xs
xsm
sm
md
lg

“พิพิธภัณฑ์ฯพาณิชย์นาวี” ของดีเมืองจันท์ หนึ่งเดียวในไทย/ปิ่น บุตรี

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี
อาคารพิพิธภัณฑ์ฯพาณิชย์นาวี
บ่อยครั้งที่ผมไปจันท์แล้วก็มักจะปันใจให้กับเสน่ห์อันดึงดูดของจังหวัดนี้ที่น่ายลไปด้วย ทะเลสงบๆ ธรรมชาติ ป่าเขาน้ำตก สวนผลไม้ วิถีวัฒนธรรม และอาหารการกิน ซึ่งอาหารเมืองจันท์นั้นได้ชื่อว่ามีเอกลักษณ์ไม่เป็นสองรองจังหวัดไหนๆ

นอกจากนี้จังหวัดจันทบุรียังมีของดีอย่าง “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวี” ที่เป็นสถานที่เก็บรักษาโบราณวัตถุใต้ท้องทะเลจำนวนมากนับหมื่นๆชิ้นแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย นับเป็นหนึ่งในแหล่งจัดแสดงของดีในระดับทวีปที่ถือว่าไม่ธรรมดาเอาเสีย

พิพิธภัณฑ์ฯพาณิชย์นาวี เกิดมาจากการที่กรมศิลปากร ได้ตั้งฐานปฏิบัติการโบราณคดีใต้น้ำขึ้นที่ท่าแฉลบ และตั้งศูนย์การอนุรักษ์โบราณวัตถุใต้ทะเลขึ้นที่ ค่ายเนินวง ต.บางกจะ อ.เมือง จ.จันทบุรี ซึ่งได้มีการสำรวจทางโบราณคดีใต้น้ำพบโบราณวัตถุจากซากเรือจมในอดีตมากมาย กอปรกับการที่กองทัพเรือสามารถตรวจจับและยึดโบราณวัตถุจากนักล่าสมบัติใต้ทะเลชาวต่างชาติที่แอบมาลักลอบค้นหาในท้องทะเลไทยได้อยู่เรื่อยๆ โดยจับได้ครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งหลังการตรวจยึดก็จะส่งมาให้กรมศิลป์ดูแลรักษา

ความที่มีโบราณวัตถุใต้ทะเลอยู่เป็นปริมาณมากนับหมื่นๆชิ้น กรมศิลป์จึงดำเนินการสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวีขึ้นในปี พ.ศ. 2537 เพื่อเป็นสถานที่รวบรวมและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับงานทางโบราณคดีใต้น้ำ พร้อมด้วยเรื่องราวของการพาณิชย์นาวีไทย โดยมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ฯพาณิชย์นาวีขึ้นที่ ค่ายเนินวง ค่ายโบราณที่สร้างขึ้นรับศึกญวน(เวียดนาม)ในสมัยรัชกาลที่ 3
เรือบรรพนาวิน
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ มีลักษณะเป็นอาคารแฝด 2 ชั้น ภายในมีการแบ่งห้องจัดแสดงออกเป็น 6 ห้อง ซึ่งห้องที่เด่นที่สุดผมยกให้กับห้องแรกสุดคือ “ห้องจัดแสดงสินค้าและวิถีชีวิตชาวเรือ” ห้องนี้เมื่อเดินเข้ามาจะพบกับ“เรือมีตาหน้ายักษ์”ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่กลางห้อง

เรือมีตาหน้ายักษ์ลำนี้ เป็นเรือสำเภาโบราณจำลองขนาดเท่าของจริง(ลำเล็กสุด) เหตุที่ผมเรียกว่าเรือมีตาเพราะ ข้างเรือด้านนอก ฝั่งซ้าย-ขวา เยื้องไปทางฝั่งหัวเรือ มีการวาดตาเรือกลมๆ มีตาดำ-ตาขาว เหมือนตาคน ซึ่งเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์อธิบายให้ผมฟังว่า

“ตาเรือแบบนี้เป็นตาเรือสินค้า ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าตาดำมองออกไปยังเบื้องหน้า ส่วนถ้าเป็นเรือที่มีตาดำมองเหลือบต่ำลงไปในทะเลนั่นคือเรือประมง แต่ถ้าเจอเรือที่มีรูปตาตัดเหลือเพียงครึ่งเดียวลอยมาหา ก็ต้องหนีทันทีเพราะนั้นคือเรือโจรสลัด”
หุ่นจับกัง บนชั้น 2 ของเรือบรรพนาวิน
นี่ถือเป็นความรู้ใหม่ที่แม้จะดูแจ็ก สแปร์โรว์ มา 4 ภาคแล้ว ผมก็ยังไม่รู้เลยว่ามันมีการแบ่งประเภทของเรือจากตาเรือด้วย

ส่วนที่ผมบอกเป็นเรือหน้ายักษ์ เพราะที่ด้านหน้าเรือวาดลวดลายเป็นรูป“ราหู”ดูขรึมขลัง ซึ่งราหูถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ชาวเรือเคารพนับถือ ขณะที่ด้านหลังของเรือลำนี้วาดเป็นรูปนกฟีนิกซ์เกาะอยู่บนภูเขากลางทะเล หมายถึงความเป็นอมตะ ฆ่าไม่ตาย ชาวเรือเปรียบดังเรือไม่ล่ม ไม่จม ใต้ตัวนกฟีนิกซ์เขียนชื่อบอกให้รู้ว่าเรือลำนี้ชื่อ“บรรพนาวิน” ซึ่งหมายถึงบรรพบุรุษแห่งการเดินเรือ
ไต้ก๋ง ยืนคุมงานบนดาดฟ้าเรือ
เรือบรรพนาวินแบ่งเป็น 2 ชั้น นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปในเรือเดินชมห้องต่างๆในชั้นล่างและชั้น 2 ของเรือได้

บนชั้น 2 หรือชั้นบนของเรือ ที่ผมเดินผ่านบันไดแคบๆขึ้นไป บนนั้นมีองค์ประกอบสำคัญๆของเรือสำเภาโบราณจัดแสดงไว้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ใบเรือ พังงาเรือ ลูกตะเภาสำหรับกันเรือกระแทกที่ทำด้วยหวาย ร่วมด้วยการจัดแสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวเรือสมัยก่อน มีจับกังหรือกุลีหรือจุมโผ่ แบกหามกระสอบสิ่งของต่างๆ มีคนดึงเชือกใบเรือ หรือ ”อาปั๋น” กำลังทำท่าสาวดึงใบเรืออย่างขะมักเขม้น ส่วนไม่ไกลกันมีเฒ่าเต้งมาทำหน้าที่คอยดูแลสมอเรือ โดยมีกัปตันเรือหรือจุ่มจู๊หรือไต้ก๋งยืนคุมคนงานอยู่บนชั้นดาดฟ้าอีกที
ชาวเรือกับไม้เกาหลังประจำตัว
จากชั้นบนลงมาต่อกันที่ชั้นล่าง เป็นส่วนของท้องเรือ ระวางเรือ จัดแสดงสินค้า ไหสี่หูเคลือบน้ำตาลดินของสิงห์บุรี เครื่องเคลือบสังคโลกเขียวไข่กา ผ้าไหมแพรพรรณที่นำมาจากจีน เครื่องเทศ ไม้ฝาง และทองแดงที่ซื้อมาเป็นทั้งวัสดุใช้ทำประโยชน์และเป็นอับเฉาเรือไปในตัว

ในชั้นล่างเรือยังมีการจัดแสดงวิถีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายตามอัตภาพของชาวเรือ รวมถึงยังมีสิ่งชวนให้ผมฉงนก็คือ (หุ่น)ชาวเรือ 2-3 คน ต่างมีไม้เกาหลังประจำตัว ซึ่งสอบถามจากพี่เจ้าหน้าที่ก็ได้รับความกระจ่างว่า ชาวเรือสมัยก่อนนานๆจะได้อาบน้ำที ทำให้แต่ละคนเป็นโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน มีอาการคันคะเยออยู่บ่อยครั้ง จึงต้องพกไม้เกาหลังติดตัว เอาไว้ช่วยเกาในส่วนที่มือเอื้อมไปไม่ถึง
โบราณวัตถุที่ขุดพบจากในทะเล
นอกจากไฮไลท์เรือบรรพนาวินแล้ว ในห้องนี้ยังมีข้าวของเครื่องใช้โบราณที่นำมาจากแหล่งเรือจม ไม่ว่ะเป็น คันฉ่อง(กระจก) เครื่องถ้วยสังคโลก เหรียญเงินสมัยราชวงศ์ถัง จี้ทองคำฝังพลอยแดง กำไลข้อมือทองคำ แหนบ กุญแจจีน เบ็ด ไข่เป็ด ก้างปลา และ ฯลฯ ซึ่งข้าวของโบราณเหล่านี้สันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในช่วงอยุธยาตอนกลางถึงตอนปลาย หรือเมื่อราวๆ 300-400 ปีที่แล้ว
การจำลองการทำงานของทีมนักโบราณคดีใต้น้ำ
จากห้องแรกห้องไฮไลท์ ยังมีอีก 5 ห้องที่เหลือให้เดินเที่ยวชมกันได้แก่

ห้องแนะนำปฏิบัติการโบราณคดีใต้น้ำ” ห้องนี้ให้คำอธิบาย คำจำกัดความเกี่ยวกับงานทางโบราณดคีใต้น้ำ เริ่มตั้งแต่ประวัติความเป็นมา โบราณคดีใต้น้ำคืออะไร แตกต่างจากโบราณคดีบนบกอย่างไร พร้อมกับมีการจำลองวิถีการทำงานของนักโบราณคดีใต้น้ำของทีมงานจากเรือบางกระชัย 4 มาจัดแสดง ที่ผมเห็นแล้วต้องยกนิ้วให้กับความสามารถ ความพยายาม และความมุ่งมั่นของคนเหล่านี้

ห้องคลังเก็บโบราณวัตถุ” เป็นห้องที่แสดงให้เห็นถึงการเก็บรักษาโบราณวัตถุภายในพิพิธภัณฑ์นับหมื่นๆชิ้น ที่ปกติพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วๆไปจะไม่เปิดเผยความลับ ของดี แบบนี้ให้คนทั่วไปชม แต่ที่นี่เขาเปิดช่องกระจกให้ชมกันเป็นบุญตา
เรือประเภทต่างๆในห้องแสดงเรือและชีวิตชาวเรือ
ห้องแสดงเรือและชีวิตชาวเรือ” ห้องนี้จัดแสดงเรือประเภทต่างๆในบ้านเรา ทั้งเรือขุดและเรือต่อ เท่าที่จะหาได้ ทำเป็นโมเดลเรือจำลอง ย่อสัดส่วนขนาดตามของจริงลงมา มีทั้ง เรือพระราชพิธี เรือรบสมัยใหม่ เรือสำเภา และเรือพื้นบ้านที่บางลำกลายเป็นตำนาน บางลำหาดูได้ยากเต็มทีในยุคนี้ พ.ศ.นี้ อาทิ เรือผีหลอก เรือพายม้า เรือหมู เรือแม่ปะ เรือหางแมงป่อง เรือสำเภา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีซากเรือโบราณอายุประมาณ 200 ปี ขุดขึ้นมามาจากไม้ตะเคียนต้นเดียวแต่ว่ายังขุดไม่เสร็จ ซึ่งสันนิษฐานว่าที่ไม่อาจขุดเรือลำนี้ให้เสร็จลงได้ อาจเกิดจากการที่ชุมชนที่ขุดเรือโยกย้ายถิ่นฐานไปเสียก่อน เกิดจากการขึ้นรูปเรือผิดพลาดจนไม่สามารถขุดลุล่วงให้เป็นเรือได้ หรืออาจเกิดจากความแรงความเฮี้ยนของไม้ตะเคียน ที่ผมฟังแล้วชวนสยึ๋ยกึ๋ยไม่น้อย บรื๋อ!?!

ห้องของดีเมืองจันท์” จัดแสดงของดีเมืองจันท์ที่เราๆคุ้นชื่อ อาทิ พลอย ผลไม้ เสื่อ ฯลฯ และประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองนี้ ร่วมด้วยเรื่องราวทางชาติพันธุ์ของ“ชาวชอง” ชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมของเมืองจันท์

ห้องบุคคลสำคัญ” เป็นห้องที่รำลึก เชิดชูพระมหาวีรกรรมขององค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เน้นไปที่ การทำสงครามเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่เส้นทางเดินทัพเมื่อคราวมารวบรวมพลที่จันทบุรี ซึ่งผมเห็นสภาพบ้านเมืองไทยยามนี้แล้วก็อดนึกถึงเมื่อคราวเสียงกรุงไม่ได้

ครับและนั่นก็เป็น 6 ห้องจัดแสดงในพิพิธภัณฯพาณิชย์นาวี ที่อีกหนึ่งสถานที่เชิดหน้าชูตาของจังหวัดจันทบุรี แต่น่าเสียดายที่คนไทยหลายๆคนมักจะมองข้ามไป เพราะยังคงติดอยู่กับวิธีคิดเดิมๆว่าการเที่ยวพิพิธภัณฑ์เป็นเรื่องน่าเบื่อ โดยหารู้ไม่ว่าในนี้มีองค์ความรู้มากมายให้ค้นหา ส่วนเรื่องความเพลิดเพลินนั้น ผมว่าที่นี่มีเหนือกว่าหนังไทยหลายๆเรื่องเสียอีก
***********************************************************

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวี ตั้งอยู่ที่ หมู่ 8 ค่ายเนินวง ต.บางกะจะ อ.เมือง จ.จันทบุรี เปิดทำการตั้งแต่วันพุธ-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น. ค่าธรรมเนียมเข้าชม คนไทย 20 บาท ต่างชาติ 100 บาท นักเรียน นักศึกษา ในเครื่องแบบ และพระภิกษุสามเณร ไม่เสียค่าเข้าชม ซึ่งผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-3939-1431,0-3939-1433
กำลังโหลดความคิดเห็น