xs
xsm
sm
md
lg

ลุยซาฟารีเมืองไทย สไตล์ Explorer Lady

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ใครว่าเป็นผู้หญิงแล้วเที่ยวคนเดียว หรือเที่ยวเฉพาะแก๊งสาวไม่ได้ เปลี่ยนความคิดใหม่ให้ไวเลยค่ะ เพราะสาวเราสมัยเนี้ย ทั้งเก่งและคล่อง แถมยังดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี เมื่อคิดอยากจะไปเที่ยวปล่อยใจให้สบายอารมณ์ ก็มิต้องนั่งรอให้หนุ่มๆ เค้าพาไป แค่จัดกระเป๋าเตรียมของให้พร้อมก็แบกเป้ตะลุยได้เลย

หลังจากปีที่แล้วโครงการ Lady Joruney ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มาปีนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงสานต่อโครงการ “Lady Journey ททท. พาผู้หญิงเที่ยวไทย” จัดทริป (trip) ให้ผู้หญิงได้ขึ้นเหนือล่องใต้ พบกับหลากประสบการณ์อันน่าตื่นตา จะไปเที่ยวแบบก๊วนสาว หรือฉายเดี่ยวเที่ยวสนุกก็สามารถค่ะ

ล่าสุดเมื่อ 22-24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ททท. จึงชักชวนนักแสดงสาว คนสวย “อ๋อม - สกาวใจ พูนสวัสดิ์” มาร่วมทริป “สัมผัสซาฟารีเมืองไทย ดูฝูงกระทิง ช้างป่า ที่ประจวบคีรีขันธ์” ตามสไตล์สาว Explorer Lady การท่องเที่ยว 3 วัน 2คืน ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์จะสนุกสนาน สวยงาม และน่าค้นหาแค่ไหน นางร้ายหน้าสวยนำทีมสาวๆ เดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ใดมาบ้าง โอกาสนี้เราเก็บภาพบรรยากาศ มาให้ชมกันแบบจัดเต็ม


เย็นตา สบายปอด ณ ศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี

ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้ มีพื้นที่ 786 ไร่ เดิมทีเคยเป็นพื้นที่สัมปทานนากุ้ง ที่มีสภาพพื้นดินเสื่อมโทรมอย่างหนัก กระทั่งในปี 2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาที่วนอุทยานปราณบุรีและทรงมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ป่า ชายเลนบริเวณปากน้ำปราณบุรี เป็นผลให้กรมป่าไม้ยกเลิกการต่อใบอนุญาตการใช้พื้นที่ป่าชายเลนในบริเวณดัง กล่าว จากนั้นเป็นต้นมา หน่วยราชการชุมชนและบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมมือกันทำงานกว่า 20 ปีจนสามารถนำความอุดมสมบูรณ์ และสวยงามกลับมาสู่ระบบนิเวศน์ชายฝั่งได้

การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ณ ศูนย์สิรินาถราชินี จึงมีให้ครบรส ทั้งได้สาระความรู้ เกี่ยวกับป่าชายเลนอย่างครบถ้วน , เพลินตาสบายใจ ไปกับต้นโกงกางที่เขียวขจี แถมยังรู้สึกโล่งโปร่งสบาย หายใจได้เต็มปอดกับออกซิเจน (Oxygen) อันบริสุทธิ์จากผืนป่าแห่งนี้ด้วย

ท่องเที่ยว อิ่มบุญ วัดตาลเจ็ดยอด

หลังท่องเที่ยวชมธรรมชาติป่าชายเลนจนจุใจ เรายังมีเวลาเหลือๆ ให้ไปเที่ยวอีกสถานที่ให้อิ่มบุญ สบายใจที่ “วัดตาลเจ็ดยอด” เพื่อกราบสักการะรูปหล่อสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) องค์ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีขนาดหน้าตักกว้างถึง 11 เมตร และสูง 14 เมตร

นอกจากจะได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ทิวทัศน์ที่นี่ก็สวยงามมากค่ะ เรียกได้ว่ามาวัดนี้ นอกจากได้บุญเต็มอิ่มแล้ว ยังได้วิวสวยๆ ตราตรึงใจ เก็บไว้ในความทรงจำอื้อ !


ร่วมรำลึกวีรกรรมทหารกล้า ที่กองบิน 5

กองบิน 5 ตั้งอยู่ที่เชิงเขาล้อมหมวก เป็นลักษณะแหลมยื่นออกไปในทะเลของอ่าวประจวบฯ และ “อ่าวมะนาว” ที่ว่ากันว่าหากมองจากมุมสูง อ่าวมะนาว จะมีลักษณะกลมดิ๊กเหมือนผลมะนาวเลยค่ะ

การเดินทางในวันที่ 2 ของเราก็เริ่มต้นขึ้นที่กองบิน 5 นี่แหละ... ที่นี่มีทิวทัศน์สวยงามไม่เบา เราได้เยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์ ที่จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ วีรกรรมของทหารกล้าของกองบิน 5 ที่ต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น เมื่อครั้งยกพลขึ้นบกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไว้อย่างเรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง มีการนำทั้งภาพและสื่อผสม มาจัดแสดงไว้ อย่างลงตัว เพื่อให้ผู้เข้าชมได้รู้สึกเพลิดเพลิน และมีอารมณ์ร่วมไปย้อนรำลึกในเหตุการณ์ การต่อสู้เมื่อครั้งอดีต


ก่อนออกจากกองบิน 5 เราไม่ลืมที่จะสักการะ ศาลเจ้าพ่อเขาล้อมหมวก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนแถบนี้ให้ความเคารพ พร้อมแวะให้อาหาร และชมความน่ารัก น่าชังของ “ค่างแว่น” สัตว์ป่าแสนซน ที่หน้าตาคล้ายลิงหรือชะนี ซึ่งเมื่อยังเป็นค่างแว่นเด็ก ตัวเล็กๆ จะมีสีน้ำตาลอ่อนสวย แต่เมื่อโตเต็มที่จะแปลงร่างกลายเป็นสีเทา ทั้งยังมีวงรอบดวงตาสีขาว อย่างกับใส่แว่นตากันทุกตัว

ซุ่มดูช้างป่า - ท่องเที่ยวแบบจิตอาสา ด้วยการ สร้าง “โป่งเทียม”

หลังนำร่องมาด้วยกิจกรรมเบาๆ แต่เรียกความซาบซึ้งใจได้มากโข เรามาต่อกันด้วยกิจกรรม สุดเร้าใจที่ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพลิกฟื้นพื้นที่ไร่สับปะรด ให้กลายเป็นป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่า

เริ่มแรกเราได้รับฟัง การบรรยายเรื่อง ช้างป่ากุยบุรี จากเจ้าหน้าที่อุทยาน เมื่อฟังแล้วสาวๆ เราต่างรู้สึกห่วงใย ในช้างป่า สัตว์ที่เหลือน้อยเต็มที แถมบางครั้งก็ต้องถูกทำร้ายจากผู้คนใจบาป ที่หวังทำลายชีวิตเจ้าช้างป่าเพียงเพราะต้องการงาของมัน เมื่อได้รับฟังเรื่องราว สาวแก๊งตะลุยของเราจึงเต็มใจ และพร้อมแล้วที่จะร่วมกิจกรรมจิตอาสา ทำโป่งเทียม เพื่อเป็นอาหารสำหรับสัตว์ป่า

เมื่อสำรวจจนได้พื้นที่ซึ่งมีดินเหมาะจะทำโป่งเทียม เจ้าหน้าที่อุทยานนำทีมสาวๆ ร่วมขุดดินให้ลึกประมาณ 1 ศอก จากนั้นช่วยกันเท เกลือ และแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ลงไป แล้วทำการฝังกลบปิดหน้าดิน จากนั้นก็รอว่า เมื่อฝนตก น้ำฝนจะได้ชะล้างให้เกลือ และแร่ธาตุผสมกับดิน เมื่อสัตว์ป่ามาเจอเข้า ก็จะได้กินดินโป่ง (เทียม) ที่มีสารอาหารซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของพวกมัน

เมื่อได้สร้างอาหารให้สัตว์ป่าแล้ว ก่อนกลับสาวเราขอสำรวจป่าอันอุดมสมบูรณ์กันอีกสักนิด งานนี้เจ้าหน้าที่จัดรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้เราได้ผจญภัยและร่วมค้นหา และลุ้นระทึกไปกับการเฝ้าชมช้างป่าฝูงใหญ่ ที่จะออกมาหาอาหารในช่วงเวลาเย็น และไม่ใช่เพียงแค่ช้างค่ะ หากโชคดีเราอาจจะได้เห็นสัตว์ป่าอื่นๆ เช่นกระทิง ที่จะออกมากินโป่งดินด้วยนะคะ

หลังเฝ้ารอชมอยู่ครู่ใหญ่ เราได้เห็นช้างป่าอยู่ลิบๆ แต่แค่นี้ทีมสาวๆ ของเราก็ปลื้มแล้วหล่ะ เข้าทำนองแอบรัก แอบมอง แอบห่วงใยอยู่ห่างๆ ก็พอ ^_^


ล่องเรือไป ปีนป่าย “ถ้ำพระยานคร”

แค่ 2 วันก็ได้สนุกกับกิจกรรมเต็มเอี๊ยด แต่วันที่ 3 ทีมสาว Lady Journey ก็ยังพร้อมลุย ซึ่งแม้จะเป็นวันที่ต้องกลับกรุงเทพฯ แล้ว แต่ด้วยความที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก ทำให้อีกวันที่เหลือ เรายังได้เก็บเกี่ยวได้อีก 2 สถานที่ท่องเที่ยวแสนสวย

เริ่มกันที่การเดินทางไปยัง อุทยานแห่งชาติสามร้อยยอด เพื่อไปยังหน้าวัดบางปู จากนั้นลงเรืออ้อมเขา ไปยังหาดแหลมศาลา สถานที่ตั้งของ “ถ้ำพระยานคร” ถ้ำขนาดใหญ่ ที่บนเพดานถ้ำมีปล่องให้แสงสว่างลอดเข้ามายังตัวถ้ำ และจุดเด่นที่สำคัญคือ ภายในถ้ำมี พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ เป็นพลับพลาแบบจตุรมุข (พระที่นั่งองค์นี้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ด้วย) สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 คราวเสด็จประพาสถ้ำแห่งนี้ พระองค์ทรงสร้างพลับพลาดังกล่าว ขึ้นที่กรุงเทพฯ แล้วส่งมาประกอบในภายหลัง ทั้งยังทรงเสด็จมายกช่อฟ้า ด้วยพระองค์เองอีกด้วย

แม้จะต้องใช้เวลาเดินปีนป่ายขึ้น - ลง เขาจนเหงื่อโซมกาย แต่เมื่อมาถึงยังจุดหมาย ได้ชมพลับพลา ที่มีแสงสาดส่องเข้ามากระทบ ช่างสวยจับใจจนลืมความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้งกันเลย

ปิดท้ายความประทับใจที่โครงการ “ช่างหัวมัน”

ระหว่างทางกลับสู่กรุงเทพฯ เราได้ปิดท้ายทริปนี้กันแบบสุดประทับใจกันที่ โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีพระราชประสงค์ให้โครงการนี้เป็นศูนย์รวบรวมพืชเศรษฐกิจของอำเภอท่ายาง โดยพระองค์ท่านทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อที่ดินชาวบ้านในช่วงแรก 130 ไร่ และทรงซื้อเพิ่มภายหลังอีก 120 ไร่ จึงรวมเป็น 250 ไร่

พื้นที่โครงการเต็มไปด้วยพืชเศรษฐกิจแห่งอำเภอท่ายาง มีการคัดเลือกพืชพันธุ์ท้องถิ่นที่ดีเข้ามาปลูก เสมือนแปลงทดลองปลูกพืชเศรษฐกิจของท้องถิ่น โดยให้ทั้งภาครัฐและชาวบ้านเข้ามาช่วยกันดูแล เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและภูมิปัญญา จนเกิดเป็นองค์ความรู้ที่สามารถนำไปเผยแพร่และเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกร รวมถึงเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับประชาชนทั่วไปได้เข้าชม


เมื่อชมโครงการเต็มที่ ก็ถึงเวลามุ่งหน้ากลับมายังเมืองกรุงฯ จบสิ้นทริป 3 วันหรรษาของสาวนักสำรวจ แม้จะเป็นทริปที่เต็มเอี๊ยดด้วยกิจกรรมมากมาย แต่สาวหลายคนยังยิ้มร่า ไม่มีเหนื่อย แถมสดใสซาบซ่า อย่างกับเพิ่งไปชาร์ตแบตเพิ่มพลังมา

อะฮ้า ! เห็นภาพความสนุกแบบนี้แล้ว ไม่ต้องอิจฉานะคะ เพราะคุณก็มาเที่ยวและสัมผัสกับความตื่นตา ตื่นใจแบบนี้ได้ ไม่ยากหรอกค่ะ.... ถ้าใจคิดจะไป

หากคุณสาวๆ ท่านใด สนใจอยากร่วมทริปกับโครงการ Lady Journey ททท. พาผู้หญิงเที่ยวไทย 2554 หรือจะขับรถตามรอยเส้นทางนี้ไปเที่ยวกันเอง โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-7047067 (อัตโนมัติ) หรือ 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย

เรื่องโดย Lady Manager

>>
อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ 
 http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น