กระบือบาล ตอนที่ 1
บริเวณท้องทุ่งภายในสถานีเพาะพันธุ์กระบือแห่งนั้น เขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา และในตอนกลางวันของวันนั้นควายนับสิบตัววิ่งกันจนฝุ่นตลบอยู่ตรงบริเวณหนึ่ง ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทีมงานกำลังเปิดคอกคัดรออยู่ ฝูงควายวิ่งกรูกันเข้ามาจนวิ่งผ่านไปหมดแล้ว ครั้นพอฝุ่นจางลง ก็มีเสียงร้องตะโกนสั่งดังขึ้นมา
“ปิดคอก...ปิดคอก” เป็นใจเด็ดนั่นเองที่ร้องบอกทีมงาน
ภิรมย์พร้อมกับคนงานคนอื่นๆ ต่างส่งเสียงร้องบอกต่อกันเพื่อออกไปปิดคอก
จังหวะนั้นใจเด็ดกระโดดเข้าไปอยู่ในคอกที่กำลังอลหม่านไปด้วยฝูงควายที่ไร้การควบคุม ใจเด็ดจับจ้องไปที่ลูกควายตัวนึงก่อนจะพุ่งเข้าไปแล้วจับล๊อคคอจับเอาไว้ ทันใดนั้นภิรมย์ต่างก็พุ่งเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ในมือส่งให้ใจเด็ด ภิรมย์รีบเข้ามาลูกควายตัวนั้นแทนใจเด็ด ใจเด็ดลูบหัวลูกควายด้วยความเอ็นดู
“ทนเจ็บนิดนึงนะไอ้ตัวเล็ก”
ว่าแล้วใจเด็ดก็จัดการตอกหูทันที ลูกควายดิ้นเล็กน้อย มันคงรู้สึกเหมือนมดกัด
ใจเด็ดหันไปตะโกนเรียกเสียงดัง “เจน”
เจนจิรากระโดดลงมาที่คอกก่อนจะรีบถือแฟ้มวิ่งเข้ามาที่ใจเด็ดกับภิรมย์ที่กำลังช่วยกันจับลูกควายตัวนั้น
เจนจิราเข้ามาที่ควายตัวนั้นก่อนจะรีบเปิดปากขึ้นสำรวจฟัน
“กี่ขวบแล้ว” ใจเด็ดถาม
เจนจิราปิดปากลงแล้วตอบอย่างมั่นใจ “ขวบครึ่งหรือมากกว่านั้นแต่ไม่เกินสองปี”
ใจเด็ดยิ้มให้แทนคำตอบก่อนจะสำรวจลูกควายตัวนั้นถึงลักษณะภายนอกรวมๆ
“เอ้า...เร่งมือเข้า...ตัวไหนขึ้นเปรี้ยวก็ส่งไปให้หมอเลย”
เวลาเดียวกันนั้นสมหญิงยืนอยู่ในช่องคัดกำลังทำหน้าสงสัย
“ไอ้ขึ้นเปรี้ยวนี่มันหมายความว่าไงคะหมอ”
เกริกไกรกำลังเอามือสวนเข้าไปในทวารหนักของควายตอบข้อข้องใจ
“เธอทำงานกับควายมากี่ปีแล้วสมหญิง”
สมหญิงนึก เริ่มนับนิ้วมือ “เอ่อ...ก็หลายปีแล้วค่ะ”
“แล้วไม่รู้จักคำว่าขึ้นเปรี้ยวหรือไง”
“ก็รู้ว่าเรียกตอนที่ควายมันเป็นสัดน่ะคะ”
ระหว่างนั้นเกริกไกรค่อยๆ ดึงมือที่สวมถุงพลาสติกออกจากทวารหนักของควาย เห็นอุจจาระควายติดตามออกมา เกริกไกรยื่นมือไปให้สมหญิง
“ดูซิว่าเปรี้ยวมั้ย” เกริกไกรบอก
สมหญิงทำท่าจะเอานิ้วจิ้มจริงๆ แล้วนึกได้ก่อน
“เฮ้ย ! หมออ่ะ...เนี่ย...ที่สมหญิงไม่รู้ก็เพราะว่าหมอเกริกไกรไม่เคยบอกสมหญิงจริงๆอย่างนี้แหละคะ”
สมหญิงทำหน้าง้ำก่อนจะช่วยดึงถุงมือพลาสติกใสออกจากแขนของเกริกไกรที่กำลังหัวเราะร่า
“เอ้า...ฉันก็บอกไปหลายทีแล้วว่ามันเป็นภาษาชาวบ้าน...ไม่เชื่อหรือไง”
เกริกไกรพูดไปก็หยิบหลอดน้ำเชื้อขึ้นมา ทำตามขั้นตอนที่หลังจากละลายน้ำแข็งแล้วก่อนจะใส่น้ำเชื่อลงในหลอดฉีด
“ก็หมอเอาแต่พูดเล่นอย่างนี้จนสมหญิงไม่รู้แล้วว่าอันไหนหมอพูดจริงอันไหนหมอพูดเล่น” สมหญิงบ่น
ทันใดนั้นเกริกไกรก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “อ้าก...”
“เป็นไรคะหมอ”
“มัน...มันกัด”
สมหญิงตกใจ “ห๊า ! ตูดควายกัดเหรอคะ”
เกริกไกรหันมายิ้มแห้ง..แหะๆ “เปล่าจ้ะ...หมอโดนมดกัดที่ก้นน่ะ...เกาให้หน่อยซิ”
“หมออ่ะ!”
ระหว่างนั้นเสียงวิทยุประจำสถานีก็ดังขึ้น คล้ายเสียงออดของโรงเรียน เกริกไกรกับสมหญิงหันไปทางเสียงด้วยความแปลกใจ
เสียงออดดังลอดมาถึงบริเวณคอกคัด ซึ่งใจเด็ดกับเจนจิรากำลังช่วยกันทำประวัติของควายคอกใหม่
“ดีหนึ่งประเภทหนึ่ง” ใจเด็ดเอ่ยขึ้นแล้วปล่อยลูกควายไป “ไปได้แล้วไอ้ตัวเล็ก”
ระหว่างนั้นใจเด็ดกับเจนจิราก็ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงออดของสถานีดังขึ้น
“หัวหน้าใจเด็ดรับโทรศัพท์ที่สำนักงาน”
ใจเด็ดหันขวับด้วยความดีใจทันที
“หัวหน้า...เขาโทรมาแล้ว” เจนจิราพลอยดีใจไปด้วย
ใจเด็ดพยักหน้ารับ สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ “พี่ฝากด้วยนะเจน”
ใจเด็ดรีบออกไปทันที เจนจิรามองตามด้วยความอยากรู้เช่นกัน
ไม่นานหลังจากนั้น ใจเด็ดกำลังคุยโทรศัพท์ในสำนักงานสีหน้าเครียด
“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ...พวกผมรอได้”
เสียงเกริกไกรดังแทรกขึ้นมา “เอางบเราไปใช้ก่อนอีกเหมือนเดิมละซิ”
ใจเด็ดหันมาจึงเห็นเกริกไกรกับเจนจิรายืนอยู่ ใจเด็ดทำสีหน้าลำบากใจไม่ปฏิเสธ
“เขาต้องการเอางบเราไปฟื้นฟูจังหวัดที่โดนน้ำท่วมก่อน”
“แล้วเราละพี่...เราก็ต้องใช้เหมือนกัน...ควายคอกตาก่ำเมื่อเช้าก็กี่ตัวแล้ว” เจนจิราโวยเล็กๆ
“แต่ตอนนี้จังหวัดอื่นที่โดนน้ำท่วมเขาแย่กว่าเรานะเจน...เราเป็นคนไทยเหมือนกัน...อะไรช่วยได้ก็ต้องช่วย”
เกริกไกรเอ่ยขึ้นมาอีก “ฉันเข้าใจนะเพื่อน...แต่แกช่วยเขาแล้ว...แล้วใครจะมาช่วยแกวะ”
ใจเด็ดนิ่งไปครุ่นคิดหาทาง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ แล้วรีบคว้าเสื้อกับหมวกจะเดินออกไป
เกริกไกรร้องเรียกพลางถาม “อ้าวเฮ้ย ! แล้วนั่นจะไปไหนละพี่ท่าน”
“กรุงเทพฯ” ใจเด็ดบอก ทำเอาเกริกไกรกับเจนจิราแปลกใจ “ฉันฝากทางนี้ด้วยแล้วกัน”
ใจเด็ดรีบเดินออกไปโดยไม่รอให้เกริกไกรกับเจนจิราซักถามอะไร
“ไอ้เด็ด...แล้วแกไปกรุงเทพฯทำไม...ไอ้เด็ด”
เกริกไกรรีบตามใจเด็ดออกไปทันที เจนจิรามองตามด้วยความเป็นห่วง
เวลาเดียวกันที่ดินถูกไถกลบกันเป็นแนวยาว ด้วยรถไถนา เห็นป้ายยี่ห้อสยามบาคาตี้ติดหราอยู่ที่รถไถคันนั้น เห็นคนขับจากทางด้านหลังในมือจับพวงมาลัย อีกมือเข้าเกียร์และขยับคันโยกต่างๆ ใช้เท้าคอยเหยียบคันเร่งไปมา
รถไถส่งเสียงครางกระหึ่ม แต่แล้วทันใดนั้นรถไถก็เกิดน็อคซะดื้อๆ
คนขับกระโดดลงจากรถไถ ที่แท้ไม่ใช่ใคร หากแต่เป็น สรนุช...ซึ่งอยู่ในชุดวิศวกรของโรงงาน และกำลังมองรถไถด้วยความหงุดหงิด
ระหว่างนั้นเห็นพวกบรรดาวิศรกรผู้ชายกำลังเดินกระหย่องกระแหย่งผ่านนาจำลองเข้ามาหาสรนุช
“เป็นอะไรเหรอครับคุณนุช” วิศวกรคนหนึ่งถาม
“เป็นไรล่ะ..? ก็เห็นอยู่ว่าเครื่องมันน็อค” สรนุชใช้มือทุบรถไถ
“ก็คุณนุชเล่นใช้ไถมาสามวันสามคืนไม่ให้มันเลย...มันก็สมควรน็อคอยู่แหละครับ”
สรนุชหันขวับมาจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้...ก็อย่าหวังว่าจะไปชนะควายเลย...เอารถลากมาลากไปไว้ให้ฉันด้วย”
สรนุชเดินฝ่าดินมุ่งหน้าไปที่โรงงานที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง เผยให้เห็นว่าที่แท้ ผืนนาแห่งนั้นเป็นผืนนาจำลองของบริษัทสยามบาคาตี้นั่นเอง
ภายในโรงงานผลิตรถไถแห่งนั้น มีรถไถและเครื่องมือการเกษตรเรียงรายกันอยู่ภายในโรงงาน ทุกชิ้นมีโลโก้ของบริษัทสยามบาคาตี้อยู่ทุกหนแห่ง
สรนุชเดินเข้ามาภายในโรงงานคิ้วขมวดสีหน้าเครียด ระหว่างนั้นเสียงมือถือของสรนุชดังขึ้น สรนุชรีบหยิบขึ้นมาดูก่อนจะตกใจเล็กน้อย
“วัต” เป็นณวัตที่โทร.เข้ามา
สรนุชพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ ก่อนจะเห็นสรนุชยิ้มออกมาแล้วรับสายเสียงหวานอย่างกับคนละคน
“วันนี้วัตคงต้องทานข้าวกลางวันคนเดียวแล้วละ” สรนุชฟัง “จริงๆคะ...ยังเหลือตั้งสิบกว่าคันที่นุชยังไม่ได้เทสต์เลย”
ระหว่างนั้นเสียงของณวัตดังขึ้นใกล้ๆ
“ถ้าอย่างนั้นวัตคงต้องสั่งปิดโรงงานนี้แล้วละ”
สรนุชทำหน้าแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงของณวัตที่ฟังดูใกล้เหลือเกิน สรนุชหันไปก่อนจะตกใจเมื่อเห็นดอกไม้ช่อหนึ่งยื่นเข้ามา ช่อดอกไม้ลดลงจึงเห็นร่างณวัตในชุดสูทดูภูมิฐานถือโทรศัพท์มือถืออยู่
สรนุชวางมือถือ “วัต”
“สุขสันต์ความรักของเราอีกวันนึงครับ”
สรนุชรับดอกไม้มาก่อนจะทำหน้าดุ
“ถึงวัตจะเป็นผู้บริหารของที่นี่...แต่วัตก็รู้ว่าเข้ามาในนี้ต้องแต่งตัวยังไง”
“วัตว่าคงไม่จำเป็นแล้วละ...เพราะเมื่อผมกลับไปที่ห้อง...วัตจะเซ็นคำสั่งให้เลิกผลิตรถไถพวกนี้ซะที” ณวัตบอก
สรนุชตกใจ “ปิด”
“ใช่ครับ...วัตทนไม่ได้ที่นุชรักรถไถพวกนี้มากกว่าวัต...แต่ถ้านุชไม่อยากให้วัตทำอย่างนั้น...นุชก็ต้องไปพบพ่อกับวัต”
“พบพ่อวัตเหรอคะ”
สรนุชชะงัก ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัย
ไม่นานหลังจากนั้นสรนุชกับณวัตเดินมาตามทางหน้าโรงงาน สรนุชแอบเหล่มองณวัตด้วยความอยากรู้
“วัตจะให้นุชไปเจอพ่อคุณทำไมคะ”
“ความลับครับ” ณวัตยิ้มให้
“ความลับอะไร...บอกนุชมาเถอะค่ะ”
“ถ้าบอกแล้วมันจะเป็นความลับเหรอครับ” ณวัตเห็นสรนุชหน้าง้ำ “ก็ได้ครับ...วัตมีเซอร์ไพรส์ให้นุช”
สรนุชอึ้ง “เซอร์ไพรส์..?”
ระหว่างนั้นเสียงของอรอนงค์ดังขึ้น
“มาช้ากว่าคุณวัตอีกละ”
สรนุชกับณวัตหันไปมองตามเสียงก็เห็นอรอนงค์เดินเข้ามา
“สวัสดีครับคุณอร”
“อุ้ย...ไม่ต้องหวัดดีอรก็ได้คะ...อรเป็นแค่พนักงานบัญชี...แล้วนี่คู่รักแห่งปีจะไปไหนกันเอ่ย” อรอนงค์แซว
“ว่าจะพานุชเขาไปหาพ่อผมน่ะครับ” ณวัตบอกแล้วหันมาพูดกับสรนุช “เดี๋ยววัตไปรอที่ห้องนะครับ...ถ้านุชเสร็จแล้วก็ตามขึ้นไปแล้วกัน”
ณวัตออกไปอย่างรีบร้อนโดยที่สรนุชไม่ทันถามรายละเอียดอะไร
“นุช...คุณวัตเขาจะพาเธอไปพบคุณสมพลทำไมน่ะ” อรอนงค์ถามอย่างนึกสงสัย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน...เห็นวัตบอกว่าจะมีเซอร์ไพรส์”
“เซอร์ไพรส์” อรอนงค์รู้สึกตกใจ ถึงกับตะโกนออกมาสุดเสียง
“เฮ้ย ! ทำไมต้องตกใจด้วย”
อรอนงค์หันมาดีใจกับสรนุช “ดีใจด้วยนะเพื่อน
“เรื่องอะไร”
“เอ้า...ก็คุณวัตเขากำลังจะขอเธอแต่งงานน่ะซิ” อรอนงค์ว่า
สรนุชออกอาการเขิน “อ่านนิยายมากไปหรือเปล่า...ไม่จริงมั้ง”
“เอ้า...ถ้าไม่ใช่การขอแต่งงานแล้วคุณวัตเขาจะให้เธอไปคุยกับพ่อเขาทำไม”
ฟังอรอนงค์ว่าสรนุชนิ่งไป หัวใจเต้นตึกตัก
เวลาเดียวกันใจเด็ดเดินถือกระเป๋าตรงเข้ามาที่รถกระบะคันเก่าที่จอดอยู่ และกำลังจะเปิดประตู ทันใดนั้นเกริกไกรก็เอามือดันเอาไว้ พร้อมกับถามขึ้น
“แกจะไปขอยืมเงินพ่อแกอีกใช่มั้ย”
ใจเด็ดไม่ตอบจะเปิดประตูรถ แต่ถูกเกริกไกรดันกลับไม่ยอมให้เปิด
“ฉันว่าแกกำลังเก็บทุกอย่างไว้ที่ตัวเองมากเกินไป...ฉันว่าถึงเวลาที่แกต้องบอกสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ให้ทุกคนรู้แล้วละ”
ใจเด็ดนิ่งคิด ก่อนจะบอกออกมา “ไม่...”
เกริกไกรสวนขึ้น “ไอ้เด็ด...ไม่ได้มีแกคนเดียวนะที่รักควาย...พวกเราต่างก็รักพวกมันเหมือนกัน”
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ...เอาไว้ฉันจะหาทางอีกที”
ใจเด็ดบอกทว่าเกริกไกรยังมีสีหน้าเครียดด้วยความเป็นห่วง ระหว่างนั้นภิรมย์วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในสำนักงาน
“หมอ...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
“มีอะไร...ใครเป็นอะไร” ใจเด็ดสงสัย
“นักศึกษาปริญญาโทคนนั้นกำลังฆ่าไอ้สายัณห์” ภิรมย์บอก
ใจเด็ดสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มคนนั้นกำลังเตะควายตัวหนึ่งที่นอนหายใจถี่กระชั้นอยู่กับพื้นกลางทุ่งนา
“อะไร...แค่นี้หมดแรงแล้วหรือไง...” ชายคนนั้นเตะเข้าให้ “ห๊า ! โธ่...นึกว่าจะแน่แค่ไหน”
ระหว่างนั้นเสียงของใจเด็ดดังขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้..!”
หนุ่มนักศึกษาคนนั้นหันไปก็เห็นภิรมย์กำลังวิ่งนำใจเด็ดกับเกริกไกรเข้ามา
“ทำอะไร” ใจเด็ดถามขึ้นทันที
หนุ่มนักศึกษา คนนั้นรีบเปลี่ยนท่าทีทันที
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ...อยู่ดีๆ มันก็ล้มลงไปนอน”
ใจเด็ดและเกริกไกรรีบเข้ามาดูอาการของควายตัวนั้นทันที
“ทำใจดีๆไว้สายัณห์...หมอมาแล้ว” เกริกไกรดูอาการเพียงแวบเดียวก็รู้ทันที “สายัณห์กำลังจะเป็นลม...ภิรมย์หาน้ำมาราดตัวสายัญให้หน่อย”
ภิรมย์รีบวิ่งออกไป ใจเด็ดลุกขึ้นตรงไปที่ชายหนุ่มคนนั้นด้วยความโมโห
“คุณให้สายัณห์ทำอะไร”
“ผม...ผมก็แค่ให้มันไถนา” นักศึกษาบอก
“นานแค่ไหนแล้ว”
“ก็ตั้งแต่เช้า”
“แล้วนี่มันกี่โมงแล้ว...ไม่รู้หรือไงว่าควายทนร้อนไม่ได้...ตอนกลางวันต้องให้มันลงไปแช่ในปลัก” ใจเด็ดบอก
“ก็ผมกำลังทำวิจัยหัวข้อเรื่องความอดทนของควาย...ถ้าผมไม่ใช้มันแล้วผมจะรู้ได้ยังไง”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็พยายามสะกดอารมณ์ ก่อนจะเดินไปหยิบข้าวของแล้วส่งให้นักศึกษาปริญญาโทคนนั้น
“ไปจากที่นี่ซะ...ผมยินดีให้คุณมาทำวิทยานิพนธ์ที่นี่เพราะดีใจที่เห็นคนสนใจควาย...คนและควายที่นี่อยากช่วยคุณ...แต่คุณกลับทำร้ายมัน”
“อะไร...แค่ควายเป็นลมแค่นี้คุณถึงกับไล่ผมเหรอ”
“มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กสำหรับคุณ...แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเรากระบือบาล”
“เออ...นึกว่าอยากอยู่หรือไง...พวกแกมันพวกโรคจิตทั้งนั้น”
นักศึกษาคนนั้นระเบิดอารมณ์ออกมาแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวออกไป ใจเด็ดรีบเข้ามาช่วยเกริกไกรที่กำลังปฐมพยาบาลควาย
ใจเด็ดลูบควายด้วยความเป็นห่วงสุดๆ “ใจเย็นไว้...แกไม่เป็นไรแล้ว”
“ไอ้บ้านั่นมันพูดอย่างนั้นได้ยังไง...เป็นนักศึกษาปริญญาโทจริงหรือเปล่าวะ” เกริกไกรเคืองยิ่งนัก
ระหว่างนั้นใจเด็ดเหลือบไปเห็นสมุดบางอย่างที่สายัณห์นอนทับเอาไว้ ใจเด็ดดึงสมุดเล่มนั้นขึ้นมา ก่อนจะพบว่าในนั้นมีข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับสถานี ไม่ว่าตัวเขาหรือเจ้าหน้าที่ทุกคน ก่อนจะเห็นเบอร์ติดต่อที่เขาจดเอาไว้ว่าเป็นคนของบริษัทบาคาตี้
ใจเด็ดยื่นสมุดให้เกริกไกรดู เกริกไกรรับมาดูแล้วก็ตกใจ
“เฮ้ย ! ไอ้บ้านั่นมันคือ”
ใจเด็ดฉายแววตากร้าวออกมาอย่างเคืองแค้น “สายลับของไอ้พวกบาคาตี้”
ผู้จัดการสยามบาคาตี้สาขาสุรินทร์กำลังพูดจาพินอบพิเทา เอาใจนายกอ.บ.ต.คนนั้น
“แหม...เป็นเกียรติอย่างสูงจริงๆครับ...ที่ท่านอบต.โชคชัยจะมาช่วยงานเรา”
อบต.โชคชัยนั่งยิ้มกริ่มอยู่ตรงหน้าผู้จัดการ
“ผู้จัดการพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก...เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะหาว่าผมเลือกที่รักมักที่ชัง...ผมก็แค่อยากให้ลูกบ้านอยู่อย่างมีความสุข”
ผู้จัดการหน้าเจื่อนลงเพราะคิดว่าอบต.โชคชัยไม่รับไมตรี ก่อนที่ผู้จัดการจะหันไปหยิบกล่องโดนัทมาส่งให้กับอบต.โชคชัย
“นี่โดนัทจากกรุงเทพฯ ครับ...ไอ้ขนมเจ้านี่เห็นเขาว่าต้องไปยืนรอคิวเป็นวันเลยนะครับ...ท่านโชคชัยลองดูหน่อยซิครับ”
อบต.โชคชัยรับกล่องขนมมาก่อนจะเปิดฝาขึ้น อบต.โชคชัยเห็นเงินจำนวนหนึ่งวางอยู่ในกล่องขนมใบนั้น อบต.โชคชัยปิดกล่องขนมก่อนจะดันคืนให้กับผู้จัดการ
“ผมคงรับขนมนี่ไว้ไม่ได้...ที่ผมบอกว่าจะช่วยพูดให้ชาวบ้านมาใช้รถไถก็เพราะว่าผมเห็นว่ารถไถของคุณน่าจะทำให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีกว่านี้”
ระหว่างนั้นมีเสียงโวยวายดังมาจากภายนอก ผู้จัดการและโชคชัยสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไร
เป็นใจเด็ด เกริกไกร เจนจิรา ภิรมย์และสมหญิงนั่นเองที่แท็คทีมมาตะโกนอยู่หน้าบริษัทบาคาตี้สาขาจังหวัดสุรินทร์พร้อมด้วยชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่ง
เกริกไกรตะโกนนำ “บาคาตี้”
ทุกคนขานรับ “ออกไป”
เกริกไกรไม่สะใจหันมาใช้โทรโข่ง “ออกมาซิไอ้พวกบาคาตี้...ไอ้พวกชอบเล่นสกปรก...พวกเราต้องการคนรับผิดชอบควายของเรา”
ระหว่างนั้นอบต.โชคชัยเดินออกมาจากด้านใน ใจเด็ดเห็นก็รู้ว่าอบต.โชคชัยมาทำอะไร
“เดี๋ยวๆ ทุกคน...เกิดอะไรขึ้น” โชคชัยเอ่ยขึ้น
ใจเด็ดลงจากรถกระบะก่อนจะเดินเข้ามาหาโชคชัย
“พวกเรามาทวงความยุติธรรมให้ควายของเรา...บาคาตี้ส่งคนเข้ามาสืบข้อมูลและเข้ามาทำร้ายควายของพวกเรา”
“ไม่จริง...ไอ้พวกนี้มันใส่ร้ายผมนะครับท่าน...ท่านอย่าเชื่อพวกมันนะครับ” ผู้จัดการรีบปฏิเสธ
“แล้วไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นมันไม่ใช่คนของคุณหรือไง”
ใจเด็ดชี้ไปที่พนักงานบาคาตี้ที่ปลอมเป็นนักศึกษาปริญญาโท ชายคนนั้นรู้ว่าใจเด็ดจำได้ก็รีบวิ่งออกไป โชคชัยรีบเข้ามาพูดไกล่เกลี่ย
“ใจเด็ด...ผมรู้ว่าพวกคุณรักควาย...แต่อย่าให้เกิดเรื่องเกิดราวได้มั้ย...คิดว่าเห็นแก่หน้าผมเถอะ”
ใจเด็ดนิ่งไปก่อนจะหันมองไปทางทุกคนที่เหมือนมองมาที่เขาด้วยความหวัง
“ถ้าผมเห็นแก่หน้าคุณ...แล้วใครจะเห็นแก่ควายผมบ้าง”
โชคชัยถึงกับจุกอกที่โดนใจเด็ดย้อนเข้าให้ โชคชัยหน้าตึงด้วยความรู้สึกเสียหน้า
“พวกเราไม่ได้ต้องการอะไรจากบาคาตี้...เราแค่อยากได้ความยุติธรรมให้กับควายของเรา...บาคาตี้ทำอะไรไว้กับควายของเรา...เราก็จะทำคืนกับพวกมันอย่างนั้น”
ใจเด็ดพูดด้วยแววตามุ่งมั่นจริงจัง ท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังมาคุตึงเครียดสุดๆ
“นายจะทำอะไร...จะทำลายรถไถพวกนี้หรือไง”
ผู้จัดการได้ยินอย่างนั้นก็กระโดดออกมาโวยวายข้างหน้าทันที
“ไม่ได้นะครับ...ถ้าอย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจว่าพวกแกบุกรุกแล้วยังทำลายทรัพย์สินของบาคาตี้อีก”
โชคชัยยังพยายามไกล่เกลี่ย “นั่นซิ...ใจเด็ด...ฉันว่าเลิกแล้วต่อกันเถอะ”
“ด้วยความนับถือครับ...ถ้าเกิดมีคนมาตีท่านแล้วพอท่านจะตีกลับ...เขากลับบอกให้เลิกแล้วต่อกัน...ท่านจะยอมหรือเปล่า”
โชคชัยเห็นความพลุ่งพล่านในอารมณ์ของใจเด็ดจึงเข้ามากระซิบ
“ใจเด็ด...ฉันรู้ว่านายโมโห...แต่ฉันอยากให้นายใจเย็น...ถ้าขืนนายไปมีเรื่องแล้วทำลายรถไถของไอ้พวกนี้...ได้มันจะไม่คุ้มเสียนะ”
“ผมไม่ได้จะมาทำลายรถไถ...แต่สิ่งที่ผมต้องการก็คือ...คำขอโทษ” ใจเด็ดว่า
“โธ่...นึกว่าอะไร...” ว่าแล้วผู้จัดการก็ตะโกนใส่หน้าเหมือนยั่วยุ “ขอโทษ...แค่นี้ใช่มั้ย...กลับไปได้แล้ว...ไป...ชิ้วๆ”
“ผมไม่ได้ให้ขอโทษผม”
ใจเด็ดหันไปก่อนจะเห็นเจนจิรากับสมหญิงพาควายเดินเข้ามา
“คนของคุณทำกับสายัณห์...เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องขอโทษมัน” ใจเด็ดตะโกนเสียงเด็ดขาด
ระหว่างนั้นเกริกไกรกับภิรมย์ก็ฉุดกระชากลากถู สายลับที่ปลอมเป็นนักศึกษาเข้ามา
“ช่วยผมด้วยครับผู้จัดการ”
“เอายังไง...ถ้าคนของคุณไม่กราบขอโทษเจ้าสายัณห์...พวกเราก็จะไม่กลับ” ใจเด็ดย้ำ
ผู้จัดการอึกอักไปอึดใจก่อนจะรีบเข้ามาบอกกับสายลับที่โดนเกริกไกรกับภิรมย์จับเอาไว้
“เร็วซิ...ขอโทษซะเรื่องจะได้จบซะที”
ชายคนนั้นทำท่าจะร้องไห้ก่อนจะที่เขาจะคลานเข่าไปที่หน้าควาย
ใจเด็ดหันมาพูดกับผู้จัดการ “คุณด้วย”
“จะมากไปแล้วนะเว้ย” ผู้จัดการโวยวายลั่น
“แต่ถ้าแกไม่สั่งให้ไอ้นี่มันทำ...แล้วหมาที่ไหนมันสั่ง” เกริกไกรบอก
ผู้จัดการหันไปขอความช่วยเหลือกับโชคชัย แต่โชคชัยกลับบอกว่า
“ผมว่าทำตามที่พวกเขาต้องการเถอะ”
ผู้จัดการจำยอมเข้าไปคุกเข่าข้างๆ สายลับชายคนนั้น ก่อนที่ทั้งคู่จะก้มลงกราบที่หน้าสายัณห์ทันใดนั้นเหล่ากระบือบาลต่างก็โห่ร้องด้วยความดีใจ
ใจเด็ดมองไปที่ทั้งสองคนด้วยสีหน้าเครียดขรึม
สรนุชในชุดวิศวกรเดินเข้ามาที่หน้าลิฟต์บริษัทสยามบาคาตี้ สรนุชหยุดสูดหายใจเข้าเต็มปอดระงับความตื่นเต้น
“ลองซ้อมดูอีกทีดีกว่า...นุช...แต่งงานกับวัตนะครับ...” แล้วสรนุชก็ทำหน้าซึ้งราวกับได้ตำแหน่งนางสาวไทย “วัต...วัต...คะ...แต่งคะ” ทำท่าดีใจสุดชีวิต “เยส...เยส...ในที่สุด...ฉันก็ได้แต่งงานแล้ว”
สรนุชทำท่าดีใจสุดขีดก่อนจะหันหน้ามาที่ประตูลิฟต์ แต่แล้วสรนุชก็หน้าชาเมื่อลิฟต์มาหยุดเมื่อไหร่ไม่รู้ แถมยังมีพนักงานภายในลิฟต์กำลังมองเธอเป็นตาเดียว
สรนุชระงับความอายเอาไว้ก่อนจะทำหน้าเชิดเดินผ่านพนักงานที่กรูกันออกจากลิฟต์เหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่พอพนักงานออกไปหมด สรนุชก็ถึงกับตบหน้าผากตัวเอง ที่เผลอทำเปิ่นต่อหน้าประชาชี
สรนุชเดินเข้ามาภายในห้องประชุม
“สวัสดีค่ะ”
สรนุชอึ้งไปเมื่อเห็นว่าภายในห้องประชุมเต็มไปด้วยผู้บริหารระดับสูงทั้งนั้น เสียงในใจของสรนุชดังขึ้น
“นี่ต้องประกาศให้รู้กันทั้งบริษัทเลยเหรอเนี่ย” สรุนุชทำเป็นเหมือนไม่รู้อะไร “สวัสดีค่ะทุกท่าน”
“นั่งนี่ก่อนซินุช”
ณวัตลุกขึ้นให้สรนุชนั่ง
“ทุกคนคงจะรู้จักคุณสรนุชว่าเป็นวิศวกรที่โรงงานของเราอยู่แล้ว”
“แต่ผมรู้จักในฐานะเป็นแฟนของคุณวัตมากกว่า” ผู้บริหารคนหนึ่งแซวขึ้น
ทุกคนหัวเราะร่ากับคำชะเลียของผู้บริหารคนนั้น สรนุชยิ่งหน้าบานหัวใจเต้นตึกตัก
สรนุชแสร้งพูดพาซื่อ “ดิฉันอยากทราบว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับดิฉันหรือเปล่าคะ”
ระหว่างนั้นเสียงของสมพลก็ดังขึ้น
“ใจเย็นจ้ะหนูนุช”
ทุกคนมองไปทางต้นเสียง เห็นสมพลหมุนเก้าอี้มาอย่างอารมณ์ดี
“เรื่องที่เราจะคุยต่อไปนี้มันเกี่ยวกับหนูนุชแน่นอน...คืออย่างนี้...เราอยากให้หนู...”
สรนุชคิดในใจอย่างลิงโลด “มาเป็นสะใภ้...มาเป็นสะใภ้”
“มาเป็นผู้บริหารการขายของบาคาตี้”
สรนุชไม่ได้ฟังเพราะยังมัวแต่เคลิ้ม และคิดว่าต้องเป็นอย่างที่ตัวเองคิดเลยเผลอตอบ “ค่ะ...แต่งค่ะ” แล้วก็นึกได้ “อะไรนะคะ”
“คุณพ่ออยากให้คุณมาเป็นผู้บริหารฝ่ายขายน่ะครับ...แล้วเมื่อกี้นุชบอกว่าแต่งอะไรเหรอครับ” ณวัตบอก
“เอ่อ...แต่ง...แต่ง...แต่งตั้งนุชให้ไปอยู่ฝ่ายขายทำไมคะ”
ไม่ใช่แต่สรนุชเท่านั้นที่ตกใจ ผู้บริหารทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมต่างก็ตกใจไม่แพ้กัน
“นั่นซิครับ...แล้วผมละ” ผู้บริหารคนหนึ่งถาม
“ทุกคนฟังผมก่อน” สมพลเอ่ยขึ้น
“ที่คุณพ่อต้องการให้คุณสรนุชมาอยู่ฝ่ายขายก็เพราะว่าเธอเป็นคนที่รู้จักรถไถดีที่สุด” ณวัตว่า
“ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นแฟนของคุณวัตเหรอครับ” ผู้บริหารชื่อภิภพเอ่ยขึ้น
“คุณภิภพ...คุณกำลังสบประมาทผมกับคุณพ่ออยู่นะ”
“ผมทำการขายมากี่ปีแล้ว...ผมซิที่รู้จักระบบของมันดี...กับแค่วิศวกรคนนึง...ขอโทษนะครับ...ผมสามารถหาเด็กช่างกลมาทำรถไถก็ได้” ภิภพว่า
“คุณภิภพ!”
ณวัตตบโต๊ะลุกขึ้นด้วยความโมโห ส่วนสรนุชที่กำลังจับต้นชนปลายไม่ถูกก็พูดขึ้น
“ไม่ต้องทะเลาะกันหรอกคะ...” คำพูดสรนุช ทำให้ทุกคนหันมามอง สรนุชหันไปพูดกับสมพล “ดิฉัน
ต้องขอบคุณท่านมากที่ให้ความไว้วางใจดิฉัน...แต่ดิฉันคิดว่าดิฉันคงจะไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้...” สรนุชรีบ
ยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
สรนุชเดินออกไปจากห้อง ณวัตพยายามร้องเรียก
“นุช...นุช!” ณวัตรีบตามออกไป
สรนุชเดินหน้าง้ำมาตามทางเดินในบริษัทสยามบาคาตี้ ณวัตวิ่งตามเข้ามา
“นุช! นุชเป็นอะไร...นี่วัตกับคุณพ่อกำลังจะเลื่อนตำแหน่งให้นุชนะครับ”
“แต่นุชไม่ได้ต้องการตำแหน่ง”
“แล้วนุชต้องการอะไร”
สรนุชชะงักไป ถ้าบอกไปว่าต้องการแต่งงานก็ดูจะไม่เป็นกุลสตรี จึงเสพูดเรื่องอื่น
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...นุชขอตัวกลับไปทำงานแล้วกัน”
ณวัตวิ่งเข้ามาดักหน้าเอาไว้
“นุช...วัตรู้ว่านุชอาจจะยังไม่ได้ทันตัวก็เลยไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไง...แต่วัตก็ไม่ได้รีบเอาคำตอบจากนุ
ชนะครับ...ที่จริงแล้ววัตเป็นคนบอกพ่อให้เลื่อนตำแหน่งให้นุชเอง”
สรนุชมองณวัตด้วยความแปลกใจ
“ต่อไปถ้าเราได้แต่งงานกัน...วัตไม่อยากให้คนอื่นมองว่านุชเป็นแค่วิศวกรโรงงาน...วัตไม่อยากให้
คนอื่นมองนุชอย่างนั้น”
สรนุชชะงักไปกับคำหวานของณวัต
ณวัตจับมือสรนุชขึ้นมากอบกุม “หายโกรธวัตหรือยัง”
“นุชไม่ได้โกรธซะหน่อย”
“ไม่จริงอ่ะ...แล้วทำไมนุชไม่เห็นยิ้มเลย”
แล้วสรนุชก็ยิ้มเขินออกมา
“ต้องอย่างนี้ซิครับ...ไป...แล้วเดี๋ยวเย็นนี้วัตไปรับนะครับ”
ณวัตยิ้มให้อย่างอบอุ่นก่อนจะเดินออกไป สรนุชมองตามอย่างเคลิ้มฝัน ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้
“รับ! วัตจะรับเราไปไหน?”
นุสราพึมพำกับตัวเอง
อ่านต่อหน้า 2
กระบือบาล ตอนที่ 1 (ต่อ)
ที่สถานีเพาะพันธุ์กระบือ ทุกคนกำลังฉลองชัยชนะด้วยความครื้นเครง มีภิรมย์เล่นกีตาร์ ส่วนคนอื่นกำลังร้องรำทำเพลง
“ชัยชนะของเราในครั้งนี้...ต้องแลกมาด้วยเลือดต้องแลกมาด้วยเนื้อของพวกเราทุกคน...ต่อไปหมอขอมอบเพลงนี้เพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของพวกเราทุกคน” เกริกไกรเอ่ยขึ้น
“หมอ...หมอพูดเหมือนมีใครตาย” เจนจิราฟังแล้วทะแม่งๆ จึงท้วงออกมา
“เอ...นี่เธอเป็นสัตวบาลหรือแปรงขัดส้วมนี่...ขัดตลอด...ตอนนี้มันกำลังฮึกเหิมมันก็ต้องพูดให้มันยิ่งใหญ่”
ทันใดนั้นภิรมย์ก็เล่นกีตาร์ขึ้นเป็นจังหวะเพลงโปรดให้เกริกไกร
“ยุทธศาสตร์ยิ่งใหญ่...ความตั้งใจเด็ดเดี่ยว...มือนี่เราจับเคี่ยว...เกี่ยวและทุบหม้อข้าว” เกริกไกรใส่ลีลาพี่แอ๊ดคาราบาว
ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินเข้ามาร่วมวงด้วย เกริกไกรหยุดร้องก่อนจะหันไปแซวเล่นกับใจเด็ด
“และแล้ว...พระเอกตามท้องเรื่องของเราก็ได้ปรากฏตัวขึ้น...ขอทุกคนตบมือต้อนรับ...ใจเด็ด...เพชรสุรินทร์”
ทุกคนตบมือโห่ร้องชอบใจในการกระทำของใจเด็ดในวันนี้
“วันนี้เราชนะพวกบาคาตี้...หัวหน้าจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอคะ” สมหญิงเอ่ยขึ้น
ทุกคนเงียบเสียงลงเพื่อให้ใจเด็ดพูด
“สิ่งที่พวกเราทำไปในวันนี้ไม่ได้ทำเพื่อชัยชนะ...ที่พวกเราทำเพราะควายทุกตัวในนี้ก็เหมือนกับครอบครัวของเรา”
ทุกคนนิ่งงันไปเมื่อได้ยินที่ใจเด็ดพูดอย่างนั้น พูดเท่านั้นใจเด็ดก็หันหลังจะเดินออก แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นอบต.โชคชัยเดินเข้ามา ทุกคนมองโชคชัยด้วยความแปลกใจ
“หวัดดีทุกคน”
ทุกคนกล่าวทักทายโชคชัยกันด้วยความสงสัย โชคชัยหันมาคุยกับใจเด็ด
“ฉันมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”
“ไม่หรอกครับ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอคุยด้วยหน่อย”
ใจเด็ดมองหน้าโชคชัยพยายามจะอ่านท่าทีของโชคชัย ก่อนที่ใจเด็ดจะเดินออกไปกับโชคชัย
เกริกไกรมองตามทั้งสองคนไปด้วยความอยากรู้
ใจเด็ดเดินเข้ามาบริเวณคอกควายด้านนอก ไม่ใช่โรงเรือน ก่อนจะหยิบกิ่งไม้สดโยนเข้าไปในกองไฟเพื่อให้เกิดควันเพื่อไล่ยุงให้ควาย
“คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้เป็นคนหาเรื่องพวกบาคาตี้ก่อน” ใจเด็ดเอ่ยขึ้น
“ฉันไม่ได้มาเพื่อเอาผิดนาย” โชคชัยบอก
“ถ้าอย่างนั้น...นายกคงก็คงมาบอกให้ผมเลิกเลี้ยงควายแล้วหันไปใช้รถไถเหมือนทุกครั้ง” ใจเด็ดหันมาประจันหน้ากับโชคชัย “พวกนั้นให้เงินเท่าไหร่”
“ใจเด็ด...นายอย่าดูถูกฉันเกินไป...ฉันไม่เคยรับเงินของพวกบาคาตี้” โชคชัยทำเป็นฉุน
“แล้วทำไมนายกต้องพยายามให้ผมกับชาวบ้านหันไปใช้รถไถ”
“เพราะถ้านายขืนยังให้ชาวบ้านใช้ควายไถนาเหมือนเดิม...มันจะได้ข้าวเอาไปขายซักเท่าไหร่กัน...โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว” โชคชัยอ้างเหตุผล
“แล้วทำไมเราต้องเปลี่ยนตามโลก...ในเมื่อมันเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่เลวร้ายกว่า” ใจเด็ดบอก
ระหว่างนั้นฝูงควายเริ่มมีอาการตื่นตระหนก ใจเด็ดมองก่อนจะหันมาบอกกับโชคชัยอย่างจริงจัง
“นายกกลับไปเถอะ...ยังไงผมก็ไม่ยอมให้ชาวบ้านหันไปใช้รถไถพวกนั้นเด็ดขาด...เพื่อนควายของผมต้องไม่ตกงาน!”
โชคชัยมองใจเด็ดอย่างเหนื่อยใจ
ไม่นานหลังจากนั้นใจเด็ดปิดฝากระโปรงรถกระบะลง หลังจากที่ตรวจสภาพเสร็จ จึงเห็นเกริกไกรเดินเข้ามา
“ไอ้นายกนั่นมาทำไมวะ”
ใจเด็ดปัดไม้ปัดมือหาผ้าเช็ด “เหมือนเดิม”
“เฮ้อ...” เกริกไกรมองเห็นสีหน้าใจเด็ดเครียดๆ ก็เลยเลียบๆ เคียงๆ ถาม “แกไม่ดีใจหรือไงวันนี้เราทำให้พวกบาคาตี้นั่นเสียหน้าเลยนะ”
“วันนี้เราอาจจะชนะ...แต่วันหน้าละ”
“เฮ้ย ! อย่าบอกนะว่าแกถอดใจ”
“ไม่ใช่...ฉันไม่ได้ถอดใจ...ฉันแค่พูดเพื่อให้พวกเราทุกคนระวังตัว...คราวนี้พวกมันส่งสายลับเข้ามา...ต่อไปพวกมันต้องเล่นวิธีที่สกปรกมากกว่านี้แน่ๆ...ยิ่งใกล้ฤดูไถหว่านเข้ามา...ฉันแน่ใจว่าพวกมันต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะเอาชนะเรา”
เกริกไกรฟังแล้วนิ่งไป พยายามช่วยกันคิดหาทางก่อนจะนึกขึ้นมาได้
“ฉันมีวิธีที่จะช่วยแก”
ใจเด็ดหันมองด้วยความสนใจทันที
“พูดตามฉัน...พวกเราเหล่ากระบือบาล” เกริกไกรหันไปบอกกับใจเด็ด “เร็วดิ...พูดตามฉัน”
ใจเด็ดอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาพร้อมเกริกไกร “ขอปฏิญาณว่า...จะอภิบาลควายไทย...ด้วยหัวใจที่แน่วแน่”
“มันต้องปลุกใจกันหน่อย...” เกริกไกรหันมาแซวแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ว่าพวกมันจะใช้วิธีไหน...แต่พวกเราก็พร้อมที่จะสู้กับแก...แกไปกรุงเทพฯ อย่างสบายใจได้...ฉันจะดูแลที่นี่ยิ่งกว่าชีวิตของฉัน”
เกริกไกรยื่นมือขึ้นมาเหมือนต้องการการประสานมือ ใจเด็ดแววตาเด็ดเดี่ยวขึ้นมาก่อนจะยื่นมือมากระชับ ใจเด็ดและเกริกไกรต่างมีสีหน้าด้วยความมุ่งมั่นมาดหมาย
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศภายในงานบริเวณริมสระว่ายน้ำ มีเวทีเล็กๆ อยู่ไม่ไกล เขียนบอกหรา เอาไว้ว่าสุขสันต์วันเกิดครบรอบ 60 ปี
เจ้าของงาน ใจจอมเศรษฐีนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อายุประมาณ 60 ปี กำลังต้อนรับนักการเมืองใหญ่รายหนึ่งที่นำของขวัญมามอบให้
“แหม...ไม่น่าต้องลำบากเลย...แค่ท่านมา...ผมก็ถือว่าเป็นเกรียติอย่างยิ่งแล้ว” ใจจอมพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
นักการเมืองท่านนั้นหัวเราะชอบใจ “ผมต่างหากที่ต้องพูดอย่างนั้น...เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์อย่างคุณใจจอมอุตส่าห์เชิญมางานวันเกิดทั้งที...คนที่น่าจะรู้สึกเป็นเกรียติน่าจะเป็นผมมากกว่า”
“เจ้าพ่ออะไรกันครับ...ผมมันก็แค่พ่อค้าที่หากินกับกรวดหินดินทราย”
“แต่ก็สามารถทำให้ดินธรรมดากลายเป็นทองขึ้นมาได้”
ระหว่างนั้นใจเพชรลูกชายของใจจอมเดินเข้ามาสมทบ
“พ่อครับ”
ใจจอมหันไปเห็นก็หันไปตัดบทกับนักการเมือง
“ตามสบายนะครับ...คิดว่าซะว่าเป็นบ้านของท่านเอง”
นักการเมืองคนนั้นยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป ใจจอมหน้าหุบยิ้มลงทันที
“ฉันละเบื่อไอ้พวกนักการเมืองพวกนี้จริงๆ...เห็นใครมีเงินหน่อยก็คอยแต่จะสูบเลือดสูบเนื้อ...ไม่คิดจะทำมาหากินกันบ้างหรือไง”
ระหว่างเดินเข้าไปหาลูกชาย ใจจอมจึงนึกถึงเรื่องที่สั่งเอาไว้ได้
“ไงเพชร...เจอแม่แกมั้ย”
“ไม่เจอเลยครับ...” ใจเพชรหันไปทางจอมใจที่เดินมาด้วยกัน
“จอมก็ไม่เจอเหมือนกันค่ะ...หรือว่าแม่จะแอบหนีไปอีกแล้วคะ”
ใจจอมหน้าเครียดก่อนจะหันมองไปในบ้าน แล้วก็เห็นไฟที่ห้องหนึ่งสว่างอยู่
ใจจอมรู้ได้ทันทีว่าใครอยู่ในห้องนั้น
ที่บริเวณหน้าบ้านของใจจอมคลาคล่ำไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย หน้าบ้านประดับประดาด้วยไฟระยิบระยับ เพิ่มความตระหง่านให้กับตัวบ้านที่อยู่ภายในมากยิ่งขึ้น
ประตูใหญ่ทางเข้าเห็นรปภ.ของบ้านตรวจสอบรถทุกคันอย่างละเอียด ก่อนจะทำความเคารพด้วยความแข็งขัน ระหว่างนั้นเสียงเครื่องยนต์ที่ดังราวกับเรือหางยาวดังมาแต่ไกล รปภ.ทำหน้าสงสัย
“เรือหางยาวที่ไหนวะ”
รปภ.หันมองซ้ายขวาก่อนจะหันไปเห็นรถกระบะคันเก่าก็แล่นเข้ามาที่หน้าบ้านเป็นคำตอบให้พอดี รปภ.รีบกระโดดเข้ามาขวางก่อนจะใช้กระบองประจำกายชี้หน้า มาดราวกับตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“หยุด..หยุดเลย !” เดินเข้ามาที่ประตูรถ “ลงจากรถเดี๋ยวนี้”
ประตูรถเปิดออกก่อนจะเห็นรองเท้าหนังยาวเลยไปถึงหน้าแข้ง ฝุ่นจับจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับกางเกงยีนส์ที่ขาดวิ่นเป็นแห่งๆ ที่แท้เป็นใจเด็ดนั่นเองที่ก้าวลงจากรถในชุดที่เหมือนกับว่าหลุดออกมาจากหนังคาวบอย รปภ.มองสภาพใจเด็ดตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เดินเข้าไปเอาเรื่อง
“มาผิดที่แล้วไอ้น้อง”
ใจเด็ดมองไปที่ตัวบ้านเหมือนรำลึกความทรงจำก่อนจะหันมามองรปภ.คนเก่งอย่างพินิจ
“พี่เพิ่งมาทำงานละซิ
รปภ. ยังไม่สำเหนียก “แล้วมันเกี่ยวอะไร...ไปไป๊...นี่ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างแกจะมาเหยียบ”
“แต่ว่า...” ใจเด็ดทำเป็นอิดออด
ทันใดนั้นรปภ.ก็เหมือนนึกขึ้นมาได้
“อ๋อ...ฉันรู้แล้วว่าแกเป็นใคร”
ใจเด็ดหน้าชื่นขึ้นทันที “งั้นผมเข้าไปได้แล้วใช่มั้ยพี่”
รปภ.เข้ามาจับแขนใจเด็ดไว้แน่น...หมับ! “ใช่...แต่ไม่ใช่เข้าไปในงาน” ใจเด็ดสงสัยในท่าที “อย่างแกมันต้องเข้าคุก
ใจเด็ดตกใจ “ห๊า”
“ไอ้พวกโจรที่แอบเข้ามาขโมยของในงานเลี้ยงอย่างแกมันต้องเจอฉัน”
ว่าแล้วรปภ.ก็เป่านกหวีดเรียกพรรคพวกจนเสียงดังลั่น ใจเด็ดเห็นอย่างนั้นก็เลยฉวยจังหวะที่รปภ.หันมองไปหาพรรคพวกสะบัดมือออกก่อนจะยันโครมเข้าให้ที่กลางท้อง ดังอั๊ก !
ใจเด็ดกระโดดขึ้นรถก่อนจะรีบถอยรถออกไปอย่างรวดเร็ว เกือบจะชนกับรถหรูที่กำลังตรงเข้ามาที่อยู่ด้านหลังจนได้ยินเสียงบีบแตรดังลั่น ก่อนจะเห็นรถกระบะของใจเด็ดพุ่งหายไปอย่างรวดเร็ว
เวลาเดียวกัน หทัย...แม่ของใจเด็ด กำลังมองดูรูปถ่ายตอนใจเด็ดรับปริญญา ซึ่งฉากหลังเป็นป้ายคณะสัตวบาล เห็นว่ามีเพียงหทัยเท่านั้นที่ถ่ายคู่กับใจเด็ดโดยปราศจากครอบครัว
ระหว่างนั้นเสียงของใจจอมดังขึ้น
“คุณยังไม่เลิกคิดถึงมันอีกหรือไงหทัย”
หทัยสะดุ้งเฮือกรีบซ่อนรูปเอาไว้ด้านหลังทันที
“เอ่อ...”
“ผมขอได้มั้ย...วันนี้เป็นวันเกิดผม...คุณควรจะอยู่ข้างๆ ผมไม่ใช่มานั่งเอาแต่คิดถึงไอ้ลูกไม่รักดีอย่างมัน”
“รอบตัวคุณมีคนมากพอแล้ว...ฉันคงไม่จำเป็น” หทัยพูดตัดพ้อ
ใจจอมได้ยินอย่างนั้นก็สัมผัสได้ถึงความน้อยใจของหทัย จึงเดินเข้ามาลงนั่งก่อนจะจับมือหทัยมากุมไว้
“หทัย...ที่ผมจัดงานวันนี้เพราะผมอยากให้คุณมีความสุขนะ”
หทัยสบตาใจจอม เหมือนจะซาบซึ้ง ก่อนที่หทัยจะตัดสินใจพูดขึ้น
“แต่ความสุขของฉันคือการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก...ไม่ใช่งานที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้าพวกนั้น”
ใจจอมชะงักไปเพราะเห็นว่าหทัยเริ่มมีอารมณ์
ใจจอมออกท่าทางเกรงใจ “เอ่อ...ผมรู้...แต่ตอนนี้ผมขอได้มั้ย...นะ...คิดว่าเห็นแก่หน้าผมละกัน”
หทัยนิ่งสงบอารมณ์ก่อนจะพูดเสียงนิ่งใส่ “คุณลงไปก่อนแล้วกัน”
ใจจอมจำต้องยอมเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี หทัยหยิบรูปของใจเด็ดขึ้นมาด้วยความคิดถึงอีกครั้ง
รถของใจเด็ดจอดนิ่งสนิทอยู่ในซอยเปลี่ยวมืด ใจเด็ดเปิดประตูลงมาจากรถก่อนจะมองไปที่ตัวบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ทุกทีไม่จัด...มาจัดทำไมปีนี้กันพ่อ...เฮ้อ เอาไงดีวะเรา”
ใจเด็ดครุ่นคิดหาทาง ก่อนที่เขาจะเหลือบไปเห็นเชือกเส้นหนึ่ง เป็นเชือกจูงควายซึ่งติดอยู่ที่ท้ายกระบะนั่นเอง ใจเด็ดมองเข้าไปในตัวบ้านอีกครั้งด้วยแววตามุ่งมั่น
คืนเดียวกันนั้นภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งใส่รองเท้าส้นสูงสีแดงแป๊ดเดินออกมาจากห้องลองเสื้อ สาวเจ้าของรองเท้าสีแดงคนนั้นเดินมาตามทางเดิน
ด้านหลังของหญิงสาวมีคนกำลังช่วยสวมสร้อยและต่างหูให้
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” พนักงานขายยิ้มบอก
ณวัตค่อยๆ หันมา
“สวยถูกใจมั้ยคะ”
ณวัตอึ้งกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า “สวยมากครับ”
สรนุชสวยสะคราญอยู่ในชุดราตรีสีสด ยืนท่าทีเคอะเขินด้วยความไม่เคยชิน
“จริงเหรอคะ...แต่นุชว่ามันเหมือนลิเกยังไงไม่รู้”
“ลิเกอะไรกันครับ...ไม่เอาน่า...นุชอาจจะไม่ชินที่ต้องแต่งตัวอย่างนี้...เชื่อวัตซิ...” ณวัตสบตาจับมือซึ้ง “นุชสวยจริงๆ ครับ”
คำพูดของณวัตทำให้สรนุชถึงกับหลบตาด้วยความเขิน เป็นจังหวะเดียวกับที่ณวัตเหลือบไปเห็นสาวสวยคนหนึ่งเดินผ่านหน้าร้าน
ด้วยความเจ้าชู้ ณวัตตื่นตัวทันที ไวเท่าความคิดณวัตเปลี่ยนคำพูดราวกับเป็นคนละคน
“อืม...แต่ว่ามันอาจจะดูลิเกอย่างที่นุชว่าก็ได้” แล้วณวัตก็หันไปเห็นเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ หยิบออกมาไปอย่างนั้น “นุชลองชุดนี้ดูนะครับ”
สรนุชงง “เอ่อ...”
ณวัตโวยใส่พนักงานขาย “ไม่เห็นหรือไงว่าแฟนผมเขาบอกว่าเหมือนลิเก...ลองเปลี่ยนมาให้ผมดูใหม่”
ณวัตไม่รีรอให้สรนุชพูดอะไรออกมา เขารีบดันตัวสรนุชให้ไปทางห้องลองเสื้อทันที
“เชื่อวัตซิ”
สรนุชกับพนักงานขายต่างงงๆ แต่ก็ต้องเดินเข้าไปให้ห้องลองเสื้อโดยปริยาย
ณวัตมองตามจนแน่ใจว่าสรนุชเดินเข้าไปแล้ว ก็หันมองไปทางสาวสวยคนที่เพิ่งเดินผ่านไปทันที
สาวสวยคนนั้นกำลังเดินก้มหน้าก้มตากดบีบีไม่สนใจใคร ทันใดนั้นสาวสวยคนนั้นก็เดินชนเข้ากับณวัต โทรศัพท์บีบีในมือของเจ้าหล่อนหลุดออกจากมือ ยังดีที่ณวัตคว้าเอาไว้ได้ทัน
“อุ้ย ! ขอโทษค่ะ”
ณวัตฉีกยิ้มก่อนโปรยเสน่ห์ทันที “ไม่เป็นไรครับ...คุณโอเคนะครับ”
สาวสวยงงๆ “คะ”
ณวัตมองโทรศัพท์ในมือก่อนจะคืนให้ “ของคุณครับ...อืม...เหมือนกันเลยนะครับ”
“อะไรเหรอคะ”
“ก็เราใช้โทรศัพท์รุ่นเดียวกันไงครับ” ณวัตทำเป็นควานหามือถือ “เห็นโทรศัพท์ผมมั้ยครับ...สงสัยจะหล่นตอนชนกับคุณเมื่อกี้” ทำทีเป็นมองหา “เอ่อ...ผมขอยืมโทรศัพท์อีกทีได้มั้ยครับ”
สาวสวยคนนั้นยื่นโทรศัพท์ให้ณวัต ก่อนที่ณวัตจะหยิบมากดเบอร์โทรศัพท์ ไม่นานเสียงโทรศัพท์ของณวัตก็ดังขึ้น ณวัตล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา
สาวสวยนางนั้นอมยิ้ม รู้ทัน “คุณจีบผู้หญิงตรงๆอย่างนี้เลยเหรอคะ”
ณวัตส่งสายตาเจ้าชู้ให้กับสาวสวยคนนั้น
ด้านสรนุชในชุดใหม่เดินออกมาจากห้องลองเสื้อ สรนุชกำลังจะถามความเห็นจากณวัตแต่แล้วเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นณวัตอยู่ภายในร้าน
สรนุชแปลกใจ พนักงานรู้ว่าสรนุชมองหาณวัตจึงบอกออกไป
“คุณผู้ชายเดินออกไปข้างนอกค่ะ”
“ไปไหน”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
สรนุชทำท่าจะเดินออกไปนอกร้าน พนักงานรีบห้าม
“เอ่อ...ขอโทษคะ..ทางเราไม่อนุญาตให้นำชุดออกไปนอกร้านค่ะ”
สรนุชขัดใจนัก จึงหยิบกระเป๋าควักบัตรเครดิตแพลตตินั่มรูดได้ไม่อั้นส่งให้พนักงานแทนการตอบคำ
ณวัตมองจ้องโทรศัพท์ในมือยิ้มกริ่ม ออกอาการหื่นๆ ระหว่างนั้นเสียงสรนุชดังขึ้น
“มาทำอะไรตรงนี้คะวัต”
ณวัตตกใจสะดุ้งเฮือก แทบจะปล่อยมือถือร่วงจากมือ
สรนุชเห็นอาการก็ยิ่งสงสัย “แล้วทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย...มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ...พอ..พอ” ณวัตตั้งใจจะพูดคำว่า “พอดี” แต่ตกใจเลยปากคอสั่น
สรนุชเข้าใจผิดคิดไปอีกอย่าง “คุณพ่อทำไมเหรอคะ”
“พ่อ..?” ณวัตอึกอัก พอนึกได้จึงปล่อยเลยตามเลย “เอ่อ...ใช่จ้ะ...พ่อ...พ่อผมโทร.มาน่ะ”
“ทำไมเหรอคะ”
ณวัตพยายามคิดหาข้ออ้างที่จะปลีกตัวจากสรนุช “คือ...พ่อ...พ่อเส้นเลือดในสมองแตกน่ะครับ”
“อะไรนะคะ...ถ้าอย่างนั้นนุชยกเลิกงานเลี้ยงคืนนี้ดีกว่า” สรนุชพลอยตกใจ
ณวัตโพล่งออกมา “ไม่ได้นะครับ...คือ...พ่อผมสั่งไว้ว่างานเลี้ยงคืนนี้สำคัญมาก...ยังไงนุชก็ต้องไปให้ได้”
สรนุชมองณวัตด้วยความสงสัย “เส้นเลือดในสมองแตกแล้วพูดได้ด้วยเหรอคะ”
ณวัตสะดุ้งเล็กๆ “เอ่อ...วัตรู้ว่าพ่อผมยังไง...นุชไปเถอะ..เดี๋ยววัตไปเยี่ยมคุณพ่อเอง”
“แต่ว่า...”
“วัตเองก็อยากไปกับนุช...แต่ในเมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้” ณวัตนิ่งไป ทำเป็นเศร้าเต็มประดา
“ไม่เป็นไรค่ะ...นุชจะไม่ทำให้วัตและคุณพ่อต้องผิดหวัง”
“ถ้าอย่างนั้นรีบไปเถอะ...เดี๋ยวมันจะดึกเกินไปนะครับ”
“ค่ะ...แล้วเดี๋ยวนุชโทร.หานะคะ”
สรนุชรีบปลีกตัวเดินออกไปทันที ณวัตมองตามสีหน้าเครียด จนกระทั่งสรนุชเดินลับสายตาไปนั่นแหละณวัตจึงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
ในเวลาเดียวกันใจเด็ดโผล่หน้าขึ้นมาที่กำแพง ก่อนจะดึงตัวขึ้นมาบนกำแพงแล้วมองไปด้านล่างก็เห็นว่ามีรูปปั้นสลักตั้งวางอยู่
“ดีนะที่ยังอยู่ที่เดิม”
ใจเด็ดค่อยวางเท้าไปที่รูปปั้นก่อนจะปีนลงมาอีกฟากของกำแพงอย่างคล่องแคล่ว จังหวะหนึ่งใจเด็ดมองไปเข้าไปในงานที่อยู่ไกลพอสมควร พอเห็นว่าปลอดคนใจเด็ดก็รีบตรงเข้าไปที่ตัวบ้านหลังใหญ่ทันที
ใจเด็ดแอบลอบเข้ามาภายในตัวบ้าน ก่อนจะปิดประตูลงอย่างเงียบกริบ ทันใดนั้นใจเด็ดก็ใจหายวาบเมื่อหันไปเห็นใจจอมยืนหน้าทะมึนอยู่
“พ่อ”
ใจเด็ดปิดปากได้ทันก่อนจะเห็นว่าที่แท้ ใจจอมนั่นคือรูปภาพนั่นเอง ใจเด็ดหันมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าปลอดคนจึงมุ่งหน้าไปที่บันไดทันที
ส่วนที่บริเวณหน้าบ้าน รถของสรนุชแล่นเข้ามาที่ประตูใหญ่ รปภ.เดินเข้ามา สรนุชลดกระจกลง
“ฉันเป็นตัวแทนจากบริษัทสยามบาคาตี้
“งั้นเชิญเลยครับ”
สรนุชกดกระจกขึ้นก่อนจะขับรถผ่านประตูเข้าไป
ทางด้านใจเด็ดลอบเข้ามาในห้องทำงานของใจจอม โดยไม่รู้เลยว่าสัญญาณกันขโมยที่อยู่ภายในห้องเริ่มทำงาน
ใจเด็ดเดินมาที่โต๊ะของใจจอมก่อนจะอึ้งไป เมื่อมองเห็นรูปของทุกคนวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะยกเว้นรูปของเขา ใจเด็ดนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจทิ้งเรื่องส่วนตัวแล้วหันมาจัดการธุระที่ตัวเองต้องดั้นด้นมาถึงนี่
“โฉนด...โฉนด...”
ใจเด็ดเปิดดูตามลิ้นชักที่เปิดได้แต่ก็ไม่พบโฉนดที่ต้องการ จนกระทั่งใจเด็ดตั้งใจจะเปิดที่ลิ้นชักหนึ่งแต่มันเปิดไม่ออก ใจเด็ดพยายามนึกทบทวนก่อนจะจำได้ว่าใจจอมเก็บกุญแจไว้ที่ใต้หินทับกระดาษ ใจเด็ดหยิบหินทับกระดาษออกก่อนจะนำกุญแจมาเปิดลิ้นชักนั่น แต่แล้วใจเด็ดก็ต้องอึ้งไป ไม่ใช่เพราะใจเด็ดพบกับโฉนดที่ตัวเองต้องการ แต่สิ่งที่ทำให้เขาอึ้งไปนั่นคือรูปของเขาที่ถูกเก็บปิดตายอยู่ในลิ้นชักนั่นเอง
ทันใดนั้นเสียงสัญญาณกันขโมยก็ดังขึ้น ใจเด็ดหันขวับด้วยความตกใจ !!!
เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ภายในศูนย์รักษาความปลอดภัยประจำบ้านของใจจอม ทุกคนตื่นตัวทันที หัวหน้ารปภ.มองดูสัญญาณกันขโมยก่อนจะรู้ว่าตำแหน่งที่ดังมาจากห้องทำงานของใจจอม หัวหน้ารปภ.รีบคว้าวิทยุสื่อสารสั่งงานทันที
“มีผู้บุกรุกที่ห้องคุณท่าน...ย้ำมีผู้บุกรุก”
สรนุชกำลังเปิดฝากระโปรงท้าย แล้วหยิบกระเช้าของขวัญออกมา ระหว่างนั้นสรนุชถูกรปภ.ที่กำลังวิ่งกันวุ่นวายกระแทก
“โอ๊ย”
“ขอโทษครับคุณผู้หญิง” รปภ.เอ่ยขึ้น
สรนุชมองดูเหตุการณ์ที่เริ่มวุ่นวาย “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“มีคนบุกรุกห้องคุณใจจอมน่ะครับ”
สรนุชฉงนไปด้วย “บุกรุก..?”
รปภ.ทำความเคารพสรนุชอีกครั้งก่อนจะรีบวิ่งออกไป สรนุชมองตามก่อนจะเดินตามรปภ.เข้าไปด้วยความสนใจ โดยลืมไปว่ารถของตนเปิดฝากระโปรงท้ายเอาไว้!
เวลาเดียวกันนั้นใจเด็ดวิ่งลงมาจากบันไดด้วยความรีบร้อน ใจเด็ดกำลังจะวิ่งออกประตู แต่แล้วใจเด็ดก็ต้องเบรคกระทันหันเมื่อเห็นกลุ่มรปภ.วิ่งกรูกันเข้ามา ทั้งใจเด็ดและรปภ.ที่โดนใจเด็ดถีบยันยอดอกต่างตกใจเมื่อเจอะหน้ากัน
“เฮ้ย ! แกนี่เอง” รปภ.ร้องตะโกน
ใจเด็ดหันรีหันขวางก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องหนึ่ง แล้วล็อคประตูทันที กลุ่มรปภ.วิ่งเข้ามาจะเปิดแต่ก็เปิดไม่ได้
“อ้อมไปด้านหลัง”
ทั้งหมดรีบวิ่งกรูกันออกไปทันที
ใจเด็ดยืนหันรีหันขวางอยู่ภายในห้องนั้น ก่อนจะหันไปเห็นหน้าต่าง ใจเด็ดรีบพุ่งไปที่หน้าต่างทันที
ใจจอม กับหทัย มองดูเหตุการณ์ที่กำลังวุ่นวายมีรปภ.วิ่งกรูกันไปทางหนึ่ง ทำให้แขกภายในงานเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ใจเพชร วิ่งเข้ามาหาใจจอมและหทัย
“มีอะไร” ใจจอมถามอย่างร้อนรน
“มีคนเข้าไปในห้องคุณพ่อครับ” ใจเพชรบอก
“อะไรนะ! แล้วมันเป็นใคร” ใจจอมตะลึง
“กำลังตามจับกันอยู่ครับ”
ใจจอมได้ยินอย่างนั้นก็รีบวางแก้วแล้วเดินตรงไปที่ตัวบ้านทันที
ส่วนใจเด็ดวิ่งมาตามทางก่อนจะเห็นรปภ.กลุ่มนึงวิ่งไล่กวดมา ใจเด็ดวิ่งหนีสุดชีวิตก่อนจะต้องเบรกเอี๊ยดเมื่อเจอเข้ากับรปภ.อีกกลุ่มที่วิ่งมาข้างหน้า ใจเด็ดหันรีหันขวางไม่รู้จะเอาไงเลยตัดสินใจวิ่งเข้าไปบริเวณงานเลี้ยงทันที รปภ.ทั้งสองกลุ่มวิ่งตามใจเด็ดไปติดๆ
เป็นเวลาเดียวกับที่สรนุชกำลังหอบหิ้วกระเช้าของขวัญเดินมาตามทางริมสระน้ำ ก่อนจะเห็นใจจอมเดินดุ่มๆเข้ามา โดยมีใจเพชรเดินตามมาติดๆ สรนุชหยุดปัดเผ้าปัดผมให้เรียบร้อยพร้อมกระแอมให้คล่องคอเพื่อเตรียมอวยพร แต่แล้วทันใดนั้นใจเด็ดวิ่งฝ่าต้นไม้เข้ามาโดยไม่ทันมีใครได้คาดคิด
ใจจอม กับใจเพชรเห็นอย่างนั้นก็ถึงกับอึ้งไป
“ไอ้เด็ด” ใจจอมตะโกนออกไป
ใจเด็ดหันขวับไปตามเสียงก่อนจะที่หัวใจจะหล่นไปที่ตาตุ่มเมื่อพบใจจอมตัวเป็นๆ ยืนตัวสั่นด้วยความโกรธพร้อมกับใจเพชรพี่ชาย ใจเด็ดเหวอ !
แล้วรีบกลับตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามทันที โดยไม่ทันเห็นสรนุชที่ยืนอยู่ แล้วทันใดนั้นใจเด็ดก็ชนเข้ากับสรนุชเต็มๆ
“ว้าย.....”
สรนุชร้องออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับร่างของเธอได้ถูกใจเด็ดชนจนลอยละลิ่วลงสระน้ำ เสียงดังตูม !
“เฮ้ย” ใจเด็ดยืนตกตะลึง
สรนุชตกน้ำ ทำให้หทัยและบรรดาแขกเหรื่อหันมองกันเป็นตาเดียว แค่แวบแรกหทัยก็จำได้ทันทีว่าเป็นใจเด็ด
“ใจเด็ด..ลูกแม่!”
สรนุชโผล่พรวดขึ้นมาจากสระน้ำ
“ไอ้บ้า” สรนุชตะโกนออกมาอย่างโกรธจัด
“เอ่อ...” ใจเด็ดอึกอัก
ใจเด็ดละล้าละลังจะช่วยไม่ช่วยดี แต่เพราะใจจอมกับใจเพชรที่กำลังเข้ามา และรปภ.ที่โผล่จากพุ่มไม้ออกมา ทำให้ใจเด็ดต้องรีบไปจากที่นั่นทันที แต่ก่อนไปใจเด็ดไม่ลืมที่จะบอกกับสรนุช
“ขอโทษนะคุณ”
ว่าแล้วใจเด็ดก็รีบวิ่งหนีออกไปทันที ก่อนจะชนเข้ากับแขกจนเสียงร้องออกมาดังวุ่นวายไปทั้งงาน
สรนุชยืนโกรธอยู่ในน้ำแทบจะร้องไห้ “ฮึ่ย..! บ้าๆๆ”
ใจเด็ดวิ่งมาที่ประตูใหญ่หน้าบ้านของใจจอม เห็นว่าประตูใหญ่กำลังจะปิดลง ใจเด็ดวิ่งสุดชีวิตเข้ามาแต่ก็ไม่ทัน
จังหวะนั้นใจเด็ดได้ยินเสียงกลุ่มรปภ.วิ่งไล่กวดมาด้านหลังก็คิดหาทางเอายังไงดี ระหว่างนั้นใจเด็ดหันไปเห็นรถคันหนึ่ง รถของสรนุชนั่นเอง เปิดฝากระโปรงหลังเอาไว้
ไวเท่าความคิด...ใจเด็ดรีบวิ่งที่รถก่อนจะเข้าไปหลบในท้ายกระโปรงรถของสรนุชทันที ใจเด็ดค่อยๆดึงฝากระโปรงท้ายลง แต่ยังไม่ปิดสนิทเพื่อจะแอบมองกลุ่มรปภ.ที่วิ่งกันเข้ามา
หทัยเป็นธุระพาสรนุชเข้ามาในบ้าน และกำลังส่งผ้าเช็ดตัวให้กับสรนุชที่กำลังเปียกโชก หน้าตามุ่ยกำลังโกรธอย่างแรง โดยมีใจจอม กับใจเพชรยืนหน้าเครียดอยู่ข้างๆ
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะที่เป็นอย่างนี้” หทัยเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ...ไม่ใช่ความผิดของคุณซะหน่อย” สรนุชว่า
“ทำไมจะไม่ใช่ละ....ก็ผู้ชายคนนั้นน่ะเป็น...”
หทัยกำลังจะบอกว่าใจเด็ดเป็นลูกเธอเอง แต่แล้วใจจอมก็ร้องขึ้นเสียก่อน
“หทัย”
สรนุชแปลกใจ “ทำไมคะ...พวกคุณรู้หรือคะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
“เอ่อ...”
ครอบครัวใจจอมต่างหันมองหน้ากัน ใจจอมรีบพูดขึ้นเหยียดๆ
“ก็เป็นพวกโจรกระจอกน่ะจ้ะไม่มีอะไรหรอก”
หทัยไม่พอใจที่ใจจอมเรียกใจเด็ดอย่างนั้น “คุณ!”
ใจเพชรตัดบทเพราะไม่อยากให้หทัยสะเทือนใจ
“ฝากขอบคุณคุณสมพลด้วยนะครับ...แล้วก็ต้องขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ...ขอแค่จับตัวนายนั่นได้เมื่อไหร่...รบกวนโทร.บอกดิฉันด้วยก็พอ” สรนุชแค้นไม่หาย
“เอ่อ...หนูจะทำอะไรเหรอจ๊ะ” หทัยถามขึ้น
สรนุชยิ้มให้ แต่ไม่ตอบ “หนูลานะคะ”
สรนุชยกมือไหว้ทุกคนก่อนจะเดินออกไป ใจจอมมองไปรอบๆ เห็นสภาพงานเละเทะก็ยิ่งแค้นใจเด็ด
“ไอ้ลูกเวร...แกต้องการให้ฉันตายในงานวันเกิดตัวเองหรือไง...” ใจจอมหันไปสั่งกับใจเพชร “จับมันมาให้ฉันให้ได้...มันกับฉันมีเรื่องต้องคุยกัน”
แววตาใจจอมขณะพูดกร้าวขึ้นมาด้วยความโกรธ ในขณะที่หทัยมีสีหน้าเครียดด้วยความเป็นห่วงใจเด็ด เช่นเดียวกับใจเพชร
ใจเด็ดค่อยๆ เปิดฝาท้ายกระโปรงรถของสรนุชขึ้นดูสถานการณ์ พอเห็นว่าปลอดคนก็พยายามจะลงมาจากท้ายกระโปรงรถ แต่แล้วใจเด็ดก็ต้องมุดกลับเข้าไปเหมือนเดิม เมื่อเห็นสรนุชหากุญแจรถในกระเป๋าสะพายเดินตรงมา
“โจรกระจอกเหรอ..? ฮึ่ย” สรนุชยังโกรธไม่หาย “อย่าให้เจออีกก็แล้วกัน”
ใจเด็ดพยายามทำตัวเงียบกริบเพื่อรอจังหวะให้สรนุชเดินผ่านไปก่อน แต่แล้วใจเด็ดก็ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณกันขโมยดังขึ้นที่ใกล้ตัว
“เฮ้ย ! อย่าบอกว่ารถคันนี้เป็น”
สรนุชแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณกันขโมยของรถเธอร้องดังขึ้น สรนุชเดินมามองแล้วก็เห็นว่าที่ท้ายฝากระโปรงท้ายของเธอปิดไม่สนิทนี่เอง
“อ้าว...ปิดไม่สนิทเหรอเรา”
สรนุชทำท่าจะเปิดฝากระโปรงขึ้น ใจเด็ดตาโตตกใจรีบถดตัวกระเถิบเข้าไป ในจังหวะที่สรนุชเปิดฝากระโปรงขึ้น ใจเด็ดเห็นสรนุชครึ่งตัวเข้าไปแล้ว
ทันใดนั้นสรนุชก็ปิดฝากระโปรงท้ายรถดังตึ่ง ! ใจเด็ดโล่งอกที่สรนุชไม่เห็น
ใจเด็ดใจหายถอนหายใจอย่างโล่งอก “ฟู่...เกือบแล้ว” แต่แล้วนึกขึ้นได้ เมื่อมองไปรอบๆ ที่มืดสนิท “เฮ้ย ! ผมอยู่ในนี้...อย่าเพิ่งไปคุณ”
สรนุชไม่ได้ยินเสียงตะธกน ค่อยๆ ถอยรถออกก่อนจะขับออกไปโดยไม่รู้ว่ามีใจเด็ดติดท้ายรถไปด้วย
ไม่นานหลังจากนั้นรถของสรนุชแล่นมาบนท้องถนน ภายในรถ สรนุชที่อยู่สภาพมอซอราวกับผีใน กำลังควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากช่องใส่ของข้างเบาะที่นั่งแล้วกดโทร.ออก ก่อนจะหยิบบลูธูทใส่หู
ส่วนที่ท้ายกระโปรงรถ ที่ใจเด็ดพยายามดิ้นรนอยู่ที่ท้ายกระโปรง
“นี่คุณ...ผมอยู่ในนี้...คุณ.....”
ใจเด็ดทั้งเตะทั้งยันที่ท้ายกระโปรงรถเพื่อให้สรนุชได้ยิน
ในที่สุดสรนุชก็ได้ยินเสียงดังตึงตังมาจากท้ายรถ
“อะไรน่ะ”
สรนุชรีบกดวางสายก่อนจะแปลกใจเมื่อยังได้ยินเสียงนั่นดังอย่างต่อเนื่อง
รถสรนุชแอบเข้าจอดข้างทางอย่างกะทันหัน ก่อนที่สรนุชจะกดเปิดกระโปรงท้าย ในขณะที่ใจเด็ดที่กำลังอาละวาดอยู่ที่ท้าย พอเห็นฝากระโปรงก็ชะงักไป
ใจเด็ดรีบเปิดฝากระโปรงขึ้น อันเป็นจังหวะเดียวกับสรนุชเดินมาที่ท้ายรถพอดี เมื่อสรนุชเห็นใจเด็ด ทั้งสองคนต่างก็ตกใจ!!
อ่านต่อหน้า 3
กระบือบาล ตอนที่ 1 (ต่อ)
ครั้นพอตั้งสติได้ ทั้งโกรธทั้งฉุนสรนุชก็ระเบิดอารมณ์ใส่ใจเด็ดทันทีด้วยความเดือดดาล
“แก...ไอ้..ไอ้โจรบ้า...แกมาทำอะไรในรถฉัน”
ในขณะที่ใจเด็ดพยายามจะอธิบาย “เดี๋ยวก่อนคุณ...ฟังผมก่อน”
“แกคิดจะขโมยรถฉันใช่มั้ย”
“ไม่ใช่อย่างนั้น...ผมบอกให้ฟังผมก่อนไงคุณ”
“แล้วทำไมฉันต้องเชื่อคนไม่ดีอย่างแก”
สรนุชตั้งท่าพร้อมต่อสู้ ใจเด็ดเห็นมาดก็ขำอยู่ในลำคอ
“คุณทำท่าอะไร...จะใช้คาราเต้เล่นงานผมหรือไง”
“นั่นมันยังน้อยสำหรับสิ่งที่แกทำกับฉัน”
“แล้วคุณทำท่านั่นทำไม”
“ก็แบบนี้ไง”
ทันใดนั้นสรนุชก็จับฝากระโปรงยกขึ้นก่อนจะกดลงเต็มแรง ใจเด็ดอ้าปากหวอตกใจจนฝากระโปรงท้ายชนเข้ากับหัวเขาเต็มๆ เสียงดังโป๊ก!
“คุ....”
ใจเด็ดพูดยังไม่ทันขาดคำ ภาพสรนุชที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆ เลือนรางจนดำมืดสนิท ใจเด็ดสลบเหมือด
เวลาต่อมาใจเด็ดที่อยู่ในท้ายรถเช่นเดิมค่อยๆ รู้สึกตัว สายตาของเขาเริ่มโฟกัสจนเห็นว่าสรนุชยืนอยู่ตำแหน่งเดิม
“อูย....นี่คุณ...มันจะเกินไปแล้วนะ” ใจเด็ดฉุนขาด
“ทำไม...จะทำอะไรฉันหรือไง”
ใจเด็ดกัดฟันกรอดๆ “เดี๋ยวก็รู้!”
พูดจบใจเด็ดพรวดพราดลุกออกจากฝากระโปรงรถ ก่อนที่ใจเด็ดจะต้องอึ้งไปเมื่อพบว่าตัวเองยืนอยู่กลางวงล้อมของตำรวจที่กำลังเล็งปืนมาที่เขาราวกับเขาเป็นอาชญากรตัวฉกาจ
แล้วใจเด็ดก็รู้ว่าระหว่างที่เขาสลบไป สรนุชได้นำเขามาที่สถานีตำรวจนี่เอง
“เดี๋ยวก่อนครับคุณตำรวจ...ผมไม่ใช่คนร้ายนะครับ” ใจเด็ดอธิบายบอกตำรวจ
“อย่าไปฟังมันนะคะ...หมอนี่แหละคะที่แอบเข้าไปขโมยของในบ้านของคุณใจจอม...จับเลยคะ”
“เฮ้ย!” ใจเด็ดมองสรนุชเคืองๆ “นี่คุณ”
ใจเด็ดทำท่าจะปรี่เข้ามาหาสรนุช ตำรวจรีบกระชับปืนเว้นระยะห่างตะโกนขึ้น
“หยุดตรงนั้น...แล้วชูมือขึ้น!”
ใจเด็ดรีบหันไปอธิบายกับตำรวจ “คุณตำรวจฟังผมก่อนนะครับ...ผมไม่ใช่คนร้ายแล้วก็ไม่ใช่ขโมยด้วย”
“แล้วคนร้ายที่ไหนมันจะยอมรับเล่า” สรนุชเยาะ
“แล้วถ้าผมยอมรับก็แสดงว่าผมไม่ใช่ขโมยใช่มั้ย...ก็ได้...งั้นผมเป็นขโมยเอง” ใจเด็ดนึกได้ “เฮ้ย! ไม่ใช่นะครับ”
“ไม่ใช่แล้วอะไร...หรือจะบอกว่าที่เข้าไปในบ้านของคุณใจจอมเพราะแกเป็นลูกของคุณใจจอม”
“ใช่...ผมเป็นลูกของคุณใจจอม” ใจเด็ดบอกเสียงจริงจัง
สรนุชไม่เชื่อ “ขำมาก...เอาไว้ไปขำต่อในตะรางดีกว่ามั้ย”
ใจเด็ดอึ้ง “อะไรนะ”
ทันใดนั้นตำรวจก็กรูกันเข้ามาก่อนจะจับใจเด็ดใส่กุญแจมือไพล่หลัง
“ไป...หนอย...ถ้าแกเป็นลูกของคุณใจจอม...ฉันก็เป็นอธิบดีกรมตำรวจละวะ...ไป” ตำรวจที่เข้ามารวบตัวบอก
ใจเด็ดพยายามจะบอกความจริง “ผมเป็นลูกของคุณใจจอมจริงๆ” แต่ตำรวจไม่ฟัง ใจเด็ดหันไปทางสรนุช “นี่คุณช่วยผมด้วย”
สรนุชเดินเข้ามาพูดกับใจเด็ด “ทำอะไรไว้ก็ต้องได้อย่างนั้น” สรนุชพูดกับตำรวจ “เชิญเลยค่ะ”
ตำรวจลากใจเด็ดเข้าไปในสน.
ใจเด็ดร้องโวยวายลั่น “คุณ ! ผมไม่ใช่คนร้าย...คุณ”
ใจเด็ดมองหน้าสรนุชอย่างคั่งแค้น สรนุชยิ้มเยาะก่อนจะถอนหายใจออกมาหลังจากที่เรื่องวุ่นวายจบลง
ค่ำคืนเดียวกัน บ้านร้างแห่งนั้น ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังวิ่งหนีกันอย่างสุดชีวิตมาตามทาง โดยมีชายอีกกลุ่มวิ่งไล่กวดมาติดๆ ชายคนนั้นรีบดึงหญิงที่เป็นคนรักเข้ามาหลบอีกมุมหนึ่งด้านนอกของตัวบ้าน
ชายหนุ่มนิ่งคิด “คุณอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน...ถ้าผมบอกให้วิ่งเมื่อไหร่ขอให้คุณวิ่งสุดชีวิต” ก่อนจะออกไป หันมาสบตาซึ้ง “นิจ...สัญญาซิว่าคุณจะมีชีวิตต่อไปเพื่อผม”
“มินโฮ...” หญิงสาวร้องออกมาอย่างตื้นตัน
ชายหญิงคู่นั้นค่อยโน้มใบหน้าเข้าหากัน ระหว่างนั้นมีลมพัดมาเอื่อยๆ และพัดเอาใบไม้แถวนั้นมาโดนที่ขาของหญิงสาว
หญิงสาวตกใจ ผละตัวออกร้องกรี๊ด “อ๊าย...”
ทันทีที่หญิงสาวคนนั้นร้องออกมาด้วยความตกใจ เสียงของสุบินก็ดังขึ้นทันที
“คัท”
สุบินซึ่งนั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์ปาบทลงพื้นด้วยความโมโห ก่อนจะลุกเดินไปที่หน้าเซ็ททันที ผู้ช่วยเห็นท่าไม่ดีรีบวิ่งตามออกไป สุบินเดินดุ่มๆ เข้ามาที่ดาราสาวที่กอดอกเชิดหน้าไม่ยอมรับผิด
“อะไรนักหนา...นี่มันเทคที่สิบแล้วนะ...จูบกันแค่นี้ทำไมมันไม่ได้ซะที...จะรอให้เช้าก่อนมั้ย”
“ก็ถ้าอยากให้มันได้...ทำไมพี่ไม่แก้บทให้ไปสารภาพรักที่อื่นละคะ...พี่บินก็รู้ว่าเดียร์กลัวผี” ดาราสาวชื่อเดียวร์เอ่ยขึ้น
สุบินหันไปก็เห็นดาราสาวเดินเข้ามาที่หน้ามอนิเตอร์ สุบินพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ แต่ใบหน้าเริ่มบ่งบอกว่ากำลังจะเหลืออด ผู้ช่วยผู้กำกับเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาไกล่เกลี่ย
“เอ่อ...ใจเย็นครับพี่บิน...ผมว่าเรา EDIT ช่วยได้นะครับ...พี่...ผมไหว้ละพี่...นะครับ”
สุบินดูเหมือนจะพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ “เออ...” หันไปพูดกับดาราสาว “เดียร์...พี่จะบอกอีกครั้งนะว่าตอนนี้เดียร์ไม่ได้อยู่คนเดียว...มีคนอีกครึ่งร้อยอยู่ด้วย...แล้วที่สำคัญคนกำลังจะจูบกันมันไม่กลัวผีหรอก”
“คนที่กำลังกลัวผีมันก็ไม่มีอารมณ์จะจูบกันเหมือนกันนะพี่”
สุบินโดนย้อนถึงกับสะอึก กัดฟันกรอดๆ ผู้ช่วยต้องรีบหย่าศึกตัดบท
“เอ่อ... EDIT เข้าตรงประโยคสุดท้ายแล้วกันนะพี่”
“เออ” สุบินเดินหัวเสียกลับไปที่มอนิเตอร์ ผช.ผกก.รีบวิ่งตามมาติดๆ
สุบินเดินกลับมาถึงก็ทรุดตัวลงนั่งบ่นอุบ
“กลัวอะไรไม่กลัว...ก็รู้ว่าผีมันมีซะที่ไหน”
ระหว่างนั้นอรอนงค์ในสภาพเพิ่งตื่นนอนหัวกระเซอะกระเซิงก็โผล่หน้ามาอยู่ข้างๆ สุบินรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจึงหันไปดูก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ผี!” สุบินตกใจร้องลั่น
ทุกคนที่หน้ามอนิเตอร์แตกฮือกระจัดกระจาย ทิ้งให้สุบินที่ตกเก้าอี้อยู่คนเดียว
“ยัยอร ! ฮึ่ยย์...ทีหลัง...”สุบินฉุนขาด
“เสร็จยัง...ฉันหลับไปหลายตื่นแล้วนะ...ไหนว่าคืนนี้เลิกไม่ดึกไง” อรอนงค์ว่า
“เออน่า...ฉากนี้ก็เสร็จแล้ว...ว่าแต่ยัยนุชเถอะโทร.มาหรือยัง”
สรนุชที่สองคนเป็นห่วง ค่อยๆ เดินเข้ามาในบ้านที่มืดสนิท สรนุชพยายามย่องอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ แต่ทันใดนั้นแสงไฟในบ้านก็สว่างพรึ่บขึ้น เผยให้เห็นตัวบ้านที่ใหญ่โตอลังการ มีรูปถ่ายครอบครัว พลเอกสรยุทธ คุณหญิงเลิศหล้าและสรนุช ขนาดใหญ่เบิ้ม ติดอยู่หรากลางบ้าน
สรนุชชะงักไปเมื่อเห็นสรยุทธกับคุณหญิงเลิศหล้ายืนอยู่
“นี่มันกี่โมงแล้ว” สรยุทธถามพร้อมกับหันหน้ามา สรนุชทำหน้าลำบากใจ
“พ่อ...แม่”
ยิ่งพอสรยุทธเห็นสภาพของสรนุชก็แปลกใจ สีหน้าเครียด
“ไปไหนมา...ทำไมมันมอมแมมเละเทะอย่างนี้”
“เอ่อ...พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยที่งานเลี้ยงน่ะค่ะ”
“อุบัติเหตุ...!”
พอคุณหญิงเลิศหล้าได้ยินอย่างนั้นก็รีบเข้ามาหาสรนุชด้วยความเป็นห่วงทันที ออกอาการตื่นตูมด้วยความห่วงลูกสาว
“อุบัติเหตุอะไรลูก...เจ็บตรงไหนหรือเปล่าไหนแม่ดูซิ...” คุณหญิงหันไปบอกกับสรยุทธทันที “คุณโทร.เรียกหมอดีกว่าค่ะ”
“แม่...นุชไม่เป็นไรแม่จะโทร.เรียกหมอทำไมคะ” สรนุชอึ้ง
“ภายนอกเราอาจจะไม่เห็น...แต่ภายในแม่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรหรือเปล่า...ยังไงให้หมอเขาตรวจหน่อยแล้วกันนะ...” เลิศหล้าหันไปพูดกับสรยุทธ “เอ้า...ทำไมยังไม่โทร.อีกล่ะคุณ”
ระหว่างนั้นโทรศัพท์ในมือของสรนุชดัง สรนุชรีบกดตัดสายทิ้งทันที
“ใครโทร.มา” สรยุทธถาม
“สงสัยโทร.ผิดมั้งคะ...ดึกป่านนี้คงไม่มีใครโทร.หานุชแล้วล่ะค่ะ”
แต่แล้วเสียงมือถือของสรนุชดังขึ้นอีก สรยุทธกับเลิศหล้าเหล่มอง สรนุชหน้าเจื่อนสงสัยจะไม่ได้โทร.ผิดอย่างที่บอกไป
เวลาเดียวกันอรอนงค์สงสัยหนักเมื่อสรนุชไม่รับสาย บรรยากาศด้านหลังเห็นว่าเลิกกองแล้ว ทุกคนกำลังช่วยกันเก็บของ
“ทำไมยัยนุชไม่รับสายซะที...”
สุบินเดินเข้ามาอำ “หรือว่า...”
อรอนงค์จิตตกห่วงเพื่อนเลิฟ “หรือว่าอะไร”
“ยัยนุชกำลังโดนไอ้พวกโรคจิตล้อมอยู่” สุบินว่า
“จะบ้าเหรอ...ถ้าอย่างนั้นนุชก็ต้องรีบรับสายเราแล้วซิ”
“เอ้า...ก็พวกนั้นมันแย่งโทรศัพท์นุชไปไง” สุบินใส่อีกดอก
อรอนงค์รอสายด้วยความเครียด ระหว่างนั้นสายฝั่งสรนุชก็รับพอดี อรอนงค์ดีใจนัก
“ฮัลโหล...ยัยนุช...ฉันโทรตั้งนาน” อรอนงค์นิ่งฟังแล้วชะงักไป “แกเป็นใคร...” แล้วอรอนงค์ก็คิดถึงเรื่องที่สุบินบอกขึ้นมา “ห๊า ! แกเป็นไอ้พวกคนร้ายใช่มั้ย”
สรยุทธพูดสายเสียงกร้าว “ฉันเป็นพ่อยัยนุช”
“อุ้ย...คุณพ่อ ! เอ่อ...สวัสดีค่ะ” สุบินหัวเราะคิกคักอยู่ข้างหลัง
“แค่นี้นะ...ฉันกำลังอบรมลูกสาวฉันอยู่”
พูดจบสรยุทธกดวางสายก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้กับลูกสาว สรนุชรับมาแล้วทำท่าจะเดินขึ้นข้างบน
“จะไปไหน...พ่อยังพูดไม่เสร็จ”
“พ่อคะ...หนูไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของพ่อนะคะ”
“พ่อก็ไม่ได้พูดในฐานะผู้บังคับบัญชา...พ่อพูดในฐานะพ่อ”
“นี่แหละที่ทำให้หนูไม่อยากเป็นทหาร”
สรนุชหน้ามุ่ยแล้วเดินขึ้นบ้านไป สรยุทธมองตามด้วยความเป็นห่วง เลิศหล้าวิ่งตาม
“อ้าว...แล้วไม่รอหมอเหรอลูก...ลูกนุช”
ด้านอรอนงค์ยังใจหายที่ดันว่าสรยุทธออกไป
“ตาย...ตายแน่..” อรอนงค์หันไปจะต่อว่าสุบิน “นี่...เพราะแกคนเดียว”
แต่แล้วอรอนงค์ก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นสุบินอยู่ตรงนั้น
“ไปไหนแล้ว”
อรอนงค์หันมองกลับมาอีกทาง แล้วทันใดนั้นอรอนงค์ก็ร้องออกมาด้วยความตกใจอีกเมื่อสุบินทำหน้าผีหลอกอรอนงค์คืน อรอนงค์ตกใจถึงกับปล่อยโทรศัพท์ตกกับพื้น
“เล่นอะไรของแกเนี่ยสุบิน”
“เอ้า...ก็จะได้หายกันไง” สุบินมองไปที่โทรศัพท์แล้วก็ตกใจ “เฮ้ย !” พร้อมกับรีบหยิบขึ้นมา “โทรศัพท์ฉัน”
“ช่วยไม่ได้...อยากแกล้งฉันก่อนเอง”
เช้าวันต่อมา เจ้าหน้าที่สถานีเพาะพันธุ์กระบือเกริกไกร เจนจิรา ภิรมย์ และสมหญิง ทุกคนยืนอยู่หน้าคอกพ่อพันธุ์อย่างลังเล ภิรมย์หันมาถามเกริกไกรย้ำความมั่นใจอีกครั้ง
“วิธีนี้มันจะได้ผลเหรอหมอ”
“ไม่ลองไม่รู้...ถ้าลองก็จะรู้...พร้อมนะทุกคน”
สมหญิงกับเจนจิราพยักหน้า ภิรมย์หยิบกีตาร์ขึ้นมาก่อนจะเริ่มบรรเลง
“เป็นโสดทำไมอยู่ไปให้เศร้าเหงาทรวง” เกริกไกรร้องนำทุกคนเริ่มร้องเพลงประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง
“ไม่คิดจะหาคู่ควง...เดี๋ยวล่วงเลยวัยเปล่าๆ”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของเจนจิราดังขึ้น เจนจิราหยิบมือถือขึ้นมามองเบอร์ก่อนจะดีใจเมื่อเห็นชื่อคนโทร.เข้า
“หัวหน้า..!” เจนจิรากดรับ “คะหัวหน้า” นิ่งฟัง แล้วทำหน้าสงสัยก่อนจะหันไปเรียกเกริกไกร “หมอ”
เกริกไกรหยุดร้อง ภิรมย์หยุดเล่นกีตาร์แล้วมองด้วยความแปลกใจ
เกริกไกรได้ยินเสียงเรียกก็รีบหันไปออกอาการดีใจกับภิรมย์ “โห...เดี๋ยวนี้รู้จักเรียกชื่อฉันด้วยหรือไง...ดีๆ” เกริกไกรกำลังจะเล่นต่อ แต่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ...พวกนายเป็นพ่อพันธุ์...ทำไมเสียงถึงได้เหมือนผู้หญิงละ”
“นี่หมอว่าฉันเสียงเหมือนควายเหรอ...หัวหน้าโทร.มา...พี่จะคุยกับคนหรือจะคุยกับควาย”
เกริกไกรทำหน้าสงสัยขึ้นมาทันที “ไอ้เด็ดโทรมาเหรอ”
เวลาเดียวกันใจเด็ดยืนชิดติดลูกกรงกำลังคุยมือถือ
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก...ฉันแค่อยากชวนแกมาเที่ยวกรุงเทพฯ”
เกริกไกรออกมาคุยโทรศัพท์อยู่หน้าคอกสัตว์
“ชะช่า...อย่าบอกนะว่าแกติดใจอเวจีที่นั่นแล้ว...ไหนบอกว่าแกไม่ชอบกรุงเทพฯไง”
“ฉันก็ไม่ได้ชอบหรอก...พอดีฉันมีธุระสำคัญต้องให้แกช่วย”
“ธุระอะไรวะ” เกริกไกรถาม
“เอ่อ...คือ” ใจเด็ดพยายามนึกคำพูด
จังหวะที่เกริกไกรรอฟังธุระของใจเด็ด ระหว่างนั้นภิรมย์วิ่งถือกีตาร์เข้ามาด้วยความดีใจ
“หมอ...หมอ...ได้ผลแล้วหมอ”
เกริกไกรรู้สึกดีใจเช่นกัน “แค่นี้ก่อนนะไอ้เด็ด...ไว้กลับมาแล้วค่อยคุยกัน”
เกริกไกรวางสายไป แล้วรีบตามภิรมย์เข้าไปในคอกทันที
“เฮ้ย ! ไอ้เกริก...อย่าเพิ่...” ใจเด็ดได้ยินเสียงสายตัดไปแล้ว ดังตู๊ด...ตู๊ด มองมือถือละเหี่ยใจแล้วยื่นคืนให้กับตำรวจที่อยู่หน้าห้องขัง “ขอบคุณครับ” ใจเด็ดนึกเคืองเกริกไกรแต่โทษสรนุช “บ้าเอ๊ย...ที่ฉันต้องมาอยู่ในนี้เพราะยัยบ้านั่นคนเดียว!”
ใจเด็ดทรุดตัวลงนั่งในห้องขังตามเดิมด้วยสีหน้าเครียด
ครอบครัวของใจจอมกำลังนั่งทานอาหารเช้ากันอยู่พร้อมหน้า หทัยสีหน้าเศร้าสร้อยด้วยความเป็นห่วงใจเด็ด ขณะที่ใจจอมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย
“ถ้ามีอะไรหายไปซักชิ้นละก็...ฉันเอามันเข้าคุกแน่” ใจจอมเอ่ยขึ้น
เมื่อหทัยได้ยินอย่างนั้นก็ขึ้นก็โมโหขึ้นมาทันที “ใจคอคุณทำด้วยอะไร...ใจเด็ดเป็นลูกเรานะ”
“ใฝ่ต่ำอย่างนั้นมันไม่ใช่ลูกฉัน”
“คุณ!”
ระหว่างนั้นใจเพชรเดินเข้ามา
“ไม่มีอะไรหายไปครับ...แต่ใจเด็ดทิ้งนี่เอาไว้ให้พ่อครับ”
ใจจอมทำหน้าสงสัยเมื่อใจเพชรส่งแผ่นกระดาษในมือให้ ใจจอมรับมาอ่านแล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อข้อความในกระดาษเขียนข้อความสั้นๆ แต่ได้ใจความ “สุขสันต์วันเกิดครับพ่อ”
ใจจอมนิ่งงันไปจังหวะนั้นเด็กรับใช้ถือโทรศัพท์เข้ามาให้หทัย
“คุณท่านคะโทรศัพท์คะ”
หทัยรับมาสีหน้ายังแปลกใจ “ใครโทรมาแต่เช้า...สวัสดีค่ะ” หทัยมีสีหน้าตกใจ “ใจเด็ด”
ทุกคนได้ยินที่หทัยอุทานออกมาก็หันขวับมองหทัยเป็นตาเดียว
ไม่นานหลังจากนั้น ใจเด็ดนั่งซึมกระทืออยู่ในห้องขังของสน. ระหว่างนั้นตำรวจเดินเข้ามาเรียก
“นายใจเด็ด...มีคนมาประกันตัวแล้ว”
ใจเด็ดยิ้มออกมาได้ทันที ก่อนที่จะลุกพรวดขึ้น
“แกรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่นี่วะไอ้เกริ....” เสียงใจเด็ดขาดหายไปในลำคอ มองคนตรงหน้าอึ้งๆ “พ่อ”
เพราะคนที่มาประกันตัวไม่ใช่เกริกไกรอย่างที่ใจเด็ดคิด แต่กลับเป็นใจจอมและหทัยที่ยืนอยู่หน้าห้องขัง !!!
เวลาเดียวกันอรอนงค์กำลังนั่งกินข้าวอยู่กับสรนุชที่ห้องแคนทีนของบริษัทสยามบาคาตี้ และร้องออกมาด้วยความตกใจหลังจากที่สรนุชเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง
“นี่แกกล้ามากนะ...ทำไมไม่ยอมให้มันเอารถไปละ...รู้มั้ยว่าถ้าเราสู้ไอ้พวกโจรพวกนี้...โอกาสรอดของเรามีแค่สิบเปอร์เซ็นต์เองนะ...ส่วนอีกแปดสิบเปอร์เซ็นต์...”
“บาดเจ็บ” สรนุชต่อให้เพื่อนสาว
แต่ผิด! “ตาย” อรอนงค์บอก
สรนุชชะงักไป “แล้วอีกสิบเปอร์เซ็นต์ละ
“ก็เอาไว้อ่านข่าวไอ้พวกแปดสิบเปอร์เซ็นต์นั่นไง”
สรนุชส่ายหน้าเซ็งอย่างเซ็งๆ “ไม่เอาละอร...แกอย่าเอาวิชาบัญชีของแกมาตัดสินชีวิตของฉันหน่อยเลย”
ระหว่างนั้นเสียงของสมพลดังขึ้น
“หนูนุช”
สรนุชกับอรอนงค์หันไปก็เห็นสมพลเดินเข้ามา สรนุชกับอรอนงค์รีบยกมือไหว้ทำความเคารพ
“เมื่อคืนเป็นไง...คุณใจจอมว่าอะไรบ้างหรือเปล่าที่ฉันไม่ได้ไปน่ะ”
“ไม่ได้ว่าอะไรคะ...คุณใจจอมยังฝากขอบคุณท่านมาด้วย”
“เรียกท่านทำไม...ฉันบอกกี่ทีแล้วให้เรียกว่าพ่อ”
อรอนงค์ดันเรียกแทน “ค่ะพ่อ”
สมพลเอ็ดเอา “อรอนงค์”
“ขา...” อรอนงค์ขานเสียงระรื่น
“ฉันหมายถึงหนูนุช...ไม่ใช่เธอ”
อรอนงค์ยิ้มเจื่อน ระหว่างนั้นสรนุชนึกขึ้นมาได้
“แล้วคุณอาหายดีแล้วเหรอคะ”
“หายดี...อาไม่ได้เป็นอะไรนี่” สมพลงง
“แต่เมื่อคืนวัตบอกว่าคุณอาเส้นเลือดในสมองแตกนี่คะ” สรนุชบอก
“หือ...ไม่มี” สมพลไม่ได้เตี๊ยมกับลูกชาย
สรนุชเริ่มเอะใจ ถามโพล่งขึ้น “แล้วเมื่อคืนวัตไปหาคุณอาหรือเปล่าคะ”
“อ้าว...แล้วมันไม่ได้อยู่กับหนูเหรอ”
ได้ฟังสรนุชอึ้งไป ก่อนจะกลายเป็นความโกรธ สรนุชรีบเดินออกไปทันที
อรอนงค์งง “นุช...แกจะไปไหน”
จังหวะนั้นสมพลนึกขึ้นมาได้ว่าณวัตคงจะโกหกอะไรเอาไว้นั่นเอง
“ไอ้วัต...หาเรื่องให้พ่ออีกแล้ว...เดี๋ยวก่อนหนูนุช...หนูนุช”
สมพลรีบเดินตามสรนุชไปทันที ปล่อยให้อรอนงค์ยืนงงว่าทั้งสองคนเป็นอะไร
สรนุชเดินดุ่ยๆ มาที่หน้าห้องทำงานของณวัต โดยมีสมพลเดินตามมาติดๆ
“เดี๋ยวก่อนจ้ะหนูนุช...คือพ่อเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อคืนพ่ออยู่กับเจ้าวัตมัน”
“หลีกไปค่ะคุณอา...หนูจะคุยกับวัต”
“เรื่องอะไร...คุยกับอาก็ได้”
ระหว่างนั้นณวัตเดินเข้ามาพอดี พอเห็นสรนุชกับสมพลยืนคุยกับอยู่หน้าห้องทำงานเขาก็ถึงกับชะงัก ณวัตกำลังจะฉากหลบ แต่ก็ไม่ทันเพราะสรนุชเหลือบมาเห็นพอดี
“หยุดตรงนั้นเลยวัต...!”
ณวัตหยุดกึกก่อนจะหันมาทำเป็นใจดีสู้เสือ แล้วแกล้งทำเป็นเพิ่งเห็น
“นุช..! เอ่อ...วัตกำลังจะไปหานุชอยู่พอดีเลย”
“ทำไมวันก่อนคุณต้องโกหกว่าพ่อคุณเส้นเลือดในสมองแตกด้วย”
สมพลทำปากขมุบขมิบถามณวัตว่าจะเอายังไง ณวัตอึกอักจะแก้ตัวยังไงดี
“วัตโกหกที่ไหน...คือตอนนั้นวัตตกใจ...วัตก็เลยพูดอย่างนั้นออกไป...ที่จริงแล้ว...”
สมพลโพล่งขึ้นต่อจากคำของณวัต “พ่อเส้นเลือดในสมองแตกจริงๆ”
ณวัตดันพูดขึ้นพร้อมกันกับพ่อ “พ่อวัตไม่ได้เส้นเลือดในสมองแตก”
สมพลกับณวัตต่างชะงักมองหน้ากันที่ดันพูดไม่ตรงกัน
“จะบอกได้หรือยังว่าวัตโกหกทำไม”
“วัตอยากให้เราทะเลาะกัน” ณวัตนึกออก
“ทะเลาะกัน..? วัตคิดอะไรของวัต” สรนุชงง
“วัตอยากรู้ว่าวัตจะอยู่โดยไม่มีนุชได้มั้ย”
สรนุชชะงักไปกับคำหวานของณวัต
ณวัตเดินเขามาจับมือสรนุชขึ้นมากอบกุม “แล้ววัตก็รู้ว่าวัตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีนุช”
สรนุชทำหน้าเอือมไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด ก่อนจะที่สรนุชจะสะบัดมือออกแล้วเดินออกไปเลย
“นุช...นุช” ณวัตหันไปพูดกับสมพล “เพราะพ่อคนเดียว”
สมพลเขกหัวลูกชายจอมหื่นเข้าให้เสียงดังโป๊ก
“ไอ้นี่...เพราะความกลัดมันของแกต่างหาก...เลยพาฉันซวยไปด้วย...ไปเลย...ถ้าแกทำให้หนูนุชหายโกรธไม่ได้ไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้า” สมพลจะยกมือมือเขกกะโหลกอีก
“พ่อ...ใจเย็นๆ ซิ” ณวัตปลอบพ่อ
“ใจเย็น..? แกไม่รู้หรือไงว่าเรื่องนี้มันใหญ่แค่ไหน...ตอนนี้โผทหารประจำปีกำลังจะออก...แล้วถ้าเกิดพล.อ.สรยุทธได้ดิบได้ดีขึ้นมา...ก็เท่ากับว่าทุกอยากที่เราทำมาก็เสียเวลาเปล่า”
“ไม่ต้องห่วงนาพ่อ...นุชเขาแค่งอนผมแหละ...พ่อเชื่อผมซิ...ยังไงผมก็ไม่ยอมปล่อยให้เธอหลุดมือไปเด็ดขาด”
ณวัตผุดยิ้มร้ายออกมาอย่างหมายมาด เหมือนจะมั่นใจในคารมและความหล่อของตัวเองเกินร้อย
ใจเด็ดนั่งอยู่ในห้องทำงานพ่อ โดยมีใจจอม ใจเพชร ยืนล้อมกรอบเหมือนใจเด็ดกำลังตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าสิงโต จะมีก็เพียงหทัยที่ส่งสายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความรักที่มีให้กับใจเด็ดเสมอ
“ฟาย...ไอ้ฟาย”
ใจเด็ดฉุนขาดลุกขึ้นจะเดินออกไป ใจจอมตวาดเสียงดัง
“แกจะไปไหน”
“ก็พ่อเรียกผมมาด่า...ตอนนี้พ่อด่าผมเสร็จแล้ว...ผมก็จะไป”
“ไอ้นี่...ใครอนุญาตให้แกไป นั่งลง ฉันตั้งชื่อแกว่าใจเด็ด...ไม่ใช่ให้แกมาแสดงความใจเด็ดกับฉัน...ฉันตั้งชื่อพวกแกทุกคนให้มีคำว่าใจเหมือนกันหมด...เพราะฉันอยากให้พวกแกพี่น้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว...”
ใจจอมพูดถึงตรงนี้ ใจเด็ดพูดสวนขึ้นมาพร้อมกับใจจอม เพราะว่าเคยได้ยินคำบ่นนี้มาบ่อยแล้ว
“เพื่อกิจการของครอบครัว!”
ใจจอมโมโห หยิบของใกล้มือจะปาใส่ใจเด็ด “ไอ้นี่!”
ใจเพชรกับหทัยรีบกรูกันเข้าห้ามพัลวัน ทำเอาใจจอมถึงกับทำหน้าเซ็งเหมือนไม่พอใจที่ใจเพชรและหทัยห้ามไว้ทำไม
“พ่อ...ผมได้ยินพ่อพูดแบบนี้มาเป็นร้อยครั้งได้แล้วมั้ง”
“แล้วมันซึมเข้าหัวแกบ้างมั้ย...ห๊า ! หรือว่าไปอยู่กับไอ้พวกสัตว์กะโหลกหนานานๆ...ก็เลยกะโหลกหนาเหมือนพวกมัน”
ใจเด็ดมองใจจอมรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดกระทบกระเทียบ
“เมื่อคืนแกมาทำไม...”
“เอ่อ...ผมก็มาอวยพรวันเกิดพ่อไงครับ”
ทันใดนั้นใจจอมก็ปาหนังสือไปที่ใจเด็ดทันที ยังดีที่ใจเด็ดหลบทันเพราะคอยระวังตัวตลอดเวลาอยู่แล้ว
“โกหก..ฉันรู้ว่าแกจะมาเอาโฉนดที่ดินผืนสุดท้ายของแกไปขายเพื่อช่วยควายพวกนั้นใช่มั้ย”
ใจเด็ดนิ่งไปที่ใจจอมรู้ทัน “พ่อครับ...ควายพวกนั้นก็เหมือนเพื่อนของผม...ตอนนี้พวกมันกำลังเดือดร้อน”
“หึ...เดี๋ยวนี้มีควายเป็นเพื่อนแล้วเหรอ” ใจจอมเยาะ
“ยัง! ที่ผมให้เป็นแค่เพื่อนนะครับ...ไม่ใช่...” ใจเด็ดเอ่ยออกมาด้วยเสียงเบาๆ “พ่อ”
ใจจอมได้ยินก็ของขึ้นทันควัน “ไอ้..ไอ้”
ใจเพชรรีบเข้ามาห้าม “ใจเย็นครับพ่อ...หายใจลึกๆ ครับ”
ใจจอมเริ่มคุมสติได้ก่อนจะเข้าเรื่อง “ในเมื่อแกอยากได้โฉนด...ฉันก็จะให้”
พอใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาได้ หทัยกับใจเพชรก็เช่นกัน แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องพังทลายเมื่อใจจอมพูดประโยคต่อมาน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ถ้าแกทิ้งควายพวกนั้นแล้วกลับมาทำงานที่บ้าน!”
ใจเด็ดอึ้งไปทันที
อ่านต่อหน้า 3
กระบือบาล ตอนที่ 1 (ต่อ)
ครู่ต่อมาใจเด็ดเดินหน้าเครียดมาที่รถกระบะคันเก่าที่จอดอยู่ ระหว่างนั้นเสียงของหทัยดังขึ้น
“ใจเด็ด...รอแม่ก่อน”
ใจเด็ดหันไปก็เห็นหทัยวิ่งตามหลังเข้ามา
“แม่...”
หทัยยื่นกล่องเครื่องประดับให้กับใจเด็ด
“แม่ช่วยลูกได้เท่านี้”
ใจเด็ดอึ้ง “แม่...ผม”
“รับไปเถอะ...เครื่องประดับพวกนี้แม่ไม่ได้ใช้หรอก”
ใจเด็ดมองกล่องในมือหทัยก่อนจะตัดสินผลักมันกลับคืน “ผมรับไม่ได้ครับ...ผมเคยบอกไว้แล้วว่าผมจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน”
ระหว่างนั้นเสียงของใจเพชรดังขึ้น
“แต่แกคงจะรับนี่จากฉันได้”
ใจเพชรเดินเข้ามาก่อนจะยื่นเช็คจำนวน หนึ่งแสนบาทให้กับใจเด็ด
“คราวที่แล้วฉันให้ค่าที่แกถูกไปหน่อย...ส่วนนี้ถือว่าฉันให้เพิ่มก็แล้วกัน”
“พี่เพชร...แม่” ใจเด็ดซึ้งใจนัก
“แกรีบไปเถอะ...ฉันจะพูดกับพ่อให้เอง”
ใจเด็ดพยักหน้าก่อนจะหันหลังไปที่รถ ระหว่างนั้นหทัยพูดขึ้น
“ใจเด็ด” ใจเด็ดหันมา “อะไรที่ทำให้ลูกมีความสุขก็จงทำมัน...เพราะมันก็คือความสุขของแม่ด้วย”
สิ้นคำพูดของหทัย ใจเด็ดก็โผเข้ากอดหทัยด้วยความรัก
“ขอบคุณครับแม่”
ใจเด็ดมองหทัยด้วยความเป็นห่วงก่อนจะผละออกไป ใจเด็ดพยักหน้าเล็กน้อยให้ใจเพชรเชิงคำลาก่อนจะเดินไปขึ้นรถกระบะคันเก่าแล้วขับออกไป
ใจเพชรกับหทัยมองตามใจเด็ดด้วยความเป็นห่วง
เย็นวันนั้น ที่สถานีเพาะพันธุ์กระบือ เกริกไกร เจนจิรา ภิรมย์ สมหญิง และบรรดาเจ้าหน้าที่กำลังยืนเข้าแถวเคารพธงชาติ ซึ่งเกริกไกรเป็นคนเชิญธงลง เพลงใกล้จะจบ ธงค่อยๆเคลื่อนจนลงมาถึงด้านล่างเสา
ครั้นพอเพลงชาติจบ...เกริกไกรก้าวออกมาข้างหน้าก่อนจะพูดกับทุกคน
เกริกไกรพูดนำเสียง “พวกเรา...
ทุกคนพร้อมใจกันขานตอบอย่างพร้อมเพรียง “เหล่ากระบือบาล...ขอปฏิญาณว่า...จะอภิบาลควายไทย...ด้วยหัวใจที่แน่วแน่”
ทุกคนกล่าวคำปฏิญาณด้วยความแววตาที่เต็มไปด้วยความศรัทธา พอกล่าวคำปฏิญาณจบ เกริกไกรก็เริ่มพูดต่อ
“ฮะแฮ่ม...เนื่องจากหัวหน้าสถานีของเรายังไม่กลับจากการทำภารกิจที่กรุงเทพฯ...ผมขอตัวเป็นแทนที่จะพูดคุยกับทุกคนในวันนี้...แต่ทุกคนก็รู้ว่าผมเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง...ฉะนั้นผมขอมอบเพลงนี้ให้กับทุกคนเพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกคนยืนหยัดเพื่อควายไทยต่อไป”
ทุกคนทำหน้าเซ็ง ภิรมย์กับสมหญิงต่างก้มเด็ดต้นหญ้าขึ้นมาอุดหู เกริกไกรหยิบกีตาร์ขึ้นมาสะพายกำลังเทสต์เสียง
เกริกไกรทำเสียงสูงต่ำให้ตรงคีย์ หลับตาให้อิน “เรา...เร่า...เร้า...เรา”
ระหว่างนั้นรถกระบะของใจเด็ดแล่นเข้ามาในสถานี เจนจิราหันไปเห็น ร้องออกมาอย่างดีใจ
“พี่ใจเด็ดมาแล้ว”
เกริกไกรเริ่มร้องเพลง
“เราไม่ใช่ชาวนาก็อยู่กับควาย...พอเสร็จงานไถ่...เราขี่หลังควายร้องส่ง...”
เกริกไกรทำท่ายื่นไมค์ให้ทุกคนร้องตอบว่า ฮึ่ยย์ๆๆ แต่แล้วกลับเงียบสนิท เกริกไกรลืมตาขึ้นดู กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นซะแล้ว
“อ้าว”
เกริกไกรมองไป จึงเห็นว่าทุกคนมุ่งไปหาใจเด็ดนั่นเอง
“พระเอกมาพระรองก็ม้วยซิ...เฮ้อ”
ไม่นานหลังจากนั้น ทุกคนกำลังห้อมล้อมใจเด็ดราวกับแฟนคลับรุมซุปเปอร์สตาร์
“ภิรมย์...เดี๋ยวบอกพวกผู้ชายให้มาช่วยกันขนข้าวสารไปเก็บด้วย”
“อย่าบอกว่าพี่ไปกรุงเทพฯเพื่อไปซื้อข้าวนะ” เจนจิราเย้า
“จะบ้าเหรอเจน...เมื่อเช้าพี่แวะตลาดน่ะ...เห็นว่าข้าวสารใกล้หมดแล้ว...ไง...พี่ไม่อยู่นี่...ทำอะไรวุ่นหรือเปล่า”
“โอ๊ย...พี่เจนเขาไม่ทำอะไรวุ่นหรอกคะ...มีแต่จัดการเจ้าตัววุ่นบางคน” สมหญิงว่า
ใจเด็ดทำหน้าสงสัย เจนจิราต้องรีบกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไรหรอกพี่...แค่ควายบางตัวมันพยศเพราะคิดถึงพี่น่ะ”
ระหว่างนั้นภิรมย์เข้ามาหน้าตาตื่น
“พี่...ทำไมพี่ซื้ออะไรมาเต็มหลังรถเลย”
เกริกไกรเดินเข้ามาสมทบ
“ก็คืนนี้ต้องฉลองกันหน่อย” ใจเด็ดว่า ทุกคนทำหน้าสงสัย ใจเด็ดเลยหยิบเช็คออกมาโชว์ “นี่...มีคนเขาอยากช่วยพวกเราก็เลยให้เงินนี่มาไง”
ทุกคนโห่ร้องด้วยความดีใจ ระหว่างนั้นเกริกไกรมาดึงเช็คออกไปจากมือของใจเด็ดก่อนจะเอาไปดูแล้วตกใจ
“นี่มัน..!” เกริกไกรตกใจ
ใจเด็ดรู้ว่าเกริกไกรตกใจที่เห็นเช็คเป็นของใจเพชรพี่ชายตน แต่ต้องพูดไปเป็นอย่างอื่น “จำนวนเยอะใช่มั้ยเพื่อน..” แล้วรีบตัดบท “ไป...ทุกคนช่วยกันขนของ...จะได้ไปทำงานกันต่อ...จำได้มั้ยว่าหน้าที่ของเราคือ”
ทุกคนประสานเสียง “อย่าให้เพื่อนควายตกงาน”
ทุกคนแยกย้ายกันไป ใจเด็ดยิ้มร่าเริงก่อนจะต้องชะงักไปเมื่อหันมาเห็นเกริกไกรก็มีสีหน้าเครียดลงทันที
อรอนงค์ยังพยายามปลอบสรนุชต่อ
“ไม่ต้องห่วงนะนุช...ตามสถิติแล้ว...วัตเขาต้องโทรกลับมาภายในหนึ่งนาที...(มองโทรศัพท์) ห้าสิบเก้า...ห้าสิบแป...เฮ้ย”
อรอนงค์ตกใจเพราะอยู่ๆ สุบินก็คว้ามือของสรนุชไปแล้วปิดเครื่องถอดแบตออกเลย
“สุบิน...ทำอะไรของแก”
“นุช...ฉันว่าที่แกเครียดอยู่อย่างนี้ไม่ใช่เพราะแกกลัวว่าหมอนั่นจะมีคนอื่นหรอก”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นสงสัย “หมายความว่าไง”
“ฉันว่าแกเครียดเพราะแกไม่ได้รักนายนั่นใช่มั้ย” สุบินมองหน้าสรนุช
“สุบิน...พอได้แล้ว”
“เธอนั่นแหละ...ฉันกำลังจะวิเคราะห์ให้ฟัง...นุชแกไม่ได้กลัวว่าหมอนั่นจะมีคนอื่น...แต่แกกลัวว่า...ถ้าหมอนั่นยอมรับว่ามีคนอื่นจริงๆ...แล้วแกเกิดไม่รู้สึกอะไร...แกรับไม่ได้ที่แกหลอกตัวเองว่ารักหมอนั่น”
สรนุชนิ่งไป “ไม่...ฉันรักวัตจริงๆ”
“แต่ฉันไม่เห็นแกทำตัวเหมือนคนที่รักกันเลย”
“นุชเขามาจากครอบครัวทหาร...นิสัยก็เลยแข็งๆแสดงความรักไม่เป็นต่างหาก...แกเลิกวิเคราะห์เพื่อนเหมือนวิเคราะห์ตัวละครในบทแกซักที” อรอนงค์ออกตัวให้
“เอ้า...นี่ฉันกำลังช่วยเพื่อนนะเนี่ย”
“เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักหรือไง...แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่มีแฟน”
สุบินกับอรอนงค์เริ่มเถียงกันอีก ในขณะที่สรนุชกำลังอึ้งกับสิ่งที่สุบินบอก คิดในใจหรือว่าเธอจะเป็นอย่างที่สุบินว่าจริงๆ
สรนุชกำลังปรับแต่งรถไถอยู่ในโรงงานพร้อมกับทีมงาน
“ลองเพิ่มความหนืดให้มากกว่านี้อีกหน่อย...เราไม่รู้ว่าดินแต่ละที่มันเป็นยังไง”
ทีมงานตั้งค่าสายพานใหม่ก่อนจะให้ทีมงานอีกคนที่นั่งอยู่บนรถไถเหยียบคันเร่ง ระหว่างนั้นจู่ๆ ไฟทั้งโรงงานดับลง เป็นไฟนีออนตามจุดต่างๆ ไม่ใช่ที่เครื่องจักร
สรนุชสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะเห็นว่าทีมงานของเธอต่างเดินกันออกไป
“เดี๋ยว...จะไปไหนน่ะ”
สรนุชกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จังหวะนั้นไฟในโรงงานก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่สรนุชจะอึ้งไปเมื่อเห็นณวัตเดินยิ้มเผล่ ถือช่อดอกไม้เข้ามา
“วัต!”
“ดอกไม้สำหรับผู้หญิงที่ทำให้โลกผมสดใสครับ”
สรนุชนิ่งมองณวัตก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทำงานต่อโดยไม่สนใจ ณวัตถึงกับเหวอไปเพราะสรนุชไม่เคยทำอย่างนี้กับเขา
“นุชครับ...ดอกไม้ครับ”
สรนุชนิ่งไม่พูดด้วย ณวัตยิ่งสงสัย
“ถ้านุชไม่ชอบดอกฟอร์เก็ทมีน๊อทเดี๋ยววัตไปซื้อให้ใหม่ก็ได้...แต่ว่าตอนนี้นุชต้องรีบไปกับวัตแล้วละ...วัตจองโต๊ะที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเอาไว้”
“นุชเป็นแค่คนงานที่นี่...วัตมาทานข้าวกับนุชมันจะดูไม่ดีนะคะ”
ระหว่างนั้นมีพนักงานคนนึงวิ่งเข้ามาเรียกณวัต
“คุณวัตคะคุณวัต” พนักงานเอ่ยขึ้น ณวัตกับสรนุชหันมา “คุณสมพลเชิญคุณวัตที่ห้องประชุมด่วนค่ะ”
“ไม่เห็นหรือไงว่าตอนนี้ผมไม่ว่าง” ณวัตดุใส่
“แต่คุณสมพลบอกให้คุณวัตรีบไปจริงๆ ค่ะ...เห็นบอกว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายของบริษัทเลยนะคะ” พนักงานสาวบอก
ณวัตสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบเดินกลับห้องประชุมไป สรนุชรีบตามไปติดๆ
สมพลอยู่ในห้องประชุมบริษัท กำลังตบแฟ้มลงบนโต๊ะอย่างหัวเสียสุดๆ
“ไอ้พวกบ้า ! ให้มันได้อย่างนี้ซิวะ”
ณวัตกับสรนุชวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับพ่อ”
“ดูเอาเองแล้วกัน”
ว่าพลางสมพลหันจอคอมพิวเตอร์ให้กับณวัตดู ณวัตกับสรนุชเห็นก็อึ้งไปเพราะมันคือภาพที่ผู้จัดการสาขาสุรินทร์กับสายลับกำลังก้มกราบควาย
“นี่มันสาขาที่สุรินทร์นี่ครับ” ณวัตว่า
“ไอ้พวกกระบือบาล...พวกมันต้องการให้ชาวบ้านที่นั่นเห็นว่าเรากลัวมัน” สมพลกล่าวอย่างเคืองแค้น
“แล้วทำไมเราต้องไปกราบควายอย่างนี้ด้วย” ณวัตสงสัย
“พวกมันยกคนมาที่หน้าร้านของเรา...แล้วบอกว่าถ้าเราไม่ยอมกราบควายมัน...มันจะทำลายรถไถให้หมด”
“นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อนหรือไงถึงได้ใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย”
สมพลสีหน้าเครียดก่อนจะหันมาถามผู้บริหารที่นั่งกันเงียบสนิท
“มีใครคิดอยากจะไปจัดการไอ้พวกกระบือบาลพวกนี้มั่งมั้ย”
ผู้บริหารทุกคนต่างนิ่งเงียบด้วยความกลัวจากภาพที่เห็น
“คุณภิภพไม่ลองหน่อยเหรอครับ” ณวัตถาม
ภิภพกระแอมไอขึ้นมาทันที “แฮ่ม...พอดีช่วงนี้ผมไม่ค่อยสบายน่ะครับ...แล้วผมก็มีโรคประจำตัวด้วย...ให้ไปอยู่ที่นั่นคงไม่ไหว”
ทุกคนต่างหลบตาสมพลกับณวัต โดยไม่มีใครคาดคิด สมพลค่อยๆ หันมาทางสรนุช
“ถ้าอย่างนั้นทุกคนคงไม่ขัดข้องถ้าผมจะให้สรนุชไป”
สรนุชตกใจ “ว่าไงนะคะ”
สมพลพูดต่อ
“ที่สุรินทร์เป็นที่เดียวที่ยอดขายเราเกือบเป็นศูนย์มาหลายปีแล้ว...ผมมาวิเคราะห์สาเหตุแล้วคิดว่าสาเหตุนึงน่าจะมาจากการที่เราส่งตัวแทนที่เป็นผู้ชายไป (พวกผู้บริหารที่เป็นผู้ชายต่างหลุบหน้าลง) ทำให้เข้ากับชาวบ้านได้ลำบาก...แถมเวลาที่ไอ้พวกเถื่อนพวกนั้นคิดจะหาเรื่องก็ไม่ต้องกลัวอะไร....แต่ถ้าเป็นผู้หญิง...ผมคิดว่าน่าจะเข้ากับชาวบ้านได้ดีกว่า...แล้วอีกอย่างพวกนั้นคงไม่อยากจะขึ้นชื่อว่าทำร้ายผู้หญิง”
“แต่ดิฉัน...”
ณวัตพูดขึ้น “ถ้าคุณสรนุชสามารถบุกเบิกรถไถบาคาตี้ที่สุรินทร์ได้...นั่นเท่ากับว่าคุณสรนุชเหมาะสมกับตำแหน่งผู้บริหารของที่นี่”
สรนุชอึ้งไป “วัต...”
“มีใครค้านอะไรมั้ยครับ”
ทุกคนนั่งนิ่งไม่กล้าพูดอะไรเพราะกลัวเข้าตัว ในขณะที่สรนุชกลืนไม่เข้าคายออก
อรอนงค์ตกใจพอได้ยินเรื่องจากปากสรนุช
“สุรินทร์”
ทั้งสามกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในร้านอาหารประจำ สรนุชสีหน้าเครียดหนัก สุบินเอ็ดอรอนงค์
“จะตะโกนทำไม...ตกใจอะไร...ตกใจที่ยัยนุชจะไปบ้านเกิดแกหรือไง” แล้วหันมาพูดกับสรนุช “นี่...ไปเมื่อไหร่...ฝากพายัยนี่กลับไปด้วย...เอามาเดินในกรุงเทพฯ เดี๋ยวก็รถชนกันพอดี”
“นี่....ฉันไม่ใช่ช้าง...แล้วนี่แกต้องไปจริงๆ เหรอ” อรอนงค์เป็นห่วงเพื่อน
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง...ถ้าฉันไม่ไป...พวกนั้นก็ไม่ยอมรับฉัน”
“ก็ไม่เห็นต้องไปเลย...เออ...ไอ้หมอนี่ก็แปลก ส่งแฟนตัวเองไปอยู่ต่างจังหวัด...รักกันยังไงวะ” สุบินประหลาดใจ
“นี่...นายไม่ต้องพูดอะไรหาเรื่องคุณวัตอีกเลยนะ...ที่คุณวัตเขาทำอย่างนี้เพราะต้องการให้นุชมาเป็นสะใภ้บาคาตี้โดยไร้คำครหาต่างหาก” อรอนงค์แก้ต่างแทนณวัต
สุบินพูดกระแทกใส่อรอนงค์ “เหรอ...! แล้วคนรักกันที่ไหนถึงได้ส่งผู้หญิงไปให้พวกกระบือบาลพวกนั้นถลกหนังละ...ห๊า ! ฉันถามหน่อย”
“เออ...นั่นซิ...แกจะไปจริงๆเหรอ...ไอ้พวกกระบือบาลพวกนั้นมันน่ากลัวอยู่นะ” อรอนงค์ว่า
“แกสองคนก็รู้ว่าฉันไม่กลัวอะไร...ฉันเกิดมาในครอบครัวทหาร...เรื่องพวกนี้มันเล็กน้อยสำหรับฉันมาก...แล้วอีกอย่าง...วัตเขาก็ให้ข้อมูลของไอ้ตัวหัวหน้านั่นมาด้วย...ภาษาทหารเขาเรียกว่ารู้เขารู้เรา...รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
ระหว่างนั้นสุบินดึงซองเอกสารออกไปจากมือของสรนุช
“ไหน...ดูหน้าไอ้พวกนั้นหน่อยดิ”
สุบินดึงรูปถ่ายขนาดใหญ่ออกจากซอง อรอนงค์รีบชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วย ทันใดนั้นเองสรนุชก็ร้องออกมาอย่างตกใจ
“ห๊า !!!”
สรนุชอึ้งไปเพราะคนในภาพคือใจเด็ดนั่นเอง !!!
เวลาเดียวกันนั้น ใจเด็ดกำลังนั่งทำบัญชีใช้จ่ายอยู่ในห้องสำนักงาน ใจเด็ดมองตัวเลขรายจ่ายอย่างหนักใจ ระหว่างนั้นเสียงเกริกไกรดังขึ้น
“ก็ยังดีที่พ่อแกยังปล่อยแกมา...ตอนแกโทร.มาฉันยังใจหายเลยคิดว่าพ่อแกกล่อมแกให้กลับไปทำงานที่บ้านได้สำเร็จ”
“แกก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นอย่างนั้นเด็ดขาด”
เกริกไกรหยิบเช็คขึ้นดูจำนวนเงินอีกครั้ง “ไอ้เงินนี่มันจะเลี้ยงคนที่สถานีได้ซักเท่าไหร่...คนครึ่งร้อยกับเพื่อนเราอีกครึ่งพัน”
ใจเด็ดตัดบท “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ...เอาไว้ฉันจะหาทางอีกที”
เกริกไกรมองใจเด็ดด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
“แกพูดผิดแล้ว...แกต้องพูดว่าไว้เราค่อยหาทางอีกทีถึงจะถูก”
“ไม่...ฉันเป็นหัวหน้าของที่นี่...เพราะฉะนั้นมันเป็นความรับผิดชอบของฉัน...” เกริกไกรปิดแฟ้มลุกขึ้น “รีบนอนเถอะ...พรุ่งนี้ยังมีงานให้ทำอีก”
ใจเด็ดเดินออกจากห้องไป เกริกไกรมองตามอย่างเหนื่อยใจ
“ไอ้นี่...พูดกับควายฉันว่ายังรู้เรื่องกว่า...เฮ้อ”
ส่วนสุบินสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงดึงรูปมาดูอีกที
“ตกใจอะไร...หรือว่า...” สุบินสงสัย
“นี่แกรู้เหรอ” อรอนงค์งง
“นี่มันภาพติดวิญญาณใช่มั้ย” สุบินถาม
อรอนงค์ทำหน้าเซ็ง “ฉันไม่ขำกับแกด้วยนะ...” หันมาพูดกับสรนุช “นุชแกตกใจทำไม”
“ไม่ให้ฉันตกใจได้ไงเล่า...ก็หัวหน้าพวกกระบือบาลคนนี้คือ ไอ้โจรขโมยรถที่ฉันเรียกตำรวจมาจับวันก่อนไง”
สุบินกับอรอนงค์ถึงกับมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“โห...เรื่องบังเอิญอย่างนี้ฉันคิดว่าจะมีแต่ในละครซะอีก”
“แหม...ถ้าแกกับนายใจเด็ดนี่มาเจอกันอีก...รับรองว่าต้องเป็นมวยคู่เอกแน่ๆ”
สรนุชมองอรอนงค์ด้วยความแปลกใจ
“เอ้า...ก็เธอเป็นคนทำให้ตานี่โดนตำรวจจับ...คิดดูซิว่าหมอนี่จะเกลียดเธอขนาดไหน...แล้วหมอนี่ยังยืนอยู่ข้างควาย...ส่วนเธอก็ยืนอยู่ข้างรถไถบาคาตี้...อย่างนี้ไม่เรียกว่ามวยคู่เอกแล้วจะเรียกว่าอะไร”
ฟังแล้วสรนุชนิ่งไป สีหน้าเครียด
ทั้งสามเดินกันมาที่ลานจอดรถซึ่งอยู่ที่หน้าร้านอาหาร
“ฉันว่าแกอย่าทำเลย...เชื่อฉันซิ...ที่บาคาตี้อาจต้องเสียวิศวกรมือดีอย่างแกไป” สุบินเอ่ยขึ้น
“ฟังมาตั้งนานเพิ่งพูดเข้าหูก็คราวนี้แหละ” สรนุชว่า
“แต่ได้นักขายห่วยๆ มาแทน”
“สุบิน” อรอนงค์ฉุนนัก
“เอ้า...ก็จริงนี่...ฉันว่าแกไม่เห็นต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยวิธีนี้เลย...แกมาเล่นละครกับฉันยังง่ายซะกว่า”
“เกี่ยวอะไรด้วย” สรนุชงง
“แกลองคิดดูซิ ถ้าฉันปั้นให้แกเป็นดาราดังขึ้นมาได้ ผู้ชายที่ไหนที่ไม่อยากแต่งงานกับดาราวะ”
“นั่นซินุช...แกก็เล่นละครเป็นอยู่แล้วด้วย” อรอนงค์ผสมโรง
“นั่นมันตอนมัธยม...” หันมาทางสุบิน “ไม่ละ...ไม่ใช่ทางฉัน”
จังหวะนั้นสรนุชกับอรอนงค์เดินมาถึงรถพอดี
“งั้นฉันก็คงช่วยอะไรแกไม่ได้แล้วละ...แต่ที่จริงฉันไม่อยากช่วยแกหรอก...เพราะฉันไม่อยากให้แกแต่งกับนายวัตนั่น”
สุบินหันมา ก่อนจะเข้ามากอดสรนุช
“เฮ้ย ! ทำบ้าอะไรของแกเนี่ย”
“อ้าว...ก็กอดอำลาไง...ครั้งนี้คงเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายของเรา...เพราะแกคงไม่รอดจากไอ้พวกกระบือบาลนั่นแน่ๆ”
สุบินพูดเสร็จก็รีบวิ่งจู๊ดออกไปทันที สรนุชเอามือตีปากไม่ทัน
“ไอ้เพื่อนบ้า”
สรนุชหัวเสียจะเดินไปขึ้นรถก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นอรอนงค์ยืนนิ่ง
“อ้าว...ขึ้นรถซิ...เป็นไรไปอีก”
“มันก็จริงอย่างที่สุบินมันว่านะนุช...ฉันว่าอย่างแกเป็นดาราได้สบาย..ทำไมต้องมาตรากตรำขายรถไถอย่างนี้ด้วย”
“ฉันไม่ได้ตรากตรำซะหน่อย...แล้วเธอก็เลิกพูดให้ฉันเป็นดาราได้แล้วนะ...ฉันไม่ชอบเล่นละคร...ฉันชอบเป็นตัวเอง...เข้าใจมั้ย” อรอนงค์พยักหน้ากลัวๆ เมื่อเห็นสรนุชชักมีอารมณ์ แต่สรนุชเหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “เล่นละคร”
“ฉันไม่ได้พูดนะ...แกพูดเอง” อรอนงค์บอก
สรนุชเข้ามาเขย่าตัวอรอนงค์อย่างดีใจ
“ฉันหาวิธีที่จะสืบข้อมูลจากพวกกระบือบาลได้แล้ว”
สรนุชดีใจขณะที่อรอนงค์ทำหน้าสงสัยว่าวิธีอะไรของสรนุช
เช้าวันต่อมา สุบินอยู่ที่คอนโด และกำลังแปลกใจกึ่งตกใจ
“ปลอมตัวไปถ่ายสารคดีควาย”
สรนุชกับอรอนงค์นั่งอยู่ในห้องของสุบินที่เต็มไปด้วยหนังสือ บทและหนัง
“ใช่...แกต้องช่วยฉันนะ” สรนุชเอ่ยขึ้น
“ไม่”
สรนุชที่หวังเต็มที่กับสุบินถึงกับชะงักไป
“ไม่..! แกบอกว่าแกไม่ช่วยฉันเหรอ” สรนุชถามย้ำ
“ใช่”
“สุบิน...นี่เพื่อนมาขอร้องแกนะ” อรอนงค์ชักฉุน
“น่านะ...จะให้ฉันไหว้ก็ได้” สรนุชอ้อน
“ต่อให้จุดธูปแล้วกราบฉัน...ฉันก็ไม่ช่วย”
สรนุชนิ่งงันไปด้วยความผิดหวังก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นความโกรธ
อรอนงค์รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดเลยช่วยพูดกับสุบิน
“สุบิน...แกก็พูดเองว่าถ้าขืนปล่อยยัยนุชไปที่สุรินทร์...พวกนั้นได้เอายัยนุชตายแน่”
“ยังไงฉันก็ไปไม่ได้...ตอนนี้ละครฉันกำลังจะออนแอร์...บทก็ต้องเขียนเพิ่ม” สุบินลุกขึ้นตัดบท “พวกแกอยากนั่งนี่ก็ตามสบายนะ...ฉันต้องไปอาบน้ำไปประชุมแล้ว”
ขณะที่สุบินกำลังจะเดินออกไป ระหว่างนั้นสรนุชเอ่ยขึ้น
“ฉันว่าแกต้องมีเหตุผลมากกว่านั้น”
สุบินนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจหันมาบอก
“ก็ได้...ที่ฉันไม่ช่วยก็เพราะว่าฉันไม่ชอบวิธีที่มันเหมือนหมาลอบกัดอย่างนี้”
“หมาลอบกัด” สรนุชอุทาน
“ถ้าแกจะโกรธฉันก็ไม่ว่า...แต่ฉันคิดว่าวิธีที่แกบอกมันเป็นอย่างนั้น...ฉันอยากเห็นการต่อสู้ที่มันแฟร์ๆ”
สุบินพูดเสร็จก็เดินจากไป อรอนงค์ถึงกับงง
“สุบิน...! อยากเป็นคนดีขนาดนี้ทำไมไม่ไปบวชซะเลยละ”
สรนุชนิ่งงันไป เพราะแค่ขั้นแรกก็มีปัญหาซะแล้ว คิดในใจแล้วจะทำยังไงดีเนี่ย
อ่านต่อตอนที่ 2