ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุุกเช้าเวลา 09.30 น.
รอยมาร ตอนที่ 5
สายทิพย์คุยโทรศัพท์กับธนูอย่างเคร่งเครียด หยาดฝนยืนอยู่ข้างๆ ฟังพี่สาวโวยวายใส่พี่เขยอย่างไม่สบายใจ
“คุณถึงไหนแล้ว”-- “ยังอยู่พัทยา”
สายทิพย์ไม่พอใจ “ไหนบอกว่าจะถึงบ้านเย็นๆไงคะ รู้มั้ยว่าลูกไม่สบายตัวร้อนจี๋เลย”
ธนูนั่งคุยโทรศัพท์มือถือ อยู่ในรถที่ลานจอดของโรงแรมหน้าเซ็งๆ“ก็พาไปหาหมอสิ จะรอผมทำไม”
“ฉันก็ไม่ได้อยากรอหรอกนะ ถ้าลูกไม่ร้องหาป้อๆๆ อยู่ตลอดเวลายังงี้”
ธนูอึ้งๆ ไป วิมาดาเดินเข้ารถมาพอดีพร้อมพูด “ไปได้เลยค่ะ”
ธนูตกใจไม่ทันตัดสายก่อน เสียงลอดเข้าไปแน่ๆ สายทิพย์ได้ยินแว่วๆ
“คุณอยู่กับผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ยคุณนู”
“รีบพาลูกไปหาหมอเถอะ”ธนูกดตัดสายไปเลย
สายทิพย์น้ำตาร่วง หยาดฝนมองพี่สาวอย่างเป็นห่วง “พี่นูว่าอะไรเหรอคะ”
สายทิพย์ไม่ตอบ ตัดบท “ฝนดูน้องก่อนนะ พี่ไปเตรียมของไปโรงพยาบาล ก่อน เผื่อจะต้องแอดมิท”
สายทิพย์เดินซับน้ำตาออกไป หยาดฝนเห็นใจสงสารพี่สาวมาก
ทางด้านธนู เตรียมออกรถเพื่อเดินทางกลับเข้ากรุงเทพ สีหน้าของธนูเครียดจนวิมาดาไม่สบายใจ
“วิขอโทษนะคะ วิไม่ได้ตั้งใจ” - “ช่างเถอะครับ ผมก็เบื่อหน่ายเหลือเกินแล้ว ถ้ายื้อต่อไปไม่ไหวก็หย่า”
ธนูขับรถเลี้ยวออกจากลานจอดไปหน้าเซ็งๆ วิมาดาหน้าซีดเผือด ตกใจมาก กลัวธนูจะหันมาปักหลักกับตนแทน
+ + + + + + + + + + + +
เมธาวีอาบน้ำเรียบร้อยอยู่ในชุดนอน กำลังนั่งทาครีมบำรุงผิวก่อนนอนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง วิจิตราเคาะประตูห้องก่อนเดินเข้ามา “จะนอนรึยังลูก” - “ยังหรอกค่ะแม่ เดี๋ยวว่าจะเช็คเมลก่อน”
วิจิตราเดินเข้ามาจับบ่าลูกสาว เลียบๆเคียงๆถามอย่างยิ้มแย้ม “ไปเที่ยวสนุกมั้ย”
เมธาวีเหยียดปากเซ็งๆ “บ้านสวนเนี่ยนะคะ”
“ที่เดิมๆ แต่มีคุณอาทิตย์ไปด้วยนี่จ๊ะ...คืบหน้าไปถึงไหนแล้วล่ะ”
เมธาวียักไหล่ “ก็เหมือนเดิม”
เมธาวีลุกเดินไปเปิดโน้ตบุ๊คที่โต๊ะทำงาน
“อาทิตย์เป็นคนดีมากนะ เหมาะสมกับลูกเมที่สุด แม่ไม่อยากให้เมมองข้าม”วิจิตราพูดโน้มน้าว
“เมมองเค้าเป็นเพื่อนที่ดี มากกว่านี้ ยังต้องคิดดูก่อน”
“แต่อาทิตย์เพียบพร้อมทุกอย่างนะเม ครอบครัว ฐานะ หน้าที่การงาน รูปร่างหน้าตาก็ดี แม่คิดว่าเมเดินมาถึงที่หมายที่แท้จริงของชีวิตแล้วล่ะ ไม่ควรปล่อยโอกาสให้ผ่านไปนะลูก”
เมธาวีเชิ่ดหน้ามั่นใจ “ยังหรอกค่ะแม่ เมยังไม่ถึงจุดหมายที่เมต้องการ อาทิตย์อาจจะเป็นที่สุดของผู้หญิงอื่น แต่ไม่ใช่เม”
วิจิตราอึ้งๆไปเล็กน้อย
“เมมั่นใจ ว่าเมจะได้เจอคนที่เพียบพร้อมกว่าอาทิตย์ในทุกๆ ด้าน จะตลกมั้ยคะ ถ้าเมจะรวมความรักไปกับความเพียบพร้อมในทัศนะของคุณแม่ด้วย”
วิจิตราคิดตาม “เอ้อ...เมยังไม่เคยรักใครมาก่อนจริงๆด้วย”
เมธาวีนึกๆแล้วยิ้มฝันๆ
“แม่ว่าในชีวิตนี้ เมจะได้เจอใครที่รักเมอย่างจริงจัง แล้วเมก็รักเค้ามากๆด้วยมั้ยคะ”
วิจิตราขำๆ “ฝันเพื่องน่ะเม แม่กลัวว่าลูกจะเสียเวลาเปล่า ในสายตาของแม่ อาทิตย์เป็นที่สุดแล้วจริงๆ แม่เชียร์อาทิตย์สุดใจเลยล่ะ”
เมธาวียิ้มๆ ให้แม่ก่อนจะหันกลับมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เปิดเช็คอีเมลไป เมธาวีแอบแว่บนึกถึง อุปมาที่สมาร์ท หล่อเหลา มีสง่าราศี เมธาวีได้แต่อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
+ + + + + + + + + + + +
อุปมายืนหน้าเครียดๆ ทอดอารมณ์ที่สระว่ายน้ำของโรงแรมอยู่พักใหญ่ หัสดินเดินตามหา “มาร์ค”
อุปมาหันมามอง “เป็นไรวะ”หัสดีถามอย่างไม่เข้าใจ
“ออกมายืนรับลม”อุปมาตอบเรียบนิ่ง
“ดูแกไม่สนุกเลย” หัสดินหยุดนิดนึงจ้องหน้า แล้วตัดสินใจพูด...“ตั้งแต่เจอผู้หญิงคนนั้น”
อุปมาหน้าตาบึ้งตึงขึ้นมา “แกอย่าพูดถึงผู้หญิงเจ้า ชู้ปลิ้นปล้อนคนนั้นอีกได้มั้ย”
หัสดินตกใจเล็กน้อย ที่เห็นเพื่อนโกรธแรง
“โอเค ใจเย็นเพื่อนไม่พูดก็ได้” หัสดินยกสองมือระดับอกยอมแพ้ อุปมาถอนใจออกมา
“แต่อยากรู้นิดนึงได้ป่ะ”หัสดินแหย่
อุปมาหันมาจ้องหน้าหัสดิน “เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนเหรอวะ...เอาน่า เล่าระบายออกมาซะบ้าง เผื่อแกจะได้สบายใจขึ้น”
อุปมาได้แต่ถอนใจยาวออกมาอีกเฮือก เล่าถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาให้หัสดินฟัง...
ในอดีต...ขณะอยู่ที่ลอสแองเจลลิส
เย็นวันหนึ่ง อุปมาเดินคุยโทรศัพท์มือถือ มาหาเพื่อนคนไทยที่อพาร์ทเมนท์ของเพื่อน “ถึงแล้ว...มากับครบรึยังล่ะ”
วิมาดาแต่งตัวสวยเดินออกมาจากอพาร์ทเมนท์พอดี เดินผ่านกัน ต่างรู้สึกสนใจกันทันที ทั้งคู่มองสบตากันเล็กน้อย แล้วเดินสวนเลยกันไป ต่างฝ่ายต่างหันกลับมามองอีกฝ่าย เห็นกันพอดี ต่างยิ้มให้กัน แล้วแยกย้ายกันเดินต่อไป อุปมาเดินเข้าอพาร์ทเมนท์แต่ไม่วายหันกลับมองตามวิมาดาอีกครั้ง เพราะประทับใจในความสวยของวิมาดามาก
เย็นวันต่อมา อุปมาเดินเข็นรถเข็นซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ต กำลังจะเลี้ยวเข้าอีกล็อค เห็นวิมาดาเลือกซื้อของอยู่ เหลือบตาขึ้นมอง ต่างมองหน้ากันรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเจอกันที่ไหน อุปมายิ้มนำให้ก่อน วิมาดายิ้มตอบ อุปมาเข็นรถเข็นเข้าไปคุยด้วย
ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันในที่สุด อุปมาชวนวิมาดามาที่บ้านของเขา วิมาดาเดินดูบ้านอย่างชื่นชอบ
“บ้านน่าอยู่จังเลยค่ะมาร์ค”
อุปมาเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง “บ้านจะน่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ ถ้าวิย้ายมาอยู่ด้วยกัน”
วิมาดาหน้าเจื่อนเล็กน้อย ปั้นยิ้มพร้อมผละตัวออก “ไปๆ มาๆ แบบนี้ดีกว่าค่ะ มันน่าเกลียด”
อุปมาจับมือวิมาดาเอาไว้ “น่าเกลียดตรงไหน เราเป็นแฟนกัน แล้วที่นี่ก็อเมริกา แยกกันอยู่สิแปลก”
วิมาดาอึดอัดใจ อุปมารวบมือทั้งสองข้างของวิมาดามาจับกุมเอาไว้ พูดพร้อมมองตาวิมาดา
“วิจะเชื่อมั้ย ถ้าผมจะบอกว่า คุณคือรักครั้งแรกของผม”
วิมาดาอึ้งๆ มองอุปมาอย่างปลื้มใจ
“ผมมีแฟนมาหลายคน แต่ไม่ใช่ความรัก”อุปมาจ้องตาวิมาดา สายตาหวานเชื่อม “ผมเพิ่งจะรู้จักกับมันจริงๆ ก็ตอนที่ได้คบกับคุณ”
วิมาดาน้ำตารื้นๆ ขึ้นมาด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ อุปมาดึงวิมาดาเข้ามาสวมกอดเอาไว้อย่างถนุถนอม
“ย้ายมาอยู่กับผมนะครับคุณวิ”
วิมาดากอดอุปมาไว้แน่น ตัดสินใจที่จะย้ายไปอยู่กับอุปมา
หลายวันต่อมา...อุปมาไปรับวิมาดาที่อพาร์ทเมนท์ของเธอ เขานั่งอยู่ที่เตียงรอเธอจัดกระเป๋าเสื้อผ้า
“ที่จริงไม่ต้องเตรียมเสื้อผ้าไปเยอะหรอกวิ เพราะคงไม่มีเวลาได้ใส่เท่าไหร่”อุปมาพูดหน้าตายขำๆ
วิมาดาเขินอาย “บ้า มาร์คอ้ะ” - “เสร็จรึยังครับ หิวแล้ว”
วิมาดาหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางมาใส่ “เรียบร้อยแล้วครับผม”
อุปมาช่วยปิดกระเป๋าเตรียมตัวยก...
“มาร์ค เอากระเป๋าไปใส่รถก่อน วิขอเวลาปิดบ้านตรวจความเรียบร้อยอีกที” - “โอเคครับ...”
อุปมายกกระเป๋าจะเดินนำวิมาดาออกไปจากห้อง ขณะเดียวกันนั้น ธนูเดินมายืนเท้าแขนกับขอบประตูห้องขวางทางซะก่อน...วิมาดาตกใจแทบช็อค ธนูยิ้มกวนๆ จ้องหน้าวิมาดา
“เสียงลือเสียงเล่าอ้าง มันเป็นความจริงซะด้วย”
อุปมางง หันถามวิมาดา “ใครเหรอครับ”
“ถามผมเลยดีกว่า...”ธนูจ้องหน้าอุปมา “ผมสามีวิมาดา ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ธนูยื่นมือไปเช็คแฮนด์ อุปมาตกใจที่สุด ทิ้งกระเป๋าเดินทางวิมาดาลงพื้น หันมองหน้าวิมาดาที่ก้มหน้านิ่งกลัวๆ ธนูยิ้มกวนๆ อุปมา เสียใจมาก
“เค้าพูดจริงเหรอวิ” วิมาดาก้มหน้านิ่ง อุปมาถามเสียงสั่น ตาแดง ผิดหวัง เสียใจอย่างที่สุด
“นี่คือเหตุผลที่คุณไม่ยอมย้ายไปอยู่บ้านผมใช่มั้ย”
วิมาดาทั้งอายทั้งเสียใจ พูดอะไรไม่ออก เลี่ยงสถานการณ์ วิ่งชนธนูออกจากห้องไปทันที ธนูมองอุปมาท่าทางกวนๆ
“รีบตามไปเคลียร์กันซะ วิต้องตามสามีกลับไปทำงานใช้ทุนต่อที่เมืองไทยแล้ว”
อุปมาไม่กล้าสู้หน้าธนู รีบตามวิมาดาออกไป ธนูขบฟันแน่น หันมองตามอุปมาไปด้วยสีหน้าแค้นจัด ชกประตูห้องโครมระบายความคับแค้นแน่นอก
วิมาดาวิ่งออกมาหลบมุมที่หน้าอพาทเมนท์ อุปมาตามหาออกมาติดๆ กวาดตามองหาไปมา ก่อนจะเห็นวิมาดาหลบมุมอยู่ “วิหลอกผมทำไม”
วิมาดาเงยหน้ามองอุปมา เสียใจมาก จับมืออุปมาเอาไว้ “มาร์คฟังวิอธิบาย ก่อน”
อุปมากระชากมือออกด้วยความโกรธ
“วิไม่กล้าบอกความจริงกับคุณ วิมีความจำเป็น”
“จำเป็นต้องปิด ผมจะได้โง่ตลอดไปใช่มั้ย”
วิมาดาเสียใจมาก “มาร์ค”
อุปมาโกรธจัดตวาดลั่น
“คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ถ้าสามีคุณไม่มาปรากฏตัวผมก็คงเป็นไอ้ควายไปอีกนาน”
วิมาดาส่ายหน้าปฏิเสธคำพูดอุปมา น้ำตาคลอขึ้นมาด้วยความอัดอั้นตันใจ อุปมาจ้องหน้าวิมาดา น้ำตาคลอ ตาแดงกล่ำ
“ความผิดคุณมากเกินผมจะให้อภัย เราจบกันแค่นี้ อย่าได้เจอกันอีกเลย”
อุปมามองวิมาดาด้วยสายตาเจ็บช้ำ ก่อนเดินจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง วิมาดาทิ้งตัวพิงตึก แทบจะหมดแรงยืน น้ำตาไหลซึมออกมา เสียใจมากเพราะรักอุปมาเหมือนกัน
อุปมาตาแดงๆ คุยความเจ็บช้ำเรื่องวิมาดาให้หัสดินฟังจนจบ อุปมาหันกลับไปทางสระว่ายน้ำ พยายามสะกดอารมณ์โกรธพลุ่งพล่านเอาไว้ให้อยู่ หัสดินมองเพื่อนอย่างเห็นใจ
“เมื่อแกมีประสบการณ์เลวร้ายกับผู้หญิงไทยขนาดนี้ แล้วแกยอมให้พ่อบังคับแต่งงานกับผู้หญิงไทยอีกทำไมวะ”
“พ่อไม่ได้บังคับ แค่บอกว่ามีผู้หญิงไทยที่ดีเพียบพร้อมทุกด้าน อยากให้ฉันลองศึกษาดู”
“แต่แกก็พร้อมจะแต่งงานเอาใจพ่อ”
“ไม่ได้เอาใจ ฉันยอมแต่งงานกับผู้หญิงคนที่ฉันยังไม่เคยรู้จักเพราะฉันรักพ่อ พ่อมีความแค้นที่ฝังรากลึกในใจ ถ้าการแต่งงานของฉันกับผู้หญิงคนนั้นจะช่วยลบล้าง ความแค้นให้พ่อได้ ฉันก็เต็มใจทำ”
หัสดินสงสัย “ความแค้นอะไรวะ”
“ฉันไม่รู้ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย พ่ออยากเล่าเมื่อไหร่ ก็คงเล่าให้ฉันฟังเอง”
หัสดินไม่ค่อยเห็นด้วย “ทำแบบนี้แล้วแกไม่กลัวเจอคนที่แกรักจริงๆ เหรอวะมาร์ค”
อุปมาสวนทันที “ฉันไม่มีวันรักใครได้อีกแล้ว หัวใจฉันดูแลร่างกาย สมองฉันดูแลความรัก เมื่อฉันสั่งไม่ให้รัก ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนมาทำให้ฉันรักได้อีก”
“วันนึงถ้าแกได้เจอผู้หญิงคนนั้น แกจะเปลี่ยนความคิด” - “ไม่มีทาง”
อุปมาเดินกลับไปอย่างเชื่อมั่นและหัวเสีย หัสดินมองตามเพื่อนไปได้แต่ถอนใจออกมาอย่างเห็นใจเพื่อน
+ + + + + + + + + + + +
เย็นวันหนึ่ง...ชันษามาติววิชาให้สไบนางและหยาดฝนอยู่ที่ม้าสนามหน้าบ้าน...
“ลองฝึกทำข้อสอบเก่าดู วันนี้ยังไม่จับเวลาเหมือนสอบจริงนะ ลองดูก่อนว่าที่เรียนมาทำได้มากน้อยแค่ไหน”
สไบนางและหยาดฝนนั่งทำข้อสอบไป
“บีจะเลือกที่ไหนมั่งล่ะ”ชันษาถาม
สไบนางทำสอบไปคุยไป
“เลือกที่ดังๆ ทุกที่ ยกเว้นจุฬา เพราะพี่เมมีเพื่อน เป็นอาจารย์อยู่ที่นั่นเยอะ”
“พูดยังกะจะติดงั้นแหละ คะแนนสูงจะตาย” หยาดฝนพูดอย่างไม่คิดว่าสไบนางจะสอบได้
สไบนางมองหน้าเพื่อน “ใครจะเลือกแต่ม.ใกล้บ้านอย่างเธอล่ะ ทำข้อสอบไปเลย อย่าพูดมาก”
ชันษายิ้มๆ “ถ้าติดต่างจังหวัดจริง คุณย่าจะยอมให้ไปเหรอ”
“ไม่ยอมก็ดี บีจะได้หมดหน้าที่เรียน”
ชันษามองหน้า
“บีไม่เรียนต่อแล้วจะทำอะไร” - “บีอยากเป็นครู”
ชันษาขำออกมา สไบนางตวาด “ขำอะไร”
หยาดฝนแอบยิ้ม โดนสไบนางหยิกพุงจนตัวงอ
“ความรู้แค่นี้ อย่างเก่งก็สอนเด็กอนุบาล ชวนเด็กวิ่งหยองแหยงสอนร้องก.เอ๋ยก.ไก่ ว่ามั้ยฝน”ชันษาแหย่
หยาดฝนไม่กล้าพูด เพราะสไบนางหันมาจ้องหน้าเอาเรื่อง ก้มหน้าทำสอบไป
“แล้วทำไม บีชอบสอนเด็กอนุบาล ไม่ชอบสอนคนโต เพราะคนโตแล้วสอนยาก คำถามเยอะ สู้สอนเด็กๆ ไม่ได้มีแต่ความบริสุทธิ์ใสซื่อ แล้วที่สำคัญ บีจะปลูกฝังให้เด็กรักศิลปะของไทย”สไบนางพูดด้วยความจริงจัง มุ่งมั่น
ชันษายิ้ม “จะสอนให้เด็กรำลิเกเหมือนบีน่ะเหรอ”
สไบนางโกรธปนหมั่นไส้ เพราะชันษาขัดคอมานานแล้ว สไบนางลุกเอาข้อสอบไปฟาดๆ ชันษาลุกหนีไป “เจ็บนะบี”
“ก็ใครใช้ให้ปากไม่ดีก่อนล่ะ...ลองศิลปะร้องรำพวกนี้หายไปแล้วชันจะรู้สึก...”
สไบนางยังโกรธไม่หายไล่ฟาดต่อ ชันษายกมือปัดป้อง
“พอแล้วบี เจ็บนะ”
“บีจะโทรฟ้องพี่ทศให้โทรมาด่าแก”
สไบนางไล่ฟาดชันษาวิ่งหนีไปรอบสนาม
+ + + + + + + + + + + +
คุณหญิงรุจานั่งถอดไพ่ไปคุยไปกับวิจิตราที่โถงบ้าน วิจิตรามีทีท่าปลาบปลื้ม
“ไม่ทราบว่าดิฉันคิดเองรึเปล่านะคะ ตั้งแต่โตมาด้วยกันนี่ ระหว่างเด็กสามคน ยัยเมไปได้ไกลที่สุด...ตาชันษาก็เรื่อยๆ มาเรียงๆ”
คุณหญิงรุจาเงยหน้ามองสะใภ้
“สมัยเด็กๆ ชันษาอะไรๆ ก็ยัยเม เล่นหัวกับเมมากกว่าแม่บี มีอะไรก็เอามาอวดเม ให้เมก่อนเพื่อน”คุณหญิงรุจิรายิ้มแย้ม “นั่นมันสมัยเด็ก โตมานี่ตาชันษาเข้าหาแม่เมที่ไหน คุยกันแทบนับครั้งได้ เห็นคลุกอยู่กับแม่บี นี่ก็อาสาติวหนังสือให้ แม่ก็โล่งใจ พ่อคนนี้เป็นคนดีใช้ได้”
“ดีขนาดไหนคะ...พอจะรับเป็นลูกเขยไหวรึเปล่า”วิจิตราพูดขำๆ
คุณหญิงรุจาหน้าบึ้งตึงขึ้นเล็กน้อย
“เรื่องของเด็กน่ะแม่จิตรา ยัยบีก็ยังเด็กมาก ชันษาก็คงไม่คิดอะไรหรอก ถ้าวันหน้าเกิดชอบพอกันขึ้นมาจริงๆ แม่ก็ไม่มีอะไรจะขัดขวาง”
“สรุปว่าไม่รังเกียจแต่ไม่ใช่เวลานี้”วิจิตรายิ้มๆเชิงดูถูก “ก็ดีค่ะ ไม่ต้องยุ่งยากหาให้ไกลตัว พ่อแม่ชันษาก็เคารพยำเกรงคุณแม่ดี แม่บีก็เหมือนมีเงาคุ้มกันตลอดไป”วิจิตราถอนใจออกมาเล็กน้อย “ผิดกับแม่เม ใกล้ตัวรู้ไส้กลับไม่อยู่ในความสนใจ”วิจิตราหนักใจนิดๆ
“หมายถึงคุณอาทิตย์ล่ะสิ”
ขาดคำก็มีเสียงบีบแตรรถของอาทิตย์ดังนำขึ้นมา วิจิตราเดินไปชะโงกมอง ปลื้มใจ
“อาทิตย์มาค่ะคุณแม่ อายุยืนจริงๆ คงมารอรับยัยเมกลับมาจากทำงานน่ะค่ะ”
วิจิตราเดินออกไปรอรับ คุณหญิงรุจายิ้มๆ แล้วก้มหน้าถอดไพ่ของเธอต่อไป
+ + + + + + + + + + + +
ทันทีที่ลงจากรถ อาทิตย์เดินปรี่ยิ้มแย้มไปหาสไบนางทันที
“หายดีแล้วเหรอครับน้องบุบบี้”
สไบนางหน้าหงิกงอทันที
“ใครอนุญาตให้คุณเรียกชื่อนี้ฉัน”
“อ้าว...ผมก็เรียกตามคุณย่า”
“คุณย่าเรียกได้คนเดียวเท่านั้น...”สไบนางหันไปถามชันษา “รู้จักกันรึยังเนี่ย”
“เคยรู้จักกันแล้วล่ะ”ชันษายิ้มมารยาทให้อาทิตย์
หยาดฝนยกมือไหว้ แนะนำตัวเอง
“ฝนเพื่อนบีค่ะ”
อาทิตย์รับไหว้
“พี่เมยังไม่กลับ เชิญขึ้นไปนั่งรอบนบ้านก่อนเจ้าค่ะ”สไบนางเชื้อเชิญ
อาทิตย์ยิ้มกวนๆ
“ติวหนังสือกันอยู่เหรอ ขอนั่งฟังด้วยคนสิ”
อาทิตย์นั่งลงข้างๆ สไบนางชักสีหน้าใส่ ขยับตัวห่างไปนั่งกับหยาดฝนแทน...วิจิตรามองดูอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านอย่างสงสัยปนไม่พอใจนัก
วิจิตราเดินหน้าตาไม่พอใจ กลับเข้าบ้านมาหาคุณหญิงรุจาที่นั่งถอดไพ่ยิ้มพอใจ
“คุณแม่คะ อาทิตย์ไปสนิทสนมกับยัยบีตอนไหนคะ มาถึงก็เดินปรี่ไปนั่งคุยเข้ากลุ่มทันทีเลย”
“ก็คงตอนไปเที่ยวบ้านสวนนั่นล่ะ แม่เมไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ”
“ที่ไปสร้างวีรกรรมกระโดดบ้านนั่นเหรอคะ”
“ก็คราวนั้นล่ะ”
“สนิทกันตอนสลบรึไงคะ”วิจิตราแขวะ
อาทิตย์เดินขึ้นบ้านมาพร้อมยกมือไหว้
“สวัดสีครับคุณย่า คุณแม่”
คุณหญิงรุจาและวิจิตรารับไหว้
“ถามเจ้าตัวเค้าเองก็แล้วกัน”
อาทิตย์งงๆ
“ถามอะไรเหรอครับ”
วิจิตราปั้นยิ้ม “เปล่าหรอกจ้ะ นั่งก่อนอาทิตย์ ยัยเมรถติดอยู่ เดี๋ยวก็ถึงแล้วจ้ะ”
อาทิตย์เดินมานั่ง
“คุณย่าชอบถอดไพ่เหรอครับ”
“ก็ดูเล่นเพลินๆ นี่ก็อยากจะลองดูว่าแม่บีจะสอบติดกะเค้ามั้ย”
“แล้วผลออกมาว่ายังไงครับ”
“ไพ่บอกว่าสำเร็จ แต่ต้องใช้ความพยายามมากหน่อย”
“คุณย่าดูให้ผมมั่งสิครับ”
“แต่ต้องตกลงกันก่อนนะ ย่าดูผิดไปจะจับย่าไม่ได้นะ ไพ่ผ่องอยู่ในมือ เล่นกับตำรวจนี่ลำบาก”คุณหญิงรุจาพูดขำๆ ก่อนจะรวบไพ่เข้ากองไป
อาทิตย์หัวเราะชอบใจ “แม่นไม่แม่นไม่เป็นไร แต่ให้ถูกใจผมก็พอครับ คุณย่า”
“ยังงี้จะดูไปทำไม นึกเอาเองก็แล้วกัน”วิจิตรากระเซ้าเย้าแหย่
“จะให้ย่าดูอะไรล่ะ”
“ผมอยากรู้ว่าเนื้อคู่ผมเกิดรึยัง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมมั้ย รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง”
วิจิตราชะงักไปเล็กน้อย ชำเลืองมองหน้าอาทิตย์
“แล้วผมได้เจอกับเธอรึยัง”
อาทิตย์รอดูอย่างอยากรู้ คุณหญิงรุจายื่นกองไพ่ให้
“อาทิตย์สับไพ่เท่าอายุนะ” อาทิตย์รับไพ่มาสับอย่างตั้งใจ วิจิตราไม่ค่อยสบายใจนัก ทำไมอาทิตย์ถามแบบนี้ ไม่แน่ใจในตัวเมธาวี เพราะเหมือนกับว่าเขาไม่มั่นใจว่าคู่ครองจะเป็นเมธาวี
+ + + + + + + + + + + +
นักสืบขับมอเตอร์ไซค์นำ มาจอดตรงข้ามบริษัทบุญอนันต์อิมพอร์ต-เอ็กซ์พอร์ต (Boon-Anan import&export) วิมาดาสวมแว่นดำขับรถมาจอดข้างๆ กดหน้าต่างรถลงคุยด้วย นักสืบถอดหมวกกันน็อคออก ชี้ไปที่บริษัทส่งออกดังกล่าว
“ผู้ชายคนที่คุณให้ตามหา ทำงานอยู่บริษัทนี้ล่ะครับ”
วิมาดามองไปที่บริษัท...จังหวะเดียวกันนั้นเอง อุปมาเดินออกมาส่งลูกค้าต่างชาติ เช็คแฮนด์ลาส่งกัน...วิมาดายิ้มดีใจมากที่ตามหาอุปมาเจอจนได้ อุปมายืนมองส่งลูกค้าเล็กน้อยก่อนเดินกลับเข้าบริษัทไป
“ใช่มั้ยครับ”นักสืบถาม
“ใช่จ้ะ...ขอบใจมาก”วิมาดาหยิบซองยื่นให้ “นี่ค่าจ้างที่เหลือ...มีงานแล้วจะเรียกใช้ใหม่”
นักสืบนับเงิน วิมาดาจิกตามองไปที่บริษัทของอุปมา ยิ้มออกมาอย่างดีใจมาก
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำคืนนั้น...สไบนางนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เปิด facebook หน้าโพรไฟล์ชื่อของ ทศวรรต อัคราช ซึ่งเป็นลูกชายของประมุข กับขัตติยาซึ่งเป็นภรรยาเก่า และถูกส่งไปเรียนเมืองนอกนานหลายปีแล้ว สไบนางโพสต์ข้อความอ้อนๆฟ้องพี่
“พี่ทศ...ชันษาแกล้งบีอีกแล้ว เมื่อไหร่พี่ทศจะกลับมาซะที บีโดนรุมแกล้งจากทุกทิศทุกทางเลย ถ้าพี่ทศอยู่ ทั้งพี่เมทั้งนายชันไม่มีใครกล้าหือหรอก...คิดถึงๆๆๆๆๆ”
สไบนางกดคอมเมนท์ไปอย่างยิ้มแย้ม เธอรู้สึกมีความสุขที่ได้ติดต่อกับทศวรรตซึ่งสนิทกับเธอมากกว่าเมธาวีมากมายนัก
+ + + + + + + + + + + +
เมธาวีเดินกลับขึ้นบ้านมาตอนหัวค่ำ คุณหญิงรุจาเดินออกมาจากห้องพระ เห็นเมธาวีพอดี
“อาทิตย์กลับไปแล้วเหรอ”
“เพิ่งกลับไปเดี๋ยวนี้เองค่ะคุณย่า”
“คนนี้ย่าชอบนะ”
เมธาวียิ้มๆ
“เมรับทราบค่ะ”
“ย่าไปนอนล่ะ”
คุณหญิงรุจาจะเดินไป เมธาวีนึกได้
“เอ่อ...คุณย่าคะ คุณพ่อส่งจดหมายมาหาเมที่กระทรวง ฝากให้คุณย่าค่ะ”
“มีความลับอะไรนักหนา”เสียงวิจิตราดังขึ้น
ทั้งสองคนหันมอง...วิจิตราได้ยินพอดี เดินเข้ามาไม่พอใจ
“แม่ก็เพิ่งกลับมาจากที่โน่นหยกๆ มีอะไรก็น่าฝากแม่มาก็ได้ ทำเหมือนไม่ไว้ใจ”
คุณหญิงรุจาสงสัย “ต้องไปสร้างเรื่องอะไรอีกแน่ๆ ขนาดโทรหาแม่ยังไม่กล้าเลย คงจะกลัวโดนแม่ตำหนิ”
“แล้วทำไมไม่ส่งมาที่บ้าน ส่งไปที่ทำงานยัยเมทำไม”
เมธาวียิ้มแหยๆ “เผอิญเมขออะไรพ่อนิดหน่อยน่ะค่ะ เลยให้ส่งไปที่ทำงาน คุณพ่อก็เลยฝากจดหมายคุณย่ามาพร้อมกันเลย”
วิจิตราจ้องหน้าเมธาวี
“ไปไถอะไรพ่อเราอีกล่ะ กระเป๋าอีกใช่มั้ย เต็มตู้ไปหมดแล้ว”
เมธาวียิ้มแหยๆตัดบท “เดี๋ยวเมเอาจดหมายให้ค่ะคุณย่า”
เมธาวีรีบเดินเลี่ยงไป วิจิตรามองตามลูกสาวได้แต่ถอนใจส่ายหน้า คุณหญิงรุจานิ่งขรึมไปอย่างติดใจสงสัยว่าประมุขมีธุระสำคัญอะไรกับตน
+ + + + + + + + + + + +
คุณหญิงรุจาเดินอ่านจดหมายของประมุข ที่สนามหน้าบ้านอย่างยิ้มแย้ม
“การค้าของผมกำลังรุดหน้าด้วยดี ตั้งใจจะกลับถึงกรุงเทพให้ทันวันเกิดคุณแม่”
คุณหญิงรุจาหน้าเคร่งขรึมลง เมื่ออ่านท่อนต่อไปของจดหมาย
“...ผมมีบางอย่างจะกราบเรียนให้คุณแม่ทราบ คุณแม่อาจไม่พอใจ แต่โปรดเห็นใจผมด้วย ผมทำทุกอย่างเพื่ออัครราชของเราจริงๆ...คุณแม่จำ บารมี บุญอนันต์ ได้มั้ยครับ ผมพบเขาที่นี่ ไม่น่าเชื่อ เวลาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากขนาดนี้ เขากว้างขวางมาก ผมมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับหลักทรัพย์ จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเขา...กลับกรุงเทพ ผมจะกราบเรียนรายละเอียดให้คุณแม่ทราบ อีกครั้งอย่าเพิ่งโทรเอาความจากผมตอนนี้เลย”
คุณหญิงรุจาเดินหน้าเครียดๆ มานั่งที่ม้าสนาม ทอดสายตามองไกลออกไป ถอนใจออกมาอย่างหนักใจ ก่อนจะก้มอ่านจดหมายอีกครั้ง
“บารมีจะส่งลูกชายไปกราบเท้าคุณแม่ ขอความกรุณาคุณแม่ต้อนรับเขาอย่างดีที่สุดแทนผมด้วย...เพราะเขาคือหลานเขยในอนาคตของคุณแม่”
คุณหญิงรุจาเงยหน้าจากจดหมายอย่างเคร่งเครียด...นึกถึงในอดีต
อดีต - - บารมีใส่ชุดรัดกุมสีเข้ม สวมหมวก หนวดเครารกครึ้ม ดูร้อนรน ตาแดงกล่ำมาพบคุณหญิงรุจากลางดึกที่มุมหนึ่งของสวนที่บ้านสวน เขาถามคุณหญิงรุจาอย่างรุกเร้า อัดอั้นตันใจ
“พ่อกับแม่ผมเป็นอะไรตายครับคุณน้า”บารมีจับแขนคุณหญิงรุจา “ใครยิงพ่อกับแม่ผม บอกผมเถอะครับคุณน้า”
คุณหญิงรุจาตาแดงกล่ำหวาดกลัว
“พ่อมีย้อนกลับมาทำไมอีก เรื่องมันยังไม่เงียบ รีบไปเสียเถอะ อย่าไปฟังคำชาวบ้าน น้ายังไม่รู้
รายละเอียด รอเรื่องซาลงก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน รีบไปซะ”
บารมีกวาดตามองหา
“แล้วน้องผมล่ะครับ น้องสาวผมอยู่ไหน ผมอยากเห็นหน้าไพ”
“ไม่ต้องห่วงนะ น้าฝากเพื่อนดูแลให้อย่างดี พ่อมีรีบหลบไปก่อนเถอะนะ”คุณหญิงรุจาร้อนใจกลัวบารมีจะถูกจับ
บารมีจะไปแต่ก็ยังละล้าละลัง
“ฝากน้องผมด้วย ผมจะหาทางมารับน้องทีหลัง”
“จ้ะ รีบไปซะเถอะ”
“บอกขัตติยาให้รอข่าวจากผม ผมจะส่งข่าวถึงเค้าเร็วๆ นี้นะครับ” – “จ้ะ”
บารมีรีบร้อนวิ่งหนีไปทางท้ายสวนหายไปกับความมืด รุจามองตามไป น้ำตาคลอ สงสารบารมีจับใจ
คุณหญิง รุจานั่งน้ำตาคลอเบ้า รู้สึกผิดและเสียใจจนมือสั่นเย็นเฉียบพูดพึมพำ ด้วยความรู้สึกผิดปนเสียใจ
“พ่อมี...น้าขอโทษ”
น้ำตาคุณหญิงรุจาพาลจะไหล เธอต้องรีบซับออก
+ + + + + + + + + + + +
บ่ายวันหนึ่ง สไบนางกับหยาดฝนเดินออกมาจากสนามสอบด้วยกัน สไบนางกระโดดตัวลอยร้องลั่นด้วยความดีอกดีใจสอบเสร็จซะที ทั้งสองคนสะพายเป้ใส่ตำราและเอกสารติดมาด้วย นักเรียนหันมามองยิ้มๆ หยาดฝนอายๆ หยิกแขนเพื่อน
“เพี้ยนให้มันน้อยๆ หน่อยแก ฉันอายเค้า”
“อายทำไม ชีวิตเราเป็นอิสระแล้ว”
“ทำสอบได้หมดล่ะสิ”หยาดฝนไม่ค่อยสบายใจ
“ก็ได้มั่งไม่ได้มั่ง ส่วนมากมั่ว แต่ช่างหัวมันเถอะ คุณย่าบนให้แล้ว”
หยาดฝนมองเพื่อนขำๆ “บ้า”
“ฉันก็อยากรู้นะระหว่างเจ้าพ่อเจ้าแม่กับคอมพิวเตอร์ ใครจะแน่กว่ากัน”
หยาดฝนหน้าจ๋อยๆ
“อยากเป็นบีจังเลย ทำอะไรได้ทุกอย่างตามใจชอบเรียนก็ได้ ไม่เรียนก็ไม่อดตาย”หยาดฝนซึมๆไป
สไบนางหน้าเจื่อนหมดสนุก เข้าไปกอดคอเพื่อน
“ไม่เอาน่า ฝนสอบได้อยู่แล้วล่ะ...”สไบนางยิ้มแย้ม เปลี่ยนเรื่อง “วันนี้ลุงแก้วมารับไม่ได้ ต้องไปธุระกับ
คุณย่า เราไปฉลองสอบเสร็จกันดีกว่า หาอะไรอร่อยๆ กินแล้วดูหนังต่อดีมั้ย”
“บีกลับบ้านเหอะเดี๋ยวคุณย่าเป็นห่วง” – “กร่อยเลย”
“ฝนอยากไปเดินหางานทำมากกว่า อยากแบ่งเบาค่าใช้จ่ายพี่ทิพย์ ตอนนี้แกมีลูก รายจ่ายมันเยอะ”
สไบนางแขวะ “ขอร้อง ไม่ต้องมาดราม่า ร้องห่มร้องไห้เลยนะ...งั้นเราเปลี่ยนโปรแกรมไปเดินหางานทำ ฉลองแทนก็ได้...เผื่อโชคดี บีได้งานทำ จะได้ไม่ต้องเรียนต่ออีกคน”
“คุณย่าเธอคงยอมหรอก” สไบนางยิ้มๆ เดินกอดคอหยาดฝนเดินออกไปจากสถานที่สอบ
+ + + + + + + + + + + +
สไบนางกับหยาดฝนมายืนรอรถที่ป้ายรถเมล์ สักครู่รถเมล์คันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบ...ผู้คนแห่กันขึ้นจนเต็ม สไบนาง ในฐานะมือใหม่หัดขึ้นรถเมล์ยืนเก้ๆ กังๆ ให้ผู้คนชนไปชนมา ไปไม่ถูก
“เมื่อไหร่ฉันจะได้ขึ้นเนี่ย”
หยาดฝนยิ้มๆ กระเซ้า “คันนี้แน่นก็รอคันใหม่ได้ค่ะคุณหนู”
สไบนางใช้หางตามองหยาดฝน “อย่ามาเรียกบีคุณหนูนะ บีไม่ชอบ”
ขณะเดียวกันนั้น รถยนต์คันหนึ่งมาจอดเทียบ...หัสดินลงมาจากรถ
“คุณไบ คุณไบ ใช่มั้ยครับ”
สไบนางและหยาดฝนมองไปที่หัสดิน
“ผมลูกชายลุงมีไงครับ”หัสดินบอกยิ้มๆ
“อ๋อ คุณมา”สไบนางยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
หยาดฝนไหว้ตาม...หัสดินรับไหว้
“จะไปไหนครับ ผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไร นั่งรถเมล์ประจำ”
หยาดฝนแอบขำๆ สไบนางถองพุงเพื่อนเบาๆ
“ขึ้นมาเถอะครับ ถ้าพ่อรู้ว่าผมทิ้งเพื่อนพ่อไว้ข้างถนน ไม่รับไปส่ง ผมโดนด่าตายแหงๆ”
“ก็ได้ กลัวคุณถูกด่าหรอกนะ ไปฝน...”
สไบนางจูงมือเพื่อนไปขึ้นด้านหลัง หัสดินมองตามสไบนางยิ้มๆ ก่อนขับรถออกไป
หัสดินยิ้มแย้มขับรถพาสองสาวไป
“จะให้ผมไปส่งที่ไหนดีครับ” – “ขับไปก่อนเถอะ ลงที่ไหนเดี๋ยวบอกเอง”
หัสดินมองสไบนางผ่านกระจกส่องหลังยิ้มๆ ขับรถต่อไป หยาดฝนสะกิดเพื่อน
“บี ไว้ใจได้แน่เหรอะ พวกมิจฉาชีพรึเปล่า เกิดพาเราไปขาย หรือ โปะยาสลบขึ้นมาจะทำไง ลงป้ายหน้าเถอะ”
สไบนางชักระแวงมองกระจกส่องหลัง เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ชอบกลของหัสดิน เธอนิ่งใช้ความคิด ก่อนพูดขึ้น
“นี่คุณมา ฉันมีเพื่อนเป็นนายร้อยตำรวจเอกนะ สนิทกันมากด้วย”
“บอกผมทำไมครับ”หัสดินยิ้มๆ “ไม่ต้องกลัว ผมไม่ใช่มิจฉาชีพ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก ทีหลังกระซิบเบากว่านี้หน่อยนะ ผมขอแวะทำธุระแป๊บนึงนะ”
ขาดคำเขาก็หักเลี้ยวปาดเข้าซอย...สไบนางและหยาดฝน ล้มไปตามแรงเหวี่ยงร้องกันลั่นเล็กน้อย
หัสดินจอดรถที่ลานจอดรถหน้าบริษัทอุปมา แกล้งเบรกแรงๆ จนทั้งคู่หัวทิ่มไปข้างหน้า
“เคยขับรถให้พ่อคุณนั่งมั่งมั้ย”สไบนางถามโกรธๆ
หัสดินยิ้มๆ “ไม่เคยหรอก”
“ไม่สงสัยเลย”สไบนางค้อนใส่
หัสดินหันมายิ้มให้
“รอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวผมมา”
หัสดินหยิบซองเอกสารที่เบาะข้างๆแล้ว ดึงกุญแจรถออก ลงจากรถแล้ววิ่งปรู๊ดหายไป สไบนางคว้าแขนหยาดฝน --“ไป”
หยาดฝนงงๆ – “ไปไหน” – “ก็ไปเดินหางานน่ะสิ” – “พี่เค้าสั่งให้รอในรถ” “เค้าพ่อเธอรึไง”สไบนางลงนำไปจากรถ
หยาดฝนยังลังเล สไบนางชะโงกหน้ากลับมามองเพื่อน
“ไม่กลัวเค้าไปพาเพื่อนผู้ชายมาอีก 2-3 คนเหรอะ”
หยาดฝนรีบลงจากรถตามสไบนางออกมา สไบนางเดินไปกวาดตามอง เจอบริษัทของอุปมา..บุญอนันต์ อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต (Boon-Anan import&export) สไบนางเดินนำไปดูใกล้ๆ เห็นป้ายประกาศรับสมัครพนักงานแปะอยู่ด้านหน้า
“เค้ารับสมัครพนักงานพิมพ์ดีดด้วยฝน”
หยาดฝนยิ้มดีใจ “เร็วๆเดี๋ยวบริษัทเค้าปิด” สไบนางจูงมือหยาดฝนวิ่งเข้าบริษัทของอุปมาไป
+ + + + + + + + + + + +
สไบนางเปิดประตูเข้าออฟฟิศมา พนักงานเลิกงานกันแล้ว เหลือพนักงานผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังซีร็อคอยู่มุมห้อง เสียงเครื่องซีร็อคดังทำให้ไม่ได้ยินเสียงคนเข้ามา
“คุณ คุณ...”สไบนางเรียก
พนักงานคนนั้นคืออุปมา เขาหันมามองหน้าสไบนาง
“เราจะมาสมัครงานเป็นพนักงานพิมพ์ดีด”
อุปมามองหน้านิ่ง “5 โมงเย็นบริษัทปิดแล้วครับ”
อุปมาหันไปซีร็อคต่อ สไบนางมองกวนๆ
“ปิดแล้วเราจะเข้ามาได้ยังไงล่ะ”
อุปมาหันมองหน้า หยาดฝนกลัวๆ “ไปเถอะบี”
“บริษัทนี้กำลังต้องงานพนักงานพิมพ์ดีดไม่ใช่เหรอ เพื่อนฉันพิมพ์ดีดเก่งมากทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ อยากมาทำงานที่นี่ คุณก็แค่เอาใบสมัครมาให้เพื่อนฉันกรอกทิ้งเอาไว้ ไม่เสียเวลาอะไรคุณมากนักหรอก”
อุปมาจ้องหน้าสไบนาง แล้วหันไปซีร็อคต่อ สไบนางโมโหของขึ้น ด้วยความเอาแต่ใจ หยาดฝนลากเพื่อนเอาไว้ “ไปเถอะบี” – “เดี๋ยวก่อน”
สไบนางสะบัดมือเพื่อน แล้วเดินไปยืนข้างเครื่องซีร็อค จ้องหน้า
“บริษัทนี้ไม่อยากได้คนเก่งๆ มีความสามารถ มาร่วมงานรึไง กะอีแค่เลยเวลาทำงาน17จุด 00 น. แล้วแค่เนี้ย ทำไมจะยืดหยุ่นไม่ได้”
อุปมาสะกดอารมณ์ซีร็อคไป สไบนางโกรธ
“เพราะบริษัทมีพนักงานอย่างนายนี่เอง กิจการถึงได้แป๊กเล็กๆ อยู่แค่เนี้ย”
อุปมาตบปิดเครื่องซีร็อค จ้องหน้าสไบนาง “เราได้พนักงานพิมพ์ดีดแล้ว เชิญออกไปได้แล้วครับ”
อุปมาหยิบซีร็อคจะเดินกลับไปห้องทำงาน สไบนางเดินขวางหน้ากวนๆ
“ได้พนักงานแล้วทำไมไม่เอาป้ายออก เที่ยวปิดป้ายให้ความหวังคนเค้าแบบนี้ มันสนุกนักรึไง”
อุปมาจ้องหน้าสไบนาง
“เรารับพนักงานนอกจากจะดูที่ความสามารถแล้ว ยังดูที่วุฒิภาวะด้วย ยิ่งเป็นเด็กจบใหม่ เอาแต่ใจ ไร้มารยาท ไม่มีสัมมาคาราวะแบบนี้ เราไม่รับเข้าทำงานเด็ดขาด”
อุปมาจ้องหน้าตาดุ สไบนางยิ่งโกรธ
“นายกล้าดียังไงมาด่าฉันเป็นชุดยังงี้ นายนั่นแหละที่ไร้มารยาท ฉันจะขอพบเจ้านายของนาย”
หยาดฝนหน้าเสียมาลากเพื่อน
“ขอโทษนะคะพี่ ไปเถอะบี...”
“มีอะไรเหรอมาร์ค”เสียงหัสดีดังขึ้น
“เจ้านายเค้าออกมาแล้ว ไปเถอะบี”
หยาดฝนลากสไบนางวิ่งออกไปจากบริษัท หัสดินเดินจัดเสื้อออกมาจากห้องน้ำ เห็นหลังสไบนางและหยาดฝนวิ่งออกไปไวๆ อุปมามองไม่ค่อยพอใจ
“พวกเด็กปากจัด ล็อคประตูด้วย เดี๋ยวเด็กผีนั่นจะย้อนมาอีก”
อุปมาเดินนำกลับเข้าห้องทำงานไป หัสดินเดินไปปิดประตูบริษัทล็อคอย่างงงๆ
อุปมาเซ็นสำเนาเอกสารให้หัสดินอยู่ที่โต๊ะทำงาน หัสดินเดินยิ้มๆ กลับเข้ามา
“แกรู้มั้ยเด็กคนนั้นเป็นใคร”
“ไม่อยากรู้ เด็กอะไรพูดจาก้าวร้าว ไม่น่ารักเลย”
“เพื่อนพ่อแกไงล่ะ”
อุปมาชะงักแปลกใจ “เพื่อนพ่อ”
“เด็กลูกชาวบ้านแถวสวน ที่ซื้อเสื้อมาฝากพ่อแกวันนั้นไง”
“เหรอ...แล้วมันมาทำไม”
“พอดีฉันเจอรอรถเมล์อยู่ข้างทาง ก็เลยรับมาส่ง ไม่ยักรู้ว่ากำลังหางานทำ”
“นิสัยยังงี้ ปากยังงี้ คงมีคนรับเข้าทำงานหรอก”
หัสดินขำๆ “เพราะปากยังงี้แหละมั้งพ่อแกถึงชอบยอมคบเป็นเพื่อน”
อุปมาเหล่เพื่อนเล็กน้อย “เอ้อ...ตอนนี้เด็กนั่นยังคิดว่าฉันเป็นแกอยู่เลยนะ”
“ขอบพระคุณอย่างสูง อย่ามาข้องเกี่ยวกับฉันเลย คุมอารมณ์ไม่อยู่ ได้เตะกระเด็นเข้าซักที”อุปมาส่งเอกสารให้ “อ้ะ เสร็จแล้ว”
หัสดินรับเอกสารมาเก็บใส่ซองพร้อมคุย
“เฮ๊ย ดูดีๆ เด็กนี่หน้าตาสวยนะโว้ย ลดความทะโมนลงหน่อย แต่งหน้าแต่งตัว ส่งเข้าประกวดได้เลย”หัสดินยิ้มๆ
“ประกวดโต้วาทีน่ะสิ...คิดจะจีบเด็กเหรอะไอ้หัส”
“เลี้ยงๆ ไว้ก่อน”
“โตแล้วขอแล้วกัน จะเอาไปเฝ้าบ้าน”อุปมาเก็บโต๊ะทำงาน
“ปากก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากันหรอก”หัสดินประชด
ขณะเดียวกันนั้นเสียงกริ่งหน้าบริษัทดังขึ้น
“นัดใครไว้เหรอวะ”หัสดินถามอย่างแปลกใจ – “เปล่า”
เสียงกริ่งดัง 3 ทีต่อเนื่อง
“เพื่อนพ่อฉันย้อนกลับมาแน่ๆ”อุปมาลุกขึ้น ยังไม่หายเคือง “ขอเตะเด็กซักวันเถอะวะ”
อุปมาเดินออกไปจากห้องทำงาน
“ใจเย็นๆ ไอ้มาร์คเด็กช้ำหมด...คนนี้ฉันจองนะโว้ย”
หัสดินรีบตามออกไป อุปมาหยุดกึก เมื่อเดินมาถึงโถงบริษัท และพบว่าคนกดกริ่งรออยู่หน้าบริษัทคือวิมาดา อุปมาและวิมาดายืนมองหน้ากันผ่านประตูกระจกของบริษัท หัสดินวิ่งตามออกมา ต้องหยุดกึก อุปมาหน้าบึ้งจะเดินกลับเข้าห้องทำงาน วิมาดาทุบประตูกระจกเรียก
“มาร์ค...มาร์ค”วิมาดาอ้อนวอน
อุปมาหันกลับไปมอง
“ฉันว่าแกคุยให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า หลบหน้ายังงี้ไม่จบหรอกว่ะ”หัสดีแนะ
อุปมาเดินกลับไปหา วิมาดายิ้มดีใจมากรอให้อุปมาเปิดประตูให้ อุปมาเปิดประตูให้วิมาดาหน้านิ่งบอกบุญไม่รับ
“วิอยากคุยกับมาร์ค ให้โอกาสวิได้อธิบายเป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ยคะ”
วิมาดามองหน้าอุปมา แววตาขอร้อง น้ำตาท่วมตา อุปมามองหน้าวิมาดาแววตานิ่งๆ
+ + + + + + + + + + + +
เย็นนั้น สไบนางเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามาในซอยบ้าน ชันษาถีบจักรยานกดกริ่งไล่หลังมา เธอหันไปมองหน้าตาเอาเรื่อง ด้วยความรำคาญแล้วตวาดใส่ “อะไร”
ชันษาจอดเทียบ “จะกัดมั้ยเนี่ย”
“อย่ามากวนนะ อารมณ์ยิ่งไม่ดีอยู่”
“ทำสอบไม่ได้ล่ะสิ”
“ก็ได้มั่งไม่ได้มั่ง...”
“แล้วใครทำให้อารมณ์เสียล่ะ”
“ช่างมันเหอะ เจอกันครั้งเดียวในชีวิต”
“สอบเสร็จ สบายแล้วสิ”
“ก็ไม่สบายเท่าไหร่หรอก ต้องเครียดรอฟังผลอีก”
“ไปฉลองสอบเสร็จเที่ยวบ้านเราที่พัทยามั้ยล่ะ”
สไบนางยิ้มออกมาได้ “เข้าท่าแฮะ ชวนจริงรึเปล่า”
“ถ้าคุณย่าให้ไป บ้านเราก็ยินดีต้อนรับ”
สไบนางใช้ความคิด
“เรื่องนี้ไม่น่ายากหรอก” สไบนางยิ้มๆมั่นใจ
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำคืนนั้น...
อุปมากับวิมาดานั่งอยู่ในร้านอาหารด้วยกัน อุปมาเลือกนั่งที่โต๊ะมุมลับตาด้านในร้าน
“รู้มั้ยคะว่าวิดีใจแค่ไหนที่พบคุณที่นี่ วิไม่คิดเลยว่าคุณจะกลับมาเมืองไทย”
อุปมาตอบหน้านิ่ง
“เมืองไทยเป็นเมืองเกิดของพ่อผม ท่านรักและตั้งใจกลับมาอย่างเผชิญหน้าใครได้ทุกระดับ ผมก็ต้องติดสอยห้อยตามกลับมาด้วย”
วิมาดาน้อยใจ
“เหตุผลแค่นี้เองเหรอคะ”
“วิว่าควรมีเหตุผลอะไรมากกว่านี้เหรอ”
“ไม่รู้สิคะ วิก็อดหวังไม่ได้ไปตามเรื่อง”วิมาดาจ้องตา “เกือบ 2 ปีแล้วนะมาร์ค ที่เราไม่ได้เจอกัน”
“1 ปี 9 เดือน”
อุปมายกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ วิมาดายิ้มดีใจ
“วิดีใจจังที่คุณจำได้”
“ก็ไม่ได้อยากจำเท่าไหร่นักหรอก”
วิมาดาตีหน้าเศร้า
“ตั้งแต่เราจากกัน วิไปหาคุณทุกที่ ตามหาเพื่อนคุณทุกคน ไม่มีใครยอมบอกอะไรวิ คงเป็นเพราะคุณสั่งไว้ แต่วิก็ไม่ยอมแพ้ จนสืบรู้ว่าคุณย้ายไปอยู่กับแม่ที่ตะวันออกกลาง วิก็จนปัญญาจะตามหาคุณ วิเลยตัดสินใจกลับเมืองไทย”
อุปมาช่วยพูดเติมแกมประชด
“พร้อมกับสามี”
วิมาดาเสียใจ
“มาร์ค...เรื่องนี้ล่ะที่วิอยากจะขอโอกาสให้วิได้อธิบาย”
อุปมาถอนใจออกมา รวบช้อนอิ่ม กินไม่ลงแล้ว วิภาดารีบพูดต่อ...
“ครอบครัววิจน วิต้องดิ้นรนขวนขวายทุกอย่างด้วยตัวเอง จนได้เข้าทำงานในองค์การ วิอยากก้าวหน้าแล้วมันก็มีช่องทาง แต่วิต้องแลกสิ่งนั้นให้เจ้านาย เขาถึงจะสนับสนุนวิ”วิมาดาน้ำตาคลอขึ้นมา “แล้ววิก็ได้ไปต่างประเทศ...ก็ได้พบคุณที่นั่น ได้รักกับคุณ”
อุปมาไม่กล้ามองตาวิมาดากลัวใจอ่อน เบือนหน้ามองไปทางอื่น
“มาร์คฟังวิอยู่รึเปล่า”
อุปมาหน้านิ่งเครียด
“อยากพูดอะไรก็รีบพูดมาเถอะ”
วิมาดาซับน้ำตา
“ที่วิพูดทั้งหมดคือความจริง วิไม่ได้รักเค้าเลย วิไม่เคยรักใครมาก่อน จนกระทั่งได้เจอคุณ คุณคือรักครั้งแรกของวิ” วิมาดาคอตีบ น้ำตาเอ่อท่วมขึ้นมาอีก “วิทุกข์ใจอยู่ตลอดเวลา วิอยากสารภาพความจริง แต่ก็ไม่กล้า กลัวคุณจะรังเกียจแล้วทิ้งวิไป วิจำใจต้องปิดคุณเพราะรักคุณมากนะคะมาร์ค”
อุปมาที่เบือนมองไปทางอื่น ลึกๆก็ยังตัดใจจากวิมาดาไม่ได้
“วิเคยคิดจะหนีไปกับคุณ ไม่กลับเมืองไทยอีก แต่สัญญากับทางองค์การมันผูกมัดจนวิกระดิกกระเดี้ยวทำอะไรไม่ได้เลย วิทรมานมากนะมาร์ค อยากขอความช่วยเหลือจากคุณแต่ก็ไม่กล้า จนเค้าตามวิไป แล้วเกิดเรื่องขึ้นวันนั้น”วิมาดาหน้าเศร้า
อุปมามองหน้าวิมาดา
“วิพูดนานแล้ว คงคอแห้ง ดื่มน้ำซะหน่อยสิ”
“มาร์ค”วิมาดาอึ้งๆ ไป ลึกๆ ก็เสียใจ ตนพูดความจริงทุกอย่างแล้ว
อุปมาลุกขึ้น
“ผมไปห้องน้ำก่อนนะ วิจะได้มีเวลาแต่งเรื่องต่อ”
อุปมาเดินหน้านิ่งเลี่ยงออกไป วิมาดาเสียใจและน้อยใจที่สุด น้ำตาร่วงผล๋อยออกมา เธอรีบปาดน้ำตาทิ้ง จิกตามองตามอุปมาไปด้วยแววตาไม่พอใจ ที่ไม่เชื่อคำพูดของตนและทำกริยาเช่นนั้นใส่
(อ่านต่อ วันพรุ่งนี้)