อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 22
ดารกาเดินกลับเข้ามาในห้อง หยุดยืนอยู่ตรงกลางห้อง ด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ใคร ! ใครบังอาจหลอกข้า”
ดารกาหันไปทางกระจก เห็นเงากระจกสะท้อนกลับมาเป็นอสูรสดับ
“พ่อบอกแล้วว่าได้กลิ่นแม่มด”
“หมายความว่ามีแม่มดมาเพ่นพ่านอยู่ที่นี่” ดารกาอึ้ง
“ลูกก็ต้องพอจะเดาออกแล้วว่ามันเป็นใคร...และไม่ได้มีตนเดียว พวกมันพากันเข้าเมืองมนุษย์เพื่อตามหาลูก”
ภาพอสูรเลือนหายกลายเป็นเงาดารกาสะท้อนออกมา สีหน้าดูถมึงทึงน่ากลัว
ภวัตนั่งดูอินเตอร์เน็ต เกี่ยวกับข่าวสารความเคลื่อนไหวทางการแพทย์ แนนนี่ปรากฏตัวขึ้น นั่งบนโต๊ะทำงานภวัต
ภวัตกำลังเพลินๆ ตกใจจนแทบตกเก้าอี้ “แนนนี่”
“สวัสดียามดึกค่ะ พี่ภวัต”
ภวัตยังมีท่าทีลังเล “นี่เธอหายแล้วหรือ”
“ด้วยฤทธิ์ยาของคุณยายค่ะ คุณยายได้ปรุงยาโดยใช้หนอนกระสือ 10 ตัว.....”
แนนนี่ตั้งท่าจะอธิบาย ภวัตยกมือห้ามเพราะสยองส่วนผสม “พอแล้ว”
แนนนี่ยื่นหน้ามาจ้องภวัต “ตอนที่ไม่สบาย แนนนี่ฝันถึงพี่ภวัตด้วย”
ภวัตลุกขึ้น ทำเป็นไม่สนใจ “ไปนอนได้แล้ว”
“แนนนี่ฝันว่าพี่ภวัตบอกรักแนนนี่”
“ฝันเลอะเทอะ”
“แล้วพี่ภวัตพูดจริงหรือเปล่าคะ”
“แนนนี่ก็บอกว่าตัวเองฝัน”
แนนนี่เอียงคอมองล้อๆ “แต่แนนนี่ว่าจริงน้า !”
“ไปนอน”
“พี่ภวัตต้องบอกก่อนว่ารักแนนนี่”
“เราเป็นผู้หญิงเที่ยวบังคับให้ผู้ชายบอกรักได้ยังไง”
“แนนนี่บอกพี่ภวัตคนเดียว ไม่ได้บอกใครสักหน่อย เร็วซิคะ ถ้าไม่บอกแนนนี่ก็ไม่ไป”
“เหลวไหล”
“ถ้าไม่บอก ก็แสดงว่าพี่ภวัตอยากให้แนนนี่อยู่”
ภวัตสะดุ้ง รีบพูด “ก็ได้ พี่รักแนนนี่”
“ขอบคุณค่ะ พรุ่งนี้เช้าพบกันนะคะ”
แนนนี่ไหว้แล้วหายวับไป ภวัตยิ้มๆ ด้วยสีหน้าเอ็นดูรักใคร่
พอแนนนี่ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องตัวเอง ชิกเก้นรีบรายงาน
“คุณยายเพิ่งกลับคอนโดฯตะเกียงแก้วเมื่อกี้นี้เอง”
“อ้าว ! เหรอ ... แนนนี่เลยยังไม่ได้ขอบคุณคุณยายเลย”
“นางบอกว่ายังไม่ต้อง เพราะนางเคืองที่พอแนนนี่หายปุ๊บก็ไปรายงานตัวกับหมอภวัตปั๊บ แทนที่จะไปหานาง” ชิกเก้นแอบแขวะ
แนนนี่รู้สึกผิด “แนนนี่ลืมคิดไป”
“นั่นละ พรุ่งนี้เช้ารีบไปง้อเสียดีๆ...เพราะหมู่นี้นางชักจะใจน้อย...ชักจะ’ไรบ่อย ตามวัย...เวรก๊ำ... เวรกรรม”
“แล้วตกลงใช่เสียงยายที่ปลอมเป็นพี่ภวัตหรือเปล่า”
“จะมีใคร้...แนนนี่นอนผักผ่อนเถอะ... เพิ่งหายใหม่ๆ เดี๋ยวไข้กลับพรุ่งนี้เช้า ต้องกินยาถอนพิษอีกถ้วยนึง” ชิกเก้นบอกกำชับ
“ขอบใจนะชิกเก้น”
แนนนี่ล้มตัวลงนอน ชิกเก้นนอนหมอบที่ปลายเตียง
ท้องฟ้ามืดครึ้ม บรรยากาศภายนอก มีเสียง ฟ้าฝนร้องครืนครัน ภวัตนอนหลับสนิท ที่หน้าต่างเห็นฟ้าแลบแปลบปลาบเข้ามา ภวัตรู้สึกเหมือนมีใครสักคืนมายืนมองอยู่ รู้สึกตัวลืมตาขึ้น สะดุ้งเฮือก
จากแสงฟ้าแลบ ภวัตเห็นดารกายืนอยู่ปลายเท้า ภวัตขยี้อีกทีให้แน่ใจ ภาพดารกาหายไป
ภวัตถอนใจโล่ง “ตาฝาดไปนั่นเอง”
ภวัตหลับตาลง โดยไม่รู้ว่าดารกาแฝงตัวยืนอยู่ในความมืดมุมห้อง
“ความรักคือจุดอ่อนของเจ้า เพราะฉะนั้น เจ้าต้องเลิกรัก” เสียงอสูรร้ายกล่าวเตือน
“น้องดาจะตัดใจจากพี่ภวัตได้ยังไง”
สีหน้าดารกาหม่นหมองเศร้าสร้อย ในขณะที่ด้านนอก ฝนฟ้าคะนองครืนครันน่ากลัวอยู่อย่างนั้น
รุ่งเช้าวันต่อมา ดารกาและธานีนั่งทานอาหารเช้าด้วยกันโดยมีผาดคอยดูแลอยู่
“อีกวันเดียวคุณแม่ก็กลับแล้ว น้องดาคิดถึงคุณแม่จังเลย” ดารกาว่า
“เดี๋ยวพี่จะขึ้นไปดูแนนนี่หน่อย”
“แนนนี่มาแล้วค่ะ” เสียงมาก่อนตัว
ทุกคนหันไปมอง เห็นแนนนี่แต่งตัวชุดลำลองเดินเข้ามา
ผาดมองอย่างแปลกใจ “หายแล้วหรือคะ คุณแนนนี่”
“ค่ะ”
“ไม่น่าเชื่อนะคะ เมื่อวานยังดูป่วยหนักอยู่เลย” ผาดแปลกใจอีก
“ก็แนนนี่เป็นแม่มดนี่คะ แม่มดย่อมมีอิทธิฤทธิ์”
แนนนี่ล้อผาดเล่น ดารกาเหลือบมองแนนนี่แว่บหนึ่ง แนนนี่เห็นยักคิ้วให้
“พูดเป็นเล่น เราน่ะเรียนจบแล้วนะ”
“จริงด้วย แนนนี่เรียนจบแล้ว แฮปปี้ มากๆ พูดแล้วแสนจะเวทนาพี่ดา”
“โอ๊ย ! ไม่ต้องไปเวทนาเขาหรอก เขาเป็นหมอ”
“เป็นอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับเป็นคนดี ใช่มั้ยคะ พี่ดา”
ดารกายิ้มนิดๆ
เวลาต่อมาบาบาร่ากำลังจัดผลไม้วางลงในจานแก้ว ดารกาเดินเข้ามา แล้วหยุดมองซ้ายมองขวา
“ป้าบานเย็นคะ”
บาบาร่าดีใจ เดินเข้ามากอดด้วยความเอ็นดู “น้องดา..วันนี้ไม่ไปเรียนหรือคะ”
“ไปค่ะ...แต่น้องดาแวะมาหาป้าบานเย็นก่อน วันนั้นป้าบานเย็นไม่ได้ทานเค้กวันเกิดน้องดา...น้องดาเลยเอามาชดใช้ให้ค่ะ”
ดารกายื่นมือที่ไขว้หลังอยู่ ส่งกล่องคัพเค้กให้บาบาร่าบานเย็น
“คัพเค้กค่ะ ... อร่อยที่สุด” ดารกาว่า
“แม่คุณ หนูช่างเป็นเด็กดีเหลือเกิน ... มีน้ำใจกับป้าบานเย็นโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน”
บาบาร่าปลื้มลืมโลก ไม่รู้สักนิดว่าใบหน้าดารกาขณะกอดนั้นยิ้มเยาะ
บาบาร่ากอดดารกาอีก “ป้าขออวยพรให้หนูประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนานะจ้ะ ศัตรูของหนูจงพ่ายแพ้ พินาศยับเยิน”
“ขอบพระคุณมากค่ะ น้องดาไม่ต้องการอะไรยิ่งไปกว่าพรของป้าบานเย็นแล้ว”
“ป้ารู้ ...ป้าไม่เคยดูคนผิด หนูนี่แหละคือความหวัง...คือที่พึ่งพิงของญาติพี่น้อง รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆนะลูก”
“ค่ะ”
ใบหน้าบาบาร่าชื่นชมโสมนัส ในขณะที่ใบหน้าดารการเย้ยหยันในความเขลาของแม่มดบ้ายอ
ภวัตกำลังนั่งอ่านเวชระเบียนคนไข้ในห้องพัก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ภวัตมองเบอร์อย่างแปลกใจก่อนจะกดรับสาย “ฮัลโหล”
“ฮัลโหลครับ นี่หมอภวัต” ปีเตอร์โทร.มา
“นั่นปีเตอรใช่มั้ย”
“ใช่อย่างไม่มีข้อสงสัยเลยครับ ... ผมมีเรื่องที่จะปรึกษาพี่ภวัตในฐานะที่พี่ภวัตเป็นจิตแพทย์”
“เอาซิ มาที่โรงพยาบาลเลย”
“ผมอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วครับ”
สองหนุ่มนัดเจอกันที่ร้านกาแฟ ในโรงพยาบาลบริกรยกกาแฟ และขนมปัง มาเสิร์ฟให้
“ขอบคุณมากครับที่ ที่พี่หมอภวัตกรุณาให้ปีเตอร์พบเป็นส่วนตัวพี่ภวัตจะรับประทานอะไร ที่แพงๆ ก็ไม่ต้องเกรงใจปีเตอร์นะครับ ขนหน้าแข้งปีเตอร์ไม่ร่วงอยู่แล้ว” เรื่องเว่อร์ขอให้บอก
“ขอบใจ แต่ไม่ต้อง พี่เลี้ยงน้องเอง”
“แต่ปีเตอร์ไม่เคยให้ใครเลี้ยง มันเจ็บปวดมากทีเดียว”
“มีอะไรก็ว่ามา” ภวัตมองหน้า ขณะยกกาแฟขึ้นจิบ
“ปีเตอร์รักแนนนี่”
ภวัตสำลักกาแฟพรวด
“ปีเตอร์รักแนนนี่มานานแล้ว พอเรียนจบก็อยากจะแต่งงาน ปีเตอร์ยินดีทุ่มค่าสินสอด 10 ล้าน” ปีเตอร์ เว่อร์ได้อีก
ภวัตขัดขึ้น “เงินไม่สำคัญสำหรับแนนนี่หรอก”
“แล้วอะไรล่ะครับที่สำคัญ”
“ความจริงใจ”
“นั่นปีเตอร์ก็ให้เต็มร้อยอยู่แล้ว”
“แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรัก”
“ปีเตอร์น่ะรักแนนนี่ชัวร์ แต่ไม่รู้ว่าแนนนี่จะรักปีเตอร์หรือเปล่า” ปีเตอร์เว้นระยะไปอีกนิด “พี่หมอภวัตช่วยปีเตอร์หน่อยได้มั้ยครับ”
เวลาต่อมา แนนนี่อยู่ในสวนกับภวัตผุดลุกขึ้น ปรี๊ดสุดขีด
“เขาให้พี่ภวัตมาพูด แล้วพี่ภวัตก็พูด”
“ปีเตอร์มาขอความช่วยเหลือ พี่ก็ต้องให้อยู่แล้ว”
“แนนนี่ไม่ชอบพ่อสื่อ”
“พี่ไม่....” ภวัตอึกอัก
“บอกมาคำเดียว พี่ภวัตต้องการให้แนนนี่เป็นแฟนกับปีเตอร์หรือเปล่า”
ภวัตอึ้ง นิ่งไป
“ว่าไงคะ”
“ใครจะรักใครชอบใคร มันก็ไม่ใช่เรื่องของพี่ แนนนี่ไม่ชอบพ่อสื่อ พี่ก็ไม่ได้อยากเป็นพ่อสื่อให้ใคร”
สีหน้าภวัตเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
............................................
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 22(ต่อ)
แนนนี่กลับขึ้นห้องยังหงุดหงิดไม่หาย ที่ภวัตมาทำตัวเป็นพ่อสื่อให้ปีเตอร์ แถมยิ่งคิดก็ยิ่งยัวะที่ต่อมายังเสียรู้ภวัตอีก
“อีตาพี่ภวัต เจ้าเล่ห์สุดๆ ไม่นึกเลยว่าจะเจ้าเล่ห์เป็นกับเขาด้วย”
เวลาเดียวกันภวัตรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ ที่หลอกแนนนี่ได้สำเร็จ และตัวเองก็ไม่ต้องเป็นพ่อสื่อ
“นึกว่าพี่เป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วจะเก่งสู้แม่มดไม่ได้หรือไงแนนนี่...พี่ก็ต้องเป็นตัวแทนของอัจฉริยะเมืองมนุษย์บ้างซี้....”
ภวัตยิ้มขำๆ เมื่อนึกถึงเรื่องที่คุยกับแนนนี่
เวลานั้นทั้งสองคนคุยกันอยู่ในสวนหลังบ้าน สีหน้าภวัตจากที่เครียดๆ อยู่ เหมือนคิดอะไรออกมาได้ ค่อยๆ คลายเครียดลง
“เอางี้ แนนนี่”
“เอาไง”
“นี่ ให้พี่พูดเองโดยไม่ต้องถามสวนได้มั้ย”
“ไม่ได้”
“งั้นก็ไม่พูด” ภวัตทำท่าหงุดหงิด
“งั้นก็ไม่ถาม...” แนนนี่ทิ้งระยะ “...ก็ได้.......ค่ะ”
ภวัตหยิบกระดาษกับไม้บรรทัดมา แนนนี่มองงงๆ ว่าจะเอามาทำอะไร ภวัตเอาไม้บรรทัดทาบแล้วฉีกกระดาษ
แนนนี่มอง นึกไม่ออกว่าภวัตจะทำอะไรของเขา
ภวัตเอาไม้บรรทัดทาบแล้วฉีกกระดาษเป็นแผ่นเล็กๆ เท่ากัน 2 ชิ้น แนนนี่ดูยังไงก็ดูไม่ออก ในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหว
“จะทำอะไรคะ”
ภวัตมองด้วยสีหน้าระอาแกมขำในความใจร้อนของแนนนี่ “ถามอีกแล้ว”
แนนนี่ใช้สองนิ้วจากสองมือจับปากตัวเองปิด จนปากเป็นแบบปากเป็ด ทำเป็นเมินทองนองว่า...ไม่ถามก็ได้
“จะทำฉลากให้แนนนี่จับ” ภวัตบอก
แนนนี่ได้ยินก็โวยทันที มือยังหนีบปากเป็นเป็ดอยู่ “จับฉลาก” ปล่อยมือจากปาก “จะเป็นพ่อสื่อหรือไม่เป็นพ่อสื่อเกี่ยวอะไรกับจับฉลากด้วยคะ”
“พี่จะทำฉลากสองใบ ใบนึงเขียนว่าเป็นพ่อสื่อ” ภวัตอธิบาย
แนนนี่พอจะนึกออก รีบพูดต่อทันที “หากแนนนี่จับได้ใบที่เขียนว่าเป็นพ่อสื่อ แนนนี่ต้องยอม
ให้พี่ภวัตเป็นพ่อสื่อ”
“ถูกต้อง” ภวัตว่า
แนนนี่แอบทำตาวิบวับเป็นประกาย หมายจะโกงโดยใช้เวทมนตร์ ภวัตรู้ทัน
“แนนนี่หันหลังสิ แล้วห้ามใช้เวทมนตร์เปลี่ยนข้อความในฉลากด้วย”
“ก็ได้ค่ะ”
แนนนี่หันหลังให้ ภวัตหันไปอีกทาง ขยับตัวยุกยิกๆ แต่ไม่เห็นว่าทำอะไร แนนนี่หลับตาทำปากขมุบขมิบร่ายคาถา
ภวัตแอบขำ ไม่ให้แนนนี่ได้ยิน “ไม่มีทางเลยที่แม่มดน้อยแนนนี่จะไม่ใช้เวทมนตร์”
แนนนี่ร่ายคาถาเสร็จ ยิ้มเจ้าเล่ห์กับตัวเอง
“ทำไมช้าจัง เสร็จหรือยังคะ หันไปได้หรือยังคะ”
ภวัตม้วนฉลากใบหนึ่งเสร็จแล้ว กำลังม้วนฉลากใบที่สอง แต่ยังไม่เห็นอะไรในฉลาก
ภวัตหันกลับมาหาแนน “หันมาได้แล้วจ้ะ”
แนนนี่หันมา ภวัตยื่นมือให้แนนนี่จับฉลาก แนนนี่ชี้ฉลากสองใบกลับไปกลับมา สีหน้ามั่นใจมาก เพราะว่าคาถาสั่งไปแล้ว
“เอ๊...จะเลือกใบไหนดีน้า”
ภวัตอมยิ้ม มองแนนนี่อย่างรู้ทัน
แนนนี่หยิบ “ใบนี้ละกัน”
“ให้เปิดเองเลย เดี๋ยวจะว่าพี่แอบสลับ”
แนนนี่คลี่ฉลากช้าๆ ขยับนิ้วทีละจึ๊ก ละจึ๊ก ยิ้มยั่วภวัตไปด้วย ภวัตยิ้มตอบ รออย่างใจเย็น
แนนนี่มั่นมาก ยิ้มอย่างผู้ชนะโดยไม่ดูกระดาษ “แถ่น แทน แท้น...” เสียงดังอย่างมั่นใจเกินร้อย “ไม่เป็นพ่อสื่อ”
แนนนี่หันฉลากให้ภวัตดู พร้อมกับเต้นหย็องแหย็งด้วยความดีใจ
“เย้ ไม่ต้องรำคาญพ่อสื่อแล้ว เย้ๆๆๆ”
“แน่ใจเหรอ”
แนนนี่ชะงัก มองภวัตเขม็ง ภวัตยิ้มให้ แนนนี่นึกสังหรณ์ใจขึ้นมา ดูกระดาษ แล้วเหวอ
“ฮึ้ย เป็นงี้ไปได้ไง”
ภวัตขำ
แนนนี่อ่านฉลากออกเสียง
“ยายเด็กขี้โกง พี่ไม่ได้เขียนอะไรให้ใครที่ไม่รักษาคำพูดเป่าคาถาใส่หรอก พี่แค่ไม่อยากเสียคำพูด เลยให้กระดาษพูดแทน”
แนนนี่ตาลุกวาวใส่ภวัต ในขณะที่ภวัตยิ้มกริ่ม จับมือแนนนี่เอาฉลากอีกใบใส่มือ
“อ้ะ ให้อีกใบ”
แนนนี่รีบเปิดดู “ฮึ้ย เขียนเหมือนกันเลย”
ภวัตอมยิ้ม
“อย่างนี้พี่ภวัตยืมมือแนนนี่ปฏิเสธแทนนี่”
ภวัตอมยิ้ม ไม่ตอบ
แนนนี่หน้าแตกที่เสียรู้ แต่ไม่ได้โกรธที่ถูกยืมมือ ออกจะสบายใจขึ้นนิดๆที่ภวัตไม่ต้องเป็นพ่อสื่อ
แนนนี่เต้นเร่าๆ ทั้งขำทั้งยัวะที่เสียรู้แถมโดนว่า
“ว่าแต่เขาขี้โกงตัวเองก็ขี้โกงเหมือนกัน เจ้าเล่ห์สุดๆ ทำเราหน้าแตก ฮึ่ เดี๋ยวก่อน..รอก่อน..งานนี้มีเอาคืน ทั้งนายปีเตอร์ทั้งพ่อสื่อตัวดีเลย”
พอทาฮิร่ารู้เรื่องจากปากบาบาร่าก็รู้สึกวิตก ในขณะที่บาบาร่าหงุดหงิดกับท่าทีอีกฝ่าย
“เธอไปหลุดปากเรื่องเมืองเวทมนตร์กับดารกาได้ยังไง”
“ก็มันหลุดไปแล้ว เธอจะว่าฉันไปอีกสามพันปีก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ แล้วคุณหนูน้องดาก็เป็นคนดี ไว้ใจได้ ไม่พูดเรื่องนี้กับใครหรอก”
ทาฮิร่ารู้สึกสมเพชบาบาร่า ตัดสินใจพูดขึ้น “ฉันกำลังสงสัยว่าดารกาเป็นอสูร”
บาบาร่าผุดลุกขึ้นยืนทันทีทันใด พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง อย่างไม่มีวันเชื่อคำพูดทาฮิร่า
“ไม่จริง! น้องดาไม่ใช่อสูรแน่นอน เขาไม่มีกลิ่นอสูร ยายแนนนี่หลานเธอนั่นละเป็นอสูร อย่าป้ายความผิดให้น้องดาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากหลานตัวเองเลยย่ะ ไม่สำเร็จหรอก ความจริงคือความจริง”
ทาฮิร่าอึ้งไปชั่วขณะ เพราะตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่าแนนนี่ไม่ใช่อสูร
“ใครจะเป็นอสูรไม่เป็นอสูรไว้รอพิสูจน์กัน แต่เธอไม่ควรพูดเรื่องเมืองเวทมนต์กับใครอีกต่อไปแล้ว จะนำอันตรายสู่เมืองของเรา”
คราวนี้บาบาร่าพูดไม่ออกไปเหมือนกัน แต่รู้สึกหงุดหงิดจึงประชดแบบพาลพะโล
“ฉันผิดอีกจนได้สินะ”
ทาฮิร่ารู้สึกปลง ที่บาบาร่า ช่างไม่สำนึก “เฮ้อ”
บาบาร่ายิ่งหงุดหงิด “อย่ามาถอนหายใจใส่ฉันนะ”
ทาฮิร่าไม่อยากทะเลาะด้วยแล้ว ทำท่าจะหายตัวไป บาบาร่าเรียกไว้
“เดี๋ยว”
ทาฮิร่ารอฟัง
“ก่อนจะถึงวันอสูรน้อยอายุครบ 22 ปี เธอจะว่าไงกับอสูรตัวพ่อ” บาบาร่าถามความเห็น
“ฉันยังคิดไม่ออก เธอลองช่วยคิดบ้างสิ”
ทาฮิร่าหายตัวไป
บาบาร่ายัวะกึ่งจิตตกๆ “รู้ว่าฉันไม่ชอบใช้สมอง ใช้แล้วปวดหัว ยังจะแกล้งลอยแพฉันอีกยัยทาฮิร่า”
ไทเกอร์โผล่มาเห็นด้วยกับทาฮิร่า “ก็ใช้ซะบ้างสินาย ไม่ใช้สมองเดี๋ยวเป็นอัลไซเม่อร์นะ”
“หัวฉันไปหนักหัวแกหรือไง ฮะ จุ้นตลอด”
ไทเกอร์บ่นกับตัวเอง “ไทเกอร์หวังดียังโดนอีก”
แนนนี่นัดปีเตอร์ที่ร้านน้ำแข็งไส พอเจอหน้าก็เปิดฉากต่อว่าปีเตอร์ฉอดๆ ทันที
“ปีเตอร์หมิ่นน้ำใจแนนนี่มากนะ เห็นกันอยู่เกือบจะวันละ 24 ชั่วโมง มีอะไรแทนที่จะพูดกับแนนนี่เอง กลับไปวานคนอื่นพูดแทน”
“คนอื่นที่ไหน ก็พี่ภวัต แนนนี่ก็รู้จักดีน่ะ” ปีเตอร์พูดเสียงอ่อยๆ
“อย่าแถ”
ปีเตอร์รีบอ้อน “ก็ปีเตอร์พูดเองแล้วแนนนี่ไม่ยอมรับข้อเสนอสักทีนี่ ปีเตอร์ก็ต้องหาตัวช่วยสิ”
“ต่อจากนี้ไปหยุดขอความรักแนนนี่ หยุดขอแนนนี่แต่งงาน ไม่งั้นแนนนี่จะไล่ออกจากความเป็นเพื่อน เข้าใจ๋ ?” แนนนี่เสียงซีเรียส
ปีเตอร์รีบเปลี่ยนเรื่อง จะไม่ยอมตอบรับ “เออ วันที่เราสองคนกินขนมของพี่ หมอภวัตแล้วเกือบตายน่ะ เราหายได้ยังไงล่ะแนนนี่”
แนนนี่ดันเผลอออกนอกเรื่องด้วย “กินยาของยาย”
“ปีเตอร์ก็กินเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ฮื่อม์ ปีเตอร์ก็กิน ยายบริการดิลิเวอรี่ไปกรอกปากปีเตอร์ถึงโรงพยาบาลเลย”
“ยาไร”
“ยาที่ปรุงจากหนอนกระสือ 10 ตัว” แนนนี่บอกอย่างภาคภูมิใจ
ปีเตอร์สำลักพรวด วิ่งเข้าห้องน้ำไปอ้วก
แนนนี่ตามจิก “นี่ ไม่ต้องมาทำเนียน ตอบมาว่าเข้าใจที่แนนนี่พูดมั้ย”
“คนใจร้าย ให้กินหนอนแล้วยังขู่เข็ญทำร้ายจิตใจกันอีก” ปีเตอร์ครวญ
“ตอบมา” แนนนี่คาดคั้น
ปีเตอร์ตอบแบบงอนๆ “เข้าใจก็ได้ แล้วจะขอแต่งงานกับแนนนี่ได้อีกเมื่อไหร่”
“แน่ะ พูดไม่รู้ฟัง เดี๋ยวเอาหนอนกระสือให้กินอีกหรอก หรือไม่ก็...ตาย”
แนนนี่ไล่ตี ปีเตอร์วิ่งหนี
เวลาเดียวกัน บาบาร่ากำลังเสกเปลี่ยนสีดอกไม้ในแจกันเป็นสีต่างๆ ไปมา แต่ยังไม่ถูกใจสักที
“เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดอกไม้เครียดหมด” ไทเกอร์ว่า
“ใช่เรื่องของแกมั้ย เครียดก็เรื่องของดอกไม้”
จังหวะนั้น ดารกายิ้มสดใสเข้ามา ไทเกอร์รีบหลบไป บาบาร่าชะงักไปหน่อยหันมายิ้มทักทาย
“คุณหนูน้องดา เชิญนั่งคะ”
“น้องดามาเรื่องเมืองวิเศษที่วันก่อนเรากำลังจะไปกันอะค่ะ”
บาบาร่าเริ่มยุกยิกนิดๆ คิดหาทางบ่ายเบี่ยง
“วันนี้น้องดาว่าง ป้าบานเย็นพาน้องดาไปนะคะ”
“เอ่อ...คือ...เอ่อ..” บาบาร่าอึกอัก
ดารกามองหน้าบาบาร่าอย่างจริงใจแน่วแน่ แววตามีริ้วรอยบังคับนิดๆ แต่ยังปั้นหน้ายิ้มสวย
“เรามีเวลาอีกนานกว่างานลุงจักรกับพี่ภวัตพี่เกล้าจะเลิกงาน หรือถ้ากลับไม่ทัน น้องดาจะพูดให้เองค่ะ”
“เอ่อ...คือ...ป้าอยากจะสารภาพว่า...จริงๆแล้ว...ป้าเองก็ไม่เคยไปค่ะ แฮ่ะๆ”
วูบหนึ่งดารการู้สึกผิดหวัง ทำทีเป็นโกรธหน้าบึ้ง “อ้าว”
“ป้าฟังผู้เฒ่าผู้แก่เล่าแค่นั้นเอง แฮ่ะๆ มันคงเป็นนิทานอย่างที่คุณหนูน้องดาว่าจริงแหละค่ะ แฮ่ะๆ แฮ่ะๆ ป้าขอโทษด้วยนะคะที่โกหก แหะๆ แหะๆ” บาบาร่ากลบเกลื่อน กลัวโดนจับได้ “ป้าขอตัวไปเอาเสื้อผ้าคุณๆ ที่ร้านซัก
แห้งก่อนะคะ”
บาบาร่ารีบเดินไปทันที ดารกาผิดหวังสุดๆ
“ไม่อยากจะเชื่อ ฉันว่าครั้งนี้ยัยป้าบานเย็นโกหกมากกว่า อยากรู้นักว่าใครมายุ”
พอเห็นดารกาเดินกลับไป บาบาร่าค่อยๆ โผล่หน้ามาจากที่ซ่อน แอบมอง สีหน้ายังกังวล
“แล้วจะมาอีกมั้ยเนี่ย”
พอใช้บาบาร่าไม่สำเร็จ ดารกากลับมาที่ห้องพยายามเพ่งสมาธิ นึกที่ตั้งเมืองเวทมนตร์ พร้อมกับนึกถึงตอนที่ที่ตัวเองจดบันทึกพิกัดที่ตั้ง แต่กลับเห็นแบบไม่ค่อยปะติดปะต่อ
ดารกาเดินงุ่นง่านมาถึงบริเวณหน้าต่าง หงุดหงิดไม่หายที่คิดไม่ออก
“โอ๊ย” ดารกาโมโหตัวเอง “นึกที่ตั้งเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”
ดารกากอดอกพิงกรอบหน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปภายนอก ไม่ได้ตั้งใจจะมองหา
จู่ๆ ก็เกิดฟ้าแลบอยู่ที่ขอบฟ้าไกลๆ เห็นคล้ายอาคารแปลกตาอยู่ในแสงฟ้านั้น
ดารกาชะงักกึก ตั้งใจเพ่งดู “เมืองเวทมนตร์หรือเปล่า”
ดารกาเขม้นมองที่ขอบฟ้าตาแทบไม่กระพริบ ทันใดนั้นเกิดฟ้าแลบอีกครั้ง คราวนี้ภาพเมืองเวทมนต์ปรากฏค่อนข้างชัดเจน ดารกามั่นใจ และดีใจสุดๆ “เมืองเวทมนต์จริงๆ ด้วย” ดารกาผุดยิ้มอย่างอาฆาตมาดร้ายออกมา
“แกมาเมืองมนุษย์มาตามล่าฉันใช่มั้ยนังแม่มด ฉันก็จะตามล่าแกถึงถิ่นเลย”
ฟ้าแลบอีกครั้ง ดารกาหันขวับมองเขม็ง ภาพเมืองเวทมนตร์ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งในกรอบสายตาของดารกา
อ่านต่อหน้า 2
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 22(ต่อ1)
พริบตาเดียว ดารกาอยู่ชุดทะมัดทะแมง เป็นชุดแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากชุดพ่อมดแม่มดชาวเมืองเวทย์ วิ่งลงบันไดมา เจอผาดกับพรในห้องรับแขก ดารการีบหันไปบอก
“น้องดาไปค้างที่หอพักมหา’ลัยสัก 3-4 วันนะคะ ต้องติววิชาที่จะสอบกับเพื่อนค่ะ” จากนั้นก็วิ่งออกไปเลย“ค่ะ” ผาดกับพรตอบรับแทบไม่ทัน
“ไปติวทำไมต้องรีบขนาดนี้ด้วย” พรบ่น
“ไม่รู้สักเรื่องน่าจะดีสำหรับแกนะพร”
“ดียังไงพี่”
“สมองจะได้เหลือที่ว่างไว้คิดอะไรที่มีประโยชน์น่ะสิ”
ผาดด่าจบก็เดินออกไป พรค้อนไล่ตามหลังผาด
เช้ามืดวันต่อมา ดารกาอยู่ในป่า มุ่งหน้าไปทางเมืองเวทมนตร์ที่เห็นในแสงฟ้านั้น ดารกาเดินอย่างไม่รู้เหนื่อย แม้เวลาจะผ่านไปแล้วครึ่งค่อนวัน ด้วยพลังแห่งอสูร
ดารกาเดินหลุดจากป่าออกมายังลานกว้าง สวยงามเหนือธรรมชาติ ดารกาสังหรณ์ใจว่าจะเป็นที่ตั้งเมืองเวทมนตร์ แต่มองอย่างไรก็ไม่เห็นเมือง
“ต้องที่นี่แน่ๆ ที่ดูแปลกๆ”
ดารกามั่นใจ เดินต่อไปอีกหน่อย เพราะนึกว่าเป็นลานโล่งตลอดแนว
สักครู่ก็ชนเข้ากับอะไรแข็งๆ ดารกาไม่รู้ว่าอาณาเขตแห่งนครเวทมตร์ มีครอบแก้วมนตรา หรือกำแพงมนตรา ป้องกันการบุกรุก ดารกากระเด็นออกมา ล้มก้นกระแทก
“อุ๊ย” ดารกาลุกขึ้น ค่อยๆ เดินไปที่จุดเดิมอย่างระมัดระวังไม่ให้ชนอีก
“ต้องใช่แน่ๆ แต่มีอะไรกั้นเนี่ย ทำไมมองไม่เห็นเลย”
ดรกาาแตะเจอครอบแก้วมนตราที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ จึงเดินโดยใช้มือทั้งสองไล่ครอบแก้วที่มองไม่เห็นไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะพบประตูทางเข้า
หากมองจากภายในอาณาบริเวณเมืองเวทมนตร์ จะเห็นดารกากำลังแตะกำแพงมนตราไปเรื่อย สักครูแม่มดผ่านมา เห็นเพ่งมองอย่างตกใจ เพราะดารกาแต่งกายแตกต่างจากชาวเมืองเวทย์ และเข้าเมืองเวทมนตร์ไม่ได้ยิ่งแสดงว่าไม่ใช่พวกแม่มด
“บรรพชนแม่มดช่วยด้วย ผู้แปลกหน้าล้ำถิ่น” แม่มดนางหนึ่งร้องบอกเพื่อน
“ไปรายงานท่านผู้นำเร็ว”
สองแม่มดวิ่งกลับไป ดารกายังคงหาทางเข้า
ดารกาสัมผัสยังคงสัมผัสไปเรื่อย เพื่อหาทางเข้าไปตามแนวครอบแก้ว สักครู่ชะงักกึกเพราะได้ยินอะไรแว่วๆ มาที่ยังจับคำพูดได้ไม่ชัด ดารกานิ่งฟัง
เวลาเดียวกันปัทมนกลับจากวัดมาถึงบ้าน แนนนี่ออกไปรับ แม่ลูกกอดหอมแก้มกันและกันด้วยความคิดถึงมาก ผาดกับพรช่วยถือกระเป๋าไปเก็บ
“แนนนี่คิดถึงคุณแม่ที่สุดในโลก”
“แม่ก็คิดถึงแนนนี่ที่สุดในโลกจ้ะ” ปัทมนไม่เห็นดารกาจึงถามหา “พี่ดาล่ะลูก”
แนนนี่หน้างอขึ้นมาทันควัน
ส่วนดารกายังอยู่ที่ลานหน้าเมืองเวทมนตร์ ได้ยินทุกคำพูดของเหตุการณ์ที่บ้าน
สีหน้าดารกาไม่เชิงดีใจ หรือผิดหวัง แต่รู้ว่าต้องรีบกลับ “คุณแม่กลับมาแล้ว”
ปัทมนขำกับท่าทีของแนนนี่
“เด็กขี้อิจฉาตัวแม่เลย” ธานีสัพยอก
ปีเตอร์ยกมือสนับสนุน “เห็นด้วย”
แนนชี้หน้าปีเตอร์คาดโทษ ปีเตอร์ทำทีเป็นจ๋อย แต่จะแสดงออกต่อธานีด้วยความเคารพ
“เดี๋ยวเถอะปีเตอร์ พี่ธานีก็เข้าข้างแต่พี่ดาทั้งปี”
“เข้าข้างที่ไหน พี่มีน้องสาวสองคน พี่รักเท่ากันทั้งสองคนแหละ” ธานีบอก
แนนนี่กอดอ้อนแม่
“แนนนี่อย่างอแงนักสิลูก แม่รักลูกทุกคนเท่ากันจ้ะ ถ้าวันนี้แม่ไม่เจอแนนนี่แม่ก็ถามถึงแนนนี่เหมือนกัน”
ดารกาดผล่เข้ามา หน้าตาดีใจสุดๆ วิ่งมากอดปัทมน
“คุณแม่กลับมาแล้ว
ดารกากับปัทมนสวมกอดกันอย่างรักใคร่
“คิดถึงคุณแม่จังเลยค่ะ”
“แม่ก็คิดถึงลูกดาจ้ะ”
แนนนี่ปรายตามองดารกา อย่างหมั่นไส้ แนนนี่พูดเบาๆ “ชิ ยัยจอมปลอม”
แนนนี่ไปลากมือปีเตอร์ออกไปด้วยกัน
“ไปยกของว่างมาให้คุณแม่กันปีเตอร์ อยู่แถวๆนี้คันปาก เดี๋ยวเผลอกัดใครเข้า”
“ได้เลยจ้ะ” ปีเตอร์เห่าเล่นๆ น่ารักๆ เอาใจแนนนี่ “บ๊อกๆ”
แนนนี่กับปีเตอร์เดินไป คนอื่นๆ มองตามขำๆ เว้นแต่ดารกาที่แอบเขม้นมองแนนนี่
“เดี๋ยวน้องดาอยู่คุยกับคุณแม่ให้หายคิดถึงแล้ว น้องดาต้องกลับไปหอนะคะ ไปติวต่อ”
“จ้ะลูก ธานีไปส่งน้องนะจ๊ะ”
“ครับ”
ค่ำคืนนั้น ดารกายืนอยู่ริมหน้าต่าง มองสายตาไปบนท้องฟ้าอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด ทั่วท้องฟ้าดารดาษไปด้วยดาว ดารกากัดปากแน่น นึกถึงวันที่เมืองเวทมนตร์ปรากฏขึ้น
“เกือบจะรู้พิกัดนครเวทมนตร์อยู่แล้วทีเดียว”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น...ดารกาหันมามองครู่หนึ่ง จึงเดินไปเปิดประตู
“อ้าว! ปอย ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“ยังจ้ะ ปอยมาขอยืม ชีทพาโถฯหน่อย”
“ได้ซิ”
ดารกาเดินนำปอยมาที่โต๊ะหนังสือ เปิดแฟ้มที่จัดไว้อย่างเรียบร้อย
“ผมน้องดาสวยจังเลย” ปอยจับผมดาลูบเบาๆ อย่างชื่นชม
ใบหน้าดารกายามนี้ นัยน์ตาประกายวาวโรจน์อย่างไม่พอใจ ดารกาเบือนหน้ากลับมา ปอยตกใจ จนมือเกี่ยวเอาที่คาดผมเลื่อนหลุดออกมาด้วย เขาบนหัวดารกาโผล่ทิ่มแหลมขึ้นมาเห็นชัดเจน
ปอยตกใจมาก “น้องดา น้องดามีเขา”
ใบหน้าแสนหวานของดารกาเริ่มเปลี่ยนเป็นถมึงทึงดุร้าย น่ากลัวมากๆ ดวงตาเป็นประกายเขียวเรือง
ปอยผงะถอยหลัง “นะ...น้อง....น้องดา...ไม่ใช่คน”
ดารกาก้าวพรวดเดียวเข้ามาถึงปอย คว้าคอปอยด้วยมือข้างเดียวแล้วยกขึ้น ปอยตาเหลือกลาน จะร้องก็ร้องไม่ออก เท้าห้อยต่องแต่ง ใบหน้าดารกากลายเป็นใบหน้าอสูรร้าย สักครู่หนึ่งปอยก็ขาดใจตาย
ร่างของปอยถูกอสูรดารกาเหวี่ยงลงมาจากหอพักชั้น 4 ลอยละลิ่วลงมากระแทกพื้นถนนเบื้องล่างตายสนิท
ดารกาบังตัวยืนมองลงไป เห็นผู้คนต่างวิ่งเข้าไปมุงดู ดารกามองภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าเฉยเมยและเย็นชา
เช้าอันแสนสดใส สมาชิกของสองบ้านบวกกับอิงอร รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากข่าวว่าปอยเครียดหนักจนกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ในห้องรับแขกบ้านปัทมน
“น้องดาแกขวัญเสียมากเลยค่ะ ปัทเลยให้กลับมาอยู่บ้านดีกว่า ถ้าไม่จำเป็นจริง ก็ไม่ต้องค้างที่หอ” ปัทมนเอ่ยขึ้น
“ควรจะเปลี่ยนหอให้ใหม่ด้วยนะครับ” จักรวาลแนะนำอย่างเป็นห่วง
“ค่ะ” ปัทมนเห็นด้วย
“ขนาดคุณอิงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ยังสยองเลยค่ะ เห็นเขาว่าเด็กคนนั้นเรียนหนักจนเครียดจัดใช่มั้ยคะ”
“ก็น่าจะอย่างนั้นแหล่ะค่ะ” ปัทมนว่า
“ผมขออนุญาตขึ้นไปดูน้องดาหน่อยนะครับ” ภวัตขออนุญาตปัทมน
“เชิญจ้ะ”
“ไป ...ธานี ...ยัยเกล้า”
ธานีเดินคุยกับภวัตขึ้นไป ขณะที่รัดเกล้าเงียบ สีหน้ายังดูสยองๆ
ทั้ง 3 คนมาถึงประตูหน้าห้องดารกา ธานีเคาะประตูเรียก
“น้องดา ... ภวัตกับเกล้ามาเยี่ยมแน่ะ”
“เชิญค่ะ” เสียงดารกาดังมาจากด้านใน
ธานีเปิดประตู เดินนำ 2 คนเข้าไป
ธานีปิดประตูลงเบาๆ ขณะที่ภวัตและรัดเกล้าเดินมาที่เตียงซึ่งดานั่งซึมอยู่
ภวัตทรุดตัวลงนั่งข้างๆ “น้องดา”
ดารกาซึ่งนั่งนิ่ง...อาการเหม่อลอย ค่อยๆ เบือนหน้ามาหาภวัต ใบหน้าสวยนั้นมีหยดน้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมา
“พี่ภวัต”
ภวัตโอบไหล่ดารกา ดึงรั้งเข้ามา ดารการ้องไห้สะอึกสะอื้น
รัดเกล้าลูบหลังดาอย่างเวทนา และสงสารจับใจ “...โถ...น้องดา”
“มันน่ากลัวเหลือเกินค่ะ!...น้องดาคงไม่มีวันลืมตลอดชีวิต...ทำไม...ทำไมปอยเขาต้องทำอย่างนั้น”
ดารกาสะอึกสะอื้นอีก
“พี่รู้ว่ายาก...แต่น้องดาต้องพยายามลืมมัน...ชีวิตต้องดำเนินต่อไป” รัดเกล้าปลอบ
ดารกาส่ายหน้าอยู่กับอกภวัต ธานีเดินมานั่งข้างๆ รัดเกล้า
“พูดจาสมเป็นน้องสาวจิตแพทย์!”
รัดเกล้าหันมาค้อนควับ
“คุณอาปัทบอกว่า น้องดายังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เมือคืน”
“น้องดาทานไม่ลงค่ะ!”
“ยังไงก็ต้องพยายาม...ไป...พี่จะทานเป็นเพื่อน”
ดารกายังคงนั่งนิ่ง
ภวัตโอบเอวดารกาให้ลุกขึ้น แล้วพาเดินออกไป รัดเกล้ากอดเอวดารกาอีกข้างไว้ โดยมีธานีเดินตามมา
โป่งฟังจากพร และกำลังเล่าเรื่องดารกาแสนดีขวัญเสียให้บาบาร่าฟัง พอได้ฟังบาบาร่าก็มีสีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเวทนาสงสารดารกา
“พรบอกว่าคุณน้องดาน่ะ ช็อกไปเลย...เป็นโป่ง..โป่งก็ช็อก!”
“พวกมนุษย์อ่อนไหวเกินไป! ไม่เหมือนแม่มด” บาบาร่าบอก
โป่งสะดุ้งโหยง “แม่มด”
“เออ!..” บาบาร่าทอดระยะเว้นไปนิด “โดยเฉพาะน้องดาคนดี..” เว้นวรรคอีกนิดแล้วเบิกตากว้างนึกขึ้นได้ “...ฉันรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร!”
พริบตาต่อมาสองแม่มดเรืองเดชแห่งเมืองเวทย์ ก็เปิดฉากทะเลาะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ไม่ใช่แนนนี่!” ทาฮิร่า อาจารย์ที่ควบตำแหน่งยายของแนนนี่โต้ลั่น
“ใช่ แนนนี่!” บาบาร่า อาจารย์ของดารกาเถียงลั่น
“ถ้าใช่! ฉันจะกินหัวของฉันเลย!” ทาฮิร่าท้า
“เออ! แล้วฉันจะคอยดู!”
“ไอ้ความที่ไม่รู้ว่าเป็นใครนี่แหละ ทำให้เราต้องไม่ประมาท!” ทาฮิร่าเตือนสติ
“ขอค้าน! เธอประมาทเพราะเธอไม่เชื่อว่าจะเป็นแนนนี่!” บาบาร่าโต้
“และเธอก็ประมาทเพราะเธอไม่คิดว่าจะเป็นดารกา”
บาบาร่าหัวเราะร่วน “เด็กสาวที่บอบบาง อ่อนหวาน และอ่อนไหวอย่างนั้นไม่มีทางที่จะเป็นอสูรได้!...” เปลี่ยนเป็นเสียงเข้ม “แต่เด็กร้าย เด็กเจ้าอารมณ์ ...เด็กพาลเกเร อย่างแนนนี่นั่นเข้าทางทุกข้อ”
ทาฮิร่าฉุน “เราเห็นจะคุยกันไม่รอด! ขอเชิญกลับไปได้”
“เราต้องคุย เพราะตอนนี้ แนนนี่อายุ 21 แล้ว”
“ดารกาก็อายุ 21 เหมือนกัน!”
“ให้ตายซิ พอฉันพูดเรื่องแนนนี่ ทำไมเธอต้องพูดเรื่องดารกา!”
“ฉันจะเลิกพูดถึงดารกา ก็ต่อเมื่อเธอเลิกพูดถึงแนนนี่”
“โอ.เค! ที่ฉันยอมอ่อนข้อให้ก็เพราะมันเหลืออีกแค่ปีเดียว... น. ก็จะกลายเป็นอสูรเต็มตัว” พูดชื่อเต็มไม่ได้บาบาร่าใช้อักษรย่อซะงั้น
“ด. ก็จะกลายเป็นอสูรเต็มตัวเช่นกัน” ทาฮิร่าก็เลยต้องใช้อักษรย่อเช่นกัน
บาบาร่าสะบัดหน้าไปทาง ทาฮิร่าสะบัดหน้าไปอีกทาง ต่างคนต่างเชิดลืมอายุไปครู่หนึ่ง แล้วหันมา
“ก็ได้!” ทั้งคู่เอ่ยขึ้นพร้อมกัน ต่างคนต่างชะงัก
“เธอก่อน” ทาฮิร่าว่า
“เธอแก่กว่าฉัน 200 ปี ฉันให้เกียรติเธอก่อน! เห็นแก่อาวุโส” บาบาร่าเกี่ยงงอน
ทาฮิร่าฉุนที่บาบาร่ายกอายุมาอ้าง “ดูเหมือนเธอจะยอมแพ้ฉันอยู่เรื่องเดียวคืออายุ”
“ฮื้อ! แน่นอน”
ทาฮิร่าสะบัดหน้า “เราต้องหาคัมภีร์พิฆาตอสูรให้พบ”
“ยังไง?” บาบาร่าสงสัย
“ฉันพอจะเห็นทางอยู่บ้างถึงแม้จะริบหรี่เต็มทน!” ทาฮิร่าหนักใจมากๆ
ในขณะที่มาลีกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในบ้านท้ายซอย ก็มีเสียงเรียกที่ประตูหน้าบ้าน
“ก๊อก! ก๊อก!” เสียงนั้นพูดขึ้นเองโดยไม่ได้เคาะประตู
“ใครมา!”
มาลีวางจานข้าวลง แล้วลุกไปเปิดประตู เห็นทาฮิร่าในชุดสวย หรู ไฮโซยืนอยู่ มาลีจดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“...มาบ้านผิดหรือเปล่าคุณนาย”
“ฉันมาหาเธอ...แม่มาลี!”
ทาฮิร่าร่ายคาถา ร่างทั้ง สองหายวับไปจากตรงนั้น
ทั้งสอง มาปรากฏขึ้น ณ สถานที่ว่างเปล่า ลึกลับแห่งหนึ่งมาลีกวาดตามองไปโดยรอบ
“ที่ไหนเนี่ย! นี่คุณนายเล่นกลหรือเปล่า!” มาลีถาม
“ฉันมีอะไรจะถามเธอเล็กน้อย!” ทาฮิร่าพูดเสียงอ่อนโยน
“ฉันไม่ตอบ ! พาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้! ไม่งั้น แม่ด่าไม่ซ้ำคำเลย!” มาลีฉุนจัด
ทาฮร่าชักจะฉุนบ้าง “หน็อย.. แม่คนนี้ ..ชาตินี้มีเวรมีกรรมเป็นเมียอสูรยังไม่รู้สำนึก!”
“เมียอสูร!” มาลีตกใจ
ทาฮิร่าร่ายคาถาสะกดมาลี จ้องมองตาเป็นประกายสีเหลืองวาบขึ้น แล้วแสงนั้นพุ่งเข้าสู่นัยน์ตา มาลีตกอยู่ใต้มนต์สะกดทันที
“ฟังให้ดี! เจ้าเคยเห็นสามีของเจ้าซ่อนหนังสือแปลกๆ ไว้ตรงไหนในบ้านหรือเปล่า!”
“ไม่เคย!”
“งั้นจงฟังข้า!..เจ้าจะต้องพยายามหาหนังสือที่ชื่อว่า “คัมภีร์พิฆาตอสูร” ซึ่งข้าเชื่อว่าสามีเจ้าคงไม่เอาไว้ไกลตัวแน่!”
มาลีทวนคำช้าๆ ด้วยท่าทีเบลอๆ “พิฆาตอสูร….พิฆาตอสูร”
แล้วทุกอย่างในที่แห่งนั้น ทั้งทาฮิร่าและมาลีเลือนหายไป
เวลาต่อมามาลีนั่งพิงประตูบ้านหลับอยู่ ปากมาลียังบ่นพึมพำ “คัมภีร์พิฆาตอสูร... พิฆาตอสูร...”
สดับขี้เมาเดินเข้ามา แล้วเงี่ยหูฟัง ทว่ามาลีพึมพำเบามากและเสียงค่อยหายไปกับอาการหลับลึกเพราะถูกทาฮิร่าสะกดจิต
ในที่สุดสดับก็ไม่ได้ยินอะไร “พูดอะไรของมัน” สดับตะโกนเรียกเสียงดังลั่น “นังมาลี”
มาลียังหลับอยู่ แต่อาการส่อเค้าว่าเริ่มจะได้ยิน
เสียงตะโกนโหวกเหวกของสดับเรียกขึ้นดังกว่าเดิม “นังมาลี!”
มาลีสะดุ้งพรวด “จ๋า”
“ข้าวปลาทำเสร็จรึยัง มานั่งหลับเนี่ย หิวแล้วโว้ย นังนี่...อ้อนหน้าแข้งตลอด”
มาลีเหลียวไปรอบๆ งงว่ามาหลับอยู่ได้อย่างไร จำอะไรอื่นไม่ได้นอกจากต้องหาคัมภีร์
“ฉันมาหลับอยู่นี่ได้ไง”
“จะไปรู้แกเรอะ รีบไปหาอะไรมาให้ฉันกินเร็วๆ เดี๋ยวโมโหหิวแล้วเหนื่อยฉันหวดแข้งใส่แกอีก” สดับขี้เมาตวาดใส่
“จ้ะๆ” มาลีรีบลนลานออกไป
มาลีจัดอาหารไปเหม่อ นึกไป พร้อมกับพึมพำออกมา
“คัมภีร์พิฆาตอสูร...อย่าให้ใครรู้...ดารกากำลังตกอยู่ในอันตราย...” มาลีรู้สึกตกใจมาก “ลูก...ลูกดารกากำลังตกอยู่ในอันตราย!”
มาลีนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“นี่มาเล่านิทานอะไรกัน” มาลีถามทาฮิร่าขึ้นน้ำเสียงไม่พอใจ
“นี่เรื่องจริง เธอต้องหาคัมภีร์นั่นให้พบ ดารกาลูกสาวเธอตกอยู่ในอันตราย อยู่ในเงื้อมมืออสูร” ทาฮิร่าพูดอย่างจริงจัง
มาลีตกใจสุดๆ “ห๊ะ”
มาลีเอาแต่นั่งร้องไห้ แทบไม่มีแรงทำอะไร
“ดารกาลูกแม่...หนูไปเกี่ยวอะไรกับอสูรมัน” มาลีฮึดสู้ขึ้นมา “แม่ไม่ยอมให้อสูรทำอะไรลูกของแม่ แม่จะหาคัมภีร์นั่นให้เจอ!”
ใบหน้ามาลีเวลานี้ ดูเด็ดเดี่ยวทั้งที่ยังมีคราบน้ำตาเปื้อนใบหน้า
ค่ำวันนั้นดารกาอยู่ในห้อง นั่งหน้านิ่งแต่แววตาร้ายกาจยิ่งนัก เพราะหลังจากได้ปลิดชีวิตคนไปแล้ว ก็เหมือนเติมเชื้อความโหดเหี้ยมในใจ
ดารกาหงุดหงิดงุ่นง่าน คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี
“จะไปเมืองเวทมนตร์อีกก็ไปไม่ได้ งานชะงักหมดเพราะไปฆ่ายัยปอยแท้ๆ เลย มันน่าโมโหจริงๆ”
ความโกรธทำให้อารมณ์ดารกาพุ่งพล่าน หน้าตาบิดเบี้ยวเป็นอสูร มีเสียงฟ้าร้องฟ้าคะนอง จนสักครู่หนึ่งเมื่อควบคุมอารมณ์ได้ ใบหน้าดารกาจึงกลับคืนตามเดิม ดารการู้สึกเป็นกังวล
“นี่ถ้าเราอายุครบ 22 สภาพเราจะเป็นไงนี่”
สดับอยู่ในห้องพิธีกรรม กำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาเพ่งจิตตามหาแม่มด
ภาพบิดเบี้ยวแว้บไปแว้บมา สดับยังจับคลื่นได้ไม่ดีนัก เห็นภาพบาบาร่าในคราบบานเย็นชัดขึ้นมาก ส่วนทาฮิร่ายังไม่เห็นหน้าชัด อสูรสดับเห็นเป็นแค่ภาพเงาสลัว เพราะยังไม่เคยเจอกัน และอสูรสดับยังไม่รู้ที่อยู่ของทาฮิร่าและบาบาร่า อสูรสดับลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิด
“มันต้องเป็นแม่มดมีระดับไม่น้อย มันถึงปิดบังที่อยู่ของมันจากจิตของข้าได้”
อสูรสดับหลับตาลงอีก จะส่งภาพแม่มดไปให้ดารกา
เวลาเดียวกันแนนนี่กำลังคุยเล่นหัวอยู่กับชิกเก้นในตะเกียงแก้ว
“ชิกเก้นไม่คิดจะมีแฟนกับเขาบ้าเหรอ”
“โอ๊ย...โดน...โดน คำถามโดนกลางใจเลย ชิกเก้นเป็นคน..เอ๊ย..เป็นแมวเนื้อหอมมากในเมืองเวทมนต์ ระดับคาสโนชิกเลยน้า....” แขวะทาฮิร่าทุกทีที่มีโอกาส “แต่เพราะนางนั่นละ เป็นโสดสนิทมิตรส่ายหน้า ชิกเก้นเลยโดนบังคับห้ามมีคู่”
ขาดคำ ทาฮิร่าหายตัวเข้ามา หน้าตาเครียดจัด กังวลเรื่องอสูร ไม่ใช่เรื่องชิกเก้น
“อุ๋ย พูดถึงทีไรมาทู้กกกกกกก....ที เวรก๊ำ...เวรกรรม” ชิกเก้นบ่นอุบ
“มุสาหน้าไม่อาย แกแหละโดนหญิงส่ายหน้า”
แนนหัวเราะชอบใจ ตะเกียงแก้วพลอยหัวเราะด้วย
ชิกเก้นอายมากมาย เอาสองขาปิดหน้า
“ไงล่ะคาสโนชิก” แนนนี่แซว
“อาย อ๊าย อาย” ชิกเก้นอับอายขายขี้หน้า
“มานี่เจ้าชิกเก้น มาพูดเรื่องสำคัญ”
แนนนี่มาสมทบ หน้าตาจริงจังไม่เหลือแววขี้เล่น
“เรื่องอะไรจ๊ะยาย ยายเครียดจัง”
“อสูรกำลังหาที่อยู่ของยายกับอาจารย์บาบาร่าของหลาน แล้วต่อไปอาจลามมาถึงแนนนี่ด้วย” ทาฮิร่าบอกเสียงร้อนรน
“อุ๊ย อย่างนี้ตะเกียงแก้วก็ต้องโดนด้วย” ตะเกียงแก้วตกใจ
“เราต้องย้ายตะเกียงแก้ว” ทาฮิร่าปรารภ
“รับแซ่บ เป็นหน้าที่ชิกเก้นอยู่แล้ว” ชิกเก้นว่า
“แนนนี่ออกไปจากตะเกียงกับยายก่อน”
ทาฮิร่า แนนนี่ และชิกเก้น หายตัวออกไป
อสูรในร่างสดับยังหลับตาเพ่งจิตส่งภาพแม่มดไปให้ดารกา
“ดารกา” อสูรสดับส่งเสียงเรียกในใจ
ดารกากำลังจดบันทึกเกี่ยวกับการเรียน ได้ยินเสียงอสูรสดับเรียกดังแว่วมา
“ดารกา”
ดารการีบวางปากกา
“จงหาตัวนางแม่มดคนนี้ให้พ่อ”
ดารกาจะตรงไปดูภาพแม่มดที่กระจก แต่แล้วก็เหมือนได้ยินเสียงอะไรหล่นหน้าห้อง
“ตะเกียงแก้ว อย่าดิ้นมากสิ หล่นเลยเห็นมั้ย” เสียงชิกเก้นนั่นเอง
ดารกาตื่นเต้น และดีใจมาก “ตะเกียงแก้ว”
ดารกาวิ่งไปที่ประตู รีบออกไป โดยไม่ได้ดูที่กระจก ภาพที่อสูรสดับส่งมา ค่อยๆ ชัดขึ้นๆ จนเห็นว่าเป็นบาบาร่าในร่างบานเย็น นั่นเอง
“หาที่อยู่มันให้เจอ...เอาตัวมันมาให้พ่อ”
ชิกเก้นอยู่หน้าห้องดารกากำลังจะคาบตะเกียงแก้วขึ้นมา เป็นจังหวะเดียวดารกาพรวดพราดเข้ามา
“ว้าย คุณน้องดา แย่แล้ว”
ชิกเก้นจะรีบคาบตะเกียงแก้ว ดารกาตวัดมือเกิดเป็นพลังแรงสูง ปัดร่างชิกเก้นลอยไปกระแทกผนังอย่างแรง ชิกเก้นสลบเหมือด ไม่ไหวติง ดารการีบหยิบตะเกียงแก้วขึ้นมา ผุดยิ้มร้ายกาจบนใบหน้า จ้องมองตะเกียงแก้ว หัวเราะอย่างสาสมใจ
“พยายามแทบตายไม่ได้แกมา แต่บทจะได้ก็ง่ายซะเหลือเกิน”
ดารกาแสยะยิ้มผุดหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นมา
“แกเป็นเสี้ยนหนามแรกที่จะถูกกำจัดพ้นทางฉัน”
ดารกาใช้สองมือหมายจะบดขยี้ตะเกียงแก้วจะให้แหลกคามือ แต่ตะเกียงแก้วเปล่งพลัง มีแสงเรืองรองออกมาพร้อมกับคลื่นความร้อน ดารการ้อนวูบที่มือ สะบัดสุดแรงด้วยพลังแห่งอสูร ตะเกียงแก้วลอยหวือออกไปนอกตึก ลอยละลิ่วไปไกลมากๆ และหายไปในความมืด
ดารกาเจ็บใจสุดๆ หน้าตาเริ่มบิดเบี้ยว
“ทำไมฉันถึงยังควบคุมพลังตัวเองไม่ได้สักที”
ตั้งใจจะกลับเข้าห้อง เสียงปัทมนเรียกมาจากด้านหลัง “น้องดาจ๋า”
ดารกาหันหน้ากลับมาเป็นลูกสาวแสนดีทันที ปัทมนยิ้มแย้มหิ้วถุงที่ไปซื้อของมา เอ่ยทักทายขึ้น
“ทานข้าวหรือยังลูก มาดูนี่สิ แม่ซื้อของมาฝากน้องดาด้วย”
“ดีจังค่ะ” ดารกาเดินเคียงไปกับปัทมน
เวลาเดียวกันนั้นภายในห้องดารกา ภาพบาบาร่าในร่างบานเย็นในกระจกเงาค่อยๆ จางหายไป กลายเป็นกลุ่มควัน พอควันจางหายกลายเป็นกระจกใสสะอาดตามเดิม
สองยายหลานอยู่ในห้องแนนนี่ ทาฮิร่ารู้สึกกังวลใจ มีอาการร้อนรน
“ทำไมป่านนี้เจ้าชิกเก้นยังไม่มา ยิ่งรีบๆ อยู่”
“แนนนี่ไปดูให้ค่ะ” แนนนี่เดินออกไป
แนนนี่เดินหาจนเจอชิกเก้นนอนสลบ น้ำเสียงแนนนี่ตกใจมาก “ชิกเก้น...”
ไวเท่าความคิดแนนนี่ถลาไปที่ชิกเก้น ซึ่งเหมือนไม่หายใจแล้ว แนนนี่ซีด ต่อมน้ำตาแตก
“ชิกเก้น ตายหรือเปล่า อย่าตายนะ อย่าตายนะชิกเก้น”
แนนนี่ร้องไห้ไป เรียกชื่อชิกเก้นไป ทาฮิร่าปรากฏกายขึ้น หน้าตาเครียดมาก
“ยาย...ช่วยชิกเก้นด้วย...อย่าให้ชิกเก้นตายนะยาย”
ทาฮิร่าพิจารณา และประเมิณสถานการณ์แล้วเครียดสุดๆ
“ชิกเก้นโดนพลังอสูร ตะเกียงแก้วก็หายไป เราต้องรีบไปแนนนี่
ทาฮิร่าตัดสินใจพาแนนนี่กับชิกเก้นหายตัวไป
ดารกาเดินถือถุงออกมาจากทางห้องปัทมน พอมาถึงจุดที่ชิกเก้นสลบอยู่ ดารกาชะโงกมอง ไม่เห็นชิกเก้นอยู่ตรงนั้นแล้ว ดารกายิ้มเยาะ
“ฟื้นแล้วเหรอเจ้าชิกเก้น แน่เหมือนกันนี่ โดนพลังฉันไปไม่ใช่น้อยยังลุกไหว”
ดารกาเดินต่อไปที่ห้องตัวเอง
อ่านต่อหน้า 3 มาเมื่อไหร่ เรียบเรียงเสร็จ อัพให้อ่านเมื่อนั้น แว้บ...ฟึ่บ!!!
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 22(ต่อ2)
ค่ำวันนั้น ภายในห้องพิธีกรรมบ้านสดับ ทั่วทั้งห้องสลัวทึม สักครู่มาลีเปิดประตู แล้วปิดอย่างแผ่วเบาค่อยๆ ย่องเข้ามา มาลีมองหาว่าคัมภีร์น่าจะซ่อนอยู่ที่ไหน กลัวก็กลัว แต่รักลูกมากจนยอมทำตามที่ทาฮิร่าสั่ง
“คัมภีร์นั่นมันจะอยู่ที่ไหนล่ะ แล้วฉันจะรู้มั้ยเนี่ยว่าหน้าตามันเป็นไง”
มาลีหาไปตรงนั้นตรงนี้ จนเริ่มรู้สึกหนาวๆร้อน เพราะอุปาทานจากความกลัว
“ฮึ่ย หนาวจนขนลุกขนพอง ไอ้ห้องผีสิงนี่”
มาลีหันหาไปต่ออีกหน่อย
“คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยเถอะ ห้องก็แค่นี้ มันเอาไปเก็บไว้ที่ไหนกันถึงหาไม่เจอสักที”
ทางด้านคัมภีร์ฯ ก็พยายามจะดึงตัวเองออกจากที่ฝังอยู่ เป็นรอยนูนขึ้นมา มีแสงเรืองอ่อนๆ
มาลีรู้สึกได้ว่ามีแสงเรืองๆ จึงหันไปมอง เห็นผิวผนังห้องตรงบริเวณนั้นนูนๆ และเรืองแสง แต่ยังไม่หลุดออกมาเป็นคัมภีร์)
มาลีตกใจตาเหลือกร้องลั่น “อ๊าย....ผีหลอก” แล้วเป็นลมหมดสติไป
เวลาเดียวกันนั้นชิกเก้นยังคงสลบ นอนนิ่งอยู่บนที่นอน แนนนี่ร้องไห้อย่างน่าเวทนา ทาฮิร่าน้ำตาซึม ในขณะที่กำลังสาละวนต้มยาอยู่
“พี่ชิกเก้น ฟื้นซี่..ฟื้น...พี่ชิกเก้น...ฮือๆ”
ทาฮิร่าพยายามกลั้น ไม่ร้องไห้ แต่น้ำตาไม่วายเอ่อ
“ชิกเก้น...ใครเป็นอะไรฉันรักษาหายหมด ถ้าฉันรักษาแกไม่ได้ ฉันจะเผาตำราทิ้ง”
รุ่งเช้าวันต่อมา ผาดกับพรกำลังรดน้ำต้นไม้ สักครู่ดารกาเดินมา กำลังจะไปบ้านภวัต
“พี่พรคะ ช่วยตัดกุหลาบให้น้องดาสักสี่ห้าดอกค่ะ น้องดาจะเอาไปฝากป้าบานเย็น”
“ได้ค่ะ” พรเดินไปทำตามสั่ง
จังหวะนั้นเสียงอสูรสดับแว่วลอยลมมา ดารกาชะงักกึก
“ดารกา...”
ดารกาหน้าเครียด หันเดินกลับไปตึก
ผาดมองตาม งงอาการของดารกา พึมพำออกมา “แปลกๆขึ้นทุกวัน”
ด้านชิกเก้นยังสลบไสล นอนหันหลังให้ทาฮิร่า โดยที่ทาฮิร่ากำลังใช้เวทมนตร์ดึงพลังอสูรที่คุมร่างชิกอยู่ให้ออกมา แต่ไม่ง่ายนัก มือทาฮอร่าวาดขึ้นลงอยู่เหนือร่างชิกเก้น เมื่อมือเคลื่อนขึ้นมีควันสีดำบางๆ ลอยออกมาจากร่างชิกเก้น แต่บางครั้งก็ไม่สำเร็จ แนนนี่ลุ้นอยู่ข้างๆ สักครู่แนนนี่รู้สึกว่ามีอะไรกวนใจแปลกๆ
แนนนิ่งสำรวจความรู้สึกของตนเอง แล้วแนนนี่ตกใจ เมื่อรับรู้ว่าภวัตจะมีอันตราย
“พี่ภวัต ! ยาย”
ทาฮิร่าลืมตาขึ้นมามองแนนนี่
เวลาเดียวกันดารกาเปิดประตูเข้ามาในห้อง เห็นสดับรออยู่ ดารการีบเข้าห้องปิดล็อคประตู
“เจ้าทำงานที่พ่อสั่งหรือยัง”
“ยังค่ะ ยังไม่ทันดูงาน ลูกต้องออกไปจัดการกับตะเกียงแก้วเสียก่อน”
“เรียบร้อย?” อสูรสดับดักคอ
ดารกาพูดไม่ค่อยเต็มเสียงนัก เพราะตะเกียงหายไป ไม่ได้ถูกทำลายต่อหน้า
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ดีมาก”
ร่างสดับขยับไปที่หน้ากระจกเงาในห้อง กระจกค่อยๆ สร้างภาพบาบาร่าในคราบบานเย็นขึ้นมา เป็นภาพที่ตลาด ตอนที่ที่สดับกับบานเย็นเจอกัน แต่ ภาพในกระจกมัวลงกว่าเดิม คล้ายมีอะไรบางๆ บัง หน้าบานเย็นไม่ค่อยชัด เสื้อผ้าพอจะดูใกล้เคียงกับชุดแม่บ้าน แต่สีเพี้ยนๆ
ดารกาเห็นภาพแล้วตกใจ พูดเบาๆกับตัวเอง “ป้าบานเย็นหรือเปล่านั่น”
สดับหันมา “นางนี่เป็นแม่มด”
ดารกาตกใจ
“ขณะนี้มันอยู่ในเมืองมนุษย์ พ่อเจอมันที่ตลาด มันเอาคราบมนุษย์สวมบังเนื้อแท้ของมัน เจ้าตามหาให้เจอว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วเอาตัวมันมาให้พ่อ”
ดารกาอึ้งสุดๆ หากเป็นบานเย็นที่เธอรู้จัก และบานเย็นอยู่บ้านภวัต ภวัตอาจจะเดือดร้อนไปด้วย ระหว่างที่สดับกับดารกาพูดกัน ภาพบานเย็นจะค่อยๆ เลือนหายไป
อสูรสดับเห็นดารกาเหม่อ จึงเรียกขึ้นเสียงดัง “ดารกา”
ดารกาหลุดจากภวังค์ “คะ”
“ได้ยินที่พ่อพูดหรือเปล่า”
“ได้ยินค่ะ”
สดับจ้องมองดารกาอย่างสำรวจ รู้สึกได้ว่าดารกามีอะไรปั่นป่วนใจ
“แล้วอีกเรื่องที่พ่อเคยพูดไว้”
ดารกาหลบตาวูบ รู้ว่าอสูรร้ายจะพูดเรื่องอะไร สดับจ้องดารกาเขม็ง
“เจ้ามีความรักไม่ได้เด็ดขาดนะดารกา”
ดารกาอึ้ง เจ็บร้าวในใจ
“ได้ยินมั้ย”
ดารกาอึ้งไปไม่มีทีท่าว่าจะยอมตอบ
สดับรู้ว่าดารกาดื้อ “หากเจ้าไม่ฟังพ่อ ดูนี่”
ดารกาเงยหน้ามามอง เห็นอสูรสดับสะบัดมือไปที่กระจก
ภาพภวัตปรากฏขึ้นในกระจก เวลากลางวันที่บ้านภวัต ภวัตเดินคุยหัวเราะกับรัดเกล้า แล้วแยกกัน ภวัตออกไปริมถนน มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นมาอย่างเร็ว แล้วจู่ๆ เบรกแตก เพราะสดับทำให้แตก วิ่งเข้าใส่ภวัต
จังหวะนั้นแนนนี่วิ่งพรวดเข้ามา กันมอเตอร์ไซค์ให้พ้นจากภวัต แต่ทว่ามอเตอร์ไซค์คันนั้นลอยหมุนคว้างกลับเข้ามาชนภวัตอย่างแรงอีกจนได้ ภวัตกระเด็นไป
แนนนี่ไม่รู้ว่าพลังของตัวเองยังไม่อาจเทียบเท่าพลังของอสูรสดับ เพราะยังไม่อายุไม่ครบ 22
ดารกาช็อก ตกใจสุดๆ “ว้าย”
บาบาร่าในคราบบานเย็นกับโป่งวิ่งเข้าไปช่วยภวัต
สดับสะดุดตาด้านหลังบานเย็น จ้องมองเขม็ง แต่ในขณะนั้นโป่งช่วยบังบานเย็น จึงเห็นไม่ถนัด นัก แล้วรัดเกล้าวิ่งออกมาอีกคน จึงยิ่งบังบานเย็นจนมิด
ดารกาใจจะขาด แต่ต้องคุมไว้สุดๆ ไม่ให้สดับเห็น
ภาพในกระจก แนนนี่วิ่งเข้ามา เห็นหน้าชัดเจนมากๆ ดารกาผุดลุกพรวดด้วยความโกรธ ส่วนสดับรู้สึกสะดุดใจแนนนี่มาก
“เด็กนั่น...”
ดารกาแค้นแนนนี่ก็แค้น ห่วงภวัตก็ห่วง
อสูรสดับเข้าไปดูใกล้ๆ สัมผัสกระจกตรงที่มีภาพแนนนี่ สดับหน้าขรึมขึ้น
“พ่อรู้สึกถึงพลังมหาศาลของเด็กผู้หญิงคนนี้...” นึกได้ “..นี่ใช่ไหม...แนนนี่”
ดารกาพยักหน้ารับว่าใช่ น้ำตาหยด พูดไม่ออกเพราะยังห่วงภวัต สดับมองดารกานิ่งไปสักครู่ หน้าตาร้ายกาจบ่งบอกความใจทมิฬสุดๆ ออกมา
“หากเจ้าไม่มีความรัก เจ้าก็ไม่ต้องถูกจองจำอยู่กับความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ อันเกิดจากความรัก”
ดารกายิ่งเจ็บปวด
“อสูรต้องไม่มีความรัก! สิ่งที่เกิดกับชายผู้นั้นวันนี้เป็นแค่การเตือนเจ้านะดารกา หากเจ้ายังดื้อกับพ่อ ผู้ชายคนนั้น...ตาย!”
ดารกาแทบดับดิ้นลงไปตรงนั้น
อสูรสดับหัวเราะดังลั่น เสียงน่ากลัว ชวนขนลุกสยองแสยง
ระหว่างนั้นธานีเดินมา ได้ยินเสียงหัวเราะของสดับแว่วๆ ธานีขนลุก
“น้องดาพาผู้ชายขึ้นมาถึงบนห้องเหรอ...” ธานีไม่เชื่อว่าดารกาจะเป็นอย่างนั้น “เป็นไปไม่ได้”
ธานีเคาะประตูห้อง “น้องดา น้องดา”
ดารการีบปาดน้ำตา แต่ยังไม่ขยับไปไหน
สักครู่ประตูเปิดออกมา ดารกายิ้มให้ธานี
“พี่ได้ยินเสียงผู้ชายหัวเราะดังลั่นในห้องน้องดา หูฝาดไปหรือเปล่าไม่รู้”
“ไม่ฝาดหรอกค่ะ” ทำเป็นยกมือถือให้ดู “น้องดากำลังเลือกเสียงเรียกเข้ามือถือค่ะ”
ธานีขำ ทำท่าขนลุก “อย่าเลือกเสียงหัวเราะนั่นก็แล้วกัน ใครได้ยินมีหวังวิ่งหนีกันทั้งเมืองแน่ พี่เองยังขนลุกไม่หายเลย” เห็นน้องท่าทางกระวนกระวายนิดๆ จึงขอตัว “พี่ไปละ แวะมาถามดูแค่นั้นเอง เป็นห่วงจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ธานีไปแล้ว ดารกาปิดประตู หันกลับสดับยังอยู่ในห้อง
“จำไว้นะดารกา เจ้าต้องตัดใจจากความรักให้เด็ดขาด ถ้ายังอยากให้ผู้ชายคนนั้นมีชีวิตอยู่ต่อไป” สดับสั่งกำชับ
น้ำตาดารกาที่แห้งไปเมื่อครู่ ค่อยๆ เอ่อขึ้นมาอีกหน เจ็บปวดร้าวลึกในใจเหลือแสน ร่างสดับค่อยๆ จางหายไป ดารกาทิ้งตัวลงนอนตัวงอบนเตียง ร้องไห้แทบว่าจะขาดใจตาย
ทางด้านภวัตเข้าเฝือกเขน ขากะเผลก เคล็ดขัดยอกนิดหน่อย โป่งคอยช่วยประคองลงไปนั่ง แนนนี่กับรัดเกล้านั่งห่างออกมา
“ขอบคุณครับพี่โป่ง”
“คราวหน้าจะข้ามถนนต้องมีผู้ใหญ่พาข้ามนะครับ” โป่งล้อ
“อาอิงเสนอตัวนะคะ”
รัดเกล้าแอบขำๆ กับแนนนี่ “จีบพ่อพี่แล้วก็จีบพี่ชายพี่อีก ยกให้เป็นนางพญาเทครัวไปเลย”
“แต่แนนนี่ชอบอาอิงนะคะ ตลกดี รู้สึกอาอิงทำให้มีความสุขตลอดเลย”
“ก็จริง นี่แนนนี่จะให้พี่ยกทั้งพ่อทั้งพี่ให้อาอิงเหรอ”
“ไม่ พี่ภวัตเป็นของแนนนี่ ห้ามยกให้ใคร”
รัดเกล้าได้ฟังก็หน้าขรึมลงเมื่อนึกถึงดารกา แนนนี่มองภวัตคุยกับจักรวาลและอิงอร หน้าตาแนนนี่มีความสุข
รัดเกล้ามองแนนนี่อย่างห่วงใย สักครู่แนนนี่นึกได้
“อุ๊ย แนนนี่ต้องกลับแล้ว แนนนี่ลืมไปว่าชิกเก้นไม่สบาย ฝากลาพี่ภวัตกับลุงจักรอาอิงด้วยนะคะ”
“จ้ะ”
แนนนี่เดินเลี่ยงออกไปที่ลับตา แล้วหายตัวแว้บ
แนนนี่กลับมาบ้านเห็นชิกเก้นยังสลบ นอนหันหลังให้ทาฮิร่า ส่วนทาฮิร่ายังคงถอนพิษอสูรให้ต่อเนื่อง
“ชิกเก้น แกฟื้นขึ้นมานะ ฉันไม่ได้ยินเสียงแกแล้วเหงามากๆ เลย”
“ชิกเก้น แนนนี่ก็คิดถึงเสียงชิกเก้นนะ ไม่ได้ยินแล้วนอนไม่หลับเลย ชิกเก้นตื่นขึ้นมาคุยกันนะ”
ทั้งๆ ที่พูดเล่น แต่ทั้งสองคนยังกังวล
“ชิกเก้น ที่แล้วมาที่แกล่วงเกินฉัน ฉันอภัยให้หมดแล้วนะ...” ทาฮิร่าหน้าเศร้า
ชิกเก้นพูดทั้งๆ ที่ยังคงหลับตา “เสียงนกเสียงกาที่ไหนเนี่ย รบกวนคน..เอ๊ย...แมวจะนอน”
ทาฮิร่ากับแนนนี่น้ำตาไหลทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้
“ชิกเก้น” สองยายหลานประสานเสียง
แนนนี่ลุกขึ้นกระโดดอย่างดีใจ
“พี่ชิกเก้นฟื้นแล้ว พี่ชิกเก้นฟื้นแล้ว” แนนนี่ดีใจร้องเพลงลั่น “ไก่ย่างถูกเผา ไก่ย่างถูกเผา...”
“มันใช่เวลามั้ยเนี่ย เป็นมงคลต้อนรับการฟื้นเหลือเกิ๊นนนนน”
ชิกเก้นเดาะสำนวนฝรั่ง พลางยิ้มให้ทาฮิร่าและแนนนี่อย่างซาบซึ้งใจแมวเป็นที่สุด
“เคยได้ยินแต่น้ำตาจระเข้ วันนี้มีวาสนาได้เห็นน้ำตาแม่มด ฮ่าๆๆๆๆ”
ทาฮิร่ากลับคืนสภาพคู่กัดกับชิกเก้นทันที “ ไม่น่าช่วยมันเล้ยยยย พอมันพูดได้ ฉันอยากจะฆ่ามันทิ้งทุกที”
ชิกเก้นอ่าปากจะพูดวลีติดปาก แนนนี่ลอยหน้าใส่ทาฮิร่า พูดพร้อมชิกเก้น รู้ว่าจะพูดอะไร
“เวรก๊ำ...เวรกรรม”
สองคนกับอีกหนึ่งตัวหัวเราะมีความสุข
สดับโมโหเมื่อเห็นมาลีสลบอยู่ในห้อง คิดได้ทันทีว่ามาลีต้องมาค้นห้องหาบางอย่าง จึงตบมาลีจนร่างกระเด็นเซ แซดๆ
“แกมาทำอะไรในห้องนี้”
มาลีโกหก “เปล่าจ้ะพี่”
สดับตบซ้ำอีก “โกหก แกทำลับๆล่อๆหลายครั้งแล้ว” สดับจิกผมถามคาดคั้น “บอกมา!”
“เปล่าจริงๆจ้ะ ฉันแค่เหนื่อยเผลอหลับไป”
สดับโกรธ เหวี่ยงมาลีกระเด็น จะตามเอาเรื่องต่อ
เสียงดารดาดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน“พ่อคะ”
ทั้งสดับทั้งมาลีชะงัก หันไปมอง ดารกายังหน้าช้ำเพราะร้องไห้ มาลีเกือบเผลอเรียกลูก แล้วนึกได้ จึงไม่เรียก มาลีฉวยโอกาสวิ่งหนีไปตั้งหลักก่อน แต่คิดในใจว่าจะไม่ไปไกล เพื่อจะแอบดู รู้ว่าหากดารกามามักมีเรื่องลับคุยกัน
ไม่นานหลังจากนั้น สดับนั่งอยู่กับดารกาที่หน้าโต๊ะพิธีกรรม
“ลูกมากราบขอร้อง พ่ออย่าทำอะไรพี่ภวัต ลูกจะทำตามคำสั่งของพ่อทุกอย่าง”
อสูรในร่างสดับหัวเราะพอใจ “ดีมาก”
สดับเพ่งกระแสจิต ส่งพลังเรียกคัมภีร์พิฆาตอสูรออกมา
“นี่คือคัมภีร์ของพวกแม่มดที่อสูรขโมยมาได้ มันคือคัมภีร์พิฆาตอสูร”
ดารกาทั้งตกใจทั้งตื่นเต้น
ทั้งคู่ไม่ทันคิดว่าที่นอกห้อง มาลีแอบดูอยู่ รู้สึกตื่นเต้นและดีใจสุดขีด เพราะเห็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์นั้นด้วย
“นี่เอง คัมภีร์พิฆาตอสูร”
อสูรสดับกับดารกามองจ้องที่คัมภีร์ไม่กระพริบตา ส่วนมาลีเนื้อเต้นดีใจที่จะช่วยลูกสาวสุดที่รัก
ภายในบ้านทาฮิร่าที่เมืองมนุษย์ ทาฮิร่า แนนนี่ และชิกเก้น ทั้งสามกำลังหารือกันเรื่องที่ภวัตไปช่วยแนนนี่ แต่เกือบได้รับอันตราย
“พ่อภวิตแขนหักงั้นเหรอ แนนนี่ไปไม่ทันเหรอ” ทาฮิร่าหน้าตาเป็นกังวล
“แนนนี่ไปทันค่ะ ปัดมอเตอร์ไซค์จนพ้นไปแล้ว แต่...” แนนนี่คิดอยู่แวบหนึ่ง “...แปลก...
มอเตอร์ไซค์วกกลับมาชนพี่ภวัตจนได้”
ทาฮิร่าฉุกใจคิดอะไรขึ้นมาได้ และพูดออกมาเบาๆ
“อสูร” แล้วหันมาพูดกับแนนหน้าตาซีเรียสจริงจัง “อย่าออกไปไหนนะแนนนี่ เดี๋ยวยายมา”
“ค่ะ” แนนนี่รับคำ
ทางด้านอสูรในร่างสดับกับดารกายังอยู่ในห้องพิธีกรรม โดยมีมาลีแอบดูอยู่ พริบตานั้น ทาฮิร่าในชุดคุณนายไฮโซก็หายตัวเข้ามา มาลีหันมามอง ยังไม่ทันตั้งตัวหรือพูดอะไร ทาฮิร่าก็จับข้อมือมาลีพาหายตัวไป
แล้วสักครู่ต่อมาทาฮิร่ากับมาลีก็ปรากฏตัวขึ้นในที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง
“โอย...ฉันจะเป็นลม คลื่นเหียนเวียนหัวไปหมด บอกหน่อยสิ ฉันมาถึงนี่ได้ไงเนี่ย สองครั้งแล้วนะ” มาลีบ่นอุบ
“ไว้ครั้งที่สามแล้วจะบอก เรื่องคัมภีร์พิฆาตอสูรว่าไง หาเจอรึยัง” ทาฮิร่าถามอย่างร้อนใจ
“เจอแล้ว...” มาลีบอก
ทาฮิร่าดีใจมาก “เหรอ ไหน อยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่ไอ้ดับ ผัวฉัน”
“อ้าว”ทาฮิร่าเซ็งเป็ด
“แต่ถึงจะอยู่ที่ฉัน คุณนายเล่นพาฉันมาสายฟ้าแลบแบบเนี้ย ฉันจะหยิบทันมั้ย ใครมันจะบ้าพกไว้กับตัวเล่า” มาลีบ่นอีก
ทาฮิร่าหันไปค้อนใส่มาลี
พอมาลีนึกขึ้นได้ ก็ถามเสียงจริงจังขึ้นบ้าง “อสูรนี่มันมีจริงเหรอ”
“เธอเชื่อว่าผีมีจริงไม่ใช่เหรอ” ทาฮิร่าถามย้อนกลับ
มาลีอึ้งๆ แบบยอมรับ
“อสูรมันก็มีจริงได้” ทาฮิร่าเข้าเรื่องที่จับตัวมาลีมา “ฉันจะรอให้มืด แล้วเธอพาฉันเข้าไปเอคัมภีร์นั่น”
“ไอ้พี่ดับมันซ่อนของเก่ง ไม่รู้จะหาเจอมั้ย” มาลีกังวลใจ
“เอาเถอะน่า พาฉันเข้าไปแล้วฉันหาเอง”
ดารกากลับมาที่หอพัก นั่งนิ่งสีหน้าแววตาร้ายกาจ รีบเปิดกระเป๋าสะพาย หยิบคัมภีร์พิฆาตอสูรออกมา คัมภีร์เล่มนั้นถูกมัดด้วยเชือกซึ่งทำจากรากไม้ผสมหนังสัตว์น่าเกลียดๆ น่าขยะแขยง มีการลงอาคมควบคุมไว้อย่างแน่นหนา เสียงอสูรสดับดังแว่วเข้ามาในห้วงคำนึงของดารกา พูดซ้ำไปซ้ำมาด้วยประโยคเดิม
“เจ้าเอาคัมภีร์พิฆาตอสูรนี่ไปเก็บไว้ พ่อลงเวทมนตร์คุมมันไว้แล้ว เมื่อลูกอายุครบ 22 ปี ลูกจะมีฤทธิ์ทำลายมันได้สำเร็จ ต่อไปแม้จะมีแม่มดหลงเหลืออยู่ มันก็จะไม่มีคัมภีร์พิฆาตอสูรอยู่ในมืออีกต่อไป”
ดารกาเดินไปหาที่ซ่อนคัมภีร์ หาสัก 1-2 ที่ แล้วจึงเจอที่เหมาะ พอหาที่ซ่อนได้เรียบร้อย เสียงอสูรร้ายก็เงียบหายไป ดารกาจัดการซ่อนคัมภีร์ทันที คัมภีร์พิฆาตอสูร ค่อยๆ จมตัวหายลงไปในพื้นผิวของบริเวณที่ซ่อน
ค่ำวันนั้นทาฮิร่าและมาลี ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องพิธีกรรม ทาฮิร่าใช้พลังแม่มดดูดดึงคัมภีร์จากตรงนั้นตรงนี้ แต่ไม่มีวี่แววคัมภีร์จะปรากฏออกมาให้เห็นเลยสักจุด
“คัมภีร์ไม่อยู่ที่นี่แล้ว มันรู้ตัว ย้ายคัมภีร์ไปไว้ที่อื่นแล้ว” ทาฮิร่าบ่นอย่างหนักใจ
“ฉันไม่ได้ทำอะไรให้พี่ดับมันจับได้นะ แล้วพี่ดับมันก็ไม่ใช่อสูรด้วย ฉันว่าผัวฉันไม่มีหรอก ไอ้คัมภีร์พิฆาตอสูรอะไรนั่น” มาลีบ่นอีก
ทาฮิร่ามองจ้องหน้ามาลีอย่างเอือมระอา มาลีจะรีบออกไปจากห้อง เพราะกลัวผีขึ้นมา
“เสร็จละยังล่ะ ฉันกลัวผี คืนก่อนที่แอบเข้ามาหาคัมภีร์ให้คุณน่ะ ฉันโดนผีหลอกเป็นลมแหง็กอยู่ในเนี้ย โดนพี่ดับมันตบซะ” มาลีบอก
“ผีหน้าตาเป็นไง” ทาฮิร่าติดใจ
“เป็นผีสี่เหลี่ยม” มาลีว่าทาทีสยองพองขน
ทาฮิร่ารู้ทันทีว่าน่าจะเป็นคัมภีร์ ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมา
มาลียังพ่นต่อ “...มีแสงด้วย ผุดขึ้นมาจากพื้นอะ แต่ยังไม่ทันเห็นหน้ามัน ฉันเป็นลมซะก่อน”
ทาฮิร่าบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างระอาทั้งตัวเองทั้งมาลี
“พลาดแล้วฉัน ไม่น่าให้ยายนี่ทำแทนเล้ย...”
มาลีไม่รู้ตัวถามขึ้นมา “เอาไงต่อล่ะคุณ”
“เธอหาคัมภีร์ให้ฉันต่อไปก็แล้วกัน”
“ฉันรู้แล้ว นั่นน่ะฉันทำแน่อยู่แล้ว ฉันไม่ยอมให้ลูกฉันเป็นอันตรายหรอก ฉันหมายถึงตอนนี้...จะเอาไงต่อ”
ทาฮิร่าฉวยมือมาลีพาหายตัวไป “กลับ”
ทางด้านดารกา พอหาที่ซ่อนคัมภีร์พิฆาตอสูร ในหอพักได้แล้ว ดารกาก็กลับมาที่บ้านปัทมนทันที และเวลานี้ กำลังยืนกอดอกอยู่ที่หน้าต่าง มองลงไปทางบ้านภวัต
เห็นบรรยากาศอันแสนอบอุ่น สามคนพ่อลูกคุยกัน หัวเราะอย่างมีความสุข โดยมีโป่งถือถาดกาแฟเข้ามา ในขณะที่บาบาร่าในคราบบานเย็นยกเสิร์ฟให้อย่างพินอบพิเทา ดูเป็นแม่บ้านแสนดีไร้พิษสง ดารกาเพ่งมองเป็นพิเศษเฉพาะที่บานเย็นบาบาร่า
ดารกามองภาพนั้นต่ออีกนิดแล้วหันหลังกลับมา สีหน้าดารกาขรึมเคร่ง เริ่มสับสนว้าวุ่นภายในใจ
“ป้าบานเย็นคือแม่มดคนนั้นหรือเปล่า หากใช่ แล้วเราไม่จับไปให้พ่อ...” ดารกาชะงักกึก รีบเปลี่ยนคำใหม่ “...ไอ้อสูรสดับ พี่ภวัตก็พอจะมีคนช่วยคุ้มครองได้บ้าง... แต่ป้าบานเย็นจะมีฤทธิ์ต้านอสูรสดับได้แค่ไหน... แล้วถ้าป้าบานเย็นไม่ใช่แม่มดล่ะ”
ยิ่งคิด ดารกาสับสนว้าวุ่นและลังเลใจ
เวลาเดียวกันนั้นปัทมนกำลังปิดทีวีในห้องรับแขก จะขึ้นนอน ทาฮิร่าก็ปรากฏตัวขึ้นมาในชุดคุณนายไฮโซเมื่อครู่นี้
ปัทมนมองแล้วรู้สึกขำๆ อารมณ์ดี “อุ๊ย คุณยายแต่งชุดนี้แล้วสาวขึ้นสองพันปีเลยนะคะ”
ทาฮิร่าก้มลงดูตัวเอง “อ้าว ลืมเปลี่ยน” ทาฮิร่าดีดนิ้วเปลี่ยนชุดทันที
ปัทมนลงนั่งคุยกับทาฮิร่า เพราะคิดว่าต้องมีเรื่องร้อนใจ
“ฉันคิดว่าแนนนี่กำลังมีอันตราย”
ฟังทาฮิร่าแล้ว ปัทมนรู้สึกห่วงลูก หน้าขรึมลง
ทาฮิร่าพูดต่ออีก ฉันขอพาแนนนี่ไปอยู่ด้วย จนกว่าจะแน่ใจว่าแนนนี่พ้นอันตรายนะคุณปัทมน”
“ค่ะ คุณยาย”
“แต่ก็จะพาแนนนี่มาเจอครอบครัวบ่อยๆ”
“ค่ะ”
ปัทมนขึ้นห้องนอนมา คิดหนัก รู้สึกกังวลและห่วงใย ภาพแสดงความร้ายกาจที่ปัทมนเจอกับตาตัวเอง ผุดขึ้นมาในความคิด 2-3 เหตุการณ์ ปัทมนยิ่งรู้สึกเป็นกังวลมาก
“ลูกดาหรือเปล่านะที่จะเป็นอันตรายกับแนนนี่ โอย...อึดอัดเหลือเกิน จะพูดกับใครก็ไม่ได้ แม้แต่กับคุณยาย ว่าเราเห็นอะไรมาบ้าง”
ปัทมนกลัดกลุ้มเหลือกำลัง
วันต่อมาทั้งสองยายหลานกับอีกหนึ่งบ่าวแมว กำลังช่วยกันกวาดบ้านเช็ดถูบ้าน สักครู่ก็มีเสียงสัญญาณเรียกประชุมจากเมืองเวทมนตร์ดังเข้ามา
“ท่านผู้นำเรียกประชุม” ทาฮิร่าส่งอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ถืออยู่ให้แนนนี่ “ยายไปประชุมก่อน
นะแนนนี่ จำไว้นะ ห้ามออกไปไหน”
“ค่ะ ยาย”
“ชิกเก้นดูแลหลานฉันด้วย”
“ใครน่าจะดูแลใครกันแน่เนี่ย แค่ขนาดก็ผิดกันสุดๆแล้ว เวรก๊ำ...เวรกรรม”
“ฉันสิ” ทาฮิร่าพูดเลียนเสียงชิกเก้น “เวรก๊ำ...เวรกรรม จับฉลากได้แมวพูดมากมาเลี้ยง”
ทาฮิร่าหายตัววับไป
“เวรก๊ำ...เวรกรรม” แนน นี่กับชิกเก้นพูดพร้อมๆ กัน โดยแนนพูดใส่ชิกเก้นอย่างขำๆ
เวลาเดียวกันโป่งกำลังจัดโต๊ะอาหารง่วนอยู่ในห้องอาหาร จักรวาล ภวัต และรัดเกล้าเดินเข้ามา
“วันนี้โป่งบริการ แม่บ้านล่ะ” จักรวาลถามขึ้น
“บอกว่าไปเยี่ยมญาติครับ” โป่งบอก
“อีกแล้วเหรอ” ภวัตประหลาดใจ
“แต่แกไปไม่นานหรอกครับ วันก่อนก็บอกว่าไปเยี่ยมญาติแถวอีสาน โป่งยังทานข้าวไม่หมดจานเลยครับ กลับมาแหล่ว เหลือเชื่อ ไวยิ่งกว่าฟ้าแลบอีก” โป่งว่า
“ก็ป้าบานเย็นบอกว่าไปเยี่ยมญาติแถวอีสาน ไม่ได้บอกว่าไปเยี่ยมญาติที่อีสานสักหน่อย ก็คงเยี่ยมญาติที่เป็นชาวอีสานอยู่แถวๆใกล้บ้านเรานี่ละ” รัดเกล้าแก้ต่างให้
“คุณหมอมีน้องสาวฉลาดจังนะครับ” โป่งแซว
รัดเกล้าขำกิ๊ก “น้อยๆ หน่อยพี่”
โป่งเสิร์ฟทุกอย่างเสร็จก็เดินออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ธานีโผล่เข้ามา
“มารับไปทำงานแล้วครับคุณรัดเกล้า” ธานีบอก
รัดเกล้าเขินพ่อกับพี่ เข่นเขี้ยวใส่ธานี เสียงไม่ดังนัก “ใครให้บุกมาถึงในนี้”
ธานีพูดตอบเสียงปกติ “เอ๊า ก็เมื่อก่อนเคยบุกได้ทุกวัน”
รัดเกล้าเข้ามาลากธานีออกไป “ก็นั่นมันเมื่อก่อน”
ทั้งคู่ออกไป จักรวาลหันมามองภวัตเป็นเชิงถาม ภวัตยิ้มแหยๆ สองพ่อลูกคุยกันแบบอารมณ์ดี
จักรวาลยังขำไม่เลิก “นั่น...เขาจีบกันตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”
“คุณพ่อต้องถามเขาเองครับ งานนี้ผมไม่เกี่ยว”
“อ้าว เป็นพี่ยังไงไม่รู้เรื่องน้อง”
“คุณพ่อเป็นพ่อยังไม่รู้ แล้วผมเป็นพี่จะรู้มั้ยครับ”
“ย้อนพ่อแน่ะ”
อิงอรเดินนวยนาดเข้ามา ในมือถือจานอาหารเช้าของตัวเองมาด้วย
“คุยอะไรกันคะพ่อลูก น่าร้ากกกกก เชียว”
โดยไม่ได้นัดหมาย จักรวาลกับภวัตมองหน้ากันหุบปาก หันมายิ้มแหะๆ ให้กัน
“ขอร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยนะคะ เอาอาหารมาเองพร้อมค่ะ”
อิงอรรับประทานอย่างสำราญใจ ในขณะที่จักรวาลกับภวัตมองยิ้มๆ คิดในใจว่าชินแระ
อิงอรพูดเชื้อเชิญให้พ่อลูกกินอาหารราวกับเป็นบ้านตัวเอง “เชิญสิคะ เชิญรับประทานเลยค่ะ”
จักรวาลกับภวัตลงมือกินต่อ อิงอรตักอาหารชิ้นที่น่าทานของตัวเองให้จักรวาลลองชิม
ที่นครเวทมนตร์ ท่านผู้นำแม่มดเรียกประชุมตอนย่ำค่ำ ทาฮิร่า กับบาบาร่า รวมอยู่ในกลุ่มพ่อมดแม่มดอื่นๆ รายล้อมฟังอย่างตั้งใจ
“สืบเนื่องจากที่เมื่อหลายเพลาก่อนมีแม่มดแจ้งว่าเห็นผู้แปลกหน้าเข้ามาประชิดถึงกำแพงมนตราของเมืองเวทมนต์ เราจะไม่เห็นผู้แปลกหน้านั้นด้วยตนเอง จึงตัดสินไม่ได้ว่าใช่ผู้แปลกหน้าหรือว่าเป็นเพียงภาพลวงตา แต่เราไม่พึงตกอยู่ในความประมาท หากมีผู้แปลกหน้ามาจริง และรู้ที่ตั้งเมืองเวทมนต์ อสูรก็ย่อมรู้ได้เช่นกัน หรือไม่ผู้แปลกหน้านั้นก็อาจเป็นอสูร เราจึงเรียกชุมนุมพวกท่านทั้งหลายเพื่อเสริมพลังกำแพงมนตรา และปรับหันทิศทางเมืองเวทมนตร์เพื่อลวงตาผู้มิใช่ชาวเมืองเวทมนต์ เชิญทุกท่านร่วมใจกัน ณ บัดนี้”
ผู้นำแม่มดเริ่มทำพิธีกรรมสุดอลังการ ขลังเข้ม และดูศักดิ์สิทธิ์ แม่มดพ่อมดนั่งเป็นวงใหญ่ เทียนมากมายกว่าพนเล่ม ถูกจุดวางรายรอบที่วงพิธี มีคบเพลิงติดเป็นแนวไปตามถนนยาวสุดสายตา เสียงหึ่งๆ จากการสวดมนต์ก้องกระหึ่ม ฟังไม่ออกว่าสวดอะไร
ทันใดนั้นกำแพงนครก็ถูกเพิ่มความแน่นหนาความแข็งแกร่ง มีแสงวูบวาบอุบัติขึ้นชวนตื่นตาตื่นใจ
แล้วสักครู่กำแพงค่อยๆ ใสขึ้นๆ จนดูไม่ออกว่ามีกำแพงบริเวณนั้น ในขณะที่เสียงสวดค่อยๆ เบาลง และเงียบไปในที่สุด
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 01.00 น.
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 22(ต่อ3)
ทางด้านแนนนี่กับชิกเก้นอยู่ที่เมืองมนุษย์ กำลังลั้นลาเล่นหมากฮอร์สอย่างสนุกกันอยู่ ระหว่างนั้นเสียงมือถือแนนนี่ดังขึ้น ก่อนแนนนี่จะกดรับ จ้องหน้าชิกเก้นเขม็ง
“แนนนี่จำได้ทั้งกระดานนะพี่ชิกเก้นว่าตัวไหนอยู่ที่ไหน ห้ามโกง” แนนนี่หันมาสั่งชิกเก้นว่าห้มตุกติก แล้วหันไปรับสาย
ชิกเก้นก็แอบเดินหมากตัวหนึ่ง “ต้องพิสูจน์ว่ารู้จริง ไรจริง”
แนนนี่รับโทรศัพท์ “จ๋า ปีเตอร์”
“แนนนี่ ปีเตอร์ไปดูประกาศรับเข้าทำงานแล้ว แนนนี่กับปีเตอร์ได้ทั้งสองคนเลย” ปีเตอร์บอก
“เหรอ ตื่นเต้นสุดๆ”
“แนนนี่ไปดูมั้ยล่ะ เดี๋ยวปีเตอร์ไปรับ”
“แนนนี่ไม่ได้อยู่บ้านคุณแม่ปัทมน แนนนี่อยู่บ้านยาย”
“บ้านยายอยู่ไหนล่ะ”
“ยายไม่ให้บอกใคร แต่ถึงให้บอกแนนนี่ก็บอกไม่ถูกหรอก”
“งั้นแนนนี่ออกมาเจอปีเตอร์ที่มหา’ลัยได้มั้ย ปีเตอร์ไปรับที่นั่น”
“เอออออ ดีเหมือนกัน แนนนี่อยากเห็นกับตาว่าแนนนี่สอบเข้าทำงานได้”
“อย่าไปนะแนนนี่ อันตรายรอแนนนี่อยู่ แล้วไม่เชื่อฟังคุณยายหรือไง” ชิกเก้นร้องเตือน
“แนนนี่จะมีพี่ชิกเก้นไว้ทำไมล่ะ”
แนนยิ้มเจ้าเล่ห์ชี้ชิกเก้น ทำหน้าแบบที่ชิกเก้นรู้ว่าต้องปลอมตัวอีกแล้ว
“เวรก๊ำ...เวรกรรมของชิกเก้นอีกแล้ว ต้องปลอมตัวอีกละสิ”
“ถูก คราวนี้ปลอมเป็นแนนนี่กับชิกเก้นพร้อมๆกันเลย” แนนนี่ว่าหน้าตายิ้มเจ้าเล่ห์
“เวรก๊ำ...เวรกรรม ฟื้นมาทำไมเนี่ยชิกเก้น น่าจะสลบอีกสักศตวรรษนึง”
“อย่าบ่น รู้นะว่าแอบโกงหมากฮอร์ส”
แนนเลื่อนตัวที่ชิกเก้นโกงไปกินหมากของชิก 3 ต่อ เข้าฮอร์สไปเลย
“ฮ่าๆๆๆ” แนนนี่หัวเราะป่วนอย่างสะใจ
ชิกเก้นเอา 2 ขา ปิดหน้า “โอ๊ย...แพ้อีกแล้วววววว...เวร...”
แนนนี่ชิงพูดก่อน “เวรก๊ำ...เวรกรรม”
แนนนี่หายตัว เสียงหัวเราะยังคงดังแว่วๆ แล้วค่อยๆ หายไปทั้งตัวทั้งเสียง
ทันใดนั้นก็มีแนนนี่โผล่ขึ้นมาแทน เป็นชิกเก้นนั่นเองที่ปลอมตัวเป็นแนนนี่อีกครา
“เมี้ยว” แนนนี่ชิกเก้น ออกอาการแมวอย่างเคยชิน
“เอาไงดี เล่นทั้งของตัวเองทั้งของแนนนี่” ชิกเก้นตัวจริงเริ่มงง
แนนนี่ชิกเก้นพูดขึ้น “เก๊าะต้องเล่นให้แนนนี่แพ้สิ”
ชิกเก้นตัวจริงกับแนนนี่ชิกเก้นผลัดกันหัวเราะคิกคัก “ฮี่ๆๆๆๆๆ”
“คราวนี้ชิกเก้นจะได้ชนะกะเค้าสักที ฮี่ๆๆๆๆๆๆ”
“เวรก๊ำ...เวรกรรม” แนนนี่ชิกเก้นบ่น
“อ้าว พูดจาไม่สามัคคีกับตัวเองซะแร้ววววว” ชิกเก้นตัวจริงบ่น
ปีเตอร์เดินเตร่รอแนนนี่อยู่ในมหา’ลัย สักครู่แนนนี่ก็โผล่มาจากด้านหลัง ตบไหล่เรียก
“แนนนี่มาแล้วจ้า ปีเตอร์”
ปีเตอร์หันไปมา กลายเป็นอสูรสดับ
แนนนี่ตกใจ จะหนี อสูรร้ายเอาบ่วงคล้องตัว แต่คนทั่วไปจะมองไม่เห็น แนนนี่หนีไม่ได้ หายตัวก็ไม่ได้
อสูรโบกมือใส่หน้า แนนนี่สลบไป อสูรสดับรีบรับตัวอุ้มไปเรียกแท็กซี่
“ช่วยเรียกแท็กซี่ให้หน่อยครับ ลูกสาวผมไม่สบาย”
นักศึกษารีบช่วยกันโบกแท็กซี่
ไม่นานหลังจากนั้นปีเตอร์ตัวจริงลดมือถือลงจากหู โทรตามแนนนี่ยิกๆ แบบรอนานแล้ว
“แนนนี่ไม่เคยมาสาย ทำไมวันนี้สายเป็นชั่วโมงเลย ปิดมือถืออีก”
เวลาเดียวกันแนนนี่ปลอมกับชิกเก้นตัวจริงนอนกลิ้งเกลือกอยู่ด้วยกัน ช่วยไถหลังแก้คันให้กัน
ทาฮิร่าหายตัวเข้ามา แนนนี่ปลอมกับชิกเก้นสะดุ้งโหยง
“คุณยาย” แล้วนึกได้เปลี่ยนเป็นเสียงแนนนี่ “คุณยาย กลับเร็วจัง เมี้...” แนนนี่ปลอมจะร้องจะเมี้ยวแล้วนึกได้ รีบปิดปาก
“อุ๋ย งานจะเข้ามั้ยเนี่ย” ชิกเก้นตัวจริงบ่นงุบงิบ
ทาฮิร่ารู้สึกแปลกๆ เพ่งมองแนนนี่เขม็ง และค่อยๆ เห็นชิกเก้นอยู่ภายในตัวแนนนี่ ทาฮิร่าปรี๊ด...โกรธมาก
“เจ้าชิกเก้น !!! บังอาจปลอมตัวตบตาฉันเหรอ”
แนนนี่ชิกเก้นเสียงแหบไปเลย “เวรก๊ำ...เวรกรรม”
ผ่านไปหลายชั่วโมง ปีเตอร์ยังรอแนนนี่ยู่ ระหว่างนั้นมือถือขึ้นดัง ปีเตอร์รีบกดรับ
“ปีเตอร์ครับผม” พอรู้ว่าเป็นทาฮิร่าโทรมา ก็ตกใจ “อะจ๊าก คุณยาย...”
พริบตานั้น ทาฮิร่าหายตัวมาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังปีเตอร์ ทาฮิร่ายังถือมือถืออยู่ หน้าดุสุดๆ
ทาฮิร่ามองปีเตอร์อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ขณะพูดมือถือ “รู้แล้วใช่มั้ยว่าทำความผิด”
ปีเตอร์รู้สึกได้ว่ามีเสียงพูดอยู่ข้างหลัง หันไป อ้าปากค้าง หน้าจ๋อยสุดๆ
“คะ-คะ-คุณยาย...”
ทาฮิร่าปิดมือถือเก็บถามอย่างเอาเรื่อง “แนนนี่อยู่ที่ไหน”
“แนนนี่ยังมาไม่ถึงเลยครับ”
ทาฮิร่าชักสังหรณ์ใจขึ้นมา “อะไรกัน แนนนี่ออกมาเป็นชั่วโมงแล้ว”
“แนนนี่ยังมาไม่ถึงจริงๆครับคุณยาย” ปีเตอร์ยังเถียงต่อ
ทาฮิร่าชักยั๊ว “แล้วเธอก็ไม่โทร.ตาม”
“ถ้าคุณยายโทร. คุณยายจะทราบว่ามือถือแนนนี่ปิด”
ทาฮิร่านิ่งไปยอมรับว่าจริง เพราะโทร.ไปแล้ว
ทาฮิร่าเสียงอ่อนลง “ลองโทร.อีก”
ปีเตอร์กดโทร.ซ้ำที่โทร.แล้ว มีสัญญาณโทรศัพท์ ปีเตอร์ดีใจสุดขีด
“มีสัญญาณแล้วครับคุณยาย”
เสียงทางปลายสายกดรับ
“แนนนี่”
มือสดับจับมือถือแนนนี่แนบหู ในขณะที่แนนนี่นอนสลบอยู่บนแท่นในท่านอนที่สวยงามราวกับเจ้าหญิงนิทรา
สดับหัวเราะในคอ ฟังดูน่ากลัว “นังแนนนี่มันยังพูดกับแกไม่ได้หรอก”
ปีเตอร์ทั้งตกใจทั้งโกรธ “เฮ้ย แกเป็นใคร ทำไมมารับโทรศัพท์ของแนนนี่”
ทาฮิร่าเครียด รู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องร้ายแน่ๆ กระชากมือถือไป “มานี่ ฉันพูดเอง” กรอกหูพูด
โทรศัพท์ “นั่นใคร”
สดับหัวเราะกึกก้อง สดับยังไม่เคยเห็นทาฮิร่า จึงคิดว่าเป็นบานเย็น
“คู่ปรับของแกยังไงล่ะ นังแม่มด”
ทาฮิร่าสั่นไปทั้งตัว ทั้งโกรธทั้งหวั่นวิตก ห่วงแนนนี่ พูดไปเพ่งจิตไป ปีเตอร์ฟังอย่างร้อนใจอยู่ใกล้ๆ
“แก...ถ้าแนนนี่เป็นอะไร ฉันจะถล่มรัง แกให้ราบ”
“แสดงว่าแกรู้จักรังฉันแล้ว ดี ไปพบกันที่นั่น”
สดับปิดมือถือ แต่ไม่มีทีท่าจะไปไหน ยิ้มร้ายเจ้าเล่ห์ หัวเราะในลำคอ ทาฮิร่าส่งมือถือคืนปีเตอร์ ขณะกำลังยังเพ่งกระแสจิตอยู่
ภาพที่จิตทาฮิร่ามองเห็น เป็นภาพเลือนรางมาก ของสถานที่ที่สดับพาแนนไปไว้ ซึ่งไม่ใช่บ้านสดับ เพ่งเท่าไหร่ก็ดูแทบไม่ออก แต่มีจุดสังเกตเด่น
“มันเอาแนนนี่ไปไว้ที่ไหนครับคุณยาย” ปีเตอร์ถาม
“มองไม่ออกเลย แต่ยายเห็น...” ทาฮิร่าชะงัก ไม่อยากให้ปีรู้ว่าทามีอำนาจจิต “...มันบอกว่ามี...”ทาฮิร่าบอกลักษณะจุดเด่นที่เห็นในจิต ปีเตอร์ดันรู้จักซะงั้น
“ปีเตอร์รู้จักที่นั่นครับ ไม่ไกล ปีเตอร์ซิ่งรถไปให้ครับ”
ทาฮิร่ารีบพุ่งไปพร้อมกับปีเตอร์
แนนนี่ยังสลบอยู่ เพราะมนต์ของอสูรสดับที่ยืนมองอย่างสาสมใจ
“ได้ตัวแกมานี่เท่ากับได้หลายต่อ ได้ตัวล่อแม่มดมากำจัด แล้วยังได้แกเป็นตัวนำอสูรเข้าสู่เมืองแม่มดอีกด้วย”
อสูรสดับหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ เสียงกึกก้อง
สักครู่สดับแบบมือ อุปกรณ์เจาะเลือดของอสูรค่อยๆ ออกมาจากเนื้อบริเวณข้อมือของสดับ เป็นอุปกรณ์ขนาดเหมาะมือที่ออกแบบมาทั้งน่ากลัวน่าหวาดเสียว บริเวณปลายเป็นเหล็กแหลมเพื่อใช้เจาะเลือด
อสูรสดับมองอุปกรณ์ อุปกรณ์ออกมาจนสุดอัน สดับกุมอุปกรณ์ มองแนนนี่
ปีเตอร์เหยียบจนมิด ทาฮิร่านั่งเกร็งพึมพำคาถาไม่ให้ปีเตอร์ได้ยิน
“อุมมา อุมมา เฮโมโกลบินา”
แนนนี่ยังหลับอยู่บนแท่น อสูรสดับเข้ามามองแนนนี่ จากใบหน้าเลื่อนไปตามไหล่ แขน ไปสุดที่ข้อมือ อสูรสดับจับข้อมือแนนนี่ ยกที่เจาะเลือดขึ้น และเจาะเลือดแนนนี่ที่ข้อมือ พร้อมกับหัวเราะเสียงดังกึกก้อง
แนนนี่ยังสลบอยู่อย่างนั้น สดับหัวเราะต่อ มองไปที่ข้อมือ แล้วสดับก็หยุดหัวเราะกึก หน้าเปลี่ยนทันทีทันใด กลายเป็นใบหน้าถมึงทึงแบบผิดคาดสุดๆ
บริเวณข้อมือแนนนี่ที่ถูกเหล็กแหลมเจาะ มีหยดเลือดสีแดงเหมือนเลือดของมนุษย์ ไหลรินเป็นสาย
ด้านปีเตอร์ซิ่งสุดฤทธิ์ ในขณะที่ทาฮิร่านั่งภาวนาด้วยความร้อนใจ ห่วงใยหลานเลิฟสุดๆ ทาฮิร่าไม่แน่ใจว่ามนต์ที่ว่าไปจะช่วยแนนนี่ได้หรือไม่
นึกประหวั่นว่าอาจโดนพลังอสูรบล็อก แต่จริงๆ แล้วเลือดแนนนี่เป็นสีแดงเองโดยธรรมชาติ ไม่ใช่โดยเวทมนตร์ตบตาอสูรสดับที่ทาฮิร่าเสกไปช่วย
ทาฮิร่าพึมพำ ใจจะขาดรอนๆ “บรรพชนแม่มดช่วยปกป้องหลานข้าด้วยเถิด” หันมาทางปีเตอร์ “พ่อเปอร์ตี้ จะถึงหรือยัง เร็วอีกได้มั้ย”
“เร็วสุดแล้วครับ เร็วกว่านี้ก็เหาะแล้วครับคุณยาย”
ทานึกได้ทันใด หลับตาเริ่มทำปากขมุบขมิบร่ายคาถา แต่แล้วนึกได้ว่าไม่รู้ที่ทางก็ตกใจ ว่าคาถายังไม่จบ ลืมตาทันใด
“ว้าย แล้วฉันจะรู้มั้ยว่าไปที่ไหน”
แต่ไม่ทันแล้ว เพราะรถปีเตอร์พุ่งตัวเร็วปรี๊ดเหมือนกับเหาะได้ แต่ยังวิ่งเรี่ยถนน เพราะทาฮิร่าว่าคาถาไม่จบ ปีเตอร์ไม่รู้เรื่องนึกว่ารถเบรกแตก บังคับรถสุดชีวิต
“เฮ้ย เบรกอะไรจะมาแตกตอนนี้” แต่ปีเตอร์ก็ชอบอะไรที่ท้าทาย “ได้...เบรกแตกก็แตกไป ปีเตอร์จะสวมวิญญาณนักซิ่งโมโตครอสก็ได้....”
ปีเตอร์บังคับรถด้วยฝีมือระดับนักแข่งขั้นเทพ ทาฮิร่านั่งหน้านิ่งแต่แอบยิ้มกริ่ม อย่างพอใจ
ด้านสดับเดินหน้าเหี้ยมถมึงทึงเข้ามาหาแนนนี่
“ในเมื่อแกเป็นมนุษย์ แกก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับฉัน”
อสูรสดับเงื้อที่เจาะเลือด กะแทงทะลุหัวใจแนนนี่ ทันใดนั้นก็มีแสงวาบเป็นสายยาวพุ่งแรงเข้ามากระแทกมือสดับ อุปกรณ์เจาะเลือดหลุดมือลอยหวือไปหล่นไกลๆ มีใส่เสียงหล่นดังแว่วๆ มาด้วย สิ่งที่ลอยเข้ามากระแทกมือสดับลอยหวือกลับไปทางเดิม แสงดับไป
อสูรสดับโกรธแค้นสุดๆ หันขวับ เห็นอะไรบางอย่างซึ่งก็คือแม่มดทาฮิร่า แต่สดับยังดูไม่ออก ลอยวืดอย่างรวดเร็วเข้ากระแทก สดับไม่ทันตั้งตัว กระเด็นไปไกลพอควร แต่ไม่ล้ม หมุนตัวกลับมาตั้งหลักได้ มองอย่างโกรธแค้น
ทาฮิร่ายืนจังก้าโกรธหน้าตาเอาเรื่องแบบวันนี้ยอมตาย อสูรสดับแค้นสุดๆ เสียงบรรยากาศสะเทือนเลื่อนลั่นรับอารมณ์โกรธ
อสูรสดับไม่รู้จักทาฮิร่า “แกเป็นใคร”
“พงศ์พันธุ์ชั้นต่ำอย่างแกฉันไม่ให้รู้จักให้ฉันเสื่อมราศีหรอก”
ทาฮิร่าร่ายมนต์เคลือบกันกลิ่นแม่มดแล้ว ทำให้อสูรสดับไม่รู้ว่าทาฮิร่าเป็นใคร แต่มันกลับยิ่งโกรธจัด เสียงฟ้าคำรามครืนครัน สดับพุ่งเข้าชนทาฮิร่าทันที
“อ๊าก”
ปีเตอร์ทะเล่อทะล่าเข้ามาพุ่งเข้าชกสดับอย่างแมนโครต
“อย่ารังแกเด็ก สตรี และคนชรา...”
อสูรสดับชกสวนกลับปีเตอร์สุดแรง กึ่งชกกึ่งฟาดด้วยหมัดพลังอสูร ร่างปีเตอร์กระเด็นลอยไปไกล ปีเตอร์ไม่สำเหนียกว่า ตัวเองกำลังสู้กับพลังเหนือมนุษย์ แต่นึกว่าสู้กับคนตัวโตกว่า และแรงเยอะกว่า เท่านั้น
ร่างปีเตอร์กระเด็นไปกระแทกผนังจนสลบไป
ทาฮิร่าอาศัยจังหวะนั้นรีบร่ายคาถาคลายมนต์อสูร แต่สดับพรวดพราดเข้ามาคว้าคอทาฮิร่าด้วยมือเดียว
แนนนี่ฟื้น อยู่ในอาการงัวเงีย แล้วหายทันใดเมื่อเห็นภาพยายกำลังจะโดนอสูรเหวี่ยงสุดแรงเอาถึงตาย ด้วยพลังความตกใจผสมความโกรธ แนนนี่กระโจนพรวดเดียวด้วยพลังแม่มด ลอยตัวชาร์จสดับอย่างแรง โดยที่แนนนี่ยังไม่รู้ว่าสดับถูกอสูรใช้ร่างเป็นพาหะ สดับถึงกับเสียหลัก จนต้องยอมปล่อยคอทาฮิร่า
แนนนี่ผวาไปดูทาฮิร่า “ยาย”
สดับโผนทะยานเข้ามา
“แนนนี่ หลบไป”
ทาฮิร่าตะโกนบอกพลางผลักร่างแนนนี่อย่างแรง แนนนี่กระเด็นไป ทาฮิร่าจึงโดนพลังอสูรเข้าไปแบบจัดเต็ม รุนแรงสุดๆ
ทาฮิร่ากระอักเลือด แต่กลั้นกลืนไว้ ไม่ให้เลือดไหลออกมา เห็นแค่เลือดตรงมุมปากนิดเดียว ทารีบเช็ด เลือดทาฮิร่าไม่ใช่สีแดง เป็นสีเลือดของแม่มด!!
อสูรสดับพุ่งเข้ามาจะซ้ำทาฮิร่าต่อ ทาฮิร่าไม่ทันตั้งตัว ประกอบกับยังกระอักอยู่ โดนเข้าไปอีกดอก เต็มๆ ร่างแม่มดแห่งเมืองเวทย์กระเด็นลอยไป
แนนนี่โกรธสุดขีด พลังแม่มดอัดเต็มร่าง พุ่งเข้าสู้กับอสูรสดับอย่างไม่กลัวเกรง
“ทำร้ายยายฉัน แกตาย”
สดับกับแนนสู้กันต่ออีกสักพัก ลอยตัวสู้กันในอากาศ แต่เพราะแนนนี่ยังอ่อนด้อยกว่าอสูรสดับ นัก แต่ก็สู้ตายสุดชีวิตปกป้องยาย
ทาฮิร่าสยบความเจ็บปวดทั่วร่างด้วยมนตรา แต่จะหยุดยั้งได้ระดับหนึ่งและชั่วคราวเท่านั้น แล้วกระโจนไปร่วมวงสู้ แต่สุดท้ายทั้งทาฮิร่าและแนนนี่เสียท่าอสูรสดับ ล้มกลิ้งโค่โล่กันไปทั้งคู่ เจ็บจุกสุดๆ
อสูรสดับหัวเราะกึกก้องอย่างผู้ชนะ เข้ารวบคอทาฮิร่ากับแนนนี่คนละมือ ยกลอยสูงขึ้น สุดแขน กำลังจะฟาดลง แต่
เสียงปัทมนซึ่งอยู่ในอาการตกใจสุดๆ ดังขึ้นมา “แนนนี่... คุณยาย...”
รัศมีสีทองอร่ามของพระพุทธคุณแผ่เข้ามา สดับสู้ไม่ได้รีบปล่อยแนนนี่กับทาฮิร่าร่วงลงไปกองกับพื้น
“โอ๊ย” อสูรร้ายร้องขึ้น แล้วร่างสดับก็หายไป
ทาฮิร่ากับแนนนี่สลบไป ปัทมนกับภวัตวิ่งเข้ามา ภวัตพุ่งเข้าไปประคองแนน ในขณะที่ปัทประคองทาฮิร่า
ปัทมนร้องไห้โฮ “คุณยาย...”
ภวัตกอดประคองแนนนี่แบบชายหนุ่มประคองหญิงคนรัก น้ำตาซึม หัวใจเจียนสลาย
“แนนนี่...แนนนี่...อย่าเป็นอะไรนะ พี่จะพาแนนนี่ไปหาหมอ
ภวัตช้อนร่างอุ้มแนนนี่ขึ้นมา เป็นจังหวะที่ปีเตอร์งัวเงียฟื้นขึ้นมาพอดี
ปีเตอร์เจ็บศีรษะ เจ็บไปทั้งตัวบ่นอุบ “โอย...ถือว่าตัวใหญ่กว่าเหรอวะ”
ปีเตอร์เริ่มรับรู้ ได้ว่าไม่มีการต่อสู้ และได้ยินเสียงร้องไห้ จึงหันมอง
“คุณยาย คุณแม่ปัทมน” ปีเตอร์ยันตัวลุกขึ้นวิ่งไปหา
“ปีเตอร์ รีบพาคุณยายไปหาหมอเร็วปีเตอร์”
ปัทมนร้องบอก ปีเตอร์ช้อนร่างหมดสติของทาฮิร่าออกไปที่รถทันที
ไม่นานหลังจากนั้น ทาฮิร่านอนหมดสภาพอยู่ เมื่อทาฮิร่าค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ยังรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์ ที่แท้ทาฮิร่าอยู่ในห้องพระที่บ้านปัทมน โดยมีปัทมน แนนนี่ และภวัต อยู่ข้างๆ ด้วยความห่วงใยสุดๆ
ชิกเก้นอยู่ด้วย ห่วงใยมากเช่นกัน แนนนี่ร้องไห้จนตาบวมช้ำ รีบเช็ดน้ำตา ปัทมนก็หน้าช้ำเพราะร้องไห้ตลอดเวลา เมื่อเห็นทาฮิร่าฟื้น สองแม่ลูกดีใจมาก หัวเราะทั้งที่กำลังร้องไห้
แนนนี่โผเข้าไปกอดยาย ทาฮิร่านิ่วหน้านิดๆ ยังบาดเจ็บภายในมาก แต่ยิ้มซ่อนอาการ
“ยาย... แนนนี่คิดว่ายายจะตายซะแล้ว”
“ใครเขาพูดอย่างนี้กันลูก” ปัทมนเอ็ดอย่างเอ็นดู
“ไม่เป็นไรหรอกคุณปัทมน เด็กรุ่นนี้ก็พูดกันอย่างนี้ละ” ทาฮิร่าว่า
“งั้นผมเป็นเด็กรุ่นนี้บ้าง คุณยายยังดื้อเหมือนเดิมเลยนะครับ ไม่ยอมไปโรงพยาบาล” ภวัตเอ่ยขึ้น
“ฉันกลัวเข็มฉีดยาที่สุดในชีวิต เห็นแล้วเป็นลม” ทาฮิร่าเย้าเล่น
“เวรก๊ำ...เวรกรรม หญิงแกร่งเก่งสารพัด แค่เห็นเข็มฉีดยาเป็นลมซะแระ” ชิกเก้นสบโอกาส
“แกไม่กลัวใช่มั้ย ฉันจะได้จับฉีดยากันโรคพิษแมวบ้า นี่เข้าหน้าร้อนพอดี” ทาฮิร่าขู่บ่าวคู่ใจ
ชิกเก้นสะดุ้ง กระโดดทีเดียวไปหมอบอยู่ใต้โต๊ะหมู่บูชา
“เมี้ยวว ชิกเก้นไม่อาวววดีกว่า”
ทุกคนหัวเราะกัน
ทาฮิร่ากับภวัต “ฉันรู้ว่าแนนนี่ไม่เป็นอะไรมาก” มองสบตาบอกนัยกับภวัต
ภวัตมองตอบ เข้าใจความหมายที่ทาฮิร่าส่งซิกให้ว่า ไม่ต้องห่วงแนนนี่มีพลังพิเศษ
ทาฮิร่าพูดต่อ “และฉันเองก็จะไม่เป็นไร แค่สังขารสึกหรอนิดหน่อย พักสักเดี๋ยวก็หาย”
“ถ้าอย่างนั้นผมกลับโรงพยาบาลนะครับ” ภวัตไหว้ลาทาฮิร่าและปัทมน
ทาฮิร่ายิ้มกับปัทมน ซึ้งใจภวัต
“ขอบคุณนะคะคุณปัทมนที่ไปช่วยแนนนี่กับยาย คุณทราบได้ไง”
“ชิกเก้นโทร.บอกค่ะ บอกสถานที่เสร็จสรรพ”
ชิกเก้นโผล่หน้ามาจากใต้โต๊ะหมู่บูชา “เห็นความดีของแมวบ้างหรือยัง”
“เออ เดี๋ยวจะให้กินปลาทูแม่กลองร้อยตัวเลย” ทาฮิร่าบอก
“ขอแค่อิ่มก็พอ ชิกเก้นไม่อยากหน้าหักเหมือนปลาทู เดี๋ยวไม่หล่อ สาวไม่รัก”
ทุกคนหัวเราะกัน แต่ทาฮิร่ากระอักเลือดออกมา ตกใจกันหมด
“ยาย” แนนนี่ตกใจเอามากๆ
“คุณยาย”
“ยายไม่เป็นไรหรอก เอาเลือดเก่าออกแล้วอีก 3-4 วันก็หาย แนนนี่ไปเอาย่ามสมุนไพรมาให้ยาย”
“จ้ะยาย”
ทาฮิร่าเห็นแนนนี่ออกไปแล้วจึงหันมาพูดกับปัทมน
“วันนี้ฉันเห็นพลังของแนนนี่แล้ว หากแนนนี่เป็นอสูร ฉันบอกตรงๆ ว่าหนักใจมากเมื่อแนนนี่อายุครบ 22 แต่หากแนนนี่เป็นแม่มด แนนนี่จะเป็นแม่มดที่พลังสามารถสู้อสูรได้ และ...” ประกายตาทาฮิร่าขณะพูดดูมีความหวัง “...น่าจะปราบอสูรได้”
ปัทมนฟังแล้วยิ่งหนักใจ ไม่อาจบอกทาฮิร่าเรื่องของดารกาที่ตัวเองรู้ได้ สีหน้าแววตาของปัทมนยามนี้ดูออกว่ากำลังกลัดกลุ้มสุดๆ
“น้องดา...แนนนี่...นี่พี่น้องจะต้องมาฆ่ากันเองหรือนี่ หากน้องดาเป็นอสูรจริง น้องดาต้องถูกเอาชีวิต หากแนนนี่เป็น แนนนี่ก็ต้องถูก เขาฆ่าเหมือนกัน นี่แม่จะช่วยลูกของแม่ได้ยังไง”
ปัทมนเศร้าจับจิต น้ำตาเอ่อล้น ค่อยๆ หยาดรินไหลออกมา หัวใจแม่จะขาดรอนๆ
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป มาเมื่อไหร่ เรียบเรียงเสร็จ รีบอัพให้อ่านกัน...ทันควัน