนก้องจากระเบียงนั้น “กรุงเทพแดนสวรรค์ ฉันกับมาแล้ว”
อรอนงค์เดินออกมาจากห้องน้ำมองไปที่สรนุช ในขณะที่สุบินกำลังจัดการเก็บสัมภาระตัวเองที่หิ้วขึ้นมา
“ดูเพื่อนแกสิ ยังกะจากกรุงเทพฯ ไปสัก 10 ปี” สุบินพยักเพยิดกับอรอนงค์
สรนุชยกเหยียด 2 มือขึ้นจนสุดแขน พลางสูดอากาศ “เฮ่อ...สดชื่นจริงๆ อากาศกรุงเทพฯ ไม่มีกลิ่นโคลนสาปควายเหมือนที่บ้านนอกนั่น”
“สดชื่นด้วยสารตะกั่วสอดไส้ควันพิษ สูดเยอะๆ เข้า แกจะได้เป็นมะเส็ง” สุบินแขวะ
สรนุชหันมายืนเท้าเอวจะเอาเรื่อง อรอนงค์รีบห้ามศึก
“นี่ๆ...อย่าเปิดศึกกันอีกได้มั้ย ฉันอยากกลับบ้านแล้ว แกจะเข้าห้องน้ำ ก็รีบๆ ไปจัดการซะยัยนุช จะได้ไปกันเสียที”
“จะกลับแล้วเหรอ แกจะไม่เปิดกล่องของขวัญของหมอเกริกไกรดูก่อนเหรอ”
สุบินหยิบกล่องของขวัญยื่นให้
อรอนงค์กรี๊ดใส่ “ว้าย...ฉันทิ้งไปแล้ว แกเก็บมาทำไม”
“ก็ฉันอยากจะรู้นี่ ว่าข้างในมันเป็นอะไร ไม่งั้นฉันนอนไม่หลับ แกะเลยๆๆ”
“ก็ไหนแกว่าเป็นขี้ควายงัย”
“ฉันมั่วเอา คนบ้าอะไรจะให้ขี้ควายผู้หญิง”
“ก็คนบ้าอย่างหมอเกริกไกรนั่นแหละ รีบแกะๆ ดูเหอะยัยอร ให้มันรู้กันไป” สรนุชยุส่ง
อรอนงค์รับมาแกะอย่างอิดออด “ฉันแกะนะ”
“เออ” สรนุชว่า
อรอนงค์แกะกระดาษห่อออก ตามด้วยแกะฝากล่องออก แล้วต้องเลิกคิ้วมองสิ่งที่อยู่ข้างใน
“หื๊อ...อะไรอ่ะ”
สุบินกับสรนุชเพ่งมอง แผ่นดินแห้งที่มีรอยประทับตีนควาย สุบินหยิบขึ้นมาดูแล้วขำก๊าก
“รอยประทับอุ้งตีนควาย ฮ่ะๆๆๆ”
สรนุชมองในกล่อง “เดี๋ยวๆ ยังไม่หมด ในกล่องยังมีอีก”
“รอยประทับอะไรอีกล่ะ?”
อรอนงค์หยิบแผ่นดินแห้งอีกอันขึ้นมา เห็นเป็นรอยประทับมือของเกริกไกรเป็นสัญญาลักษณ์ไอเลิฟยู
“คงจะเป็นอุ้งมือของนายเกริกไกรเอง ทำแบบนี้ไง” สรนุชทำมือตาม “ไอเลิฟยู”
“อี๋ คนอะไร บ้าเนอะ” อรอนงค์มองในกล่อง เห็นจดหมายวางอยู่ “มีจดหมายด้วย” รีบหยิบมาแกะอ่าน “แด่คุณอรอนงค์ด้วยดวงใจ จากผู้ชายคนหนึ่ง ที่อยากรักใครสักคนยิ่งกว่าควาย” อรอนงค์เซ็งสุดกู่ “บ้าๆๆ...บ้าที่สุด”
สุบินกับสรนุชหัวเราะขำก๊าก จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์ภายในห้องของสุบินดังขึ้น สุบินหันไปยกหูรับสาย
“โหล! ว่าไง ขาน้องหายเดียร์แล้วเหรอ เยี่ยมเลย ผมอยากจะกลับไปถ่ายละครให้มันจบๆ จะได้ออกอากาศซะที จัดคิวเลย”
อรอนงค์หันมาถามสรนุช
“เออนี่...แล้วแกจะไม่โทรไปบอกวัตเค้าเหรอ ว่าแกกลับมาแล้ว”
“ไม่ล่ะ พรุ่งนี้ ฉันไปเซอไพร้สเค้าที่บริษัท”
วันรุ่งขึ้น สรนุชอยู่ในชุดกระโปรงสวย เดินหิ้วกระเป๋าเอกสารที่มีข้อมูลจากการไปสืบที่หนองระบือเดินมาด้วยสีหน้าเบิกบานที่จะได้เจอณวัต ผ่านเหล่าพนักงาน สรนุชยิ้มทักทาย แต่พอคล้อยหลังเหล่าพนักงานพากันแอบซุบซิบๆ บางอย่าง
จนกระทั่งสรนุชมาถึงหน้าห้องทำงานของณวัต สรนุชจะเคาะประตู แต่แล้วก็ชะงักมือ คิดจะแอบเปิดเข้าไปเงียบๆ เพื่อเซอร์ไพร้สณวัต สรนุชจับลูกบิดประตูค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป
“นุชกลับมาแล้วณวัต”
ภายในห้องณวัตเวลานั้น ณวัตกำลังมองเลขาสาวคนใหม่ตาเยิ้ม และกำลังทำท่าจะโผเข้ากอดเลขา แต่ต้องเบรกเอี๊ยดหันมา เห็นสรนุช แทบช็อก รีบหดมือแทบไม่ทัน
“นุช”
สรนุชเองก็หุบยิ้ม เมื่อเห็นณวัตอยู่กับผู้หญิงแปลกหน้า “ใครน่ะวัต”
“ใคร? อ๋อ...นี่น่ะเหรอ” ณวัตชี้ที่เลขา
“ก็จะใครซะอีก ฉันไม่อยู่แค่ไม่กี่วัน คุณถึงกับควงผู้หญิงมาทำงาน ด้วยเหรอห๊ะ”
“ปัดโธ่นุช...ควงผู้หญิงอะไร นี่เลขาคนใหม่เพิ่งมาทำงานวันนี้เอง”
“อ๋อ นี่ถึงกับพามาเป็นเลขาส่วนตัวเลยเหรอ”
“ไม่ใช่ เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว นี่ท็อฟฟี่เลขาคนใหม่ของพ่อผมต่างหาก ผมน่ะ ไม่เอาหรอกเลขงเลขา น่ารำคาญ มีคุณเป็นเลขาส่วนตัวคนเดียวก็พอแล้วจ้ะ”
ณวัตพูดพลางเข้ามาโอบไหล่สรนุช แต่สรนุชขยับไหล่หนี
“เลขาของพ่อคุณ มาทำอะไรในห้องคุณ นุชไม่เชื่อ”
สรนุชเสียงกร้าว สีหน้าณวัตเจื่อน แย่แล้วตรู
ไม่นานหลังจากนั้น สมพลหัวเราะมั่วนิ่มช่วยณวัต “อ๋อ หนูคอฟฟี่น่ะเหรอ เลขาพ่อเอง ฮ่ะๆ”
“เอ่อ ชื่อท็อฟฟี่ครับพ่อ” ณวัตบอก
“เอ่อ...แต่พ่อชอบเรียกค็อฟฟี่มากกว่า เพราะพ่อชอบกินกาแฟ รสชาติมันกลมกล่อมดี เอิ้กๆๆ”
ณวัตหัวเราะผสมโรง “เอิ้กๆๆ ที่นี้นุชเลิกเข้าใจผิดวัตหรือยังล่ะ คนอุตส่าห์ คิดถึง รอแล้วรอเล่าว่าเมื่อไหร่นุชกลับมา ดูสิเนี่ยะ...พอเจอหน้า ก็หาว่าวัตพากิ๊กมาเป็นเลขาซะแล้ว น้อยใจนะเนี่ย”
สมพลฟังแล้วแอบทำหน้าหมั่นไส้ลูกชาย
“นุชขอโทษ ก็จะไม่ให้เข้าใจผิดได้ไงล่ะ อยู่ๆ ก็มาเจอคุณอยู่ในห้องกับผู้หญิงสองต่อสองแบบนั้น”
“อ๋อ พ่อสั่งให้หนูท็อฟฟี่เอาเอกสารไปให้เซ็นเองแหละ พ่อดูอยู่ทั้งคน หนูไม่ต้องเป็นห่วง ไอ้วัตมันไม่กล้านอกใจหนูหรอก”
“ขอบคุณมากค่ะคุณพ่อ”
“เอ่อว่าแต่ เรื่องที่ให้ไปทำ เรียบร้อยแล้วเหรอ”
“ค่ะ นุชได้ล้วงลึกข้อมูลทุกอย่างจากพวกกระบือบาลมาเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลพวกนี้จะช่วยให้เราเจาะตลาดขายรถไถที่หนองระบือได้แน่นอนค่ะ”
“มันต้องอย่างงี้สิ ถึงจะสมกับที่เป็นว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของสยามบาคาตี้” สมพลถูกใจนัก
“งั้น...หนูขอตัวไปเตรียมตัวพรีเซ็นต์ข้อมูลในที่ประชุมก่อนนะคะ”
ณวัตรีบบอก “รีบไปเถอะจ้ะ เสร็จแล้ว ผมจะรอทานข้าวเที่ยงนะจ๊ะ”
“ค่ะ”
พอสรนุชเดินออกไป สมพลเปลี่ยนมาตีหน้ายักษ์ใส่ คว้าแฟ้มฟาดไปที่หัวณวัตทันที
“นี่แน่ะ”
“โอ๊ย...เจ็บนะพ่อ”
“น้อยไปสิ มันน่าถลกหนังหัวแกออก แล้วเอากะโหลกมาเปิดดูว่ายังมีสมองอยู่มั้ย คิดได้ไงเนี่ยะ พาแม่คนนั้นมาเป็นเลขา”
“ก็บริษัทโน่น ไล่เธอออก ผมเห็นตกงานเลยสงสาร”
สมพลดักคออย่ารู้ทัน “เค้าไล่ออก หรือแกให้ออก”
“เอาน่าพ่อ จะถามให้มากเรื่องทำไม ไหนๆผมก็ให้มาทำงานแล้ว พ่อก็ช่วยโกหกว่าเป็นเลขาพ่อหน่อยน่า เดี๋ยวผมเบื่อ ผมก็ให้ออกเองแหละ”
“นี่ฉันพ่อแกนะเว้ย ไม่ใช่คนดูแลกิ๊กให้แก”
ณวัตไม่มนใจฟัง มัวแต่มองไปเห็นเลขาสาวเดินอยู่มุมไกล เลยรีบเดินตามไป
“ดูมัน”
สมพลยืนกลุ้ม
วันเวลาผ่านไป...เกริกไกรอยู่ที่กลางทุ่งนาภายในสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ และกำลังดีดกีตาร์ขี่ควายร้องเพลงคิดถึงอรอนงค์ หากใครได้ยินก็รู้ได้ทันทีว่า เกริกไกรร้องด้นไปเรื่อย ไม่เป็นเพลง
“รักแล้วรักเลย...รักไม่เคยโกหก...มันเหมือนจิ้งจก...หลงรักฝาบ้าน เหมือนม้าหลงรักอาน...เหมือนจานหลงรักช้อน...เหมือนฆ้อนหลงรักตะปู เหมือนตุ๊ดตู่หลงรักผู้ชาย...ผมต้องขาดใจตาย...ถ้าไม่ได้รักคุณอรงอนงค์”
สมหญิงยืนเกาหัวฟังอยู่กับใจเด็ด
“คุณหมอแกร้องเพลงอะไรของแกน่ะ มันฟังไม่เป็นเพลงเอาซะเลย”
ใจเด็ดขำ “จะไปเอาอะไรกับคนเพ้อ คงคิดถึงคุณอรอนงค์จนเพี้ยนไปซะแล้ว”
“แล้วคุณสรนุชกับคุณอรนงค์เธอจะกลับมาอีกรึปล่าวก็ไม่รู้นะคะ ก่อนไป ไม่เห็นบอกอะไรไว้เลย ปล่อยให้คนทางนี้ต้องรอ”
“สมหญิงก็ปัดกวาดเช็ดถูเรือนรับรองไว้ก็แล้วกัน” ใจเด็ดสั่ง
“แปลว่าพวกนั้นจะกลับมาอีกเหรอคะหัวหน้า”
“ก็ถ้าเค้าเห็นคุณค่าของควายอย่างที่เราเห็น เค้าก็ต้องกลับมาอีกจนได้”
“สมหญิงว่า เค้าต้องกลับมาอีกแน่ๆ เลยค่ะ งั้นสมหญิงไปทำความสะอาดเรือนรับรองก่อนนะจ๊ะ”
สมหญิงเดินไป ทิ้งให้ใจเด็ดยืนกอดอกพิงกองหญ้าแห้ง คิดถึงวีรกรรมเมื่อยามที่สรนุชมาที่นี่ ทั้งตอนที่สรนุชตัดหญ้า วิดน้ำในปลักควาย และจบที่สรนุชกลัวผีโผเข้ากอดใจเด็ด
ใจเด็ดยืนยิ้ม เหมือนตกอยู่ในภวังค์
ภิรมย์เดินเข้ามาหาเห็น แกว่งมือที่หน้า ทว่าใจเด็ดไม่มีอาการตอบรับใดๆ
“หัวหน้าคร๊าบ” ภิรมย์ร้องเรียกเสียงดังลั่น
ใจเด็ดสะดุ้งโหยง “เฮ้ย...อะไรภิรมย์”
“หัวหน้าไม่สบายบ่ครับ ยืนตาลอยๆ ยิ้มอยู่คนเดียว”
“เปล่านี่ ฉันสบายดี แล้วมาเรียกฉัน มีอะไรรึเปล่า”
“อ๋อ...นายกโชคชัยกับตาน้อยมาหาหัวหน้าครับ มีเรื่องอะไรรึเปล่าไม่รู้ ดูหน้าตาท่าทางตาน้อยแกไม่ค่อยเสบยเลย”
ใจเด็ดพุ่งไปยังบ้านตาน้อยทันที ไม่นานหลังจากนั้นโชคชัยที่นั่งข้างตาน้อยหันมาพูดกับใจเด็ด
“ตาน้อยแกต้องการใช้เงินน่ะครับ ก็เลยให้ผมพามาเจรจาเรื่องที่นา ที่คุณซื้อกับแกไว้”
“ทำไมเหรอครับลุง ผมก็ผ่อนชำระให้ลุงตามสัญญาทุกงวดนี่ครับ ทุกสิ้นเดือน พอได้รับเงินเดือน ผมก็จะเอาไปให้ลุงที่บ้านตรงเวลาทุกครั้ง”
“แต่มันไม่พอครับหัวหน้า ผมจำเป็นต้องใช้เงิน 3 แสน” ตาน้อยบอก
ใจเด็ดตกใจ “3 แสน! แต่ที่นาที่ผมซื้อจากลุง มันแค่แสนกว่าเองนะครับ”
“ก็เพราะอย่างงี้ไงครับ แกถึงอยากให้ผมมาช่วยพูดให้คุณช่วยเหลือแก”
“ถ้าผมมี ผมยินดีจะช่วยนะครับ แต่นี่ผมไม่มีจริงๆ เงิน 3 แสนมันไม่ใช่ น้อยๆ นะครับลุง”
“แต่ถ้าลุงไม่มีเงิน 3 แสนไปช่วยไอ้จ้อย มันต้องตายแน่ๆ”
“ลูกชายลุงป่วยเหรอครับ ลุงถึงต้องหาเงินไปรักษา”
ตาน้อยส่ายหน้า “มันไม่ได้ป่วยหรอก แต่มันติดหนี้พนันบอล”
ใจเด็ดอึ้งไปเลย ตาน้อยได้แต่นั่งก้มหน้า เงียบไป น้ำตาตก โชคชัยต้องหันไปลูบหลังปลอบ
“ทำใจให้สบายเถอะลุง ยังไงหัวหน้าใจเด็ดก็ต้องช่วยลุงจนได้”
ใจเด็ดหนักใจ “จะให้ผมช่วยยังไงล่ะครับ ผมไม่มีเงินจริงๆ ลำพังค่าใช้จ่ายใน สถานี ผมก็แทบจะหาไม่พอใช้อยู่แล้ว”
“คือตาน้อยแกไปคุยกับผู้พันแล้วครับ ทางผู้พันยินดีจะซื้อที่นาตรงนั้น ในราคา 3 แสนบาท”
ใจเด็ดตะลึงงัน ฟังแค่นี้ เขาก็มองออกทะลุปรุโปร่งแล้ว
“หมายความว่า...ลุงจะขอซื้อที่นาคืนจากผม”
โชคชัยพยักหน้า ด้วยความลำบากใจ “ครับ”
ว่าแล้วตาน้อยควักเงินก้อนหนึ่งออกมายื่นให้ใจเด็ด
“นี่เป็นเงินค่าที่นาที่หัวหน้าผ่อนให้ผมมาทั้งหมด หัวหน้าช่วยกรุณารับคืนไปเถอะนะครับ” ตาน้อยยกมือไว้ท่วมหัว “ผมไหว้ละ”
“โธ่...ลุงอย่าไหว้ผมเลยครับ”
“ผมต้องเอาเงินไปช่วยไอ้จ้อยจริง มันอยู่กรุงเทพ มันยังเรียนไม่จบ ถ้ามันไม่มีเงินไปใช้หนี้เค้ามันต้องหมดอนาคตแน่ๆ ผมขอโทษหัวหน้า ผมรู้ว่าผมทำอย่างงี้ ผมทำไม่ถูก”
ตาน้อยสะอึกสะอื้น ใจเด็ดจับมือตาน้อย
“ลุงไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมยินดีที่จะช่วยลุง”
“ขอบพระคุณอย่างที่สุดครับหัวหน้าใจเด็ด”
โชคชัยรู้สึกโล่งอก มองใจเด็ดกับตาน้อยจับมือตกลงกันได้
เวลาต่อมาผู้พันชาญณรงค์ยืนดูโฉนดที่นาในมือ
“จุ๊ๆๆๆ ฉันไม่เคยเห็นที่นาแปลงไหน สวยเท่าแปลงนี้มาก่อนเลย ฮ่ะๆๆๆ” ชาญณรงค์ร่าเริงสุดขีด
“หัวหน้าใจเด็ดกรุณากับผมมาก ที่ยอมขายคืนให้”
“นี่ตาน้อย คนที่แกควรจะขอบใจคือพ่อฉันต่างหาก คิดดูซี ว่าพ่อฉัน ใจกว้างขนาดไหน ที่ยอมควักเงินซื้อที่นาแพงกว่าพี่เด็ด ก็เพื่อที่จะช่วยลูกแก”
“น่านน่ะสิ ที่ท่านผู้พันช่วยแก ไม่ได้หวังอะไรเลยนะเนี่ย” สมคิดสอพลอผสมโรง
โชคชัยสุดจะทนฟัง ตัดบท
“เอาล่ะครับ ไหนๆ ก็ได้โฉนดที่ดินมาแล้ว ท่านผู้พันก็รีบจ่ายเงิน 3 แสนให้ ตาน้อยแกเถอะครับ แกจะได้รีบไปโอนเงินส่งไปให้ลูกชายแกที่กรุงเทพฯ”
“แหม...ที่จะเอาเงินล่ะก็รีบกันนักเชียว ฉันบอกท่านนายกแล้วใช่มั้ย ว่าไม่มีใครหรอกที่ไม่รักเงิน ไอ้คิด...หยิบกระเป๋ามาให้ฉัน”
“ครับพ้ม...ผู้พัน”
สมคิดหยิบกระเป๋าหนังใบขนาดหนีบรักแร้ส่งให้ผู้พัน ผู้พันหยิบเงินออกมาปึกหนึ่งส่งให้ตาน้อย
“อ่ะนี่ 2 แสนห้า”
“อ้าว...3แสนทำไมเหลือแค่2แสนห้าล่ะผู้พัน อีก5หมื่นหายไปไหน?” โชคชัยฉุนนิดๆ
“ที่มันหายไป ก็เพราะมันเป็นค่าเสียเวลาที่ฉันต้องตามต่อรองขอซื้อที่ จากตาน้อยไง ถ้าแกยอมขายให้ฉันเสียแต่ทีแรก ก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“ผู้พันทำอย่างงี้ มันเอาเปรียบกันชัดๆ” โชคชัยต่อว่าทันที
“อ้าว มาต่อว่าต่อขานกันแบบนี้ ฉันเปลี่ยนใจไม่ซื้อก็ได้นะ”
ตาน้อยรีบคว้าเงินมา “เอ่อ...2 แสนห้าก็ 2 แสนห้าครับ”
โชคชัยอึ้ง “ตาน้อย”
“ไม่เป็นไรครับท่านนายก ที่ผู้พันยอมช่วยผม ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ขาดไป 5 หมื่น ผมยังพอหาได้ครับ” ตาน้อยบอกเสียงอ่อยๆ
โชคชัยถอนใจอย่างอ่อนใจ ขณะที่ผู้พันชาญณรงค์ยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ
เวลาต่อมาใจเด็ดยืนอยู่ในที่นาของตัวเองที่มีอาณาเขตติดกับที่นาของตาน้อย ด้วยสีหน้าปลงๆ
ระหว่างนั้นมีเสียงรถแล่นเข้ามาจอด ใจเด็ดหันมองไป เห็นสมคิดรีบลงจากรถไปเปิดประตูให้ผู้พันชาญณรงค์
“เชิญ ครับพ้ม ผู้พัน”
ผู้พันใส่หมวกก้าวลงจากรถ มองอย่างเย้ยหยันมาที่ใจเด็ด
“หึๆๆๆ มีที่นาแค่แมวดิ้นตายแค่นั้น ดูสิ จะทำอะไรได้”
“เท่านั้นยังไม่พอ ที่ตรงโน้นก็เป็นของผู้พัน ที่ตรงนั้นก็ใช่ นู้นก็ใช่ แถมที่ตรงนี้ก็เพิ่งได้มาใหม่เอี่ยมอ่องอีก ถูกที่ของผู้พันรอบกรอบไปเสียทุกด้าน อึกอัดแย่เลย” สมคิดสอพลอ
“ฮ่ะๆๆๆๆ แกพูดถูกใจฉันที่สุดเลยไอ้คิด ไหน...แกรีบเอาป้ายไปปักสิคนแถวนี้จะได้เห็น”
“ครับพ้ม”
ว่าแล้วสมคิดก็รีบคว้าป้ายไม้ออกมาจากท้ายรถ แล้วเดินไปตอกไว้กลางที่นา
ใจเด็ดมองไปที่ป้ายเห็นข้อความหรา “เขตปลอดควาย”
“ไอ้คิด ไหนช่วยอ่านให้ข้าฟังดังๆชัดๆสิ ป้ายมันเขียนว่ายังไง”
ใจเด็ดสวนออกมา “เขตปลอดควาย ไม่ต้องอ่านให้ฟังหรอก ผมอ่านหนังสือออก”
“อ่านออกก็ดี แล้วคอยดูต่อไป ฉันจะทำนาแถวนี้ทั้งหมดด้วยเครื่องจักร ไถหว่านด้วยรถไถนา ให้ไอ้พวกชาวบ้านหน้าโง่ทั้งหลายมันเห็น ว่าระหว่างฉันที่ใช้รถไถนา กับพวกมันที่ยังเก่าคร่ำครึใช้ควายไถนากันอยู่ ใครมันจะทำนาปลูกข้าวได้เร็วและรวยกว่ากันฮ่ะๆๆ” ชาญณรงค์ ทั้งเย้ย ทั้งหยัน
ใจเด็ดขบกรามแน่น ไม่ยอมแพ้
“ผู้พันจะทำอย่างงั้นก็เรื่องของผู้พัน แต่ผมนี่แหละ จะเอาควายมาช่วยชาวบ้านทำนาเอง”
ใจเด็ดกับผู้พันชาญณรงค์ยืนเผชิญหน้ากัน!
เวลาเดียวกันสรนุชกับอรอนงค์กำลังเข้าฟังการประเมินผลงานที่สรนุชไปสืบข้อมูลที่หนองระบือจากทีมผู้บริหาร ซึ่งมีภิภพกำลังอธิบาย
“พวกเราทั้ง5คนได้อ่านข้อมูลต่างๆที่คุณไปสืบจากหนองระบือมาอย่างละเอียดแล้ว พวกเราทั้ง 5 ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่างานของคุณ...ไม่ผ่าน”!!!
“หา ไม่ผ่านได้ยังไงกันคะ”
สรนุชกับอรอนงค์ไม่อยากจะเชื่อหู ภิภพพูดต่อ
“พวกเราเห็นว่า สิ่งที่คุณไปล้วงตับไตไส้พุงของไอ้พวกต่อต้านรถไถที่สถานีพันธุ์สัตว์มา มันไม่มีตรงไหนเลยที่จะช่วยให้เราเจาะตลาดที่หนองระบือได้”
สรนุชแย้งออกมาทันที “ก็ต้องจุดอ่อนต่างๆของพวกต่อต้านรถไถ ที่ฉันเขียนอธิบายไว้ทั้งหมดนี่ไงคะ ให้พวกทีมขายเอาไปใช้ วางแผนการขาย เจาะตลาดเข้าไปหาพวกชาวบ้าน”
“คุณพูดง่ายนี่ คุณเขียนๆ รายงาน แล้วบอกให้คนอื่นเอาไปทำงาน หึ ใครมันจะไปทำได้ ไม่ได้มีเส้นมีสาย เป็นแฟนของเจ้าของบริษัทอย่างคุณนี่...” ภิภพประชด จบด้วยการแขวะ
สรนุชปรี๊ด ของขึ้นทันที
“ว่าไงนะ...นี่คุณดูถูกฉันเหรอ ที่ฉันเข้ามาทำงานในบริษัทนี้ ฉันใช้ความ สามารถล้วนๆ ไม่เคยใช้เส้นใคร”
“ใจเย็นๆ นุช” อรอนงค์ปราม
“ถ้าคุณมีความสามารถจริงๆ คุณก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นซี ไม่ใช่นั่งเทียนเขียนรายงานแบบนี้”
“ก็ได้ ฉันจะขอรับหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายขายที่หนองระบือนั่นเอง” สรนุชบอกอย่างไม่ยอมแพ้
อรอนงค์ตกใจ รีบสะกิด “นุช...แกพูดอะไรออกไปรู้ตัวมั้ย”
“ฉันจะเปิดตลาดขายรถไถ บาคาตี้401รุ่นใหม่ของบริษัทที่หนองระบือให้ได้ ขอเวลาให้ฉันแค่1เดือน 1เดือนเท่านั้น”
สรนุชพูดต่ออย่างมุ่งมั่น ต่อหน้าทีมบริหาร
สมพลรู้เรื่องนี้เข้ารู้สึกหนักอกหนักใจ “จะดีเหรอหนูนุช”
“คุณพ่ออนุญาตเถอะนะค่ะ นุชตัดสินใจไปแล้ว” สรนุชบอก
ระหว่างนั้นณวัตแอบดีใจ ตาเหล่มองไปที่เลขาสาว สบตากันปิ๊งๆ
“แต่มันตั้งเดือนนึงนะ”
“โธ่คุณพ่อครับ เดือนนึงเอง ให้นุชเค้าไปพิสูจน์ตัวเองเถอะครับผมก็เบื่อไอ้พวกที่ชอบซุบซิบนินทาว่านุชใช้เส้นผมเข้าทำงานที่นี่ ทำให้มันเห็นไปเลย มันจะได้เลิกๆ พูดไปซะที” ณวัตทำเป็นอวย
สมพลเหล่มองณวัตกับเลขาสาว รู้ไต๋ลูกชายแสบดี
“อ๋อเหรอ แกอยากให้แฟนแกไปเต็มแก่ล่ะสิท่า”
“เอ่อ...โธ่คุณพ่อ...พูดอย่างงี้นุชก็เข้าใจผมผิดแย่สิครับ ใครจะอยากให้ แฟนตัวเองไปลำบาก แต่มันจะทำไงได้ล่ะครับ” ณวัตหันไปจับมืออ้อนสรนุช คุณไปตั้งเดือนนึง ผมคงคิดถึงคุณแทบบ้าเลย โธ่..นุชของผม”
ณวัตหวานเว่อร์ ตั้งท่าจะโผเข้ากอดสรนุช แต่ถูกสรนุชดันอกไว้
“ไม่เอาน่าวัต ต่อหน้าคุณพ่อ ทำงี้ได้ไง คุณไม่อาย ฉันอายนะ”
สมพลแอบทำปากขมุบขมิบด่าลูกตัวเอง
“มันได้เชื้อตอแหลมาจากใครวะเนี่ยะ เอ่อ...ถ้าหนูนุชมั่นใจว่าจะทำได้ ก็ลองดู ว่าแต่หนูจะไปกับใครล่ะ”
“ทีมเดิมค่ะคุณพ่อ! แต่คราวนี้ หนูต้องขอค่าเหนื่อยให้เพื่อนหนูหน่อยนะคะ” สรนุชว่า
“ถ้าสามารถขายรถไถที่หนองระบือนั่นได้ จะเอาเท่าไหร่ พ่อทุ่มไม่อั้น!” สมพลตกลงทันที
ในเวลาเดียวกันบรรยากาศในกองละครที่สุบินกำกับกำลังตึงเครียด เพราะทีมงานต้องรอให้นางเอกแสดงบทร้องไห้ให้ออก คนแสดงเป็นพระเอกนอนเสื้อเปื้อนเลือดเพราะในบทถูกยิง
อากาศก็ร้อนตับแลบ ทีมงานนั่งพัดวีรอกันจนเซ็ง สุบินต่อว่านางเอกเจ้าปัญหา
“นี่น้องเดียร์ เมื่อไหร่น้องจะทำอารมณ์ได้ซะที แค่ร้องไห้นิดเดียว พี่รอมา 2 ชั่วโมงแล้วนะ”
”ก็เดียร์ร้องไม่ออกนี่คะ ไม่ร้องไม่ได้เหรอพี่บิน?” เดียร์ว่า
“เฮ้ย...พระเอกถูกยิงอาการร่อแร่ขนาดนั้น น้องจะให้นางเอกหัวเราะขำกลิ้งหรือไงจ๊ะ เอาล่ะ พี่ไม่รอแล้ว เดี๋ยวแสงมันจะหมด เย็นลงไปทุกทีพอพี่นับ น้องต้องบีบน้ำตาออกมาให้ได้ เอาล่ะทุกคนพร้อม5...4...3...2....”
กล้องจับที่หน้านางเอก ทุกคนออกอาการลุ้นให้เธอร้องไห้ออกเสียที แต่เดียร์กลับสะบัดสะบิ้ง อิดออด
“ไม่อ่ะ เดียร์ร้องไม่ออก เดียร์เหนื่อย เดียร์ร้อนจะตายอยู่แล้ว ขอมาถ่ายวันหลังได้มั้ยคะ”
สุบินสุดจะทน เขวี้ยงวอร์ลงกับพื้นอย่างลืมตัว
“โว้ย! ทั้งวันถ่ายได้แค่ซีนเดียว เทคแล้วเทคอีกก็ร้องจะกลับบ้านแล้วทำงานก็เบาก็กว่าคนอื่น ค่าตัวก็มากกว่าคนอื่น ทำไมไม่รู้จักอดทนให้เหมือนกับควายห๊ะ”
ถูกสุบินด่าเปรียบกับควาย น้องเดียร์ตกใจอ้าปากค้าง “เฮิ้ก...”
“รู้จักมั้ยควายน่ะ ถึงมันจะมีเขา แต่มันก็ไม่โง่ มันไถนากลางแดดกลางฝน แต่มันก็ไม่เคยเหนื่อย ทำไมเธอถึงไม่อย่างมันบ้างห๊ะ” สุบินแผดเสียง
“คร่อก”
น้องเดียร์ตัวเกร็งช็อค เป็นลมล้มพับลงไปแล้ว ทีมงานทุกคนตกใจ สุบินยืนช็อก
ผู้จัดการแต๋วแตกของน้องเดียร์วิ่งหน้าตื่น รีบปรี่เข้ามาประคอง
“ว้ายตายแล้วน้องเดียร์ เป็นยังไงบ้างหนู” หันมาชี้ด่าสุบินกล้ามาด่านางเอกดาวรุ่งพุ่งแรงของฉันเป็นควายได้ไงยะ คอยดูนะ ฉันจะเอาเรื่องจนถึงที่สุด พรุ่งนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับจะต้องขึ้นหน้าหนึ่ง!”
คืนนั้นสุบินเดินเซ็งเป็ดเข้าร้านมาร้านก๋วยเตี๋ยวรอบดึกแห่งหนึ่ง ยกมือไหว้ชายคนที่กำลังลวกเส้นอย่างชิดเชื้อและคุ้นเคย
“หวัดดีพี่อุ๋ย”
“อ้าวไอ้บิน...เมื่อเช้าอ่านข่าว ขึ้นหน้าหนึ่งเลยนะเอ็ง ดังไปเลยว่ะฮ่ะๆๆ”
“ล้มดังน่ะสิเพ่ เซ็งเลย”
“ให้ฉันเดา เค้าไล่แกออก ไม่ให้กำกับแล้วใช่มั้ย”
“ก็ใช่น่ะเด่ ทางช่องเค้าโกรธที่ผมไปด่าเด็กปั้นเค้าว่าควายโฮ่ย...โลกนี้มีความยุติธรรมบ้างมั้ยเนี่ย”
“พี่ถึงเบื่อ ออกมาขายก๋วยเตี๋ยวมันสักพัก หารสชาติใหม่ๆ ให้กับชีวิต” ที่แท้อุ๋ยเคยเป็นผู้กำกับฯ มาก่อน
“แต่ผมทำก๋วยเตี๋ยวไม่เป็น คงมาทำอย่างพี่ไม่ได้หรอก ผมทำเป็นอยู่อย่างเดียว คือเป็นผู้กำกับ แต่ดันมาตกงานซะ จะเอาอะไรกินเดือนนี้” สุบินบ่นอุบ
“ถ้าเอ็งอยากทำละครอยู่ ก็หาเรื่องหาพล็อตมาซี เดี๋ยวพี่ช่วย”
สุบินหูผึ่ง “จริงเหรอพี่?”
“พอดีพี่ชายพี่เค้ากำลังจะเปิดบริษัทผลิตละคร ถ้าเอ็งมีพล็อตเรื่องแปลกๆ เค้าคงสนใจ” อุ๋ยบอก
“ได้เลยพี่ ก่อนอื่นขอเล็กแห้งพิเศษมา 1 ชามก่อนพี่”
ในวันต่อมาสุบินอยู่ที่คอนโด กำลังนั่งซัดม่ามาในชาม ขณะฟังเรื่องที่สรนุชเล่า
“หา...แกว่าไงนะนุช...นี่แกจะกลับไปที่หนองระบือนั่นอีกแล้วเหรอ?”
“ใช่ ทางบริษัทแต่งตั้งให้ฉันไปเป็นหัวหน้าฝ่ายขายคนใหม่ที่นั่น” สรนุชบอก
“แต่งตั้งที่ไหนกัน แกเป็นคนเสนอหน้าขอทำเองต่างหาก” อรอนงค์ว่าหน้าเซ็งๆ
“เพราะฉันรู้ไงว่าฉันทำได้ ฉันถึงเสนอตัว และแก 2 คน ก็ต้องไปช่วยฉัน”
“กลับไปตอแหลเค้าอีกน่ะเหรอ เฮ้ย...ไม่เอาอ่ะ” สุบินปฏิเสธ
“คราวนี้ไม่ไช่งานกุศลนะ ฉันให้ค่าแรงแก 1 แสน” สรนุชบอก
สุบินหันกลับมา “จ่ายสดงดเชื่อนะเว้ย”
สรนุชควักเงิน 1 แสนออกมาวาง สุบินคว้าไปหมับ “งั้นก็โอเค”
“เห็นเงิน ก็ตกลงกันง่ายๆ เหรอสุบิน” อรอนงค์กัดเอา
“แกไม่ตกงาน แกไม่รู้จักคำว่าตกนรกหรอก ฉันค้างค่าห้องเค้ามาหลายเดือนแล้ว ฉันต้องรีบเอาไปจ่ายก่อนที่เค้าจะมาไล่ฉันออกอีกอย่างหนึ่ง ฉันกำลังหาพล็อตละครแปลกๆ ไปเสนอทำละครบางทีฉันอาจจะไปปิ๊งไอเดียที่หนองระบือก็ได้ แล้วแกล่ะยัยอรไปด้วยมั้ย”
“ไม่ไป ฉันก็ตกงานน่ะดิ ฉันไม่อยากรู้จักคำว่าตกนรกอย่างแกหรอก” อรอนงค์บอกหน่ายๆ
สุบินชะงักมือที่กำลังนับเงิน หยุดคิดรู้สึกสงสัย
“ว่าแต่...การกลับไปที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ครั้งนี้ แกมีแผนการอะไรยัยนุชถึงได้ขอเวลาบริษัทตั้ง1เดือน”
สรนุชไม่ตอบ แต่ผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาทางใบหน้า เหมือนว่าในหัวมีแผนการใหญ่อยู่แล้ว
อ่านต่อหน้า 4 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.
กระบือบาล ตอนที่ 4 (ต่อ)
รุ่งเช้าวันต่อมาเสียงเพลงแตรวงดังใกล้เข้ามา คณะแตรวงที่กำลังเล่นเพลงสนุกสนานในงานบวช ภายในวัดของหมู่บ้านหนองระบือ พอคณะแตรวงเคลื่อนผ่านไปจึงได้เห็นว่าใจเด็ด และเกริกไกร เดินร่วมอยู่ในขบวนแห่นาคนั้นด้วย
ใจเด็ดเหลือบไปเห็นเกริกไกรสีหน้าไม่ค่อยแจ่มใส
ใจเด็ดจึงหยอกเพื่อนซี้ “โกรธที่มีคนแย่งถือหมอนเหรอหมอ”
เกริกไกรพยักหน้าแกนๆ ไปอย่างนั้น ใจเด็ดรู้ว่าเกริกไกรยังไม่หายจากอาการอกหัก
“งานบวชนะหมอไม่ใช่งานศพ...ทำหน้าอิ่มบุญหน่อย”
“คนมันเศร้าจะให้มีความสุขได้ไงวะ”
“เอ้า...ไม่เคยได้ยินเหรอว่างานบวชนี่กุศลแรงนะ...ถ้าหมอมีใจอนุโมทนาบุญกับนาคชิต...บางทีบุญกุศลนี้อาจทำให้คุณอรเขากลับมาหาหมอก็ได้นะ”
ได้ยินอย่างนั้นเกริกไกรก็ยิ้มหน้าแป้นแร้นขึ้นมาทันที
เกริกไกรยิ้มไปพูดไป “แค่นี้พอยัง”
ใจเด็ดส่ายหัวเซ็งกับอารมณ์ล้นของเกริกไกร
ระหว่างที่ขบวนแห่นาคเคลื่อนตัวผ่านประตูโบสถ์ ทุกๆ คนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถตู้เคลื่อนเข้ามาจอดที่หน้าประตูวัด ก่อนจะเห็นรถอีกคันแล่นเข้ามาจอดต่อท้าย ใจเด็ดกับเกริกไกรมองด้วยความสงสัย เช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่นๆ
เป็นสุบินที่ก้าวลงมาจากรถตู้อีกคัน พร้อกับขนอุปกรณ์กองถ่ายลงมา พอใจเด็ดกับเกริกไกรเห็นสุบินก็อึ้งไป แล้วยิ่งอึ้งอีกเมื่อรถคันหลังเปิดประตู เห็นอรอนงค์ก้าวลงจากรถ เกริกไกรถึงกับอ้าปากค้างไม่เชื่อสายตา
“คุณอร”
ใจเด็ดเองก็อึ้งไปเช่นกัน เมื่อเห็นอรอนงค์ก็แสดงว่า...ใจเด็ดเคลื่อนสายตาไปที่ประตูฝั่งคนขับ ก่อนจะเห็นสรนุชลงจากรถเช่นกัน
พอลงจากรถ สรนุช อรอนงค์และสุบินก็หันมาคุยกัน
“แผนอะไรของแกถึงได้พามาที่วัดนี่” สุบินยังงงไม่หาย
“แกนี่ไม่รู้อะไร...นุชเขาก็พามาไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัย...ใช่มั้ยนุช” อรอนงค์หันไปทางสรนุช
“เปล่า...ที่นี่แหละที่จะทำให้แผนฉันสำเร็จ”
ด้านเกริกไกรกำลังขยี้ตาให้แน่ใจว่าตนไม่ได้ตาฝาด ในที่สุดเกริกไกรก็แน่ใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคืออรอนงค์จริงๆ ทันใดนั้นเกริกไกรก็ลืมทุกสิ่งรีบวิ่งฝ่าขบวนแตรวงจนขบวนแตรวงจนแตกกระเจิง ฉิ่ง ฉาบหล่นกระจาย เสียงดังวุ่นวาย
สรนุช อรอนงค์ และสุบินได้ยินเสียงวุ่นวายก็หันไปมองก่อนจะเห็นเกริกไกรวิ่งเข้ามา
“คุณอร...คุณอรกลับมาหาผมแล้วเหรอครับ” เกริกไกรร้องทัก
“หมอ..!” อรอนงค์ตกตะลึง
สรนุชเองก็อึ้งไปก่อนจะหันไปมองด้านหลังเกริกไกรเห็นใจเด็ดเดินเข้ามา ทั้งใจเด็ดและสรนุชต่างสบตากันนิ่งและเนิ่นนาน
หลวงพ่อยกน้ำชาขึ้นจิบก่อนจะถามขึ้น
“มาถ่ายละครเหรอ”
สรนุช อรอนงค์ สุบิน ใจเด็ดและเกริกไกรนั่งอยู่บนศาลา
“ค่ะ...ที่พวกเรากลับไปก็เพราะไปเขียนบทมาค่ะ”
“อืม...ดีๆ...แล้วใครเล่นมั้งละ”
สรนุชเหลือบไปมองใจเด็ดก่อนจะมองไปที่ชาวบ้านที่ฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อว่าจะได้พบกับดาราคนโปรดหรือเปล่า
“ก็ลุงป้าน้าอาแถวนี้ล่ะค่ะ”
พอสรนุชพูดอย่างนั้น ก็มีเสียงอื้ออึงเม้าท์มอยของชาวบ้านดังขึ้น ใจเด็ดมองสรนุชด้วยความสงสัยว่าจะเอาชาวบ้านเล่นได้ยังไง
สรนุชสะกิดสุบินให้พูดรายละเอียดต่อจากเธอ
“คือละครเรื่องนี้เป็นละครกึ่งสารคดีน่ะครับ...พวกเราเลยต้องการวิถีชีวิตจริงๆ ของคนที่นี่น่ะครับ”
“แหม...เสียดายเนอะที่อาตมาไม่ได้ชื่อเอก” หลวงพ่อหยอดมุก
เกริกไกรงง “ทำไมเหรอครับ”
“เอ้า...อาตมาก็จะได้เป็นพระเอกไงละ” หลวงพ่อบอก
ทุกคนถึงกับเซถลากันไป ส่วนชาวบ้านต่างหัวเราะชอบใจ
“แหม...หลวงพ่อนี่มุกเยอะจังเลยนะคะ...คือ...พวกเราเห็นว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่นี้”
ใจเด็ดแย้งขึ้นอย่างขัดใจ “นี่คุณ...หลวงพ่อนะไม่ใช่เจ้าพ่อ”
สรนุชแอบมองค้อนที่ถูกขัดจัดหวะ “เอ่อ...พวกเราเห็นว่าหลวงพ่อเป็นที่พึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนที่นี่...ก็เลยอยากให้หลวงพ่อบอกกับชาวบ้านให้หน่อยน่ะค่ะ”
“ไม่มีปัญหาหรอกโยม...ทุกคนเขายินดีช่วยโยมกันทั้งนั้นแหละ...จริงมั้ยพวกเรา”
หลวงพ่อหันไปถามชาวบ้านที่นั่งอยู่ ก่อนจะได้ยินเสียงเฮดังลั่นจากชาวบ้าน
“แหม...ชาวบ้านที่นี่มีน้ำใจจังเลยนะคะ”
“มีน้ำใจอะไรคุณ...เขาอยากเป็นดารากันต่างหาก” เกริกไกรว่า
ทุกคนถึงกับหันมองเกริกไกรเป็นตาเดียว
“แหม...หมอก็แซวพวกเราเล่นน่ะ”
“แล้วนี่จะพักกันที่ไหนละ...นอนที่วัดนี่มั้ย...กุฏิตรงท้ายป่าช้ายังว่างอยู่” หลวงพ่ออกปากชวน
สรนุช สุบิน อรอนงค์ถึงกับสะดุ้ง
“ถ้ามันจำเป็นก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ” สรนุชยิ้มแห้งๆ
“โอ๊ย...จะไปนอนตรงนั้นทำไมครับ...ผมหมอเกริกไกรในฐานะตัวแทนของชาวบ้าน...ขอรับอาสาที่หนักหน่วงนี่เองครับ” เกริกไกรอาสาทันควัน
“ไอ้หมอ...แกเป็นตัวแทนชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่...แล้วไม่ต้องพูดเลยว่าหนักหน่วง...ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไร” ใจเด็ดว่า
“ทำไม...ไม่หนักตรงไหน...รู้มั้ยว่าการแอบรักใครคนนึงมันหนักหน่วงแค่ไหน”
ว่าแล้วเกริกไกรหันไปส่งสายตาปิ๊งๆให้กับอรอนงค์ อรอนงค์หลบตาอายๆ
“ไม่เป็นไรหรอกคะหลวงพ่อ...ดูจากที่คุณใจเด็ดพูดแล้ว...พวกเราเองตั้งใจกลับมาที่นี่เพื่อทำประโยชน์ให้...แต่ถ้ามันรู้สึกว่าเป็นภาระก็ไม่ต้องหรอกค่ะ” สรนุชเหน็บใจเด็ด
“ผมยังไม่ได้ปฏิเสธซักคำว่าไม่ให้คุณกลับไป”
อรอนงค์ เกริกไกรและสุบินต่างงงกับท่าทีของใจเด็ด
“ถ้าคุณมาทำประโยชน์ให้ชาวบ้านอย่างที่คุณว่า...สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์พร้อมที่จะต้อนรับเสมอ”
สรนุชทำหน้าเฉยไม่รู้สึกอะไร ก่อนจะลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
เวลาต่อมาใจเด็ดเดินนำกลุ่มของสรนุชเข้ามาที่รถที่จอดอยู่ เกริกไกรเดินมากับอรอนงค์และสุบิน เกริกไกรเดินอ้อมหน้าอ้อมหลังอรอนงค์จนสุบินแปลกใจ
“สงสัยว่าหมอเขากำลังดูอาการเธออยู่น่ะ” สุบินกระซิบแซว
“ฉันไม่ใช่ควาย” อรอนงค์หันไปถามเกริกไกรอย่างอึดอัด “มีไรคะหมอ”
“คือ...วันที่คุณอรกลับกรุงเทพไป...ทำให้ผมรู้ว่าที่ผ่านมาผมจดจำภาพของคุณอรได้น้อยเหลือเกิน”
“โอ้โห...รุกฆาต” สุบิน ทึ่งกับมุกหวานของเกริกไกร
อรอนงค์ทำปากขมุบขมิบด่าสุบิน “อยากถึงฆาตมั้ยแกน่ะ”
สรนุชยังมองใจเด็ดที่เดินอยู่ด้วยความสงสัยว่า ทำไมใจเด็ดถึงได้ยอมให้เธอพักในสถานีฯอย่างง่ายดาย
“นายพูดแล้วห้ามคืนคำละ”
ใจเด็ดหันมา “เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่นายยอมให้พวกฉันไปพักที่สถานีนายไง”
“หึ...ถึงผมจะคืนคำ...แต่ถ้าคุณต้องการจะไปพักจริงๆ...คุณก็คงจะหาวิธีจนได้” ใจเด็ดดักคอ
สรนุชนิ่งไปก่อนจะนึกได้ว่าที่ใจเด็ดพูดเหมือนว่าเธอขอร้องเขานั่นเอง
“นี่...ฉันไม่ได้อยากไปอยู่กับพวกควายพวกนั้นซะหน่อย”
เกริกไกรรีบเข้ามาคั่นกลางทันที “ครับๆ เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่านะครับ...” หันไปกระซิบเอ็ดใจเด็ด “พอได้แล้ว...เดี๋ยวคุณอรก็เปลี่ยนใจหรอก”
ระหว่างนั้นทุกคนก็ต้องนิ่งไปเมื่อหันมาเห็นชาญณรงค์ยืนจังก้าขวางทางอยู่
“นี่พวกหนูจะกลับมาถ่ายพวกเครื่องมือการเกษตรฉันใช่มั้ย”
เกริกไกรรีบตอบเพราะอยากเกทับมานานแล้ว “ไม่ใช่ครับ...คุณนุชเธอกลับมาถ่ายละครที่สถานีเรา”
ใจเด็ดปราม ไม่อยากมีเรื่องในวัด “หมอ”
“ละคร..? ละครเรื่องอะไร...ทำไมผมไม่เห็นรู้...แล้วละครเรื่องอะไร” ชาญณรงค์สงสัย
เกริกไกรโพล่งขึ้น “กระบือทระนง...ตอนนี้ยังขาดพระเอกอยู่...ผู้พันสนใจมั้ย...เอ...แต่ถ้าผู้พันเป็นพระเอก..สงสัยต้องเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็นกระบือชาญณรงค์”
“ไอ้หมอควาย..!” ชาญณรงค์ฉุนขาด
สรนุชเห็นว่าถ้าปล่อยไว้คงต้องมีเรื่องกันอีกแล้วนั่นก็จะเสียแผนของเธอ จึงรีบโผล่งกลางปล้อง
“หมอเขาพูดเล่นน่ะคะ...คือที่พวกเรากลับมานี่ก็เพราะว่าพวกเราจะมาถ่ายละคร...โดยให้ชาวบ้านอย่างผู้พันอย่างหลวงพ่อร่วมแสดงด้วยนะคะ”
ชาญณรงค์เก๊กขรึมขึ้นมาทันที “ให้ฉันแสดงด้วยเหรอ”
“แน่นอนค่ะ...ละครเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชาวบ้านที่นี่...ถ้าไม่มีผู้พันจะได้ยังไงล่ะคะ” สรนุชหยอดหวาน
“เหรอ..อืม...แล้วฉันต้องเล่นเมื่อไหร่” ชาญณรงค์ซักอย่างตื่นเต้น
เกริกไกรแอบกระซิบกับใจเด็ดอย่างหมั่นไส้
“โห...ไม่ค่อยเลยเนอะตาผู้พันนี่”
สรนุชอึกอักเพราะยังไม่ได้วางแผนเลยตอบส่งๆไป
“พรุ่งนี้เลยค่ะ...เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะไปหาผู้พันที่บ้านค่ะ”
“พรุ่งนี้ ! ที่จริงฉันก็ไม่ได้อยากเล่นหรอกนะ...แต่เห็นว่าหนูขอร้อง...ถ้าอย่างนั้น” ชาญณรงค์ยกนาฬิกาข้อมือดู “พรุ่งนี้ฉันจะรอแล้วกัน”
ชาญณรงค์ย้ำกับสรนุชก่อนจะหันมองหน้าเอาเรื่องใจเด็ดแล้วเดินออกไปอย่างไว้เชิง
“วันนี้ไม่ชักปืนเว้ย” สุบินแปลกใจ
“สงสัยกลัวจะกลับไปซ้อมบทไม่ทันน่ะครับ” เกริกไกรบอก
สรนุชมองตามผู้พันชาญณรงค์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแผนการ ก่อนที่เธอจะหันมาเห็นใจเด็ดจ้องมองเธออยู่ สรนุชทำหน้านิ่งไม่ให้ใจเด็ดจับพิรุธได้
ภิรมย์ และสมหญิงกำลังช่วยกันทำความสะอาดคอกควายอยู่ในสถานี ภิรมย์ร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี ถูกสมหญิง
“มีความสุขจังนะ...ถูกหวยหรือไง
“คนเราน่ะนะ...ถ้าได้ทำงานที่ตัวเองรัก...มันมีความสุขยิ่งกว่าถูกหวยอีกนะเว้ย”
สมหญิงถามย้ำ “อย่างนั้นเลยเหรอ”
“เออเด่ะ”
สมหญิงฉุน เลยโยนไม้กวาด ถัง คราด ให้กับภิรมย์
“อ้าวเฮ้ย ! อะไรของแก”
“เอ้า...ก็อยากให้แกมีความสุขเยอะๆ ไง”
ภิรมย์รีบวิ่งมาขวาง “ไม่ต้องเลย...จะตามไปงานบวชละซิ...ถ้าหัวหน้ากลับมาแล้วไม่เสร็จ...แกจะบอกหัวหน้าว่าไง”
ระหว่างนั้นเห็นเจนจิราเดินเข้ามาโดยที่ภิรมย์กับสมหญิงไม่เห็น
สมหญิงหน้าเศร้า “นี่หัวหน้าไปแค่ครึ่งวัน...ฉันยังรู้สึกอะไรหายๆ ไป...ถ้าหัวหน้าไม่อยู่ที่นี่แล้วจะเป็นยังไงเนี่ย”
ภิรมย์ท้วง “ไม่มีทาง...ที่ไหนมีควายที่นั่นต้องมีหัวหน้า”
“แต่วันนึงหัวหน้าเขาก็ต้องมีครอบครัว...แล้วผู้หญิงที่ไหนจะยอมย้ายมาอยู่ที่นี่” สมหญิงรำพัน
“ก็จริงของแก..” ภิรมย์นิ่งคิด “ถ้างั้นเราก็ต้องหาคนที่นี่ให้หัวหน้าน่ะดิ...แล้วจะเป็นใครวะ...ฉันไม่เห็นว่าหัวหน้าจะมองใครเลย”
สมหญิงนึกแล้วนึกอีก “คุณเจนไง”
เจนจิราที่แอบฟังก็ชะงักไป
“ฉันว่าคุณเจนน่ะเหมาะสมกับหัวหน้าที่สุดแล้ว...สวยก็สวย...ลุยก็ลุย...แถมถ้าหัวหน้าได้แต่งกับคุณเจนละก็...ยังไงสองคนนั่นก็ไม่ไปไหน...แกว่ามั้ย”
เจนจิราแอบอมยิ้มฝันไปไกล ระหว่างนั้นเสียงรถกะบะใจเด็ดดังขึ้น เจนจิราหันขวับด้วยความดีใจ
เจนจิราวิ่งเข้ามาที่หน้าสถานีเห็นรถของใจเด็ดเดินเข้ามา
“ หัวหน้า...”
แต่แล้วเจนจิราก็ต้องหุบยิ้ม นิ่งงันไปเมื่อเห็นเกริกไกร นำอรอนงค์ สรนุชและสุบินเดินตามเข้ามา
ระหว่างนั้นเสียงของภิรมย์กับสมหญิงดังขึ้น
“อ๊าย...”
สมหญิงและภิรมย์วิ่งตัดหน้าเจนจิราเข้ามาหาสรนุช อรอนงค์และสุบินด้วยความดีใจ
“นี่พวกคุณนุชคุณนงคุณสุบินจริงๆหรือเปล่าคะเนี่ย” สมหญิงบอก
สรนุชหัวเราะชอบใจ “ถ้าไม่ใช่แล้วจะเป็นใครล่ะจ้ะ...ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอที่ได้เจอพวกฉันอีก”
“ดีใจซิครับ...ตอนแรกผมน่ะคิดว่ายังไงพวกคุณก็คงไม่กลับมาแล้ว...ใครจะมาอยู่ที่อย่างนี้ได้...แต่หัวหน้าซิครับ...บอกว่ายังไงพวกคุณก็ต้องกลับมา” ภิรมย์ว่า
ใจเด็ดสวนขึ้นทันควัน “ฉันพูดตอนไหน” ภิรมย์กำลังจะอ้าปากบอก ใจเด็ดรีบตัดบท “พอละ...ฉันไม่อยากสนใจเรื่องพวกนี้มาก”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็หันมองใจเด็ดที่ทำหน้านิ่งไร้ความรู้สึก เจนจิราเองก็หันมองใจเด็ดเพราะเธอเพิ่งรู้ว่าใจเด็ดเชื่ออย่างนั้นมาโดยตลอด
“พวกเรามาถ่ายละคร...ยังไงรบกวนหน่อยนะสมหญิง” อรอนงค์เอ่ยขึ้น
สมหญิงดี๊ด๊าหน้าระรื่น “ได้เลยค่ะ...สมหญิงยินดีให้รบกวนเต็มที่เลยค่ะ”
“แล้วพวกคุณจะอยู่นานแค่ไหนคะ” เจนจิราถาม
ทุกคนหันไปก็เห็นเจนจิราเดินเข้ามา
เกริกไกรตอบแทนทันที “ตลอดไป”
“โห...ไม่ไหวมั้งหมอ...เอาแค่ละครเสร็จก็พอ” สุบินหันไปพูดกับเจนจิรา “ไม่ขัดข้องใช่มั้ยครับคุณเจน”
“ตามสบายเลยค่ะ...อยู่เท่าที่พวกคุณอยากจะอยู่...ฉันและทุกคนที่นี่ขอแค่พวกคุณทำสารคดีควายออกมาให้ดีที่สุดก็พอ” เจนจิราพูดเป็นทางการ
“ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกสมหญิงได้เลยนะครับ...ถ้าอย่างนั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
ใจเด็ดค้อมศรีษะให้ทุกคนก่อนจะเดินออกไป เจนจิรามองตามด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนเร้นภายในใจ เช่นเดียวกับสรนุชที่มองตามใจเด็ดไม่วางตา
สรนุชรู้สึกแปลกใจที่ใจเด็ดไม่ตั้งกำแพงใส่เธอเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน!!
ครู่ต่อมาสมหญิงยกกระเป๋าขึ้นมาบนเรือนรับรอง สรนุช สุบินและอรอนงค์เดินตามขึ้นมา
“กลับมาแล้วนะครับ” สุบินบอกกล่าว
“พูดเหมือนว่ากลับบ้าน” อรอนงค์ขำ
“ก็ใช่ไง...เธอไม่รู้สึกเหมือนว่ากลับบ้านหรือไง...หรือว่าบ้านเธออยู่ทางโน้น” สุบินบุ้ยใบ้ไปทางบ้านพักเกริกไกร
“บ้า...นั่นมันบ้านพักหมอเกริกไกร”
สรนุชเดินเข้ามาจับตามโต๊ะเก้าอี้แล้วสงสัย
“นี่สมหญิงทำความสะอาดทุกวันเลยเหรอ”
“ค่ะคุณ...หัวหน้าแกบอกให้สมหญิงทำน่ะค่ะ...แกบอกว่าต้องทำเอาไว้เผื่อคุณๆ กลับมาจะได้พักได้เลย”
“หึ...อารมณ์แปรปรวนจริงๆตานี่” สรนุชนึกได้จึงลองๆ ถามสมหญิงดู “เอ่อ...สมหญิงจ๊ะ...หัวหน้าสมหญิงนี่เขาสนิทกับพวกชาวบ้านมั้ย”
“โอ๊ย...ยิ่งกว่าสนิทอีกคะ...นี่ถ้าหัวหน้าลงสมัครสส.ละก็...รับรองได้ทุกสมัย” น้ำเสียงสมหญิงภูมิใจ
สุบินไม่อยากเชื่อ “เกินไปหรือเปล่า”
“จริงๆ นะคะ...อย่างเลือกตั้งคราวที่แล้วพวกสส.เขายังมาขอร้องให้หัวหน้าพูดกับพวกชาวบ้านให้เลย...แต่หัวหน้าแกบอกว่าการเลือกตั้งเป็นสิทธิของชาวบ้าน...ไม่มีใครจะสั่งให้ไปเลือกได้” สมหญิงร่ายยาว แล้วจึงนึกขึ้นได้ “แล้วคุณนุชถามทำไมเหรอคะ”
“อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ...” สรนุชตัดบท “ไม่ต้องเก็บกระเป๋าหรอกจ้ะ...เดี๋ยวพวกฉันทำเองได้”
สมหญิงอิดออด “แต่ว่า...”
“ไปพักผ่อนเถอะจ้ะ...ฉันรู้ว่าสมหญิงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“งั้นก็ได้ค่ะ...ถ้ามีอะไรก็เรียกสมหญิงได้ตลอดเวลานะคะ”
สมหญิงค้อมศรีษะก่อนจะลงจากเรือนไป สุบินกับอรอนงค์สงสัยมานานก็รีบเข้ามาถามสรนุช
“ฉันว่าจะถามแกที่วัดแล้ว...ทำไมแกถึงอยากเจอหลวงพ่อเจอนายใจเด็ดเจอผู้พันด้วย”
สรนุชนิ่งไป ไม่ยอมบอกในนาทีนั้น
ไม่นานหลังจากนั้น สุบินกำลังงงในสิ่งที่สรนุชบอก
“ยุทธศาสตร์ดาวเปื้อนดิน”
“ถูกต้อง”
“มันคืออะไรวะไอ้ยุทธศาสตร์ดาวเปื้อนดินอะไรของแกเนี่ย” สุบินสงสัยหนัก
“จากข้อมูลที่เรามาสำรวจคราวที่แล้วทำให้รู้ว่า...ถ้าเราจะทำให้ชาวบ้านเชื่อในสิ่งที่เราพูด...เราจะต้องใช้คนที่ชาวบ้านให้ความนับถือเป็นสื่อกลาง” อรอนงค์อธิบาย
“ผู้นำชุมชนก็เปรียบเหมือนดาวที่ส่องแสงมายังพื้นดิน” สรนุชเสริม
“โห...แกสองคนนี่ดูละครมากไปป่ะเนี่ย” สุบินเยาะ
“ทำไม”
“เปล๊า ! มิน่า...แกถึงอยากรู้เรื่องของคุณใจเด็ด”
“ถ้าฉันไม่ทำอย่างนี้...แกคิดว่าเวลาหนึ่งเดือนมันจะทันหรือไง”
“แล้วไอ้ผู้นำชุมชนที่แกจะทำให้เปื้อนมีใครบ้าง” สุบินสงสัยต่อไปอีก
สรนุชหันไปพยักหน้าให้กับอรอนงค์ อรอนงค์เดินไปที่กระเป๋าเดินทางก่อนจะหยิบแผ่นชาร์จที่เป็นกระดาษพับอยู่คลี่ออกมา
กระดาษชาร์ทเห็นว่ามีรายชื่อต่างๆ อยู่ห้ารายชื่อ อรอนงค์เริ่มพรีเซ็นต์
“ที่เรารู้จักกันอยู่แล้วก็คือคุณใจเด็ด...หลวงพ่อ...ผู้พัน...ส่วนอีกสองคนก็คือ...ครูสีดา...กับมหาเหม็น”
“คนบ้าอะไรวะชื่อมหาเหม็น...แล้วยังไง...แกจะไปตีซี้กับดาวดวงไหนก่อนจ๊ะแม่คุณ”
สรนุชยิ้มเจ้าเล่ห์ให้สุบินแทนคำตอบ
อ่านต่อตอนที่ 5 พรุ่งนี้