ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 12
ยามาดะกับยูกิ ลงจากท้ายรถอีแต๋นเก่าๆ ตรงบริเวณปากทางติดกับถนนใหญ่ ทั้งสองขอบคุณคนขับ แล้วแวะพักข้างทาง
“คุณอยากจะไปไหน”
“ฉันอยากกลับบ้าน”
“ผมจะพาคุณไปทุกที่ที่อยากไป”
ยูกิยิ้ม ยามาดะโบกรถแท็กซี่ที่ผ่านมา แล้วพายูกิขึ้นรถไป พอแท็กซี่ที่ยามาดะและยูกิขึ้นออกไป รถของไคคุงก็มาจอดที่ปากทาง ทั้งหมดลงจากรถ
“นี่เราหากันมาถึงปากทางแล้ว ไม่มีแม้แต่เงาเลยนะ” วราพรรณบอก
“ถ้าเขาหลุดมาถึงตรงนี้ได้ ฉันว่าเขาคงไปไกลตามที่ใจเขาอยากไปแล้วล่ะ ปล่อยเขาไปเถอะ”นับดาวพูด
“ไม่ได้ ฉันไม่เจอยูกิไม่ได้” ไคคุงโวยวาย
“แล้วจะให้ฉันทำไง นี่ตั้งแต่บ่ายฉันก็ไม่เคยหยุดหาเลย ถ้าคุณเป็นแฟนเธอคุณนั่นแหละต้องรู้ว่าเธอจะไปไหน”
“อ้าว มาโบ้ยกันแบบนี้”
“เสียเวลาจริงๆเลยมากับเธอเนี่ย รู้มั้ยถ้าคุณไทไม่มียูกิจะเป็นยังไง” วราพรรณบ่น
“ก็ช่างมันสิ ตอนนี้ทุกอย่างมันล่มไม่เป็นท่าแล้ว ยังจะเอายูกิไปทำไมอีก ฉันว่าเผลอๆ คอนเสิร์ตก็ไม่ได้จัดมันแล้ว ...ก็ดี ฉันไม่ชอบขี้หน้ามัน” ไคคุงพูดอย่างสะใจ
นับดาวถอนหายใจ
“ฉันอยากกลับบ้านแล้ว ยังไงเราก็คงไม่เจอยูกิ เราแยกย้ายกันเลยดีกว่า”
ไคคุงเอาปืนจ่อนับดาว
“จะไปไหน”
“จะกลับบ้าน ถึงกับจะต้องฆ่ากันเลยรึไง ก็แล้วแต่ละกัน ฉันไม่แรงจะสู้เพื่ออะไรอีกแล้ว”
“ก็รู้อยู่ว่าตอนนี้พวกเราไม่มีใครรู้เรื่องไปมากกว่าใครแล้ว จะฆ่ากันไปทำไม สุดท้ายก็ไม่เจอยูกิอยู่ดี ฉันว่าคุณเอาเวลาไปหายูกิของคุณเถอะ” วราพรรณแนะ
ทุกคนมองดูไคคุงว่าตกลงจะเอายังไง ไคคุงหงุดหงิดลดปืนลง
“ฉันรู้นะวาพวกแกอาศัยอยูทีไหนกันมั่ง ถ้ายูกิไม่กลับมาในเร็วๆนี้ ฉันตามไปฆ่าพวกแกยกครอบครัวแน่”
ทั้งหมดมองหน้ากันเหมือนจ๋อยๆ เพราะต่างไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ทุกคน
เป็นไทมาที่สนามบินอย่างเศร้าๆ เขายืนต่อแถวเช็คอิน ตั้งใจจะไปเชียงใหม่ อยากหนีไปไหนไกลๆสักพัก ยูกิกับยามาดะมาถึงสนามบิน ยูกิเดินผ่านเป็นไทไป ต่างไม่เห็นกัน
ยามาดะ กับยูกิยืนอยู่หน้าเค้าน์เตอร์ขายตั๋ว
“ผมเช็คแล้ว เที่ยวบินที่เร็วที่สุดที่จะไปญี่ปุ่นคือสายการบินนี้แหละ”
“ดีสิ”
“ผมขอพาสปอร์ตด้วย จะได้จัดการเรื่องให้”
“พาสปอร์ต ...” ยูกิหน้าเสีย “มันอยู่ในกระเป๋าเดินทางที่โรงแรมตั้งแต่ฉันยังไม่ถูกลักพาตัว ซึ่งตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่ามัน...”
“ถ้างั้น...ผมจะลองไปถามเจ้าหน้าที่นะ เผื่อจะมีวิธีแก้ไขอย่างอื่น”
“ขอบคุณนะ”
ยามาดะเดินไป เหลือยูกิยืนอยู่คนเดียว ยูกิเดินมาตามทางเธอเหลือบไปเห็นเป็นไทเข้าจนได้ เธอเดินเข้าไปหา
“คุณเป็นไทใช่มั้ย”
เป็นไทเงยหน้ามาเห็นยูกิ
“นี่คุณจะเอายังไงกับผมอีก สิ่งที่คุณทำไปวันนี้มันยังไม่พออีกใช่มั้ย ผมถอยออกมาอย่างคนแพ้แล้ว คุณยังจะตามผมมาเพื่ออะไร”
ยูกิงง
“เอ่อ...คือ...”
“แล้วไม่ต้องมาทำพูดสำเนียงญี่ปุ่นกับผมเลยนะ เลิกเสแสร้งแกล้งทำแบบนี้ซักที ผมไม่ไหวกับคุณแล้วนะ”
“คือ...”
“ตกลงคุณไม่ไปใช่มั้ย...ได้ คุณไม่ไปผมไปเอง”
เป็นไทเดินแยกจากยูกิไปอย่างโมโห ยูกิยืนงงๆ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยามาดะเดินมาหายูกิ
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“ผมถามให้แล้ว...ยังไงก็ต้องมีพาสปอร์ต ถ้าหาเล่มเก่าไม่เจอ เราต้องไปติดต่อที่สถานฑูต”
ยูกิพยักหน้ารับ แต่เธอก็ยังมองตามเป็นไทอย่างงงๆอยู่
เป็นไทเข้ามาในห้องน้ำ เจ็บใจที่เจอยูกิที่เขาคิดว่าเป็นนับดาว เขาทุบกำแพงอย่างอึดอัด
“ออกไปจากชีวิตฉันซักที”
เป็นไทระบายความเก็บกดกับกำปั้น เขาทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านั้น
นับดาวเดินเข้าห้องทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า ไม่อยากจะทำอะไรอีก วราพรรณมานอนลงข้างๆ
“พรุ่งนี้ชีวิตคงเหมือนเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เลยสินะ”
“จบซะทีก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ไม่ต้องทำร้ายใครอีก ทั้งคุณไท ทั้งยูกิ”
“แกไม่ได้ทำร้ายยูกิซักหน่อย”
“ฉันอยู่ในชีวิตยูกิ โคตรสบาย แต่ยูกิต้องไปถูกขังอยู่ในที่แบบนั้น ถึงฉันไม่ทำร้าย ฉันก็เอาเปรียบเธออยู่ดี”
“เอาน่า อย่าโทษตัวเองให้มากนักเลย”
“แต่การที่แกโยนความผิดทุกอย่างให้เจ้านายแกมันก็ไม่ถูก ฉันเป็นคนเริ่มต้นเป็นยูกิเอง ไม่ใช่เพราะเจ้านายแกสั่ง แล้วเจ้านายแกก็ไม่รู้เรื่องว่ายูกิอยู่ที่ไหนด้วย”
“เอาน่า...หยวนๆ ไหนๆก็ก่อการร้ายแล้ว มันก็มีผลกระทบอื่นๆพ่วงมาด้วย ไม่เห็นจะเป็นไร”
“แต่ความรู้สึกผิดของฉันมันไม่หายไปหรอกนะ”
นับดาวเอาหน้าซุกหมอนต่อไป วราพรรณเห็นเพื่อนแล้วก็กลุ้มใจ
กลางดึก...นับดาวนั่งริมหน้าต่างคนเดียว มองขึ้นไปบนฟ้า มีแสงไฟของเครื่องบินวับ วับ ชัดกว่าดวงดาว นับดาวเดินมาจัดกระเป๋าของยูกิให้เหมือนเดิมตอนที่มา เธอคืนเสื้อผ้า พาสปอร์ต และทุกอย่างของยูกิเข้าที่เดิม และปิดกระเป๋าลง
“ฉันคืนชีวิตให้เธอแล้วยูกิ”
ทางด้านรจนาเปิดดูทีวีที่เป็นข่าวเรื่องยูกิตัวจริง ตัวปลอมที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เธอดูแล้วก็สงสารหลานตน พอได้ยินเสียงนับดาวลงมา เธอรีบเปลี่ยนช่องทีวีทันทีเป็นรายการจับรายชื่อผู้โชคดี
“ดูข่าวอะไรน่ะย่า”
“ข่าวการเมือง น่าเบื่อ ไม่มีอะไรหรอก”
“ตอนนี้ย่ายังมีงานจ้างอยู่ใช่มั้ย”
“อ้าวๆ ทำไมถามแบบนั้น ตั้งใจจะมีเรื่องใช่มั้ย”
“ก็หนูกลัวสิ่งที่หนูทำมันจะไปมีผลกระทบกับย่า”
รจนาเดินเข้ามาลูบหัว
“ถ้าเราทำดี…ไม่มีอะไรต้องกลัว”
“แล้วถ้าเราทำไม่ดีล่ะ”
“ความผิดมันจะติดที่หัวใจไปตลอดชีวิต”
นับดาวดูโทรทัศน์ พิธีกรประกาศ
“และผู้โชคดีที่ได้ไปเชียงใหม่กับแพนเค้กก็คือคุณนับดาว จุลพงษ์นะครับ ติดต่อกลับมายังทางรายการด้วยนะครับ”
นับดาวอึ้ง ตะลึงดีใจ ร้องกรี๊ก เต้นเร่าๆ มองย่า
“หนูคือผู้โชคดี ได้รับตั๋วเครื่องบิน ไปเชียงใหม่กับแพนเค้ก” นับดาวหันไปหาย่า “ย่าเราได้รางวัล”
“จริงเหรอ...”รจนา กริ๊ดไปด้วย “ไปเมื่อไหร่”
“..นั่นน่ะสิ”
นับดาวส่ายหน้าว่าไม่รู้เหมือนกัน
นับดาวกับรจนาเดินทางมาที่สำนักงานหมากฝรั่ง เพื่อติดต่อขอรับตั๋วเครื่องบินที่ได้รางวัล พนักงานบอกกับเธอว่าต้องเดินทางพรุ่งนี้ นับดาวถึงกับอึ้งไป
“พรุ่งนี้!”
พนักงานชี้ในตั๋ว
“ใช่ค่ะ”
รจนาเซ็งเลย
“จะบ้าเหรอ บอกข่าวเมื่อวาน จะให้ไปพรุ่งนี้ ใครจะไปเตรียมตัวทัน”
“ก็ไม่เห็นต้องเตรียมตัวอะไรนี่คะ เราเตรียมไว้ให้หมดแล้ว”
“งานการล่ะ ไม่ให้ลาล่วงหน้าเลยรึไง” รจนาเถียง
พนักงานมองรจนา
“หน้าแบบนี้น่าจะเกษียณแล้วมั้งคะ ไม่น่ามีปัญหา”
รจนาฉุนกึก
“พูดอย่างนี้...พูดอย่างนี้...”
“แต่ถ้าไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะคะ สละสิทธิ์ก็ได้”
พนักงานดึงตั๋วกลับ นับดาวจึงถามขึ้น
“แล้วแพนเค้กล่ะ”
“พอดีว่าทางคุณแพนเค้กติดงานกะทันหันน่ะค่ะ”
นับดาวหน้าเหวอ
“อ้าว”
“ทางเราเลยชดเชยอัพเกรดเรื่องที่พัก ตั๋วเครื่องบิน แล้วสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆให้น่ะค่ะ”
รจนาไม่พอใจ
“ไม่มีใครพร้อมแล้วทำไมไม่เลื่อนล่ะ”
“ถ้าต้องเลื่อน ทางเราก็ไม่พร้อมค่ะ จริงๆทางเราก็ต้องขอโทษด้วย จริงๆทางเราจะมีพ็อคเก็ตมันนี่ให้เป็นค่าชดเชยด้วย ก็เหมือนว่าไปเที่ยวครั้งนี้ไม่ต้องใช้เงิน แถมกินอยู่อย่างราชา ถ้าทางคุณไม่พอใจ”
นับดาวดึงตั๋วคืนอย่างรวดเร็ว
“ไปค่ะ ไป”
รจนาหันขวับไปมองหน้าหลานสาว
รจนายืนรอรถเมล์กับนับดาวอยู่ที่ป้ายรถเมล์ เธอยังบ่นไม่หยุด
“ไปเอามาทำไม เอามาก็คือยอมรับเงื่อนไข ทั้งที่บริษัทมันโกงชัดๆ บอกว่าได้รางวัล แต่ให้ไปพรุ่งนี้ ไม่มีแพนเค้ก ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขซักอย่าง ย่าจะไปร้องเรียนกับสมาคมคุ้มครองผู้บริโภค”
“ไม่เอาน่าย่า เรื่องใหญ่เปล่าๆ แค่นี้เรื่องหนูก็เยอะจะแย่แล้ว”
“แต่มันทำแบบนี้ไม่ได้”
“แต่มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ เราไม่ต้องลางานใครอยู่แล้ว”
“มีสิ...พรุ่งนี้ย่าได้รับเชิญให้ไปขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ในรอบ 20 ปี ของวงพอสสิเบิ้ล ลองคิดดู วงพอสสิเบิ้ลนะ แล้วย่าได้ไปเป็นแขกรับเชิญ ย่าจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้ยังไง”
“ถึงว่าสิ ถึงกับจะต้องร้องเรียนสมาคมคุ้มครองผู้บริโภค ที่แท้ก็ไม่ว่าง”
“แล้วจะให้ย่าทำไง”
“เลือกซักอย่างสิ จะไปเชียงใหม่ หรือจะไปร้องเพลงกับพอสสิเบิ้ล”
รจนาคิดหนัก
นับดาวนั่งจัดของใส่กระเป๋า เธอหันไปเห็นนิตยสารหน้าปกยูกิวางอยู่จึงหยิบมาดูเศร้าๆ แล้วรูปข้างในที่เป็นรูปเธอกับเป็นไทก็ร่วงลงมา นับดาวหยิบขึ้นมาดูหน้าเศร้าหมอง
“นี่ฉันคิดถูกหรือคิดผิดเนี่ย ที่จะพาตัวเองไปในที่ที่เราเคยไปด้วยกัน”
นับดาวถอนหายใจ รจนาเดินเข้ามา
“บ่นอะไรคนเดียว คุยกับเพื่อนในจินตนาการรึไง”
“เก็บกระเป๋ารึยังน่ะย่า”
รจนาเดินลงนั่งข้างๆนับดาว
“ย่าคงไม่ไป”
“อ้าว ซะงั้น”
“ย่ามาคิดดูแล้ว โอกาสที่จะได้ร้องเพลงบนเวทีใหญ่ๆ มันคงไม่ได้มาบ่อยๆกับคนอายุปูนนี้ เชียงใหม่นี่ ถ้ายังไม่ตายก็คงมีปัญญาไปได้”
“ถ้าย่าไม่ไป หนูก็ไม่ไป”
“ไปเถอะ...ไปพักผ่อน เราน่ะเจอเรื่องร้ายมาเยอะแล้ว ไปล้างมันออกซะบ้าง”
นับดาวนิ่ง เห็นด้วยกับรจนา
ยามาดะกับยูกิ นั่งพักที่ลานกลางห้างสรรพสินค้า ยูกิใส่หมวก ใส่แว่น พรางตัว
“เราจะไปสถานทูตเลยดีมั้ย”
“อย่าเพิ่งเลย ฉันเชื่อว่าคนที่บริษัทคงเก็บไว้ให้ ไม่รู้ว่าคุณเป็นไทป่านนี้เป็นยังไงบ้าง”
แม้ยูกิจะพรางตัว แต่คนก็ยังจำได้ เดินผ่านยูกิ ทุกคนคิดว่าเป็นนับดาว ยูกิตัวปลอมที่เป็นข่าว ซุบซิบกันใหญ่ ยูกิกับยามาดะรู้สึกได้
“คนนั้นคือคนที่เป็นข่าวใช่มั้ย”
“ใช่ๆ ยูกิตัวปลอม เหมือนนะเธอว่ามั้ย”
“ยังกล้ามาเดินห้างอีกเหรอ ไม่รู้จักอายบ้าง”
ยามาดะสังเกตเห็นอาการผู้คน
“เขาพูดถึงเราใช่มั้ย”
“ไม่น่าจะพูดถึงใครได้แล้วนะ แถวนี้ก็มีแต่เรา”
“ผมว่าเรารีบไปเถอะ”
ยามาดะกับยูกิพากันเดินออกไปจากตรงนั้น
วราพรรณเดินอยู่หน้าห้าง กำลังบ่นเรื่องยูกิ
“ถ้าตามหายูกิไม่เจอ เราพลิกสถานการณ์ไม่ได้แน่ๆ แต่จะไปหายูกิเจอได้ที่ไหนล่ะ”
ขณะเดียวกันนั้น ยามาดะพายูกิวิ่งชนเธอแล้วออกจากห้างไป วราพรรณงงๆหันตามไป ตกใจที่เห็น ยูกิที่ได้แต่หันมาพยักหน้าขอโทษ
“นั่นมัน…ไอ้นับดาวนี่ จะรีบไปไหนของมันวะ”
วราพรรณพยายามวิ่งตามไป
“เฮ้ย นับดาว เฮ้ย…”
เมื่อเห็นว่าตามไม่ทัน เธอจึงหยุด
“ไม่ทักเพื่อนเลยนะแก เดี๋ยวเจอคราวหน้าล่ะจะด่าให้เละเลย”
วราพรรณเดินเข้าห้างไป โดยไม่รู้ว่าคนที่เธอเจอคือยูกิ
ยามาดะกับยูกิหนีคนมาถึงริมถนน
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้ เหมือนเขาพยายามจะเรียกฉันเลย”
“พวกโรคจิตบ้าดาราน่ะ ผมว่า”
“มันเกิดอะไรขึ้นตอนที่เราหายไปกันแน่ ที่ซีซีบอกจะไปแฉยูกิตัวปลอมคืออะไร แล้วคนเมื่อกี้เขาเรียกชื่อฉันว่าอะไรนะ”
“นับดาว”
“เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉัน และนับดาวคนนั้น”
ยูกิสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
แท็กซี่จอดรออยู่หน้าบ้าน รจนากับนับดาวล่ำลากัน
“หนูไปก่อนนะย่า”
“เดินทางปลอดภัยนะลูก”
“แล้วหนูจะซื้อของมาฝากนะ”
“ไปได้แล้ว แท็กซี่รอหน้ามุ่ยแล้วนั่น”
“จ้ะย่า”
นับดาวเดินหันหลังไปที่แท็กซี่ รจนาใจหาย แท็กซี่ออกตัวไป รจนายืนส่งจนลับตา ขณะเดียวกันนั้น มอเตอร์ไซค์ของวราพรรณสวนเข้ามาจอดหน้าบ้าน
“มายืนทำอะไรตรงนี้…พอรู้ว่าหนูจะมาก็มายืนรอเลยเหรอ”
“มาก็ดีแล้ว วันนี้ว่างรึเปล่า”
“หนูจะมีงานที่ไหนให้ทำละย่า แฉเขาไว้ซะขนาดนั้น โดนไล่ออกโดยสมบูรณ์”
“ดีเลย งั้นวันนี้มาเป็นผู้ช่วยย่าหน่อย”
“อ้าว แล้วนับดาวล่ะ…หนูยังไม่ได้เคลียร์กับมัน เรื่องที่เมื่อวานเจอกันแล้วมันไม่ยอมทักหนูเลย”
รจนาแปลกใจ
“เมื่อวานเหรอ นับดาวไม่ได้ออกไปไหนนะ”
“ไม่ออกได้ไง หนูยังเจอมันที่ห้างอยู่เลย ไปกับผู้ชายอีกคน ใครก็ไม่รู้”
“นับดาวมันไม่ได้ออกไปไหนเลยจริงๆ เมื่อวานมันจัดกระเป๋าทั้งวัน”
วราพรรณแปลกใจ
“จัดกระเป๋า จะไปไหน”
“ก็ไปพักผ่อนสมองมันบ้างน่ะสิ”
“ไปไหนล่ะ ฉันไปพักด้วยสิ”
“มาพูดเอาตอนนี้ ป่านนี้มันถึงละมั้ง”
“เฮ้ย…ไรวะ ไปไหนไม่มีบอก” วราพรรณคิดได้ “แต่เดี๋ยวนะ ถ้าเมื่อวานไม่ใช่นับดาวก็ต้องเป็น…ยูกิ”
วราพรรณตกใจ รีบคว้ามอเตอร์ไซค์ทันที
“อ้าว ไหนบอกจะเป็นผู้ช่วยให้”
“เดี๋ยวกลับมาละกันนะย่า”
วราพรรณรีบร้อนขับมอเตอร์ไซค์ออกไป
สังวรณ์ถูกตำรวจสอบปากคำอยู่ บรรยากาศตึงเครียด
“เอาคุณยูกิไปไว้ไหน”
“ผมไม่รู้...ไม่รู้จริงๆ”
“พยานบอกอยู่ว่าคุณจับยูกิไปซ่อน”
“ไอ้นั่นมันไม่ใช่พยาน มันพยายามจะทำลายชื่อเสียงผม”
“คุณมีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าคุณไม่ได้จับตัวยูกิไป”
“คุณก็ไปหาตัวยูกิให้เจอสิ ยูกิจะบอกเองว่าไม่ใช่ผม”
“นี่ท้าเจ้าหน้าที่เหรอ”
“ไม่ได้ท้า ก็อยากให้หาหลักฐานมาพิจารณาคดี”
“อ๋อ นี่คิดว่าเราทำคดีมั่วๆ ดูหมิ่นเจ้าพนักงานอีกใช่มั้ย”
“ไม่ได้หมิ่นอะไรเลย แค่อยากคุยด้วยดีๆ”
“แน่ะ ว่าเจ้าพนักงานข่มขู่อีก”
“เอาเข้าไป...มองโลกในแง่ร้ายนะเนี่ยเรา”
สังวรณ์เซ็งๆ
วราพรรณยืนอยู่ที่หน้าห้างสรรพสินค้า มองคนเดินเข้าออกว่าใช่ยูกิมั้ย เห็นใครก็เป็นยูกิไปหมด บางครั้งก็เดินเข้าไปใกล้ๆ ชะโงกดูหน้าเลยทีเดียว ทำเอาคนตกใจ เดินหนีกันไปหมด
“ยูกิใช่มั้ย...อ้าวไม่ใช่...ยูกิ...ไม่ใช่อีกแล้ว เอ๊ะ ทำไมเห็นใครก็เป็นยูกิไปหมดเลยเนี่ย”
วราพรรณยังชะโงกหน้าดูคนโน้นคนนี้ต่อไป
ยามาดะกับยูกิยืนอยู่หน้าออฟฟิศเป็นไท
“คุณมาทำไมที่นี่”
“ที่นี่แหละ จะบอกฉันได้ว่าเกิดอะไรขึ้นตลอดเวลาที่ฉันหายไป”
ยูกิมองไปข้างในอย่างมาดมั่น แล้วเดินเข้าไปในออฟฟิศ
องอาจกำลังคุยกับประชาสัมพันธ์อยู่ด้านหน้า
“แล้วนี่เราจะเอายังไงต่อดีค่ะคุณองอาจ นักข่าวโทรเข้ามาถามตลอดเลย ไม่รู้จะตอบว่าอะไรแล้ว”
“เอาเป็นว่า...บอกปัดไปก่อน บอกว่าคุณไทไปงานต่างประเทศ กลับมาหากมีจัดแถลงข่าวเมื่อไหร่จะแจ้งอีกที”
“แล้วตกลงมันเรื่องจริงใช่มั้ยคะเนี่ย ไม่ใช่เป็นแผนพีอาร์คอนเสิร์ตใช่มั้ย”
“จัดการงานตัวเองก่อน โอเคมั้ย”
ประชาสัมพันธ์หน้าจ๋อยๆ ไม่ถามต่อ ยามาดะกับยูกิเดินเข้ามาเจอกับองอาจพอดี ยูกิยิ้มดีใจที่ได้เจอกับองอาจอีกครั้ง
“คุณองอาจ”
องอาจกลับไม่ค่อยพอใจนัก
“เลิกพูดไม่ชัดซะทีเหอะ มาทำไมอีกเนี่ย” องอาจหันไปมองว่ามีคนดูอยู่มั้ย “ตามมานี่เลย”
ยูกิงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจอาการขององอาจเท่าไหร่ องอาจเดินนำเข้าไปในห้องทำงานเขา ยามาดะกับยูกิเดินตามไป
วราพรรณนั่งท้ออยู่ที่หน้าห้าง ไม่เจอยูกิซักที
“วิธีนี้ท่าจะไม่ได้ผล ต้องอาศัยหลายคนช่วยหน่อย…ใครดีล่ะ ยายนับดาวก็ชิ่งไปซะแล้ว ย่าเหรอ ไม่เอาคนแก่ทำอะไรไม่ได้มาก ใครดี”
วราพรรณนึกถึงองอาจตอนที่คุยเล่นกับเธอที่โรงพยาบาล เธอยิ้มออกมาทันที
“นายนี่แหละ ช่วยได้”
วราพรรณรีบลุกเดินออกไปทันที
องอาจพายามาดะและยูกิเข้ามาในห้องทำงานตน เขามองหน้ายามาดะ
“นี่ใครอีกเนี่ย”
ยามาดะกำลังจะพูด องอาจตัดบท
“ช่างเถอะ” องอาจหันไปหายูกิ “นี่มาทำไมอีก ทำวุ่นวายไว้ยังไม่พออีกรึไง”
ยูกิหน้าตื่น
“ห๊า หมายความว่ายังไงคะ”
“ไม่ต้องมาแอ๊บพูดไม่ชัดแบบญี่ปุ่นแล้ว ตรงไปตรงมากันเนี่ยแหละ ก็รู้กันหมดแล้ว”
ยูกิอึ้งไป
“เอ่อ...”
“นี่รู้มั้ยว่าคุณไทเขาหวังกับงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ไว้แค่ไหน แล้วมาทำเอาแบบนี้ คุณไทเสียใจจนหนีเตลิดเปิดเปิงไปแล้วเนี่ย”
“คือ...”
ยูกิพยายามจะอธิบายแต่องอาจไม่ฟัง
“ไม่ต้องอธิบายอะไรหรอก จริงๆผมก็ไม่อยากจะโกรธคุณหรอกนะ แต่แหม มันก็อดไม่ได้จริงๆทำอะไรลงไปเนี่ย ห๊า”
“ก็...”
“ไม่ต้องพูดเลย เอาเป็นว่าไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก ปล่อยให้ทุกคนลืมๆเธอไปตามเวลาก็แล้วกัน จะไปไหนก็ไป ปะ”
ยูกิชักโมโห
“ห๊า...ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”
“ก็บอกว่าไม่ต้องพูดไง ไปได้แล้ว”
ยามาดะโกรธ
“นี่แกกล้าไล่ยูกิเหรอ”
องอาจหันหน้ามองยามดะขวับ เมื่อได้ยินชื่อเรียกว่ายูกิ
“ยูกิ...” องอาจชี้ยูกิ “นี่ยูกิเหรอ”
ยามาดะกับยูกิพยักหน้าพร้อมกัน องอาจหันมองยูกิ แล้วก็หัวเราะก๊ากออกมา
“ยูกิ...ยายนี่น่ะเหรอยูกิ นี่โดนหลอกอีกคนแล้วเหรอเนี่ย เขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว ไปอยู่ไหนมา ยังยูกิอยู่อีก...ไป...ไป จะไปยูกิกันที่ไหนก็ไป”
องอาจเดินไปผลักไสไล่ส่งยูกิกับยามาดะไปให้พ้นห้อง โดยที่เข้าใจว่าเธอคือนับดาว ยูกิยังไม่ได้อธิบายอะไรเลยออกไปกับยามาดะงงๆ
“ไป ไป แล้วไม่ต้องกลับมาอีก”
“แต่...”
องอาจปิดประตูห้องใส่หน้า ยูกิกับยามาดะมองหน้ากันงงๆ
ยูกิ กับยามาดะพากันออกมาจากออฟฟิศเป็นไทอย่างงงๆ
“เอาไงดีล่ะทีนี้”
ยูกิถอนหายใจ
“ยังไงเราก็ต้องหาทางพบคุณไทให้ได้”
“แล้วเมื่อไหร่เขาจะกลับมาล่ะ”
“เราคงต้องรอ…”
ยามาดะกับยูกิพากันเดินออกไปทางหนึ่ง วราพรรณเลี้ยวรถเข้ามาอีกทาง ไม่เจอกัน วราพรรณจอดรถหน้าออฟฟิศ เดินพรวดๆเข้าไปด้านใน ประชาสัมพันธ์เห็นวราพรรณเดินอาดๆเข้ามา เธอถามตามหน้าที่
“มาพบใครคะ...อุ้ย คนที่แถลงข่าววันนั้น”
“คุณองอาจอยู่มั้ย”
“อยู่ค่ะ นัดไว้มั้ยคะ”
วราพรรณเดินเข้าไปโดยไม่ฟังประชาสัมพันธ์
“อ้าว คุณ...”
องอาจนั่งทำงานในห้อง วราพรรณเปิดประตูพรวดเข้ามา องอาจสะดุ้ง
“เฮ้ย...”
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“นี่คุณ...อ๋อ พอเพื่อนคุณพาคนมาพูดไม่สำเร็จ ก็เลยมาพูดอีกคน ว่างั้น”
“เพื่อนฉัน...นับดาวน่ะเหรอ นับดาวมาพูดอะไร เมื่อไหร่”
“แน่ะๆ ทำไก๋ ก็เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้ไง”
“เมื่อกี้ด้วย...จะเป็นเพื่อนฉันไปได้ยังไง มันบินไปเที่ยวแล้ว”
องอาจหัวเราะ
“บินไปเที่ยวอะไร ผมเพิ่งไล่ออกไปเมื่อกี้”
วราพรรณตกใจ
“ห๊า...ไล่ด้วย มากับใคร ผู้ชายหน้าเข้มๆรึเปล่า”
“ใช่”
“ซวยแล้วไง นั่นยูกิ ไม่ใช่เพื่อนฉัน”
วราพรรณวิ่งพรวดออกไปตามหาทันที องอาจตกใจ
“ยูกิ...ยูกิตัวจริง คนที่จะมาแสดงคอนเสิร์ต ตายละ”
องอาจรีบวิ่งตามออกไปอีกคน
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 12.00 น.
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 12 (ต่อ)
วราพรรณวิ่งออกมา ดูทางซ้ายทางขวา ไม่เห็นวี่แวว องอาจตามออกมา วราพรรณหันไปถาม
“เขาออกไปทางไหน”
“จะรู้มั้ยล่ะ”
“โธ่เอ๊ย...แล้วไล่เขาไปทำไม”
องอาจจ๋อยไป
“ก็ไม่รู้...นี่งงไปหมดแล้วเนี่ย คนไหนตัวจริงตัวปลอม”
“ไล่เขาไปยังไง”
“เหมือนหมูเหมือนหมา กะว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก”
“หืม...มีอะไรแย่กว่านี้อีกมั้ย”
“ตกลงนั่นยูกิตัวจริงเหรอ”
“เออ น่ะสิ”
“คนที่จะมาแสดงคอนเสิร์ต”
“ทำให้งานที่คุณทำมาไม่ล่ม นั่นแหละ คนนั้นแหละ”
องอาจถอนหายใจ
“ไหนบอกว่าถูกจับตัวไง”
“เรื่องมันซับซ้อน เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากจัดคอนเสิร์ตต่อ ช่วยฉันคิดดีกว่าว่าจะไปตามหายูกิที่ไหน”
“คุณนี่มันพวกไหนกันแน่เนี่ย...”
“ไม่ทำก็ตามใจ”
วราพรรณจะเดินไป องอาจรั้งไว้
“ทำ”
วราพรรณหันมายิ้มหวาน ที่องอาจร่วมมืออีกคน
ค่ำนั้น นับดาวมาถึงเชียงใหม่ เธอเดินเข้าไปที่ล็อบบี้โรงแรมอย่างเหงาๆ ยื่นเอกสารให้ที่เค้าน์เตอร์ ขณะที่เธอกำลังเหม่ออยู่ที่เค้าน์เตอร์ อีกด้านหนึ่งเป็นไทลงจากลิฟท์มา แล้วเดินออกไปนอกโรงแรม ทั้งคู่ไม่เห็นกัน คนที่ล็อบบี้มองซุบซิบ เธอมองแล้วถอนหายใจ
เป็นไทเดินเหงาๆบนถนนคนเดินอยู่คนเดียว เขานึกถึงตอนที่เขามากับนับดาวที่นี่ ถ่ายวิดีโอเล่นกันอย่างสนุกสนาน เป็นไทก็เศร้าไป
นับดาวนั่งกินข้าวซอยคนเดียวเหงาๆ เธอเหม่อมองไปทั่ว นึกถึงตอนที่มากับเป็นไท แล้วเศร้าหมองลง
เป็นไทกำลังจะเดินออกจากถนนคนเดิน โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่านับดาวยืนอยู่อีกมุม นับดาวนึกถึงตอนที่กินเคยเดินด้วยกัน เธอเศร้าสลดลง แต่ทันใดนั้นมีคนเข้ามาทัก
“ยูกิ...ไอยูกิ ที่เป็นข่าวใช่มั้ยนั่น”
วัยรุ่นแถวนั้นพากันหันมามองเธอ นับดาวทำตัวไม่ถูก คนนึงกรี๊ดขึ้นมา อีกมุมหนึ่งเป็นไทเห็นวัยรุ่นวิ่งกรูผ่านไป ตะโกนเรียก ไอ ยูกิ เป็นไทตาโต เดินตามวัยรุ่นพวกนั้นไปทันที ทางฝั่งนับดาวไม่รู้จะทำยังไงจึงได้แต่ปฏิเสธ
“ไม่ใช่ยูกินะ”
วัยรุ่นก็ยังมุงไม่หยุด นับดาวจึงตัดสินใจวิ่งหนีออกไป เป็นไทเดินมาถึงพอดี เห็นวัยรุ่นกรูตามนับดาวไป เขาคิดว่าจะได้เจอไอ ยูกิจึงตามไปด้วย
นับดาวหนีมาหลบที่ซอกตึก เธอหยิบแว่นดำ หยิบหมวกขึ้นมาปิดอำพรางใบหน้า มองวัยรุ่นที่กรูกันมาทางหนึ่ง เธอรีบหนีไปอีกทางหนึ่ง
เป็นไทเดินแยกจากกลุ่มวัยรุ่นที่กรูไปอีกทางมา เขาเดินจะไปอีกทาง แต่ที่ตรงมุม นับดาวก็วิ่งหนีวัยรุ่นมาชนเขาพอดี เป็นไทเห็นนับดาว เข้าใจว่าเป็นยูกิ
“ยูกิ”
นับดาวตกใจที่เห็นเป็นไท
“คุณ...”
นับดาวจะหนี เป็นไทจับมือนับดาว
“ตามผมมาทางนี้”
เป็นไทพานับดาวหนีวัยรุ่นไป นับดาวทำกระเป๋าตังค์ร่วงไม่รู้ตัว...เป็นไทพานับดาวหนีไปที่มุม ๆหนึ่ง ที่ไม่น่าจะมีใครตามมา เธอเคลิ้มกับมือที่เขาจับเธอวิ่ง เป็นไทรู้สึกตัวรีบปล่อยมือ
“ตรงนี้คงไม่มีใครตามมาแล้วล่ะ”
นับดาวหอบไปด้วยเลยทำให้พูดไม่ชัด
“คุณไม่โกรธฉันเหรอ”
“ผมจะโกรธคุณเรื่องอะไร”
“ก็...”
“คุณไม่เป็นไรใช่มั้ยยูกิ”
“ยูกิเหรอ...คุณดีกับฉัน เพราะเข้าใจว่าฉันคือยูกินั่นเอง”
เป็นไทงงๆ
“หมายความไง...หรือคุณคือ...”
“ใช่ ฉันเอง”
เป็นไทหันหน้าหนีนับดาวทันที
“นี่คุณตามผมมาทำไม”
“ฉันไม่ได้ตาม คุณต่างหาก ตามฉันมาทำไม ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ยุ่งกับคุณอีก”
“ปากพูดอย่าง แต่ทำอีกอย่าง ทำแบบนี้ตลอดเวลาเลยรึไง”
“โอเค ฉันทำผิดกับคุณมาก อยากด่าอะไรก็ด่ามาเลย”
เป็นไทเงียบ
“เงียบทำไม ด่าสิ ฉันยืนให้คุณด่าอยู่นี่แล้ว”
“ทำแบบนั้นกับคนอย่างคุณก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ”
“เอ๊า...เอาใจไม่ถูกแล้วเนี่ย”
“อย่ามาสะกดรอยตามผมอีกก็พอ”
“ฉันไม่ได้ตามคุณ”
“อย่าเลย จะทำให้ผมหายโกรธ หายเกลียดด้วยวิธีแบบนี้ ขอบอกว่ามันไม่ได้ผลหรอก”
“เอ๊ะ...ไม่ฟังเลยใช่มั้ย โอเค...แยกย้ายกันตรงนี้ จบมั้ย”
“ดี”
เป็นไทเดินจากนับดาวไปไม่ใยดี นับดาวเจ็บใจเหมือนกัน เธอก็เดินไปตามทางของเธอ
เป็นไทเดินเข้ามาในร้านอาหารญี่ปุ่น เขาหยุดแล้วหันไปมองด้านหลัง ไม่เห็นนับดาวตามมา
“เออ ก็ดี ไปให้ไกลเลยยิ่งดี อย่ามาเจอกันอีกเลยชาตินี้”
เป็นไทเดินไปหาที่นั่ง ยังไม่ทันไรนับดาวก็เปิดประตูร้านเข้ามา เธอบ่นเรื่องเป็นไทเข้ามาด้วย
“ฉันเนี่ยนะสะกดรอยตามมาถึงนี่ ใช้สมองคิดรึเปล่า คนเราอยากจะตามมาเจอคนที่เกลียดเราขนาดนั้นเลยรึไง”
นับดาวบ่นแล้วเดินไปนั่งข้างเป็นไทอย่างไม่ทันสังเกต แล้วทั้งสองก็จ๊ะเอ๋กัน ร้องออกมาพร้อมกัน
“เฮ้ย”
“นี่คุณยังตามผมมาอีกเหรอเนี่ย”
“น้อยๆหน่อย ใครตามคุณ ฉันจะกลับโรงแรมฉัน”
“ผมก็จะกลับโรงแรมผมเหมือนกัน”
“ก็ดี ทางใครทางมันน่ะดีที่สุด”
“ไม่กงไม่กินมันแล้ว”
“ฉันก็กินไม่ลงเหมือนกัน”
เป็นไทจะเดินออกจากร้าน นับดาวก็เดินตามมา
“นั่นไง คุณตามผมจริงๆ”
“เอ๊ะ คุณนี่ ฉันจะกลับโรงแรมเหมือนกันนี่”
“ผมจะบอกคุณใช้ชัดเจนนะ คุณทำลายหน้าที่การงานผม แล้วมันก็ไม่มีวิธีไหนที่คุณจะทำให้ความผิดนั้นหายไปได้ แค่การมาตามง้อนิดๆหน่อยๆ มันก็ไม่ได้ทำให้ผมเลิกเกลียดคุณหรอก”
“ย้ำอยู่ได้ว่าเกลียด ฉันรู้แล้ว ชัดเต็มสองหูเลย จริงๆหูข้างเดียวด้วย ฉันก็จะบอกคุณชัดเจนเหมือนกันนะ ว่าฉันไม่ได้ตามคุณ ไม่เคยคิดจะพาตัวเองมาให้คุณด่าซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เคยคิดว่าเราจะต้องมาเจอกันอีกด้วย ฉันจะพาตัวเองมาเจอคุณให้รู้สึกผิดตลอดเวลาทำไม”
ทั้งคู่ต่างก็เงียบ ไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน
“แล้วจะเอายังไง”
“ฉันจะหันหลังให้ คุณจะเดินไปไหนก็เรื่องของคุณ ถ้าคุณไปแล้วฉันก็จะไปตามทางของฉัน และหวังว่าเราคงจะไม่ได้เจอกันอีก”
นับดาวค่อยๆหันหลังให้ เป็นไทมองเธอก่อนที่จะเดินไปตามทางของเขา นับดาวหันไปมองเขาอย่างเศร้าๆ พอนับดาวหันกลับมา เป็นไทก็หันกลับมามองเธอเช่นกันโดยที่เธอก็ไม่รู้ตัว
ตำรวจล็อคกุญแจให้สังวรณ์อยู่ในห้องขัง
“เดี๋ยวฝากขังไว้ก่อน กว่าจะได้ความคืบหน้าอะไร”
“คุณขังผมไว้แบบนี้ไม่ได้นะ ผมไม่ได้จับยูกิไป”
ตำรวจยิ้มกวนๆ
“เอาน่า ผมหาหลักฐานไม่ได้ เดี๋ยวคุณก็ได้ออกแล้ว กังวลอะไร”
สังวรณ์หันไปมองหน้าคนในห้องขังคนอื่นๆ หน้าเหี้ยมๆทั้งนั้น
“หืม...แล้วมันไม่น่ากังวลตรงไหนเนี่ย ดูแต่ละคน”
สังวรณ์เซ็งที่ต้องโดนขัง ตำรวจเดินออกไป
“มีอะไรซวยกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย อย่าให้ฉันออกไปได้นะยายวราพรรณ ฉันจะจัดการแกคนแรกเลย งูพิษจริงๆ”
ผู้ต้องขังคนอื่นๆหน้าโหด มาดูสังวรณ์ใกล้ๆ สังวรณ์สยอง
รจนาเดินเข้าหลังเวทีมา วราพรรณเดินเข้าไปซับเหงื่อ เตรียมชุดใหม่ให้เปลี่ยนยื่นชุดให้
“ชุดขึ้นฟินาเล่ ชุดนี้ใช่มั้ยย่า”
“ใช่ๆ” รจนาหยิบชุดมา “เดี๋ยวไปเปลี่ยนไว้ก่อนเลย”
“เป็นผู้ช่วยย่านี่มันเหนื่อยเหมือนกันนะ”
คนกำกับเวทีเดินเข้ามาหา
“คุณรจนาคือย่าของนับดาวที่เป็นข่าวใช่มั้ยครับ”
รจนากับวราพรรณมองหน้ากัน
“ใช่ค่ะ มีอะไรรึเปล่า”
“ตอนนี้มีนักข่าวรอสัมภาษณ์คุณเยอะมากเลยครับ”
รจนากับวราพรรณมองหน้ากัน กังวล
“สัญชาตญาณนักข่าว กัดไม่ปล่อยหรอกย่า ไม่สัมภาษณ์วันนี้ ก็ต้องเป็นวันอื่นอยู่ดี”
รจนากังวล
รจนาเดินเข้าไปในห้อง นักข่าวก็วิ่งกรูเข้ามาจ่อไมค์
“อยากทราบเกี่ยวกับประเด็นการปลอมตัวเป็นยูกิ คุณรจนามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยใช่มั้ย”
“ขอไม่ตอบเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคอนเสิร์ตนี้นะคะ มันจะเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าของคอนเสิร์ตที่เชิญสุนทรีย์ภรณ์มารับเชิญค่ะ”
“แล้วการได้เข้ามาเป็นเกสต์คอนเสิร์ตนี้ คุณสังวรณ์มีส่วนได้ส่วนเสียมั้ยคะ”
“อย่าพาดพิงถึงใครเลยจะดีกว่าค่ะ จริงๆแล้วสุนทรีย์ภรณ์มีคุณค่าของตัวมันเองอยู่แล้วนะคะ ถ้าใครอยากจ้างวงเรา ติดต่อได้เลยค่ะ”
“มีอะไรอยากฝากบอกถึงคุณเป็นไทบ้างมั้ยคะ”
“ฝากบอกถึงทุกคนดีกว่าค่ะ ว่าสุนทรีย์ภรณ์กลับมาแล้ว คอยติดตามผลงานกันได้เรื่อยๆนะคะ รับงานจ้างตลอดค่ะ”
รจนาพูดไม่ตรงประเด็นเลย นักข่าวพากันเซ็ง รจนาขอตัวแยกมาหาวราพรรณ
“ไปกันเถอะ”
นักข่าวคนหนึ่งยื่นนามบัตรไว้ให้วราพรรณ
“ทางช่องของเราสนใจให้คุณไปเป็นนักผู้ประกาศข่าวประจำที่ช่อง หากคุณสนใจโทรหาผมได้เลยนะ”
“ฉันเนี่ยนะ เป็นผู้ประกาศ”
วราพรรณยิ้มกว้าง
สายวันใหม่ นับดาวแต่งตัวจะออกจากห้องแล้ว แต่เธอหากระเป๋าสตางค์ไม่เจอ หาตามชุดที่ใส่เมื่อวาน และตามมุมต่างๆในห้องแล้วก็ไม่เจอ
“กระเป๋าตังค์ไปไหน...แย่แล้ว”
นับดาวพยายามนึกย้อนแต่ก็นึกไม่ออกจริงๆว่าอยู่ไหน เธอเดินไปนั่งเซ็งๆที่ล็อบบี้ ไปไหนก็ไม่ได้ ซักพักเธอเห็นเป็นไทเดินผ่านไป นับดาวรีบหลบ
“พักโรงแรมนี้เหมือนกันเหรอเนี่ย อะไรจะซวยปานนี้ กระเป๋าตังค์ก็หาย ยังต้องมาอยู่ใกล้กันขนาดนี้อีก”
นับดาวถอนหายใจ ทันใดนั้นเสียงท้องร้องแสดงอาการหิวโหยแล้ว เธอหน้าแหยๆ
“แล้วจะกินอะไรล่ะวันนี้”
นับดาวเครียด หาวิธีเอาตัวรอด
“หรือจะไปยืมเงินคุณไทดี...เรื่องอะไร ไปให้ดูถูก ไปให้โดนด่าสิ ยังไงเราก็จะไม่พึ่งเขาเด็ดขาด”
นับดาวพูดอย่างแน่วแน่
นาฬิกาจากแปดโมงกลายเป็นบ่ายสอง นับดาวยังนั่งอยู่ที่เดิม หมดเรี่ยวแรง ชะเง้อมองหาเป็นไทว่ากลับรึยัง
“ทำไมยังไม่กลับมาอีก จะไปเที่ยวไหนก็ควรแวะมาพักโรงแรมบ้างสิ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว…นี่เธอจะยืมเงินเขาจริงๆน่ะเหรอ เดี๋ยวก็โดนดูถูกเปล่าๆ…แต่เราก็ต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวันนะ ถ้าไม่พึ่งเขาเราอาจจะต้องอดตายอยู่ที่นี่”
เสียงนับดาวอ่อนลง ไม่แน่วแน่เหมือนเดิม
นาฬิกาจากบ่ายสองมาเป็นทุ่มนึง นับดาวมองมันตาลอย แต่แล้วเธอก็เห็นเป็นไทเดินเข้ามา ในมือถือของกินมาเต็มไปหมด เธอลุกเด้งจากโซฟาล็อบบี้ทันที
“อาหาร...อาหาร...”
เธอเดินตามเขาไป...เป็นไทยังไม่เห็นนับดาวเดินไปขึ้นลิฟต์ เธอเดินตามเขาไปถึงหน้าลิฟต์ก้มต่ำดมกลิ่นอาหาร เหมือนคนอดอยากมาก เป็นไทหันมาเห็นตกใจ
“นี่คุณอีกแล้วเหรอ ไหนบอกทางใครทางมันไง”
“อาหาร...หอมจัง”
“อยากกินก็ไปซื้อเองสิ ผมซื้อมากินคนเดียว”
“ขี้หวง”
“กับคุณคนเดียวนั่นแหละ แล้วไม่ต้องตามผมมาเลยนะ”
เป็นไทหันหลังจะเดินเข้าลิฟต์ แต่นับดาวเอื้อมมือจับแขนไหล่เขาไว้ เขาสะบัดหันมา
“นี่ อย่าตื้อนักได้มั้ย”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น นับดาวก็เป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาเขา เป็นไทประคองไว้ได้ทัน
“เฮ้ย คุณ...คุณ”
เป็นไทเป็นห่วงนับดาวอยู่เหมือนกัน
เป็นไทอุ้มนับดาวมานอนพักที่ห้องของเขา ไม่นานนักเธอค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมองไปรอบตัว เห็นเป็นไท เธอลุกขึ้นนั่งทันที เป็นไทมองเหยียด
“มารยานักนะ”
“มารยาอะไร”
“ก็ที่ทำแกล้งเป็นลม เพื่อจะให้ผมช่วยไง”
“สภาพฉันดูเหมือนคนแกล้งทำนักรึไง”
“ตื่นมาก็ปากดี”
เป็นไทหยิบไส้อั่วขึ้นมากินยั่ว
“หืม...ไส้อั่วเชียงใหม่นี่มันอร่อยจริงๆ”
นับดาวกลืนน้ำลายเอื๊อก
“ทำไม...อดอยากมากเลยรึไง ถึงได้เป็นลม”
“กระเป๋าตังค์ฉันหาย”
“เหรอ...งั้นก็ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันเลยสิ”
“ใช่”
นับดาวแววตาวิงวอนขอกินบ้าง เป็นไทกินยั่ว
“อืม อร่อย...คิดว่าฉันจะให้เธอกินง่ายๆเหรอ”
“จะตบหัวตลอดเวลาที่ฉันกินก็ได้นะ ฉันยอม”
“ไม่ดีหรอก กินคำนึง ถอดเสื้อผ้าออกชิ้นนึงดีกว่า”
“ถ้าฉันแก้ผ้า ขอกินหมดนั่นเลยได้มั้ย”
นับดาวทำท่าจะแก้ผ้า เป็นไทสะดุ้ง
“พอเลย หยุดเลย เชื่อแล้วว่าหิว”
เป็นไทโยนถุงอาหารให้ นับดาวรีบแกะมันกินอย่างมูมมามหิวจัด เป็นไทมองอย่างเวทนา แต่ก็ใจแข็ง
“กินเสร็จแล้ว จะไปไหนก็ไป”
นับดาวกินไปด้วยพูดไปด้วย
“จะให้ฉันไปไหน ฉันไม่มีเงินติดตัวซักบาท”
“นั่นเป็นปัญหาของคุณ”
“คนไทยด้วยกัน ใจดำจริง”
“ถ้าผมใจดำ ก็ไม่ต้องกินเลย”
“นี่...จะไม่ให้ฉันยืมเงินติดตัวหน่อยเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องละ”
“ฉันสัญญานะว่าฉันจะใช้คืนให้ พร้อมดอกเบี้ยด้วย”
“ผมไม่อยากเจอคุณอีกน่ะสิ ถ้าไม่อยากเจอก็ไม่ควรจะต้องมีหนี้กัน”
“ฉันโอนผ่านธนาคาร ไม่ต้องเจอก็ได้”
“ไม่”
“ถ้าคุณไม่อยากเจอฉันจริงๆ คุณก็ควรจะให้ฉันยืมนะ ไม่งั้น ฉันก็จะต้องอยู่กับคุณตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่แน่ๆ ไม่งั้นฉันก็อดตาย”
“เอาสิ ถ้าคุณคิดว่าผมโง่พอให้คุณตามติดได้ก็ลองดู”
เป็นไทกับนับดาวมองตากัน...เหมือนคนท้าประลองกัน
สายวันใหม่ เป็นไทเปิดประตูห้องออกมา เจอนับดาวยืนโบกมือทักทายอยู่ เป็นไทเจ็บใจที่หนีไม่พ้น
นับดาวหันไปอีกทาง เป็นไทรีบวิ่งหนีไปอีกทาง กะว่าหลบพ้นชัวร์ แต่นับดาวก็โผล่มาอีก
“อยู่ตรงนี้เอง”
เป็นไทเซ็ง รีบเดินหนีระวังหลัง แต่นับดาวก็มาดักด้านหน้าอีก
“จ๊ะเอ๋ จะไปไหนเหรอ”
นับดาวยิ้ม เป็นไทเซ็ง
เย็นนั้นเป็นไทมาที่ดอยสุเทพ เขายืนมองพระธาตุนิ่ง นับดาวเดินมายืนข้างๆ
“คิดจะหนีไปบวชเลยเหรอ”
เป็นไทถอนหายใจ ยื่นเงินปึกนึงยัดใส่มือเธอ
“ผมยอมแพ้ คุณอาจจะสนุกที่แกล้งผมได้ แต่ผมไม่สนุกเลยที่ยังต้องเจอหน้าคุณอยู่ ผมยังรู้สึกว่าผมเป็นไอ้โง่เสมอ”
นับดาวหน้าเศร้าสลดลง
“ก็ดีเหมือนกัน ฉันบอกแล้วให้ทำงั้นแต่แรกก็ไม่เชื่อ ฉันก็ไม่ได้มีความสุขหรอกเวลาที่อยู่กับคุณน่ะ คุณทำฉันอึดอัดกับความรู้สึกผิดตลอดเวลา แต่ฉันก็ต้องฝืนยิ้มให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี”
“เงินนั่น คุณไม่ต้องคืนผมหรอก ผมไม่อยากให้เรามีข้ออ้างใดๆอีก แล้วคุณก็อยู่ที่โรงแรมเดิมไปนั่นแหละ เดี๋ยวผมจะย้ายเอง”
“คราวนี้คงไม่ได้เจอกันจริงๆซักทีนะ”
เป็นไทพยักหน้า แล้วหันหลังเดินจากไป นับดาวน้ำตาคลอเบ้า เธอเห็นหลังของเป็นไทค่อยๆไกลไปเรื่อย นับดาวตัดสินใจวิ่งเข้าไปกอดเขาจากด้านหลัง น้ำตาเธอไหลพร่างพรู
“ฉันขอบคุณคุณมากๆนะ แล้วก็ขอโทษคุณมากๆด้วย จริงๆแล้วที่ฉันปลอมเป็นยูกิ ไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้น ฉันทำของฉันเอง ไม่มีใครจ้าง คุณสังวรณ์ก็แค่เป็นหมากอีกตัวเท่านั้น ฉันไม่ต้องบอกคุณก็ได้ แต่ฉันไม่อยากรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต แล้วอีกอย่างคุณคงไม่เกลียดฉันไปมากกว่านี้แล้ว...คุณไม่ต้องหันมานะ คุณอยู่ในที่ของคุณ ไม่ต้องหนีไปไหน ฉันจะเป็นคนไปเอง”
นับดาวคลายมือจากอ้อมกอดค่อยๆเดินหันหลังจากมาด้วยความเจ็บปวด เป็นไทยืนนิ่งไม่หันมา แต่เมื่อเขาตัดสินใจหันมา เขาก็ไม่เห็นเธออีกแล้วจริงๆ เป็นไทถอนหายใจ เขารู้สึกใจหายไม่น้อยเลย
เป็นไทเดินมารับกุญแจที่เค้าน์เตอร์ เขาอดไม่ได้ที่จะถามถึงห้องนับดาว
“ห้อง 401 เขา...”
“เช็คเอ้าท์ไปแล้วค่ะ”
เป็นไทพยักหน้ารับทราบ เศร้าๆ
เป็นไทเปิดประตูเข้ามาในห้องพักตัวเองอย่างล้าๆ มองไปที่เตียงนอนก็เห็นภาพตอนที่นับดาวเป็นลม แล้วนอนอยู่ตรงนั้น เขาหันไปเห็นเศษซากขนมที่นับดาวกินไว้ ก็นึกถึงตอนที่เธอกำลังกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย เป็นไทคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เขากับนับดาวเคยผ่านมาด้วยกัน แล้วทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเซ็งๆ
เป็นไทเดินเข็นกระเป๋าเข้ามาในโถงสนามบินบินสุวรรณภูมิ องอาจรอรับหน้าชื่น
“เป็นไงคุณเชียงใหม่สบายดีมั๊ย”
“ก็งั้นๆ”
“แต่อิสสยามไม่งั้นๆนะ ทุกคนเต็มใจ รอคุณไทกลับมา”
“ซึ้งมาก”
เป็นไทชะเง้อมองไปทั่วๆสนามบิน องอาจแปลกใจ
“หาใครเหรอครับ”
“เปล่า ไปเถอะ”
เป็นไทเข็นกระเป๋านำองอาจไป
นับดาวขนของออกจากกระเป๋าหน้าเซ็งๆ วราพรรณเข้ามาถาม
“ไปเที่ยวมาเป็นไงบ้าง ได้ล้างสมองสมใจรึเปล่า”
“ก็ดี”
“ไหนของฝากฉัน ไปไม่บอก ไม่มีของฝากนี่มีเคืองนะ”
นับดาวหยิบกล่องของฝากยื่นให้ วราพรรณรับมาอย่างตื่นเต้น อีกกล่องยื่นให้รจนา
“นี่ของย่า”
รจนารับมา
“ขอบใจนะ”
“ชีวิตเป็นยังไงกันบ้าง”
วราพรรณยิ้มแย้ม
“ฉันได้งานใหม่แล้วนะแก เป็นผู้ประกาศข่าวออกทีวีด้วยล่ะ”
นับดาวตื่นเต้น
“จริงเหรอ ดีใจด้วย แล้วย่าล่ะ”
วราพรรณหยิบสมุดคิวยื่นให้นับดาว
“ของย่าแกต้องดูในนี้”
นับดาวเปิดสมุดคิว เห็นคิวยาวเหยียดสามเดือน
“โห...งานจ้างเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”
“ก็ตั้งแต่ขึ้นคอนเสิร์ตกับพอสสิเบิ้ลนั่นแหละ”
“ดีใจด้วยนะ ทั้งสองคนเลย ได้เป็นอย่างที่อยากเป็นซักที”
“แกน่ะก็ได้เป็นอย่างที่ฝันเหมือนกันนะเว้ย มีคนน่ะอยากสัมภาษณ์แกออกรายการเต็มไปหมด แถมยังมีคนอยากเอาแกไปเล่นหนังด้วย ดังใหญ่แล้วนะแกน่ะ”
“ฉันไม่เอาหรอก”
“เฮ้ย เขาสนใจแกในนามนับดาวนะเว้ย ไม่ใช่ยูกิ”
“ไม่ว่าจะนามใครฉันก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละ”
“แต่แกอยากดังมาตลอดชีวิตแกเลยนะ”
“ถ้าฉันดังแล้วต้องมีคนล้มเหลว ฉันไม่เอาดีกว่า”
“ถ้าหมายถึงคุณไทล่ะก็ อย่าเพิ่งหมดหวังเว้ย ยูกิน่ะฉันใกล้จะเจอแล้ว ถ้าเราเจอยูกิเมื่อไหร่ ส่งให้คุณไทกู้สถานการณ์ทันที”
“จริงเหรอ แล้วแกเจอยูกิที่ไหน”
วราพรรณส่ายหน้า
“ยังไม่เจอว่ะ แค่เฉียดๆ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ตายหรือหายสาบสูญแหละวะ อีกอย่างเขายังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นแหละ เพราะนี่” วราพรรณโยนกระเป๋าเดินทางยูกิลงตรงหน้านับดาว “กระเป๋าพาสปอร์ตเขาอยู่นี่ ยังไงเราก็ยังมีหวัง”
“จริงของแก แบบนี้คุณไทก็มีโอกาสอีกน่ะสิ”
นับดาวหน้าดีขึ้นทันทีเมื่อรู้ว่ายูกิยังอยู่ในประเทศไทย
เป็นไทถือถ้วยกาแฟออกมาดื่มที่ระเบียง เสียงมือถือดังขึ้น เขาหยิบมือถือขึ้นมาดู เห็นเบอร์แปลกๆขึ้นบนจอ
“เบอร์ใคร”
เป็นไทกดรับสาย เสียงแพรวไพลินดังเข้ามา
“สวัสดีค่ะ พี่ไท”
“นี่เธอ ทำไมเอาเบอร์แปลกๆ โทรมา”
“ถ้าไม่ทำแบบนี้ แพรวก็คงไม่ได้พูดกับพี่ไทหรอก”
“ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว”
“เดี๋ยว พี่ไท อย่าพึ่งวาง”
“อะไรอีก”
“ทาครีมกันแดดหรือเปล่า แดดที่ระเบียงมันแรงนะ”
เป็นไทตกใจ
“รู้ได้ยังไง นี่เธออยู่ที่ไหน”
เป็นไทเหลียวมองหา แพรวไพลินหัวเราะๆ
“แพรวรู้มากกว่านั้นอีกค่ะ”
“อะไร”
“ชาตินี้ทั้งชาติ พี่ไม่มีทางหนีแพรวพ้น”
เป็นไทหันมองไปที่ถนน เห็นแพรวไพลินกำลังพูดมือถือ มองมาที่ตัวเองพอดี เขาอึ้งไป
“แพรว!...โรคจิตหรือเปล่า”
“หึ หึ เดี๋ยวพี่ก็รู้ อีกสิบนาที เจอกันบนห้องนะคะ”
แพรวไพลินกดมือถือ ส่งจูบให้เป็นไท แล้วเดินไป เป็นไทหน้าเหวอ
“ซวยล่ะสิ”
เป็นไทเปิดประตูห้องตัวเองออกมา ยืนเหลียวซ้ายแลขวา เห็นยังไม่เห็นใคร
“ฉันไม่อยู่ให้ปวดตับหรอก”
เป็นไทรีบวิ่งจะไปลงลิฟท์ แล้ว ชะงักเปลี่ยนใจหันไปวิ่งลงบันไดหนีไฟแทน
เป็นไทวิ่งเข้ามาที่รถ แล้วรีบขับออกไป ไคคุง เห็นรถเป็นไทแล่นออกจากประตูคอนโดไปตามถนน ไคคุงที่นั่งอยู่ในรถ มองตามไปด้วยสายตาคมเข้ม เอาเรื่องออกรถตามรถเป็นไทไป
เป็นไทขับรถไป แล้วรู้สึกว่ามีรถมาชนท้าย รถกระเทือน เป็นไทผงะงงเกิดอะไรขึ้น เป็นไทมองกระจกหลังเห็นหน้าไคคุง ยิ้มกวนอยู่
“ไคคุง!”
ไคคุงเร่งเครื่องรถ จะเข้ามาชนอีก เป็นไทรีบเร่งเครื่องขึ้นหน้าไป ไคคุงเร่งรถตามขึ้นมาตีคู่
เป็นไทปาดหน้าไคคุงเบียด สู้กัน ไคคุงกับเป็นไท ผลัดกันปาดหน้าไปมา แล้วเป็นไทแซงขึ้นหน้าไปได้ ไคคุงมองเข่นเขี้ยวขับตามหลังไป
เป็นไทเลี้ยวรถเข้าไปในซอยหนึ่ง ไคคุงมองเห็น แต่ไม่ขับตาม เร่งเครื่องไปข้างหน้า เป็นไทขับรถ มาตามทาง อย่างเร็ว มองกระจก ไม่เห็นมีรถไคคุงขับตามมาแล้วก็โล่งใจ เขาขับรถเข้ามาเกือบถึงสามแยกกลางซอย รถไคคุงที่อยู่ๆ ก็ขับพุ่งออกมาจากซอยหนึ่ง เบรกกลางแยก เป็นไทมองเห็น ตะลึง เหยียบเบรกลั่น รถเป็นไทพุ่งเข้าไป เกือบชนรถไคคุง แบบเฉียดเส้นยาแดง เป็นไทฉุน รีบเปิดประตูรถลงไปเอาเรื่อง
“คุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง”
ไคคุงเปิดประตูรถออกมา ยิ้มกวน
“แค่หยอกล้อเล็กๆน้อยๆ หรือว่า คุณปอด”
ไคคุงหัวเราะเยาะ เป็นไทโกรธ ต่อยไคคุงไปหนึ่งหมัด
“ผมก็ล้อเล่นเหมือนกัน”
ไคคุงจับปากตัวเองที่โดนต่อย แล้วตาวาวขึ้นมา หยิบปืนมา เล็งใส่เป็นไท
“ฉันไม่มีเวลาเล่นเกมส์กับแกแล้ว ยูกิอยู่กับแกใช่มั้ย!”
เป็นไทหน้าตื่น
“เฮ้ย !”
“บอกมา ยูกิอยู่ที่ไหน”
“ฉันไม่รู้เรื่อง”
ทันใดนั้นเป็นไทก็พูดพร้อมไคคุง
“โกหก”
ไคคุงชะงักเป็นไทพูดเยาะๆ รู้ทัน
“นึกแล้วว่าแกต้องพูดแบบนี้ นี่ถ้าไม่เชื่อ ทีหลังก็ไม่ต้องถามสิ”
“อยากตายหรือวะ”
ไคคุงขยับเข้ามาทำท่าจะยิง เป็นไทรีบวิ่งพุ่งเข้าไปชาร์ทแล้วตีเข่าเข้าที่ท้อง ไคคุงตัวงอ ปืนร่วงลอยกระเด็นออกไป ตกแถวประตูรถของเป็นไท ไคคุงต่อยเป็นไทล้มลง แล้วรีบวิ่งเข้าไปเก็บปืน หยิบขึ้นมาแล้วหันไปหาเป็นไททำให้ไคคุงหันหลังให้ประตูรถ ทันใดนั้น แพรวไพลินเปิดประตูรถออกมากระแทกหลังไคคุง ล้มกลิ้งลงไป ปืนในมือไคคุงลอยไปทางเป็นไท เขารับปืนไว้ได้ ยกขึ้นเล็งใส่ไคคุง
“หยุด!”
ไคคุงตื่นกลัว
“อย่ายิง”
แพรวไพลินวิ่งเข้าไปหาเป็นไท
“พี่ไท ยิงมันเลย”
ไคคุงโกรธ
“เธอนี่มันเลวจริงๆ ฉันไม่น่าปล่อยไปเลย”
แพรวไพลินยิ้มหยัน
“ช่วยไม่ได้ โง่เอง”
“ยายงูพิษ”
ไคคุงทำท่าจะเข้ามาขย้ำคอแพรวไพลิน เป็นไทยกปืนขู่
“อย่าขยับ ไม่งั้นฉันยิงจริงๆ”
“อย่าโง่ให้ยายนี่หลอกเลย...”
เป็นไทยิงเปรี้ยงไปที่พื้นเฉียดๆ ไคคุงรีบโดดหลบร้องไม่เป็นภาษา เป็นไทตวาด
“รีบไปซะ นัดต่อไปฉันไม่พลาดแน่”
เป็นไทขยับขึ้นไกปืน ไคคุงรีบถอยไปขึ้นรถ ขับออกไปอย่างรวดเร็ว เป็นไทถอนหายใจเฮือก
“หมดเรื่องเสียที เฮ้อ !” เป็นไทนึกได้ขึ้นมา “แพรว เธอมาแอบอยู่ในรถฉันตั้งแต่เมื่อไร”
เป็นไทหันไป เห็นแพรวไพลินทำท่าจะเป็นลมอยู่พอดี เขาชะงักตกใจ รีบคว้าตัวไว้
“นี่เธอ เป็นอะไร”
“หาย...หายใจไม่ออก เอิ๊ก”
แพรวไพลิน พับสลบไปซบกับอกเขา เป็นไทจำต้องกอดรับเธอไว้ ถอนหายใจเฮือก ยุ่งยากใจ
“อะไรกันนักกันหนาเนี้ย”
เย็นนั้น รจนาสั่งวราพรรณให้ไปตามนับดาว
“ไปตามเพื่อนเรามากินข้าวสิ นุ้ย ผิดเวลาเดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะ”
“มันเป็นโรคหัวใจมากกว่า ย่า”
รจนาแปลกใจ
“อะไร นับดาวอกหักเหรอ”
นับดาวที่กำลังเดินลงบันไดมา ได้ยินที่ย่าทัก ก้าวพลาด ล้มกลิ้งตกบันไดลงมาล้มหน้าคว่ำ วราพรรณกับรจนาตกใจร้องขึ้นพร้อมกัน
“นับดาว!”
ทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปประคองตัวนับดาวขึ้นมา
“ตายแล้ว นับดาว...ตายแล้ว” วราพรรณโวยวาย
นับดาวเงยหน้าขึ้นมา แล้วทำตาเหล่
“ยังไม่ตาย”
วราพรรณกับรจนาผงะ
“เฮ้ย!”
นับดาวส่ายหน้า แก้มึน แล้วหน้าเป็นปกติ
“แกตกบันไดมาได้ยังไง” รจนานึกได้ “อุ้ย...หรือว่าแก อกหัก อย่างที่นุ้ยมันว่าจริงๆ”
นับดาวรีบปฏิเสธ
“เปล่านะย่า หนูแค่หิวจนตาลายเท่านั้นแหละ”
รจนามองจิก
“จริงๆนะ”
นับดาวทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“จริงสิย่า...มีอะไรกินบ้างอ่ะ”
รจนาเปิดฝาชีที่ครอบอาหารขึ้นมา
“ของอร่อยๆทั้งนั้น หมูทอด กับนี่ แกงส้มดอกแค”
นับดาวมอง ถ้วยแกงส้มดอกแค แล้ว อึ้งนึกถึงตอนที่เธอหยิบกรวยดอกแคขึ้นมาดู นับดาวปล่อยโฮออกมา
“ฮือ ฮือ ฮือ...”
วราพรรณกับรจนาตกใจ หน้าเหวอไป นับดาวรีบวิ่งร้องไห้ออกไป
อ่านต่อหน้า 3
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 12 (ต่อ)
นับดาววิ่งเข้ามุมหนึ่ง คิดถึงอดีตเมื่อครั้งที่เป็นไทให้ดอกแคเธอ
‘แล้วให้ดอกแคฉันทำไม...คุณแคร์ฉันเหรอ’
เป็นไทเขิน
‘เปล่า...ผมว่าผมไปกินน้ำก่อนนะ คอแห้ง’
เป็นไทลุกจากเก้าอี้จะไป นับดาวเข้าไปขวางหน้า อยากรู้ไม่ยอม
‘บอกมา เอามาให้ฉันทำไม’
‘ผมว่า ทำแกงส้มอร่อยน่ะ’
เป็นไทขยับไปอีกทาง นับดาวขยับตามขวางอีก
‘อย่ามาโกหก พูดมาเดี๋ยวนี้’
เป็นไทจ้องตากับนับดาว แล้วพูดขึ้นมาบ้าง
‘คุณไม่รู้จริงๆ หรือว่า เพราะอะไร’
นับดาวทรุดลงไปนั่งร้องไห้สะอื้น วราพรรณเดินตามเข้ามา มองสภาพเพื่อนแล้วเหนื่อยใจ
“แกงส้มดอกแคนี่มันเศร้าตรงไหน”
นับดาวชะงัก แล้วเมินใส่เพื่อน
“แกไม่เคยมีความรัก แกไม่เข้าใจหรอก”
“จ้า...แม่คนเคยรัก”
นับดาวเหม่อลอยพูดออกไป
“คนที่มีอดีต ก็จะมีที่ที่เป็นความหลัง มีของที่ทำให้คิดถึงกันเวลาที่แกเห็นของสิ่งนั้น ความรู้สึกเก่าๆ มันก็จะปะทุขึ้นมาแล้วน้ำตามันก็ไหล...”
“อย่าบอกนะว่า ความหลังของแกคือ แกงส้มดอกแค”
นับดาวพยักหน้ารับ
“อือ”
วราพรรณส่ายหน้าประชด
“โรแมนติกมากเลย”
นับดาวร้องไห้โฮออกมาอีก
“ฮือๆๆๆ”
วราพรรณตบไหล่เพื่อนปลอบใจให้หายเศร้า
“ไม่เอาน่า อย่าร้อง...แกควรจะเอาความหลังของแกเป็นพลังแล้วช่วยกันหายูกิให้เจอจะดีกว่านะ”
นับดาวคลายสะอื้นหันมาหา
“เมื่อทุกอย่างเคลียร์ แกกับคุณเป็นไทจะได้มาแกงส้มดอกแคกันอีกไง”
นับดาวส่ายหน้า
“ฉันไม่หวังให้เขากลับมาดีด้วยหรอก ขอแค่ให้คุณเป็นไทได้จัดคอนเสิร์ตตามที่เขาตั้งใจไว้...ฉันก็พอใจแล้ว”
นับดาวเหม่อมองออกไป ครุ่นคิดอย่างตั้งใจ
เป็นไทวางตัวแพรวไพลินลงบนเตียง แล้วทำท่าจะลุกออกไป แพรวไพลินที่หลับตาอยู่กับยกมือดึงแขนเขาเซล้มลงไปหาตัว
“แพรว!”
แพรวไพลินยิ้มยั่ว
“จะรีบไปไหน อยู่กับแพรวก่อนสิ”
“เธอไม่ได้เป็นอะไรเลยนี่ เธอแกล้งเป็นลมใช่มั้ย”
“แพรวไม่ได้บอกเลยว่าเป็นลม พี่ไททึกทักเอาเองนะ”
เป็นไทเซ็ง ลุกหนี แพรวไพลินรีบดึงไว้ กระตุกให้ล้มลงไปกับเตียง แล้วเธอก็คร่อมบนตัวเขาเป็นไทหน้าตื่น
“แพรว พี่เตือนแพรวดีๆนะ”
“แพรวไม่ได้เจอพี่ตั้งนานแล้วนี่นาเรามากระชับความสัมพันธ์กันสักหน่อยดีกว่า”
แพรวไพลินก้มหน้าลงไปจะจูบ เป็นไทรีบยกนิ้วขึ้นมาแตะที่ปากเธอไว้
“แบบนี้มันเบสิกไป”
แพรวไพลินอึ้งเขิน
“อุ้ย...พี่ไทอ่ะ ไม่ยักรู้ว่าชอบแนวผาดโผน”
แพรวไพลินขยับลุกขึ้นมานั่งแล้วตีๆ เขาเขินๆระริกระรี้ เป็นไทลุกตาม แล้วเข้าไปดึงแขนเธอให้ลุกขึ้น ดึงอย่างแรง พุ่งไปที่ห้องน้ำ
“มะ...เดี๋ยวจัดให้เอง”
แพรวไพลินร้องลั่น
“อ๊าย...อะไรเนี้ย พี่ไท อ๊อย...พี่ทำอะไร”
เป็นไทดึงเธออย่างแรงออกไป แล้วเหวี่ยงเธอไปนั่งที่ชักโครกพอดี แพรวไพลินกริ๊ดลั่น เป็นไทหยิบฝักบัว ขึ้นมาฉีดใส่หน้าเธอเต็มๆ แพรวไพลินยิ่งกริ๊ด ยกมือปัดป้อง แต่ก็เปียกปอน
“หัวเธอมันมีแต่เรื่องสกปรก ล้างออกซะบ้าง”
“พี่ไท หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“หายบ้าหรือยังล่ะ”
แพรวไพลินกรี๊ด แล้วผลักเขาออกไป เป็นไทผงะไปหน่อย แพรวไพลินลุกไปหมุนฝักบัวปิด แล้วหันมาต่อว่า
“วันนี้แพรวช่วยชีวิตพี่แท้ๆ พี่ทำกับแพรวอย่างนี้ได้ยังไง”
“ช่วยแบบหวังผลอย่างงี้ มันซื้อใจฉันไม่ได้หรอก”
“ทำไมพูดแบบนี้ แพรวรักพี่นะ”
“เธอรักตัวเองมากกว่า”
“ไม่จริง”
“จริงสิ เธอเห็นฉันเป็นแค่สมบัติข้าวของ เธอไม่เคยแคร์เลยว่าฉันจะรู้สึกยังไง”
แพรวไพลินอึ้ง
“พี่ไท!”
“ใช่...ฉันชื่อ เป็นไท...แปลว่า เป็นอิสระ ฉันไม่ต้องการเป็นทาสของใคร เพราะ คนที่มีหัวใจเป็นอิสระเท่านั้น ถึงจะรู้จักรักเป็น”
เป็นไทเดินลิ่วออกจากห้องไปเลย แพรวไพลินอึ้งแล้ว กรี๊ดตาม
“พี่ไท...พี่จะทำกับแพรวอย่างนี้ไม่ได้ แพรวไม่มีวันเลิกรักพี่ได้ยินไหม ไม่มีวัน”
สารวัตรยืนยิ้มยั่วยวนสังวรณ์อยู่หน้าห้องขัง
“เป็นไง นอนข้างในสบายดีมั้ย”
สังวรณ์ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองอย่างแค้นๆ จ่าก็เดินเข้ามาหาสารวัตร
“สารวัตรครับ เราได้ส่งคนไปค้นหาทั้งบ้าน ออฟฟิศ คอนโด ทุกที่ที่เป็นสมบัติของนายสังวรณ์นี่หมดแล้วครับ แต่ไม่มียูกิอยู่เลยครับ”
สังวรณ์ได้ยินก็หัวเราะเสียงดังผ่านลูกกรงออกมา
“มีก็บ้าแล้ว คนบอกว่าไม่รู้เรื่องก็จะยัดข้อหาอยู่ได้”
จ่าถอนใจ
“เอาไงดีครับสารวัตร”
สารวัตรมองไปที่สังวรณ์อย่างหมั่นไส้ แล้วก็พยักหน้าให้จ่าปล่อยสังวรณ์ออกมา จ่าไขกุญแจห้องขัง สังวรณ์ระริกระรี้ เมื่อออกมาจากโรงพักก็หน้าเข้มทันที
“ยายวราพรรณ ฉันจะพลิกแผ่นดินหาแก”
สังวรณ์สีหน้าจริงจัง แต่สุดท้ายก็สะดุดขาตัวเอง เซถลา
เป็นไทกำลังคุยโทรศัพท์หน้าเครียด
“ครับ…ผมเข้าใจครับ…ครับ เข้าใจ…มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น…ครับ…ครับ…ขอบคุณมากครับ ยินดีครับ”
เป็นไทวางหู หน้าเครียด องอาจเดินเข้ามาพอดี
“มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับคุณไท”
“คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ทางต้นสังกัดโทรมาขอยกเลิกคอนเสิร์ต พร้อมให้ส่งตัวยูกิกลับไปภายในอาทิตย์นี้”
เป็นไทหน้ายุ่ง องอาจก็พลอยเครียดไปด้วย
“คุณไทอยากจะหาใครมารับผิดชอบเรื่องนี้มั้ยครับ”
“หมายความว่าไง รับผิดชอบ”
“ผมหมายถึงว่า หากคุณไทอยากจะฟ้องนายสังวรณ์ หรือ…เอ่อ…”
“ช่างเถอะ…คนที่เล่นเกมแพ้ ก็ต้องยอมรับ”
“แต่มันอาจทำให้เราได้เงินมาจากทางอื่น”
“ผมไม่สนเรื่องเงินหรอก ผมสนแค่สิ่งที่ผมสร้างมาตลอดเวลาหลายปีนี่ต่างหาก ซึ่งไม่ว่าใครก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้”
“ผมเข้าใจครับ”
เป็นไทถอนหายใจ ตัดความรู้สึก พยายามจะไม่คิดเรื่องนี้
“ผมขอออกไปเดินเล่นก่อน ถ้ามีอะไรก็โทรเข้ามือถือก็แล้วกัน”
“ครับ”
เป็นไทลุกจากห้องไป องอาจมองดูอย่างเห็นใจ
นับดาวทำความสะอาดบ้านไป ขณะที่วราพรรณเอกเขนกอยู่บนโซฟา
“เราจะไปหายูกิได้จากไหน กรุงเทพก็ไม่ใช่เล็กๆเลยนะ” นับดาวถาม
“ฉันว่าเค้าอยู่ไม่ไกลเราหรอก เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันก็ต้องหาทางพบคนที่รู้จักให้ได้ซึ่งในประเทศไทยก็เหมือนจะมีแค่คุณไท ที่จะช่วยยูกิได้ในหลายๆเรื่อง”
“แล้วไคคุงล่ะ”
“ยูกิไม่รู้นี่ว่าไคคุงมาเมืองไทย จำได้มั้ยที่แกเล่าว่าไคคุงมาเซอร์ไพรส์ตอนแกปลอมตัวเป็นยูกิแล้ว”
นับดาวพยักหน้ารับ
“เออ ก็จริง แล้วเอาไงล่ะ”
“แกน่ะ ต้องไปคอยเฝ้าที่ออฟฟิศคุณไท เพราะยูกิเคยไปมารอบนึงแล้วแต่ไม่เจอคุณไท ฉันว่าเธอต้องหาทางพบคุณไทให้ได้”
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่มีหน้าไปเจอคุณไทอีกหรอก อีกอย่างถ้ายูกิพบคุณไทแล้วก็ดีสิ”
“แล้วถ้าเค้าคิดว่าเป็นแกแล้วไล่ตะเพิดล่ะ”
“อืม...ก็จริง งั้นแกก็ไปเฝ้าออฟฟิศคุณไทแทนฉันสิ”
“นี่ ฉันวางแผน สะกดรอย ทำทุกอย่างเลยนะ นี่เรื่องของแกนะเว้ย ฉันไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียซักหน่อย แกนั่นแหละต้องทำบ้าง”
“แต่ฉันกลัวเจอคุณไทนี่”
“ก็อย่าไปให้เค้าเจอสิ”
“พูดง่ายๆไปได้ นั่นบริษัทเค้า เค้าต้องเจออยู่แล้ว”
“งั้นก็อย่าทำให้เค้าจำได้สิ ไม่เห็นจะยาก”
นับดาวหันมองหน้าวราพรรณงงๆ
เป็นไทมานั่งกินกาแฟอยู่ในห้าง เขานั่งคิดนับดาว ที่เจอกันที่ปากคลองตลาด รอยยิ้มของนับดาวที่ยิ้มให้เขา
“เธอทำมันลงไปได้ยังไง เธอทำลายชีวิตฉันได้ยังไง”
เป็นไทชิงชัง ทั้งรักทั้งเกลียด
ทางด้านยูกิเดินมากับยามาดะในห้างสรรพสินค้า ยามาดะสังเกตเห็นสีหน้าไม่สบายใจของเธอ
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“ฉันอยากจบปัญหานี้ซักที มันนานเกินไปแล้ว ฉันไม่สบายใจเลย เมื่อก่อนไปไหน คนก็กรูกันเข้ามายิ้มแย้ม ทักทาย ขอลายเซ็น แต่ดูตอนนี้สิ”
ยูกิมองไปรอบๆ ยามาดะมองตาม
“มีแต่คนมองแปลกๆ เดี๋ยวก็ซุบซิบกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นฉันก็มั่นใจว่าฉันไม่ได้ทำด้วย”
“คุณอยากให้ผมช่วยอะไรยังไงบอกมาได้เลย จะให้ผมจัดการคนพวกนี้มั้ย”
ยามาดะมองคนที่มองยูกิซุบซิบจะเอาเรื่อง
“อย่าโง่หน่อยเลยน่า”
ยามาดะโบกมือทักทายคนที่จะเอาเรื่องเมื่อกี้แทน
“ฉันต้องเจอคุณไทให้ได้”
“ไม่กลัวโดนไล่ออกมาอีกเหรอ”
ยูกิถอนหายใจแทนคำตอบ
“ถ้าบังเอิญเจอข้างนอกได้ คงง่ายกว่าเยอะเลย”
เป็นไทนั่งหน้าเครียดอยู่ที่ร้านการแฟ ยูกิกับยามาดะเดินมาเห็นเข้า
“คุณไท”
ยามาดะหันมองตามยูกิ เป็นไทเงยหน้าขึ้นมาเห็นยูกิพอดี ยูกิยิ้ม ดีใจรีบเดินเข้าไปหา
“...เอ่อ”
เป็นไทเห็นยูกิคิดว่าเป็นนับดาวอีก
“ผมไม่อยากอยู่ใกล้คุณแล้ว ไม่อยากเจอคุณอีกแล้ว”
เป็นไทหันซ้ายหันขวา รีบชิ่งหนีเลยทันที ยูกิกับยามาดะรีบตามไป”
“เดี๋ยวปล่อยเป็นหน้าที่ผมจับตัวเค้าเอง เรื่องแบบนี้ ผมถนัด”
ยามาดะสีหน้าจริงจัง ออกตัวแรงตามไป เป็นไทวิ่งหนีมาที่ลานจอดรถในห้าง ยามาดะตามมาติดๆ เกือบคว้าตัวเป็นไทได้ แต่แล้วยามาดะก็สะดุดขาตัวเองล้มกลิ้งไม่เป็นท่า เป็นไทรีบขึ้นรถแล้วสตาร์ทออกไปทันที ยูกิวิ่งตามมา ไม่ทัน เป็นไทออกไปแล้ว เห็นสภาพยามาดะล้มไม่เป็นท่าอยู่กับพื้น น่าสมเพช ยูกิถอนใจ ช่วยลงไปประคองยามาดะอย่างเป็นห่วง
“ไหนว่าเรื่องแบบนี้ถนัด”
“ขอโทษ”
“ไม่เป็นไร ฉันจะตามเค้าไปที่บริษัท ยังไงฉันก็ต้องคุยกับเค้าให้ได้”
ยูกิสีหน้าจริงจัง ยามาดะยังเจ็บโอดโอย
เป็นไทเดินเข้ามาออฟฟิศอย่างรีบร้อน หันมองระแวงหลังตลอด เขาหันบอกประชาสัมพันธ์ที่นั่งอยู่
“ถ้ามีคนหน้าตาเหมือนยูกิมาหาผม อย่าให้เข้าไปข้างใน”
“จะให้บอกว่ายังไงคะ”
“ผมไม่อยู่บริษัทปิด ล้มละลาย เปลี่ยนผู้จัดการใหม่ อะไรก็ว่าไปสิ แต่อย่าให้เข้ามา”
“ค่ะ เอ่อคุณไทคะ คุณแพรว...”
เป็นไทเดินเข้าไปด้านในไม่ฟังประชาสัมพันธ์พูด ยูกิ ยามาดะ เดินเข้ามา ประชาสัมพันธ์รีบถาม
“เอ่อ...มาพบใครคะ”
“คุณไทค่ะ”
“คุณไทไม่อยู่ค่ะ ยังไม่เข้ามา”
“ได้ไง ฉันเห็นรถเขาจอดอยู่”
“แค่รถรุ่นเดียวกันน่ะค่ะ”
ยูกิไม่พอใจ
“ทำไมต้องโกหกด้วย ฉันเพิ่งเห็นเค้าเดินเข้ามาเมื่อกี้ โทรไปบอกเค้าว่าฉันยูกิ มีธุระสำคัญจะคุยด้วย เขาต้องยอมพบแน่ๆ”
“ถ้าคุณยังบอกว่าเป็นยูกิ ยังไงคุณก็พบคุณไทไม่ได้แน่ๆค่ะ”
ยามาดะแปลกใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ยูกิเค้าจะแสดงคอนเสิร์ตกับบริษัทคุณนะ”
“มันล่มไปหมดแล้วค่ะ เชิญพวกคุณออกไปดีกว่า”
ยูกิช็อคที่ได้รู้ว่าคอนเสิร์ตล่ม ยามาดะพาเธอเดินออกไป องอาจเดินออกมา
“มีเรื่องอะไร”
“มีคนมาขอพบคุณไทค่ะ”
“แล้ว?”
“คุณไทไม่ให้เข้าพบค่ะ”
“ใครน่ะ ทำไมต้องห้ามเข้าพบด้วย” องอาจงงๆ
ยูกิกับยามาดะเดินมาหน้าออฟฟิศ ยูกิยังช็อค
“นี่มันอะไร ตอนนี้ฉันสูญเสียชื่อเสียงไปแล้วเหรอ ไปไหนก็มีแต่คนไล่ ไม่ก็มองแล้วนินทา นี่มันอะไรกันเนี่ย”
“การเป็นคนธรรมดา มันก็ยากแบบนี้แหละ”
ยามาดะปลอบยูกิ แล้วพากันเดินออกไป ขณะเดียวกัน องอาจยังคุยกับประชาสัมพันธ์
“คือคุณเป็นไทบอกว่า อย่าให้คนที่หน้าเหมือนยูกิเข้ามาในบริษัท”
“แล้วเค้ามาจริงๆเหรอ”
“ใช่ค่ะ แต่ตอนนี้ไปแล้ว”
“แล้วเธอรู้ได้ไงว่าคนไหนยูกิตัวจริง คนไหนยูกิตัวปลอม”
“ไม่รู้ค่ะ”
“เขาพูดสำเนียงไทยชัดมั้ย”
ประชาสัมพันธ์ส่ายหน้า
“นั่นไง...มันเป็นยังงี้ไง ต่อไปนี้ถ้าใครก็ตามที่บอกว่าตัวเองคือยูกิ มาที่นี่ ให้โทรบอกผม เข้าใจมั้ย”
ประชาสัมพันธ์พยักหน้าเข้าใจ องอาจรีบออกไปตามยูกิทันที
นับดาวแต่งตัวเป็นคนขายพิซซ่า ใส่หมวก ใส่แว่นอำพรางใบหน้า มองซ้ายมองขวามาที่หน้าบริษัท พลางบ่น
“นี่เหรอวิธีทำให้คุณไทจำไม่ได้ แล้วทำไมต้องให้ปลอมเป็นคนส่งพิซซ่าด้วยเนี่ย ยายนุ้ย”
องอาจโผล่มาจากประตูพอดี เจอกับนับดาวจังๆ แต่องอาจจำไม่ได้ องอาจวิ่งออกมามองซ้ายมองขวาหายูกิ นับดาวปลอมเสียงเป็นผู้ชายด้วย
“หาอะไรเหรอครับ”
“เห็นผู้หญิงสวยๆที่เพิ่งออกมามั้ย”
“ผมมาก็ไม่เห็นใครนะครับ”
องอาจถอนหายใจ เสียดาย
“คลาดอีกแล้ว ให้มันได้อย่างนี้สิ”
“คลาดกับใครเหรอครับ”
“มากไป มากไป คุยด้วยนิดหน่อยทำมาซักไซ้เรื่องส่วนตัวนะ แล้วนี่เป็นคนสั่งพิซซ่ารึไง”
นับดาวดึงหมวก ดึงแว่นมาปิดหน้าให้มากขึ้น
“ครับ”
“ดี งั้นก็เข้ามา”
นับดาวเก้ๆกังๆ เดินตามองอาจเข้าไปด้านใน
เป็นไทถือแก้วกาแฟเปิดเข้ามาในห้องตัวเอง เห็นแพรวไพลินนั่งรออยู่
“พี่ไท”
เป็นไทเมินเฉยใส่
“ทำไมพี่ไทต้องทำเฉยชาใส่แพรวด้วยละคะ”
“คุณอย่ามาตีหน้าซื่อ เหมือนไม่เคยทำอะไรผิดมาก่อนเลยดีกว่า”
“พี่ไท...ไม่เห็นต้องโกรธเลย ข่าวพวกนี้ แป๊บเดียวเดี๋ยวคนก็ลืม”
“แต่บริษัทผมจะถูกลืมไปด้วย ทั้งที่ผมสร้างมันมากับมือ”
แพรวไพลินไม่แคร์
“ไม่เห็นจะยาก ก็สร้างใหม่สิคะ หาเงินมาลงทุนอีกซักก้อน ปั้นโปรเจ็คใหญ่ๆขึ้นมาเองเลย ถ้าพี่ไทไม่มีเงินก้อนมาลงทุน แพรวมีให้ยืมนะคะ”
“เดี๋ยวนี้ปล่อยกู้นอกระบบด้วยเหรอ”
“ก็แค่พี่ไทคนเดียว”
“ผมไม่สนใจเงินของคุณหรอก”
“ไม่สนเหรอ แล้วโปรเจ็คยายยูกิน่ะเกิดขึ้นได้เพราะอะไร ไม่ใช่เงินของแพรวหรอกเหรอ”
“เงินของคุณก้อนนั้น ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะเอามาคืนให้ในเร็ววันนี้แหละ”
“พี่ไทจะหาเงินมาจากไหน เงินก็ไม่ใช่น้อยๆนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมหามาได้แน่”
“แต่ก็ต้องไม่ลืมพันธะสัญญาระหว่างเรานะคะ”
“ผมไม่ลืมหรอก ผมถึงอยากหาเงินมาคืนคุณวันนี้พรุ่งนี้ เพราะเกลียดสัญญานี่เต็มทน”
“ทำไมคะ แพรวน่ารังเกียจตรงไหน ทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งเพอร์เฟค ใครเค้าก็อยากได้”
เป็นไทยิ้มเยอะ
“ถามคนอื่นบ้างรึยัง”
“ทำไมพี่ไทถึงไม่สนใจแพรวบ้างเลย แพรวไม่ดีตรงไหน”
เป็นไทถอนหายใจ...กลุ้มกับแพรวไพลิน
องอาจเดินเข้ามากับนับดาว พลางถามพนักงาน
“ใครสั่งพิซซ่าเนี่ย”
คนอื่นๆส่ายหน้า องอาจยิ้ม
“ถ้างั้นรู้แล้วว่าใครสั่ง”
องอาจพานับดาวมายืนหน้าห้องเป็นไท นับดาวชะงัก
“นี่ไง ห้องคนสั่ง เข้าไปส่งสิ”
“ไม่เป็นไร ผมส่งตรงนี้ก็ได้”
“ไม่เอา ต้องส่งให้ถึงที่”
“แต่...”
นับดาวลำบากใจอยากกลับแล้ว
“เข้าไปสิ”
นับดาวอึดอัด มองป้ายชื่อเป็นไท แต่เธอก็แข็งใจเคาะประตู เสียงลอดออกมาถามว่าใคร
“ส่งพิซซ่าครับ”
องอาจเดินออกไป นับดาวเปิดประตูเข้าไปส่งพิซซ่า เธอก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตา เห็นแพรวไพลินอยู่กับเป็นไทก็แอบเศร้า
“คุณสั่งพิซซ่ามารึไง” เป็นไทถาม
“ใครจะไปกินพิซซ่าที่ไม่ใช่ร้านอิตาเลี่ยนแท้ๆ”
“เอ่อ...คงผิดห้องน่ะครับ”
นับดาวจะเดินออกไป เป็นไทคิดอะไรบางอย่างออก
“เดี๋ยว...”
นับดาวสะดุ้ง กลัวเป็นไทจับได้ ยืนเกร็งทั้งตัว เป็นไทคุยกับแพรว
“คุณสงสัยใช่มั้ยว่าทำไมผมไม่ชอบคุณ ความจริงคือ...ผมเป็นเกย์ไม่มีทางสนใจผู้หญิงหน้าไหนหรอก”
นับดาวตาโตที่ได้ยิน
“ไม่จริงหรอก พี่ไทออกจะแมน อย่ามาโกหกเพื่อเอาตัวรอดดีกว่า”
“แมนอะไร ผมขลุกกับองอาจทั้งวัน ไม่เคยสนใจผู้หญิง คุณไม่เคยสงสัยบ้างเลยรึไง”
นับดาวแอบฟัง คิดตาม
“ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ดูนี่”
เป็นไทคว้าตัวนับดาวที่เข้าใจว่าเป็นเด็กส่งพิซซ่าผู้ชายมาจูบปาก นับดาวตกใจที่อยู่ๆก็โดนเป็นไทจูบ ตาค้าง แพรวไพลินก็ตกใจ เป็นไทปล่อยนับดาว เธอยืนช็อค ถึงกับเข่าอ่อนทรุดไปกับพื้น
“ดังนั้นเลิกยุ่งกับผมซักที ผมไม่สนใจผู้หญิงหรอก”
“แพรวไม่ยอมให้มันเป็นแบบนี้หรอก”
แพรวไพลินไม่พอใจเดินออกไปจากห้อง เป็นไทหันมาดูนับดาวที่ทรุดอยู่กับพื้น
“โทษทีนะน้องที่ต้องทำแบบนี้น่ะ”
นับดาวยังช็อคอยู่ เป็นไทควักแบงค์พันออกมายื่นให้
“นี่ถือเป็นค่าทำขวัญและกันนะ อย่าไปบอกใครล่ะ”
นับดาวยังช็อค นิ่งไม่รับเงิน เป็นไทเอามือโบกไปโบกมาที่ตานับดาวให้ได้สติ แต่นับดาวยังตาลอย เป็นไทเอามือทั้งสองจับแก้มนับดาวหันหน้ามาที่เขา
“น้อง น้อง ได้ยินมั้ย”
นับดาวสะดุ้ง หลุดจากภวังค์ เห็นหน้าเป็นไทก็เด้งหนี นับดาวหันมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร เธอรีบวิ่งออกไปทันที เป็นไทมองตามงงๆ
นับดาวเดินเข้ามาในบ้าน รจนากับวราพรรณนั่งอยู่หน้าทีวี นับดาวเดินผ่าน รีบขึ้นไปบนห้องทันที
“กลับมาแล้วเหรอ เจอยูกิมั้ย”
นับดาวเดินผ่านไปไม่ตอบ ไม่ทักทายใครเลย
“เอ๊า เป็นอะไร ไม่ทักทายเพื่อนเลย”
วราพรรณกับรจนามองหน้ากัน นับดาวเข้าห้องตัวเอง ปิดประตู เธอถอดหมวก ถอดแว่น ที่แต่งเป็นเด็กส่งพิซซ่าออก เอามือจับปากของเธอที่เพิ่งโดนเป็นไทจูบ เธอสับสนไปหมด สักพักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น นับดาวเปิดประตู เป็นวราพรรณ
“แกเป็นอะไรวะ เข้าบ้านมาไม่ทักไม่ทายใครเลย”
“เปล่า”
“แล้วเจอมั้ย ยูกิน่ะ”
“ไม่เจอ”
“แล้วทำไมรีบกลับ น่าจะรอต่ออีกซักพัก เผื่อยูกิจะมา”
“นี่ แกให้ฉันแต่งตัวเป็นคนส่งพิซซ่า แล้วไงวะ จะให้ฉันส่งเสร็จแล้วก็นั่งปาร์ตี้ที่ออฟฟิศคุณไทต่อด้วยเลยรึไง เป็นแค่นี้มันก็ได้แค่นี้”
“เออ เอาเถอะ วันนี้ไม่เจอ ต้องมีซักวันที่จะเจอ”
“แต่ซักวันที่ว่า แกไปมั่งได้มั้ย ฉันไม่อยากไปแล้ว”
“อ้าวไหงงั้น”
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่อยากเจอหน้าเค้า”
“ทำไม เค้าทำร้ายแกเหรอ”
นับดาวเอามือจับปากตัวเองอีกครั้ง
“เปล่า ฉันก็แค่ไม่อยากเจอ”
“แต่ถ้าแกอยากช่วยเค้า แกต้องทำ ยูกิ คือทางออกเดียวที่แกจะช่วยเค้าได้ตอนนี้นะ”
นับดาวนิ่ง...เห็นด้วยกับเพื่อน นับดาวเผลอเอามือจับปากตัวเองอีกครั้ง
“แล้วนั่นปากแกไปโดนอะไรมาน่ะ เห็นเอามือจับตลอดเลย”
นับดาวหันหน้าหนี
“เปล่านี่”
นับดาวเขินจนหน้าแดง
อ่านต่อหน้า 4
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 12 (ต่อ)
เป็นไทเองก็นั่งเอามือจับปากตัวเองเช่นกัน เขารู้สึกแปลกๆกับจูบเมื่อครู่ไม่น้อย องอาจเปิดประตูเข้ามา เอาแฟ้มมาวางบนโต๊ะ เป็นไทยังนั่งจับปากตัวเองอยู่
“เป็นอะไรเหรอครับหัวหน้า”
“เปล่านี่”
“เห็นนั่งจับปากตัวเองตั้งแต่เมื่อกี้ละ”
“ไม่มีอะไร แค่รู้สึกแปลกๆ”
“แปลกอะไรเหรอครับ”
“นี่…ถ้าคนไม่ใช่เกย์จูบกับผู้ชายด้วยกัน จะรู้สึกยังไง”
“ขยะแขยงสิ จะไปจูบทำไม”
“แล้วถ้ารู้สึกดีล่ะ”
“งั้นก็เกย์แล้ว”
“บ้า…แต่ผมไม่เคยชอบผู้ชายที่ไหน”
“แล้วกับผู้หญิงล่ะ”
“กับผู้หญิงอะไร”
“ก็เวลาจูบ หรือหอมแก้ม หรืออะไรทำนองนั้นน่ะ”
เป็นไทนึกถึงตอนที่บังเอิญหอมแก้มนับดาว เขาอมยิ้ม
“ก็ดีนะ”
“งั้นก็เป็นไบเซ็กชวล”
“อย่าสรุปมั่วๆได้มั้ยเนี่ย”
“ที่แปลว่าไม่ยอมรับ ไม่ต้องแปลกใจคุณไท คนไม่ยอมรับมีอยู่เยอะแยะไป”
“ไม่ใช่ ผมอยากได้ข้อพิสูจน์ที่มันชัวร์ๆ ไม่ใช่สรุปมั่วๆแบบนี้”
“คุณไทมีใครซักคนที่คิดถึง แล้วอยากเจอเค้า อยู่ตอนนี้รึเปล่าล่ะ”
“ถ้ามี...”
“ลองไปหาเค้าสิ ไปฟังว่าหัวใจเราเต้นเป็นยังไง คุณไทจะรู้คำตอบเอง”
เป็นไทเหม่อมองออกไป
ค่ำคืนนั้น...เป็นไทจอดรถแอบอยู่ห่างหน้าบ้านรจนาให้ไม่ทันสังเกต แอบดูนับดาวในบ้าน เขาเอามือจับหัวใจตัวเอง
“ทำไมใจเต้นแรงแบบนี้เนี่ย”
วราพรรณขับมอเตอร์ไซค์ผ่านไป ทั้งคู่ต่างไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพราะตอนที่วราพรรณขับผ่าน เป็นไทก็ก้มหน้าหลบพอดี
วราพรรณเดินควงกุญแจรถเข้ามาในบ้าน นับดาวกำลังรีดผ้าให้รจนา
“ทำอะไรกันวัยรุ่น”
“บ้านช่องไม่มีให้กลับรึไง”
“แหม ใช้งานเสร็จก็ไล่เลยนะคุณเพื่อน นี่รีดชุดสวย จะไปไหนเนี่ย”
“รีดให้ย่า พรุ่งนี้ย่ามีงานจ้างเข้ามาด่วน ไปจ้างร้านไม่ทัน”
วราพรรณหันมองรจนา
“แหม เดี๋ยวนี้ฮอตใหญ่เลยนะ”
รจนายิ้มเชิด
“คนมันเกิดมาเพื่อจะดัง ยังไง๊ ยังไง มันก็ต้องดัง”
“แหม หนูนี่โชคดีจริงๆ ได้เป็นหลานคนดัง”
ทั้งสามคนคุยกันแล้วหะวเราะอย่างสนุกสนาน คุยกันยิ้มแย้ม เป็นไทมองดูนับดาวอยู่ไกลๆ เศร้าๆ เขาถอนหายใจแล้วก็สตาร์ทรถ
นับดาวหันมาถามวราพรรณ
“แล้วแกล่ะ ไปคุยงานเป็นไงบ้าง”
“ก็ดี เขาก็ลองให้ลองเข้าไปอ่านข่าวให้เค้าดูก่อนน่ะ แล้วแกล่ะ หางานรึยัง”
“พรุ่งนี้ว่าจะไปลองสมัครดู”
วราพรรณนึกได้
“เออ...ฉันเห็นรถใครก็ไม่รู้จอดอยู่หน้าบ้านแกด้วยว่ะ”
นับดาวรำพึง
“คุณไท…”
นับดาวรีบละจากตรงนั้น วิ่งออกไปหน้าบ้านทันที โดยทิ้งให้คนในบ้านงง
นับดาววิ่งออกมาหน้าบ้าน ไม่เห็นรถวิ่งออกไปลิบๆแล้ว เธอวิ่งตามออกไปนิดหน่อยก็รู้ว่าไม่ทันจึงหยุด เธอไม่แน่ใจนักว่าใช่เป็นไทรึเปล่า วราพรรณเดินตามออกมา
“ตกลงใคร”
“ไม่รู้...ที่แกเห็นน่ะ รถยี่ห้ออะไร สีอะไร ป้ายทะเบียนอะไร”
“แก...คือฉันขับมอไซค์ผ่าน และมันมืดมาก ใครจะไปสังเกตอะไรขนาดนั้น”
นับดาวถอนหายใจ
“เออ ช่างเถอะ”
“แกคิดว่าเป็นใคร”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“คุณไทเหรอ...”
นับดาวเงียบ
“คุณไทเค้าสำคัญกับแกขนาดนั้นเลย...”
นับดาวเงียบอีก
“เคยบอกเค้าให้รู้รึยัง”
“ฉันจะไปพูดแบบนั้นได้ไง เราทำอะไรกับเค้าไว้ รู้ตัวซะบ้าง”
“แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะบอก มันไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้วนี่ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
“แกอยากเห็นฉันทรมานไปมากกว่านี้รึไง คนเราไม่สามารถพูดทุกสิ่งที่คิดได้หรอกนะ”
นับดาวเดินเข้าไปในบ้าน วราพรรณเห็นใจเพื่อน
ในผับ...แพรวไพลินนั่งดื่มอย่างเมามายที่โต๊ะ ยกที่เดียว หมดแก้ว แล้ววางกึกบนโต๊ะ
“เอามาอีก!!”
บ๋อยเห็นท่าทางที่เมามากของเธอจึงพูดเตือน
“คุณเมามากแล้วนะครับ พอเถอะครับ”
แพรวไพลินผลักบ๋อย
“ฉันไม่เมา”
บ๋อยเซล้มลงไป แพรวไพลินลุกขึ้น เดินเซแซ่ดๆไปที่บู้ทดีเจ คว้าไมค์ขึ้นมาพูดอ้อแอ้
“เงียบๆ หยุด...ทุกคนฟังทางนี้...ใครที่บอกว่าฉันไม่เมา ฉันเลี้ยงทุกโต๊ะ”
คนในผับเฮกันขึ้น ตะโกนไม่เมาๆ แพรวถามต่อ
“ใครบอกว่า ฉัน แพรวไพลิน เป็นคนสวย เป็นคนที่ผู้ชายทุกคนจะต้องหลงรัก ส่งเสียงหน่อย”
ทั้งผับเงียบกริบ
“ตอบมาสิ พูดความจริงมาเลย”
ทุกคนเงียบอีก แพรวไพลินยิ่งเหวี่ยง
“อะไร พอไม่จ่ายเงิน ไม่มีสุนัขตัวไหนตอบเลยเหรอ”
ไคคุงที่ก้าวเข้ามาในผับ พูดขึ้น
“ฉันตอบเอง ไม่เอาเงินด้วย”
แพรวไพลินหันไปรี่ตามอง แล้วเบิกตาขึ้น
“ไอ้ไคคุง”
“เมาแอ๋มาอย่างนี้ ถูกเขาทิ้งมาล่ะสิ”
แพรวไพลินหน้าชา โกรธขึ้นมา
“ไอ้ปากเสีย”
“สมน้ำหน้า”
ไคคุงหัวเราะเยาะดังลั่น แล้วหันเดินออกไป แพรวไพลินยัวะ
“ไอ้ไคคุง!”
ไคคุงเดินมาตามทางจะไปขึ้นรถ แพรวไพลินวิ่งเมาๆ ตามหลังเข้ามา
“แกจะหนีไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ไคคุงหันกลับไปมองเยาะเย้ย แพรวไพลินเข้ามาชี้หน้าด่า
“แกอยากมีเรื่องใช่มั้ย”
ไคคุงเยาะ
“ผู้หญิงขี้แพ้”
“ฉันไม่ได้โดนทิ้ง ได้ยินไหม พี่ไทเขาบอกว่าเขาเป็นเกย์”
“เฮอะ มันเลยเป็นแฟนเธอไม่ได้งั้นสิ”
“ก็ใช่นะสิ ฉันไม่ได้โดนทิ้ง ได้ยินไหม เขาไม่ได้ปฏิเสธฉัน”
“โง่!”
“จะมากไปแล้วนะ”
“เธอนะสิ โดนมันหลอกแล้วยังโง่เชื่อมันอีก ไอ้เป็นไทมันไม่มีทางเป็นเกย์หรอก”
“แกรู้ได้ยังไง”
“ผู้ชายด้วยกันทำไมจะดูกันไม่ออก แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าผู้หญิงที่มันรักก็คือ ยูกิ ไม่ใช่เธอ”
แพรวไพลินยกมือจะตบ ไคคุงรวบมือเธอไว้ได้ แล้วผลักออกไปจนเธอล้มลงไปกับพื้น
“ทนรับความจริงไม่ได้เหรอคุณแพรวไพลิน อยากตายแล้วใช่มั้ย”
“ไม่ต้องมาขู่ จะฆ่าก็ฆ่า สิ ฉันไม่อยากอยู่เหมือนกัน”
“นั่นแหละ ฉันถึงไม่อยากฆ่าเธอไง...”
ไคคุงทรุดลงนั่งข้างหน้า
“อยู่อย่างพ่ายแพ้ มันทรมานกว่าเยอะ”
“ฉันไม่อยากได้ยิน ฉันไม่อยากฟังแกแล้ว ไปให้พ้น ไป ฮือออออ”
แพรวไพลินปิดหูตัวเองร้องกรี๊ดๆ ไคคุงหัวเราะก้องแล้วเดินออกไป
เช้าวันใหม่...เป็นไทเดินเข้ามาที่หน้าบ้านนับดาว ยกกรวยดอกแค อย่างที่เคยเอามาให้นับดาวขึ้นมาดู แล้วนำกรวยที่ใส่ดอกแควางเสียบกับลูกกรงประตูบ้าน เสียงกุกกักดังขึ้นมาจากในบ้าน เป็นไทรีบหลบออกไป รจนาเปิดประตูบ้าน เดินออกมาที่หน้าประตูรั้ว
“นั่นใครน่ะ มาแต่เช้าเชียว”
รจนามองหาแต่ไม่เห็นใคร
“เอ ฉันว่าฉันเห็นเงาคนแว่บๆนะ” รจนาหันไปมองเห็นกรวยดอกแค “ฮึ...อะไรน่ะ”
รจนามองกรวยดอกแคแปลกใจ ทางด้านเป็นไทเดินไปกางซอย ที่เขาจอดรถไว้ ขณะที่กำลังเปิดประตูรถที่จอดหลบ เงาของสังวรณ์ปรากฏขึ้นที่กระจกรถ เป็นไทเหลือบมองเห็น เงานั้นกำลังยกไม้ขึ้นตีตัวเอง จากทางข้างหลัง
เป็นไทรีบหลบ สังวรณ์ตีพลาด เป็นไทเห็นหน้าสังวรณ์ชัดๆ
“สังวรณ์”
“ใครใช้ให้แก เรียกชื่อจริงฉัน”
“จะชื่อจริงชื่อเล่นของแก มันก็เลวทั้งคู่”
“อย่ามาทำเป็นคนดี ที่แท้แกกับนังนับดาวก็เป็นพวกเดียวกัน”
“อย่ามาโทษคนอื่น แกนั่นแหละที่คิดชั่วทำชั่ว จนตัวเองต้องติดตะราง”
“หุบปาก!!” สังวรณ์ตวาดย่างโมโห
นับดาวหยิบกรวยดอกแค ที่วางบนโต๊ะขึ้นมาดู ด้วยความแปลกใจ คิดถึงเป็นไท
“ย่า...ดอกแคของใคร”
รจนากำลังนั่งเปิดหนังสือรุ่น ของตัวเองอ่านอยู่อย่างจริงจัง
“ไม่รู้สิ ฉันเดินออกไป เขาก็ไปแล้ว”
“ไปแล้วเหรอ”
“ต้องเป็นเพื่อนสมัยเรียนของย่า กลับมาจีบย่าอีกแน่ๆ ฮิ ฮิ ฮิ”
นับดาว ครุ่นคิดจะเอายังไงดี แล้วตัดสินใจวิ่งออกจากบ้านไป
สังวรณ์พุ่งเข้าไปหาเป็นไท เอาไม้ตี เป็นไทหลบหลีก แล้วโยนถังขยะแถวนั้น ขว้างใส่สังวรณ์จนล้มลงไป เป็นไทรีบเข้าไปคร่อมต่อยสังวรณ์ไปหนึ่งชุด
สังวรณ์ดีดตัว ผลักเป็นไทล้มลงไปบ้างแล้วต่อยเป็นไทไม่นับ นับดาววิ่งเข้ามาเห็นพอดี ตะโกนลั่น
“คุณเป็นไท”
นับดาวเข้าไปกระโดดถีบสังวรณ์ กระเด็นหงายหลังออกไป พังพาบ เป็นไทลุกขึ้นหยิบไม้หน้าสาม พุ่งเข้าไปสังวรณ์ร้องเสียงหลง แล้วรีบวิ่งหนีออกไปเลย เป็นไททิ้งไม้ไป แล้วหันไปจะขอบใจนับดาว
“ขอบใจนะที่มาช่วยฉัน”
เป็นไทเหวอ นับดาวหายไปแล้ว
นับดาวเดินลิ่ว หน้าขรึมกึมเศร้ามาตามทาง เป็นไทเลี้ยวเข้าซอยมาแล้วเห็นนับดาวเดินอยู่ข้างหน้า รีบวิ่งไปหา คว้ามือเธอหมับ
“นับดาว...”
นับดาวชะงักมองหน้าเป็นไท ขรึมนิ่ง
“เป็นอะไรไป...”
“กลับไปเถอะ”
“อะไรของเธอ”
“คุณไม่ควรมาที่นี่อีก”
“ทำไม”
“ฉันทำให้คุณเสียชื่อเสียง ฉันหลอกลวงคุณ ที่สำคัญที่สุด คุณเกลียดฉัน จากนี้ไป คุณกับฉันเป็นได้แค่ คนแปลกหน้าที่ไม่น่าบังเอิญมาเจอกันอีก...ลาก่อน...”
นับดาวกลั้นใจดึงมือออกจากมือเขา แล้วหันเดินหนีไป เป็นไทยิ่งนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก มองนับดาวอย่างน้อยใจไปลับตา
เป็นไทค่อยหันหลังกลับ เดินคอตกไป ...ทั้งคู่เดินหางจากกันไปทุกที
วราพรรณโวยใส่นับดาว ที่นั่งหน้าเศร้าอยู่ข้างๆ
“อะไรนะ แกไล่คุณเป็นไทกลับไป”
“ไม่ต้องเสียงดังได้ไหม”
“แกจะบ้าเหรอ นับดาว ทำไมถึงได้ทำอะไรประหลาดๆ แบบนี้”
“มันไม่ใช่เรื่องประหลาด แต่มันเป็นความจริงของชีวิต ฉันกับคุณเป็นไท ยังไงๆก็ไม่มีทางไปกันได้”
“อะไรนะ!!”
“ฉันเป็นแค่ผู้หญิงบ้านๆ ธรรมดาๆ ความรู้ก็ไม่มี ฐานะทางบ้านก็ยากจนฉันไม่มีอะไรคู่ควรกับคุณเป็นไทสักนิด”
“แกพูดแบบนางเอกละครหลังข่าวเลยนะ...น้ำเน่าอ่ะ”
“แต่มันก็เป็นความจริง หรือว่าแกจะปฏิเสธ”
วราพรรณอึ้ง นับดาวจะร้องไห้อีก
“ฉันควรจะตัดไฟเสียแต่ต้นลม ก่อนที่มันจะแย่ไปกว่านี้”
นับดาวรีบลุกขึ้นเดินขึ้นบ้านฉันบนไป ก่อนที่จะร้องไห้อีก วราพรรณลุกขึ้นจะตาม
“นับดาว เดี๋ยวก่อน”
รจนาเปิดประตูบ้านเข้ามา
“ยายนุ้ย ได้เรื่องแล้ว”
“อะไรอีกอ่ะ ย่า”
“ฉันหาที่ซ้อมเป็นผู้ประกาศข่าวให้แกได้แล้ว”
วราพรรณดีใจ
“เหรอ จริงเหรอย่า ที่ไหนอ่ะ”
ผู้คนมาทำบุญต้นผ้าป่า อยู่ในเต้นท์เป็นจำนวนมาก วราพรรณถือไมค์พูดแบบมรรคทายกงานวัด
“ญาติโยมทั้งหลาย ทำบุญซื้อที่ดินกันนะ จะได้มีอยู่มีกิน จะได้มีชีวินที่สดใส ถ้าเป็นโสดจะได้มีแฟน ถ้ามี 1แสน ก็จะได้ 1ล้าน ถ้ามีเงินเกินล้านจะได้ร่วมทำบุญ”
รับรจนายกมือไหว้ ปลาบปลื้ม
“สาธุ”
วราพรรณหันพูดกับย่า
“ย่า ฉันจะซ้อมประกาศข่าวนะ ไม่ใช่ฝึกงานมรรคทายก”
“แหม แล้วมันได้ใช้ไมค์พูดเหมือนกันไหมล่ะ” รจนามองไปเห็นรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาไกลๆ “นั่นๆ มีรถมาแล้ว แกรีบไปเลยนุ้ย”
รจนายัดขันใส่เงินให้วราพรรณถือออกไปเรี่ยไรเงิน
“อะไรอีกล่ะ ย่า”
“ไปซี้ ทำบุญเสียบ้างชีวิตจะได้เฮงๆ”
ย่าผลักวราพรรณออกไป วราพรรณจำต้องเดินออกไปอย่างเสียไม่ได้
วราพรรณถือขันออกไปโบกรถองอาจให้จอด
“จอดก่อนๆ ทำบุญกันหน่อยนะพี่”
องอาจเลื่อนกระจกรถลงมา วราพรรณเห็นองอาจสะดุ้ง
“ยายทอม!”
วราพรรณรีบยกขันเงินบังหน้าอย่างอาย
“หึ หึ เปลี่ยนอาชีพใหม่แล้วเหรอ”
วราพรรณพึมพำ
“ซวยจริง ไหนว่าทำบุญแล้วเฮงไงล่ะ”
องอาจเปิดประตูรถลงมา
“มาเรี่ยไรเงินแบบนี้ สิบแปดมงกุฎหรือเปล่า”
“อ้าว พูดอย่านี้ก็หาว่าฉันหลอกลวงประชาชนสิ”
“แล้วมันใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่มั้ง...”
วราพรรณปาขันใส่ องอาจเซไปเจ็บ
“โอ้ยยย”
“ถึงฉันจะจน ฉันก็ไม่เคยคิดเป็นโจร”
วราพรรณวิ่งหนีองอาจออกไป อย่างฉุนๆ องอาจมองตามวราพรรณไป
“ยายทอมกลับมาก่อน ฉันล้อเล่น“
วราพรรณวิ่งมาตามทาง อย่างฉุนๆ เธอวิ่งมาหยุดหอบเหนื่อยที่ริมทางมุมหนึ่ง เสียงใบไม้ดังกรอบแกรบมาทางด้านหลังของวราพรรณ เหมือนมีคนเดินเข้ามา วราพรรณนึกว่าองอาจตามมา
“ฮึยย ยังจะตามมาอีกเหรอ ไอ้หน้าด้าน”
วราพรรณหันไปเห็นไคคุงยืนจังก้าอยู่ วราพรรณตกใจ
“แก!”
“ฉันมาตามสัญญา”
ไคคุงหยิบมีดออกมาสปริงขึ้น ตรงหน้า วราพรรณตะลึง แล้วทำเป็นมองเลยไปข้างหลังไคคุง
“ตำรวจ!”
ไคคุงตกใจรีบหันมองตาม วราพรรณได้ที ถีบไคคุงกระเด็น แล้ววิ่งหนีออกไปเลย ไคคุงเข่นเขี้ยว แล้วลุกวิ่งตามไป
“แสบนักเหรอ แกเจอฉันแน่”
วราพรรณวิ่งหนีมาทางบ้านร้าง เหลียวซ้ายแลขวา แล้วตัดสินใจวิ่งเข้าไปในบ้าน เธอวิ่งหาที่ซ่อน แล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบนบ้าน เธอวิ่งเข้าห้องนั่นห้องนี้ เหลียวหาที่หลบ ไคคุงก้าวเข้ามาในบ้าน เหลียวมองหาวราพรรณ
“ฉันรู้นะว่าแกอยู่ในนี้”
วราพรรณยืนอยู่ในห้องหนึ่ง ได้ยินเสียงไคคุงชะงัก หันขวับกลับไปอย่างตื่นตระหนก
“บรรลัยแล้ว”
ไคคุงมองเข้าไปในห้องไม่เห็นใครอยู่ในนั้น
“มันหายไปได้ยังไง”
ไคคุงหัวเสีย หันหลังกลับ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อสายตาเหลือบเห็นเงาของวราพรรณที่กระจกเงาแตกๆ ที่ติดไว้ที่ผนังติดกับหน้าต่าง
วราพรรณที่ยืนหลบอยู่บนระเบียงแคบๆ เหงื่อแตกพลั่ก เสียงปิดประตูห้องปัง เหมือนว่า ไคคุงออกไปแล้ว เธอถอนหายใจเฮือก โล่งใจ วราพรรณขยับตัวจะปีนกลับเข้าไปข้างใน มือไคคุงที่ถือมีดพุ่งออกมา เฉียดหน้าวราพรรณไป นิดเดียว
วราพรรณร้องตกใจ แล้วเสียหลัก ร่วงลงไป องอาจที่วิ่งตามมามองเห็นร้องตกใจ
“ยายทอม”
ไคคุงโผล่หน้าออกจากหน้าต่างมามองแสยะยิ้ม
“ถึงวาระสุดท้ายแล้ว มีอะไรจะสั่งเสียไหม”
วราพรรณที่เอามือเกาะขอบระเบียงหน้าต่างไว้ได้ พูดอย่างเกลียดชัง
“ขอให้แกไปลงนรก”
ไคคุงแค้น เงื้อมีดขึ้นสูง เตรียมจะแทงมือวราพรรณที่เกาะอยู่ องอาจหวาดเสียวแทน
“อย่าาาา”
ไคคุงแทงมีดลงมา วราพรรณปล่อยมือจากขอบระเบียง ร่างของเธอลอยตกลงมา องอาจวิ่งเข้าไปรับตัวไว้ได้ ล้มคว่ำไปด้วยกัน
“กระดูกกระเดี้ยว หักหมด ฉันตายแน่ๆ”
องอาจผงกหัวขึ้นมาหา
“โทษนะ ที่ตายน่ะผมไม่ใช่คุณ อู้ยยย หนักเป็นบ้า”
วราพรรณมองเห็นว่า ตัวเองอยู่บนตัวองอาจก็อึ้ง ซึ้งใจ...
“เกย์แก่ นี่นาย...”
ไคคุงที่อยู่ฉันบนตะโกนลงมา เอาเรื่อง
“อย่าหนีนะ”
“อยู่ให้โง่เหรอ”
วราพรรณ รีบลุกขึ้นวิ่งไป แล้วนึกได้ กลับมาดึงองอาจจับมือกันวิ่งออกไป ไคคุงมองจากชั้นบนแค้นๆ
“หนีได้หนีไป ฉันจะตามรังควานไม่ให้พวกแกมีความสุข!”
วราพรรณกับองอาจวิ่งมาหยุดเหนื่อยหอบอีกซอยหนึ่ง หยุดพักที่ตรงหนึ่ง แต่ยังจับมือกันไว้
“อ๊อยยย พอก่อน ตับแทบทรุด”
“อะไร แค่นี้เหนื่อย”
“แล้วเธอไม่หอบหรือไง”
วราพรรณยัวะจะต่อย
“อยากเจ็บปากใช่มั้ย”
วราพรรณยกมือขึ้นมาจะต่อย แต่เห็นว่า มือตัวเองจับมือองอาจอยู่ แล้วอึ้ง องอาจมองยิ้มๆ
“อุ้ย แต๊ะอั๋งอีกแล้ว”
วราพรรณเขิน สะบัดมือทิ้ง
“ไอ้บ้า”
องอาจยกมือตัวเองขึ้นมาดู แล้วตกใจเห็นเลือดเปื้อนในมือตัวเองนิดนึง
“เฮ้ย!! เลือด”
“อะไร! เลือดออกเหรอ”
“ไม่ใช่เลือดผม”
องอาจรีบจับมือวราพรรณ หงายขึ้นดู จะเห็นว่า ที่นิ้ววราพรรณ เป็นแผลถลอกเล็กๆ มีเลือดออก
“คุณต่างหากที่เจ็บ...”
วราพรรณรีบสะบัดมือ
“โฮ้ย แผลแค่นี้ ไม่ตายหรอก”
องอาจไม่ยอมปล่อยมือ
“แต่ถ้าทิ้งไว้ มันอักเสบได้นะ”
วราพรรณเห็นองอาจที่เป็นห่วงก็อึ้งๆ ไป
อ่านต่อตอนที่ 13