แก้วกลางดง ตอนที่ 3
เช้ามืดของวันใหม่...ทรงเผ่ากับฟ้าลั่น นอนหลับอยู่ในเต็นท์ ข้าวของถูกเก็บเรียบร้อยเตรียมเคลื่อนย้าย เมียวดีแหวกเต็นท์ค่อยๆ ย่องเข้ามา ข้ามฟ้าลั่นที่นอนขวางอยู่ ไม่รู้สึกตัว เธอค่อยๆ เปิดดูของที่แกะไว้
ทรงเผ่าพลิกตัว เมียวดีมองหน้าย่นจมูกใส่ อย่างหมั่นไส้ แล้วก็นึกออกว่าจะทำอะไรเมื่อมองเชือกที่แกะจากห่อของในมือ
ทรงเผ่าและฟ้าลั่น สะดุ้งตื่น จากเสียงก้อนหิน ที่ลอยมาโดนเต็นท์เต็มๆ ทรงเผ่าร้องขึ้น
“ไอ้ลาย!”
ทั้งสองลุกพรวดขึ้นยืนจะพุ่งออกไป แต่เสียหลัก คะมำไปกันทั้งสองคน
“เฮ้ย!”
ทั้งสองเพิ่งเห็นว่าเท้าตัวเอง ถูกมัดด้วยเชือกไว้คนละข้าง ทรงเผ่าหัวเสียรู้ทันทีว่าฝีมือใคร
“เมียวดี!”
ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ทรงเผ่ายืนอยู่ข้างนอกสำรวจดูว่ามีอะไรผิดปกติ ฟ้าลั่นออกมา ทรงเผ่าหันไปถาม
“มีอะไรหายบ้าง”
“ไม่มีนาย มันคงมาคุ้ยของเท่านั้นเอง สันดานนังกระแตป่า มันอยากรู้อยากเห็นนะนาย เห็นอะไรมันก็ค้นอยากแกะ”
“แบบนี้เหมือนมาสำรวจดูมากกว่าว่าฉันมีอะไรบ้าง ร้ายจริงๆ...แล้วตอนนี้เมียวดีอยู่ไหน”
“โอ๊ย...มันจะอยู่ทำไมล่ะนาย เผ่นไปแล้วนะซิ”
ฟ้าลั่นเดินมาดูรอยเท้า
“นี่ไง รอยตีนมันฟ้าลั่นจำได้ ไปทางป่าโน้น มันคงเข้าป่าไปแล้วล่ะนาย”
“เข้าป่า ก็แสดงว่าเมียวดีออกเดินทางแล้วนะซิ งั้นเราเองก็ช้าอีกไม่ได้แล้ว!”
ทรงเผ่าบอกอย่างร้อนใจ
ฟ้าลั่นเดินนำทรงเผ่า ตามด้วยลูกหาบอีกสองคน หอบสัมภาระ เดินไปตามไหล่เขา
“เราจะขึ้นไปทางป่าบนนาย ไอ้แมวยักษ์มันน่าจะไปทางนั้น”
ตะวันเริ่มสูงขึ้น...ทรงเผ่าเดินรั้งท้ายขบวน ทิ้งระยะจากฟ้าลั่นและลูกหาบพอควร ฟ้าลั่นหยุดดูรอยเท้าเป็นรอยเท้าเล็กๆของผู้หญิง ทรงเผ่ารีบเดินมาสบทบ
“นังเมียวมันก็ไปทางนี้เหมือนกัน” ฟ้าลั่นบอก
“ดูเหมือน เมียวดีจะนำหน้าเราอยู่นะ งั้น เราคงมาถูกทางแล้ว รีบไปเถอะ เร่งฝีเท้าหน่อย เราคงตามทัน ฉันไม่อยากกราบเด็ก”
“โอ๊ย...งั้นแย่แน่นาย นังเมียวนะมันเคยยอมใครเสียที่ไหน” ฟ้าลั่นถอนหายใจ “แต่เมื่อนายเป็นนายฟ้าลั่น ถ้านายแพ้ ฟ้าลั่นก็เสียงหน้าแย่”
ทันใดนั้นเสียงปืนดังขึ้น
“ปัง!”
ทรงเผ่ากับฟ้าลั่นมองหน้า กันยังไม่ทันพูดอะไร ก็มีอีกเสียงปืนดังมาอีก
“ปัง ! ปัง !”
คราวนี้ทรงเผ่ากับฟ้าลั่น วิ่งออกไปทันที
ฟ้าลั่น กับทรงเผ่า และลูกหาบวิ่งเข้ามา เจอชายคนหนึ่งนอนเจ็บอยู่โดนเสือตะปบเลือดท่วม ฟ้าลั่นตกใจ
“ไอ้แมวยักษ์ใช่มั้ย มันไปทางไหน”
คนเจ็บชี้มือไป ฟ้าลั่นรีบวิ่งไปดูเห็นหลังเมียวดีวิ่งอยู่ไกลๆ ทรงเผ่ารีบเข้าไปดูคนเจ็บ
“นาย รีบไปเถอะ ฟ้าลั่นเห็นหลังอีเมียวตามไปทางโน้นแล้ว ขืนช้าอีเมียวมันซัดไอ้แมวยักษ์ได้ก่อนแน่”
“แต่ เราจะทิ้งคนเจ็บไว้แบบนี้เหรอ” ทรงเผ่าบอกทันที
ค่ำนั้น...กลุ่มของทรงเผ่ากางเต้นท์พักกันที่กลางป่า ฟ้าลั่นส่งห่อข้าวใบตองให้ทรงเผ่าที่นั่งอยู่หน้าเต็นท์ ลูกหาบคนอื่นย่างไก่ป่าอยู่อีกมุม
“นี่ถ้านายไม่เสียเวลาทำแผล เราคงไปได้อีกไกล ไม่ต้องแวะพักแถวนี้”
“นายจะให้ฉันทิ้งคนเจ็บได้ยังไง ถ้าไม่เพราะฉัน ชาวบ้านคนนั้นคงไม่ต้องบาดเจ็บ หรือต้องตายอย่าง...ตาจั่น”
“โอ๊ยนาย จะให้พูดกี่ที เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเสมอแหละนาย สำหรับคนอยู่ป่า ถ้ามันโดนไอ้แมวยักษ์ตะปบลาก แล้วยังรอดมาได้ มันก็ไม่ตายหรอกนาย แผลแค่นั้น พอกไพลใส่เกลือ เดี๋ยวก็หาย”
“ถ้าไม่หายล่ะ”
“ไม่หายก็ตายซินาย ไม่ยากอะไร แต่พวกเรานี่ซิ ถ้าจะให้ตามอีเมียวทัน ก็คงต้องวิ่งกันแล้ว มันไวยังกับอะไรดี”
ทรงเผ่าถอนหายใจ
“ฉันยังไม่อยากเชื่อ เด็กแค่นั้นจะล่าเสือในป่าคนเดียวได้ยังไง”
“โอ๊ย นายไม่ต้องห่วงหรอกนาย อีกระแตมันฉลาดจะตาย เผลอๆมันอาจจะวนเวียนอยู่ไม่ไกลเราหรอก”
“แต่ยังไงเมียวดีก็เป็นผู้หญิงนะ”
“จะผู้หญิงหรือชาย ถ้าอยู่ป่ามันก็ต้องรู้จักเอาตัวรอดกันทั้งนั้นแหละนาย”
ทรงเผ่าอึ้งกับความจริงที่ฟ้าลั่นพูด
“กินข้าว แล้วรีบนอนดีกว่า ยามสุดท้ายใกล้รุ่งเป็นเวรนายนะ”
“ได้”
ทรงเผ่าพยักหน้ารับ ขณะเดียวกัน เมียวดีกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนกิ่งต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ เหลือบมองข้างล่างถือตัวว่าแน่กว่า โดยที่พวกทรงเผ่าไม่รู้ตัว
ทรงเผ่าออกมาจากเต็นท์ เดินมาหาดำที่นั่งเฝ้ายามอยู่ที่กองไฟ
“เดี๋ยวฉันเฝ้าต่อเอง ถึงเวรฉันแล้ว”
“งั้นไปนอนแล้วนะนาย”
ดำเดินเข้าไป ทรงเผ่ากอดปืนนั่งเฝ้าอยู่ข้างกองไฟ เขี่ยไฟให้แรงขึ้น แล้วก็ต้องตกใจ เพราะได้ยินเสียงแกรกกรากเสียงเหมือนกิ่งไม้หัก พุ่มไม้ไหวๆ อยู่ด้านหลังไกลๆ ทรงเผ่าหันควับกระชับปืนเล็งแบบเตรียมพร้อม ไปทางพุ่มไม้ที่เห็นอยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เราคงคิดมากไปเอง”
ทรงเผ่าหันกลับไปเขี่ยไฟต่อ ที่พุ่มไม้ที่มืดด้านหลัง เห็นตาเสือวาวขึ้นมา แว่บหนึ่งก่อนจะมืดสนิทเหมือนเดิม
เช้าวันใหม่...ฟ้าลั่นตรวจดูรอยเท้าเสือ ที่ปรากฏอยู่บนดินอ่อนๆ
“ตะแรกมันคงตรงเข้ามา แล้วหยุดหมอบดูอยู่นานเหมือนกัน ถึงออกไป” ฟ้าลั่นออกความเห็น
“นี่นายจะบอกฉันว่าเสียงที่ฉันได้ยินตอนฟ้าสาง คือเสียงไอ้ลาย แล้วมันมาซุ่มดูฉันงั้นเหรอ”
“รอยมันบอกแบบนั้นนะนาย ไอ้ตัวที่นายยิงเสียด้วย มันรู้ว่านายตามมันมา มันคงมาเฝ้าดูว่านายทำไงกับมัน”
“แล้วทำไม มันถึงไม่เข้ามา”
“ใครจะไปรู้ใจมันละนาย...แต่ก็ดี อย่างน้อย เราก็ไม่ต้องตามรอยมันให้เสียเวลา” ฟ้าลั่นบอกด้วน้ำเสียงจริงจัง
ทรงเผ่ากับฟ้าลั่นเดินมากับลูกหาบ ทรงเผ่าเหงื่อซึม เช็ดเหงื่อเป็นระยะ
“ดูเหมือนมันจะเข้าไปในป่าลึกเรื่อย ๆนะ”
“ใช่นาย ดูซิ เริ่มมีรอยสัตว์อื่นเยอะแล้ว ฟ้าลั่นว่า นายกลับดีกว่า เราเข้ามาลึกแบบนี้กว่าจะหามันเจอ คงอีกหลายมื้อแน่ เผลอๆเป็นเดือน”
“แล้วถ้าเมียวดีหาเจอล่ะ”
“โอ๊ย ถ้ามันเตลิดเข้าป่าบนแล้ว มันไม่ได้หากันง่ายๆ หรอกนาย แต่ถ้ามันเจอ ก็ช่างหัวมันเถอะนาย”
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ฉันพูดไปแล้วต้องรักษาคำพูด”
“เป็นฟ้าลั่น กลับไปนอนตีพุงดีกว่า เรื่องอะไร้ ต้องมาลำบาก...เฮ้ย!”
ฟ้าลั่นตกใจเมื่อมีอะไรบ้างอย่างกระโดดออกมาขวางหน้า ทุกคน รีบหลบหมอบกับพื้นแต่พอเงยดูก็เห็นว่าเป็นเมียวดี ฟ้าลั่นรีบลุกขึ้น ไม่ให้เสียฟอร์ม
“อีเมียว! อีบ้าโดดเข้ามาได้ เดี๋ยวพ่อลั่นปืนใส่เลย”
“ฝีมืออย่างเอ็งจ้างก็ไม่ถูก มือตีนช้าอย่างกะเต่า หูก็หนัก ขนาดข้านอนอยู่บนหัวให้เอ็งเฝ้ายามให้ทุกคืนเอ็งยังไม่รู้เลย”
ฟ้าลั่นเสียหน้าที่เพิ่งรู้ ทรงเผ่าได้แต่ส่ายหน้า
“เชอะ แล้วไง ในที่สุดเอ็งก็ไปคนเดียวไม่รอดเหมือนกันล่ะวะ ถึงได้วนกลับมา” ฟ้าลั่นเยาะ
“อย่าเสือก ถ้าข้าไม่มาเอ็งนั้นแหละจะไม่รอด”
เมียวดีหันมาทางทรงเผ่าหน้าตาจริงจัง จนเขารู้ว่าต้องมีอะไร
“นาย...นายจะไปทางริมห้วยใช่มั้ย”
“มีอะไร”
เมียวดีขี้เกียจพูด ดึงมือทรงเผ่าอย่างแรงให้ตามมา ฟ้าลั่นรีบตามไปด้วย
ทรงเผ่า เมียวดี ฟ้าลั่น ค่อย ๆ คลานเข้าไปหมอบดูอยู่ริมตลิ่งที่สูงและห่างพอควร สายตามองไป เห็น คนร้าย 7-8 คน พร้อมปืนครบมืออยู่ริมน้ำ มีส่วนหนึ่งคอยเฝ้ายาม
“มันผลัดกัน เข้ายาม กะละ 3 คนเฝ้าอยู่ตรงนั้น นั่นแล้วก็นั้น มันระวังตัวกันมากเลยนาย”
ทรงเผ่ามองอย่างสังเกต
“อาวุธครบมือ แต่แต่งตัวไม่เหมือนเจ้าหน้าที่เลย”
“หรือเราจะเข้าไปถามดี ว่ามันทำอะไร” ฟ้าลั่นออกความเห็น
“ไอ้หมาลั่น เอ็งโง่จริง หรือแกล้งโง่วะ ไปเลยไป ถ้าอยากจะเข้าไปถามมัน เอ็งก็ไปคนเดียวเลย”
“แหม...อีเมียว” ฟ้าลั่นแก้เก้อ “ข้าก็แค่อยากเสนอความคิดให้มีหลายๆทางเท่านั้น”
ทรงเผ่าตัดบท
“เอาล่ะ พอแล้วทั้งสองคน ตกลงเราจะเฝ้าดูพวกมันอยู่ตรงนี้ก่อน”
เมียวดีเห็นคนร้าย อีก 2 คนขนลังเข้ามา พวกที่เหลือมาช่วยก็กระซิบบอก
“นาย มีคนมาเพิ่ม”
“เหมือนมันมารอพวกที่มาใหม่มากกว่า”
“มันขนอะไรมาก็ไม่รู้นาย เหมือนสำคัญมากเสียด้วย” เมียวดีถามอย่างสงสัย
ทรงเผ่าคิดๆ
“ใช่...ไม่งั้น มันคงไม่เอาคนมา 7-8 คน เพื่อรับลังใบเดียวหรอก ฉันชักอยากรู้เสียแล้วซิ ว่าของในนั้นมันคืออะไร”
คนร้ายทั้งหมด เก็บของ เดินทางออกไป เมียวดีหันมาถาม
“มันออกเดินทางแล้วนาย เอาไงดี”
“ก็ตามซิ”
เมียวดี ทรงเผ่า ฟ้าลั่น ค่อย ๆ ลุกขึ้น ตามไปห่างๆ พวกเมียวดีอยู่ที่สูงเดินขนานไปกับคนร้ายที่เดินเลาะริมน้ำไป คนร้ายคนหนึ่งหันมามองรอบ ๆ พวกเมียวดีรีบก้มหลบอยู่พัก พอเงยหน้ามาปรากฏว่าคนร้ายหายไปแล้ว เมียวดีมองลงไปด้านล่าง
“ตัดลัดลงไปทางนี้เถอะนาย ใกล้ดี”
ทรงเผ่าไม่เห็นด้วย
“แต่ทางมันชันแล้วสูงมากนะ”
เมียวดีชะเง้อมองอีกที
“อืม ใช่”
ขาดคำเธอก็เกาะหินปีนลงไปอย่างรวดเร็ว ทรงเผ่าห้ามไม่ทันหันไปมองหน้าฟ้าลั่น
“มันถึงชื่อนังกระแตไงนาย ไวนัก”
ทรงเผ่า ยังละล้าละลังไม่ทันอะไรก็ได้ยินเสียงเมียวดีร้อง
“โอ๊ยยยย”
ทรงเผ่าตกใจรีบตะโกนเรียก
“เมียวดี!”
เงียบไม่มีเสียงตอบรับ มองลงไปก็ไม่เห็น
“เดี๋ยวฟ้าลั่นลงไปดูเองนาย”
ฟ้าลั่นรีบไต่ตามลงไป แล้วก็เงียบอีกคน ทรงเผ่ารีบตะโกนเรียก
“เมียวดี !ฟ้าลั่น”
เงียบ ! ไม่มีเสียงตอบเหมือนเดิม ทรงเผ่าจึงตัดสินใจจับก้อนหินไต่ตามลงไป
แล้วก็เสียหลัก ไหลไถลลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้นจั้มเบ้ากับพื้น เมียวดีกับฟ้าลั่นนั่งรอ อย่างสบายใจ
“จริงด้วย อีเมียว แค่อึดใจนายก็ตามลงมาอย่างที่เอ็งว่าจริงๆ”
“นี่เธอ ทั้งสองคนไม่ได้เป็นอะไรเหรอ”
เมียวดียิ้มกวน
“จะให้เป็นอะไรล่ะนาย ไม่ได้ตกลงมาซักหน่อย”
ทรงเผ่าหน้าเหวอ
“อ้าว แล้วร้องโอ๊ยทำไม”
“ถ้าไม่ร้อง นายจะรีบตามลงมาเหรอ แล้วเราไม่ได้ร้อง โอ๊ยเฉย ๆ เราร้องว่า...โอ๊ย !” เมียวดีลากเสียงยาวอย่างเจ็บปวด “ถึงพื้นแล้ว...ต่างหาก จริงมั้ยไอ้หมาลั่น”
ทั้งเมียวดี กับฟ้าลั่นหัวเราะเสียงดังแบบไม่เกรงใจ ทรงเผ่าได้โมโห ทำอะไรไม่ได้ ที่เสียรู้ หันมามองหน้า ฟ้าลั่นถึงได้หยุดหัวเราะ แต่เมียวดีไม่สน ลุกขึ้นเดิน
“เห็นมั้ยนาย เดินทางนี้แบ๊ปเดียว ถ้าเดินอ้อมอีกตั้งไกล”
ทรงเผ่าไม่ตอบเพราะยังไม่หายโมโห ได้แต่พยุงตัวเดินตามไป
ทรงเผ่าตรงเข้ามาริมน้ำ กวักน้ำขึ้นจะลูบหน้าแต่เมียวดีมาจับมือไว้
“อย่านาย น้ำยังเย็นจัดแบบนี้ อย่าเพิ่งกิน หรือลูบหน้านะ เดี๋ยวไข้ถามหาแน่”
ทรงเผ่าดึงมือออก กวักน้ำลูบหน้าทันที
“เธอจะแกล้งฉันอีกใช่มั้ย ฉันไม่เชื่อหรอก”
เมียวดีชักโมโห
“แล้วนายล่ะ ชอบรั้นแบบนี้เหมือนกันซินะ ตอนที่พ่อเสียท่าไอ้แมวยักษ์นะ”
ทรงเผ่าโกรธ
“เมียวดี ฉันว่าเราควรแยกกันเหมือนเดิมดีกว่านะ”
“เราก็ไม่อยากมาเสียเวลากับเรื่องนี้เหมือนกัน ที่เราออกป่าก็ เพื่อตามหาไอ้แมวยักษ์ไม่ใช่มาตามคน”
ทั้งทรงเผ่าและเมียวดีสะบัดหน้าคนละทาง ฟ้าลั่นที่ออกไปหาร่องรอยเข้ามา
“ได้เรื่องแล้ว นาย...อีเมียว”
ทรงเผ่ากับเมียวดีกลับมาสนใจพร้อมกัน
“อะไร”
เมียวดีพลิกก้อนหินขึ้นมาเห็นก้อนหินมีรอยดำจากไฟ
“มันกลบร่องรอยไว้อย่างดี ดูซิ แม้แต่หินวางหุงข้าว มันยังพลิกไว้ แสดงว่าพวกมันชำนาญป่ามาก”
“จริงด้วย ถ้าไม่สังเกตก็ไม่รู้เลยจริงๆ...นั้นนายจะทำอะไรฟ้าลั่น”
ทรงเผ่าหันไปมองฟ้าลั่นที่กำลังผลักก้อนหิน ที่แอบอยู่ข้างพงหญ้า ออกไป
“มันฝังอะไรไว้ตรงนี้ก็ไม่รู้นาย”
เมียวดีกับทรงเผ่า เข้ามาดู เห็นรอยดินเพิ่งขุดแล้วเอาหินทับ เมียวดีมองอย่างสังเกต
“รอยเหมือนเพิ่งขุด”
“อาจจะเป็นสมบัติก็ได้นะ นาย ฟ้าลั่นเคยดูในหนังขายยา”
“พูดมากอยู่นั้นแหละ ไอ้หมาลั่น ขุดไปด้วยซิ อย่าหยุด”
ฟ้าลั่นโกยหินออกมา เห็นผมดำๆ
“เจอแล้ว เจอสมบัติแล้วอีเมียว นาย...”
ฟ้าลั่นดึงออกมา ปรากฏว่ากลับเป็นหัวคนติดมือมา ฟ้าลั่นตกใจโยนทิ้งไปไกล
“เฮ้ย!”
เมียวดีเองก็อดตกใจผงะ ทรงเผ่าเองก็ตกใจเช่นกัน
“แบบนี้คงพิสูจน์ได้แล้ว ไม่ว่าพวกนั้นมันจะเป็นใคร แต่คงไม่ใช่คนดีแน่”
ลูกหาบที่รออยู่เตนท์ ถือปืนระวังเต็มที่ ทันใดนั้นพุ่มไม้ก็ไหว ดำเล็งปืนแล้วก็ตัดสินใจเหนี่ยวไกยิงทันที ฟ้าลั่นโวยออกมาจากพุ่มไม้
“เฮ้ย...ไอ้ดำ ไอ้บ้าเอ๋ย เฉียดหูข้าไปนิดเดียว ยิงมาได้”
ฟ้าลั่นยังเสียวหูไม่หาย ดำมองขำๆ
“จะไปรู้เหรอวะมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง อยู่ในป่าให้ยิงก่อนถามอยู่แล้ว”
“ก็ข้ารีบนี่หว่า ไอ้ดำ ไอ้ปัน รีบเก็บข้าวของกัน เราต้องกลับลงไปในเมืองแล้ว”
ดำงงๆ
“เดี๋ยวๆ อะไรของเอ็งว่ะ แล้วนาย กับอีเมียวอยู่ไหน ทำไมเอ็งถึงมาคนเดียว”
ทุกคนตั้งใจฟังสิ่งที่ฟ้าลั่นจะบอก
เมียวดี กับทรงเผ่าเดินบุกป่ามา เธอแหวกดูกองหินสองสามก้อนที่วางแอบข้างทาง เหมือนเป็นสัญลักษณ์
“พวกมันทิ้งเครื่องหมายไว้ เป็นระยะเหมือนจะให้พวกมันกันเองเห็นด้วยนาย แบบนี้เราคงตามมันไม่อยาก”
“คราวนี้ก็เหลือแต่ฟ้าลั่นแล้วล่ะ จะไปส่งข่าวได้สำเร็จหรือเปล่า”
“ถ้านายไม่มั่นใจ แล้วนายใช้มันไปทำไมล่ะ”
“ฉันไม่อยากเถียงกับเธอหรอกนะ เมียวดี แต่ขอบอกว่านี่มันไม่ใช่เรื่องสนุก”
“เราก็พูดเรื่องจริงนี่นาย ไม่ได้ตลกตรงไหน” เมียวดีเดินมาตบไหล่ “ถ้าเราสั่ง มันต้องทำจนได้แหละ เหลือแต่จดหมายที่นายให้มันถือไป เขียนให้เข้าใจหรือเปล่า”
ทรงเผ่าชักโมโห
“เธอคิดว่า ฉันเขียนหนังสือไม่รู้เรื่องเหรอ ฉันนะเขียนได้ แล้วก็อ่านออก ทั้งภาษาไทยและอังกฤษนะ”
เมียวดียักไหล่ กวนๆ
“ก็ดีแล้วนี่นาย แล้วนายจะโมโหทำไม”
พูดจบเมียวดี ก็เดินลอยหน้าลอยตานำไป ทรงเผ่าแทบอยากบีบคอเมียวดีกับความกวน แต่เขาทำได้แค่เดินตาม
“เมียวดี เดี๋ยว!”
ยังไม่ทันขาดคำ เมียวดีกลับหันมาคว้าคอ โถมเข้าหาทรงเผ่าเต็มที่ ทรงเผ่าเสียหลักล้มลงไปกลิ้งลงไปเมียวดีก็เสียหลักกลิ้งลงไปเหมือนกันแต่เธอทับอยู่ข้างบน
“ปัง ! ปัง ! ปัง!”
เสียงปืนดังสลับกับเสียงคำรามของเสือ เมียวดีร้องสั่ง
“อย่าเงยหัวนะนาย!”
“เกิดอะไรขึ้น”
“สงสัย พวกมันคงเจอไอ้แมวยักษ์เข้าให้แล้ว”
ทรงเผ่าเองก็กอดเมียวดีไว้แน่นสักพักเมื่อเสียงทุกอย่างลง
“ปล่อยได้แล้วนาย เราหายใจไม่ออก”
ทรงเผ่าเพิ่งรู้ว่าตัวเองกอดเมียวดีไว้แน่น กลายเป็นเขินเอง
“เออ คือ ฉัน...เอ่อ...”
ทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่พักแต่เมียวดีไม่ได้เขิน ทรงเผ่าเลยหาเรื่องอย่างอื่น
“นี่เธอเอาอะไรทาตัวทาแขนเนี่ย”
เมียวดีลุกขึ้น
“อ้อ ว่าน...ทากันยุง กันทาก กันแมลง”
“ได้ผลเหรอ”
“ก็ดูเอาซิ”
เมียวดีถลกผ้าสูงขึ้นมาให้ดู ทรงเผ่ารีบห้าม
“ไม่ต้องๆฉันเชื่อแล้ว แล้วก็จำไว้นะ เธอโตแล้ว ผู้หญิงโตๆ เค้าไม่เที่ยวถลกแขนถลกขาให้ใครดูหรอก”
“จะเป็นอะไรไป ถึงเห็นมันก็เอาไปไม่ได้”
ทรงเผ่าได้แต่ถอนหายใจ
“ผู้หญิงเมืองกรุงเค้าปิดแขน ปิดขา กันมิดชิดไม่ให้ใครเห็นเลยเหรอนาย”
“เอ่อ ก็...” ทรงเผ่าพูดไม่เต็มปาก
เมียวดียิ้มอย่างชนะ
“เขาก็เปิดเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ”
“ฉันขี้เกียจเถียงกับเธอแล้ว ไปต่อเถอะ”
ทรงเผ่ายันตัวลุกขึ้น แต่แล้วก็เซนิดหน่อย แต่ก็พยายามกลั้นใจเดินไปอีกหน่อย ก็เซอีก
“นาย!”
เมียวดีรีบเข้ามาประคองทรงเผ่าทันที
อ่านต่อหน้า 2
แก้วกลางดง ตอนที่ 3 (ต่อ)
เมียวดีประคองทรงเผ่าเข้ามาในถ้ำ
“คืนนี้เรานอนที่นี่ก็แล้วกันนะนาย นายเป็นไงบ้าง”
“ฉันคงเหนื่อยไปหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”
ทรงเผ่าแข็งใจหยิบกระติกน้ำออกมาดื่ม แต่พอกินไปได้หน่อย ก็อาเจียน ออกมา
“ไข้ป่ากินเสียแล้วละนาย”
เมียวดีถือวิสาสะ จับหน้าผากดู
“ตัวร้อนจี๋เลย”
ทรงเผ่าเริ่มหนาว
“ฉันมียา อยู่ในเป้ด้านหลัง”
“ไข้ป่า ยาฝรั่งเอาไม่อยู่หรอกนาย สู้ยาต้มไม่ได้แน่นอนกว่าเยอะ พ่อสอนเราไว้ให้หา...”
เมียวดียังพูดไม่จบ ทรงเผ่าหงุดหงิดตวาดกลับเสียก่อน
“หยุดอวดดีได้แล้ว เมียวดี ฉันจะกินยาของฉัน ถ้าเธอไม่หยิบให้ก็ไม่เป็นไร จะไปไหนก็ไป ฉันอยากนอนพัก”
เมียวดีเลยเงียบไม่ตอบ ได้แต่ลุกขึ้นเดินไป ทรงเผ่ารู้สึกผิดจะเรียก แต่ก็ตัดใจไม่เรียกหันไปหายาในเป้มากิน แล้วล้มตัวลง ขดตัวนอนหนาวสั่นไข้ขึ้น
ค่ำนั้น...ทนงอยู่หน้าห้องเคาะประตูเรียก
“คุณ...เปิดประตูหน่อยเถอะนะ นี่จะให้ผมนอนนอกห้องจริงๆเหรอ”
บัวคลี่ตะโกนออกมา
“ใช่ค่ะ ดิฉันไม่อยากอยู่ร่วมห้องกับคนใจร้าย”
“โธ่ แต่มันหลายคืนแล้วนะ ผมนะเจ็บหลังไปหมดแล้วโอ๊ยๆ ดูซิเส้นยึดแล้ว โอ๊ยๆ”
บัวคลี่เปิดประตูออกมา ถือหมอนออกมาด้วย
“ก็ได้ งั้นดิฉันจะนอนเอง เชิญคุณพี่นอนบนเตียงคนเดียวเถอะ”
บัวคลี่ผลักทนงให้เข้าไปในห้อง แต่ทนงยั้งไว้อ้อนเต็มที่
“ไม่เอาน่า อย่าใจร้ายกับผมแบบนี้เลยนะ นอนคนเดียวแล้วผมจะกอดใครล่ะ คุณก็รู้นี่ ถ้าผมไม่ได้นอนกอดคุณ ผมนอนไม่หลับ นะ ๆ ๆ”
ทนงจูงมือบัวคลี่จะให้เข้าห้องมาด้วยกัน
“ก็เรื่องของคุณพี่ซิคะ ดิฉันไม่สนใจแล้ว แต่คุณเผ่านี่ซิต้องไปนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ในป่า น่าเป็นห่วงกว่า”
“เดี๋ยวนะจ๊ะ สำนวนแบบนี้นะ เขาใช้กับพวกทหารที่ไปรบนะ”
“แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะคะ คุณพี่ค่ะ ดิฉันรู้สึกใจคอไม่ดีมาหลายวันแล้วนะคะ เป็นห่วงคุณเผ่ายังไงก็ไม่รู้”
“บอกแล้วไง ว่าเจ้าเผ่ามันไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพอมันล่าเสือตัวนั้นได้ มันก็กลับมาเอง ลูกผู้ชายเมื่อพูดแล้วก็ต้องรักษาคำพูดนะคุณ”
“แต่ดิฉันเป็นผู้หญิง ไม่เกี่ยวอะไรด้วย ไม่รู้ล่ะค่ะ คุณพี่ ต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้น ก็นอนนอกห้องไปก็แล้วกัน!”
บัวคลี่ยัดหมอนใส่มือ แล้วปิดประตูใส่หน้า ทนงได้แต่ถอนหายใจ
วันใหม่...ทรงเผ่าเดินออกไปที่ปากถ้ำ เห็นเมียวดีวิ่งผ่านแว่บๆ
“เมียวดี”
ทรงเผ่ารีบเดินตามแต่ไม่ทัน เห็นหลังไว ๆ
“เมียวดี รอฉันด้วย”
ทรงเผ่าไล่ตามด้วยความเหนื่อยและพิษไข้แต่ตามไม่ทัน จนในที่สุดก็สะดุดล้ม...ทรงเผ่านอนหงายหน้ามองต้นไม้ในป่าบรรยากาศดูวังเวง เมียวดีโผล่มาจากข้างต้นไม้...
“ต่อจากนี้ไป นายไปตามทางของนาย เราจะไปตามทางของเรา”
เมียวดีพูดจบก็วิ่งหายไป
“เมียวดีอย่าเพิ่งไป ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจว่าเธอ”
เมียวดีไม่โผล่มาอีก ขณะเดียวกันนั้นเขารู้สึกว่าเหมือนมีใครแอบมองอยู่ก็หันไปมองพร้อมกับได้ยินเสียง เสือคำราม ทันใดนั้นเสือกระโจนเข้ามา ทรงเผ่ายกมือขึ้นบังปิดตาแน่น...ทรงเผ่าสะดุ้งตื่น ค่อย ๆ ลืมตาตื่น เห็นเมียวดีที่คอยเรียกเขาอยู่มีกองไฟจุดไว้ไม่ไกล
“นาย...ตื่นได้แล้ว กินยานาย”
“เมียวดี !...นี่เธอเหรอ ฉันคิดว่าเธอจะ...”
ทรงเผ่าหยุดไม่พูดต่อ เมียวดีมองๆ
“คิดว่าเราทิ้งนายงั้นเหรอ”
ทรงเผ่าเงียบ เพราะจี้ใจดำ
“พ่อบอกเสมอว่า มาด้วยกันก็ต้องไม่ทิ้งกัน”
ทรงเผ่าอึ้งไป
“ตาจั่นก็สอนฉันแบบนี้”
เมียวดีเม้มปากตัดอารมณ์เศร้า แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เราไปเก็บสมุนไพรมา เสียดายได้ไม่ครบ แต่คงพอใช้ได้ รีบกินเถอะนายกำลังร้อนๆ”
เมียวดีประคองทรงเผ่าให้กินยาที่ต้มไว้ในกระบอกไม้ไผ่
“อื้อหือ ไม่ไหว ขมเหลือเกิน”
“อดทนหน่อยนาย กินให้หมด”
“ไม่เอา”
“จะกินหรือไม่กิน”
“ไม่ ฉันจะกินยาฝรั่ง เธอเอายาของฉันไปไหน”
“ทิ้งไปหมดแล้ว”
“นี่เธอทำแบบนี้ได้ยังไง ยายเด็ก...”
ทรงเผ่ายังไม่ทันพูดคำว่าบ้า เมียวดี ก็บีบจมูก ทำให้เขาต้องอ้าปาก เธอรีบกรอกยาให้ดื่ม อั๊ก ๆ ๆๆๆจนหมด
“ก็แค่นี้เอง...เดี๋ยวพอเหงื่อออก ก็สบายตัวแล้ว แต่ไข้ป่า มันมาเป็นพักๆ แรกๆ อาจจะถี่หน่อย แต่เดี๋ยวก็ค่อยๆ ห่างไปเรื่อยๆ”
เมียวดีปล่อยให้เขานอนต่อ ทรงเผ่าค่อยๆ หลับไปในที่สุด
เมียวดีไปเก็บพวกสมุนไพร จากในป่ามาต้มยาในกระบอกไม้ไผ่ ยกออกจากกองไฟที่ก่อไว้ พอร้อน ก็เอามือแตะติ่งหู เมียวดีประคองเขา ป้อนยาให้กิน ทรงเผ่าหลับไม่ได้สติ เมียวดีนั่งยองๆเฝ้ามองทรงเผ่าด้วยความเป็นห่วง
ทรงเผ่าลืมตาตื่น ไข้สร่างค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว
“ค่อยยังชั่วแล้วเหรอนาย”
ทรงเผ่ามองหาที่มาของเสียงแล้วก็ตกใจ เมื่อเห็นว่าเมียวดี นอนเบียดอยู่ข้างหลัง รีบยันตัวขยับออกห่าง
“นายจะไปไหน มันหนาวนะ”
“เธอมานอนตรงนี้ได้ยังไง ฉัน...ฉันเป็นผู้ชายนะ”
“ผู้ชายนั้นแหละดี ตัวโต อุ่นดี...ไม่เป็นไรหรอกน่า เราไม่ทำอะไรนายหรอก”
“ฉันต่างหากที่ต้องพูดประโยคนั้น เมียวดี ไม่ใช่เธอ”
“พูดมากแบบนี้ แสดงว่าสร่างไข้แล้วจริง ๆ…” เมียวดีรำคาญ “นี่นาย คนออกป่าเค้าไม่หันหลังให้ใครหรอก ถ้าไม่ไว้ใจกัน”
คราวนี้ทรงเผ่าเงียบ เข้าใจแล้ว เมียวดีพูดจบก็หลับตาลงนอนหันหลังให้ต่ออย่างสบาย ทรงเผ่าตั้งท่าจะทรุดตัวลงนอนบ้าง แต่เห็นแมลงไต่อยู่ที่ผมเมียวดี เอื้อมมือไปจะหยิบออก เมียวดีลืมตาทันที ถามเสียงเขียว
“จะทำอะไร!”
เมียวดีลุกขึ้นถอยห่างอย่างระวัง
“แมลงอะไรไม่รู้มันไต่ตรงผมเธอ” ทรงเผ่ายิ้มขำ “ไหนว่าไม่กลัวไง”
“ไม่ได้กลัว แต่ระวัง เราทำดี ยังไงเทวดาก็ต้องรักษาอยู่แล้ว”
ทรงเผ่าชักหมั่นไส้เลยแกล้งถาม
“แล้วเธอเคยเห็นเทวดาเหรอ”
“แล้วนายเคยเห็นลมมั้ยล่ะ”
ทรงเผ่าเถียงไม่ออก
“เทวดาก็เหมือนลม มองไม่เห็นแต่เรารู้ว่ามี” เมียวดีพูดเรียบนิ่ง
ทรงเผ่าขำๆ
“งั้นเทวดาองค์ไหนที่คุ้มครองเธอ ก็ขอให้ช่วยคุ้มครองฉันด้วยแล้วกันนะ”
เมียวดีตกใจ
“เฮ้ย...ไม่ได้หรอกนาย เทวดารักษาผู้หญิงกับผู้ชายพร้อมกันไม่ได้”
ทรงเผ่างง
“อ้าว ทำไม นี่งกด้วยเหรอ คนดีนะไม่ขี้งกหรอกนะ”
“ไม่ใช่ ถ้าใช้เทวดาองค์เดียวกัน ก็ต้องเป็นผัวเมียกันนะซิ เรายังไม่อยากเป็นเมียนาย”
ทรงเผ่าหน้าเหวอเพิ่งเข้าใจ เมียวดีส่ายหน้าเซ็งกับความไม่รู้ของเขาแล้วลงนอนต่อ ทรงเผ่าอดเผลอขำไม่ได้ แล้วก็ทุรดตัวลงนอนเช่นกัน ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
“ฝันดีนะเมียวดี”
เมียวดีนอนหลับตาเหมือนไม่ได้ยิน แต่แอบแบะปากนิดๆ
วันใหม่...ฟ้าลั่นมาขอร้องแจ้ง พ่อของเขา ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แจ้งถีบฟ้าลั่น กระเด็นตกบันไดไป
“โอ๊ย...ถีบฉันทำไมนะน้า เอวแทบหัก”
“ข้าชิงถีบเอ็งเสียก่อนนะซิ ก่อนที่เอ็งจะโดนถีบกลับมาซิวะ หนอยจะให้ข้าไปบอกทางการ ได้ติดคุกกันหัวโตแน่”
“แต่ข้าพูดจริงนะ ไม่ได้โกหก”
เหินฟ้ามองอย่างไม่เชื่อ
“งั้นเอ็ง ก็เอาหลังฐานมาให้พ่อข้าซิวะ ข้าว่าเอ็งกลัวไอ้ลายแล้วหนีกลับมาทิ้งนายไว้ในป่ามากกว่า แล้วก็มากุเรื่องคนร้ายพวกนั้น”
ฟ้าลั่นโมโห
“ไอ้เหินฟ้า เอ็งหมิ่นไอ้ฟ้าลั่นมากไปหน่อยแล้วนะโว้ย เรื่องไอ้ลายข้าไม่เคยกลัว หลับตายิงยังถูกเลย แต่นี่นายเขียนจดหมาย ให้ข้ามาจริง ๆไม่เชื่อ ถามไอ้ดำ ไอ้ปันดูก็ได้”
ดำกับปันพยักหน้ารับ เหินฟ้าแบมือ
“แล้วไหนล่ะ จดหมายที่เอ็งว่า เอามาซิ จะได้ให้พ่อข้าเอาไปยืนยัน”
ฟ้าลั่นส่ายหน้า
“ไม่มี ข้าทำหายไปแล้ว ไม่รู้ไปตกตอนไหน ข้าถึงอยากให้น้าแจ้งไปเป็นเพื่อนข้า ลำพังข้าคนเดียว ทางการต้องไม่เชื่อแน่ๆ”
เหินฟ้าหัวเราะ
“ฮะๆๆ ถ้าข้ากับพ่อเชื่อเอ็ง คงได้ออกลูกเป็นลิง เอ็งอ่านหนังสือออกตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไอ้ฟ้าลั่น อย่ามาโม้ให้เหม็นขี้ฟันเลย”
“เออ ข้าอ่านไม่ออกหรอก แต่มีคนอ่านให้ข้าฟังโว้ย”
ฟ้าลั่นเล่าเรื่องในอดีตก่อนหน้านี้ ตอนนั้นทรงเผ่ากำลังตรวจดูข้าวของในเป้ มัดให้เรียบร้อย เมียวดีเหลียวมองดูเห็นทรงเผ่าไม่ได้สนใจจึงเดินมาหาฟ้าลั่น
“ไอ้หมาลั่น จดหมายที่นายเขียนอยู่ไหน เอามา”
“เอ็งจะเอาไปทำไมอีเมียว หรือว่าเอ็งจะแปลงสาร”
“ข้าบอกให้เอามา ก็เอามาเถอะน่า”
ฟ้าลั่นยื่นให้ เมียวดีแกะออกมา
“ข้าจะอ่านให้เอ็งฟัง”
“จดหมายก็มีอยู่จะอ่านทำไม ยาวพรืด ข้าไม่อยากฟัง”
เมียวดีดีดหูฟ้าลั่นทันที
“โอ๊ย...เจ็บนะอีเมียว”
“เออ ก็ดีดให้เจ็บไง ไอ้หมาลั่น จดหมายนี่สำคัญมาก เกิดเอ็งทำหายไป อย่างน้อยเอ็งจะได้รู้ข้อความไปแจ้งทางการถูก ข้าสั่งให้ฟังก็ต้องฟังเข้าใจมั้ย”
ฟ้าลั่นจำต้องพยักหน้า เมียวดีคลี่จดหมายออกมาอ่าน
ฟ้าลั่นยืนยัน...
“อีเมียวมันอ่านหนังสือออกทั้งหนังสือไทย ทั้งพม่า เอ็งก็รู้”
เหินฟ้าอึ้งไปนิดหนึ่ง
“น้องเมียวเหรอ มันก็จริงนะพ่อ ไอ้ฟ้าลั่นมันไม่กล้าโกหกแน่ถ้าเป็นน้องเมียวสั่ง”
“แล้วข้าก็จำได้ด้วย ว่านายเขียนว่ายังไง”
ทันใดนั้นเสียงทนงก็ดังขึ้น
“จริงเหรอ ไหนว่ามาซิ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันเจ้าเผ่ามันสั่งให้ทำอะไร”
ทนงเดินเข้ามาในหมู่บ้าน แจ้งตกใจ
“นาย!”
ในถ้ำ...เมียวดีส่งนกย่างให้ทรงเผ่า
“กินเยอะ ๆ นะนายจะได้มีกำลัง นายเพิ่งจะฟื้นไข้”
“เรารีบไปต่อดีมั้ย ฉันแข็งแรงดีแล้ว”
“อย่าเพิ่งทำเก่งนักเลย แค่ยืนได้ก็ดีแล้ว”
“ไม่ได้ทำเก่ง แต่ฉันเป็นห่วงกลัวพวกมันจะไหวตัวทัน ว่าเราตามมา...ไม่รู้ฟ้าลั่นไปส่งข่าวถึงไหนแล้ว ทำไมถึงไม่มีใครตามเรามาสักที”
“มาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละนาย ถ้ามันไม่ได้เรื่องนัก อย่างมากเราจะไปเล่นงานมันเองเมื่อกลับไป”
“เธอหมายถึงที่หมู่บ้านนะเหรอ”
“ใช่...นายรู้มั้ย ไอ้แมวยักษ์ที่เจอกับพวกมันเป็นตัวเดียวกับที่เราหาอยู่ เราจำรอยตีนมันได้”
“นี่เธอย้อนกลับไปดูงั้นเหรอ”
“ไม่งั้นจะรู้เหรอนาย พอถึงหมู่บ้านเราจะจัดการไอ้หมาลั่นเอง หลังจากที่นายกราบเราแล้ว”
“เมียวดีเธอโกรธฉันมากใช่มั้ย”
เมียวดีเงียบไปนิด
“ถ้าเป็นนาย นายจะโกรธคนที่ทำให้พ่อนายตายมั้ย”
สองคนมองหน้ากัน ทรงเผ่านิ่งไป แล้วตัดสินใจยื่นปืนให้
“งั้นก็ยิงฉันได้เลย ฉันอโหสิให้เธอ”
เมียวดีมองปืนในมือ มองหน้าทรงเผ่า
“ถ้าพ่อบอกให้เราฆ่านาย เราจะทำทันที แต่พ่อสั่งให้เราตามล่าไอ้แมวยักษ์ นั้นคือหน้าที่เรา”
เมียวดียัดปืนใส่มือเขา
“น้ำใกล้หมดแล้ว เราจะไปหาน้ำ”
เมียวดีลุกขึ้นเดินออกไปทันที ทิ้งทรงเผ่าไว้กลับความรู้สึกผิด
เมียวดีเทน้ำจากใบไม้ที่ค้างอยู่ใส่กระบอกเสร็จปิดกระบอก แล้วเดินออกไปได้สักนิด ก็ชะงัก รู้สึกได้ว่ามีคนตามหลัง เธอรีบเดินต่อ ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ชายคนหนึ่งเดินตามมาห่าง ๆ เมียวดีเดินผ่านต้นไม้ใหญ่แล้วก็หลบ ชายคนนั้นมองหา เมียวดีทิ้งตัวมาจากต้นไม้สูงที่แอบอยู่ ใช้มีดสั้นขว้างไปปักด้านหลังของชายคนนั้นโดยไม่ทันตั้งตัว เธอยิ้มอย่างพอใจที่ชายคนนั้นตาย แล้วก็คิดขึ้นได้นึกเป็นห่วงทรงเผ่าทันที
“นาย!”
ในถ้ำ...ทรงเผ่าถูก ชายคนหนึ่งเอาปืนล็อคคออยู่ หายใจแทบไม่ออก พยายามดันปืนออก เขารวบรวมแรงครั้งสุดท้ายถองเข้าที่ท้อง ชายคนนั้นยอมปล่อยมือ
ทรงเผ่ากับชายคนนั้นเข้าต่อสู้กัน เขาพยายามสู้แต่ก็สู้ไม่ไหว เพราะเพิ่งฟื้นไข้ ดังนั้นจึงโดนเตะที่ท้องลงไปนอนกองอยู่กับพื้น ชายคนนั้นหยิบปืนที่กระเด็นไป ขึ้นมาเตรียมยิง ทันใดนั้นเสียงปืนดังขึ้น
“ปัง”
ชายคนนั้น ล้มลงตาย เมียวดียิงมาจากข้างหลัง ทรงเผ่าโล่งอกที่รอดตายมาได้
“นาย...เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ทรงเผ่าส่ายหน้า
“เธอช่วยชีวิตฉัน เมียวดี”
เมียวดีกับทรงเผ่าช่วยกันลากศพ ผลักทิ้งลงเหว
“ทำแบบนี้ จะได้ไม่ทิ้งร่องรอย ถ้าไม่ค้างบนกิ่งไม้ ก็คงไม่เห็นศพ”
“แต่อีกไม่นานพวกมันต้องรู้แน่ ว่าคนของมันหายไป”
“ใช่...แล้วแถวนี้คงใกล้ที่อยู่ของพวกมันแล้ว ถึงมีพวกมันเต็มไปหมดเราคงต้องรีบหาที่อยู่ใหม่” เมียวดีมองทรงเผ่า “นายไหวมั้ย”
ทรงเผ่าฝืนยิ้ม
“สบายมาก”
“ดี...แต่จำไว้นะ จากนี้ไป นายต้องเดินตามหลังเราตลอด เราไปซ้ายนายก็ต้องซ้าย เราก้มนายต้องก้ม อย่าออกนอกทางเด็ดขาด”
“ทำไม!”
เมียวดีไม่ตอบ เดินนำอย่างรีบเร่งมาทางหนึ่งในป่า ทรงเผ่าเดินตามข้างหลังเริ่มเหนื่อย หยุดหายใจ แล้วก็กัดฟันเดินต่อ กิ่งไม้ลงมาบังตาเขาปัดออกแต่กลับเซออกนอกทางเท้าไปโดนสายเถาวัลย์ที่ขึงไว้ ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนมีอะไรพุ่งออกมาทันที เมียวดีหันมาอย่างตกใจ
“นาย!”
ทรงเผ่ายืนนิ่งหอก ไม้ไผ่ปักอยู่ที่ต้นไม้ด้านหลังของเขาเฉียดคอไปนิดเดียว
“มันวางกับดับไว้เป็นระยะๆ คราวนี้นายคงรู้แล้วว่าทำไมเราถึงให้นายเดินตาม”
เมียวดีบอก สีหน้าเครียดๆ
อ่านต่อตอนที่ 4 หน้า 3 พรุ่งนี้
แก้วกลางดง ตอนที่ 4
ทนงหันหน้าไปทางทิศที่เข้าป่า มองอย่างกังวล แจ้งเดินเข้ามาหา พลางชวน
“ไปกินข้าวเถอะนาย แม่ไอ้เหินฟ้าเตรียมไว้ให้แล้ว”
“ฉันยังไม่หิวเลย” ทนงถอนหายใจ หันมามอง “ถามจริงๆ เราเชื่อฟ้าลั่นได้แค่ไหน”
“ไอ้ฟ้าลั่นมันก็ลูกพรานเหมือนกัน เรื่องแกะรอยมันก็ไม่แพ้ใครหรอก ถ้าอีเมียวทำเครื่องหมายไว้ให้มันจริงอย่างมันบอก มันก็คงเจอ”
ทนงถอนหายใจอีกครั้ง
“ไม่รู้ฉันคิดถูกหรือผิด ที่เชื่อฟ้าลั่น ขอให้การตัดสินใจครั้งนี้ของฉันถูกด้วยเถอะ”
“ก็ต้องรอจนกว่า ไอ้ฟ้าลั่นมันพาเจ้าหน้าที่ไปเจออีเมียวกับนายเผ่าแล้วพากลับมานั้นแหละ เราถึงรู้นาย”
ทนงต้องถอนหายใจอีกรอบ กับคำตอบของแจ้ง
ทรงเผ่าทิ้งตัวข้างซอกหินอย่างหมดแรงไข้เริ่มขึ้น เมียวดีหันมาหา
“ต่อจากนี้ไปเราจะเดินทางกลางคืน แล้วก็พักตอนกลางวันแทน จะได้ไม่เป็นที่สะดุดตาพวกมัน”
“ก็แล้วแต่เธอ ตอนนี้เธอเป็นผู้นำแล้วนี่”
“นายยอมรับแล้วซิ ว่า เราเก่งเท่าพ่อ เก่งกว่าไอ้ฟ้าลั่น เก่งกว่าไอ้เหินฟ้า เก่งกว่าไอ้...”
ทรงเผ่ารีบเบรก
“เอาล่ะๆ พอๆ เป็นอันว่าเธอเก่งกว่าฉัน”
เมียวดียิ้มแป้นอย่างพอใจ
“ดี...งั้น เราให้นายพักตรงนี้ก่อน ดูท่าไข้ขึ้นอีกแล้ว”
“ฉันยังไปไหว”
“ไหนว่าให้เราเป็นคนนำไง เก็บแรงเถอะนาย คืนนี้ เรามีงานใหญ่รออยู่”
เมียวดีบอกด้วยน้ำเสียงเครียดๆ จนทรงเผ่าต้องหยุดฟัง
ค่ำคืนนั้น...พระจันทร์ลอยอยู่เหนือภูเขาสูง เมียวดีกับทรงเผ่ายืนอยู่ที่ข้างล่างตีนหน้าผา มองขึ้นไปเห็นหน้าผาสูงตระหง่าน
“นี่ไม่มีทางอื่นอีกแล้วเหรอ”
“ก็มีอยู่ทางเดียว ที่พวกมันจะไม่เห็น มันถึงไม่กลัวใครขึ้นมาทางนี่ไงนาย”
เมียวดีหมุนเถาวัลย์ทำเป็นเชือกยาว โยนขึ้นไป สองสามครั้ง แต่ก็ไม่สามารถคล้องเกาะกับอะไรได้
“มาให้ฉันลองบ้าง”
“นายเพิ่งฟื้นไข้” เมียวดีแอบดูถูกนิดๆ “จะไหวเหรอ”
ทรงเผ่าเหวี่ยงเถาวัลย์ไปสองครั้งก็เกาะติดกับแง่งหิน หันมามองหน้าเมียวดียักคิ้วให้
“เห็นฝีมือฉันหรือยัง”
เมียวดีหมั่นไส้
“บังเอิญเสียมากกว่า”
ทรงเผ่าอ้าปากจะโวย แต่เมียวดีรีบยกมือห้ามตัดบท
“ไม่ต้องพูดมาก รีบขึ้นไปเถอะ เดี๋ยวก็เช้ากันพอดี”
เมียวดีรีบปีนนำขึ้นไป
เมียวดี ขึ้นมาถึงด้านบนก่อนแล้วช่วยดึงทรงเผ่าขึ้นมา สักครู่เธอก็เดินไปปลดเถาวัลย์โยนทิ้งลงไป ทรงเผ่าที่หอบเหนื่อยถามอย่างสงสัย
“เฮ้ย แล้วเดี๋ยวจะลงยังไง”
“ค่อยว่ากันซินาย แต่ขืนไว้แบบนี้ พวกมันมาเห็นก็จบกันพอดี”
เมียวดีกับทรงเผ่าเดินกึ่งหมอบเข้ามาที่พงหญ้า มองไปเห็นโรงงานตั้งอยู่สองสามหลังข้างล่าง มียามถือปืน เฝ้าอยู่เป็นระยะ
“เข้าไปดูใกล้กว่านี้มั้ยนาย”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว จะรออะไรล่ะ”
ทรงเผ่ากับเมียวดีมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าเป็นอันรู้กัน เตรียมตัวลุกขึ้นเพื่อเข้าไปใกล้ๆ แต่ต้องชะงักเมื่อ ยามพร้อมปืนเดินขึ้นเนินมา ทั้งสองรีบกลิ้งหลบไปอยู่หลังพงหญ้าสูง ยามเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เมียวดีค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะมีดสั้นที่เสียบไว้ที่เอวอย่างเตรียมพร้อม ทรงทรงเผ่าเอื้อมมือมาแตะไว้ ส่ายหน้าห้ามไม่ให้รีบลงมือ ยามเห็นพงหญ้าไหวๆ ยกปืนขึ้นเตรียมพร้อม ค่อยๆ เดินเข้ามา ทรงเผ่า กับเมียวดีหายใจแรงอย่างตื่นเต้น ยามเตรียมง้างนกปืน ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงก็ดังขึ้น
“พี่!”
ยามหันกลับไป หญิงสาวเดินเข้ามา ทรงเผ่ากับเมียวดีถอนหายใจอย่างโล่งอก
“รอนานมั้ยจ๊ะพี่ ก็พี่แสงนะซิ กว่าจะหลับได้”
“นานแค่ไหนพี่ก็รอได้ พี่คิดถึงเอ็งเหลือเกินอีแดง”
สองคนลักลอบมาพบกัน โผตรงเข้ากอดกันทันที อย่างไม่รอช้า แล้วก็พากันโน้มตัวลงนอนกับพื้น ทรงเผ่าหันมามองเมียวดีที่จ้องเขม็งมองภาพข้างหน้า เขารีบปิดตาของเธอ เมียวดีพยายามแกะมือออก แต่เขาจับไว้แน่น
“ปล่อยซินาย” เมียวดีกระซิบ
ทรงเผ่าไม่ปล่อย แต่รีบดึงเธอให้ออกไปจากตรงนั้น
ทรงเผ่าดึงออกมา เมียวดีสะบัดมือออก
“โหย...ดึงเราออกมาทำไมล่ะนาย”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
เมียวดียิ้ม รู้ทัน
“แต่เราไม่เด็กแล้วนะ ไอ้เหินฟ้ามันยังคิดจะเอาเราทำเมียคนที่สามของมันเลย”
ทรงเผ่าไม่รู้จะพูดยังไง
“แก่แดด ดูเรื่องที่ไม่ควรดู”
“อ้าว ถ้าไม่ดูแล้วจะรู้เหรอ ว่าพวกมันเผลอเมื่อไหร่”
เขาส่ายหน้ากับคำแก้ตัวของเธอ ทันใดนั้นเสียงเสือคำรามเบาๆดังแว่วๆมา ทรงเผ่ากับเมียวดีตะแคงหูฟังให้แน่ใจ
“ไอ้ลาย! นี่มันตามเรามาเหรอ”
“ไม่รู้ซินาย แต่มันอาจจะมาหาอาหารก็ได้ เสือตัวไหนที่มันได้ลองกินเนื้อคนแล้ว มันจะไม่กลับไปกินสัตว์อื่นอีกหรอก แล้วแถวนี้ ก็มีอาหารให้มันเยอะเสียด้วย” เมียวดีพยักเพยิดไปทางค่าย “ไม่แน่ เราอาจจะได้ล่าทั้งคน ทั้งไอ้แมวยักษ์ ไปพร้อมกันเลยก็ได้ ใครจะรู้”
เมียวดีบอกอย่างมีความหวัง
วันใหม่...ส่วย หัวหน้าที่คุมโรงงานผลิต คุยวิทยุอยู่ในโรงงานผลิตยาเสพติด ที่ทรงเผ่ากับเมียวดีเฝ้าดูอยู่
“อีกวันสองวัน ของก็จะเสร็จแล้วตามที่นายสั่ง”
ขณะเดียวกัน...บนตึกสูงในกรุงเทพฯ สาทิศยืนหันหลังคุยโทรศัพท์ มองวิวสูงในกรุงเทพยามเช้า
“ดี...ของล็อตนี้ฉันจะส่งไปอเมริกา แล้วแกก็เตรียมผลิตล็อตต่อไปได้เลย เอาเกรดเอเหมือนเดิมนะ”
“ครับนาย”
“ถ้าขาดอะไรก็บอกมา เดี๋ยวฉันจะส่งไปให้ อ้อ...แล้วก็ดูพวกเวรยาม ให้ดีๆ อย่าประมาทล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงนาย ฐานเราอยู่ลึกแล้วก็สูงแบบนี้ ทางการไม่มีทางหาเจอ”
ทันใดนั้นเสียงร้องกรี๊ดของผู้หญิงดังขึ้น ตามด้วยเสียงปืน
“ปัง! ปัง! ปัง”
ส่วยชะงัก
เมียวดีกับทรงเผ่าที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นเช่นกัน
“มันรู้ตัวแล้ว”
“ไม่ใช่หรอกนาย เสียงมันคนละทางกับที่เราอยู่”
“งั้นเรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องอะไรก็ช่างอย่าเพิ่งสนใจเลย แต่เราไปให้พ้นเขตนี้ก่อนดีกว่าเพื่อความปลอดภัย”
สองคนรีบคว้าปืนทันที ลุกขึ้น
ฟ้าลั่นกับตำรวจตระเวนชายแดน 7-8 คน ที่กำลังเดินอยู่ในป่า ต่างก็ชะงัก
“เสียงมันมาจากทางโน้น นาย”
ทั้งหมดรีบเดินกึ่งวิ่งให้เร็วขึ้น
ขณะเดียวกัน ส่วยถือปืนวิ่งออกมาด้านนอก ลูกน้องวิ่งไปมาอลหม่าน ก่อนจะวิ่งมารายงาน
“มีอะไร” ส่วยถามอย่างออย่างสงสัย
“เสือลายพาดกลอนพี่ มันบุกมาลากนังแดง กับไอ้ชิน ไปกิน”
“บ้าจริง มันมาจากไหนวะ”
ส่วยรีบออกไป พร้อมลูกน้อง
เมียวดีกับทรงเผ่า รีบวิ่งออกมา เจอ ส่วยกับลูกน้องมาอีกทางเจอกันพอดี ต่างคนต่างตกใจ
“เฮ้ย! พวกเอ็งเป็นใคร”
เมียวดีรีบฉวยจังหวะ ซัดมีดสั้นออกไป ส่วยกับลูกน้องหันหลบ เธอฉวยจังหวะดึงทรงเผ่าพุ่งไปหลบที่ต้นไม้ จากนั้นก็ลงมือยิงโต้ตอบกัน ส่วยกับลูกน้อง ยิงสวนกลับมา
“ถอยเถอะนาย”
“ทำไมฟ้าลั่นถึงไม่มาซักที”
“ช่างหัวมันเถอะ ตอนนี้เราต้องหาทางเอาตัวรอดกันก่อน”
เมียวดีถอย ทรงเผ่าถอยตาม ส่วยส่งสัญญาณกับลูกน้อง
“ตาม จับมันให้ได้”
ส่วยกำลังจะลุกขึ้นตามแต่ปรากฏว่าเสียงปืนมาจากด้านหลัง กระสุนถากไปโดนต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ส่วยหันมายิงโต้ตอบ ทำให้เสียจังหวะการตามเมียวดี
ฟ้าลั่น กับเจ้าหน้าที่ บุกเข้ามายิงกับคนร้าย ฟ้าลั่นพยายามมองหาเมียวดี กับทรงเผ่าระหว่างการยิงก่อนจะตะโกนไปส่งๆ
“นาย อีเมียว ฟ้าลั่นมาแล้ว”
ขาดคำเขารีบหลบทันที เมื่อลูกปืนสวนมา
ในหมู่บ้าน...ทนงนั่งอยู่กับเจ้าหน้าที่ หน้าเครื่องส่งวิทยุ สัญญาณวิทยุดังขึ้น
“เสือสมิงเรียกฐาน ทราบแล้วเปลี่ยน”
ทนงตื่นเต้น
“ติดต่อกลับมาแล้ว!”
เจ้าหน้าที่โต้ตอบในวิทยุ
“ฐานทราบแล้ว”
“เจอเป้าหมายใหญ่แล้ว เกิดการปะทะ หนัก ขอกำลังเสริม ภาคอากาศด้วยเปลี่ยน”
ทนงนั่งลุ้นมาก
เมียวดี กับทรงเผ่าถอยร่นหนีมา ทรงเผ่าสะดุดเซแต่ไม่ล้มเหงื่อออกเต็มหน้าบ่นกับตัวเอง
“บ้าจริง ทำไมต้องมาไข้ขึ้นตอนนี้”
เมียวดีมัวแต่มองข้างหลังดูว่ามีใครตามมาหรือเปล่าเลยไม่ได้หันมาดู ทรงเผ่ากัดฟันลุกขึ้นเดินต่อ ทันใดนั้นเสียงคำรามดังขึ้น
“โฮกก!”
เสือกระโจนออกมา
“ระวัง!”
ทรงเผ่ากระโดดผลักเมียวดีออกไปจากทางที่เสือกระโจน ขาของทรงเผ่าพอเหยียบลงไป ที่พื้นดิน ก็ร่วงตกลงไป เสือก็ร่วงไปด้วย
“เฮ้ย!”
เมียวดีหันมามองอย่างตกใจ
“นาย!”
ทรงเผ่าร่วงลงไปในกับดักข้างล่างเป็นหลุมใหญ่ มีไม้ไผ่แหลมปักอยู่เต็มไปหมด ขาของเขาถูกไม้ไผ่แหลมแทงทะลุกับปักที่ซีโครงด้านข้างเลือดหยดตามไม้ไผ่ เมียวดีตั้งหลักได้รีบวิ่งมาดูที่ปากหลุมเห็นเสือโดนไม้ไผ่ปักตายอยู่กลางหลุม แต่ไม่มีทรงเผ่า
“นาย!”
ทรงเผ่าห้อยอยู่ริมปากหลุมจับตาข่ายที่วางคลุมไว้บนดินเอาไว้ได้
“ยึดไว้นายอย่าปล่อย”
เมียวดีออกแรงดึงตาข่ายที่อยู่บนดินเต็มที่ ทรงเผ่าเอง ก็ออกแรงช่วยด้วย ไม้ไผ่ที่ปักเขาหลุดออก
“โอ๊ยย”
ในที่สุดทรงเผ่าก็ขึ้นมาได้สำเร็จ นอนหอบอยู่ เมียวดีแกะผ้าที่พันมวยผมออกมาผูกห้ามเลือดให้
“เธอรีบไปเถอะก่อนพวกมันตามมา ทิ้งฉันไว้ที่นี่แหละ”
“ไม่ได้ ไปก็ต้องไปด้วยกัน”
ทรงเผ่าส่ายหน้าประมาณว่าไม่ไหวแล้ว
“ขอบใจเธอมากนะ สำหรับเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา มีอีกอย่างที่ฉันอยากขอให้เธอทำ ฉันอยากให้เธอไปกรุงเทพ ไปหาพ่อฉัน แล้วเล่าให้พ่อฉันฟัง ว่าฉันทำอะไรบ้าง”
“แข็งใจอีกนิดนาย เดี๋ยวเราก็เจอไอ้ฟ้าลั่นแล้ว นายไม่เป็นไรหรอก”
“ฉันไม่ไหวแล้วเมียวดี” เขายิ้ม ไม่สนใจที่เธอพูด พูดเรื่องตัวเองต่อ “ตอนพ่อเธอ เธอยังอยากรู้ ถึงคราวฉันพ่อฉันคงอยากรู้เช่นกัน ฉันฝากเธอด้วยนะ”
เมียวดีน้ำตาเริ่มเอ่อ
“ไม่...เราไม่บอกให้นายหรอก นายกลับไปบอกเองซิ เราจะพานายกลับไป”
เมียวดีตั้งท่า พยุงทรงเผ่าจะลุกขึ้น แต่ปรากฏว่าเงาดำทาบลงมา ทรงเผ่าเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นผู้ร้ายคนหนึ่งยืนอยู่เล็งปืนมาที่ทั้งสอง
“ตายเสียเถอะ”
ทรงเผ่า มองคนร้าย ค่อยๆมัวไม่ชัด
“ปัง!”
ทรงเผ่าหลับตาไปมือตก สลบไป เมียวดีตกใจ
“นายๆ”
คนร้ายค่อยๆ ล้มลงหลังยิงเสร็จยิงไม่โดน ข้างหลังมันมีมีดปักอยู่ตายตาค้าง ฟ้าลั่นยืนยิ้มแถมยักคิ้วให้อีก
“เห็นฝีมือข้าหรือยังอีเมียว”
เจ้าหน้าที่เข็นทรงเผ่าที่นอนอยู่บนเตียงตรงไปยังห้องฉุกเฉิน เมียวดี กับฟ้าลั่น เกาะเตียงวิ่งมาด้วยไม่ยอมห่าง เจ้าหน้าที่เข็นเตียงเข้าห้องผ่าตัด พยาบาลออกมากั้นเมียวดีไว้
“ญาติรอข้างนอกนะคะ”
“ปล่อยเรา เราจะเข้าไปกับนาย”
“ไม่ได้ นะคะ คุณหมอทำงานไม่สะดวก ต้องรอข้างนอกค่ะ”
เมียวดีผลักพยาบาลออกไปเซปะทะกำแพง พยาบาลหันไปพยักหน้าเรียกเจ้าหน้าที่ผู้ชายสองคนมาจับเมียวดีไว้
“ทำไมไม่ได้ คนอยู่ป่าถ้าเพื่อนไม่หายหรือไม่ตาย ยังทิ้งกันไม่ได้หรอก เราจะเข้าไปดูนาย ปล่อยเรา”
ทนงเข้ามา
“พูดได้ดี อีหนู”
เมียวดีหันไปดู เห็นทนงเดินมา
“เราไม่ได้ชื่อ อีหนู เราชื่อเมียวดี”
“เมียวดี อ๋อ...เจ้าเหมียว ลูกตาจั่นใช่มั้ย เคยเห็นตั้งแต่ตอนเด็กๆ จำฉันได้มั้ย”
เมียวดียิ่งสงสัย ฟ้าลั่นเลยบอก
“นี่ก็คือพ่อนายไง อีเมียว”
เมียวดีเลยยอมยกมือไหว้
วันใหม่...รำพาเพิ่งกลับมาถึงบ้าน เรียกหาอัญชิสา เมื่อเห็นว่าที่ห้องรับแขกลูกสาวไม่อยู่
“หวาน น้ำหวานลูกหวาน”
อัญชิสา เพิ่งตื่นลงมา
“อะไรคะ คุณแม่ วันนี้กลับมาเร็วจัง หรือว่าขาขาด”
“ลูกขา ถ้าขาขาดแม่ก็เดินไม่ได้ซิ โอ๊ย...ไม่ใช่ นี่หนูดูหนังสือพิมพ์ ฉบับเช้านี้หรือยัง”
“ยังเลยค่ะ แล้วแม่คะ ตอนนี้ไม่มีใครอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว เค้าเช็คข่าวจากเฟสบุ๊ค หรือไม่ก็ทวิสเตอร์กัน”
“อะไรก็ได้ เปิดด่วนเลย โอ๊ย...ชักช้านี้ดีกว่า แม่หยิบมาให้แล้ว”
รำพาหยิบหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง ที่พับใส่กระเป๋าออกมาชี้ให้ลูกสาวอ่าน อัญชิสา ยอมอ่านอย่างเซ็ง ๆ
“ตะลึงพบโรงงานผลิตเฮโรอินใหญ่ กลางป่า ฮีโร่หนุ่มพาเจ้าหน้าที่บุกจับตาย”
ในข่าวมีรูปทรงเผ่านอนสลบอยู่เตียงพยาบาลตอนนำส่งโรงพยาบาล มีเมียวดีเกาะอยู่ไม่ห่าง
“เอ๊ะ นี่มันคุณเผ่านี่คะ คุณแม่”
รำพาอยากรู้รอลูกสาวคุยโทรศัพท์อยู่ อัญชิสา วางหูแล้วเดินออกมา
“คุณบัวคลี่ก็ยังไม่ทราบรายละเอียด รู้แต่ว่า คุณพ่อคุณเผ่า พาตัวมารักษาที่กรุงเทพแล้ว”
“งั้นเหรอ แม่งงไปหมดแล้วเรื่องมันยังไงกันคะ ไหนหนูบอกว่าคุณเผ่าเป็นช่างภาพไง ที่แท้ก็เป็นสายลับนี่เอง ต๊าย เหมือนหนังไทยสมัยแม่สาวๆเลยนะ ความจริงแล้วผมคือ ร้อยตำรวจเอกทรงเผ่าปลอมตัวมา ฮะ ๆๆ”
“แม่คะ ไม่ตลกเลยนะคะ”
รำพาเลยเงียบ
“หวานเป็นแฟนเค้าแท้ๆแต่เค้าเห็นหวานเป็นอะไร จะทำอะไรก็ไม่ยอมบอก แถมยังชอบทำอะไรเสี่ยงๆไม่เข้าท่า”
“หวานจ๊ะ แม่ว่าใจเย็นๆ ดีกว่านะ”
ขณะเดียวกันนั้นคนใช้เข้ามาหา
“คุณคะ มีนักข่าวมาขอสัมภาษณ์ คุณน้ำหวานอยู่หน้าบ้านค่ะ”
รำพาตาโต
“ต๊าย ลูกหวานขา ดังใหญ่แล้ว” รำพารีบสั่งคนใช้ “แกไปบอกเค้า ว่าอีกหนึ่งชั่วโมงมาใหม่ ให้ลูกหวานอาบน้ำ แต่งตัว แต่งหน้าก่อน”
“ไม่ต้อง!” อัญชิสาเสียงแข็ง
“อุ๊ย...ชั่วโมงหนึ่งไม่ทันเหรอคะ งั้นเป็นชั่วโมงครึ่งก็แล้วกัน เดี๋ยวช้ากว่านี้นักข่าวจะไม่รอ”
“ไม่ใช่ค่ะ แต่หนูจะไม่ให้สัมภาษณ์อะไรทั้งนั้น แม่คิดดูซิคะ หวานไม่รู้อะไรเลย แล้วจะให้หวานตอบอะไร ขายหน้าเปล่าๆ ไม่เอาหรอกค่ะ”
“จ๊ะๆไม่เป็นไร งั้น ไปอาบน้ำอาบท่า ไปเยี่ยมคุณเผ่ากันดีกว่า”
“ไม่ค่ะ คุณเผ่าทำแบบนี้ไม่ให้เกียรติหวานซักนิด เหมือนไม่สนใจว่าหวานเป็นแฟน หวานก็ไม่เห็นต้องแคร์เค้าเลย จะเป็นจะตายก็ช่าง”
“หวาน...แม่เข้าใจว่าลูกน้อยใจคุณเผ่า แต่ว่าเอาแต่พองามดีมั้ย ทำแบบนี้มันเสียคะแนนนะคะ แล้วถ้าลูกคิดจะเปิดตัวให้สังคมรับรู้ เวลานี้ก็เป็นเวลาที่ดีที่สุดแล้ว”
คราวนี้อัญชิสา ฉุกคิดบ้าง
อ่านต่อ ตอนที่ 4 พรุ่งนี้
แก้วกลางดง ตอนที่ 4 (ต่อ)
ในห้องพักคนไข้ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ...เมียวดีนั่งยองๆ เฝ้ามองทรงเผ่าไม่คลาดสายตาอย่างเป็นห่วง แต่ไม่พูดอะไร ทรงเผ่ายังสลบอยู่บนเตียง ฟ้าลั่นนั่งหลับกรนเสียงดัง บัวคลี่กับทนงเข้ามา ฟ้าลั่นตื่นรีบเช็ดน้ำลาย บัวคลี่เห็นทรงเผ่าก็อดร้องไห้ไม่ได้
“คุณเผ่า โธ่ ฮือ ๆๆ”
“นายยังไม่ตายสักหน่อย ร้องไห้ทำไม” เมียวดีพูดขึ้น
บัวคลี่ถึงกับมองหน้าเมียวดีคิดไม่ถึงว่าจะโดนถอนหงอก หันไปมองทนง
“ก็จริงของเด็กมันนะคุณ หมอบอกว่าเจ้าเผ่ามันปลอดภัยแล้ว ที่แผลฟกช้ำอีกไม่นานก็หาย เหลือก็แค่ ซี่โครงหัก แล้วก็ไข้ป่าเท่านั้น”
“เท่านั้นหรือค่ะ นี่มันไม่ใช่น้อยๆเลยนะ โธ่ คุณเผ่า คงเจ็บมาก น่าสงสารจริงๆ”
บัวคลี่เริ่มน้ำตาไหลอีก ยกผ้าขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ
“อ้าว น้ำตาไหลอีกแล้ว นี่ถ้าแม่วงศ์มาอีกคน คงได้ร้องกันไม่เลิก เดี๋ยวนังเหมียวมันก็ได้ถามอีกหรอก ว่าวันนี้จะเผาเจ้าเผ่าแล้วหรือยังไง”
บัวคลี่ค้อนให้
“คุณพี่อ่ะ”
ฟ้าลั่นมองบัวคลี่แล้วหันไปถามทนง
“นี่เมียนายเหรอ พ่อนาย อ้วนแล้วก็แก่แบบนี้ นายเอามาทำเมียทำไม ใช้งานอะไรก็ไม่ได้”
บัวคลี่สะดุดกึกตาโต ถึงกับจุกพูดไม่ออก ทนงขำ
“เฮ้ยไม่ใช่...ไอ้เผ่ามันไม่ชกข้ามรุ่นขนาดนั้นหรอก นี่เมียฉันเองชื่อคุณบัวคลี่ รู้จักไว้ซิ...นี่เมียวดี กับฟ้าลั่น ที่ผมเล่าให้ฟังไงคุณ”
บัวคลี่ยกมือจะรับไหว้ตามความเคยชิน แต่สองคนไม่ได้ไหว้กลับพุ่งไปสนใจทรงเผ่าเหมือนเดิม ทำให้บัวคลี่เก้อ
ทนงพาฟ้าลั่นกับเมียวดีมาที่บ้าน...ประตูรถเปิดอ้า ทนงกับบัวคลี่พยายามพูดให้เมียวดีลงมาจากรถโดยมีวงศ์ยืนอยู่ด้วย
“ลงมาซิเจ้าเหมียว ฟ้าลั่น ถึงบ้านแล้ว”
เมียวดีกับฟ้าลั่นอยู่ในรถสั่นหน้า
“เราอยากอยู่กับนายมากกว่า พ่อนาย”
“ถ้าอีเมียวไม่ลง ฟ้าลั่นก็ไม่ลง”
“ก็มาอยู่ที่นี่ก่อน ให้นายเค้าได้รักษาตัวก่อน ไม่ต้องห่วงหรอก เค้ามีพยาบาลดูแล” ทนงอธิบาย
เมียวดีส่ายหน้า
“แต่เราอยากเฝ้านาย กลับไปหานายดีกว่า”
ทนงส่ายหัว หันไปบ่นกับบัวคลี่
“มันดื้อตาใสเหลือเกิน”
บัวคลี่หันไปหาคนขับรถ
“นายสนไปลากตัวลงมาไป๊”
“ครับ”
สนเข้าไปลากตัว แต่เมียวดีกลับถีบเข้าให้จนกระเด็นออกมาลงไปกองกับพื้น วงศ์ตกใจ
“ตายแล้ว ทำไมฤทธิ์เดชมากมายขนาดนี้”
บัวคลี่ทนไม่ไหว จัดการขั้นเด็ดขาดตวาดเสียงเขียว
“นี่ ถ้าไม่ลงมา ฉันจะไม่พาไปหานายเธออีกนะ”
“ตัวก็ขาวอยู่หรอก แต่ใจดำเป็นอีกา”
บัวคลี่อ้าปากค้างพูดไม่ออก เมียวดีไม่สน
“เราไปเองก็ได้”
บัวคลี่กัดฟันขู่ต่อ
“นี่มันกรุงเทพนะ ไม่ใช่ป่าแถวบ้านตัว ถ้าไปถูกก็ไปซิ”
ทั้งสองมองวัดใจกันอยู่พัก เมียวดีจึงค่อยๆแหย่เท้า ลงมาจากรถ บัวคลี่แอบหันไปยิ้มกับทนงที่ทำสำเร็จ ฟ้าลั่นตามลงมา ก่อนจะมองสำรวจบ้าน
“โอ้โห้ นี่มันบ้านหรือว่าที่ว่าการอำเภอกันอีเหมียว ทำไมมันใหญ่จัง แบบนี้อยู่ทั้งหมู่บ้านยังได้เลยนะ”
ทนงขำ บัวคลี่หันมาบอกวงศ์
“แม่วงศ์ เดี๋ยวช่วยจัดการต่อทีเถอะ หาข้าวหาปลาให้กินด้วยนะ ฉันไม่ไหวแล้ว จะเป็นลม”
“ได้ค่ะ คุณ”
ทนงประคองบัวคลี่ออกไป แม่วงศ์หันมาดู เมียวดีแอบแลบลิ้นใส่
วงศ์พาเมียวดีกับฟ้าลั่นมากินข้าวกันในครัว เมียวดีพ่นข้าวกลับใส่จาน วงศ์ตกใจ
“ตายจริง ทำแบบนี้มันไม่ สุภาพเลยนะคะ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นคนช่วยพาคุณเผ่าออกมาล่ะก้อ จะตีให้สักป้าบ”
เมียวดีตั้งการ์ดมวยทันที
“ก็มาซิ มือตีนเราก็มี”
“เท้าค่ะ คำว่าเอ่อ...ตีน นะ ที่นี่เค้าไม่เรียกกัน”
“บ้านเราใครๆก็เรียกตีน ตั้งแต่เล็ก พ่อเราก็เรียกตีน นี่ แกเรียกว่าอะไรไอ้หมาลั่น”
เมียวดียกเท้าขึ้นมาถาม
“ก็ตีนไงอีเมียวถามได้”
วงศ์ถอนใจส่ายหน้าระอา
“เอาเถอะๆ นั่นนะที่บ้านคุณ แต่เมื่อมาอยู่กรุงเทพ ก็ต้องพูดแบบคนกรุงเทพ เข้าใจมั้ยคะ แล้วนั้นไม่ กินข้าวต่อแล้วเหรอ”
“เรากินไม่ลง มันติดคอ”
ฟ้าลั่นเบ้หน้า
“จืดสนิท ไม่มีรดชาดเล้ย”
วงศ์โมโหนิดๆ ที่ถูกสบประมาท
“แล้วอยู่บ้านคุณ คุณกินยังไง ถึงเรียกว่าอร่อย”
ทนงนั่งอยู่กับบัวคลี่ในห้องนั่งเล่น วงศ์เข้ามารายงาน ทนงหัวเราะชอบใจ
“ฮะๆๆๆ กินข้าวกับพริกงั้นเหรอ”
“ค่ะ จัดสำหรับให้ก็ไม่ยอมกินค่ะ กินแต่ข้าวเปล่ากับ พริกขี้หนูเป็นกำๆ แล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะเผ็ดกันเลย ดิฉันเห็นแล้วก็หวาดเสียวแทน”
ทนงขำๆ
“แถวบ้านเค้ากินแบบนั้น กินข้าวกับเกลือ กับพริกแห้ง ก็ดีนะ ไม่เปลืองกับข้าวไงแม่วงศ์”
บัวคลี่ไม่ค่อยชอบใจนัก
“แต่แหม ทโมนเหลือเกินนะคะ คุณพี่ คำพูดคำจาแต่ละคำไม่มีความเป็นผู้หญิงเลย”
“มันโตมากับป่า จะให้นุ่มนวลยังไงกัน เอาน่า ช่วยดูแลกันไปก่อน เดี๋ยวเจ้าเผ่ามันหายมันก็มาจัดการของมันเองนั้นแหละ”
“งั้นคงต้องอบรมให้เป็นผู้เป็นคนกันหน่อยแล้วล่ะค่ะคุณพี่ เอ๊ะ ได้กลิ่นอะไรมั้ยคะ เหมือนใครมาเผาอะไรแถวนี้”
บัวคลี่ทำจมูกฟุตฟิต ทนงกับวงศ์พลอยสูดไปด้วย
“หอมๆกลิ่นเหมือนไก่ย่างมากกว่านะ”
วงศ์ดมๆ
“จริงด้วยค่ะ แต่ใครจะมาย่างไก่ในบ้านเราล่ะค่ะท่าน”
ทันใดนั้นเด็กรับใช้วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณท่านคะ แย่แล้วค่ะ สองคนที่มากับท่าน เที่ยวไล่จับนกในกรง หนูห้ามเท่าไร ก็ไม่ฟัง”
วงศ์หน้าตื่น
“เห็นทีจะไม่ใช่ไก่ย่างเสียแล้วค่ะ น่าจะเป็นนกย่างเสียมากกว่า”
ทนงกับบัวคลี่มองหน้ากัน แล้วก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เจ้าเหมียว!”
ทั้งหมดรีบออกไปที่สนามหญ้าหน้าบ้านเห็น เมียวดีแทะนกย่างกำลังควบคุมฟ้าลั่นที่ย่างนกอยู่
“อ้าว พ่อนาย มาพอดี กินนกย่างมั้ยอร่อยดีนะ”
ทั้งหมด หันไปมอง กรงนกที่วางอยู่ไม่ไกล เปิดอ้าอยู่ แต่ไม่มีนกในกรงแล้ว บัวคลี่อึ้ง
“นกในกรงนี่เหรอ”
เมียวดียิ้ม
“ใช่...แต่ผอมไปหน่อยนะ ไอ้หมาลั่น”
“ฮือ...สู้นกในป่าไม่ได้ เนื้อแน่นกว่านี้เยอะ”
“นกในกรงนั่น พวกเธอเอามา...กินเหรอ เอิ๊กก”
บัวคลี่ลมขึ้น ตั้งท่าจะเป็นลม ทนงรีบประคอง
“แม่วงศ์ พาคุณบัวคลี่เข้าข้างในไปก่อนไป”
“ค่ะ”
วงศ์ประคองบัวคลี่เข้าไป ทนงหันมาหาเมียวดี
“เจ้าเหมียว นกนั้นนะ เค้าไม่ได้เลี้ยงไว้กิน เค้าเลี้ยงไว้ดูเล่นกัน”
เมียวดีงงๆ
“คนกรุงเทพนี่ก็แปลกนะ เลี้ยงนกไว้ดูเฉยๆ แล้วจะเลี้ยงไว้ทำไม เปลืองข้าวเปลืองน้ำเปล่าๆ เมียพ่อนายจะตกใจทำไม”
ทนงมองอย่างเอ็นดู
“ที่นี่มันคือป่าคอนกรีต ไม่ใช่ป่าอย่างบ้านเราหรอกเจ้าเหมียว คนที่นี่ ก็ไม่เหมือนคนที่บ้านป่าที่เราเคยอยู่”
“ต่างกันยังไง มันก็คนเหมือนกัน กินแล้วก็ขี้เหมือนกัน”
“อยู่ๆไป เราก็รู้เองแหละ เหมียวเอ๊ย”
ทนงจับหัวอย่างเอ็นดู
“นี่ พ่อนายไม่โกรธเราเหรอ”
ทนงยิ้มรู้ทัน
“ไหนว่ามาซิ หิวเหรอถึงจับนกกิน หรือว่ากับข้าวไม่ถูกปาก”
เมียวดีอึ้งไปนิด ก่อนตัดสินใจบอก
“เราอยากไปหานาย เมื่อไหร่พ่อนายจะพาเราไปหานายเสียที”
ทนงยิ้มอย่างเอ็นดู เมื่อรู้ว่าจริงๆแล้วเมียวดีต้องการอะไร
บัวคลี่ยังนั่งกึ่งนอนพิงอยู่ที่เตียงพร้อมยาดม
“ตายจริง ที่ป่วนไปทั่ว ก็เพราะอยากไปเยี่ยมคุณเผ่างั้นเหรอค่ะ”
“ใช่...ยายเหมียวนะถึงชาวป่า ชาวดอย แต่ก็ไม่ได้โง่นักหรอกนะ คุณดูตาแกซิ ฉลาดเป็นกรดทีเดียว”
“ก็น่าจะใช่นะคะ เพราะไม่งั้นแกคงไม่พาคุณเผ่ารอดมาได้ ดูแกจงรักภักดีกับคุณเผ่าเหลือเกิน”
“ก็สองคนเค้าร่วมเป็นร่วมตายกันมานี่ จะทิ้งกันได้ไง”
“แล้วคุณพี่จะพาแกไปเยี่ยมคุณเผ่าเมื่อไหร่ล่ะคะ”
ทนงบอกให้รู้ว่าจะพาไปวันพรุ่งนี้
วันต่อมา...ทนง พา เมียวดี กับฟ้าลั่นมาเยี่ยมทรงเผ่า เมียวดีเปิดประตูเข้ามาอย่างดีใจ ทรงเผ่าฟื้นแล้ว พยาบาลมาวัดไข้แล้วออกไปพอดี
“นาย...นายฟื้นแล้วเหรอ”
เมียวดีพุ่งตรงมาเกาะขอบเตียงทันที ตาวาวอย่างดีใจ ทรงเผ่ายิ้มแย้มให้ทั้งสอง
“เมียวดี ฟ้าลั่น!”
ทนงดีใจที่ลูกชายอาการดีขึ้น
“เจ้าเหมียว มันอยากมาดูว่านายมันเป็นไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วล่ะ”
“งั้นนายก็หายแล้วซิ นายหายเราก็กลับบ้านได้แล้วใช่มั้ย”
“อ้าว จะรีบกลับทำไม อยู่กรุงเทพไม่สนุกเหรอ ใครๆก็อยากอยู่กรุงเทพกันทั้งนั้น”
ฟ้าลั่นหันไปมองเมียวดี
“ถ้าอีเมียวอยู่ ฟ้าลั่นก็อยู่”
เมียวดีกัดปากตัดสินใจ
“ที่นี่ ไม่ใช่บ้านเรา”
ทรงเผ่ารีบดักคอ
“แต่อย่าลืมสัญญาซิ ฉันเป็นคนฆ่าไอ้ลาย”
“ไม่ใช่สักหน่อย ไอ้แมวยักษ์มันตกลงไปที่หลุมขวากเอง”
“ถ้าไม่เพราะฉัน ไอ้ลายก็ไม่ตกลงไปหรอก เพราะฉะนั้นก็ต้องเท่ากับว่าฉันฆ่ามันได้ เธอแพ้ฉัน เธอก็ต้องอยู่ในความดูแลของฉัน จำได้มั้ย เมียวดี”
เมียวดีเม้นปากไม่อยากเอ่ยปากยอมรับ ทนงพูดตัดบทขึ้น
“อย่าเพิ่งพูดเลย ไว้แผลหายดีก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”
เมียวดีชะโงกมาดู
“เป็นแผล แต่ไม่เอายาพอกปากแผลไว้ มันจะหายได้ยังไง”
“นี่มันเป็นวิธีรักษาของหมอในเมือง”
เมียวดีเหลือบมองที่โต๊ะข้างๆ เห็นยาที่พยาบาลวางไว้ในแก้ว
“ยาก็กินนิดเดียว”
“หมอเค้ามียาฉีดด้วย ไม่ใช่แค่นี้”
“ยาฝรั่ง เหอะ” เมียวดีเบ้หน้าดูถูก “สู้ยาต้มไม่ได้หรอก แต่ ที่นี่จะไม่ใช่ป่าบ้านเรา คงหาตัวยาลำบาก”
ฟ้าลั่นนึกได้
“ลองไปหาดูก็ได้นะอีเมียวเผื่อจะมี ไปเถอะ ข้าไม่ชอบอยู่ในห้องแบบนี้เลย มันอึดอัด หายใจไม่ค่อยออกยังไงก็ไม่รู้”
ฟ้าลั่นเผ่นไปที่ประตูเปิดผางออกมา เจอกับรำพาที่ถือช่อดอกไม้ กำลังเปิดเข้ามาพอดีเช่นกัน
“ว๊าย...อกอีกแป้นแตก”
ต่างคนต่างมองหน้ากัน งงเพราะไม่เคยเจอกัน
“ใคร...อ้อรู้แล้ว แก่ๆแบบนี้ คงเป็นเมียอีกคนของพ่อนาย”
ทนงสะดุ้ง
“เฮ้ย...เจ้าฟ้าลั่นพูดอะไรวะ เดี๋ยวคุณบัวคลี่ได้ยิน คืนนี้ฉันโดนนอนนอกห้องแน่” ทนงรีบชะเง้อไปดู “คุณหญิง รำพา”
“สวัสดีค่ะ...ดิฉันกับลูก มาเยี่ยมคุณเผ่านะคะ”
รำพาถอยห่างจากประตูให้อัญชิสาก้าวเข้ามาในห้อง ทรงเผ่ายิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นหน้าคนรัก
“คุณหวาน”
อัญชิสา ยิ้มให้แล้วเดินเข้าไปกอดทรงเผ่าที่นอนอยู่ เมียวดีสังเกตดูอยู่อย่างเงียบๆ
“แม่เจ้าโวย...ผู้หญิงในกรุงเทพนี่ขาววอกจริงๆเลยนะอีเมียว”
เมียวดีหมั่นไส้ เลยแอบเคาะหัวฟ้าลั่นไปหนึ่งที แต่ตามองอัญชิสา กับทรงเผ่าไม่วางตา
อัญชิสา ช่วยประคองทรงเผ่าเอาหมอนซ้อนข้างหลังให้
“รู้มั้ยค่ะ ว่าหวานตกใจแค่ไหนเมื่อเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์” อัญชิสาเริ่มน้ำตาคลอ “คุณเผ่านะใจร้าย เหลือเกิน ทำอะไรไม่บอกกันบ้างเลย”
คนอื่นยืนมอง รำพามองอย่างชื่นชม ทนงมองแบบสบายๆ เมียวดียืนกอดอกดู
“ใช่ค่ะ ลูกหวานนะกินไม่ได้นอนไม่หลับเลย”
“โธ่...ผมนะคิดถึงคุณหวานมาก แต่ที่ไม่ส่งข่าว ก็เพราะกลัวคุณหวานจะตกใจมากกว่าครับ ถึงอยากให้ค่อยยังชั่วก่อน”
ทนงยิ้มๆ
“แต่ตอนนี้มีหนูหวานมาคอยดูแลแบบนี้ เจ้าเผ่าคงหายวันหายคืนแล้วล่ะ”
อัญชิสา เขิน รำพายิ้มแย้มพึงใจ
“แหม คุณทนงเนี่ยรู้ใจคนหนุ่มสาว จริงๆ ฮะๆๆๆ”
ทั้งหมดคิกคักหัวเราะกันชื่นมื่น
“ตกลงคนนี้คือเมียนายใช่มั้ย”
เมียวดีทะลุขึ้นมากลางปล้อง เลยเงียบกันไปหมด รำพามองเมียวดี
“เอ่อ...เด็กคนนี้คือ...”
“เมียวดี ครับ เด็กที่ไปป่ากับผม” ทรงเผ่าแนะนำ
อัญชิสายิ้มหวาน
“อ๋อ เด็กชาวป่านี่เอง...ไม่ใช่หรอก จ๊ะ เราเป็น เอ่อ...เพื่อนกันนะจ๊ะ”
เมียวดีเม้มปาก
“อ๋อ...เป็นเพื่อน แล้วผู้หญิงกรุงเค้ากอดเพื่อนกันทุกคนเลยเหรอ”
“เมียวดี!” ทรงเผ่าปรามก่อนจะหันไปยิ้มให้อัญชิสา เชิงขอโทษ “ขอโทษด้วยนะครับ แกไม่ค่อยรู้เรื่อง เมียวดี คนเมืองเค้าไม่พูดกันแบบนี้หรอกนะ คุณหวานเธอจะเสียหาย ขอโทษคุณหวานเสีย”
เมียวดียืนเฉย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แกอยู่ป่าอยู่ดอยคงยังไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรมของคนเมืองเท่าไหร่ น่าสงสารออก อย่าไปดุแกเลย ค่ะเผ่า”
อัญชิสา หันมายิ้มหวานให้เมียวดี สองคนสบตา รู้กันในที ว่าเสือสองตัวป๊ะกันแหมแล้ว
อ่านต่อตอนที่ 5 พรุ่งนี้