xs
xsm
sm
md
lg

Seediq Bale อภิมหาภาพยนตร์แห่งไต้หวัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online




ในอีกประมาณเดือนกว่าที่หนังฟอร์มยักษ์แห่งไต้หวัน Seeding Bale กำลังจะเข้าฉาย ก็มีข่าวดีเป็นกำลังใจ สำหรับทีมงานของภาพยนตร์เรื่องนี้ทุกคน เมื่อหนังได้รับเลือกให้เข้าฉายในสายหลักของเทศกาลหนังนานาชาติเมืองเวนิสปีล่าสุดด้วย

Seediq Bale เป็นเป็นงานของ เว่ย เต๋อเซิ่ง ผู้กำกับที่เคยสร้างชื่อโด่งดังกับหนัง Cape No.7 ผลงานที่กวาดทั้งเงินและคำชมจากประชาชนไต้หวันไปมากมาย แต่ในหนังเรื่องล่าสุด เว่ย เต๋อเซิ่ง พกความทะเยอทะยานมาเต็มกระเป๋า กับงานช้างในการสร้างหนังอิงประวัติศาสตร์ของไต้หวัน ที่ต้องอาศัยทั้งทุนสร้าง, ความอดทน และการดิ้นรนอย่างหนัก ชนิดเท่าที่คนทำหนังผู้หนึ่งจะสามารถทุ่มเทได้

ในเรื่องราวหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีภายใต้ชื่อ “เหตุการณ์อู๋เซ่อ” ที่เกิดขึ้นเมื่อผู้นำชนเผ่าท้องถิ่นคนหนึ่ง ได้สร้างวีรกรรมกล้าหาญ ในการนำกองกำลังนักรบพื้นเมืองจำนวน 400 ชีวิต เข้าต่อต้านกับผู้รุกรานอย่างกองทัพญี่ปุ่น เมื่อปี 1930 อันเป็นช่วงเวลาแห่งการล่าอาณานิคมของชนชาติแห่งพระอาทิตย์ ที่มีสิทธิ์เหนือการปกครองไต้หวันมาตั้งแต่ปี 1895 เป็นต้นมา

ซึ่ง “ซีดิก” (Seediq) ก็คือชื่อของชนเผ่าพื้นเมืองบนเกาะไต้หวัน เป็นชาวไต้หวันแท้ ๆ ซึ่งอาศัยก่อนหน้าที่ชาวจีนจะอพยพเข้ามา มีภาษาเป็นของตัวเอง โดยส่วนมากมีถิ่นอาศัยอยู่ในมณฑลหนานโถว และมณฑลฮัวเหลียน ซึ่งเรื่องราวของพวกเขากลายเป็นวีรกรรมที่ถูกเล่าขานมานาน แต่เพิ่งจะได้รับการถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์เพื่อให้ทั่วโลกได้รับรู้

ผลงานชิ้นนี้จึงเป็นงานที่สำคัญทั้งต่อตัวผู้กำกับ และประเทศไต้หวันโดยตรง เป็นงานที่ เว่ย เต๋อเซิ่ง ต้องใช้ความทุ่มเทอย่างหมดทั้งตัวและหัวใจในการสร้างหนังเรื่องนี้ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เขายังไม่มีเครดิตเป็นผู้กำกับหนังเรื่องใดมาก่อนเลย โดยเงินก้อนแรก 2 ล้านเหรียญไต้หวัน ที่ผู้กำกับคนดังรวบรวมมาได้ในปี 2003 ถูกใช้สำหรับถ่ายทำฉากสั้น ๆ ความยาว 5 นาที เพื่อเป็นตัวอย่าง ในการนำเสนอขอทุน สำหรับการแสดงภาพรวม และเนื้อหาของหนังว่ามีลักษณะขอบเขตเป็นอย่างไรบ้าง

แม้หนังสั้น 5 นาทีของเขาจะได้รับคำชื่นชมจากผู้คนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยความใหญ่โตและสุ่มเสี่ยงของโครงการครั้งนี้ เว่ย เต๋อเซิ่ง ก็ยังไม่สามารถหาทุนรอนได้ครบ จนกระทั่ง Cape No. 7 หนังเล็ก ๆ ที่ให้อารมณ์ถวิลหาอดีตอันสวยงามของไต้หวัน ที่เป็นผลงานเรื่องแรกอย่างเป็นทางการของเขา ประสบความสำเร็จในทุกด้าน ทำรายได้ไป 530 ล้านเหรียญไต้หวัน กลายเป็นหนังทำเงินอันดับสองตลอดกาลของไต้หวันในตอนนั้น เป็นรองเพียง Titanic เท่านั้น

ขณะที่อีกด้าน Cape No. 7 ยังกวาดรางวัลจากเวทีต่าง ๆ ไปมากมาย รวมถึง 6 รางวัลม้าทองคำประจำปี 2007 ด้วย จนความสำเร็จของ Cape No. 7 กลายเป็นแรงส่งที่ทำให้ Seediq Bale เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในที่สุด

สุดท้ายเขาสามารถเปิดกล้อง Seediq Bale ด้วยทุนสร้าง 288 ล้านเหรียญไต้หวัน แต่ระหว่างการถ่ายทำก็มีปัญหาเรื่องทุนสร้างไม่พอมาโดยตลอด และได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมวงการหลายคน รวมถึงมีข่าวว่า เจย์ โจว ศิลปินอันดับ 1 ของประเทศก็ช่วยสนับสนุนเงินทุนก้อนหนึ่งให้กับหนังเรื่องนี้ด้วย

จนสุดท้ายมีรายงานว่าทุนสร้างของหนังเรื่องนี้ได้บานปลายไปสูงถึง 700 ล้านเหรียญไต้หวัน ถือว่ามากมายอย่างถึงที่สุด สำหรับวงการหนังไต้หวัน ที่ทุนสร้างหนังเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น

ในการพูดคุยกับนักข่าวเมื่อ 2 เดือนก่อนผู้กำกับกล่าวถึงการทำงานครั้งนี้ว่าแทบไม่ได้ต่างอะไรจาก ‘การไปรบ’ เลย “ผมค่อนข้างมั่นใจนะครับ ว่าคงไม่มีทีมงานหนังเรื่องใดได้ประสบกับวิบากกรรมแบบที่เราต้องเจอในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้”

ด้วยนักแสดงตัวประกอบกว่า 15,000 ชีวิต และทีมงานร่วม 400 คนจากทั้งไต้หวัน, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ Seediq Bale ต้องต่อสู้กับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของป่าทึบในเขตภูเขาทางตอนเหนือของไต้หวัน ที่กินเวลายาวนาน 10 เดือน “ถ้ามีใครในกองถ่ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรระหว่างการทำงานเลย เขาก็คงเป็นคนประเภทขี้เกียจสันหลังยาวแน่ ๆ” ผู้กำกับกล่าวติดตลกถึงการทำงานที่ยากลำบากสำหรับทีมงานทุกคน

หนังที่ว่าด้วยการต่อสู้และความขัดแย้งระหว่างชาวพื้นเมืองบนเกาะไต้หวัน และกองทัพญี่ปุ่น กลายเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายห่วงใยว่าอาจสร้างข้อพิพาทครั้งใหม่ระหว่างสองประเทศขึ้นมา ซึ่ง เว่ย เต๋อเซิ่ง ไม่เชื่อว่ามันจะทำให้เกิดปัญหาอะไร เพราะหนังเล่าเรื่องอย่างมีเหตุผลโดยไม่ได้ยัดเยียดความเป็นผู้ร้ายให้กับใคร “หนังไม่ได้เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างความดีกับความเลวนะครับ แต่เป็นความพยายามในการเสนอภาพความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมากกว่า”

Seediq Bale ประกอบไปด้วยนักแสดงทั้งชาวไต้หวัน, ชาวพื้นเมือง และชาวญี่ปุ่น อาทิ วิเวียน ซู, จิเอะ ทานากะ, อันโด มาซาโนบุ, เหวินหลัน และ ลั่วเม่ยหลิง เป็นต้น โดยหนังจะถูกแบ่งออกเป็นสองภาค สำหรับหนังภาคแรก ที่จะครอบคลุมไปในส่วนของการแนะนำตัวละคร และวาดภาพบรรยากาศของไต้หวันในช่วงแห่งการตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นจะมีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 9 ก.ย. นี้ ขณะที่หนังภาคสอง ซึ่งจะเข้าฉายในวันที่ 30 ก.ย. จะมีเนื้อหาอยู่ที่การลุกขึ้นต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ของกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองในไต้หวัน แม้จะมีกำลังคนน้อยกว่าถึง 10 เท่าก็ตาม

ขณะนี้ Seediq Bale สามารถหาผู้จัดจำหน่ายใน ฮ่องกง, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ได้แล้ว ขณะที่ผู้กำกับก็ได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท Fortissimo Films ในการพาผลงานที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานของเขาไปฉายยังฝั่งตะวันตกอย่าง ยุโรป และอเมริกาแล้วเช่นเดียวกัน





เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย
ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540
ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก
ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000
*ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก















กำลังโหลดความคิดเห็น