แววมยุรา ตอนที่ 4
ตกกลางคืน แววมยุรานั่งซึมน้ำตาเอ่อคลออยู่คนเดียวในสวนบริเวณบ้าน สยุมภูว์เดินเข้ามาในรั้วบ้านของแววมยุราแล้วเดินตรงไปหา แววมยุรารีบเช็ดน้ำตาแล้วทำกลบเกลื่อนความอ่อนแอของตน
“นี่..ขอร้องหละ ฉันอยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น” แววมยุราบอก
“ไม่อยากคุย...งั้นก็ไม่ต้องคุยสิ” สยุมภูว์ว่า
สยุมภูว์หย่อนก้นลงนั่งใกล้ๆ แววมยุรา ทั้งสองต่างนั่งนิ่ง ไม่พูดอะไรกันพักหนึ่ง
“เธอจะเก็บเอาไว้ทำไม” สยุมภูว์เอ่ยทำลายความเงียบ “ไอ้ความทุกข์เนี่ย จะเก็บสะสมไว้เป็นสารก่อมะเร็งรึไง มีอะไรไม่สบายใจก็หัดระบายออกมาบ้าง”
แววมยุรายังวางเฉย
“อ๋อ...เข้าใจแล้ว” สยุมภูว์พูดต่อ “เธอคงกลัวเสียฟอร์ม กลัวคนจะหาว่าอ่อนแอ”.
“นี่ หยุดพูดซะทีได้มั้ย ไหนบอกว่าไม่คุยไง” แววมยุราว่า
“มีอะไรก็พูดมาสิ เผื่อฉันจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง”
“อย่างนายเนี่ยนะ จะมีปัญญาช่วยฉัน ที่ฉันร้อนเงินอยู่เนี่ย นายช่วยได้มั้ย ที่แม่กับน้องสาวฉันใช้เงินสิ้นเปลืองไม่เคยเห็นใจฉัน นายช่วยได้มั้ย”
“เอ่อ..คือ...”
แววมยุราสาธยายต่อ “...แล้วที่ฉันไม่มีเงินส่งค่างวดทั้งบ้านทั้งรถจนจะโดนยึดแล้วเนี่ย นายมีปัญญาช่วยมั้ย ฉันไม่มีเงิน ไม่มีงานทำ นายช่วยฉันได้มั้ย หา?”
“เอ่อ...คนจนๆ อย่างฉันก็คงไม่มีปัญญาช่วยจริงๆ แหละนะ”
“นั่นไง...ทีนี้นายก็เงียบไปได้แล้ว”
“แต่...ไอ้นี่คงพอช่วยได้”
สยุมภูว์หยิบพวงกุญแจรูปดาวที่เป็นคริสตัลสวยใสออกมายื่นให้แววมยุรา แววมยุรามองอย่างงงๆ
แววมยุราถาม “อะไรเนี่ย”
“ดาวไง ถ้าเธออยากได้อะไร ก็ให้อธิษฐานกับดาวดวงนี้”
“นายจะบ้าเหรอ เล่นให้มันรู้เวลาหน่อยได้มั้ย คนกำลังเศร้าๆ ไม่ใช่เวลาจะมาเล่นไร้สาระ”“ก็ลองอธิษฐานดูก่อนได้มั้ยล่ะ ของอย่างงี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ โดยเฉพาะสำหรับคนที่กำลังหางานทำเนี่ย รายไหนรายนั้น รับรองไม่ผิดหวัง”
“ไร้สาระ” แววมยุราว่า
“เอาน่า ลองๆ พูดออกมา อธิษฐานอะไรก็ได้ ที่เกี่ยวกับงานที่เธออยากได้น่ะ”
“โอ๊ย...เซ้าซี้น่ารำคาญจริง เอางี้ ถ้าฉันอธิษฐานเสร็จ นายต้องปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียว เลิกจุ้นจ้านกับฉันซักที อย่างงี้โอเคมั้ย”
“โอเค ตามนั้น”
“งั้น...ขอให้ฉันได้งานดีๆ เงินเดือนสูงๆ แล้วก็ได้ใช้ความสามารถมากกว่ารูปร่างหน้าตา และสุดท้าย ขอให้ได้เจอเจ้านายที่ไม่หัวงู”
“โห..เมื่อกี้หละทำเป็นกระมิดกระเมี้ยน พอได้อธิษฐานหน่อย ก็จัดชุดใหญ่เลยนะ” สยุมภูว์ยื่นพวงกุญแจรูปดาวให้ “เก็บไว้กับตัวให้ดีล่ะ แล้วเตรียมตัวรับพรจากคำอธิษฐานได้เลย”
แววมยุรารับพวงกุญแจรูปดาวมาดูแล้วก็เอ่ยออกมา
“ไร้สาระ...แต่ก็สวยดี”
แววมยุราเก็บพวงกุญแจรูปดาวอย่างขอไปทีแล้วส่ายหน้าเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ
แววมยุราอยู่ในชุดนอน เธอเดินมาที่เตียงแล้วกำลังจะเอนตัวนอน แต่ก็เหลือบไปมองที่พวงกญแจคริสตัลรูปดาวที่วางไว้ที่หัวเตียงใกล้กับโทรศัพท์มือถือ
แววมยุราหยิบพวงกุญแจคริสตัลรูปดาวขึ้นมานั่งมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอดไม่ได้ที่จะเปรยออกมาเบาๆ
“ได้โปรดช่วยให้ฉันสมหวังด้วยนะ ถ้าไม่ได้งานทำ ต้องลำบากกันทั้งบ้านแน่ๆ”
แววมยุราใช้สองมือกำพวงกุญแจรูปดาวไว้ที่อกแล้วทำท่าเหมือนอธิษฐานขอพร เทันใดนั้นสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น แววมยุรารีบวางดาวคริสตัลคืนที่เดิม มาลตีที่อยู่ในชุดนอนเปิดประตูเข้ามาในห้องของแววมยุรา
“แวว...แล้วยัยวัณล่ะ” มาลตีเอ่ยุถาม
“อ้าว...แม่...นี่ยัยวัณยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ”
“ก็ยังน่ะสิ แกรู้มั้ยว่ายัยวัณไปไหน”
“แววจะไปรู้ได้ยังไงล่ะแม่”
“ไม่รู้ได้ไง ก็ยัยวัณไปฝึกงานกับเพื่อนแกไม่ใช่เรอะ”
แววมยุรารีบคว้าโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาวัณณรี แล้วยกโทรศัพท์แนบหูไว้
“ฉันโทรไปหลายทีแล้ว แต่มันไม่รับ” มาลตีบอก
แววมยุรากดวางหูโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงน้อง
เอกรินทร์นั่งเคร่งเครียดอ่านเวปไซท์ข่าวจากโน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์อยู่ที่ออฟฟิศ สักพักเสียง โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เอกรินทร์หยิบมาดูหน้าจอเห็นเป็นแววมยุราก็ยิ้มอย่างดีใจแล้วรีบกดรับ
“คุณแวว สวัสดีครับ” พอเอกรินทร์หยุดฟังสักพักจากที่ยิ้มอยู่ก็กลายเป็นตกใจ “วัณไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศผมแล้วนะครับ”
แววมยุรายืนพูดโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าเครียด โดยมีมาลตียืนอยู่ใกล้ๆ
“แน่ใจเหรอคุณเอก”
“แน่ใจสิครับ วัณออกไปจากออฟฟิศผมตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว”
แววมยุรายังถือโทรศัพท์แนบหูค้างไว้ เธอรู้สึกใจหายวูบ มาลตีที่อยู่ใกล้ๆ ก็ใจเสียรีบระล่ำระลักถามแววมยุรา
“ได้ข่าวมั้ย เค้ารู้มั้ยว่ายัยวัณอยู่ไหน”
แววมยุราไม่ตอบอะไรยิ่งทำให้มาลตีลนลานใจเสียยิ่งขึ้นไปอีก
เอกรินทร์ ไม่ได้ยินเสียงตอบจากแววมยุราก็ยิ่งเป็นห่วง
“แวว...แวว ได้ยินผมมั้ย เห็นวัณเค้าบอกเหมือนกับว่าเค้านัดเพื่อนๆ ไว้ แวว...ฟังผมอยู่หรือเปล่า ใจเย็นๆ ก่อนนะ เดี๋ยวผมจะรีบไปหาคุณ”
แววมยุรายืนกอดอกด้วยความเครียดพร้อมกับยืนชะเง้อคออยู่หน้ารั้ว สยุมภูว์เดินออกมาจากรั้วบ้านตนเห็นเข้าจึงเอ่ยถาม
“มีอะไรเหรอแวว”
แววมยุราหน้าเศร้าๆ คล้ายจะร้องไห้ “ยัยวัณน่ะสิ ป่านนี้ยังไม่กลับเลย ฉันจะทำยังไงดี จะเกิดอะไรขึ้นกับยัยวัณหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือว่าฉันควรแจ้งตำรวจ”
“อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ร้ายสิ บางทียัยวัณอาจจะแค่เถลไถล ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนตามประสาเด็กวัยนี้ เธอมีเบอร์โทรของเพื่อนๆ ยัยวัณบ้างมั้ยล่ะ” สยุมภูว์ถาม
แววมยุราส่ายหน้า “ไม่มีน่ะสิ”
“งั้นฉันว่า เธอทำใจให้สบาย แล้วรอนั่งยัยวัณก่อนดีกว่า บางทีเค้าอาจจะกำลังกลับมาแล้วก็ได้”
“ใจคอนายจะให้ฉันรออยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยอย่างงั้นเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ จะทำอะไรได้ล่ะ”
“แล้วไม่คิดเหรอว่าฉันกับแม่ร้อนรนขนาดไหน นายนี่ช่วยอะไรฉันไม่ได้เลย”
“อ้าว...แล้วมาเหวี่ยงอะไรฉันล่ะ ก็รออีกซักชั่วโมงแล้วค่อยว่ากันอีกทีไม่ได้เหรอไง” สยุมภูว์ถาม
“ให้นั่งรออีกตั้งชั่วโมงเนี่ยนะ”
“ใช่! ถ้าอยากให้น้องเธอกลับมาทันที ในโลกนี้ก็ไม่มีใครช่วยเธอได้หรอก”
สยุมภูว์พูดยังไม่ทันขาดคำ เอกรินทร์ก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาแต่ไกลโดยมีวัณณรีนั่งซ้อนท้ายอยู่ แววมยุรากับสยุมภูว์หันไปมองจนเห็นว่าเป็นวัณณรีที่นั่งซ้อนท้ายรถของเอกรินทร์กลับมา แววมยุราดีใจมาก
แววมยุราพูดเสียงดังอย่างมั่นใจ “ยัยวัณจริงๆ ด้วย”
เอกรินทร์จอดมอเตอร์ไซค์แล้วถอดหมวกกันน็อคออก วัณณรีก็ถอดหมวกออก แล้วถือกระเป๋าสะพายกระโดดลงจากรถ
แววมยุราถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ “ยัยวัณ ทำไมถึงกลับดึกๆ ดื่นๆ อย่างงี้ เธอไปไหนมา..หา?”
วัณณรีตอบเสียงแข็งๆ “ไปบ้านเพื่อน”
วัณณรีหน้าบึ้งด้วยความไม่พอใจ เธอเดินเลี่ยงแววมยุราหมายจะเข้าบ้าน แต่แววมยุรารีบขวางไว้
แววมยุราตวาดใส่หน้าวัณณรี “นี่!พูดดีๆ เป็นมั้ย รู้รึเปล่าว่าทุกคนเค้าเป็นห่วงเธอขนาดไหน”
เอกรินทร์รีบพุ่งมาขวางแววมยุราแล้วปลอบให้เย็นลง “แวว ใจเย็นๆ ก่อนน่า...” เอกรินทร์พูดกับวัณณรี “รีบเข้าบ้านไปหาคุณแม่ของเธอก่อนสิไป”
วัณณรีพยักหน้าหงึกๆ แล้วเดินเข้าบ้านไป
วัณณรีเดินกลับเข้าบ้าน มาลตีรีบโผเข้าสวมกอดลูกสาวคนเล็กด้วยความดีใจ
“วัณลูกแม่ รู้มั้ยว่าแม่เป็นห่วงน่ะ” มาลตีบอก
“รู้ค่ะ วัณก็แค่เบื่อๆ เลยไปนั่งเล่นบ้านเพื่อน” วัณณรีตอบ
มาลตีรีบผละจากอ้อมกอดแล้วจ้องหน้าถามวัณณรี “เพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย”
“เพื่อนผู้ชายค่ะ” วัณณรีตอบ
มาลตีหน้าเสียไปทันที
“แม่...ไปกันกลุ่มตั้ง 5-6 คน เพื่อนๆ กันทั้งนั้น แค่ไปร้องคาราโอเกะกันน่ะ”
“จ้ะๆๆ แม่ไม่ได้ว่าอะไร แค่เห็นลูกคนโปรดของแม่กลับมา แม่ก็ดีใจแล้ว”
มาลตีสวมกอดลูกสาวคนเล็กอย่างเอาอกเอาใจ
ที่หน้าบ้าน แววมยุรายืนพูดกับเอกรินทร์อย่างเป็นปลื้มที่พาตัวน้องสาวของเธอกลับมาได้ โดยมีสยุมภูว์ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ขอบคุณมากเลยนะเอก ถ้าไม่ได้คุณหละฉันกับแม่ต้องแย่แน่ๆ”
เอกรินทร์ยิ้มรับ สยุมภูว์มีท่าทางหงอยลงเหมือนรู้สึกตัวว่าด้อยไปทันที
“ว่าแต่...คุณบอกว่ายัยวัณออกไปจากออฟฟิศคุณตั้งแต่บ่ายๆ แล้วถ้างั้นคุณไปตามเจอยัยวัณได้ยังไงกันเนี่ย” แววมยุราถาม
“อย่าลืมสิครับว่าผมทำงานสายข่าว เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะสืบไม่ได้” เอกรินทร์ตอบ
สยุมภูว์ขยับปากทำท่าพูดตามอย่างหมั่นไส้
“ผมก็แค่สืบจากหน้าเฟซบุ๊ค ที่ยัยวัณเปิดทิ้งเอาไว้ในคอมพิวเตอร์ของที่ออฟฟิศ” เอกรินทร์บอก
แววมยุรางง “สืบจากหน้าเฟซบุ๊คเนี่ยนะ”
“คุณอย่าลืมสิ เด็กสมัยนี้ เวลาเค้านัดกันเป็นกลุ่ม เค้าก็นัดผ่านทางเฟซบุ๊คทั้งนั้น แถมพอไปถึงยังใช้โทรศัพท์มือถือเช็คอิน ทำให้รู้ที่อยู่อีกต่างหาก” เอกรินทร์อธิบาย
“คุณเอกฉลาดจัง” แววมยุราเหลือบมองสยุมภูว์ “ไม่เหมือนใครบางคน ที่ไม่มีประโยชน์ ช่วยอะไรไม่ได้ซักอย่าง”
สยุมภูว์ได้ยินก็ทั้งเคืองทั้งน้อยใจแววมยุรา
“แวะเข้าไปกินน้ำในบ้านก่อนนะเอก แม่ฉันต้องปลื้มคุณแน่ๆ เลย ที่พายัยวัณกลับมาส่งได้ มา..เชิญๆ” แววมยุราชวน
แววมยุราเดินนำเอกรินทร์เข้าบ้านไป ทิ้งให้สยุมภูว์ยืนจ๋อยอยู่หน้าบ้านคนเดียว
เช้าวันใหม่ นิติธรแต่งกายภูมิฐานมายืนอยู่หน้าบ้านของแววมยุรา เขากดกริ่งหน้าบ้านสองครั้ง สักพักประตูก็เปิดออก โรสเดินรี่เข้ามาต้อนรับ
“มาหาใครเหรอคะ”
“มาหาคุณนั่นแหละครับ” นิติธรบอก
โรสงง “ขา?”
นิติธรพูดอย่างเป็นการเป็นงาน “สวัสดีครับคุณแววมยุรา”
“เอ่อ...หมายถึงเจ้าของบ้านใช่มั้ยคะคุณ” โรสชี้ตัวเอง “นี่โรสค่ะ เป็นคนใช้”
“อ้าว…ขอโทษครับ”
นิติธรหน้าแตกแต่ก็รีบเก็บอาการไว้
โรสเดินนำนิติธรเข้าประตูบ้านมา มาลตียืนอยู่บริเวณนั้นพอดี โรสจึงรีบแนะนำ
โรสผายมือไปที่มาลตี “นี่ค่ะ..คุณ...”
นิติธรพยักหน้าทักทาย “สวัสดีครับคุณแววมยุรา”
มาลตีสะอึก
นิติธรรับรู้ได้ทันที “ผมทักผิดคนอีกแล้วใช่มั้ย”
“โรสขอโทษค่ะ ก็โรสพูดยังไม่ทันจบ คือโรสจะบอกว่า นี่ค่ะ คุณมาลตี เป็นคุณแม่ของคุณแววมยุราน่ะค่ะ”
“คุณเป็นใคร? มีธุระอะไรกับยัยแววเหรอคะ?” มาลตีถาม
“ผมชื่อ นิติธร ครับ ที่มาขอพบคุณแววมยุรา ก็เพราะเจ้านายผมสั่งให้มาทาบทามคุณแววมยุราไปทำงานกับเจ้านายผมน่ะครับ”
มาลตีตาโตด้วยความดีใจ แล้วจึงเก็บอาการก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “แล้ว...เจ้านายของคุณคือใครกันเหรอคะ”
“ผมทำงานให้กับคุณสยุมว์ภู ทศพลครับ”
มาลตีงง “สยุมภูว์? ใครเหรอ?”
หลังจากฟังเรื่องราวจากปากนิติธรแล้ว แววมยุราก็พูดเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
“คุณสยุมภูว์ ทศพล เจ้าของทศพลกรุ๊ปเนี่ยนะคะ”
“คุณแววรู้จักคุณสยุมภูว์ด้วยเหรอครับ” นิติธรถาม
“แค่เคยได้ยินชื่อในงานประมูลเครื่องเพชรน่ะค่ะ”
“ใช่...ก็เพราะงานนั้นแหละครับ ที่ทำให้คุณสยุมภว์เห็นภาพคุณแวว แล้วเกิดถูกชะตาขึ้นมา ก็เลยส่งผมให้มาทาบทามคุณแววไปทำงาน”
แววมยุราทำหน้าไม่เชื่อ “นี่เรื่องจริงเหรอคะ คนระดับเจ้าของทศพลกรุ๊ป เค้ารับคนเข้าทำงานกันง่ายๆ แค่เห็นรูปถ่ายแล้วถูกชะตาเนี่ยนะคะ”
“ใช่ครับ คุณสยุมภูว์ต้องการให้คุณแววเป็นเลขา” นิติธรยื่นแฟ้มสัญญาให้ “นี่เป็นสัญญาจ้าง คุณลองอ่านดู ถ้าไม่มีปัญหาก็ช่วยเซ็นชื่อกำกับทุกหน้าด้วยครับ”
แววมยุราหยิบมาค่อยๆ พลิกอ่าน ครู่เดียวก็วางแฟ้มลง แล้วเอาสองมือดันแฟ้มคืน “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่อยากรับงานนี้เลยน่ะค่ะ”
“หา? อ้าว! ทำไมล่ะครับ”
มาลตีรีบท้วง “นั่นสิลูก ทำไมไม่เอาล่ะ แล้ว..ตรงเงินเดือนเค้าเขียนไว้ว่าเท่าไหร่เหรอ”
“เอ่อ...” แววมยุราอึกอัก
นิติธรพูดกับมาลตี “ขั้นต้นคือ สองแสนบาท ไม่รวมโบนัสครับ”
“หา...เดือนเดียวได้ตั้งสองแสน” โรสหันไปพูดกับแววมยุรา “จะรออะไรอีกคะคุณแวว รีบเซ็นสิคะ”
มาลตีพูดกับแววมยุรา “ดู๊ดู...นังโรสเป็นแค่คนใช้ แต่มันยังรู้จักคิดมากกว่าเธอเลย”
“แม่ไม่เอะใจเหรอ คนสติดีที่ไหน จู่ๆ จะมาเรียกเราไปทำงาน แถมยังให้เงินเดือนสูงปรี๊ดตั้งสองแสน” แววมยุราท้วง
มาลตีถามกลับ “แล้วไงเหรอยะ”
“แล้วไงล่ะแม่ ลองมาอีหร็อบนี้ก็คงเป็นพวกหัวงูเหมือนอีตาคำรพแหงๆ” แววมยุรายื่นแฟ้มคืน “ต้องขอโทษด้วยค่ะ ฉันอยากทำงานที่ได้ใช้ความสามารถ ไม่ใช่งานที่ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวแบบนี้”
แววมยุราพูดด้วยแววมยุราตาที่เด็ดขาดจริงจัง
เพิ่มพงษ์กับสยุมภูว์กำลังดูแลลูกค้าชายหญิงที่กำลังเดินเลือกดูต้นไม้ในร้าน แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือของเพิ่มพงษ์ก็ดังขึ้น แจ็คที่กำลังใส่ปุ๋ยต้นไม้อยู่ไม่ห่างจากบริเวณนั้นหันมามอง
เพิ่มพงษ์รับโทรศัพท์ “ฮัลโหล...อ้าว! คุณนิติธร สวัสดีครับ”
พอได้ยินชื่อนิติธร สยุมภูว์ก็หันมาสนใจ
“ครับ...อยู่ใกล้ๆ ผมนี่เอง...ได้ครับ”
เพิ่มพงษ์พูดโทรศัพท์พร้อมฉุดแขนสยุมภูว์เบาๆ ให้สยุมภูว์เดินห่างลูกค้าออกมา
เพิ่มพงษ์ส่งโทรศัพท์ให้แล้วพูดเบาๆ “คุณนิติธร โทรมาเรื่องแม่แววน่ะครับ”
สยุมภูว์พยักหน้าเข้าใจก่อนจะรับโทรศัพท์มา แล้วใช้มือปิดลำโพงโทรศัพท์พูดกับเพิ่มพงษ์
“เห็นมั้ย ผมบอกน้าเพิ่มแล้ว ให้รออยู่ที่บ้าน เผื่อมีปัญหาอะไรขึ้นมา”
“ไม่ได้ครับ” เพิ่มพงษ์ป้องปากกระซิบ “เราต้องไม่ประมาท แม้แต่คุณนิติธรก็จะรู้จักบ้านเราไม่ได้” เพิ่มพงษ์ชี้ที่โทรศัพท์ “รีบรับโทรศัพท์ก่อนเถอะครับ”
สยุมภูว์พูดโทรศัพท์ “ครับผม ใช่! นี่ผมเอง เดี๋ยวซักครู่นะครับ”
สยุมภูว์เดินเลี่ยงไปหาที่สงบๆ คุย แจ็คหันมองตามสยุมภูว์ไปแบบไม่วางตาด้วยความรู้สึกสงสัยใคร่รู้
นิติธรมองซ้ายขวารอบบริเวณสวนบ้านแวว เขาคอยระวังว่าไม่มีใครอยู่ใกล้รัศมีที่จะได้ยินในสิ่งที่เขาจะพูด แล้วจึงพูดต่อ
“คุณแววน่ะครับ เค้าตอบปฏิเสธ ไม่ยอมทำงานกับคุณสยุมภูว์น่ะครับ”
สยุมภูว์ยืนหลบมุมพูดโทรศัพท์กับนิติธร
“อ้าว...ทำไมล่ะครับคุณนิติธร เกิดอะไรขึ้น หรือว่าแววเค้าจะเรียกร้องเงินเดือนเพิ่ม...แต่เอ...เราก็ให้เค้าเยอะแล้วนี่นา”
“ก็เพราะให้เค้าเยอะนี่ไงครับ เค้าก็เลยระแวงขึ้นมา ว่าคุณสยุมภูว์จะ...เอ่อ...” นิติธรอึกอัก
“มีอะไรก็รีบว่ามาสิครับ คุณนิติธร”
“เค้าระแวงว่าคุณสยุมภูว์จะเป็นพวกหัวงู หวังเคลมเลขาน่ะสิครับ”
สยุมภูว์สะดุ้งโหยง แจ็คเดินมาซุ่มแอบฟังอย่างสอดรู้อยู่ที่ด้านหลัง
“เอ่อ...ก็จริงของเค้านะ ใครก็ไม่รู้ จู่ๆ มาเสนอเงินเดือนให้ตั้งสองแสน” สยุมภูว์คิดได้
“ใช่ครับ...เป็นคนอื่นคงดีใจจนเนื้อเต้น แต่รายนี้ดูจะเป็นคนรักศักดิ์ศรี แล้วก็ไว้ตัวพอสมควร เค้ายืนยันด้วยนะครับว่าเค้าอยากทำงานที่ได้ใช้ความสามารถ ไม่อยากรับงานที่ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัว”
สยุมภูว์เดินครุ่นคิดด้วยความเคร่งเครียด โดยที่แจ็คยังคงแอบเงี่ยหูฟังอยู่ด้านหลัง
“อืม...เอาไงดีล่ะ” สยุมภูว์นึกได้ “งั้นเอางี้...ถ้าแววเค้ากลัวเปลืองเนื้อเปลืองตัว งั้นคุณนิติธรก็กลับเข้าไปบอกเค้าได้เลยว่า งานเลขาที่ผมจะจ้างเค้าเนี่ย ไม่เปลืองตัวแน่ๆ เพราะเค้าจะไม่ได้เจอตัวผมเลย”
นิติธรงง “หา!? ยังไงนะครับ เป็นเลขาคุณสยุมภูว์ แต่ไม่เจอตัวคุณสยุมภูว์เลย”
“ใช่ครับ ผมจะสั่งงานเค้าผ่านทางโทรศัพท์ ผ่านทางคอมพิวเตอร์ หรือผ่านคุณนิติธรอีกที เรียกว่าเค้าไม่ต้องมาเข้าใกล้ตัวผมเลย”
“ได้ครับคุณสยุมภูว์ ถ้าเป็นอย่างงี้ เค้าคงสบายใจขึ้น ว่าคุณสยุมภูว์คงไปถึงเนื้อถึงตัวเค้าไม่ได้แน่ๆ”
“งั้นตามนี้นะครับ คุณนิติธรเข้าไปคุยกับเค้าอีกที แล้วได้ความยังไงก็แจ้งคุณเพิ่มพงษ์มาที่เบอร์นี้นี่แหละ โอเคครับ รบกวนด้วยนะครับคุณนิติธร”
สยุมภูว์กดปุ่มวางหูแล้วเดินย้อนกลับออกไป แจ็คโผล่ออกมาจากที่ซ่อนแล้วมองตามสยุมภูว์ไปด้วยความสงสัย
“พูดเรื่องอะไรของเค้าวะ บ้ารึเปล่า...หรือว่า...พี่จักรกับน้าเพิ่มกำลังสมคบคิดกันทำอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เรารู้” แจ๊คครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจัง
มาลตีกำลังโวยวายใส่แวว โดยมีโรสยืนดูและออกอาการว่าอยู่ฝั่งเดียวกับมาลตี
“แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอไง เงินเดือนตั้งสองแสน แกจะไปหาได้จากที่ไหน” มาลตีว่า
แววอึกอัก “แต่ว่า...”
มาลตีสวนขึ้นทันที “แต่ว่าอะไรของแก รู้มั้ยว่าข้างนอกมีคนตกงานตั้งกี่แสนกี่ล้าน มีคนให้งานทำ ให้เงินเดือนตั้งขนาดนี้ เค้าให้ทำอะไร แกก็ทำๆ ไปเถอะ”
“แม่...ถ้าแววคิดแค่ได้เงินเยอะๆ แล้วทำอะไรก็ยอม แววก็ยอมให้คุณคำรพส่งเสียเลี้ยงดูไปแล้วหละ เกิดเป็นคน มันก็ต้องมีศักดิ์ศรีบ้างนะแม่”
“แล้วศักดิ์ศรีกับปากท้องอะไรมันสำคัญกว่า..หา?! เงินน่ะเลี้ยงปากท้องได้ แต่ศักดิ์ศรีบ้าบอของแกน่ะมันพอจะแลกข้าวสารได้ซักกระป๋องนึงมั้ย? ยัยโง่”
เสียงนิติธรดังขึ้น “อะแอ่ม...”
ทุกคนหยุดชะงักแล้วหันมาเห็นนิติธรที่แกล้งกระแอมดังๆ เพื่อขัดจังหวะ
มาลตีเปลี่ยนน้ำเสียงประจบทันที “อ้าว...คุณนิติธร” มาลตีหันไปบอกโรส “ยัยโรส รีบไปหาน้ำชาร้อนๆ มาให้คุณเค้าจิบแก้ระคายคอสิ เร็ว!”
“ค่ะๆๆ” โรสพูดกับนิติธร “เชิญนั่งก่อนนะคะคุณ”
นิติธรนั่งลงแล้วพูด “ขออนุญาตนะครับ ผมโทรกลับไปปรึกษาคุณสยุมภูว์แล้ว ทางเราอยากให้คุณแววสบายใจว่างานนี้ไม่เปลืองเนื้อเปลืองตัวแน่นอน”
แววได้ยินก็ทำสีหน้าสงสัย
“เพราะคุณแววจะเป็นคนแรกของโลก ที่ทำงานตำแหน่งเลขา แต่ไม่ต้องเจอตัวเจ้านายเลยน่ะครับ”
แววยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก “ห๊ะ? มีด้วยเหรอคะ งานแบบนี้”
“อย่าว่าแต่คุณแววเลย ผมเกิดมาหกสิบกว่าปี ก็เพิ่งเคยได้ยินวันนี้เหมือนกัน” นิติธรบอก
แววมีสีหน้าดีขึ้นเพราะรู้สึกว่างานที่ใฝ่ฝันไว้ดูเหมือนจะมีจริงๆแล้ว
สยุมภูว์กับแจ็คช่วยกันหยิบต้นไม้ขนาดเล็กสองต้นใส่ถุงให้ลูกค้าคู่เดิม ลูกค้าทั้งสองรับไป แล้วจ่ายเงินให้สามร้อยบาท
เพิ่มพงษ์รับเงินมา “พอดีนะครับ ขอบคุณครับ”
เสียงโทรศัพท์มือถือของเพิ่มพงษ์ดังขึ้นอีกครั้ง เพิ่มพงษ์สะดุ้ง พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอเขาก็รีบขยับออกห่างไปซุ่มคุย แจ็คเหล่มองอย่างจ้องจับผิด ขณะที่สยุมภูว์ยิ้มแย้มส่งลูกค้าสองคนที่เพิ่งเดินออกไป
“ฮัลโหล...ว่าไงครับคุณนิติธร...ครับ...ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะเรียนคุณสยุมภูว์ให้...ครับ แล้วมีอะไรผมจะรีบติดต่อไปอีกที ขอบคุณนะครับ” เพิ่มพงษ์กดวางสาย
แจ็คเหล่มองแต่ก็ยืนอยู่ห่างเกินกว่าจะได้ยินได้ถนัด เพิ่มพงษ์พูดโทรศัพท์เสร็จก็เดินไปส่งซิกกับสยุมภูว์ด้วยการสะกิดสยุมภูว์เบาๆ แล้วจึงเดินเลี่ยงมา สยุมภูว์เดินตามไป แจ็คเหล่มองไม่วางตาด้วยความรู้สึกทั้งสงสัยทั้งระแวงว่าคู่นี้มีความลับอะไร
แจ็คเห็นเพิ่มพงษ์กำลังกระซิอยู่ข้างหูสยุมภูว์ สยุมภูว์ได้ยินก็ยิ้มด้วยความดีใจ
“มันต้องอย่างงี้สิน้าเพิ่ม เยี่ยมไปเลย” สยุมภูว์ดีใจ
แจ็คเอ่ยถาม “ดีใจอะไรเหรอพี่จักร”
สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์หันมาเห็นแจ็คก็รีบเล่นละครทันที
เพิ่มพงษ์ทำเสียงเข้มใส่สยุมภูว์ “เออ...แกดีใจอะไรวะไอ้จักร แค่ชมว่าทำงานดีเข้าหน่อย ทำเป็น...ไป๊..ไปห้องทำงาน แล้วรีบทำบัญชีให้ฉันด้วย” เพิ่มพงษ์ขยิบตาส่งซิกให้สยุมภูว์ “เดี๋ยวฉันจะตามไป”
สยุมภูว์พยักหน้าบอกว่าเข้าใจแล้วเดินเลี่ยงไปทางห้องทำงานลับ แจ็คมองตามแล้วขยับก้าวจะเดินตามสยุมภูว์ แต่เพิ่มพงษ์ฉุดแขนเขาเอาไว้
“แกจะไปไหน” เพิ่มพงษ์ถาม
“ก็ตามพี่จักรไปห้องทำงานไง” แจ๊คบอก
“ฉันเคยสั่งแกไว้ว่าไง”
“ห้ามเข้าห้องทำงานเด็ดขาด ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น และห้ามถามด้วย”
“ชัดเจนแล้วนะ” เพิ่มพงษ์ถามต่อ
แจ็ครับคำ “คะ..ครับ”
เพิ่มพงษ์เดินตามสยุมภูว์ไป ทิ้งให้แจ็คมองตามด้วยความสงสัย
“เค้าแอบเข้าไปทำอะไรกันว้า หรือว่า...” แจ๊คนึกอะไรขึ้นมาแล้วก็ทำตาเหลือก “เข้าไปทำอะไรพรรค์นั้นกัน อี๋...อึ๋ย...รับไม่ได้ แค่คิดก็จะ...”
แจ็คทำท่าทางพะอืดพะอมเพราะขยะแขยงและรับไม่ได้อย่างแรง
เอกรินทร์เดินถือเอกสารทั้งกระดาษสคริปต์ทั้งแผ่นดีวีดีที่ใช้เป็นข้อมูลข่าวอยู่ในออฟฟิศ พอเดินผ่านโต๊ะที่วัณณรีนั่งอยู่ เขาก็ชะงักแล้วมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่วัณณรีใช้งานอยู่ ภาพในจอปรากฏว่าเป็นเกมซึ่งวัณณรีนั่งเล่นอย่างสนุกสนาน
วัณณรีกำลังยิ้มสนุกสนานกับการเล่นเกมส์ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่ามีคนมายืนใกล้ๆ วัณณรีเอาหูฟังออก พอเงยหน้าขึ้นไปก็เจอเอกรินทร์ยืนทำหน้าเครียดใส่
“พี่สั่งให้ทำอะไร” เอกรินทร์ถาม
“หาข้อมูลข่าวในกูเกิ้ลให้พี่” วัณณรีตอบ
“แล้วนี่วัณทำอะไรอยู่”
“แหม..ก็แค่เล่นเกม คลายเครียดนิดหน่อย”
“เครียดอะไร ทำงานให้พี่เสร็จแล้วเหรอ ไหนล่ะ พริ๊นท์มาให้พี่รึยัง”
วัณณรีส่ายหน้า “ยังไม่ได้หาเลยอ่ะ”
เอกรินทร์ดุ “วัณ เลิกทำตัวเป็นเด็กอนุบาลซะทีได้มั้ย วัณเป็นนักศึกษามาฝึกงาน แต่ใช้ให้ทำงานอะไรก็ไม่ทำซักอย่าง รู้มั้ย ถ้าพี่บอกให้พี่บก.ข่าวรับทราบ วัณโดนไล่ออกแน่ๆ”
วัณณรียิ้มอย่างไม่ยี่หระ “พี่ไม่ฟ้องหรอก”
“หือ..” เอกรินทร์เสียงดุ “นี่ท้าพี่เหรอ คิดว่าพี่ไม่กล้าฟ้องเหรอ”
“ใช่...พี่ไม่กล้าหรอก แล้วก็เลิกทำเป็นดุใส่วัณซะที วัณไม่กลัวหรอก คิดว่าวัณดูไม่รู้เหรอว่าพี่เอกชอบพี่แววอยู่”
เอกรินทร์อึ้ง “เอ่อ...”
“ยังไงพี่เอกก็ไม่ปล่อยให้วัณโดนไล่ออกอยู่แล้ว”
วัณณรีใส่หูฟังแล้วหันไปเล่นเกมต่ออย่างไม่ยี่หระ เอกรินทร์อึดอัดจนแทบจะอยากโวยออกมา แต่ก็พยายามกลั้นใจสะกดอารมณ์ไว้ เขาได้แต่ครุ่นคิดว่าจะกำราบเด็กคนนี้ยังไงดี
อ่านต่อหน้าที่ 2
แววมยุรา ตอนที่ 4 (ต่อ)
เริงใจที่นั่งคุยอยู่กับแววและชลธิชาในร้านกาแฟโพล่งเสียงดังออกมาอย่างดีใจ ที่โต๊ะใกล้ๆ กันมีลูกค้าสาวออฟฟิศคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นโน้ตบุ๊คอยู่โดยมีแก้วกาแฟวางอยู่ด้วย
“จริงเหรอแวว อย่างงี้ต้องฉลอง” เริงใจหันไปกวักมือเรียกพนักงาน พนักงานเดินมาเริงใจจึงสั่ง “เอาอิตาเลี่ยนโซดามา 3 ที่ ลงบัญชีฉันนะ” เริงใจหันมาที่ชลธิชากับแวว “เดี๋ยวเรามาชนแก้วยินดีกับยัยแววกัน”
“นี่ยัยเริงใจ...อย่าเพิ่งดีใจเว่อร์” แววปราม “บอกตรงๆ ฉันเองก็ยังสองจิตสองใจ ไม่รู้จะทำงานนี้ดีหรือเปล่า”
“อ้าว...ทำไมล่ะแวว ได้เป็นเลขาซีอีโอของทศพลกรุ๊ปแล้วยังจะลังเลอีก เงินเดือนสูงขนาดนี้ ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะยอมปิดร้านกาฟไปเป็นเลขาแบบไม่ต้องคิดมากเลย” ชลธิชาบอก
“อ้าว..ยัยธิชา จะชิ่งกันง่ายๆเลยนะเพื่อนนะ” เริงใจท้วง
“เป็นเธอจะไม่ไปหรือไง” ชลธิชาถามกลับ
“ไปตั้งแต่บอกว่าเป็นเลขาคุณสยุมภูว์แล้ว...งานเดือนเท่าไรเริงใจไม่เกี่ยง”
แววขำกับเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะพูด “เขาคงคาดหวังให้ฉันเป็นซูเปอร์เลขาเก่งขั้นเทพแน่ๆ”
“ฉันว่าเขาคงรู้ล่ะน่าว่าเธอมีความสามารถแค่ไหน ไม่งั้นคงไม่ส่งคนมาทาบทามสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก”
เริงใจเห็นด้วย “ใช่..เขาคงเห็นอะไรในตัวเธอบ้างล่ะ”
แววนึก “แต่ฉันก็เคยทำแต่งานพริตตี้นี่นา”
“ถ้าเธอคิดว่าเขาเลือกเธอแค่เธอสวย เขาไปจ้างนางแบบนางงามไม่ดีกว่าเหรอ ฉันว่าเริงพูดถูกนะว่าเขาต้องเห็นอะไรดีดีในตัวเธอแน่ๆ” ชลธิชาย้ำ
แววยังมีสีหน้ายังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร
เอกรินทร์กำลังสอนวัณณรีอยู่ในออฟฟิศ
“เด็กฝึกงาน แต่ไม่รู้จักฝึก ไม่รู้จักทำงาน ถึงพี่จะเห็นแก่พี่สาวเธอ ยอมให้เธอฝึกงานต่อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตอนผลประเมินผล พี่จะให้เธอผ่านนะ”
วัณณรีหันมามองอย่างงงๆ แล้วถอดหูฟังออก “เมื่อกี้พี่เอกพูดอะไรกะวัณรึเปล่า”
เอกรินทร์แทบอยากจะร้องว๊ากออกมา แต่ก็กลั้นใจพูดเสียงเข้ม “พี่บอกว่า ถ้าเธอยังดื้อแบบนี้ ตอนประเมินผล พี่จะไม่ให้เธอผ่าน”
วัณณรีสะดุ้ง เหมือนโดนจี้จุดอ่อน “พี่เอกกล้าเหรอ วัณเป็นน้องพี่แววนะ”
“กล้าสิ แล้วรับรองว่า ถ้าพี่ฟ้องแววว่าน้องสาวเค้าทำอะไรไว้บ้างตอนฝึกงานที่นี่ รับรองว่าพี่แววของเธอต้องอบรมแบบจัดหนักแน่ๆ”
วัณณรีอึ้งไปพักหนึ่งแล้วจึงยอมแพ้ “ก็ได้ๆ เดี๋ยววัณจะหาข้อมูลให้ก็ได้”
เอกรินทร์ยิ้มอย่างพอใจแล้วหอบเอกสารและดีวีดีที่วางไว้จะเดินต่อ แต่ก็ต้องชะงักเพราะวัณณรีพูดกับเขาต่อ
“แต่ว่า...ถ้าวัณช่วยงานเสร็จ พี่เอกต้องพาวัณไปเลี้ยงหนมเค้กด้วย ตกลงตามนี้นะ”
“เฮ้ย..เกี่ยวอะไรด้วย พี่ไปบอกตอนไหนเหรอว่าจะเลี้ยงขนมเธอ”
“น่า...นะ จะจีบพี่สาวเค้าแล้วจะมาขี้ตืดได้ไง”
เอกรินทร์รีบยกนิ้วจุ๊ปากปราม ก่อนจะมองซ้ายมองขวาเพราะกลัวใครได้ยิน “ชู่วว..แล้วจะเสียงดังไปทำไมล่ะ ก็ได้ๆ...แต่ต้องหาข้อมูลให้พี่ครบถ้วน ห้ามขาดตกบกพร่องเด็ดขาดนะ”
“ได้เลย...เพื่อขนมเค้ก เอ๊ย! เพื่อพี่เอก วัณช่วยงานเต็มที่อยู่แล้ว”
เอกรินทร์ทำท่าหนักใจกับเด็กคนนี้
แววมีท่าทางกลุ้มใจ เธอดูดน้ำอิตาเลี่ยนโซดาสีสวยจากก้นแก้วจนหมดแล้ววางแก้วลง
ไงั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนดีกว่า” แววบอก
“อ้าว..จะกลับแล้วเหรอ” เริงใจถาม
“ฉันว่าจะแวะร้านหนังสือ ไปหาคู่มือเลขานุการมาลองอ่าน เตรียมตัวเตรียมใจน่ะ”
ชลธิชาคิด “ร้านหนังสือแถวไหนล่ะ”
แววงง “ก็ร้านประจำฉันน่ะสิ..จะฝากซื้อหนังสือหรือเปล่า”
“เปล่า..ฉันว่าจะแวะไปแถวนั้นพอดี เดี๋ยวฉันไปส่งเธอดีกว่า” ชลธิชาอาสา
“ดี..จะได้ไม่ต้องเสียค่าแท็กซี่” แววบอก
“ห้ามเถลไถล ทิ้งให้เพื่อนเฝ้าร้านคนเดียวนะยะยัยธิชา” เริงใจบอก
แววพูดกับเพื่อนทั้งสองคน “ขอบใจเธอสองคนมากนะ ที่เป็นกำลังใจให้ฉัน ถ้าไม่มีเพื่อนอย่างพวกเธอฉันจะอยู่ยังไงเนี่ย ขอบคุณมากนะ”
แววจับมือจับไม้และโอบขอบคุณทั้งชลธิชาและเริงใจ
รถของชลธิชาเคลื่อนออกไปจากหน้าร้านกาแฟ สักพักเอกรินทร์ก็ขี่มอร์เตอร์ไซค์โดยมีวัณณรีซ้อนท้ายมาจอดที่หน้าร้าน
“พี่พามากินเค้กตามสัญญาแล้วนะ อย่ามาทวงบุญคุณกันอีกล่ะ” เอกรินทร์บอก
“มีร้านเก๋ๆ แพงๆ กว่านี้ไหมเนี่ย พี่เอกพามาร้านคนกันเองอย่างนี้ เดี๋ยววัณจะแซวพี่เอกกับพี่แววให้เข็ดเลย” วัณณรีขู่
“อย่านะวัณ”
“พี่เอกก็เปิดตัวเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยสิ กล้าๆหน่อย มัวแต่อ้ำๆอึ้งๆอย่างนี้ เดี๋ยวก็โดนคนอื่นแย่งไปหรอก”
เอกรินทร์หน้าเจื่อนลง วัณณรีขำเมื่อเห็นเอกรินทร์ออกอาการ
“ตายแล้ว..นี่..วัณไม่ได้ทำให้พี่เอกเสียเซลฟ์ใช่ไหมเนี่ย”
“แววเขาจะเลือกใคร พี่ก็คงไปบังคับไม่ได้หรอก”
“วัณก็ว่าอย่างนั้นล่ะ..ไปเถอะค่ะ วัณอยากกินเค้กเต็มทีแล้ว”
เอกรินทร์กับวัณณรีเดินเข้าไปในร้าน
จานขนมเค้กและกาแฟที่ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะของเอกรินทร์ แล้วเริงใจก็เข้ามานั่งข้างๆ เอกรินทร์โดยไม่ได้รับเชิญ วัณรีแอบชักสีหน้า
“แววเพิ่งออกไปกับยัยธิชาเมื่อกี้นี่เองค่ะ” เริงใจบอก
เอกรินทร์มีสีหน้าผิดหวังนิดๆ “อ้าว..หรือครับ”
“ผิดหวังมากเลยหรอคะ ที่ไม่ได้เจอกัน สองคนนั้นไม่อยู่ แต่เริงอยู่นะคะ”
วัณณรีเริ่มหมั่นไส้ “พี่เริงคะ พี่เอกเขาอยากเจอพี่แววค่ะไม่ได้อยากเจอพี่เริง”
“ยัยวัณ.. อยากจะกินเค้กสักปอนด์ สองปอนด์ไหมเดี๋ยวพี่จัดให้จะได้ไม่ต้องพูดมาก” เริงใจบอก
“ใจดีจังเลยค่ะพี่เริง แต่รบกวนแพ็คใส่กล่องกลับบ้านจะดีกว่านะคะ”
เริงใจหันมาจิกตาใส่ วัณณรีกินเค้กต่ออย่างไม่สนใจ
“ยัยแววออกไปซื้อหนังสือน่ะค่ะ จะเตรียมตัวเป็นเลขาคุณสยุมภูว์” เริงใจบอก
เอกรินทร์ยิ้มกว้าง “น่าดีใจแทนแววนะครับ ได้ทำงานกับทายาทพันล้านด้วย”
“พี่เอกจะดีใจออกนอกหน้าไปหรือเปล่าคะเนี่ย” วัณณรีถาม
เอกรินทร์หุบยิ้มแล้วแกล้งดึงจานเค้กออกขณะที่วัณณรีจะตักกิน วัณณรีทำเป็นงอน เริงใจรู้สึกหมั่นไส้วัณณรีขึ้นมา
แจ๊คขนถุงปุ๋ยขึ้นท้ายรถด้วยท่าทางเหนื่อยจัด เพิ่มพงษ์เดินมาเห็นเข้าจึงต่อว่า
“ใจเสาะเหลือเกินนะไอ้แจ็ค ขนแค่กระสอบสองกระสอบก็ออกอาการแล้ว”
“ใครมันจะถึกเป็นควายเหล็กเหมือนน้าล่ะ” แจ๊คว่า
“ไอ้นี่..ยังมาต่อปากต่อคำ เร็วๆ”
“ก็ให้พี่จักรมาช่วยสิ..นั่นน่ะ ไปนั่งหล่ออยู่ตรงนั้นแล้วมันจะเสร็จมั้ย” แจ๊คบอก
เพิ่มพงษ์มองตามที่แจ๊คบอกจึงเห็นว่าสยุมภูว์นั่งเหม่ออยู่ที่นั่งคนขับรถ เพิ่มพงษ์เดินไปเคาะกระจกรถ สยุมภูว์สะดุ้งแล้วเลื่อนกระจกรถลง
เพิ่มพงษ์กระซิบ “คุณสยุมภูว์ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
สยุมภูว์ส่ายหน้า “ผมกำลังคิดว่าจะให้แววทำอะไรเป็นงานแรกในตำแหน่งเลขาของสยุมภูว์ ทศพลอยู่ครับ”
“ดูจากสีหน้าท่าทางแล้ว คุณสยุมภูว์คงไม่ต้องการให้คุณแววแต่งตัวสวยๆ รอรับโทรศัพท์ จัดคิวงานให้ใช่ไหมครับ”
“ผมว่าแววก็คงไม่อยากทำอะไรอย่างนั้นนะ..เห็นบอกว่าอยากทำงานที่ใช้ความสามารถจริงๆ นี่”
เพิ่มพงษ์ยิ้ม “งั้นเราก็ต้องจัดหนัก !!”
สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์พยักหน้าเห็นพ้องต้องกัน จู่ๆ แจ็คก็โผล่มาแทรก ทั้งสองจึงผงะออก
“โม้อะไรกันอยู่สองคนเนี่ย ไหนน้าเพิ่มบอกว่าจะเรียกพี่จักรมาช่วยไง” แจ๊คโวย
เพิ่มพงษ์ดูที่กระบะท้ายรถจึงเห็นกระสอบปุ๋ยวางอยู่ท้ายรถครบแล้ว
“เออ..เสร็จเรียบร้อยแล้วนี่” เพิ่มพงษ์พูดกับสยุมภูว์ “..ออกรถเลย เดี๋ยวลูกค้ารอ จะหิวแย่”
“ปุ๋ยนะ..ไม่ใช่ข้าวกล่อง” แจ๊คท้วง
“อ้าว..ก็อยากฮามั่ง..อะไรมั่งสิ” เพิ่มพงษ์หันไปเห็นว่าแจ็คไม่ขำ “ไม่ฮาเหรอ..ไปหามุกใหม่ก่อนดีกว่า”
เพิ่มพงษ์เดินออกไป แจ๊คมองตามแล้วหันไปหาสยุมภูว์
“เนียนตลอดเลยนะพี่เนี่ย...เรื่องออกแรงชิ่งตลอด”
“มันไม่ใช่ทางพี่น่ะแจ๊ค แต่แจ๊คน่ะมาถูกทางแล้ว ยาวไปเลยนะแจ๊คนะยาวไป..ไปให้สุดเลย..ส่วนพี่” สยุมภูว์สตาร์ทรถ “จะไปตามทางของพี่..ไปล่ะนะ”
สยุมภูว์ออกรถไป แจ๊คมองตามแล้วโวยไล่หลัง
“เออ..แจ๊คมันไม่หล่อ ไม่ลีน(lean) ใส่ขาเดฟไม่ได้ แต่แจ็คไม่ยอมยกของแบกของไปตลอดชีวิตหรอกเว้ย”
เสียงเพิ่มพงษ์ตะโกนสั่งมาไกลๆ “ไอ้แจ๊ค..ดินสองกระสอบ ขนขึ้นรถลูกค้าด้วย”
แจ๊คทำอะไรไม่ได้นอกจากค้อนกับลมกับฟ้า
“นี่ก็สั่งตล้อด” แจ๊คประชด “แน่จริงก็สั่งให้มันเดินขึ้นรถเองด้วยดิ..อะไรๆก็...”
แจ๊คเดินกระฟัดกระเฟี้ยดออกไป
แววกำลังตั้งใจหาหนังสืออยู่ที่ร้านหนังสือ ขณะที่ชลธิชาแอบหลบออกมาหาโทรศัพท์หานิติภูมิ
“คุณนิติภูมิมาถึงไหนแล้วคะ” ชลธิชาถาม
“กำลังขึ้นลิฟท์ครับ แววยังอยู่ที่ร้านใช่ไหมครับ” นิติภูมิถามกลับ
“ค่ะ” ชลธิชาหันไปดูแวว “ยังอยู่”
แววกำลังเลือกหนังสืออยู่ที่ชั้น เธอกำลังจะหยิบหนังสือออกมาจากชั้นแต่มีมือพุ่งเข้ามาหยิบให้อย่างจงใจจะแตะมือเธอ แววตกใจชักมือกลับพอหันขวับไปดูจึงเห็นว่าเป็นคำรพที่ยืนยิ้มให้
“ไม่เจอกันตั้งนานนะแวว”
“ไอ้โรคจิต !!!” แววว่า
“โอ้ว..แสบ..ปากจัด..พิมพ์นิยมของป๋า..มามะ..Come on baby !!!”
“ไปไกลๆ เลยไม่งั้นฉันจะเรียกรปภ.” แววขู่
คำรพยิ้มๆ ทำท่าจะถอยตามที่แววขอแต่แล้วกลับก้าวเข้ามาหาเธอเรื่อยๆ แววขยับถอยห่าง
คำรพทำท่าเหมือนถูกแม่เหล็กดึงเข้าไป “อุ้ย..อะไรมันดึงป๋าเข้าไปเนี่ย”
แววถอยกลับไปอย่างรวดเร็วจนสะดุดขาตัวเองจวนจะหงายหลัง
“ว้าย..!!!”
แววเซค้างอยู่กลางอากาศแล้วก็มีคนมารับไว้ แววหันไปมองเห็นว่าเป็นนิติภูมิ หน้าของทั้งสองชิดกันโดยไม่รู้ตัว แววทำหน้างงๆก่อนจะผละไปหลบอยู่ข้างหลังนิติภูมิ
“ช่วยด้วยค่ะ” แววร้องขอ
นิติภูมิมองหน้าคำรพ
“มายุ่งอะไรกับแวว” นิติภูมิถาม
แววทำหน้างงเพราะไม่รู้ว่าทำไมนิติภูมิรู้จักชื่อเธอได้ยังไง
“อ้าว..รู้จักกันด้วยเหรอ..อย่าบอกนะว่าเป็นแฟนกันน่ะ” คำรพยียวน
“แฟนหรือไม่ใช่แฟนคุณก็ไม่มีสิทธิ์มาลวนลามผู้หญิงแบบนี้” นิติภูมิว่า
“ลวนลามอะไร..ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
นิติภูมิโกรธที่ถูกกวนประสาทจึงจะพุ่งเข้าไปต่อยคำรพโดยไม่ให้ตั้งตัว แต่ยามที่ชลธิชาพามาเข้ามากันทั้งสองออกไปก่อน
“วันก่อนก็คนนึง...วันนี้ก็อีกคน...รู้แล้ว !!! ที่เล่นตัวกับป๋าเนี่ยเพราะอยากจะปั่นราคาใช่ไหม..อยากได้เท่าไรล่ะ” คำรพตะโกนถาม
แววพยายามสะกดอารมณ์ก่อนจะเดินเข้าไปหาคำรพที่ถูกยามจับไว้
แววพูดกับยาม “จับแน่นๆนะพี่”
แววมองหน้าคำรพแล้วทำท่าเหมือนจะชก แต่กลับกระทุ้งเข่าเข้ากลางหว่างขาจนคำรพทรุดลงที่พื้น ชลธิชาเหวอแต่ก็แอบขำ นิติภูมิมองแววด้วยสายตาถูกอกถูกใจ
แววกับนิติภูมิยืนคุยกันโดยที่ชลธิชายืนอยู่ด้วย
“แน่ใจนะครับว่าคุณเป็นคนๆเดียวกับคนที่เดินแบบประมูลสร้อยเพชรให้ผมน่ะ” นิติภูมิถาม
“ทำไมล่ะคะคุณนิติภูมิ..หน้าแววแย่มากหรือคะเนี่ย” แววถามกลับ
“เปล่าครับ..แค่คาดไม่ถึงว่าจะเห็นคุณเล่นฉากบู๊อย่างนี้”
แววขำๆ แล้วหันไปคุยกับชลธิชา “ แล้วนี่เธอมาเจอกับคุณนิติภูมิได้ยังไง”
ชลธิชาพยายามหาคำตอบ
นิติภูมิเห็นชลธิชาอึกอักจึงช่วยพูด “ผมโทรคุยกับชลธิชาเรื่องงานประมูลน่ะครับ คุณชลธิชาเลยเล่าว่าคุณแววกำลังจะมาทำงานที่ทศพลกรุ๊ป ผมก็เลยเสนอตัวต้อนรับน้องใหม่ของบริษัท..ในฐานะคนเคยร่วมงานกันมาก่อน”
“แววเข้ามาในฐานะลูกน้องน่ะค่ะ..คงไม่ถึงกับต้องให้ระดับผู้บริหารลงมารับรองมั้งคะ” แววบอก
ชลธิชารีบเสริม “แววขี้เกรงใจอย่างนี้ล่ะค่ะ คุณนิติภูมิ”
“เห็นคุณชลธิชาบอกว่าคุณอยากเรียนรู้งานเลขาใช่มั้ยครับ”
แววส่งสายตาดุชลธิชา “หืมม์..ยัยธิชา มีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้บอกมั่งเนี่ย”
“ฉันหวังดีนะ..อยากให้เพื่อนเป็นเลขานุการที่เพอร์เฟ็คท์ที่สุดในสามโลกของคุณสยุมภูว์ ทศพลน่ะ”
นิติภูมิได้ยินชื่อสยุมภูว์ก็แอบชักสีหน้านิดๆ แต่สองสาวไม่เห็น
“หวังว่าคุณแววจะไม่รังเกียจนะครับ ถ้าผมจะเสนอให้คุณแววไปพบกับเลขาของพ่อผม”
ชลธิชารีบรับแทน “ไม่รังเกียจหรอกค่ะ”
“ธิชา..!” แววดุ
“เธออ่านหนังสือพวกนี้ไปก็เท่านั้นแหละ ไปเจอมืออาชีพเลยดีกว่า” ชลธิชาบอก
แววยังลังเล เธอนิ่งคิดสักพัก นิติภูมิรอคำตอบ ชลธิชาเลยจัดแจงพูด
“ฝากยัยแววด้วยนะคะคุณนิติภูมิ”
แววมองหน้าชลธิชาแบบเหวอ ๆ
ชลธิชาเดินเข้ามาในร้านกาแฟแล้วเห็นเอกรินทร์นั่งอยู่กับเริงใจสองคน ชลธิชารู้สึกอึดอัดแต่ก็พยายามทำเป็นร่าเริง
“คุณเอก..มาตั้งแต่เมื่อไรคะเนี่ย” ชลธิชาถาม
“ตั้งแต่ที่เธอออกไปกับยัยแววนั่นล่ะ” เริงใจตอบแทน
ชลธิชาเจ็บในใจเพราะคิดว่าทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันนานแล้ว วัณณรีเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
“ฉันคงต้องบอกด้วยสินะว่าวัณมากับคุณเอก” เริงใจพูด
ชลธิชาโล่งอก “พอดีพี่พาแววไปร้านหนังสือน่ะ..แล้วก็ไปเจอคุณนิติภูมิ เขาเลยเสนอจะพาแววไปฝึกงานกับเลขาพ่อของเขา วันนี้แววอาจจะกลับบ้านดึกหน่อยนะ”
“พี่ธิชาเล่าละเอียดเลยนะคะ วัณไม่ได้อยากรู้เรื่องพี่แววสักหน่อย” วัณณรีพูดห้วนๆ
เอกรินทร์เสียงดุ “วัณ !!”
“นอกเวลางานแล้วค่ะ พี่เอกไม่มีสิทธิ์ดุวัณนะคะ”
“พี่เล่าเพราะวัณจะได้ช่วยอธิบายกับคุณแม่ ถ้าแววกลับบ้านดึก เดี๋ยวคุณแม่จะเข้าใจผิด” ชลธิชาบอก
วัณณรีทำเป็นไม่ใส่ใจ
“งั้น วัณกลับก่อนนะคะพี่ๆ รู้สึกว่าอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว” วัณณรีบอก
เอกรินทร์เอ่ยขึ้น “เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เอก วัณกลับแท็กซี่ดีกว่า ซ้อนมอร์เตอร์ไซค์ตากแดดเดี๋ยว ผิวเสียหมด”
วัณณรีหยิบกระเป๋าแล้วสวัสดีทุกคนก่อนจะเดินออกไป เอกรินทร์ส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายแต่ก็เดินออกไปส่ง
เริงใจมองตามแล้วพูดออกมา “ถ้าไม่ติดว่าเป็นน้องสาวเพื่อนนะ”
เริงใจทำหน้าหมั่นไส้วัณณรี
แววยกมือไหว้นิติธรที่อยู่ในห้องทำงานอย่างนอบน้อม
“เห็นนิติภูมิบอกว่าคุณแววอยากมาศึกษางานเลขาฯหรือครับ” นิติธรถาม
“ค่ะ คุณนิติธร แววต้องสารภาพตรงๆว่าแววไม่มั่นใจกับงานนี้เลย แต่ที่รับงานนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะแม่” แววบอก
“ผมเข้าใจครับ ยังไงคุณแววก็เรียนรู้ให้เต็มที่ก็แล้วกัน ไม่มีอะไรยากหรอกครับถ้าเราตั้งใจจริง”
“ค่ะ..ขอบคุณคุณนิติธรด้วยนะคะ”
แววลุกขึ้น แต่ก่อนจะออกจากห้องเธอก็หันมาถามนิติธร
“แววขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ”
“ครับ”
“คุณสยุมภูว์เป็นคนยังไงหรือคะคุณนิติธร แววจะได้เตรียมตัวเตรียมใจถูก”
นิติธรถึงกับนิ่งไป
ในห้องทำงานลับ เพิ่มพงษ์วางสายจากนิติธรแล้วจึงยิ้มออกมา
“เลขาใหม่ของคุณสยุมภูว์นี่เอาการเอางาน กระตือรือร้นเชียวนะครับ ยังไม่ทันได้คุยกับเจ้านายก็เข้าไปฝึกงานกับเลขาคุณนิติธรแล้ว” เพิ่งพงษ์พูดกับสยุมภูว์
สยุมภูว์งง “เหรอครับ”
เพิ่มพงษ์กดคีย์บอร์ดตรงหน้า หน้าจอขึ้นให้ระบุพาสเวิร์ด เพิ่มพงษ์พิมพ์password ลงไป ก็ปรากฏภาพหน้าห้องทำงานของนิติธรบนจอ สยุมภูว์เห็นว่าแววกำลังคุยกับพิม เลขาของนิติธรอยู่ สยุมภูว์ยิ้มเมื่อเห็นภาพนั้น
สักพักเขาก็เห็นว่านิติภูมิเดินเข้ามาในรัศมีของกล้องวงจรปิด นิติภูมิเดินเข้ามาคุยกับแววด้วยท่าทางสนิทสนม สยุมภูว์มีสีหน้าเปลี่ยนไป เพิ่มพงษ์หันมาเห็นเข้าพอดี
“คุณนิติธรบอกว่า เขาเป็นคนชวนให้แววเข้ามาเรียนรู้งานกับเลขาคุณนิติธรน่ะครับ” เพิ่มพงษ์เล่า
สยุมภูว์ครุ่นคิด “งั้นเหรอ”
นิติภูมิยืนดูแววศึกษางานกับพิมอยู่ห่างๆ สยุมภูว์กดคีย์บอร์ดตรงหน้าทำให้ภาพจากมอร์นิเตอร์เปลี่ยนเป็นภาพอีกมุมหนึ่งที่เห็นสีหน้าของนิติภูมิชัดเจนว่าเขาดูแววเรียนรู้งานไปก็ยิ้มไป ด้วยท่าทางมีความสุข สยุมภูว์มองภาพในจอแล้วบ่นพึมพำ
“ช่างดูแลผู้ร่วมงานได้ดีจริงๆนะ คุณนิติภูมิ”
วัณณรีก้าวขึ้นแท็กซี่ไป เอกรินทร์ยืนรอจนกระทั่งรถเคลื่อนตัวออกไป สักพักเขาก็เห็นมอร์เตอร์ไซค์คันหนึ่งมาจอดใกล้ๆ แต่เอกรินทร์ไม่ได้สนใจ เขาจะเดินกลับเข้าไปในร้าน ชายคนหนึ่งวิ่งสวนออกมาจากด้านในร้านพร้อมกับกระเป๋าสะพายก่อนจะตรงไปที่มอร์เตอร์ไซค์ที่จอดรออยู่
เอกรินทร์สังเกตเห็น “กระเป๋าคุณธิชานี่”
ชลธิชาวิ่งตะโกนออกมาจากร้านพร้อมเริงใจ
“ช่วยด้วย..ขโมย..กระเป๋าชั้น”
เอกรินทร์ได้ยินก็หันไป จังหวะเดียวกับที่มอร์เตอร์ไซค์หัวขโมยพุ่งออกไปพอดี เอกรินทร์ปราดไปที่มอเตอร์ไซค์ของตนแล้วรีบซิ่งตามไปทันที
ชลธิชา เริงใจเดินตามออกมา ทั้งสองยืนหน้าตื่นมองตามไป ลูกค้าและพนักงานคนอื่นก็แตกตื่นกันไปทั้งร้าน
ติดตามอ่านแววมยุรา ตอนที่ 4 (จบตอน) พรุ่งนี้
แววมยุรา ตอนที่ 4 (ต่อ)
ขโมยขี่มอร์เตอร์ไซค์บิดหนีเอกรินทร์ ขณะที่ขโมยที่ซ้อนเปิดกระเป๋ารื้อค้นสิ่งที่ไม่ต้องการแล้วโยนทิ้งไปทีละชิ้น เอกรินทร์บิดมอเตอร์ไซค์ไล่กวดมา ใกล้ถึงทางแยกขโมยเหลียวหลังไปเห็นมอเตอร์ไซค์ของเอกรินทร์ที่อยู่ห่างร่วม 20 เมตร ขโมยจึงหักเลี้ยวเข้าแยกไป เอกรินทร์บิดมอเตอร์ไซค์ทิ้งโค้งเลี้ยวตามไปติดๆ
เอกรินทร์เร่งบิดมอเตอร์ไซค์ตามมาอย่างกระชั้นชิด ขโมยเหลียวหลังมองเห็นว่าโดนไล่ใกล้เข้ามาก็รีบบิดเร่งเครื่องหนีห่างออกไป ขโมยเลี้ยวหนีเข้าไปที่ทางแยก เอกรินทร์ชะลอมอเตอร์ไซต์แล้วมองตามเข้าไปในทางแยก ก่อนจะตัดสินใจบิดตรงไป
ขโมยขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาในซอยค่อนข้างเปลี่ยวพอเหลียวหลังกลับไป ขโมยทั้งสองก็เป่าปากโล่งอก ขโมยชะลอมอเตอร์ไซค์แล้วจอดก่อนจะดับเครื่อง ขโมยคนหนึ่งหยิบกระเป๋าเงินออกมาเปิดดูพอเห็นเงินปึกใหญ่ก็ยิ้มออก
ขโมยคนที่หนึ่งนับเงินแล้วแบ่งครึ่งหนึ่งให้คนขี่ “เอาไป..คนละครึ่ง”
“มีอะไรอีก แค่นี้จะคุ้มอะไรล่ะ” ขโมยคนที่สองถาม
ขโมยคนที่หนึ่งรื้อกระเป๋าดูเห็นกล้องถ่ายรูป กระเป๋าเครื่องสำอางค์ ฯลฯ
ขโมยคนที่สองเอ่ยขึ้น “กล้องนี่ เอาไปขายแล้วแบ่งกันก็แล้วกัน”
ขโมยทั้งสองจะหนีไป แต่เอกรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์ปราดมาดักด้านหน้า ขโมยจะพุ่งเข้าชนเอกรินทร์ เอกรินทร์เบี่ยงหลบแล้วดึงคอเสื้อคนที่ซ้อนท้ายจนล้มลง ขณะที่คนขี่บิดหนีไป เอกรินทร์จะเข้าไปเอากระเป๋าที่ขโมยกอดอยู่ แต่ถูกขโมยล้วงมีดสปริงออกมาขู่
“ยุ่งอะไรวะมึง”
เอกรินทร์ก้าวเข้าไปแล้วเหวี่ยงหมวกกันน็อคในมือแทนอาวุธฟาดเข้ากกหูขโมยเต็มๆ จนขโมยทรุดหลับกลางอากาศนอนหมดสภาพอยู่ที่พื้น
เอกรินทร์เป่าปากแล้วก้มหยิบกระเป๋าของชลธิชามาได้ เขาเดินตรงไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ สตาร์ทเครื่องเตรียมออก
เอกรินทร์หันมองขโมย “แจ้ง 191 ให้มาหิ้วไปแล้วกันนะ”
เอกรินทร์กดโทรศัพท์ แล้วยกขึ้นแนบหู ขโมยยันกายขึ้นมาในสภาพที่ยังมึนงงแต่ก็คว้ามีดที่ตกอยู่เดินมาด้านหลังเอกรินทร์ แล้วเงื้อมีดจะปาดไปที่หลังของเอกรินทร์ เอกรินทร์เห็นจากกระจกมองข้างจึงเบี่ยงตัวหลบทัน ปลายมีดเฉี่ยวเสื้อจนขาด เอกรินทร์ ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย!”
เอกรินทร์รีบบิดมอเตอร์ไซค์หนีออกมา ขโมยเร่งฝีเท้าตาม แต่ก็ยังมึนๆ จากที่โดนของแข็งกระทบศีรษะเลยตามไปได้แค่ 3-4 ก้าว
ชลธิชากับเริงใจยังยืนชะเง้อกันอยู่ที่หน้าร้าน ชลธิชาดูจะเป็นห่วงเอกรินทร์จนออกนอกหน้า
“คุณเอกจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย ทำไงดีล่ะ หรือว่าฉันควรขับรถตามไปดู”
“ใจเย็นๆ ธิชา เค้าคงเอาตัวรอดได้น่า” เริงใจชี้ไป “โน่นน่ะ ใช่คุณเอกรึเปล่า”
ทุกคนเห็นเอกรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์มาแต่ไกล
ชลธิชาดีใจ “คุณเอก” ชลธิชารีบผละจากเพื่อนไปหาเอกรินทร์ทันที
เอกรินทร์จอดมอเตอร์ไซค์แล้วถอดหมวกกันน็อค ชลธิชารีบเดินเข้ามาถาม
“คุณเอก เป็นยังไงบ้าง”
เอกรินทร์หันมายิ้ม “ผมโอเค ผมตามให้ได้แค่นี้”
เอกรินทร์ยื่นกระเป๋าคืนให้ชลธิชา ชลธิชายิ้มดีใจแต่เห็นรอยเลือดเปื้อนอยู่บนเสื้อเอกรินทร์
“คุณเอก...หลังคุณ”
ชลธิชาแตะที่รอยมีดปาดที่เสื้อจึงเห็นว่าเลือดซึมออกมาจากแผล
“เลือด!!” ชลธิชาร้องออกมาด้วยความตกใจ
เอกรินทร์ชะงักและมีสีหน้าตกใจ
ชลธิชาประคองเอกรินทร์มาขึ้นรถยนต์ของเธอ ชลธิชากับเริงใจตระหนกตกใจในขณะที่เอกรินทร์กลับมีทีท่าสบายๆ
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ แผลแค่เลือดซิบๆ ไม่ต้องเย็บแผลด้วยซ้ำ” เอกรินทร์บอก
“แต่ก็ต้องทำความสะอาดแผลนะ จะประมาทไม่ได้นะคะ” ชลธิชาพูด
ชลธิชาดันเอกรินทร์ขึ้นรถ แล้วปิดประตูก่อนจะหันมาพูดกับเริงใจ
“ฝากร้านอีกทีนะ เริง”
เริงใจจะอ้าปากปฏิเสธ แต่ชลธิชาก็เข้าไปในรถพร้อมทั้งปิดประตูแล้ว
“เอ้อ..” เริงใจทำหน้าเซ็ง “ก็ได้”
ชลธิชาสตาร์ทรถออกไป เริงใจรีบเก็บอาการ ก่อนจะเดินเซ็งๆ กลับไปในร้าน
รถยนต์คันหรูของชลธิชาวิ่งอยู่บนถนนในกรุงเทพฯ ชลธิชาขับรถด้วยสีหน้าท่าทางร้อนใจ เอกรินทร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ พยายามอธิบายกับเธอ
“เชื่อผมสิครับคุณธิชา แผลมันนิดเดียว ไม่ต้องไปโรงพยาบาลก็ได้”
“ถ้าไม่ไปโรงพยาบาล แล้วจะไปทำแผลที่ไหนล่ะคะ” ชลธิชาถามกลับ
“คอนโดผมอยู่ข้างหน้าเนี่ย ผมขอกลับห้องดีกว่า พวกหยูกยาปฐมพยาบาลนี่ห้องผมก็มีครบ”
“ได้ งั้นฉันจะไปทำแผลให้คุณที่คอนโดคุณก็ได้”
“ผมไม่รบกวนดีกว่า เกรงใจคุณธิชาน่ะครับ ผมทำแผลเองก็ได้”
“นี่...คุณจะทำแผลเองได้ยังไง คุณโดนมีดบาดซะกลางหลังอย่างเงี้ย คุณจะทำแผลเองถนัดมั้ยนั่นน่ะ”
เอกรินทร์เห็นด้วย “อืม..จริงด้วยสิครับ”
รถของชลธิชาแล่นไปเรื่อยๆ บนถนนกรุงเทพฯ ยามกลางวัน
ณ ทศพลกรุ๊ป พิมยังคงอธิบายงานเอกสารให้แววฟัง
“เริ่มจากต้องรับผิดชอบ ตรวจสอบจดหมาย และเอกสารต่างๆ ทั้งที่ส่งเข้ามา และที่ส่งออกไป...ต้องรู้วิธีจัดเก็บเอกสารต่างๆ รวมถึงไฟล์ในคอมพิวเตอร์ โดยต้องจัดให้เป็นระบบระเบียบ ง่ายต่อการจัดเก็บและค้นหา ต้องรู้จักใช้โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์สำนักงานทุกชนิด และต้องคอยต้อนรับผู้มาติดต่องาน”
แววจดตามที่พิมอธิบายยิกๆ
นิติภูมิยืนเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ
ภาพที่ทศพลกรุ๊ปปรากฏขึ้นในมอร์นิเตอร์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าสยุมภูว์
สยุมภูว์บ่นอย่างไม่พอใจ “ใจคอจะเฝ้ากันทั้งวันเลยเหรอเนี่ย”
“แล้วคุณสยุมภูว์ไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรือครับ นอกจากแอบดูว่าสองคนนี้เขาจะเฝ้ากันทั้งวันทั้งคืนหรือเปล่า” เพิ่มพงษ์ถามกลับ
สยุมภูว์เริ่มรู้ตัว “นั่นสิ..ทำยังกับนั่งลุ้นผลบอลแน่ะ”
“คิดออกหรือยังล่ะครับว่าจะมอบภารกิจอะไรให้คุณแววทำ”
สยุมภูว์ดูมอร์นิเตอร์แล้วเห็นว่านิติภูมิช่วยแววย้ายกองเอกสารไป แววยิ้มอย่างรู้สึกดีกับนิติภูมิ สยุมภูว์นิ่งไปอีกครั้ง
“ภารกิจอะไรก็ได้ แต่มีเงื่อนไขเดียวคือ ห้ามมีผู้ช่วย !!!” สยุมภูว์เอ่ยขึ้น
เพิ่มพงษ์ยิ้ม “แล้วถ้าเขามาขอให้นายสยุมภูว์ช่วยล่ะครับ จะใจอ่อนหรือเปล่า”
สยุมภูว์นิ่งไป
เอกรินทร์เดินนำไปตามทางเดินหน้าห้องในคอนโดที่เขาพัก ชลธิชาเดินตามและใช้สายตามองแผลที่หลังของเอกรินทร์อย่างเป็นห่วง
“ห้องนี้แหละครับ” เอกรินทร์บอก
เอกรินทร์กำลังจะไขกุญแจเข้าห้อง ทันใดนั้นประตูห้องข้างๆ ก็เปิดผัวะ แป้งร่ำเดินออกมาแล้วหันไปพูดร่ำลาไลลาในห้อง
“ไปหละน๊า แล้วเจอกันนะไลลา”
แป้งร่ำหันมามองแล้วก็ต้องชะงักเพราะตกตะลึงที่เห็นเอกรินทร์มากับชลธิชา
เอกรินทร์ทัก “อ้าว คุณแป้ง สวัสดีครับ”
แป้งร่ำยังช็อคกับภาพที่เห็น “คะ..ค่ะ”
เอกรินทร์ผลักประตูห้องแล้วเดินเข้าไป ชลธิชาพยักหน้าให้แป้งร่ำตามมารยาท ก่อนจะเดินตามเข้าห้องไป แป้งร่ำยืนอึ้งเพราะรู้สึกผิดหวังและเสียใจกับภาพที่เห็น
เอกรินทร์นั่งหันหลังให้ชลธิชาแล้วค่อยๆ ถอดเสื้อแจ็คเก็ตออก ชลธิชาเห็นเสื้อที่เอกรินทร์ใส่อีกตัวเป็นรอยขาดจากการโดนมีดเฉือนถากผิวและมีรอยเลือดที่แห้งแล้วเป็นทางยาวร่วมคืบที่กลางหลัง ใกล้ตัวชลธิชามีอุปกรณ์ทำแผลวางอยู่พร้อม
ชลธิชามีท่าทางอึดอัดและเขินเพราะไม่กล้าบอกให้เอกรินทร์ถอดเสื้อ
เอกรินทร์หันมามองอย่างงงๆ “รออะไรอยู่เหรอครับ”
“เอ่อ...คือ...คุณเอก...ช่วย...ช่วยถอดเสื้อหน่อยได้ไหมคะ”
“อ้อ..จริงด้วยนะครับ ไม่งั้นจะทำแผลยังไง”
เอกรินทร์ขยับหันมาแล้วค่อยๆ ถอดเสื้อออก ชลธิชาเขินจนต้องหลับตาปี๋ เอกรินทร์ถอดเสื้อเสร็จก็วางพาดไว้กับตักแล้วหันกลับมาอีกที เขาเห็นชลธิชานิ่งหลับตาปี๋ก็อดขำไม่ได้
เอกรินทร์เรียก “คุณธิชา...”
ชลธิชายังหลับตาอยู่แต่เอ่ยถามออกมา “คุณถอดเสื้อเสร็จแล้วใช่มั้ย”
เอกรินทร์พูดกลั้วหัวเราะ “ครับ...”
ชลธิชายังหลับตาปี๋ “งั้น...หันหลังมาเลยค่ะ เดี๋ยวฉันทำแผลให้”
เอกรินทร์ยิ้มขำชลธิชาแล้วขยับหันหลังให้
“หันแล้วครับ”
ชลธิชาลืมตา แล้วเป่าปากโล่งใจ “โอเคค่ะ เดี๋ยวฉันจะล้างแผลให้นะคะ อาจจะแสบนิดนึง”
ชลธิชาเอาสำลีชุบน้ำยาล้างแผล แล้วค่อยๆ กดไปที่แผลอย่างเบามือ
เอกรินทร์ร้องออกมาเบาๆ “โอ๊ย...ซี๊ด...”
แป้งร่ำเอาหูแนบบานประตูห้องเอกรินทร์เพื่อแอบฟัง พอได้ยินเสียงเอกรินทร้องก็ถึงกับตาโต
“เค้าทำอะไรกันอยู่น่ะ”
แป้งร่ำกระวนกระวายใจ เธอขยับจะเคาะประตูแต่ก็ยั้งใจเปลี่ยนไปเคาะประตูอีกบานที่เป็นห้องของไลลาแทน ไลลาเปิดประตูยื่นหน้าออกมาถาม
“ยัยแป้ง นึกว่ากลับไปแล้ว มีอะไรเหรอ”
แป้งร่ำพูดเบาๆ “ในห้องนี้น่ะสิ คุณเอกพาผู้หญิงมา...ทำ...เอ่อ...”
ไลลามีสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
ไลลาไขกุญแจห้องของเอกรินทร์แล้วผลักเข้ามา แป้งร่ำก็รีบพุ่งเข้ามาด้วยท่าทางเตรียมบู๊เต็มที่
“นายเอก เสื้อแสงก็ไม่ใส่ ทำอะไรกันอยู่ยะ” ไลลาโวยวาย
ชลธิชากำลังปิดผ้าปิดแผลและเทปปิดแผลที่หลังให้เอกรินทร์ตกใจ เอกรินทร์ก็ตกใจเงยหน้ามองไลลากับแป้งร่ำที่จู่ๆ ก็พรวดเข้ามา
แป้งร่ำถามขึ้น “นี่มันอะไรกันคะเนี่ย”
“โดนมีดบาดนิดหน่อย คุณธิชาเลยอาสามาทำส่ง แล้วก็ทำแผลให้” เอกรินทร์อธิบาย
“อ้าว...ฉันก็นึกว่าคุณกำลัง...” แป้งร่ำอ้ำอึ้ง
เอกรินทร์ถามทันที “นึกว่าผมกำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ”
“เอ่อ..ปะ..เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” แป้งร่ำปฏิเสธ
“จำคุณธิชาได้ใช่มั้ย ที่เป็นคนจัดงานประมูลเครื่องเพชรน่ะ” เอกรินทร์ถาม
“เอ่อ...จำได้สิคะ” แป้งร่ำตอบ
ชลธิชาพูดกับทั้งสองคน “สวัสดีค่ะ”
“เอ่อ..ค่ะ” ไลลาสะกิดแล้วกระซิบแป้งร่ำ “เสียฟอร์มมั้ยล่ะ คิดไปได้”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ”
“งั้นเราสองคนขอตัวก่อนดีกว่า” ไลลาฉุดแขนแป้งร่ำ “ไปสิ”
แป้งร่ำพูดกับเอกรินทร์ “ขอให้แผลหายเร็วๆ นะคะ”
แป้งร่ำยังมองเอกรินทร์อย่างอาลัยคล้ายไม่อยากออกไป แต่ก็เซไปตามแรงไลลาที่ฉุดให้เดินออกจากห้องไป เอกรินทร์กับชลธิชามองตามทั้งสองแล้วหันมามองหน้ากันอย่างงงๆ
แววปิดหน้าสมุดโน๊ตหลังจากพิมเพิ่งสอนงานเสร็จ
“ขอบคุณมากนะคะคุณพิม ถ้าไม่ได้คุณพิม แววคงเสียเวลาอ่านหนังสืออีกเป็นตั้งแน่ ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอสรุปรวบยอดอีกครั้งนะคะว่าเลขาต้องทำให้ได้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ไหวไม่ได้ต้องไหว ทำไม่ได้ไม่ได้ต้องได้ ห้ามขาด ห้ามลา ห้ามป่วย แล้วก็ห้ามตายด้วย” พิมบอก
นิติภูมิรีบพูด “แต่ผมไม่ใช่เจ้านายโหดๆ แบบนั้นนะครับ”
สีหน้าแววเหมือนมีคำถามแต่ยังลังเลไม่กล้าถาม
ภาพของแววที่ยังลังเลเหมือนมีคำถามอะไรบางอย่างปรากฏบนจอมอนิเตอร์ สยุมภูว์ อยากรู้ว่าแววจะถามอะไรต่อ เขาจึงเร่งวอลลุ่มให้ดังขึ้นเพราะอยากได้ยินชัด ๆ สักพักแววก็ตัดสินใจถามออกมา
“แล้วพอจะทราบไหมคะว่า คุณสยุมภูว์เป็นเจ้านายแบบไหน”
สยุมภูว์ยิ้มออกมา เพิ่มพงษ์ยิ้มตาม
นิติภูมิมองมาที่แววแล้วทำท่าเหมือนจะตอบ เพิ่มพงษ์จับตาดูนิติภูมิเพราะรอฟังคำตอบจากปากของเขา แต่พิมกลับโพล่งขึ้นมาก่อน
“คุณสมบัติอีกข้อหนึ่งของการเป็นเลขาที่ดีคือห้ามนินทาเจ้านายค่ะคุณแวว”
แล้วทั้งสามก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน สยุมภูว์ลดเสียงจากมอร์นิเตอร์ลงแล้วยิ้มออกมา
“พรุ่งนี้คุณก็จะได้รู้ว่าคุณสยุมภูว์เป็นคนยังไง” สยุมภูว์พูด
เอกรินทร์ยืนขึ้นสวมเสื้อตัวใหม่ ส่วนชลธิชายังนั่งอยู่ที่เดิม
“ขอบคุณมากนะครับที่ทำแผลให้ ผมบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไรมาก เลยต้องเป็นภาระให้คุณเลย”
“ไม่เห็นจะเป็นภาระเลยนี่คะ ฉันต้องขอบคุณคุณด้วยซ้ำที่เสี่ยงไปตามกระเป๋าคืนมา ฉันเป็นห่วงคุณแทบแย่”
“ว่าไงนะครับ เมื่อกี้คุณธิชาบอกว่าเป็นห่วงผมเหรอครับ”
ชลธิชาหน้าตื่นเพราะนึกได้ว่าพลั้งปากไป “เอ่อ...เปล่านี่คะ งั้นเดี๋ยวฉันขอตัวกลับก่อนดีกว่า พรุ่งนี้คุณอย่าลืมแวะไปเอามอเตอร์ไซค์ที่ร้านล่ะ”
“ครับ ไม่ลืมแน่ครับ มอเตอร์ไซค์สุดรักผมเลยคันนั้นน่ะ”
เอกรินทร์เดินมาส่งชลธิชาที่หน้าประตู เขากำลังจะเปิดประตูให้ชลธิชาแต่จู่ๆ ก็ชะงัก
“เอ่อ...โทษนะครับ คือว่า...”
“คุณเอกมีอะไรก็บอกมาสิคะ”
“นานๆ ทีที่เราจะได้อยู่กันแค่สองคนแบบนี้ ถ้าผมจะขอถามอะไรคุณซักหน่อย คุณจะขัดข้องมั้ยครับ”
ชลธิชายิ้มดีใจ “ได้สิคะ ได้เลยค่ะ”
ชลธิชายิ้มปลื้มเพราะแอบหวังว่าเอกรินทร์คงสนใจที่จะพูดคุยและไถ่ถามเรื่องของเธอ
เอกรินทร์ยกแก้วกาแฟร้อนมาสองแก้วแล้วค่อยๆ วางเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารอย่างระมัดระวัง
“คุณกินกาแฟร้านคุณเองมาเยอะแล้ว ลองชิมฝีมือผมบ้าง”
“ได้สิคะ” ชลธิชายกขึ้นจิบ “อืม...ใช้ได้” ชลธิชายิ้มแล้วพูดหยอก “แต่อร่อยน้อยกว่าของที่ร้านฉันเยอะเลยหละ”
“โอเคครับ อันนั้นผมยอมแพ้” เอกรินทร์ยิ้ม แล้วยกกาแฟขึ้นจิบ
“ไหนคะ ที่คุณเอกบอกว่ามีเรื่องอยากจะถาม”
“เอ่อ..คือ...หรือผมไม่พูดดีกว่า”
“อ้าว..ทำไมล่ะคะ มีอะไรก็พูดออกมาเถอะค่ะ”
“งั้น...คุณธิชาต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่หัวเราะเยาะผม แล้วก็จะเก็บไว้เป็นความลับด้วย”
“ได้สิคะ สัญญาค่ะ”
“คือผม...ผมอยากถามว่า...คุณธิชา...”
ชลธิชายิ้มแล้วยกกาแฟขึ้นจิบแก้เขินในใจแอบหวังว่าเอกรินทร์คงพูดถึงเธอ
เอกรินทร์พูดต่อ “..พอจะรู้มั้ยครับว่า....แววเค้าคิดยังไงกับผม”
ชลธิชาถึงกับสำลักและแทบจะพ่นกาแฟออกมา แล้วเธอก็รีบคว้าทิชชู่บนโต๊ะ เช็ดปาก เช็ดโต๊ะ
“ผมพูดอะไรผิดไปเหรอครับ” เอกรินทร์ถาม
“ป..เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร เอ่อ..คุณถามอย่างงี้ เพราะชอบแววอยู่ใช่ไหมคะ”
“เอ่อ...ก็...จะว่างั้นก็ได้ครับ”
“แล้วทำไมคุณไม่ไปถามแววเค้า คุณจะมาถามฉันทำไม”
“เอ่อ..คือผม...ผมเห็นว่าคุณสนิทกับแววเค้ามากๆ ก็เลยอยากจะลองถามดู”
“อยากได้ข้อมูลของแววจากฉัน ว่างั้นเถอะ”
“เอ่อ..ก็ทำนองนั้น ผมเคยสนิทกับแววตอนเด็กๆ แต่พอเพิ่งมาเจอกันตอนนี้ ผมก็แทบไม่รู้จักเค้าอีกแล้ว ผมไม่รู้ว่าแววชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ผมไม่รู้จะเอาใจเค้ายังไง”
“นี่อย่าบอกนะคะว่าอยากให้ฉันช่วยคุณจีบยัยแวว”
“ถ้าได้อย่างงั้นก็ดีสิครับ ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป คุณธิชามีอะไรก็แนะนำผมบ้างนะครับ”
ชลธิชาอึ้งและรู้สึกผิดหวังจนเหวอไป
ชลธิชาเดินออกมาจากห้องของเอกรินทร์ โดยมีเอกรินทร์มายืนส่งหน้าประตู
“ขับรถดีๆ นะครับ เดี๋ยวผมเดินไปส่งข้างล่างมั้ย” เอกรินทร์ถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ พรุ่งนี้ตอนไปเอามอเตอร์ไซค์ที่ร้านฉัน คุณก็เอาอุปกรณ์ทำแผลไปด้วยแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะล้างแผล แล้วก็เปลี่ยนผ้าปิดแผลให้”
“ได้ครับ ขอบคุณนะครับคุณธิชา”
ชลธิชายิ้มแล้วพยักหน้าให้ แต่พอเอกรินทร์ปิดประตูเธอก็เปลี่ยนเป็นหน้าบึ้งตึงแล้วหันเดินออกมา
ชลธิชารู้สึกขุ่นเคืองระคนน้อยใจเมื่อได้ยินเสียงเอกรินทร์ที่แว่วมาในความคิด
“..พอจะรู้มั้ยครับว่า....แววเค้าคิดยังไงกับผม”
ชลธิชาคิดแล้วอดบ่นออกมาไม่ได้
“ซื่อบื้อชะมัดเลยผู้ชายสมัยนี้ ไม่ได้สังเกตเลยนะว่าเรารู้สึกยังไง”
ลิฟท์ชั้น 1 ของคอนโดเปิดออก ชลธิชาเดินออกมาจากลิฟท์ด้วยท่าทางขุ่นๆ ไลลากับแป้งร่ำที่ตั้งใจดักรออยู่แถวนั้นรีบสะกิดกันแล้วเดินตรงมาขวางหน้าชลธิชาไว้
“เดี๋ยวก่อน! คุณจะรีบไปไหน” ไลลาทัก
“ขอโทษนะคะ ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดีมากๆ เลย ถ้าไม่มีธุระสำคัญ ฉันขอตัวนะคะ” ชลธิชาบอก
ชลธิชาจะเดินเลี่ยงหนีไป แต่ไลลากับแป้งร่ำก็มาขวางหน้าไว้อีก
ชลธิชาเริ่มเหวี่ยง “คุณสองคนต้องการอะไรไม่ทราบคะ”
“ฉันก็แค่อยากจะบอกกับคุณดีๆ ว่าถ้าไม่จำเป็น ก็อย่ามายุ่งกับคุณเอกได้มั้ย” แป้งร่ำขู่
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันไม่ทราบคะ” ชลธิชาฉุน
“เกี่ยวสิ คุณมาหาคุณเอกถึงในห้อง ถ้าจะบอกว่าไม่คิดอะไร ก็คงยากจะเชื่อนะ” แป้งร่ำบอก
“แต่ถึงยังไงคุณเอกเค้าก็ชอบคนอื่น ไม่ได้ชอบฉัน” ชลธิชาบอก
แป้งร่ำมีสีหน้าดีขึ้น “จริงเหรอ”
ไลลารีบท้วง “ยัยแป้ง อย่าไปเชื่อคำพูดเค้าง่ายๆ อย่างงั้น”
“แต่อันนี้เชื่อได้ค่ะ เพราะไม่ใช่คำพูดฉัน แต่เป็นคำพูดที่ออกจากปากของคุณเอกเอง เค้าชอบคนอื่น ไม่ใช่ฉัน ขอตัวนะคะ ขอบคุณค่ะ”
พูดจบชลธิชาก็เดินออกไปด้วยอารมณ์เหวี่ยงๆ แป้งร่ำกับไลลามองตาม แล้วหันมองหน้ากัน
“แล้วคนอื่นที่คุณเอกชอบเนี่ย...คือใครเหรอ” แป้งร่ำถาม
“ไม่รู้สิยะ แต่ก็คงไม่ใช่เธอหละมั้ง ถามจริง นายเอกมันมีดีอะไรเหรอ เห็นเธออยากได้เหลือเกินเนี่ยยัยแป้ง”
“ก็ฉันไม่คิดแค่อยากได้นี่ไลลา ฉันคิดไปถึงผู้ชายอบอุ่น ที่จะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีได้ เธอคิดว่าผู้ชายแบบคุณเอกนี่หากันได้ง่ายๆ เหรอ”
ไลลาส่ายหน้า “ไม่ง่ายหรอก สมัยนี้ ผู้ชายที่ไม่เจ้าชู้ ไม่กะล่อน ก็มักจะไม่ใช่ผู้ชายน่ะสิเธอ”
“ก็นั่นไง ทีนี้รู้รึยังว่าทำไมฉันถึงชอบคุณเอกขนาดนี้” แป้งร่ำถามกลับ
ไลลาหันมองเพื่อนอย่างเข้าใจ
ดึกสงัด แววนั่งพับเพียบพนมมือสวดมนต์อยู่บนเตียงแล้วก้มกราบหมอน 3 ครั้ง หน้าตาของเธอผ่องใสพร้อมจะนอน แต่พอขยับตัวจะเอนกายลงนอน แววก็เหลือบไปมองที่พวงกุญแจรูปดาวที่วางไว้ใกล้กับโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง
แววนึกขึ้นได้จึงหยิบพวงกุญแจคริสตัลรูปดาวมาดูอย่างฉงน แล้วภาพของสยุมภูว์ในตอนที่ให้พวงกุญแจรูปดาวก็แว่บเข้ามาในความคิด
สยุมภูว์หยิบพวงกุญแจรูปดาวที่เป็นคริสตัลสวยใส ยื่นให้แวว แววมองอย่างงงๆ
“อะไรเนี่ย” แววถาม
“ดาวไง ถ้าเธออยากได้อะไร ก็ให้อธิษฐานกับดาวดวงนี้” สยุมภูว์บอก
ภาพตอนที่แววอธิษฐานขอพรจากพวงกุญแจรูปดาวย้อนกลับมาในหัวของเธอ
“งั้น...ขอให้ฉันได้งานดีๆ เงินเดือนสูงๆ แล้วก็ได้ใช้ความสามารถมากกว่ารูปร่างหน้าตา และสุดท้าย ขอให้ได้เจอเจ้านายที่ไม่หัวงู”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น แววก็มีสีหน้าตื่นตะลึงเพราะรู้สึกทึ่งในความมหัศจรรย์ แต่ครู่หนึ่งเธอก็คิดว่าคงเป็นเหตุบังเอิญมากกว่า
“แค่บังเอิญน่ะ จะเป็นไปได้ยังไง”
แววสัมผัสพวงกุญแจคริสตัลรูปดาวอย่างทะนุถนอมเพราะเริ่มเห็นคุณค่าของมัน
บ่ายวันใหม่ แจ็คเดินวนเวียนอย่างอยากรู้อยากเห็นอยู่หน้าห้องทำงานลับที่ร้านต้นไม้ แล้วเขาก็ลองใช้มือดึงๆ ดันๆ งัดๆ จะเปิดประตู เมื่อไม่สำเร็จ แจ๊คก็ก้มลงมองหาร่องหลืบที่พอจะเอาตาแนบมองแทรกเข้าไปในห้องได้
เพิ่มพงษ์กับสยุมภูว์เดินมาเห็นเข้าก็ชะงัก ทั้งสองเห็นแจ็คยืนโก้งโค้งหาหลืบหาร่องระหว่างกรอบกับประตู เพื่อที่จะเอาตาแนบมองส่องเข้าไป เพิ่มพงษ์เดินเข้าไปสะกิดๆ ไหล่แจ๊ค แจ็คเอามือปัดออก เพิ่มพงษ์สะกิดอีกที
“จะเอาต้นอะไร ก็เดินเลือกดูก่อนเลยนะครับ” แจ๊คบอกโดยที่ยังไม่ได้หันมามอง
“ต้นอะไรเหรอ ต้นคอแกนี่แหละ”
เพิ่มพงษ์พูดจบก็ตบเข้าที่ต้นคอแจ๊คดังเปี๊ยะ
“โอ๊ย...” แจ๊คหันมา “น้าเพิ่ม”
แจ็ครีบผงะจะหนีออกมา แต่เพิ่มพงษ์คว้าแขนไว้
“ไอ้แจ็ค ฉันเคยสั่งแกไว้ว่ายังไง”
แจ็คตอบเสียงอ่อย “ห้ามเข้าใกล้ห้องนี้ครับ”
“แล้วแกทำอะไร”
“เข้าใกล้ซะลูกตาแนบประตูเลยครับ” แจ๊คตอบ
“แล้วฉันควรจะทำยังไงกับแก”
“ก็ปล่อยๆ ไปเหอะครับ คิดซะว่าปล่อยนกปล่อยปลา”
“เอางั้นก็ได้”
เพิ่มพงษ์ปล่อยมือ แจ็คเดินนวยนาดแล้วยิ้มอย่างสบายใจ แต่พอแจ๊คหันหลังให้ เพิ่มพงษ์ก็ก้าวไปยันโครมเข้าที่ก้นจนแจ๊คหน้าคะมำไป สยุมภูว์สะดุ้งโหยงพร้อมทำหน้าแหยเหมือนรู้สึกเจ็บไปด้วย แจ็คนอนคว่ำอยู่กับพื้น เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมา เพิ่มพงษ์ตามมายืนพูด
“จำเอาไว้ ถ้าแกขืนมาวุ่นวายใกล้ๆ ห้องนี้อีก ฉันจะไล่แกออกจากร้านนี้ แล้วก็จะไล่แกออกจากบ้านฉันด้วย”
แจ็คหน้าจ๋อยและเริ่มจะเข็ดหลาบ
อ่านต่อหน้าที่ 4
แววมยุรา ตอนที่ 4 (ต่อ)
นิติธรนั่งตรงข้ามกับแววที่เก้าอี้รับแขกในบ้านของแววมยุรา มาลตีกับวัณณรีนั่งขนาบข้างแวว โรสยืนคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ นิติธรยื่นไอโฟนและไอแพดให้แวว
“นี่ของฉันเหรอคะ? คุณนิติธร” แววถาม
“ใช่ครับ รับไว้สิครับ” นิติธรบอก
วัณณรียื่นมือจะมารับแทน แววตีมือ วัณณรีจึงหดมือกลับ
แววรับไอโฟนและไอแพดมาดูอย่างดีใจ แล้วยกมือไหว้ “ขอบคุณมากค่ะ”
“ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ครับ นี่เป็นอุปกรณ์สำนักงานที่เราจะเรียกกลับคืน เมื่อเลิกจ้างนะครับ”
แววเซ็ง “อ้าว!”
“เอ่อ...ขอโทษนะคะคุณ” มาลตีเอ่ยขึ้น
แววรีบปราม “แม่...”
นิติธรถาม “มีอะไรเหรอครับคุณมาลตี”
“คือ...ฉันจะถามว่า...เงินเดือนเดือนแรกเนี่ย ขอเบิกออกมาก่อนได้มั้ยคะ” มาลตีถาม
“แม่! งานเรายังไม่ทันทำให้เค้า ก็จะเอาเงินเค้าแล้วเหรอ” แววว่า
“พี่แวว” วัณณรีชี้ที่ไอแพด “ขอยืมเล่นเกมยิงนกหน่อยนะ”
“นี่! แม่ ยัยวัณ ขอเวลาคุยงานกับคุณนิติธรสองคนก่อนได้มั้ย” แววเสียงเข้ม
มาลตีกับวัณณรียังนั่งเฉย โรสขยับเข้ามากระซิบ
“คุณแววเค้าไล่ เอ๊ย! เค้าขอให้หลบๆ ออกไปที่อื่นก่อนน่ะค่ะ”
มาลตีกับวัณณรีรู้สึกขัดใจแต่ก็ยอมลุกออกไปโดยดี
“เห็นแก่เงินเดือนสูงๆ ของเธอหรอกนะ ถึงได้ยอมให้ขนาดนี้” มาลตีบ่น
มาลตีกับวัณณรีเดินออกไป แต่โรสยังยืนเงี่ยหูฟังอย่างสอดรู้ แววเหลือบไปเหล่มองอย่างดุๆ
“เธอก็ด้วย ยัยโรส” แววบอก
“เอ่อ..ค่ะ ได้ค่ะ” โรสเดินออกไป
แววหันมามองหน้านิติธรอย่างเคร่งเครียด
“ฉันขอถามอะไรคุณนิติธรหน่อยได้ไหมคะ”
ไว่ามาเลยครับคุณแวว”
“ฉันรับเงินเดือนสูงขนาดนี้ คุณสยุมภูว์คาดหวังให้ฉันต้องรับผิดชอบงานอะไรบ้างคะ”
“ว่ากันตามตรง ผมก็ไม่ทราบหรอกนะ ถามทำไม คุณกลัวว่าภารกิจที่คุณสยุมภูว์จะมอบหมายให้ มันจะยากเกินความสามารถของคุณเหรอ” นิติธรถามกลับ
“ตรงกันข้ามเลยค่ะคุณนิติธร ฉันรอโอกาสนี้มานานทั้งชีวิต”
“โอกาสอะไร?”
“ก็โอกาสที่ฉันจะได้ทำงานที่ยากๆ ที่ท้าทาย และได้ใช้ความสามารถของฉันเองจริงๆ น่ะสิคะ”
นิติธรพยักหน้าชอบใจเพราะเห็นว่าแววเป็นเลขาที่ไฟแรง ไม่กลัวงานยาก
แววเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนของเธอ เธอวางไอโฟนและไอแพดลงบนโต๊ะ
“ให้ทำงานอะไรบ้างก็ยังไม่รู้ แต่ห้ามอยู่ห่างจากไอ้เจ้าสองอันเนี้ยนะ” แววพูดกับตัวเอง
แววลุกขึ้นแล้วเดินห่างไปแต่ก็ชะเง้อมองอย่างระแวงว่าจะโดนเจ้านายเรียก
“แล้วถ้าฉันเข้าห้องน้ำ จะต้องเอาเข้าไปด้วยมั้ยเนี่ย”
ทันใดนั้น ไอแพดก็มีสัญญาณเฟซไทม์ ดังขึ้น แววตื่นเต้นรีบหยิบมาตั้งดู บนจอไอแพด เห็นชายคนหนึ่งใส่สูท แต่เห็นแค่เหนือเอวไปถึงคางเท่านั้น
เสียงของสยุมภูว์ดังขึ้น “แวว นี่ผมเอง สยุมภูว์ ขอต้อนรับเข้าสู่ทศพลกรุ๊ป”
“ค่ะ” แววยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณสยุมภูว์” แววบ่นเบาๆ “ไม่ให้เห็นหน้าอีกต่างหาก”
สยุมภูว์นั่งดูจอไอแพดอยู่กับเพิ่มพงษ์ ในจอเป็นภาพของแวว สยุมภูว์นั่งมองอยู่อย่างมีความสุข
แววเอ่ยถาม “วันนี้ มีงานอะไรที่ฉันต้องทำบ้างคะสยุมภูว์”
“ต้องมีแน่นอนสิ ผมจ้างคุณมาเป็นเลขานี่” สยุมภูว์พูด
“เอ่อ..ใช่ค่ะ ขอให้คุณสยุมภูว์มอบหมายมาเลย ต่อให้งานหนัก งานยากแค่ไหน ฉันก็ไม่กลัวค่ะ”
“งานนี้ไม่หนักไม่ยาก แต่คุณต้องทำคนเดียว ห้ามให้ใครช่วย..นี่คือเงื่อนไข”
“ค่ะ..คุณสยุมภูว์” แววรับคำ
“ภารกิจแรกของคุณคือการหาไอศกรีมให้ผมทานให้ได้ภายในเย็นเนี้ย”
“ได้สิคะ คุณสยุมภูว์ชอบทานไอศกรีมยี่ห้ออะไรเหรอคะ”
“ยี่ห้ออะไรก็ได้”
แววยิ้มร่าดีใจก่อนจะย่นออกมาเบาๆ
“ไอศกรีมยี่ห้ออะไรก็ได้...งานอะไรจะง่ายปานนี้” แววพูดผ่านระบบเฟซไทม์ต่อ “แล้วคุณสยุมภูว์ชอบทานไอศครีมรสอะไรคะ จะเป็นวนิลา ช็อกโกแลต สตรอเบอรี่ หรือว่า....”
สยุมภูว์พูดสวนออกมาทันที “รสหูฉลาม”
แววตาเหลือก “หา?! อีกทีได้มั้ยคะ”
“ผมอยากทานไอศครีมรสหูฉลามภายในเย็นวันนี้!” สยุมภูว์ย้ำ
แล้วภาพในจอก็ดับวูบลง แววถึงกับมึนตึ้บและมืดแปดด้าน
รถยนต์สุดหรูของสยุมภูแล่นเข้ามาถึงคฤหาสน์ เมื่อรถแล่นมาจอด เพิ่มพงษ์เดินลงมาเปิดประตูให้สยุมภูว์ก้าวลง สยุมภูว์ก้าวลงมาด้วยสีหน้าสบายใจ แต่เมื่อมองเพิ่มพงษ์ เขากลับเห็นว่าเพิ่มพงษ์มีสีหน้าเครียดและมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวังตลอดเวลา สยุมภูว์หยุดเดิน เพิ่มพงษ์หยุดเดินด้วย สยุมภูว์มองเพิ่มพงษ์เหมือนจะสำรวจ
สยุมภูว์พูดอย่างจริงจัง “ผมว่ามันขาดอะไรไปสักอย่างนะครับ”
เพิ่มพงษ์มองดูสัมภาระของตัวเอง “ของผมโน๊ตบุ้กเครื่องเดียวอยู่ครับคุณสยุมภูว์”
สยุมภูว์ยังไม่เลิกสำรวจเพิ่มพงษ์ “จริงๆด้วย..คุณเพิ่มพงษ์ครับ ภาพรวมมันไม่ได้จริงๆครับ”
เพิ่มพงษ์ยิ่งงง “อะไรกันครับคุณสยุมภูว์ จะมาอำอะไรกันเนี่ย”
สยุมภูว์ส่งสายตาถาม เพิ่มพงษ์เลยเริ่มไม่แน่ใจ
“หรือว่าลืมอะไรจริงๆ เนี่ย” เพิ่มพงษ์บอก
สยุมภูว์ขำ “ถ้าเดินๆอยู่แถวนี้แล้วโดนระเบิดตายไม่รู้ด้วยนะ คราวหน้าคราวหลังนี่ห้ามลืมเด็ดขาด..เครื่องสแกนระเบิดครับ”
เพิ่มพงษ์ขำกับมุกของสยุมภูว์ก่อนจะเปิดหลังรถเพื่อกระเป๋าออก สยุมภูว์งงเป็นไก่ตาแตกเมื่อเห็นว่าเพิ่มพงษ์โชว์เครื่องสแกนโลหะแบบที่ใช้ในสนามบินให้เขาดู
“มีแต่แบบนี้..น่าจะใช้แทนได้นะครับ”
สยุมภูว์อึ้ง “ที่นี่มันบ้านพ่อผมนะ ไอ้นี่คงไม่จำเป็นมั้ง”
“ผมก็พกติดกระเป๋าไปทุกที่แหละครับ เราไม่รู้หรอกครับว่าที่ไหนปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัยสำหรับเรา”
เพิ่มพงษ์กล่าวยิ้มๆ สยุมภูว์เหนื่อยหน่ายกับอาการกลัวเกินเหตุของเพิ่มพงษ์จึงเดินหนีเข้าบ้านไป เพิ่มพงษ์เดินตามด้วยสายตาสอดส่ายระแวดระวัง ในมือของเขาถือเครื่องตรวจโลหะเตรียมพร้อมเต็มที่
ชลธิชากับเริงใจที่นั่งร่วมโต๊ะกับแววในร้านกาแฟต่างก็บ่นกันอย่างหงุดหงิด
“ไอติมรสหูฉลามเนี่ยนะ จะไปหาซื้อที่ไหนล่ะจ๊ะ” เริงใจบ่นออกมา
“หรือลองเสิร์ชหาในอินเตอร์เน็ตมั้ย? เผื่อจะมี” ชลธิชาถาม
“โอ๊ย..ไม่ต้องไปหาให้เปลืองไฟหรอกย่ะ ไม่มีหรอกเชื่อฉัน” เริงใจยืนยัน
ชลธิชาพยักหน้าคล้อยตาม “ฉันก็ว่างั้น คุณสยุมภูว์นี่ให้งาน เหมือนจะแกล้งเลขายังไงไม่รู้นะ”
“ก็เหมือนที่เลขาของคุณนิติธรบอกฉันแหละธิชา ไม่ว่าเจ้านายจะสั่งอะไร เลขาก็ต้องทำให้ได้ทุกอย่าง โดยไม่มีข้อยกเว้น” แววบอก
“แล้วเธอจะไปหาซื้อที่ไหน” เริงใจถาม “ใครมันจะอุตริทำขาย”
“ก็...ถ้าไม่มีใครอุตริทำขาย เราก็ต้องอุตริหาวิธีทำซะเองน่ะสิ” แววบอก
“งั้นเธอก็รีบไปสิแวว ยังจะใจเย็นแวะมานั่งชิลที่นี่อีกทำไม” ชลธิชาร้อนใจ
“ก็ฉันนัดคุณเอกไว้ที่นี่ ว่าจะซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เค้าตระเวนหาน่ะ” แววบอก
ชลธิชาพูดเสียงอ่อยๆ “อ้อ..คุณเอกจะมารับเธอเหรอ”
ชลธิชาจ๋อยไป เพราะนึกถึงเรื่องที่เอกรินทร์บอกให้เธอช่วยเขาจีบแวว
เริงใจพูดดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “เฮ้ย จริงดิ เดี๋ยวคุณเอกมาเหรอ” เริงใจจัดผมเผ้าและเสื้อผ้า “ไง...ฉันดูเป๊ะรึยัง”
เอกรินทร์ยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า เขามองซ้ายมองขวาเพื่อหาแวว พอหันมาเจอโต๊ะของทั้งสามสาว เขาก็ยกมือทัก ชลธิชารีบลุกขึ้นทัก เริงใจโบกมือพร้อมฉีกยิ้มต้อนรับ
ชลธิชาทัก “คุณเอก”
“ฉันต้องรีบสุดๆ ไม่มีเวลาแล้วหละ ไปก่อนนะ”
พูดจบแววก็ฉุดแขนเอกรินทร์ให้เดินออกไป เอกรินทร์พยักหน้าลาสองสาวตามมารยาท เริงใจยังนั่งยิ้มแย้มแล้วเดินไปที่เคาท์เตอร์ เมื่อหันกลับมาเริงใจก็เห็นว่าชลธิชาดูจ๋อยไป
“เธอเป็นอะไรเหรอ ธิชา ทำไมหน้าเศร้าได้ขนาดนั้น”
“จริงเหรอ .....” ชลธิชารีบแก้ตัว “ก็...ก็ จะไม่ให้เศร้าได้ไง ดูพนักงานเราสิ ไม่รู้จะรีบเก็บโต๊ะทำไม วางๆไว้บ้างก็ได้”
เพื่อดับอารมณ์และปกปิดไม่ให้เพื่อนรู้ความในใจชลธิชาก็ลืมตัวลุกเดินเข้าไปที่หลังร้าน เริงใจหันไปมองอย่างงุนงงเพราะไม่รู้ว่าชลธิชาเป็นอะไร
แม่บ้านในคฤหาสน์ถูกเพิ่มพงษ์จับสแกนด้วยเครื่องตรวจโลหะ เมื่อไม่มีเสียงร้องเตือน เพิ่มพงษ์ก็อนุญาตให้เธอเสิร์ฟชาได้ สยุมภูว์จะยกถ้วยชาขึ้นจิบ แต่ถูกเพิ่มพงษ์แตะมือห้ามไว้
“เดี๋ยวครับ”
เพิ่มพงษ์ยกกาน้ำชาขึ้นมาเปิดดูแล้วดม เขาทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะใช้กระดาษตรวจกรด-เบสจิ้มลงไปในถ้วยชา เมื่อเห็นว่าผ่านก็พยักหน้าอนุญาติให้สยุมภูว์จิบชาได้
“เชิญครับ คุณสยุมภูว์” เพิ่มพงษ์บอก
“นี่จะทำตัว ระแวงเกินเหตุ เป็นกระต่ายตื่นตูมอย่างนี้อีกนานมั้ย” สยุมภูว์ว่า
“ก็จนกว่าเราจะกลับนั้นแหละครับ”
สยุมภูว์ส่ายหัว คนรับใช้ค่อยๆ ถอยออกไปพร้อมกับพูด
“คุณนิติธรสั่งว่ากราบขออภัยที่ให้รอนะคะ...พอดีท่านติดสายกับเมืองนอก เสร็จแล้วจะรีบลงมาค่ะ”
สยุมภูว์พยักหน้ารับ คนรับใช้เดินจากไป สยุมภูว์มองไปรอบๆ อีกครั้งจนไปหยุดสายตาที่โซฟาที่ตัวเองกำลังนั่งอยู่
“เห็นอะไรผิดปกติ ไม่ปลอดภัยรีบบอกผมเลยนะครับ” เพิ่มพงษ์บอก
สยุมภูว์ยิ้มๆ “คุณเพิ่มพงษ์เห็นรอยกระสุนตรงนี้ไหมครับ”
เพิ่มพงษ์หน้าตื่นเข้ามาหา “ไหนครับ..ไหน” เพิ่มพงษ์หาไม่เจอแต่ก็บ่นออกมา “ผมบอกแล้วไงครับว่าที่นี่มันอันตราย”
สยุมภูว์อำต่อ “แล้วผมก็เคยโดนยิงตอนเด็กๆด้วย แต่ไม่เป็นอะไร”
เพิ่มพงษ์หน้าเครียด “แล้วคุณสยุมภูว์ยังไว้ใจใครได้อีกครับเนี่ย โถ..เจอเรื่องโหดๆตั้งแต่เด็กๆเลย”
“ผมใช้โซฟาตัวนี้เป็นบังเกอร์ พ่อเป็นผู้ร้าย ผมเป็นตำรวจ” สยุมภูว์ทำมือเป็นรูปปืนแบบเด็กเล่นแล้วเล็งไปที่เพิ่มพงษ์ “ปิ้ว ๆๆๆๆ”
เพิ่มพงษ์คลายความเครียดลงแต่ก็เจ็บใจที่โดนหลอก สยุมภูว์ยิ้มกว้างที่หลอกเพิ่มพงษ์ได้สำเร็จ
มอเตอร์ไซค์ของเอกรินทร์ขี่มีแววซ้อนท้ายวิ่งอยู่บนถนนเยาวราช ป้ายชื่อร้านเป็นภาษาจีนอยู่เต็มทั้งสองฝั่งถนน แววชี้บอกเอกรินทร์ว่าเจอภัตตาคารที่มีหูฉลาม เอกรินทร์จึงเลี้ยวเข้าไป
เอกรินทร์จอดรถแล้วถอดหมวกกันน็อคออก เขากับแววเดินมาถามพนักงานต้อนรับหญิงในชุดกี่เพ้าที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู ทั้งสามคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง พนักงานก็พยักหน้ารับทราบแล้วจึงเดินเข้าไป
ครู่หนึ่งพ่อครัวก็เดินออกมา แววอธิบายให้พ่อครัวฟังว่าเธอต้องการอะไร แต่พ่อครัวชี้โบ๊ชี้โบ๊แถมยังไล่ตะเพิดเพราะนึกว่าแววมาพูดล้อเล่นให้เขาเสียเวลา แววกับเอกรินทร์พยายามอธิบาย แต่พ่อครัวไม่สนใจเดินกลับเข้าร้านไปทันที เอกรินทร์กับแววเริ่มหมดหวัง
เอกรินทร์มาจอดมอเตอร์ไซค์ที่หน้าร้านอาหารจีนอีกแห่ง ผู้จัดการใส่ชุดจีนสุภาพออกมาต้อนรับ ทั้งสองเปิดปากคุยกับผู้จัดการร้านได้ไม่นาน ผู้จัดการร้านก็ส่ายหัว ส่ายมือ แววกับเอกรินทร์จึงขึ้นมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไปอีก
แววยืนอยู่ริมฟุตบาธข้างๆ รถมอเตอร์ไซค์ของเอกรินทร์ เธอทั้งร้อนและกระหายน้ำ
เอกรินทร์เดินมาพร้อมกับน้ำเปล่าในขวดพลาสติกสองขวด เขาเปิดขวดเสียบหลอดแล้วยื่นให้
แววรับมาดูดอย่างหิวกระหายแล้วจึงพูดขึ้น “ขอบคุณมากนะ”
เอกรินทร์ยกขวดขึ้นดื่มจากปากขวด “ไม่เป็นไร เฮ่อ...ไม่เห็นมีร้านไหนยอมทำไอติมหูฉลามให้เราเลย”
“ไม่แปลกหรอกค่ะ ฉันก็คิดไว้แล้ว ใครจะไปบ้าทำให้”
“ไม่นึกเลยนะ ว่าเจ้าของธุรกิจระดับหลายพันล้านอย่างคุณสยุมภูว์ จะสั่งอะไรพิเรนๆ แบบนี้ เฮ่อ...หรือคุณก็บอกเค้าไปตามตรงว่าคุณพยายามแล้ว แต่หาให้ไม่ได้จริงๆ”
แววเริ่มจ๋อย “ขืนทำงั้น ก็เท่ากับฉันทำงานล้มเหลว มีหวังเค้าเลิกจ้างฉันสิ” แววพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจ “ต้องมีสิน่า ต้องมีซักร้านที่เค้ายอมทำน่ะ”
แววล้วงกระเป๋าหยิบพวงกุญแจรูปดาวขึ้นมาแล้วกำไว้ เธอหลับตาพริ้มแล้วอธิษฐาน
“เพี้ยง...ขอให้เราปิดจ็อบนี้ได้เถิ๊ดดด...”
เอกรินทร์เห็นเข้าก็ถามขึ้น “อะไรน่ะแวว”
“เอ่อ..เปล่า ไม่มีอะไร” แววรีบเก็บพวงกุญแจ
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของแววก็ดังขึ้น แววยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอแล้วก็ดีใจอย่างออกนอกหน้า เอกรินทร์มองสังเกตแววอยู่ก็รู้สึกจ๋อยไปเล็กน้อย
แววพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ “นายจักร” แววรีบกดรับทันที “นี่...อายุยืนจริงๆ เลยนะ ฉันเพิ่งหยิบดาวที่นายให้ขึ้นมาดู นายก็โทรมาพอดีเลย”
สยุมภูว์ยืนพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ที่มุมหนึ่งด้านนอกคฤหาสน์
“เฮ้ย...จริงดิ อย่าบอกนะว่าเธออธิษฐานกับดาวตามที่ฉันบอกด้วย ไหนบอกว่าไร้สาระไง” สยุมภูว์ถาม
แววพูดกับสยุมภูว์อย่างร่าเริง โดยที่เอกรินทร์มองแววอย่างน้อยใจเล็กๆ
“ก็...” แววป้องปากพูด เพราะไม่อยากให้เอกรินทร์ได้ยิน “คราวก่อนที่อธิษฐานต่อหน้านายน่ะ จำได้มะ ที่ฉันขอให้ได้งานดีๆ เงินเดือนสูงๆ ได้ใช้ความสามารถ แล้วก็ขอให้ไม่ต้องเจอเจ้านายหัวงู...แล้วไงต่อนายรู้มั้ย”
สยุมภูว์ยิ้มแต่ก็รีบทำไก๋ถามกลับไป
“ไม่รู้สิ แล้วไงเหรอ”
“ฉันได้งานตามนั้น...เป๊ะเลยน่ะสิ” แววบอก
สยุมภูว์ยิ้ม แล้วแกล้งทำไก๋ “จริงอ้ะ โม้ปะเนี่ย?”
แววพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ไม่ได้โม้ ฉันได้งานนั้นจริง แต่ฉันคงดีใจได้วันเดียวมั้ง”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“เจ้านายฉันสั่งให้หาไอติมรสหูฉลามให้เค้าน่ะ”
“ไอติมรสหูฉลาม..เจ้านายคุณนี่อยากกินอะไรแปลกๆ เนอะ” สยุมภูว์แกล้งอำ
“เขาชื่อสยุมภูว์ คนที่ฉันเคยเล่าให้นายฟังว่าประมูลสร้อยเพชรเจ็ดสิบล้านไง จำได้ไหม”
สยุมภูว์ยิ่งอำต่อ “อ๋อ..ตานั่นน่ะเอง..สงสัยจะเพี้ยนนะนั่น”
“อย่าเพิ่งไปว่าเขาสิ ถึงเขายังไม่ไล่ฉันออกแต่เขาก็ยังเป็นเจ้านายฉันอยู่นะ” แววบอก
“แล้วจะให้ฉันช่วยอะไรไหมล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้านายฉันกำชับห้ามไม่ให้ใครช่วย” แววบอก
สยุมภูว์แกล้งลองใจ “เขาจะรู้ได้ไงว่าฉันช่วยเธอ ไม่เป็นไรหรอกมั้ง..เธอหาไอศครีมให้เขาไม่ได้ เขาก็ไล่เธอออกอยู่ดี เขาคงไม่ฟังเหตุผลหรอกนะว่าที่หาให้ไม่ได้เพราะเธอทำตามคำสั่งเขา”
“ถ้าฉันต้องตกงานจริงๆ ฉันก็ไม่อยากตกงานเพราะโกหกใครต่อใครแถมยังโกหกตัวเองด้วยหรอกนะ” แววพูดหนักแน่น “คริสตัลของนายมันได้ผลจริงๆ ขอบคุณนายมากนะ”
สยุมภูว์ยิ้มปลื้ม “ไม่เป็นไรหรอก แล้วเรื่องไอติมหูฉลามล่ะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เดี๋ยวฉันก็ทางได้เองล่ะ” แววบอก
“แต่ถ้าฉันบอกไอเดียเธอ เจ้านายเธอจะว่าเธอขี้โกงไหม” สยุมภูว์ถาม
“ถ้าฉันต้องใช้ไอเดียของนาย ฉันคงจะบอกเจ้านายฉันตรงๆว่า เป็นความคิดนายนั่นล่ะ ถ้าเขาจะไล่ฉันออกนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง”
สยุมภูว์ยิ้มชื่นชมความตรงไปตรงมาของแวว
แววกับเอกรินทร์มายืนอยู่ที่หน้าถังไอศครีมกะทิ คนขายไอศกรีมตอกไข่แดงใส่ลงในถังไอติมแล้วใช้ช้อนตักคลุกจนไข่แดงแข็งตัวผสมกับไอศกรีม ก่อนจะตักขึ้นวางบนถ้วยเสิร์ฟแล้วยื่นให้แววกับเอกรินทร์
“นี่ครับ ไอติมกะทิใส่ไข่” คนขายบอก
เอกรินทร์รับถ้วยไอศกรีมมาแล้วตักให้แววชิมก่อนจะตักชิมเอง ทั้งสองพยักหน้าให้กันอย่างพอใจในรสชาติ
“อร่อยดีเน๊อะ” เอกรินทร์ชม
“อืม...” แววหันไปยื่นกล่องอาหารที่มีหูฉลามอยู่ 4-5 ชิ้น ให้คนขาย “แล้วถ้าเราจะขอให้ใส่ไอ้นี่ลงไปในไอติมล่ะคะ”
เอกรินทร์พูดเสริม “หูฉลามน่ะครับ”
คนขายมองอย่างทึ่งๆ “ของจริงใช่มั้ย แพงน่าดูสิเนี่ย”
“ช่วยหน่อยนะคะ จะคิดราคาแพงๆ ก็ได้” แววบอก
คนขายส่ายหน้าอย่างไม่มั่นใจ
“งั้นเอางี้ ถ้าพี่ทำให้ ผมเหมาไอติมพี่หมดถังเลยเนี่ย” เอกรินทร์บอก
คนขายเริ่มสนใจขึ้นมาทันที “แน่นะครับ”
แววหันมาถาม “คุณเอก วู่วามไปรึเปล่า”
“เราไม่มีเวลาแล้ว” เอกรินทร์พูดกับคนขาย “ว่ามาเลยพี่ ทั้งหมดนี่เท่าไหร่ครับ”
คนขายยิ้ม เอกรินทร์ยิ้มออกก่อนจะหันไปยิ้มให้แวว แต่แววมีสีหน้าเกรงใจเอกรินทร์
จบตอนที่ 4
ติดตามอ่านแววมยุรา ตอนต่อไป เวลา 17.00 น.