xs
xsm
sm
md
lg

ขุนเดช ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขุนเดช ตอนที่ 4

อีกด้านหนึ่งที่ไนต์คลับ ปารมีกับกลุ่มเพื่อนเด็กสาวนุ่งมินิสเกิร์ตจับกลุ่มเต้นรำไปตามเพลงเข้ายุคเข้าสมัย ส่งเสียงสนุกสนานดังไปทั้งไนต์คลับ ผกาเดินควงแขนลูกค้าวัยกลางคนมาส่งที่หน้าเคาน์เตอร์
“แล้วแวะมาอีกนะคะป๋า...ผกาจะรอ” ผกาส่งจูบให้ลูกค้าก่อนจะหันมาหัวเสียถามกับบาร์เทนเดอร์ “นี่...นังเด็กพวกนั้นมันลูกเต้าเหล่าใคร ส่งเสียงหนวกหูน่ารำคาญ ไล่ตะเพิดขาประจำชั้น เผ่นไปนั่งที่อื่นหมด”
“ลูกค้า VIP เส้นใหญ่ครับพี่ผกา”
“หน้ายังไม่หมดน้ำกลิ่นนมเนี่ยนะลูกค้า VIP”
ปารมีเดินเข้ามาสั่ง
“ชั้นเรียกตั้งนานแล้วทำไมไม่เห็นมีคนไปบริการ อยากให้ชั้นสั่งปิดที่นี่ใช่มั้ย”
ผกามองปารมีอย่างหมั่นไส้
“น้องคะ...ถ้าที่นี่บริการไม่เป็นที่ประทับใจ พี่ว่าเชิญน้องไปเที่ยวงานกาชาดดีกว่านะ ที่โน่นมีลูกโป่งมีสายไหมไว้บริการ น่าจะเหมาะกับน้องมากกว่า”
ปารมีหันขวับจิกหน้ามองผกาแล้วเงื้อมือตบหน้าทันที...เพี๊ยะ !! ผกาหน้าหันตกใจอึ้งไม่ทันตั้งตัว
“จำไว้...นังโสชั้นต่ำอย่างแก...อย่ามาสาระแนกับชั้น”
ปารมีสะบัดหน้าเดินกลับไป ผกาเนื้อเต้นแค้นจัด
“นัง....นังเด็กเมื่อวานซืน ตบหน้าชั้นแล้วจะเดินหนีไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ”
ผกาจะตามไปเล่นงานปารมี แต่ประดับโผล่มาข้างหลังคว้ามือเอาไว้
“ห้ามยุ่งกับเด็กคนนั้นเด็ดขาด”
ผกาชะงัก
“ประดับ”

ประดับลากแขนผกาพาออกมาข้างนอก
“ชั้นไม่ยอมหรอกนะประดับ เรื่องอะไรจะปล่อยให้นังเด็กกระแดะนั่นมาตบหน้าชั้นฟรีๆ”
“ชั้นเตือนเธอแล้วนะผกา อย่าหาเรื่องใส่ตัวดีกว่า”
“มันเป็นใครทำไมชั้นต้องกลัวมันด้วย”
“ลูกสาวท่านปราชญ์”
ผกาชะงักอึ้ง ระหว่างนั้นปารมีตามออกมา
“พี่ประดับ...มาถึงแล้ว ทำไมไม่เข้าไปสนุกกับปาด้วยล่ะ” ปารมีมองผกาด้วยหางตา “ อย่าบอกนะ ว่านังโสชั้นต่ำเนี่ยมาเสนอขายตัวให้พี่”
“เปล่าหรอกครับคุณปา ผมเห็นว่าเขามีเรื่องกับคุณปาก็เลยเรียกมาเตือน”
“ดีค่ะพี่ ทีหลังจะได้รู้ว่าอย่าสะเออะ” ปารมีเข้าไปควงแขนประดับ “สั่งสอนมันเสร็จแล้วก็ตามเข้าไปสนุกกับปานะคะ อ้อ...อย่าลืมล้างมือให้สะอาดด้วย สกปรกอย่างนังนี่เดี๋ยวเสนียดจะมาติดปา”
ปารมีเชิดหน้าเดินเข้าไป ผกาเนื้อเต้นจิกหน้าโกรธสุดๆ
“นังเด็กบ้า คืนนี้ถ้าไม่ได้ตบมัน อีผกานอนไม่หลับแน่”
“พอได้แล้วผกา คืนนี้กลับไปรอชั้นที่ห้อง เสร็จธุระแล้วชั้นจะไปหา”
“ธุระ...ธุระอะไรของเธอ”
ประดับยิ้มร้ายแล้วเชยคางผกา
“เธอก็รู้ว่าคนอย่างชั้น ไม่ยอมเป็นขี้ข้าใครนานๆ”
ประดับหอมแก้มผกาแล้วตามปารมีเข้าไป ผกามองตามอย่างสงสัย

กองไฟหน้าเต็นท์คุโชนขุนเดชโยนฟืนเติมเชื้อไฟ ยงยุทธเดินกลับเข้ามาหลังจากออกไปเดินตรวจตรา
“ชั้นให้ลูกน้องผลัดเวรเฝ้ายามแล้ว แกควรจะนอนเอาแรงไว้รอเปลี่ยนกะนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ชั้นชินแล้ว”
ขุนเดชพูดไปก็เขี่ยฟืนไม่ให้มอดไฟ ยงยุทธมองเพื่อนแล้วอดคิดถึงเรื่องที่เคยคุยกับจ่าแม่นไว้ไม่ได้
“จ่าแท่นเคยเล่าให้ชั้นฟังเรื่องพ่อของแก จ่าบอกว่าพ่อแกเป็นคนเอาการเอางานแล้วก็เก่งมาก ใครๆ ก็ยกย่องว่าพ่อแกเป็นเหมือนทหารของพระร่วง”
ขุนเดชหน้านิ่งมองไฟที่ลุกโชน
“ทหารของพระร่วงให้คำสัตย์สาบานว่าจะปกป้องสมบัติของแผ่นดินพระร่วงเจ้าจนกว่าชีวิตจะหาไม่ พ่อถึงได้สู้กับพวกโจรจนลมหายใจสุดท้าย”
ขุนเดชพูดไปก็มองไปที่ดาบดำที่วางอยู่ข้างตัว ยงยุทธมองตามอย่างสนใจ
“บางทีถ้าตอนนั้นดาบดำของพ่อแกไม่หัก เขาอาจจะไม่ตาย ชั้นขอดูดาบดำนั่นได้มั้ย”
“นิ่งไปครู่ก่อนจะยื่นดาบดำให้ยงยุทธรับไปถือ”
“จริงรึเปล่าที่เขาว่ากันว่า ดาบดำเป็นอาวุธหายากที่มีเฉพาะกลุ่มช่างตีเหล็กในศรีสัช มีความคมและแข็งแกร่งเหนือกว่าดาบทั่วไป”
ยงยุทธจับที่ด้ามและจะชักดาบดำออกมาแต่ขุนเดชรีบเอามือจับไว้ไม่ยอมให้ยงยุทธชักออกมา
“มันก็แค่เรื่องเล่ากันปากต่อปาก เหมือนตำนานทั่วๆ ไป ถ้าแข็งแกร่งจริงก็คงไม่เป็นแค่ดาบหัก คมบิ่น ใช้ดายหญ้ายังไม่ได้เลยแบบนี้หรอก”
ขุนเดชเอาดาบดำออกจากมือยงยุทธมาเก็บที่เดิมไม่ยอมให้ยงยุทธชักดาบออกมา
“ดึกแล้ว ชั้นว่าชั้นไปงีบเอาแรงสักพักดีกว่า”
ขุนเดชถือดาบดำเดินออกไป ยงยุทธมองตาม

ตำรวจยศหมู่ลูกน้องของยงยุทธถือไฟฉายเดินสำรวจบริเวณก่อนจะรู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามา
ใคร”
ตำรวจยศหมู่เดินเข้าไปดูที่พงไม้โดยไม่ทันระวังหลังเมื่อโจรพันผ้าขาวม้าสองคนโผล่เข้ามาแล้วกระซวกแทงตำรวจยศหมู่จากข้างหลังด้วยดาบยาวทีเดียวทะลุข้างหน้า ตำรวจยศหมู่กระอักเลือดตายคาที่ โจรชั่วสองคนหันมายิ้มร้ายก่อนจะบุกเข้าไปต่อ แต่โจรคนหนึ่งเดินเตะเชือกที่ขุนเดชขึงเอาไว้

ขุนเดชนั่งพิงโคนต้นไม้หลับตาพักผ่อนเอาแรง แต่ต้องลืมตาตื่นเพราะเสียงไม้ไผ่ที่ผูกติดกับเชือกดังกระทบกัน ขุนเดชรู้ทันทีว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาแล้ว ดาบดำในมือกระชับแน่นเตรียมพร้อม

ขุนเดชตามมาที่บริเวณตำรวจยศหมู่ถูกฆ่าตายพบศพตำรวจนอนตายอย่างน่าเวทนา ขุนเดชช่วยเอามือปิดตาที่เบิกโพลงให้แล้วหันมาสีหน้าโกรธแค้น
“คนบาปอย่างพวกมึง โทษคือตายสถานเดียว”
ขุนเดชชักดาบดำออกจากฝัก ดาบดำที่พกมาไม่ใช่ดาบดำของพ่อ แต่เป็นดาบดำอันคมกริบของเถิน

บริเวณเต็นท์ที่พักของยงยุทธ โจรคนแรกย่องเงียบเข้ามาพวกมันถือดาบยาวเข้ามาล้อมรอบเต็นท์ที่พักแล้วช่วยกันแทงเข้าไปในเต็นท์ กระหน่ำแทงจนพรุนจนแน่ใจว่าคนข้างในตายแน่นอน โดยไม่รู้ว่ายงยุทธโผล่เข้ามาข้างหลังพร้อมขึ้นไกปืน
“ทิ้งดาบแกไปซะ...เร็ว”
โจรโยนดาบทิ้ง ยงยุทธเอากุญแจมือออกมาสับข้อมือมันได้ข้างนึง โจรอีกคนรีบปรี่เข้ามาช่วยพร้อมดาบในมือ
“ย๊ากกกกกกก”
ยงยุทธรีบฉากหลบหวุดหวิดโดนดาบฟัน โจรฉวยโอกาสแย่งปืนในมือยงยุทธมาได้แล้วยิงใส่ เปรี้ยงๆๆ ยงยุทธต้องกระโจนหลบแล้วใช้ปืนสำรองที่ซ่อนเอาไว้ที่ข้อเท้าออกมายิงสวน เปรี้ยงๆๆ ตอบโต้ไปมาจน กระสุนนัดนึงโดนเข้าที่ไหล่ของโจรได้รับบาดเจ็บ พวกโจรเห็นท่าไม่ดีรีบพากันหนีออกไป ยงยุทธไม่รอช้าไล่ล่าตามไป

ยงยุทธไล่ตามพวกโจรเข้ามาในพงต้นข้าวโพด โจรแอบซุ่มอยู่รอจนยงยุทธเดินเข้ามาใกล้มันก็ปรี่ออกมาเล่นงาน ยงยุทธฉากถอยหวุดหวิดจะโดนคมดาบจากโจร มันไล่ฟันใส่จนยงยุทธไม่สามารถใช้ปืนสู้ได้ ยงยุทธใช้จังหวะหลบแบบเชิงมวย หลอกล่อให้โจรโหมฟันใส่จนมันแทบหมดแรง พอมันเสียจังหวะ จึงงัดเชิงมวยกระโดดเข่าลอยกระแทกหน้าอก ไอ้โจรหงายหลัง ยงยุทธจะตามเข้าไปซ้ำ แต่โจรอีกคนที่โดนยิงบาดเจ็บเอาท่อนไม้มาฟาดกลางหลัง ทำให้ยงยุทธเสียจังหวะ แล้วมันยังกำเอาทรายที่พื้นขึ้นมาสาดใส่หน้า ยงยุทธโดนทรายเข้าตาทำให้เสียจังหวะ พวกมันรีบฉวยโอกาสพากันหนี
ยงยุทธปัดหน้าปัดตาพยายามจะลืมตาขึ้นมามอง แต่ตาพร่าเลือนมองไม่ชัด ยงยุทธพยายามออกหมัด มั่วไปหมดเพราะต้องป้องกันตัวไม่ให้โดนเล่นงาน ขุนเดชเดินเข้ามาตรงหน้า แต่ยงยุทธมองเห็นไม่ชัด พยายามชกใส่แต่ขุนเดชหลบได้หมด ก่อนฉากหลบไปยืนข้างหลังแล้วใช้ด้ามดาบดำทุบเข้าที่ต้นคอยงยุทธทีเดียว...ผลั๊ก !! ยงยุทธทรุดฮวบหมดสติ
“ชั้นเสียใจด้วยนะเพื่อน คุกไม่ใช่สถานที่รับโทษของพวกมัน”

โจรประคองเพื่อนที่เลือดอาบเพราะถูกยิงมา ก่อนจะพามานั่งพัก
“เอ็งบาดเจ็บแบบนี้ ไอ้ตำรวจนั่นมันต้องตามเจอแน่”
“เอ็งพูดแบบนี้คิดจะเอาตัวรอดคนเดียวเหรอวะ”
“ข้ามาขุดสมบัติหวังรวยเว้ย ไม่ได้มาให้โดนตำรวจลากคอเข้าคุก”
ไม่ทันขาดคำมันก็ใช้ดาบเสียบเข้าที่ท้องเพื่อนถึงกับสะดุ้งเฮือก
“ไอ้...ไอ้ชาติชั่ว”
โจรดึงดาบออกแล้วผลักเพื่อนโจรด้วยกันจนนอนแผ่หายใจพะงาบๆ ขุนเดชปรากฏตัวขึ้น
“สันดานโจรอย่างพวกมึง เหมือนสัตว์เดรัจฉาน ฆ่าได้แม้แต่พวกเดียวกัน”
“มึงเป็นใครวะ”
“กู...ขุนเดช เพชรฆาตที่มาลงทัณฑ์พวกมึง”
“เพชรฆาตเหรอ...ถุย....กินลูกปืนเถอะมึง”
โจรเอาปืนที่แย่งมาจากยงยุทธยิงใส่ขุนเดช..เปรี้ยงๆ ขุนเดชกระโจนหลบ โจรรีบหนี ขุนเดชเดินออกมาเจอโจรอีกคนที่หายใจรวยรินเลือดทะลักจากท้อง
“ช่วย...ช่วยด้วย....ช่วยข้าด้วย ข้ายังไม่อยากตาย”
ขุนเดชมองมัน ใบหน้าเรียบนิ่งแววตาสมเพช ก่อนจะเข้าไปช่วยประครองมันขึ้นมา

โจรหนีเอาตัวรอดก่อนจะสะดุดล้มร้องเจ็บปวดเลือดโชกเท้าเพราะเศษกระเบื้องชามสังคโลกที่แตกเกลื่อนพื้น
“โอ้ยยยย...โธ่เว้ย!!”
โจรต้องงัดเอาเศษกระเบื้องที่ฝังตำเท้าออกมาแล้วเดินกะเผลกพยายามจะหนีต่อ แต่ได้ยินเสียงคนตามมาเลยหันไปไปยิงใส่ไม่หยุด...เปรี้ยงๆๆๆๆๆ จนกระสุนหมดลูกโม่ รออยู่ครู่โจรที่ถูกเพื่อนแทงก็เดินเลือดโชกไปทั้งตัวเพราะโดนยิง มันมาล้มตายคาที่อยู่แทบเท้า
ขุนเดชก้าวเข้ามาข้างหลังอย่างเงียบกริบ พร้อมกับเงื้อดาบดำขึ้นอย่างน่ากลัว โจรรู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือน มันหลันหลังกลับแล้วใช้ดาบในมือรับดาบดำไว้ได้ ขุนเดชเปิดฉากใช้ดาบดำรุกไล่โจมตีฟาดฟันไม่ยั้ง จนโจร ไม่อาจต้านทานความเก่งกาจ ในที่สุดมันก็โดนดาบดำฟัน....ฉับ พาดผ่านจากหน้าผากลากยาวมาถึงกลางอก...อ๊ากกกกกก

ที่คฤหาสน์ของปราชญ์ ภายในห้องสะสมของโบราณ ประดับเอาโล่ห์โลหะเขียวไปตั้งไว้ในทิศอุดร(เหนือ) แล้วเปิดทางให้ก้องเกียรติเข้ามาใช้ดินสอพองลงยันต์อักขระหัวใจพยัคฆราชกำกับไปที่โล่ห์โลหะเขียว ระหว่างที่ก้องเกียรติลงอักขระกำกับก็พึมพัมบริกรรมคาถาไปด้วย ปราชญ์นั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้อง จรดๆ จ้องๆ สนใจพิธีกรรมของก้องเกียรติ
“กรุณาอยู่เฉยๆ ครับท่าน ท่านควรจะทำสมาธิให้แน่วแน่ เพื่อจะได้รับเอาพลัง อำนาจและบารมีเข้าสู่ตัวท่านให้เต็มที่”
ปราชญ์พยักหน้ารับแล้วหลับตาสงบนิ่ง ก้องเกียรติเริ่มพนมมือพึมพัมคาถา ประดับจับจ้องสนใจว่าจะเกิด อะไรขึ้น ระหว่างนั้นเองลมพัดเข้ามาโดยที่หน้าต่างไม่ได้เปิด เทียนไขที่ถูกจุดเรียงกันแถวดับพรึ่บพร้อมๆ กัน ที่โล่ห์โลหะเขียวเกิดแสงสว่างเรืองรอง ก่อนจะมีควันสีขาวพวยพุ่งออกมาเหมือนเป็นควันที่มีชีวิต มันหมุนวนอยู่ รอบห้องได้ครู่ก็พุ่งตรงมาที่ร่างของปราชญ์
ประดับเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็อดทึ่งแปลกใจไม่ได้ เมื่อควันสีขาวเข้าสู่ร่างกายของปราชญ์จนหมด เทียนไขที่ ดับไปก็ติดไฟขึ้นมาได้ด้วยตัวเองอีกครั้งเหมือนว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ได้จบลงไป
“ที่เข้ามาในตัวชั้นเมื่อกี้นี้ ชั้นรู้สึกได้เลยอาจารย์ พลังของอำนาจและบารมี ที่ใครๆ ก็ ต้องยำเกรงชั้น”
“ใจเย็นก่อนครับท่าน...นี่เป็นแค่การเริ่มต้น”
“หมายความว่ายังไงกันอาจารย์”

ปราชญ์ยังไม่หายสงสัย
“ผมต้องหาวัตถุโบราณที่เป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์ 7 อย่างน่ะเหรออาจารย์”
“ครับ โลหะคือความแข็งแกร่งเปรียบเหมือนกับพลังแห่งอำนาจ ยากที่ใครจะสั่นคลอน และยิ่งโลหะนั้นเป็นของโบราณ เป็นวัตถุมงคล ก็เหมือนกับพลังแห่งบารมี เมื่อท่านสามารถนำโลหะทั้ง 7 อย่างมารวบรวมไว้ที่นี่ได้ครบ ผมก็จะนำมาประจำไว้แต่ละทิศ แล้วลงอักขระหัวใจพยัคฆราชกำกับไว้ เพื่อให้พลังนั้นเข้าไปสู่ตัวท่าน”
“แล้วทิศที่ 8 ล่ะอาจารย์” ประดับถามอย่างสงสัย ก้องเกียรติมองมาที่ปราชญ์
“เมื่อได้โลหะครบทั้ง 7 อย่าง ทิศที่ 8 ก็คือท่าน ‘สัตตโลหะบุรุษ’ ชายผู้มากด้วยอำนาจและบารมีแผ่ไพศาลไปทั่วแผ่นดิน”
ปราชญ์พอใจมาก
“ประดับ...หน้าที่ตามหาโลหะศักดิ์สิทธิ์โบราณ ชั้นไว้ใจแกได้ใช่มั้ย”
“ครับท่าน”
ปราชญ์หัวเราะชอบใจ

ขุนเดชลากศพของสองโจรมากองรวมกันที่หน้าเตาเผาสังคโลก แล้วถอดเสื้อออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ สายตาขุนเดชดูขึงขังดุดัน แล้วใช้ดาบดำค่อยๆ กรีดลงบนแผ่นอกตัวเองให้เป็นรอยแผลจากการต่อสู้ ขุนเดชคุกเข่าลงดาบดำกรีดรอยแผลบนแผ่นอกเป็นทางยาวและลึกให้เห็นว่าเลือดไหลเป็นทาง แต่ขุนเดชก็หามีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ

วันต่อมายงยุทธถูกจ่าแท่นพามานั่งที่ท้ายรถจี๊ป ยงยุทธยังรู้สึกมึนหัวที่ถูกลอบทำร้าย
“ไหวมั้ยครับหมวด”
“ไม่เป็นไร...พอได้อยู่จ่า พวกมันโผล่มาจากทางไหนก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ผมระวังตัวแล้วแต่ ก็โดนเล่นงานจนได้”
“ผู้หมวดยังโชคดีที่แค่โดนเล่นงานจนสลบ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอจ่า”
“หมู่ยอดถูกพวกโจรฆ่าตายครับ”
“ไอ้สารเลวเอ้ย...แล้วขุนเดชล่ะ”
“ขุนเดชโดนพวกมันฟันซะเลือดสาดสลบอยู่กับผู้หมวด ผมส่งตัวไปอนามัยแล้วครับ”
ยงยุทธกัดฟันอย่างเจ็บใจ
“ผมพอจะจำหน้าพวกมันได้ ยังไงมันก็ไม่รอดผมแน่”
“ขอโทษด้วยนะครับหมวด ที่หมวดว่าจำหน้าได้พวกไหนครับ พวกที่เล่นงานหมวดหรือว่าพวกที่เล่นงานขุนเดชกับไอ้โจรพวกนั้น”
ยงยุทธมีสีหน้าแปลกใจ
“หมายความว่าไงจ่า”

ยงยุทธตามจ่าแท่นมาดูศพสองโจรที่ถูกขุนเดชฆ่าตายแล้วเอาศพมาทิ้งไว้ที่หน้าเตาเผาสังคโลก สภาพศพของพวกมันถูกจับตรึงไว้กับไม้หลักกางเขนเลือดโทรม น่าสมเพชสังเวชใจ ยงยุทธเห็นสภาพของพวกมันก็ถึงกับอึ้งพูดไม่ออก
“ตอนที่พวกผมมาถึงที่นี่ก็เจอพวกมันถูกจับแขวนเอาไว้แบบนี้ ขุนเดชโดนเล่นงานหมด สติอยู่ใกล้ๆ กับที่หมวดโดนเล่นงานครับ”
“สองคนนี่เป็นโจรที่พยายามจะเข้ามาขโมยสมบัติ”
“งั้นหมวดก็ไม่ทันได้เห็นหน้าไอ้คนที่ฆ่าพวกมันกับทำร้ายขุนเดช”
ยงยุทธนิ่งไปนึกถึงตอนที่ทรายเข้าตาจนพร่าเลือนแล้วพยายามสู้กับขุนเดช
“ไม่...ผมไม่รู้ว่ามันเป็นใคร แต่การกระทำของมัน จงใจท้าทายตำรวจอย่างผมแน่”
ยงยุทธมองศพโจรที่ถูกเล่นงานและตรึงกางเขนประจาน ขบกรามจนขึ้นสันด้วยความเจ็บใจ

ที่อนามัย ขุนเดชกำลังสวมเสื้อทับร่องรอยผ้าพันแผลบนลำตัว ดารารีบเข้ามาด้วยความเป็นห่วง
“ขุนเดช...เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกดารา อาหมอช่วยทำแผลให้แล้ว”
“แล้วนั่นเธอจะไปไหน ทำไมไม่พักรักษาตัวที่นี่ก่อน”
“แผลแค่นี้ผมกลับไปอยู่วัดก็ได้”
“เดี๋ยว ชั้นรู้เรื่องจากจ่าแท่นแล้ว ตกลงว่าคนที่ทำร้ายเธอแล้วฆ่าพวกโจรเป็นฆาตกรที่คอยไล่ล่าพวกโจรขโมยสมบัติใช่มั้ย”
“ผมไม่รู้”
ยงยุทธเข้ามา
“แต่วิธีการที่โจรพวกนั้นโดนเล่นงานและประจานความเลว มันเหมือนกับที่คณะของอาจารย์ประทีปเจอมาตลอดไม่ใช่เหรอขุนเดช” ขุนเดชกับดาราหันไปมองยงยุทธ “ขอโทษนะดารา ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงขุนเดช แต่ตอนนี้ผมจำเป็นต้องสอบปากคำขุนเดช เพราะขุนเดชเป็นคนเดียวที่อาจจะรู้ว่าไอ้ฆาตกรคนนั้นเป็นใคร”

คำปันคิ้วขมวดสงสัยหันมาถามบัวทองระหว่างเดินซื้อของในตลาดด้วยกัน
“นี่เราไปรู้เรื่องน่ากลัวแบบนั้นมาจากไหนเนี่ยบัวทอง”
“ชั้นบังเอิญไปได้ยินอาจารย์ประทีปคุยกับลุงจ่ามาน่ะสิจ๊ะแม่ ตอนไอ้เถรตาย พี่ขุนเดชหาว่าชั้นเพ้อเจ้อไร้สาระ แต่ตอนนี้ไอ้พวกโจรที่ขุดสมบัติก็ถูกฆ่าตายไปอีก ชั้นว่าฆาตกรล่าโจรมันต้องมาอยู่ที่ศรีสัชนี่แล้วแน่ๆ”
คำปันหน้าเสีย
“คุณพระช่วย ศรีสัชได้ชื่อว่าเป็นเมืองของคนดีแท้ๆ”
“แต่ชั้นว่าฆาตกรคนนั้นก็เป็นคนดีนะแม่ เพราะเขาฆ่าแต่โจร ไม่ได้ทำร้ายคนดีๆ สักคน แบบนี้ต้องเรียกเขาว่า ‘วีรบุรุษบาป’ มากกว่า”
คำปันตีแขนลูกทันที
“แม่รู้นะบัวทองว่าเราคิดอะไร ห้ามเลยนะนิสัยอยากรู้อยากเห็นของเรา มันอันตราย เข้าใจมั้ย”
คำปันหยิกแขนลูกสาวแล้วพาเดินออกไป คล้อยหลังไม่เท่าไหร่ สาลี่ที่ซื้อของอยู่ที่แผงใกล้ๆ ได้ยินสองแม่ลูกคุยกันถึงกับหูผึ่งตาโตสนใจ
“วีรบุรุษบาป”

ที่โต๊ะทำงานของยงยุทธในสถานีตำรวจ
“ถ้าแกพอจะจำรูปพรรณสัณฐานอะไรมันได้ก็บอกมา”
ยงยุทธถามขุนเดช
“ชั้นไม่มีอะไรจะบอกแกหรอก”
“แต่แกเป็นคนเดียวที่สู้กับมัน”
“ตอนนั้นมันมืดมาก ชั้นแทบจะมองไม่เห็นว่าใครเป็นใคร”
“พยายามนึกหน่อยสิวะขุนเดช มันเล่นงานชั้น ฆ่าไอ้โจรสองคนนั่นแล้วยังทำร้ายแก ชั้นปล่อยให้มันลอยนวลไม่ได้”
ขุนเดชนิ่งไปครู่
“ชั้นไม่เห็นอะไรจริงๆ”
“แกไม่เห็นจริงๆ หรือว่าแกไม่พยายามจะช่วยชั้นวะ”
“ใจเย็นก่อนครับหมวด”
“เย็นอะไรล่ะจ่า ไอ้หมอนั่นมันเป็นฆาตกร ถึงมันจะตามล่าฆ่าแต่พวกโจร แต่ยังไงมันก็ทำผิดกฏหมาย มันไม่มีสิทธิ์มาตั้งศาลเตี้ยในพื้นที่ที่ผมรับผิดชอบ”
“สรุปว่าที่แกไม่พอใจ เพราะแกถูกหักหน้าใช่มั้ย”
ยงยุทธหันขวับไปกระชากคอเสื้อขุนเดชขึ้นมาอย่างลืมตัว
“ไอ้ขุนเดช!”
ขุนเดชกับยงยุทธจ้องหน้ากัน ระหว่างนั้นตำรวจอีกนายรีบเข้ามา
“หมวดครับ...พวกชาวบ้านแห่กันมาเต็มโรงพักเลยครับ”

ยงยุทธกับจ่าแท่นออกมาที่หน้าโรงพักเจอสาลี่พาพวกชาวบ้านยกขโยงมาส่งเสียงเอะอะเต็มหน้าโรงพัก
“เงียบๆ กันก่อนครับ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“พวกเราก็พากันมาถามเอาความจริงกับหมวดน่ะสิ”
“ความจริงอะไรกันครับ”
“ความจริงว่าที่นี่จะไม่ปลอดภัยอีกแล้วเพราะมี ‘วีรบุรุษบาป’ คอยออกอาละวาดฆ่าคน อาศัยอยู่กับพวกเราที่นี่น่ะสิคะหมวด”
“วีรบุรุษบาป?”
“แม่สาลี่...ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน”
“ก็รู้จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้น่ะสิจ่า เรื่องสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตแบบนี้ หมวดจะมาปกปิดพวกเราไม่ได้นะคะ”
“ผมไม่เคยคิดจะปกปิดใคร ขอให้ทุกคนสบายใจว่าตราบใดที่ผมอยู่ที่นี่ ผมจะดูแลทุกคนให้ปลอดภัยแน่”
“แต่ขนาดหมวดเองยังเอาตัวแทบไม่รอด แล้วเราจะไว้ใจหมวดได้ยังไง...ใช่มั้ยพวกเรา”
พวกชาวบ้านต่างส่งเสียงเห็นด้วยกับสาลี่ ทำเอายงยุทธพูดไม่ออก ขุนเดชจึงเดินออกมา
“ไอ้คนที่ตาย มันสมควรตายเพราะความเลวที่มันทำ ถ้าทุกคนไม่ใช่คนเลว ไม่ลักขโมย สมบัติของชาติ จะต้องกลัวอะไรกันนักหนา” พวกชาวบ้านพากันเงียบกริบ ขุนเดชเดินเข้ามามองทุกคน “หรือว่าที่มากดดันตำรวจ โวยวายกลัวจะไม่ปลอดภัย เพราะคิดว่าจะทำเลวอย่างพวกมัน ถ้าเป็นอย่างนั้นตำรวจก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ยังไงคนชั่วก็หนีไม่พ้นบาปกรรม สู้กลับบ้านไปตั้งหน้าตั้งทำงาน คอยเป็นหูเป็นตาให้ตำรวจดีกว่า”
พวกชาวบ้านหันมาคุยกันเห็นด้วยกับที่ขุนเดชเตือน แต่ยงยุทธมองขุนเดชด้วยความไม่พอใจ

ขุนเดชเดินออกจากโรงพักแผลที่หน้าอกมีเลือดซึมออกมาผ่านทางผ้าพันแผลที่พันอยู่ ดาราเข้ามารอรับขุนเดชและเห็นพอดี
“ขุนเดช !...กลับกันเถอะ ชั้นมารับเธอ”
ดาราเข้าไปประครองอย่างห่วงใย ระหว่างนั้นยงยุทธเดินตามออกมา
“เดี๋ยวก่อนขุนเดช...แกไปพูดอย่างนั้นกับพวกชาวบ้านได้ยังไง รู้มั้ยว่าแกทำให้ชั้นกลาย เป็นหัวหลักหัวตอ”
“ชั้นไม่ได้คิดทำลายแก แค่พูดความจริงไม่อย่างนั้นพวกชาวบ้านจะยิ่งสิ้นศรัทธาแก”
“ถ้าแกอยากพูดความจริง แกก็บอกชั้นมาสิวะว่าไอ้คนที่มันทำร้ายแก แล้วฆ่าไอ้พวก โจรนั่นมันเป็นใคร”
“ชั้นบอกแกแล้วไง ชั้นไม่รู้”
“แกไม่รู้หรือว่ารู้แต่ไม่อยากบอกเพราะแกเองก็สะใจที่มีไอ้ฆาตกรอย่างมันคอยช่วย ปกป้องสมบัติของชาติที่ทั้งแก ทั้งพ่อแกทุ่มชีวิตปกป้อง”
“พอได้แล้วยงยุทธ !” ดาราเสียงดัง
“ดารา”
“ชั้นไม่คิดเลยว่าเธอจะทำให้ชั้นผิดหวังได้มากขนาดนี้”
ดารามองยงยุทธอย่างไม่พอใจก่อนจะเข้าไปช่วยประครองขุนเดชพาขึ้นรถจี๊ปแล้วขับออกไป ยงยุทธได้แต่ยืนมองตามด้วยความเสียใจ
จบตอน 7

ขุนเดช ตอน 8.1
ดารามาส่งขุนเดชที่กระท่อมแล้วช่วยพยุงขุนเดชให้นั่งลงที่แคร่ซึ่งขุนเดชใช้นอน
“ชั้นช่วยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้นะ”
“ไม่ต้องหรอกดารา คุณไปทำงานเถอะ ผมจัดการเองได้”
“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ชั้นให้อาจารย์ดำรงช่วยดูแลนักศึกษาให้แล้ว” ดาราพูดไปก็ช่วยถอดเสื้อขุนเดชออก เห็นว่ามีเลือดซึมออกมาจากผ้าพันแผลที่พันอยู่ที่ลำตัว “ดูสิ...แผลจะฉีกรึเปล่าก็ไม่รู้ ยงยุทธคิดอะไรของเขาถึงได้กดดันเธอแบบนี้”
“มันเป็นหน้าที่ ถ้าไม่ทำก็จะเป็นการละเว้น คุณไม่ควรจะไปว่ามันจะทำให้มันหมดกำลังใจ”
“ถ้าเรื่องแค่นี้ทำให้ยงยุทธหมดกำลังใจ แล้วต่อไปเขาจะดูแลใครได้”
ดาราพูดไปก็จะช่วยแก้ผ้าพันแผลให้ แต่ขุนเดชจับมือดาราไว้แล้วมองหน้านิ่ง
“คุณไม่รู้เหรอดาราว่าไอ้ยงยุทธมันรักคุณมากขนาดไหน”
ดาราชะงักไปแล้วหันมาตาคลอๆ
“แล้วเธอล่ะขุนเดช...เธอเคยรักชั้นบ้างรึเปล่า”

ที่หน้ากระท่อมบัวทองขี่จักรยานเข้ามาพร้อมกับกล่องยาและกับข้าวในปิ่นโต บัวทองจอดจักรยานใกล้ๆ หยิบ ของจะเข้าไปแต่ได้ยินเสียงคุยกันของขุนเดชกับดารา เลยชะงักมองเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันในกระท่อม

ขุนเดชเอาแต่นิ่ง ดาราขยับเข้าถามซ้ำ
“ว่ายังไงล่ะขุนเดช...ที่นี่มีแค่เธอกับชั้น อย่าให้ชั้นต้องอยู่กับความสงสัยอีกเลยได้มั้ย”
“ผมไม่ใช่คนที่เหมาะกับคุณหรอกดารา ยงยุทธมันเป็นคนดี เหมาะสมกับคุณที่สุดแล้ว กลับไปหามันเถอะ คุณเป็นคนเดียวที่จะทำให้มันมีกำลังใจต่อสู้ต่อ”
ขุนเดชปล่อยมือที่จับมือดาราอยู่ยิ่งทำให้ดารารู้สึกเจ็บปวดเสียใจ
“เธอยืนยันว่านี่คือคำตอบของเธอใช่มั้ยขุนเดช คำตอบที่ชั้นรอให้เธอมาตอบชั้น ตลอดเวลาเป็นสิบๆ ปีที่เธอทิ้งชั้นไป นี่คือคำตอบจริงๆ ที่เธอทิ้งชั้นไปใช่มั้ย”
ดาราเริ่มน้ำตาไหลอาบแก้มเสียใจ ขุนเดชลุกเดินเลี่ยงที่จะสบตา
“ใช่...เหตุผลที่ผมจากมาในวันนั้น...มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น” ขุนเดชหันมามองหน้าดารา หน้านิ่งเย็นชาไร้ความรู้สึก “ผมรักใครไม่ได้ เพราะชีวิตผมถูกลิขิตให้ต้องเดินตามรอยพ่อ ปกป้องสมบัติของแผ่นดินไม่ให้ถูกทำลาย”
“ขุนเดช”
ขุนเดชนิ่งเฉยเก็บอารมณ์และความรู้สึกที่เห็นดาราเสียใจแล้วเดินไปเปิดประตูกระท่อม บัวทองที่แอบฟังอยู่ ตลอดถึงกับอึ้งเหวอตกใจ ขุนเดชรู้ว่าบัวทองแอบฟังอยู่
“ไปซะเถอะดารา ผมมีคนที่คอยช่วยเหลือผมอยู่แล้ว”
“พี่ขุนเดช!!” บัวทองตกใจ
ดาราเสียใจมาก ปาดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มแล้วรีบเดินออกไป หัวใจของขุนเดชเย็นชาไม่แม้แต่จะตามไปส่ง บัวทองยืนอึ้งปนตกใจไม่คิดว่าพี่ขุนเดชจะเป็นคนใจร้ายได้ขนาดนี้ เลยปรี่เข้าทุบขุนเดชไม่ยั้ง
“ใจร้าย....ใจร้ายที่สุด หัวใจของพี่ทำด้วยอะไร ถึงได้ใจยักษ์ใจมารแบบนี้”
ขุนเดชนิ่งไม่ตอบโต้บัวทองแม้แต่น้อยปล่อยให้บัวทองทุบไม่หยุด
อ่านต่อหน้าที่ 2




ขุนเดช ตอนที่ 4 (ต่อ)

ในห้องทำงานของยงยุทธ หมอน้อยมาให้ปากคำกับยงยุทธ
“ผมอยากทราบว่าอาวุธที่คนร้ายใช้จัดการกับนายเถรและพวกโจรที่ลักขุดสังคโลก เป็นอาวุธอันเดียวกันรึเปล่าครับคุณหมอ”
“อันนี้หมอตอบได้ยากจริงๆ ครับผู้หมวด ศพของนายเถรถูกทำร้ายด้วยของแข็งก่อนจะถูกงูกัดตาย แต่ศพของโจรสองคนนั่นถูกของที่มีคมมากๆ ฆ่าตาย”
“ของที่มีคมมากๆ อย่างเช่นพวกมีดหรือดาบน่ะเหรอครับ”
“ก็คงจะเป็นอะไรทำนองนั้นครับ”
“หมอช่วยผมระบุชัดกว่านี้ไม่ได้เหรอครับว่าเป็นดาบประเภทไหน ผมจะได้ตีวงให้แคบเพื่อตามสืบได้ถูก”
“หมอก็อยากจะช่วยผู้หมวดตามจับคนร้ายรายนี้ให้ได้นะครับ แต่ถ้ายังหาอาวุธที่มาเปรียบเทียบกับรอยบนตัวศพไม่ได้ หมอก็ไม่รู้จะช่วยหมวดยังไง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพที่จะเก็บศพเก็บหลักฐานเอาไว้ตรวจสอบได้ ตอนนี้ศพของพวกนั้นก็ถูกญาติเอาไปทำพิธีหมดแล้ว”
ยงยุทธเจ็บใจ
“โธ่เว้ย! ไอ้วีรบุรุษบาป แกกับชั้นต้องได้เจอกันสักวันแน่”

ขุนเดชเดินออกมาหน้ากระท่อม บัวทองรีบเร่งฝีเท้าเดินตามไม่หยุดระเบิดอารมณ์ใส่
“หยุดนะพี่ขุนเดช ชั้นบอกให้หยุด...ถ้าพี่ไม่หยุด ชั้นจะเอาก้อนหินนี่ปาใส่หัวพี่” บัวทองหันคว้าก้อนหินจากพื้นขึ้นมา ขุนเดชยังเดินไม่สนใจไปที่มอเตอร์ไซค์ “ชั้นเอาจริงนะพี่ขุนเดช ชั้นรักอาจารย์ดาราเหมือนพี่สาวของชั้น แต่พี่ทำให้เขาร้องไห้ พี่ทำให้เขาเสียใจ พี่ไม่ใช่ลูกผู้ชาย พี่ต้องไปขอโทษเขา”
ขุนเดชไม่สนใจไม่ฟังบัวทองสักคำ บัวทองเลยปาก่อนหินใส่ทันที แต่ขุนเดชใช้ด้ามดาบดำปัดก้อนหินกระเด็น โดยไม่ต้องขยับตัวแม้แต่น้อย บัวทองชะงัก
“คนใจยักษ์ เก่งนักเหรอ งั้นโดนหลายๆ ก้อนเลยแล้วกัน ดูสิจะรับได้มั้ย”
บัวทองหันไปหยิบก้อนหินสามสี่ก้อนมาปาใส่ขุนเดชไม่หยุด ขุนเดชยืนเฉยใช้ดาบดำควงหมุนปัดก้อนหินทุก ก้อนที่บัวทองปาใส่ได้อย่างง่ายดาย ทำเอาบัวทองเหวอ
“หินมันคงเล็กไป งั้นลองก้อนใหญ่ๆ แล้วกัน” บัวทองหันไปที่ก้อนหินใหญ่ๆ ที่ต้องออกแรงยก แต่ขุนเดชเข้ามาดึงบัวทองจนตัวปลิว บัวทองตกใจ “พี่จะทำอะไรชั้นน่ะ อย่านะ...ชั้นสู้จริงๆ นะพี่”
ขุนเดชกระชากบัวทองจนหน้าแทบจะชนหน้า
“ถ้าบัวทองไม่หยุดกวนโมโหพี่ จะมาว่าพี่ทำ รุนแรงกับบัวทองไม่ได้”
บัวทองชะงัก
“พี่...พี่จะทำ...ทำอะไรชั้น”
ขุนเดชยื่นหน้าเข้าใกล้จนลมหายใจแทบรดหน้า บัวทองใจเต้นตึกตัก ขุนเดชยิ่งใกล้ บัวทองยิ่งหลับตาปี๋ ขุนเดชนิ่งมองบัวทองที่ตัวสั่นอย่างกับลูกนกก่อนจะปล่อยมือและปล่อยบัวทอง
“บัวทองไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะหาโอกาสไปขอโทษดาราเอง”
ขุนเดชผละจากบัวทองเดินไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ขับออกไป ทิ้งบัวทองให้อึ้งหน้าแดงหัวใจเต้นแรงตึกๆ

ที่บ้านกำนันบุญ กำนันบุญกำลังซ้อมมือฟันดาบอยู่กับลูกน้อง ฝีมือของกำนันบุญหนักหน่วงเอาเรื่องฟาดฟันแต่ละทีเล่นเอาลูกน้องรับศึกหนักไปไม่ใช่น้อย สัมฤทธิ์เข้ามายืนมองพ่อซ้อมมือก่อนจะต้องเสียวสันหลังวาบเมื่อกำนันบุญตวัดดาบในมือลูกน้องกระเด็นจน ดาบพุ่งมาปักที่เสาไม้เฉียดหน้าสัมฤทธ์ไปไม่ถึงนิ้ว
“มายืนเกะกะอะไรแถวนี้…ห๊ะ ไอ้สัมฤทธิ์”

กำนันบุญเช็ดเหงื่อเก็บดาบเข้าฝักแล้วหันมาที่ลูกชายอย่างแปลกใจ
“วีรบุรุษบาป...เอ็งเอาเรื่องไร้สาระอะไรมาพูด”
“แต่ชั้นได้ข่าวมาจริงๆ นะพ่อ ขนาดไอ้ผู้หมวดหัวแข็งนั่นยังโดนมันเล่นงาน ซ้ำพวกชาวบ้านก็ยังกดดันให้จับมันให้ได้เลย”
“ข้าว่ามันก็คงเป็นไอ้พวกลักสมบัติด้วยกัน หักหลังกันเองมากกว่า”
“ถ้ามันหักหลังกันเองมันก็ต้องเอาสังคโลกไปด้วยสิพ่อ แต่นี่มันไม่แตะต้องอะไรเลย มันไล่ฆ่าแล้วก็เอาศพไปแขวนประจาน”
“เอ็งอย่าทำกระต่ายตื่นตูมไปหน่อยเลยวะ ไอ้พวกนั้นมันพวกนักขุดหางแถว แต่พวกของข้ามันไม่ใช่เว้ย ต่อไปนี้เอ็งอย่ามาพูดเรื่องไอ้วีรบุรุษบาปบ้าบอนั่นให้ข้าได้ยินอีก”
กำนันบุญกำชับลูกชายแล้วหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องหิ้วกระเป๋าเป้เดินทางเตรียมตัวออกไป
“พ่อจะไปไหน”
“ลับแล”
“ขอชั้นไปด้วยสิพ่อ”
“ไม่ต้อง เกะกะข้าเปล่าๆ ข้ามีเรื่องต้องทำ” กำนันบุญหันมาหน้าตาจริงจัง “เรื่องที่ข้าต้องรู้ให้ได้”

วันต่อมา บัวทองซ้อมรำอยู่ที่ลานหน้าบ้าน คำปันคอยตีมือกำกับจังหวะให้และจ้ำจี้จำไชให้ลูกสาวรำสวยๆ
“ทำไมรำแบบนั้นล่ะ เดี๋ยวก็ตีให้มือหักเลย”
“ชั้นก็รำเหมือนทุกครั้งนั่นแหละแม่”
“แน๊ะ ยังมาเถียงอีก เห็นอยู่ว่านิ้วแข็งอย่างกับสากตีพริก นี่คงเอาเวลาไปสนใจแต่ เรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ใช่มั้ย”
“เรื่องที่ผู้หมวดยังตามจับคนร้ายไม่ได้เนี่ย มันไม่ใช่เรื่องไม่เป็นเรื่องนะแม่ แม่คิดดูสิ มีฆาตกรโหดมาเดินปะปนอยู่กับพวกเราแล้วเราจะไม่ระวังตัวได้ยังไง”
คำปันนิ่งไปอดคิดตามอย่างลูกสาวว่าไม่ได้
“นั่นสิ...เกิดมันคลั่งทำอะไรเราขึ้นมา ถ้าเรารู้ว่าเป็นใครก็ดีจะได้ระวังตัว”
“เห็นมั้ย...แม่ยังอยากรู้เลยว่ามันเป็นใคร แล้วทำไมชั้นจะไม่อยากรู้ว่ามันเป็นใคร”
“น้าคำปัน!”
เสียงของขุนเดชที่ดังขึ้นทำเอาคำปันตกใจ
“พ่อขุนเดช...โธ่...โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง น้าตกใจหมด”
“แม่ตกใจนึกว่าพี่ขุนเดชจะเป็นฆาตกรนั่นเหรอ”
คำปันหันมาตีลูกสาวทันที
“บัวทอง! เดี๋ยวตีโดดเลย ว่าแต่พ่อขุนเดชมาหาน้ามีอะไรเหรอ”

ขุนเดชกับบัวทองนั่งคุยกันอยู่ที่ชานเรือน
“ขอบใจนะพ่อขุนเดช อุตส่าห์นึกถึงบัวทองแนะนำงานให้น้อง”
“ชั้นไม่ได้แนะนำอะไรหรอกจ้ะน้า คนที่เขามาทำบุญที่วัดเขาเคยเห็นบัวทองรำ เขาชอบก็เลยขอให้ชั้นมาติดต่อให้ไปรำถวายที่งานวัด”
“เห็นมั้ยแม่ มีแม่คนเดียวแหละที่บอกว่าชั้นรำไม่สวย”
“ยังมายอกย้อนอีกเด็กคนนี้...พ่อขุนเดชจ๊ะ เดี๋ยวอยู่กินข้าวด้วยกันนะ”
คำปันเดินเข้าไปในบ้าน ขุนเดชหันมายิ้มให้บัวทองทำเอาบัวทองชะงักเงอะๆ ง๊ะๆ นึกถึงตอนที่อยู่กับขุนเดช แล้วหน้าแดงๆ ไม่กล้าสบตา ขุนเดชยิ้มขำบัวทองจนบัวทองโมโห
“ยิ้มอะไร...ชั้นไม่ฟ้องแม่ว่าพี่ทำอะไรชั้นก็ถือว่าใจบุญกับพี่เท่าไหร่แล้ว”
“แต่พี่ไม่ได้ทำอะไรบัวทองเลยไม่ใช่เหรอ”
“ยังมาพูดอีก...ไม่รู้ล่ะ พี่บอกชั้นว่าพี่จะหาโอกาสขอโทษอาจารย์ดารา งานวัดคราวนี้เป็นโอกาสดีของพี่แล้ว ห้ามเบี้ยวเด็ดขาด...เข้าใจมั้ย”
บัวทองจ้องหน้าขุนเดชต้องการย้ำให้ขุนเดชไม่บิดพริ้วก่อนจะหันมาแอบยิ้มแบบมีเลศนัยเล็กๆ

บรรยากาศป่าลึกต้นไม้รกครึ้มพรานป่านำประดับบุกป่าฝ่าดงต้นไม้เข้ามาพร้อมกับลูกน้อง รั้งท้ายสุดคือผกาที่บ่นกระปอดกระแปด
“ประดับ...ชั้นเหนื่อยแล้ว เดินมาตั้งหลายชั่วโมง ขอพักหน่อยไม่ได้เหรอ เหนื่อยก็เหนื่อยร้อนก็ร้อน...โอ๊ย ตัวอะไรก็ไม่รู้ ไป...ชิ้ว...ชิ้ว”
ผกาส่งเสียงดัง ประดับให้พรานกับลูกน้องนำไปก่อนแล้วเข้ามาบีบแขนผกาอย่างไม่พอใจ
“ชั้นบอกเธอแล้วไง ชั้นมาทำงานไม่ได้มาเที่ยว บอกให้รออยู่ที่โรงแรมก็ไม่เชื่อดันอยาก อยากตามมาเอง”
“แหม...ก็ตอนชั้นได้ยินลูกน้องเธอพูดถึงเรื่องสมบัติโบราณ ชั้นก็อยากเห็นกับตาเองนี่”
ประดับชะงัก บีบแขนผกาแรงขึ้น
“ว่าไงนะ”
“เอ่อ...ชั้นขอโทษ ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังพวกเธอคุยกัน ชั้นก็แค่อยากรู้ว่างานเลขาคนใหญ่คนโต ทำไมต้องถูกส่งให้มาบุกป่าฝ่าดงเพื่อหาสมบัติโบราณด้วย”
“ของบางอย่างถ้าไม่เห็นกับตา ไม่มีทางเชื่อได้หรอกว่ามันจะช่วยเสริมให้คนธรรมดาได้รับพลังแห่งอำนาจและบารมีอย่างที่จะหาใครบนแผ่นดินนี้ทัดเทียมได้อีก”
ประดับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะเดินออกไปตามหาของที่ต้องการต่อ ผกามองตามอย่างสนใจ

บรรยากาศงานวัดผู้คนเที่ยวเล่นสนุกสนานมีชิงช้าสวรรค์ มีร้านขายของและการละเล่นหลากหลาย
ด้านหนึ่งของงานเป็นเวทีที่บัวทองใช้แสดงรำถวาย ด้านข้างเวทีดารากำลังช่วยบัวทองแต่งหน้าแต่บัวทองเอา แต่ชะเง้อจนยุกยิกอยู่ไม่สุข
“อยู่เฉยๆ สิจ๊ะบัวทอง ไม่นิ่งแบบนี้ชั้นจะแต่งหน้าให้ได้ยังไง”
“ขอโทษค่ะอาจารย์” บัวทองหันไปเห็นขุนเดชเดินเข้ามาพอดี “เอ่อ...แค่นี้ก็พอแล้วล่ะค่ะอาจารย์ เดี๋ยวบัวทองแต่งหน้าต่อเอง”
“แต่อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ บัวทองสวยอยู่แล้ว แต่งเยอะเดี๋ยวจะเกินหน้านางรำคนอื่น ใช่มั้ยจ๊ะพี่ขุนเดช”
ดาราชะงักขุนเดชยิ้มรับนิ่งๆ แล้วมองไปที่ดาราซึ่งยังน้อยใจขุนเดชอยู่เธอเลยไม่สบตาขุนเดช
“ตามใจแล้วกัน งั้นเดี๋ยวชั้นจะไปรอดูบัวทองรำที่หน้าเวทีนะ”
ดารารีบเดินออกไป ขุนเดชยังเฉย บัวทองเลยรีบเข้าไปหยิกแขนขุนเดช
“ไม่ต้องมายืนตีหน้ายักษ์อยู่นี่เลย ตามไปขอโทษอาจารย์ดาราสิพี่ขุนเดช...ไปสิ”
บัวทองทั้งผลักทั้งดันให้ขุนเดชตามดาราออกไปแล้วเป่าปากทำตัวเป็นกามเทพสุดฤทธิ์

บนเวทีบัวทองรำอยู่ในกลุ่มพวกนางรำสวยงาม บัวทองรำได้อย่างอ่อนช้อยรอยยิ้มก็ละมุนอ่อนหวาน สัมฤทธิ์กับพวกลูกน้องมาเที่ยวงานวัด พวกมันเดินกร่างผลักพวกชาวบ้านที่เกะกะขวางทาง จนสัมฤทธิ์เดินมาถึงใกล้ๆ เวทีนางรำ สัมฤทธิ์ก็ชะงักกึกเหมือนต้องมนต์
“นางรำคนนั้นใครวะ ไม่เคยเห็นหน้าเลย งามถูกใจข้าชะมัด”
“ชื่อบัวทองจ้ะพี่ เป็นหลานสาวของจ่าแท่น”
“บัวทอง...หึๆ มาศรีสัชคราวนี้ไม่เสียเที่ยวจริงๆ”
สัมฤทธิ์มองบัวทองที่กำลังรำสวยงามแล้วยิ่งถูกใจ

ดารากำลังยืนดูชาวบ้านจุดพลุโอ่งแสงไฟระยิบระยับสวยงาม ขุนเดชเดินเข้ามายืนท่ามกลางสะเก็ดไฟที่พวยพุ่ง ดารานิ่งมองขุนเดชแล้วจะเดินหนี ขุนเดชรีบเดินเข้าไปคว้ามือเธอไว้
“ดารา...เรื่องวันนั้น...ผม...”
ดาราใจเต้นตึกตัก ขุนเดชไม่ทันพูดอะไร หยินก็รีบเข้ามาหาดาราท่าทางมีปัญหา
“อาจารย์คะ...แย่แล้วค่ะ เปี๊ยะมีเรื่องกับพวกนักเลงค่ะ”

มุมหนึ่งของงานวัดกบถูกพวกลูกน้องของสัมฤทธิ์แซวและพยายามแตะเนื้อต้องตัว สัมฤทธิ์ยืนหัวเราะชอบใจอยู่ห่างๆ
“เขาว่าสาวกรุงผิวขาวอมชมพู พวกพี่ไม่เคยเห็นเลย ขอดูใกล้ๆ หน่อยได้มั้ยจ๊ะน้อง”
กบกลัวพยายามเข้าไปหลบหลังเปี๊ยะ แต่พวกลูกน้องสัมฤทธิ์พยายามตามตื้อ เปี๊ยะจึงผลักอกพวกมัน
“อย่ามายุ่งกับพวกเรา ถอยไป”
สัมฤทธิ์กระชากคอเสื้อเปี๊ยะ
“เฮ้ย...มาขึ้นเสียงกับพวกข้าแบบนี้ วอนหาเรื่องโดนกระทืบสั่ง สอนซะแล้วไอ้หน้าจืด”
ขุนเดชเดินเข้ามา
“ปล่อยเด็กนั่นไปซะ”
สัมฤทธิ์ชะงักหันไปเห็นขุนเดชยืนจ้องเขม็ง สัมฤทธิ์ปล่อยเปี๊ยะแล้วเข้ามาสนใจขุนเดชแทน
“แกเป็นใครวะ กล้าดียังไงมาสั่งชั้น” สัมฤทธิ์จ้องหน้าขุนเดช เดินวนรอบๆ อย่างกวนสุดๆ แต่ขุนเดชยืนนิ่งราวรูปปั้น “ว่าไง...แค่นี้ก็ใจเสาะกลัวจนเป็นใบ้แล้วเหรอวะ ฮ่าๆๆ ถึงยังไงก็ไม่พ้นโดนกระทืบเหมือนกันและโว้ย”
สัมฤทธิ์หันไปหัวเราะชอบใจกับพวกลูกน้อง ขุนเดชปรี่เข้าไปใช้มือเดียวจับแขนสัมฤทธิ์มาบิด สัมฤทธิ์เจ็บร้อง โอดโอย พวกลูกน้องตกใจชักมีดออกมารุมล้อมพร้อมเปิดศึก
ขุนเดชกระแทกศอกเข้ากลางหลังสัมฤทธิ์ชักปืนที่เหน็บหลังสัมฤทธิ์ออกแล้วโยนให้เปี๊ยะรับไป ก่อนจะผลัก สัมฤทธิ์ใส่พวกลูกน้อง แล้วใช้ด้าบดำที่เหน็บอยู่ไม่ต้องชักดาบออกจากฝักเปิดฉากเล่นงานตีแขน ตีแสกหน้า ตีหน้าขาจนพวกลูกน้องสัมฤทธิ์ล้มเจ็บกันระนาว
“ไสหัวไปให้พ้น ถ้าเห็นพวกมึงมาเกะกะแถวนี้อีกเมื่อไหร่ล่ะก็...”
ขุนเดชทำท่าจะชักดาบออกมา เปี๊ยะเอาปืนของสัมฤทธิ์มาช่วยขู่ พวกลูกน้องรีบประคองสัมฤทธิ์พาหนีออกไป
“สุดยอดเลยครับพี่ขุนเดช ไอ้ที่พี่จัดการกับพวกนักเลงเมื่อกี้นี้สอนผมได้มั้ยครับ”
เปี๊ยะถาม ขุนเดชขรึมไม่ตอบสีหน้าจริงจังรับปืนของสัมฤทธิ์มาจากเปี๊ยะแล้วจัดการเอากระสุนออกจากลูกโม่อย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเดินเข้าไปหาดารา
“งานวัดคืนนี้ไม่สนุกสำหรับพวกคุณแล้ว คุณควรจะพาลูกศิษย์กลับไปที่พัก”
ขุนเดชบอกดาราแล้วจะเดินกลับไปแต่ดาราเรียกไว้
“เดี๋ยวขุนเดช...แล้วเรื่องที่เธอจะคุยกับชั้นล่ะ”
ขุนเดชนิ่งอยู่ครู่ ไม่ตอบสักคำแล้วเดินออกไปเลย ดาราผิดหวัง

กลุ่มของประดับตั้งแคมป์ที่ริมน้ำตกกลางป่า พรานนำทางกลับเข้ามาแล้วคุยอะไรบางอย่างกับลูกน้องด้วยท่าทางร้อนรนและตื่นกลัว มันรีบเก็บข้าวของเป็นการใกญ่ ประดับมองอย่างสงสัยก่อนจะถามกับลูกน้อง
“ไอ้พรานนั่นมันรีบร้อนเก็บของทำไม”
“มันเจอทางเข้าถ้ำลับแลที่เราจะไปเอาสมบัติโบราณแล้วครับ แต่มันกลัวผีป่าจำแลง ฆ่าเอามันเลยจะหนี”
ประดับมองพรานที่กำลังสาละวนเก็บของอยู่ครู่ก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วยกปืนขึ้นยิง…เปรี้ยงๆๆๆ พรานป่าตายคาที่เลือดนองสนองความโหดเหี้ยมของประดับ ผกาตกใจ
“นี่…นี่เธอฆ่าเขาทำไม”
“หมดหน้าที่ของมันแล้วก็ไม่มีประโยชน์สำหรับชั้นอีก” ประดับบอกแล้วหันไปสั่งลูกน้อง “คืนนี้เราจะไป เอาสมบัติกันเลย”
“ครับ คุณประดับ”
ลูกน้องหันไปเก็บข้าวของ ประดับหันไปสั่งผกา
“เธอรอชั้นอยู่นี่แหละ ชั้นได้ของที่ชั้นต้องการแล้วจะกลับมา”
“ให้ชั้นอยู่ที่นี่คนเดียวน่ะเหรอ” ผกามองไปรอบๆ อย่างกลัวๆ “จะดีเหรอประดับ”
ประดับมองหน้าผกา

ขณะนั้นกำนันบุญกับลูกน้องถือคบไฟแกะรอยตามพวกประดับเข้ามาในป่า
“ทางนี้ครับกำนัน”
ลูกน้องบอก กำนันบุญเข้ามาดูรอยเท้า
“รอยเท้าพวกมันเต็มไปหมด พวกมันอยู่แถวนี้แน่ เอ็งไปดูทางโน้น ข้าจะไปทางนี้เอง”
“ครับกำนัน”
ลูกน้องเดินแยกไป กำนันบุญมองไปรอบๆ ได้ครู่ก็ได้ยินเสียงบางอย่าง กำนันบุญเลยแหวกต้นไม้เดินเข้าไปก่อนจะ ชะงักเมื่อเห็นผกานุ่งผ้าถุงเปลือยไหล่ลงไปแช่น้ำที่ลำธาร ผการู้สึกว่ามีคนแอบดูเลยหันมาก่อนจะยิ้มยั่วยวนแล้วค่อยๆ ปลดเปลื้องผ้าถุงลงแช่น้ำ กำนันบุญเหมือนโดนมนต์สะกดลงไปแช่อยู่ในน้ำกับผกาแล้วโอบกอดรัดฟัดเหวี่ยงโรมรันกันถึงพริกถึงขิง แต่ทันใดนั้นกำนันบุญกลับผลักผกาออกไปแล้วชักดาบที่เหน็บเอวออกมา
“คิดว่าหลอกข้าได้เหรอนังผีป่าจำแลง...”
กำนันบุญพลิกคมดาบให้เห็นชัดว่ามียันต์อักขระกำกับอยู่ที่เนื้อดาบ ผีป่าจำแลงที่จำแลงเป็นผกาเห็นเข้าก็ตกใจหน้าตื่นถอยหนี
“จะหนีดาบเหล็กน้ำพี้ลงอาคมของข้าเหรอ…ไม่พ้นหรอก”
กำนันบุญวิ่งลงน้ำตามไปฟัน…ฉับ…ผีป่าจำแลงร้องกรี๊ดลั่นเลือดสาด ก่อนจะหายวับไป

ประดับกับลูกน้องถือคบไฟเข้ามาในถ้ำ สภาพถ้ำดูอับชื้นและน่ากลัว ผกาเกาะติดประดับแจ
“ทำไมในนี้มันน่ากลัวจังเลย”
“ก็ชั้นบอกให้เธอรอแล้วไง”
“แต่นายพรานนั่นบอกว่าแถวนี้มีผีป่าจำแลง ชั้นไม่กล้ารอคนเดียวหรอก” ผกาบ่นไปก็เกาะเอวประดับแจและสงสัยมองลูกน้องประดับที่กำลังขุดดินหาสมบัติ “ว่าแต่สมบัติโบราณที่เธอตามหา มันคืออะไรเหรอ”
“เทวรูปนารายณ์เนื้อเงินบริสุทธิ์ สมบัติที่โยนกนครส่งมาให้หนานคำสือผู้สร้างเมืองลับแลแต่สูญหายไประหว่างทาง”
ประดับเล่าให้ผกาฟังคร่าวๆ ระหว่างนั้นลูกน้องประดับก็ขุดลงไปจนเจออะไรบางอย่าง
“คุณประดับครับ...เจอแล้วครับ”
ประดับรีบเข้าไปดูพบว่าที่ลูกน้องขุดเจอเป็นกล่องสมบัติใบหนึ่ง ประดับรีบยกกล่องออกมาจากหลุมแล้วใช้ ด้ามปืนทุบสลักที่ล็อคกล่องออก ทันทีที่เปิดกล่องออกมาก็พบเทวรูปนารายณ์ขนาดหนึ่งศอกหล่อจากเงินบริสุทธิ์ สวยงามและขลังจนน่าตื่นตะลึง
“ในที่สุดก็เจอจนได้”
ประดับกำลังจะเก็บเทวรูปใส่กระเป๋าเป้ แต่ทันใดนั้นผกาก็ร้องกรี๊ดเสียงดังลั่น....กรี๊ดดดดด ประดับกับลูกน้องหันขวับเห็นนักรบโบราณหน้าตาถมึงถึงน่ากลัว มือถือดาบคู่เป็นอาวุธจ้องตาแดงก่ำใส่

ขณะนั้นขุนเดชเดินอยู่ท่ามกลางชาวบ้านที่กำลังเที่ยวสนุกสนานอยู่ในงานวัด สัมฤทธิ์สะกดรอยตามหลังปะปนกับชาวบ้านเพื่อหาทางเข้าไปในระยะประชิดพอที่จะยิงขุนเดชในระยะเผาขน ขุนเดชเดินมาหยุดคุยทักทายกับชาวบ้านที่ซุ้มยิงปืนอัดลม สัมฤทธิ์เข้ามาใกล้พอถึงระยะประชิดที่ยกปืนขึ้น เล็งกะว่าโดนเข้าเป็นตายแน่
ขุนเดชกลายเป็นเป้ากระสุนที่สัมฤทธิ์กำลังจะลั่นไก แต่ระหว่างนั้นมีชาวบ้านที่ยิงปืนอัดลมขึ้นมาก่อน...ปัง!
ขุนเดชหันไปตามเสียงเลยโชคดีเห็นสัมฤทธิ์ที่กำลังจะยิงตัวเองพอดี สัมฤทธิ์ยิง....เปรี้ยง! ขุนเดชกระโจนหลบข้ามเข้าไปในซุ้มยิงปืนอัดลม สัมฤทธิ์ยังลั่นไกใส่ขุนเดชไม่หยุด โดนพวกตุ๊กตาเป้าอัดลมกระจุย เปรี้ยง ๆๆๆๆ แต่ไม่โดนขุนเดชสักนัด
ชาวบ้านแตกตื่นวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นจนบดบังทางปืนของสัมฤทธิ์จนเล็งขุนเดชไม่ได้ สัมฤทธิ์เลยยิงปืนขึ้นฟ้า ทำให้พวกชาวบ้านก้มหลบ แต่ขุนเดชก็หายไปท่ามกลางความวุ่นวาย
“มึงหนีกูไม่พ้นหรอก...ไอ้ขุนเดช”

ชาวบ้านวิ่งแตกตื่นหนีออกมากันจ้าละหวั่น บัวทองกับดารารีบถามชาวบ้าน
“มีอะไรกันเหรอจ๊ะน้า”
“ขุนเดชถูกพวกไอ้สัมฤทธิ์ไล่ยิง”
“พี่ขุนเดช”
บัวทองตกใจและเป็นห่วงขุนเดชมากรีบวิ่งสวนชาวบ้านเข้าไปอย่างไม่กลัวอันตราย
“บัวทองอย่าเข้าไป…มันอันตราย”
ดาราตะโกนเรียกอย่างเป็นห่วง

บริเวณด้านหลังวัดลูกน้องสัมฤทธิ์ถือปืนเข้ามาตามหาขุนเดช พวกมันมองไม่เห็นว่าขุนเดชยืนอยู่บนเจดีย์เหนือหัวพวกมัน ขุนเดชจ้องพวกมันเขม่ง หนึ่งในลูกน้องของสัมฤทธิ์เพิ่งเห็นเงาของขุนเดชที่ทาบผ่านแสงจันทร์ลงมาที่พื้น มันรีบเงยหน้าขึ้นไปเล็งปืนจะยิง แต่ขุนเดชกระโจนลงมาใช้เชิงมวยเล่นงานมันปัดปืนกระเด็น แล้วต่อด้วยหมัดเข่าศอกประเคนใส่จนมันกระเด็นไปกระแทกเจดีย์กระอักเลือดหมดสติ
ลูกน้องสัมฤทธิ์อีกคนที่มาด้วยกันโผล่เข้ามาแล้วยกปืนเล็งยิงใส่...เปรี้ยง! ขุนเดชเอาด้ามดาบดำขึ้นมาเป็นโล่ห์กันกระสุนได้ทัน...แคร๊ง! มันลั่นไกใส่ต่ออีกชุดใหญ่ แต่ขุนเดชกระโจน หลบซ้าย-ขวา จากฐานเจดีย์ชิ่งต้นไม้กลับไปกลับมาไม่ให้เป็นเป้านิ่งกระสุน โถมทะยานเข้ามาหยุดตรงหน้ามันแล้วใช้ด้ามดาบดำฟาดเข้าที่ข้อมือ มันร้องเจ็บปวดโอดโอย ปืนกระเด็น ขุนเดชจ้องหน้ามันดวงตาดุดันก่อนจะศอกกลับหลังกระแทกเข้าหน้าทีเดียเลือดกลบปากสลบเหมือด

ยงยุทธกับจ่าแท่นรีบเข้ามาที่บริเวณลานวัดสวนกับพวกชาวบ้านที่ยังหนีเอาตัวรอดออกมา บางคนบาดเจ็บ เพราะหนีจนหกล้มลุกคลุกคลาน
“จ่ารีบพาคนเจ็บออกไปก่อน”
“แล้วหมวดคนเดียวจะไหวเหรอครับ”
“ไม่ต้องห่วงผมหรอก…ห่วงพวกชาวบ้านก่อน จ่ารีบไปเถอะ”
“ครับหมวด”
จ่าแท่นช่วยประคองชาวบ้านที่บาดเจ็บพาออกไป ยงยุทธหันไปมองด้านในวัดหน้าเขม็ง เสียงปืนดังขึ้น ยงยุทธกระโจนหลบแล้วชักปืนยิงสวนกลับไป พวกลูกน้องของสัมฤทธิ์ที่ถูกส่งมาขวางยงยุทธยิงตอบโต้ใส่แล้วหนีออกไปอีกทางล่อให้ยงยุทธไปคนละทางกับที่สัมฤทธิ์ไล่ตามขุนเดช ยงยุทธไล่ตามพวกมันไป

อีกด้านหนึ่งขณะนั้นประดับพาผกาวิ่งหนีนักรบโบราณ ประดับกับลูกน้องยิงปืนใส่หูดับตับไหม้แต่กระสุนก็ทำอะไร วิญญาณนักรบไม่ได้ ลูกน้องประดับชักดาบเดินป่าออกไปลุยแต่โดนนักรบฟันจนได้รับบาดเจ็บ ประดับเป็นฝ่ายเข้าไปลุยบ้าง ฝีมือของประดับเอาเรื่องรับเพลงดาบได้อยู่บ้าง แต่ก็สู้ความแข็งแกร่งของนักรบโบราณไม่ได้ ประดับเกือบเสียทีกำลังจะโดนนักรบโบราณฟัน แต่ทันใดนั้นดาบเหล็กน้ำพี้ของกำนันบุญก็พุ่งเข้ามาปักอกนักรบจนชะงัก
กำนันบุญปรากฏตัวขึ้นท่าทางเอาเรื่องพร้อมกับพนมมือบริกรรมคาถา วิญญาณของนักรบโบราณก็หายวับไป
“กำนัน”
ประดับมองกำนันบุญอย่างแปลกใจ

ส่วนที่วัดลูกน้องสัมฤทธิ์สองคนที่หลอกล่อยงยุทธรีบวิ่งเข้ามาพวกมันยิงปืนขู่ยงยุทธจนกระสุนหมดกำลังจะเปลี่ยนชุดใหม่ใส่ลูกโม่ แต่ยงยุทธกลับโผล่มายืนข้างหลังพวกมันพร้อมเอาปืนจ่อ
“ทิ้งปืน...บอกให้ทิ้งปืน”
ลูกน้องสัมฤทธิ์เจ็บใจคนหนึ่งยอมทิ้งปืนตามสั่ง แต่อีกคนพยายามจะขัดขืน ยงยุทธเลยลั่นไก...เปรี้ยง!!
กระสุนจากยงยุทธเจาะเข้าไหล่มันกระเด็น อีกคนเลยได้โอกาสกระแทกหัวใส่หน้ายงยุทธจนหน้าหงาย แถมยัง ตามด้วยศอกลงที่ท่อนแขนทำให้ปืนในมือยงยุทธร่วง ยงยุทธผงะถอยเลือดกำเดาไหล ลูกน้องสัมฤทธิ์คนนี้ท่าทางมีฝีมือทางเชิงมวย ชกลมเต้นฟุคเวิร์ค บิดกระดูก คอดัง...กร่อบ! ยงยุทธเห็นมันพร้อมจะลุยเลยถอดเสื้อแจ็คเก็ตที่สวมทับเสื้อกล้ามออกแล้วตั้งท่าเชิงมวย
ยงยุทธกับลูกน้องสัมฤทธิ์เปิดฉากแลกหมัดด้วยเชิงมวยอย่างมันส์หยด เพราะฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยง แต่สุดท้ายยงยุทธก็เล่นงานมันจนมันสลบเหมือด อีกคนที่โดนยิงก็นอนร้องโอดโอย ยงยุทธเก็บปืนขึ้นมาแล้วจับพวกมันใส่กุญแจมือไว้ด้วยกัน

สัมฤทธิ์ไล่ตามขุนเดชออกมาแล้วยิงมั่วไปหมด...เปรี้ยงๆๆๆ
“โผล่หัวมึงออกมาสิวะ ดีแต่หนีแบบนี้เก่งไม่จริงนะโว้ย ไอ้ขุนเดช”
สัมฤทธิ์โวยโอ้อวด ขุนเดชก้าวออกมาจากความมืดตามคำท้า สัมฤทธิ์หันขวับยกปืนเล็ง
“ลูกโม่แกเหลืออีกแค่นัดเดียวข้าจะยืนเฉยๆ เป็นเป้าให้ยิง แต่ถ้ายิงกูไม่โดนก็เตรียมตัวคลานเป็นหมากลับบ้านไปหากำนันพ่อเอ็งได้เลยไอ้สัมฤทธิ์”
“แกก็รู้นี่หว่าว่าข้าเป็นใคร...แต่ยังกล้าหาเรื่องตาย งั้นเดี๋ยวจัดให้ตามที่ต้องการเลยจะได้รู้ว่าไอ้สัมฤทธิ์แม่นขนาดไหน”
สัมฤทธิ์เล็งปืนไปที่ขุนเดชซึ่งเป็นเป้านิ่ง ขุนเดชไม่ขยับตามที่ลั่นวาจา แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จันทร์เต็มดวงทำให้รอบๆ ตัวสว่างจนสัมฤทธิ์เล็งขุนเดชได้ แต่เมฆค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าบดบังแสงจันทร์ตามที่ขุนเดชคำนวนเอาไว้แล้วเป็นจังหวะพอดีกับที่สัมฤทธิ์กำลังจะลั่นไก ความมืดเข้าปกคลุม สัมฤทธิ์เหนี่ยวไก ...เปรี้ยง! กระสุนเฉียดหน้าขุนเดชไปแค่ไม่ถึงคืบอย่างที่คิดเอาไว้ สัมฤทธิ์ชะงักอึ้ง
“ชิบหายแล้ว”
สัมฤทธิ์รีบล้วงกางเกงเอากระสุนเอามาบรรจุใส่ลูกโม่ ขุนเดชเดินดิ่งเข้ามาอย่างใจเย็น สัมฤทธิ์ยิ่งลนจนกระสุนในมือตกพื้นเกลื่อนจะรีบหยิบกระสุนบนพื้นขุนเดชก็มายืนเหนือหัวแล้ว ขุนเดชเตะเสยคางสัมฤทธิ์หน้าหงาย ขุนเดชตามเข้าไป สัมฤทธิ์รีบถอยแล้วลุกขึ้นมาฮึดสู้
“มาสิวะ...มือเปล่าข้าก็จัดการเอ็งได้เว้ย”
สัมฤทธิ์คิดจะใช้เชิงมวยสู้กับขุนเดช เลยโดนขุนเดชเปิดฉากใช้เชิงมวยสั่งสอน ยงยุทธตามเข้ามาเห็นการต่อสู้ของขุนเดชกับสัมฤทธิ์ด้วยเชิงมวยที่สัมฤทธิ์ไม่มีแววว่าจะสู้ได้เลย ขุนเดชไล่ชก ไล่ศอก ไล่ถีบจนสัมฤทธิ์สะบักสะบอมงอมพระราม หน้าตายับเยินเลือดเกรอะ ขุนเดชเข้าไปกระชากมันขึ้นมาแล้วจะชกด้วยหมัดสุดท้าย ยงยุทธก็รีบเข้ามาห้าม
“พอได้แล้วขุนเดช”
ขุนเดชชะงักหันไปทางยงยุทธ สัมฤทธิ์หมดสติสลบเหมือดลงไปกองกับพื้น
อ่านต่อหน้าที่ 3




ขุนเดช ตอนที่ 4 (ต่อ)

ในถ้ำลูกน้องของกำนันบุญช่วยทำแผลให้ลูกน้องประดับ ส่วนกำนันบุญก็เข้าไปช่วยพยุงผกามานั่งและมองด้วยสายตาโลมเลียด้วยนิสัยเจ้าชู้หยอดนิดหยอกหน่อยเป็นหมาหยอกไก่
“มีผมอยู่ด้วยรับรองว่าวิญญาณนักรบที่มาปกป้องสมบัติจะไม่โผล่มาทำให้คุณผู้หญิงต้องตกใจอีก”
กำนันบุญจับมือผกาไม่ยอมปล่อย จนผกาต้องเป็นฝ่ายดึงมือออกมาเอง ระหว่างนั้นประดับเข้ามาพร้อมกับเอาปืนจ่อ
“ขอบใจมากนะกำนัน” ประดับบอกพร้อมขึ้นไกปืน...กริ๊ก
ลูกน้องกำนันบุญเห็นกำนันบุญโดนปืนจ่อก็จะขยับเอาเรื่อง แต่โดนลูกน้องประดับชักปืนมาจ่อเอาไว้อย่างเร็วกว่า
“ผมเพิ่งช่วยชีวิตคุณไปเองนะครับ...คุณประดับ”
“นั่นมันพอแล้วสำหรับคำขอบใจที่ชั้นบอกไป ถ้ากำนันไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าถ้ำก็บอกมาว่าสะกดรอยตามมาทำไม”
กำนันบุญนิ่ง ประดับขยับปืนจี้เอาจริง
“ผมตามมาเพราะว่าผมรู้จากพรานนำทางนั่นว่าคุณกำลังมาตามหาสมบัติที่ถ้ำลับแล ผมเป็นห่วงคิดว่าคนอย่างคุณคงไม่ได้เตรียมตัวมารับมือ”
“แล้วพรานนั่นมันบอกกำนันได้ยังไง”
“ที่ไหนมีของเก่าของดีเยอะ ผมก็ต้องไปทุกที่ ไม่อย่างนั้นผมจะเสาะหาของดีๆ ไปให้ท่าน ได้ยังไงล่ะครับคุณประดับ”
ประดับยังนิ่งมองกำนัน ผกาเข้าไปจับแขนประดับ
“ชั้นว่าเรากลับกันเถอะ เธอก็ได้เทวรูปนารายณ์เนื้อเงินไปให้ท่านแล้วนี่ ไปเถอะ...ชั้น ไม่ชอบที่นี่เลย”
ประดับนิ่งไปครู่ก่อนจะลดปืนลงแล้วพาผกากับลูกน้องออกไป กำนันบุญมองตามอย่างสงสัย
“เทวรูปนารายณ์เนื้อเงิน...โล่ห์โลหะเขียว ของโบราณที่เป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์...หรือว่า...”
กำนันบุญคิดแล้วก็พอจะนึกอะไรได้ขึ้นมาบางอย่าง

ที่คุกในสถานีตำรวจ สัมฤทธิ์ในสภาพหน้าตาดูไม่จืดพร้อมลูกน้องที่โดนขุนเดชเล่นงานไปไม่ต่างจากเจ้านายทั้งหมดถูกจับขังรวม แต่สัมฤทธิ์เกาะลูกกรงโวยวาย
“ปล่อยนะโว้ย พวกมึงจับกูมาขังได้ยังไง บอกให้ปล่อย...หูหนวกกันเหรอไงวะ ปล่อยกูออกไปนะเว้ย”
สัมฤทธิ์เอะอะจนยงยุทธกับจ่าแท่นต้องเข้ามา
“ที่นี่โรงพักนะเว้ย ไม่ใช่บ้านเอ็ง ขืนแหกปากให้หนวกหูจะเอาไม้กระบองนี่กระแทกปาก”
“กล้าก็ลองสิจ่า...ถ้าจ่าไม่เอาชั้นออกไปจากไอ้ห้องขังนี่ล่ะก็ จ่ากับผู้หมวดโดนเด้งไปเดินหลบหลุมระเบิดที่ชายแดนแน่”
“หนอย...จะติดคุกหัวโตแล้วยังกล้าขู่เจ้าหน้าที่อีก ขอสักทีเถอะวะ”
“พอได้แล้วจ่า...เปิดประตูห้องขัง”
จ่าแท่นชะงักตกใจ
“หมวด”
ยงยุทธขึงขังจริงจังจนจ่าแท่นต้องเปิดห้องขัง สัมฤทธิ์ยิ้มเยาะคิดว่าตัวเองกร่างจนตำรวจกลัว แต่ยงยุทธ กลับเข้าไปกระชากคอเสื้อสัมฤทธิ์มาขู่
“ก่อเหตุทะเลาะวิวาท พกอาวุธในที่สาธารณะ ข่มขู่และทำร้ายเจ้าพนักงาน แต่ละกระทงหนักๆ ทั้งนั้น กว่าจะได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกที...ฟันในปากแกก็คงไม่เหลือแล้ว”
ยงยุทธผลักสัมฤทธิ์ไปที่พวกลูกน้อง แล้วออกไปจากห้องขังปล่อยให้จ่าแท่นล็อคกุญแจ
“หุบปากไปเลยนะ ถ้าหมวดโมโหเอาจริงขึ้นมาล่ะก็”
จ่าแท่นทำท่าปาดคอขู่ให้พวกสัมฤทธิ์กลัว สัมฤทธิ์เจ็บใจ
“พ่อกำนันไม่ปล่อยให้กูถูกขังอยู่ในนี้หรอกเว้ย”

ยงยุทธเดินกลับมาที่ขุนเดชซึ่งอยู่กับดาราและบัวทอง
“นายสัมฤทธิ์หมดสิทธิ์จะได้ออกมาอาละวาดหาเรื่องเดือดร้อนให้ใครอีกแล้ว”
“แต่คุกแค่นั้นขังมันไว้ได้ไม่นานหรอก”
“ถึงมันจะเป็นลูกชายกำนัน แต่ทุกคนก็ต้องอยู่ใต้กฏหมายเดียวกัน”
“หึ...งั้นชั้นจะคอยดูว่าแกจะรับมือกับอิทธิพลเถื่อนได้สักกี่น้ำ”
“ขุนเดช”
“พอได้แล้ว...พวกเธอเป็นเพื่อนกันนะ เรื่องแค่นี้อย่าต้องมาทำให้แตกแยกกันเลย”
ขุนเดชกับยงยุทธนิ่งกันไป
“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ชั้นขอตัว”
ขุนเดชเดินออกไป บัวทองรีบบอกหมวดยงยุทธ
“บัวทองว่าหมวดควรจะฟังที่พี่ขุนเดชพูดบ้างนะคะ คนที่นี่รู้ดีว่าอิทธิพลของกำนัน ไม่ธรรมดา พี่ขุนเดชเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของหมวด”
“ขอบใจนะบัวทอง ชั้นก็พอรู้มาบ้างเอาเป็นว่าชั้นจะระวังตัว”
“งั้นบัวทองจะไปบอกพี่ขุนเดชให้นะจ๊ะ”
บัวทองโล่งอกแล้วรีบตามขุนเดชออกไป ยงยุทธหันมาที่ดารา
“ดารา ขอผมคุยกับคุณสักเดี๋ยวได้มั้ย เรื่องเกี่ยวกับขุนเดช”

ขุนเดชเดินมาตามถนนคนเดียว บัวทองรีบเดินตามหลัง
“พี่ขุนเดช...พี่ขุนเดช รอชั้นด้วยสิ” ขุนเดชยังเดินไปตามถนนคนเดียวเงียบๆ บัวทองรีบเร่งฝีเท้าเดินตามเพราะกลัวไม่ทันเลยสะดุดข้อเท้าเจ็บ “โอ๊ย”
บัวทองเจ็บข้อเท้าลุกไม่ขึ้น ขุนเดชเข้ามาช่วยดู
“ตามพี่มาทำไม นี่มันดึกแล้วนะ”
“ก็ชั้น...ชั้นเป็นห่วงพี่ ตอนรู้ว่าพี่มีเรื่องกับพวกลูกกำนัน ชั้นนึกว่าพี่....”
“นึกว่าพี่จะโดนพวกมันฆ่า”
“ก็พวกมันยกโขยงมาเป็นฝูง แต่พี่มีแค่ดาบหักเล่มเดียว” ขุนเดชยิ้ม
“คนอย่างพี่นรกยังไม่ต้องการตัวหรอกบัวทอง”
ขุนเดชพูดไปก็อุ้มบัวทองขึ้นมา บัวทองตกใจ
“พี่ขุนเดชจะทำอะไร”
“เดินไม่ไหวไม่ใช่เหรอ พี่ก็จะอุ้มพาไปส่งบ้านไง”
ขุนเดชอุ้มบัวทองตัวลอยแล้วพาเดินไปตามทางเดินมืดๆ บัวทองใจเต้นตึกตักไม่รู้ตัว

ที่คฤหาสน์ปราชญ์ ภายในห้องสะสมของเก่าของปราชญ์ ประดับเอาเทวรูปนารายณ์เนื้อเงินมาวางไว้ที่ทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) ปราชญ์เข้ามามองอย่างชื่นชม
“ขอบใจมากนะประดับ เหนื่อยมากเลยสิกว่าจะได้มา”
“ไม่หรอกครับท่าน”
“อีกเดี๋ยวอาจารย์ก้องเกียรติก็จะมาทำพิธีให้ชั้นแล้ว เธอไปพักผ่อนได้ ไม่ต้องอยู่กับชั้นหรอก”
“ครับท่าน”
“อ้อ...ชั้นฝากให้เธอจัดการอีกเรื่อง ช่วยไปดูยัยปาให้ชั้นหน่อย หมู่นี้ชักทำตัวเหลวไหลเข้าไปทุกวัน ฝากด้วยนะ”
“ครับท่าน”
ประดับเดินออกไปแต่หยุดที่ประตูแล้วหันมามองปราชญ์ที่กำลังชื่นชมเทวรูป ปราชญมองด้วยแววตาร้ายกาจ พร้อมจะหักหลังปราชญ์ได้ตลอดเวลา

วันต่อมาบริเวณพื้นที่โบราณสถานที่ทีมงานของดารากำลังทำการบูรณะตกแต่ง ที่บริเวณฐานเจดีย์ใหญ่ที่เก่าและทรุดโทรม ดารากำลังถ่ายภาพ สำรวจทำบันทึกศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรม จากรูปสลักเทวดาอารักษ์ที่เรียงรายรอบฐานเจดีย์ มุมหนึ่งไม่ไกลจากดารา กลุ่มนักศึกษาที่ช่วยงานทำงานไปก็จับกลุ่มคุยกันไป
“จริงสิ...พวกเราไม่ได้โม้นะ เห็นพี่ขุนเดชเงียบๆพูดน้อยๆ แบบนั้น แต่ฝีมือน่ะสุดยอดเลย คนเดียวสู้กับพวกนักเลงพวกนั้นจนต้องหนีเตลิด”
“ใช่...ตอนพวกมันรุมพี่ขุนเดชนะ ชั้นนึกว่างานนี้พี่ขุนเดชไม่รอดแน่ แต่พริบตาเดียว พี่ขุนเดชก็จัดการพวกมันไม่เหลือ ไม่ทันได้ชักดาบออกจากฝักด้วยซ้ำ”
ดารามองกลุ่มพวกนักศึกษาแล้วอดคิดถึงเรื่องที่ยงยุทธบอกเธอ เมื่อคืนไม่ได้

เหตุการณ์เมื่อคืน ดารามีสีหน้าแปลกใจเมื่อยงยุทธเอาความสงสัยเกี่ยวกับขุนเดชมาเล่าให้ฟัง
“ขุนเดชน่ะเหรอโกหก”
“ใช่...เพราะผมเคยวัดเชิงมันตอนเจอกันครั้งแรก ตอนนั้นฝีมือมันไม่เหลือวิชาของลุงเถิน ที่ถ่ายทอดไว้ให้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อคืนพอผมเห็นมันจัดการกับพวกนายสัมฤทธิ์ แล้ว...มันโกหกผมแน่ๆ ดารา ฝีมือของมันตอนนี้ร้ายกว่าเก่าที่ผมเคยรู้จักด้วยซ้ำ”
“แล้วขุนเดชจะทำอย่างนั้นไปทำไม”
“ผมไม่รู้...แต่ถ้าเหตุผลที่มันโกหกผมเป็นเรื่องไม่ดีล่ะก็”
“ยงยุทธ”
สีหน้ายงยุทธจริงจังมากจนดารารู้สึกใจคอไม่ดี

ดาราหน้าเครียดๆ เพราะเหม่อคิดถึงเรื่องที่คุยไปกับยงยุทธ ดาราพยายามสลัดความคิดนั้นออกไปแล้วตั้งใจถ่ายรูปทำงานสำรวจต่อ แต่ระหว่างนั้นดาราได้ยินเสียงขู่ดังฝ่อๆ งูเห่าตัวเขื่องแผ่แม่เบี้ยพร้อมจะฉก ดาราหน้าเสีย ขยับถอยแล้วรีบวิ่ง แต่งูก็เลื้อยไล่ตาม ดาราสะดุดล้มงูเห่าฉกเข้าที่ขาทันที ดาราร้องลั่น ทุกคนตกใจรีบเข้ามาดู ขุนเดชแหวกกลุ่มเข้ามาช่วยประคอง
“ขุนเดช...ชั้น ชั้นถูกงูกัด”
“งูอะไรกัดคุณ”
“งูเห่า”
ขุนเดชหน้าเครียดขึ้นมาทันที รีบจับขาดาราขึ้นมาเห็นรอยเขี้ยวงูเลยรีบทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นดูดพิษจากบาดแผลออกมาให้มากที่สุด แล้วฉีกแขนเสื้อมามัดเหนือปากแผล ก่อนจะอุ้มพาดาราขึ้นรถจี๊ปของทีมสำรวจ ขับพาออกไปอย่างรวดเร็ว

ขุนเดชห้อตะบึงรถพุ่งทะยานไปตามถนนลูกรัง ดาราปากซีดหน้าซีดเพราะพิษร้ายของงูเห่ากำลังเล่นงาน ขุนเดชเป็นห่วงมาก
“อดทนไว้นะดารา ห้ามหลับนะ ลืมตามองผมไว้”
“ขุน...ขุนเดช”
“ผมบอกว่าห้ามหลับไง มองผม...มองหน้าผมไว้”
“ชั้น...ชั้นรักเธอนะขุนเดช ชั้นเชื่อว่าเธอเป็นคนดี”
ดารายื่นมือไขว่คว้าหา ขุนเดชจับมือเธอเอากุมไว้แน่น
“คุณจะตายไม่ได้นะดารา...คุณต้องอยู่กับผม” ดารามองขุนเดชแล้วดวงตาค่อยๆ ปิดก่อนจะแน่นิ่งไป ขุนเดชตกใจ “ดารา...ดารา”

ที่คฤหาสน์ของปราชญ์ ขณะนั้นคุณหญิง ภรรยาของปราชญ์มาเคาะประตูเรียกปารมีอยู่หน้าห้องเสียงดัง
“ยัยปา...ยัยปา จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน ตื่นได้แล้ว...ยัยปา”
ปารมีรีบมาเปิดประตูห้องนอน สวมเสื้อคลุมอย่างรวกๆ ผมเผ้ายุ่งๆ ดูมีท่าทางลุกลี้ลุกลน
“อะไรกันคะคุณแม่ เช้ามาก็โวยวายหนวกหู ปาไม่ได้นอนกินบ้านกินเมืองสักหน่อย โน่นไปว่าพ่อเขาสิ นั่นแหละคนกินบ้านกินเมืองตัวจริง”
“ยัยปา! ปากแกนี่มัน”
“แม่มีอะไร ปายังไม่หายง่วง”
ปารมีทำท่าหาว คุณหญิงเดินผ่านลูกสาวเข้าไปในห้อง ปารมีหน้าเสียที่เห็นแม่เข้ามายืนใกล้ๆ เตียง
“วันนี้ชั้นมีนัดกับเจ้าสัว ลูกชายเขาเพิ่งกลับจากเมืองนอก รีบแต่งตัวซะ ชั้นจะพาไปแนะนำให้รู้จัก”
“แต่ปาไม่อยากไป”
“ไม่ต้องมาเถียง...เดี๋ยวนี้แกชักจะเหลวไหลใหญ่แล้ว มีคนมาบอกชั้นว่าเห็นแกไปสิง อยู่ที่ไนต์คลับแทบทุกคืน อย่าให้ชั้นจับได้คาเขานะ”
“ปารู้แล้วน่า แม่ออกไปก่อนปาจะได้อาบน้ำแต่งตัว”
ปารมีไปยืนรอโบกมือไล่แม่ให้รีบออกไป คุณหญิงออกจากห้องไปปุ๊บ ปารมีก็รีบไปเปิดผ้าห่มออกเห็นประดับ นุ่งกางเกงตัวเดียวนอนซ่อนตัวอยู่ในนั้น
“อึดอัดมั้ยคะพี่ประดับ ปาใจหายหมดเลย”

ที่หน้าคฤหาสน์ ปารมีแต่งตัวสวยเดินมาหยุดใกล้ๆ ประดับระหว่างรอรถมารับ
“พี่ประดับไม่ต้องห่วงนะคะ ทั้งหัวใจและร่างกายของปาเป็นของพี่คนเดียว”
“แต่คนอย่างพี่จะมีวาสนาเหรอครับ คุณหญิงกำลังจะจับคู่คุณปากับคนที่เหมาะสมกว่า”
“มีสิคะ...เชื่อปาเถอะ ปาจะช่วยพี่เอง พี่จะได้ไม่ต้องมาเป็นแค่เลขาคอยเดินตามคุณพ่อไปตลอดชีวิต”
รถคุณหญิงขับเข้ามาจอด คุณหญิงนั่งอยู่หลังรถ หัวฟูปากแดงประโคมเพชรเต็มคอ
“ขึ้นรถ!”
ประดับเดินไปเปิดประตูรถให้ปารมีที่แอบส่งสายตาให้แล้วกระซิบ
“ปาได้ยินว่าคุณพ่อจะส่งพี่ไปจัดการธุระให้ที่สุโขทัย พี่ต้องทำงานให้คุณพ่อประทับใจให้ได้นะ แล้วปาจะสนับสนุนพี่เต็มที่”
ปารมีเข้าไปนั่งในรถคู่กับคุณหญิง ประดับยืนมองส่งสีหน้าสงสัย

ดารารู้สึกตัวบนเตียงในอนามัย บัวทองกับคำปันดีใจ
“แม่...อาหมอ อาจารย์รู้สึกตัวแล้ว”
“อาจารย์เป็นยังไงบ้างคะ”
“น้าคำปัน...โอ๊ย”
ดาราเจ็บขาบริเวณที่ถูกงูกัด หมอน้อยเข้ามาช่วย
“อย่าเพิ่งขยับตัวเลยครับอาจารย์ แผลที่ถูกงูกัดจะระบมสักวันสองวันเดี๋ยวก็หาย”
“แล้ว.แล้วขุนเดชล่ะคะ”
“ขุนเดชพาอาจารย์มาส่งเฉียดฉิวเกือบจะไม่ทัน หลังจากให้เซรุ่มแล้วขุนเดชก็เฝ้าอยู่จนแน่ใจว่าอาจารย์ปลอดภัย เพิ่งจะไปก่อนบัวทองกับคำปันมานี่แหละ”
“ไปไหนคะ”
“ไปจับงูค่ะ เห็นเขาว่าบริเวณที่อาจารยฺ์โดนงูกัดเป็นดงงูเห่าเลย พี่ขุนเดชกลัวงูจะไปทำร้ายนักศึกษาอีก” บัวทองบอก
“ไม่ต้องห่วงนะครับอาจารย์ งูเงี้ยวเขี้ยวขอทำอะไรขุนเดชไม่ได้หรอก คนที่นี่เวลาเจองู พิษเป็นต้องเรียกให้ขุนเดชมาจับไปปล่อยเป็นประจำ” หมอน้อยบอก
“ชาวบ้านเขาชอบบอกว่าขุนเดชคุยกับงูรู้เรื่องค่ะ”

ที่โบราณสถาน งูเห่าตัวเขื่องชูคอแผ่แม่เบี้ยขู่ฝ่อๆ ใส่ขุนเดชที่นิ่งจ้องตากับงู แววตาของขุนเดชดูขึงขัง จ้องตากับอสรพิษร้ายได้ครู่ งูเห่าที่พยายามชูคอแผ่แม่เบี้ยขู่ก็หุบแม่เบี้ย หลุบหัวลงอย่างว่าง่าย ขุนเดชเข้าไปจับงูใส่ข้องที่เตรียมเอาไว้ก่อนจะหันมาเห็นยงยุทธที่เข้ามายืนมองเขาได้สักพักแล้ว

ขุนเดชหิ้วข้องใส่งูเดินออกมาเก็บที่ท้ายรถกระบะ ยงยุทธเดินตามขุนเดชออกมา
“งูพวกนั้นแกจะเอาไปไว้ที่ไหน”
“เอาไปปล่อยในป่าจะได้ไม่ทำร้ายใครอีก”
“ชั้นได้ยินพวกชาวบ้านลือกันว่าแกคุยกับงูรู้เรื่อง”
“หึ...แกก็ร่ำเรียนมาสูง ไม่นึกว่าจะเชื่อเรื่องพวกนี้”
“ก็ไม่ได้คิดจะเชื่อหรอก แต่เห็นเมื่อกี้นี้แล้วเลยชักไม่แน่ใจ”
“ชั้นไม่ได้พูดภาษางูรู้เรื่องหรอก แต่งานที่ชั้นทำต้องบุกป่าฝ่าดงเป็นประจำ ถ้าแกต้องคอยรับมือพวกอสรพิษบ่อยๆ แกก็จะรู้จักนิสัยใจคอมันและรู้วิธีที่จะจัดการมัน”
“งั้นก็เหมือนกับที่ชั้นรู้จักนิสัยใจคอของพวกนอกกฏหมายดี เพราะทั้งชีวิตชั้นคอยไล่ล่า พวกมันมาตลอด”
ขุนเดชนิ่งไปหันมามองหน้ากับยงยุทธ สายตาทั้งคู่จรดๆ จ้องๆ เหมือนมีบางอย่างที่อั้นไว้ไม่ระเบิดออกมาใส่กัน ระหว่างนั้นจ่าแท่นขับรถจี๊ปเข้ามาตามหมวดยงยุทธ
“หมวดครับ...หมวดรีบกลับไปที่โรงพักเถอะครับ”
“มีอะไรจ่า”
“คดีไอ้สัมฤทธิ์น่ะสิครับ... งานนี้ท่าทางจะไม่พ้นที่ขุนเดชเตือนหมวด ซะแล้ว”
ยงยทธหันไปมองขุนเดช

ยงยุทธรีบกลับเข้ามาที่สถานีตำรวจเจอกำนันบุญนั่งรออย่างใจเย็น
“สวัสดีครับหมวด...ปล่อยให้ผมรอซะตั้งนาน”
“จ่าบอกผมว่ากำนันจะมาพานายสัมฤทธิ์กลับบ้าน”
“ครับหมวด ผมรอให้หมวดทำเรื่องจ่ายค่าปรับให้เรียบร้อยก็จะพาลูกชายกลับบ้านซะที ห้องขังของหมวดจะได้เอาไว้ขังคนอื่น ที่ไม่ใช่ลูกชายผม”
“ผมว่ากำนันเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว คดีที่นายสัมฤทธิ์ก่อเรื่องเอาไว้เป็นคดีอาญา วันนี้กำนันทำได้แค่มาเยี่ยมลูกเท่านั้น”
กำนันบุญจ้องหน้ายงยุทธเขม็ง
“ผมมันก็ข้าราชการเหมือนกันนะครับหมวด น่าจะคุยกันรู้เรื่องกว่านี้”
“กำนันอย่ามาขุ่มขู่ผม คราวนี้หลักฐานมันชัดเจน ผมเล่นงานลูกกำนันหนักแน่”
“ก็ได้” กำนันบุญกระแทกเสียงอย่างไม่พอใจ “ถ้าหมวดคิดจะเล่นแง่กับผมล่ะก็ ทนายผมกำลังมาที่นี่ แล้วเรา จะได้เห็นกัน”
“ทนาย?”

ขุนเดชมารอยงยุทธอยู่ที่หน้าโรงพัก ระหว่างนั้นรถเก๋งคันหนึ่งป้ายทะเบียนกรุงเทพขับเข้ามาจอด สัญชาติญาณของขุนเดชมองรถคันนั้นด้วยสังหรณ์ใจบางอย่างเหมือนรู้ว่ากำลังมีอสรพิษคืบคลานเข้ามา ประตูรถเปิดประดับก้าวลงจากรถมองโรงพักด้วยสายตาหยามเหยียด อากาศร้อนอบอ้าวจนต้องปลดเนคไทที่รัดคอแน่นเพราะแต่งตัวเนี้ยบผิดจากชาวบ้าน
“บ้านนอกเอ้ย...ร้อนชิบเป๋ง หาเรื่องให้กูเสียเวลาจริงๆ”
ประดับกำลังจะเดินขึ้นไปบนโรงพัก แต่สายตาเหลือบไปเห็นขุนเดชที่ยืนจ้องเขม็งจนรู้สึกได้ ประดับมองตอบกลับไปแล้วมั่นใจว่าผู้ชายที่ยืนจ้องเป็นศัตรูเก่าที่เคยฝังความแค้นเอาไว้
“ไอ้ขุนเดช”
ประดับขบกรามกัดฟันแน่นจะรีบเข้าไปหาขุนเดช แต่ระหว่างนั้นกำนันบุญออกมาตาม
“คุณประดับ ทำไมมาช้านัก ไอ้ผู้หมวดนั่นมันไม่ยอมปล่อยลูกชายผม”
ประดับชะงัก
“เดี๋ยวก่อนกำนัน...ผมเคลียร์ให้ได้อยู่แล้ว แต่ขอผมทำธุระของผมก่อน”
ประดับหันไปมองหาขุนเดชอีกครั้ง แต่ขุนเดชหายตัวไปแล้ว ประดับแปลกใจมองหาไปทั่วแต่ก็ไม่เจอ
“คุณประดับ...ท่านส่งคุณให้มาช่วยผมนะ”
กำนันบุญเร่ง ประดับหันมาโวยวาย
“ผมรู้น่า...ผมไม่ดั้นด้นถ่อมาถึงบ้านนอกแบบนี้เพื่อให้ไอ้ตำรวจบ้านนอกมันมาอวดเก่งกับผมหรอก”
“ตำรวจบ้านนอกที่คุณพูดถึง หมายถึงผมรึเปล่า” ประดับคุ้นเสียงหันไปมองยงยุทธที่เดินออกมาจากโรงพัก ทั้งคู่ได้เห็นหน้าค่าตากันชัดๆ ต่างฝ่ายก็ต่างอึ้งกันไป “ไอ้ประดับ”
“ไอ้ยงยุทธ...” ประดับยิ้มร้ายสะใจ “หึๆๆ ไม่เสียแรงจริงๆ ที่มาถึงที่นี่...แค้นนี้สิบปีก็ไม่สาย”
ประดับกับยงยุทธจ้องหน้ากัน...หึ่มๆ
จบตอน 8

ขุนเดช ตอน 9.1
ประดับกับกำนันบุญยืนเต๊ะท่ารออยู่ข้างนอกแต่มองเห็นยงยุทธที่กำลังคุยโทรศัพท์หน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“ท่านครับ...หลักฐานเรามีพร้อม ผู้ต้องหาทำผิดจริงหลายกระทง” ยงยุทธชะงักอึ้ง “ท่าน ...ผมทำไม่ได้ครับ...แต่ว่า...ท่านครับ...ท่าน”
เสียงปลายสายวางไป ยงยุทธจำเป็นต้องวางหู จ่าแท่นลุ้นอยู่ใกล้ๆ อยากรู้
“เป็นไงบ้างครับผู้กอง”
“มีคำสั่งให้ปล่อยนายสัมฤทธิ์”
“ปล่อยได้ยังไงกันครับหมวด มันก่อเรื่องเย้ยกฏหมาย ทำชาวบ้านเดือดร้อนซะขนาดนั้น”
“พูดให้ดีนะจ่า ก็แค่คดีทะเลาะวิวาทไม่ได้ปล้นจี้ฆ่าใครตาย แต่ตำรวจที่นี่ทำกับลูกความผมเกินกว่าเหตุ ทั้งกักขังหน่วงเหนี่ยว ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ถ้าผมฟ้องกลับเมื่อ ไหร่ล่ะก็...”
“อยากฟ้องก็ฟ้องมาเลย...ชั้นจะไม่หนีไปไหน ต่อให้หลังชนฝา ชั้นก็จะสู้กับอิทธิพลเถื่อนของพวกแก”
“อิทธิพลเถื่อนอะไรกันหมวด...ผู้ใหญ่เขาเตือนหมวดมาแล้วว่าให้เอาเวลาไปไล่ตามจับไอ้ฆาตกรล่องหนที่ทำให้ตำรวจเสียชื่ออยู่ตอนนี้ ไม่ใช่มายุ่งกับคดีทะเลาะวิวาทเล็กๆ”
“แต่ถ้ายังหัวแข็งอยากฝืนคำสั่งผู้ใหญ่ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อยู่ล่ะก็ ชั้นจะช่วยทำเรื่องส่งแกไปอยู่ที่ๆ มันไกลกว่านี้อีก...ชั้นช่วยแกได้นะ ยงยุทธ”
ยงยุทธกัดกรามกำหมัดแน่นจ้องหน้าประดับเขม็ง สองคนจ้องตากันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

คืนนั้นที่บ้านกำนันบุญ เหล้ายาปลาปิ้งเต็มโต๊ะและผู้หญิงสวยๆ นุ่งน้อยห่มน้อยเข้ามาคลอเคลียประดับ เพราะกำนันบุญสั่งมาเลี้ยงไม่อั้น
“เต็มที่เลยนะครับคุณประดับ อยากได้อะไรไม่ต้องเกรงใจ”
สาวๆ เอาใจประดับเต็มที่ทั้งนวดเฟ้น ป้อนเหล้า ป้อนกับข้าวกับปลา
“เส้นสายพ่อใหญ่คับเป้งโรงพักแบบนี้ ไม่น่าจะแค่เอาชั้นออกมาอย่างเดียว น่าจะเล่นงานไอ้หมวดยงยุทธให้มันไม่มีแผ่นดินอยู่ด้วยเลย ชั้นอยากเห็นมันโดนซ้ำให้จมดิน”
“ไอ้สัมฤทธิ์! กว่าข้าจะไปขอให้ท่านส่งทนายมาช่วยเอ็งได้ รู้มั้ยว่าข้าต้องหมดไปเท่า ไหร่ วัตถุโบราณของหายากที่ข้าสะสมมาทั้งชีวิตเกือบจะหมดห้องก็เพราะเอ็ง”
“โธ่พ่อ...สุโขทัยมีของโบราณเราให้ขุดให้เจาะมาได้อีกพะเรอเกวียน แต่โอกาสจะได้เล่นงานไอ้หมวดยงยุทธน่ะ หาไม่ได้ง่ายๆ ถ้าพ่อไม่อยากชนกับมัน ชั้นไปชนเองก็ได้”
“กำนัน...ช่วยบอกลูกชายกำนันด้วย ถ้ายังอยากแก่ตายอยู่บนกองเงินกองทองก็อย่า ทำตัวโง่ดีแต่ใช้กำลัง แต่ไม่มีสมอง”
ประดับดูถูกสัมฤทธิ์แล้วโอบพาสาวๆ เดินออกไป สัมฤทธิ์มองตามอย่างเจ็บใจ

ประดับควงสาวๆ เดินออกมา ยังไม่ทันพ้นเขตบ้าน สัมฤทธิ์ที่ตามออกมาด้วยความแค้นก็ปรี่เข้าไปกระชาก ประดับมาชกเปรี้ยงเข้าที่หน้า ประดับเลือดกลบปาก
“แกไม่มีสิทธิ์มาดูถูกชั้น อย่าสะเออะมาทำกร่างที่นี่”
ลูกน้องประดับจะเล่นงานสัมฤทธิ์ แต่ประดับยกมือบอกไม่ต้อง
“ท่าทางมันจะยังไม่รู้จักชั้นดี ชั้นจะสั่งสอนมันเอง”
ประดับบิดคอดังกร่อบแล้วกระดิกนิ้วเรียก สัมฤทธิ์ยิ้มร้ายง้างหมัดปรี่เข้าไปลุย ถาโถมและประเคนทั้งหมัด เข่าศอกตามแบบมวยวัด มวยนักเลง ไม่มีรูปแบบ ส่วนประดับมีชั้นเชิงมวยที่ฝึกมาอย่างดี เป็นเชิงมวยสากล แบบฝรั่ง มีการเต้นฟุตเวิร์คฉากหลบ และโต้กลับอย่างมีแบบแผน หลายมัดที่ประเคนใส่สัมฤทธิ์โดนเต็มและจังๆ จนสัมฤทธิ์เลือดกลบปาก เลือดออกดั้ง กระเด็นหัวคะมำ ลูกน้องสัมฤทธิ์เข้าไปช่วยแต่ก็โดนประดับสอยกลับมา สัมฤทธิ์ใช้มือเปล่าสู้ไม่ได้ก็หันไปคว้าดาบที่ผนังมาฟาดฟันใส่ ประดับฉากหลบอย่างว่องไว ก่อนจะหันไปรับดาบจากลูกน้องที่โยนให้ พลิกตัวตอบโต้ฟันใส่สัมฤทธิ์หลายทีจนดาบหลุดมือ ประดับเงื้อดาบจะจบเพลงดาบใส่ แต่กำนันบุญโผล่เข้ามาพร้อมกับเอาดาบเหล็กน้ำพี้ของตัวเองรับไว้อย่างเฉียดฉิว
“ลูกชายผมมันไม่คู่ควรกับฝีมือของคุณหรอก”
ประดับจ้องกำนันบุญเขม็ง
“ท่าทางฝีมือกำนันจะไม่ธรรมดา เรื่องเก่าของเราที่ลับแลยังคาใจผมไม่หาย ถ้าอยากให้ผมไว้ชีวิตลูกกำนัน สงสัยกำนันคงต้องเคลียร์กับผมแล้ว”
ประดับออกแรงกดดาบลงไปใส่กำนันบุญจนต้องออกรับต้านและจ้องหน้าเอาเรื่องกลับ

อีกด้านหนึ่งที่บ้านพักยงยุทธ ลานปูนด้านหลังบ้านพักมีมุมให้ยงยุทธฝึกซ้อมออกกำลัง ทั้งกระสอบทราย ทั้งอุปกรณ์ออกกำลังอีกมากมาย ด้วยความเจ็บใจยงยุทธชกกระสอบทรายอย่างหนักหน่วงระบายอารมณ์ลงไปไม่ยั้งมือ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงคนเดินเข้ามายงยุทธชะงักระวังตัว ชักดาบที่แขวนอยู่ที่ผนังแล้วปาใส่ทันที ฟิ้ววววว...ฉึก !! ดาบปักที่เสาไม้เฉียดหน้าชายลึกลับที่ใช้ผ้าขาวม้าพันหน้า มันปรี่เข้ามาจู่โจม ยงยุทธเลยต้องเปิดฉากรับมือกับมัน ผลัดกันรุกผลัดกันรับฝีมือไม่มีใครด้อยกว่าใคร ต่างฝ่ายต่างกระโจนถีบ ยอดอกกันจนกระเด็นถอยไปตั้งหลักหอบแฮ่กๆ
“เลิกออมมือซะทีไอ้ขุนเดช ชั้นอยากเอาจริงแล้ว”
ชายลึกลับค่อยๆ คลี่ผ้าขาวม้าที่พันหน้าออกเป็นขุนเดชจริงๆ อย่างที่ยงยุทธว่า
“ชั้นแค่เห็นแกกำลังอารมณ์เสีย ไปลงกับกระสอบทรายที่มันตอบโต้ไม่ได้ มันช่วยอะไร แกไม่ได้หรอก”
“ขอบใจที่อยากช่วย แต่ชั้นจะอารมณ์เสียมากกว่านี้ถ้าแกไม่เอาจริงซะที”
ยงยุทธหักนิ้วดัง...กร่อบแล้วกวักมือเรียกให้ขุนเดชลุยเข้าใส่

ที่บ้านกำนันบุญ กำนันบุญโดนประดับถีบยอดอกกระเด็นมาทางพวกลูกน้อง แต่กำนันบุญรีบลุกขึ้นมาปัดเนื้อปัดตัวอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วปรี่เข้าไปใช้ดาบเหล็กน้ำพี้ฟาดฟันใส่ประดับไม่ยั้ง หนักหน่วงและรุนแรง จนประดับกลาย เป็นฝ่ายตั้งรับและโดนกำนันถีบยอดกระเด็นถอยไปบ้าง นับว่าฝีมือสูสีกินกันไม่ลง
“ฝีมือกำนันใช้ได้เหมือนกัน มิน่าแถวนี้ใครถึงได้กลัวกำนันกันหมด”
“คุณก็ไม่เลว สมแล้วที่ท่านไว้ใจให้คุณเป็นมือขวาจัดการทุกอย่าง”
“แต่ผมไม่ชอบอะไรที่มันค้างๆ คาๆ ตัดสินกันไปเลยดีกว่ากำนัน”
ประดับควงดาบเป็นเลข 8 แล้วเข้าไปฟาดฟันกับกำนันบุญอีกครั้ง คราวนี้ประดับชั้นเชิงมั่นใจขึ้น รุกจนกำนันบุญเป็นฝ่ายถอยตั้งรับอย่างเดียว แล้วกำนันบุญก็พลาดท่าโดนประดับกระแทกศอกเข้าหน้าจนล้ม ประดับไม่รอช้าฟันดาบ ลงไปที่แผ่นหลังของกำนันบุญ แต่ก็ต้องตกใจผงะ
“เป็นไปไม่ได้!”
ประดับงุนงงมองดาบที่ฟันกำนันบุญไปแล้วแต่ดาบไม่ราบคายผิวกำนันบุญเลย กำนันบุญลุกขึ้นแล้วยิ้มอย่างร้ายกาจเดินเข้าไปคุยกับประดับ
“เรื่องฝีมือของเราคงพอกันได้แล้ว แต่เรื่องที่เราต่างก็มีความสงสัยอยู่ ถ้าคุณกับผมอยากหายข้องใจ ก็คงต้องคุยกันตามลำพัง”
ประดับมองกำนันบุญอย่างสงสัยอยากรู้
อ่านต่อหน้าที่ 4




ขุนเดช ตอนที่ 4 (ต่อ)
ขุนเดชกับยงยุทธลองเชิงมวยกันด้วยมัดเปล่าๆ ตอบโต้แลกหมัดกันอย่างทันกัน ขุนเดชถีบยอดอกยงยุทธจนผงะ ยงยุทธถอยไปกำหมัดขบกรามเอาจริงแล้วตั้งการ์ด ยกหมัดด้วยเชิงมวยอันดุดัน ขุนเดชเห็นก็ชะงัก
“ชั้นไม่เชี่ยวชาญเรื่องวัตถุโบราณ เลยไม่รู้จะช่วยสืบสานศิลปะอะไรได้ก็มีแต่วิชามวยไทยแบบนี้เท่านั้น ที่ชั้นมั่นใจว่าชั้นช่วยรักษาไว้ได้” ยงยุทธเข้าเชิงย่อท่าสามขุม ท้าทายขุนเดชให้รุกเข้าใส่ “เข้ามาเลยขุนเดช”
ขุนเดชกำหมัดแน่นปรี่เข้าไปรุกใส่ แต่ก็โดนยงยุทธตอบโต้ด้วยเชิงมวยครบเครื่องทั้งหมัด เข่า ศอก และลูกถีบ จนกระเด็น พอขุนเดชตั้งตัวลุกขึ้นมาได้ ยงยุทธก็งัดไม้ตายออกมา
“หมัด...ฟ้า...ฟาด”
ยงยุทธควงหมัดหมุนแล้วกระโดดตัวลอยเหวี่ยงหมัดใส่เข้าแสกหน้า ขุนเดชกระเด็นเจ็บเอาเรื่องเลยทีเดียว
“แกโดนไปซะขาดนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่ฝึกหนักมาตลอด ไม่มีทางลุกขึ้นยืนได้แน่” ขุนเดชนิ่งไป “เพื่ออะไร ทำไมแกต้องโกหกชั้น”
“เพราะคนอย่างไอ้ประดับยังไม่หมดไปจากแผ่นดิน เพราะความช่วยเหลือของข้าราชการไม่เคยมาถึง และเพราะคนอย่างแกมันมีน้อยกว่าโจร”
ยงยุทธถึงกับอึ้ง
“แกก็เลยตั้งศาลเตี้ยขึ้นมาจัดการกับคนที่แกเห็นว่ามันสมควรโดนลงโทษด้วยดาบดำของแกใช่มั้ย”
“ดาบดำของชั้น ก็แค่ดาบหักบิ่นๆ ไร้คม ที่ไว้เตือนสติไม่ให้ชั้นพลาดเหมือนพ่อก็แค่นั้น” ขุนเดชพูดไปก็ชักดาบดำออกจากฝักให้เห็นว่าเป็นแค่ดาบหักคมบิ่นสนิมจับ “ถ้าแกไม่เชื่อชั้นก็จะพิสูจน์ให้แกเห็นว่ามันใช้ทำอะไรไม่ได้”
ขุนเดชควงดาบดำด้วยท่วงท่าเชิงดาบอันดุดันเข้มแข็ง แล้วรุกเข้าฟันใส่ ยงยุทธฉากหลบ ถอยซ้ายขวาก่อนจะ ไปชิดเสาแล้วถูกขุนเดชฟัน...ฉับ !! คมบิ่นของดาบดำชิดติดคอของยงยุทธแต่ไม่สามารถกินเข้าไปในเนื้อได้
“แกไม่ให้ชั้นยั้งมือ ชั้นก็เต็มที่แล้ว แต่ดาบที่ไร้คมแบบนี้น่ะเหรอที่จะเอาไปทำอะไรใครได้”
“แต่ชั้นจำที่ลุงเถินเคยสอนไว้ได้ คมดาบไม่ได้อยู่ที่ดาบแต่มันอยู่ที่ใจ” ยงยุทธจับดาบดำที่จ่อคอแล้วมองหน้าขุนเดชเขม็ง “ชั้นรู้จักแกดีนะขุนเดช เวลาที่แกลืมตัวแกไม่ใช่ขุนเดชที่ชั้นรู้จัก ไม่งั้นแกคนเดียวจะจัดการกับพวกไอ้ประดับแล้วพาชั้นหนีรอดมาจากรังของพวกมันตอนนั้นได้ยังไง”
ขุนเดชนิ่งไป

ขุนเดชเดินออกมาขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าบ้านพัก ยงยุทธตามออกมา
“ขุนเดช ถึงชั้นจะเคยเป็นหนี้ชีวิตแก แต่ความคิดแกมันอยู่ตรงข้ามกับหน้าที่ของชั้น ชั้นไม่อยากให้แกกับชั้นต้องแตกหักกันเพราะอุดมการณ์”
“คนอย่างไอ้ประดับไปเหยียบลงแผ่นดินไหน ที่นั่นก็พร้อมลุกเป็นไฟได้เสมอ แกไม่ควรจะห่วงอย่างอื่น ทำหน้าที่ของแกให้ดีที่สุด ใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด แม้แต่คำว่าเพื่อนมันก็ไม่ควรอยู่เหนือกฏหมาย”
ขุนเดชสตาร์ทเครื่องแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปในความมืด

ภายในห้องเก็บพระพุทธรูปของกำนันบุญ กำนันบุญถอดเสื้อออกให้เห็นรอยสักเต็มแผ่นอกและแผ่นหลัง
“ตั้งแต่หนุ่มๆ ผมลุยมาทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ที่ไหนมีของดี ผมไปมาหมด แต่ที่ที่ทำให้ผมแข็งแกร่งจริงๆ มันอยู่ที่นี่ครับ” กำนันบุญตบที่หน้าหน้าอกตัวเองฝั่งหัวใจ “ตะกรุดเหล็กไหลที่ผมฝังเอาไว้ อาคมของมันทำให้คมดาบไม่ระคายผิว”
“เคยได้ยินมาอยู่เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นกับตา”
“ผมเดาว่าเห็นแบบนี้แล้วคุณประดับก็คงสนใจ” ประดับนิ่งมองไม่ตอบ “หึๆๆ...ของแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะมีกันได้ง่ายๆ กว่าผมจะได้มาก็ต้องเสียอะไรไปมากเหมือน กัน และที่สำคัญมันเลือกคนที่คู่ควร ก็เหมือนกับที่คุณประดับกำลังทำงานให้ท่าน”
ประดับชะงัก
“กำนันรู้ด้วยเหรอ”
“ผมไปมาทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ รู้เห็นอะไรมาเยอะ ท่านคงต้องการสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถมีได้ ถึงต้องส่งให้คุณตามหาโลหะศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประกอบพิธีให้ท่านได้เป็น สัตตโลหะบุรุษ ชายผู้มากด้วยอำนาจและบารมี”
“ท่านไม่ต้องการให้มีใครรู้เรื่องนี้มากนัก”
“ผมเข้าใจและผมก็พร้อมที่จะช่วยทำให้ท่านได้ยิ่งใหญ่ที่สุดบนแผ่นดิน...ขอเพียงแค่ ไม่ลืมผมก็พอ”
ประดับนิ่งคิดอยู่ครู่
“ได้...ผมจะไปบอกท่านให้ ตอนนี้มีของอยู่ชิ้นนึงที่ยังหาไม่พบ”
“ผมรู้จักมือดีอยู่คนนึง...ไอ้หมอนี่มันเก่ง หาอะไรก็เจอ”

วันต่อมาที่ร้านอาฮวด สาลี่สะกิดให้อาฮวดดูลูกค้ากระเป๋าหนักที่เข้ามาซื้อของกินของใช้ซึ่งวางขายอยู่ในร้าน
“ฮวด...ไอ้ฮวด ดูสิ...ท่าทางลูกค้ารายนี้จะกระเป๋าหนักนะ เข้ามาปุ๊บก็กวาดของในร้านเราเกือบจะเกลี้ยงร้านแล้วเนี่ย”
ฮวดมองตามที่เมียชี้ให้ดูเห็นชายแปลกถิ่น สวมหมวกปีกกว้างแบบคาวบอย ใส่รองเท้าบู้ตเหมือนพวกนาย พราน แถมยังแบกเป้ใบใหญ่มาด้วย สาลี่เข้าไปช่วยยกกระเป๋า
“มาจ๊ะ...ชั้นช่วย” สาลี่ช่วยยกแต่กระเป๋าหนักมากจนสาลี่ยกไม่ขึ้นเลย “อะไรอยู่ในนี้เหรอจ๊ะ หนักอึ้งยกไม่ขึ้นเลย”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ของใช้ส่วนตัวของชั้นทั้งนั้น” เปรื่องพูดด้วยสำเนียงแปล่งๆ แหลมๆ สูงๆ และหัวเราะไปด้วย
“ขอโทษด้วยนะจ๊ะพ่อ...เสียงหัวเราะของพ่อนี่ฟังแล้วขี้หูชั้นจะเต้นตามไปด้วย”
“ชั้นชื่อเปรื่องจ้ะน้า เสียงของชั้นมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว ใครๆ ก็เลย เรียกชั้นว่า...เปรื่อง เสียงแปล่ง”
“ท่าทางลื้อจะไม่ใช่คนแถวนี้ มาทำอะไรที่ศรีสัชล่ะ”
เปรื่องมองฮวดแล้วหัวเราะด้วยเสียงแปล่งๆ ฟังแหลมสูง

คำถามนี้ทำเปรื่องนึกถึงสิ่งที่ตนย้อนถามกำนันบุญด้วยความสงสัยหลังจากกำนันบุญบอกความต้องการที่เรียกตัวเขามา
“พระพุทธรูปฟ้าผ่า?”
“ใช่...เอ็งคงเคยได้ยินมาบ้าง”
“ก็เคยอยู่จ้ะพี่กำนัน พระพุทธรูปทองแดงเนื้อพิเศษ ใครได้ไปบูชาแม้แต่ฟ้าผ่าก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เขาว่ายังไม่เคยมีใครเห็นองค์จริงๆ เลย”
“ถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรงของเอ็งจริงๆ เอ็งก็กลับไปขุดกรุอยู่อยุธยาแล้วกัน”
“โธ่ๆๆๆ พี่กำนัน...คนอย่างไอ้เปรื่องมาสุโขทัยทั้งที มีเรอะจะปฏิเสธคำสั่งของพี่กำนัน แต่ว่า...” เปรื่องทำหน้าเจ้าเล่ห์
“ไอ้เรื่องค่าจ้างเอ็งไม่ต้องห่วง” กำนันบุญพยักหน้าให้สัมฤทธิ์ให้เอาเงินให้เปรื่อง “ค่าจ้างล่วงหน้าชั้นให้ไปก่อน ได้ของมาเมื่อไหร่ ตรงกับที่ข้าต้องการ ข้าก็จะเพิ่มให้อีก”
เปรื่องรับเงินมากรีดดูจำนวนแล้วชอบใจ หัวเราะเสียงแปล่งแหลม

เปรื่องหัวเราะต่อเนื่อง จนสาลี่ต้องเอามืออุดหูเพราะแหลมแสบแก้วหู
“ชั้นเป็นนักท่องเที่ยวจ้ะ ศรัทธาพระร่วงเจ้าเลยชอบสุโขทัยมากเป็นพิเศษ ก็เลยตั้งใจมาตระเวนไหว้พระ กราบโบราณสถานให้เป็นบุญกับชีวิตจ้ะ”
“เหรอ...แต่หน้าตาลื้อไม่ให้เลยนะ”
“อาฮวด” สาลี่หยิกฮวดแล้วฉีกยิ้มให้เปรื่อง “มิน่าถึงได้ตุนสบียงเต็มไปหมด เชิญจ้ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่ระวังไว้หน่อยก็ดีนะพ่อ แถวนี้มีฆาตกรที่ตำรวจยังตามจับไม่ได้ เดินเพ่นพ่านอยู่ในศรีสัช”
“อ๋อ เรื่องวีรบุรุษบาปนั่นน่ะเหรอ” ขุนเดชมองเปรื่องอย่างสงสัยว่ารู้ได้ยังไง เปรื่องกลัวถูกจับได้เลยรีบกลบเกลื่อน “เอ่อ...ชั้นพอได้ยินมาบ้างน่ะจ้ะ ข่าววีรบุรุษบาปของที่นี่ดังไกลไปถึงอยุธนาโน่น แต่ชั้นจะกลัวไปทำไม ในเมื่อชั้นเป็นคนดี”
เปรื่องหัวเราะเสียงน่ารำคาญ แต่ขุนเดชมองเปรื่องด้วยสัญชาติญาณไม่ไว้วางใจ เปรื่องใช้หางตามองขุนเดช

หน้าอนามัยบัวทองพาดาราออกมา
“อ้าว...ตกลงว่าอาจารย์ดำรงไม่ได้เอารถมารับอาจารย์แล้วเหรอคะ”
“ไม่มาแล้วจ้ะ ที่แคมป์มีงานด่วนก็เลยให้อาจารย์ดำรงรีบไปทำธุระให้เสร็จ”
“งั้นเดี๋ยวบัวทองไปหารถมารับอาจารย์ไปส่งดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอกบัวทอง เดินไปก็ได้”
“ไม่ได้ค่ะ อาจารย์เพิ่งจะหายเจ็บ รอเดี๋ยวนะคะ”
บัวทองรีบเดินกลับเข้าไปในอนามัย ดารายืนรออยู่ครู่ ประดับก็ขับรถเก๋งเข้ามาจอดตรงหน้า ดาราถึงกับชะงักเมื่อเห็นประดับลงจากรถถอดแว่นตาดำแล้วยิ้มให้
“สวัสดีครับอาจารย์ดารา...ไม่เจอกันซะนาน ไม่รู้ว่ายังจำกันได้รึเปล่า”
“นายประดับ!”
“ดีใจจังที่เธอยังจำชั้นได้ ได้ข่าวว่าเธอโดนงูเล่นงาน บังเอิญชั้นมาทำธุระที่ศรีสัชฯพอดี ยังไงขออาสาเป็นสารถีไปส่งนะ”
“ไปให้พ้นหน้าชั้น”
ดาราจะเดินหนีแต่ประดับเข้าไปคว้าแขน
“ไม่เอาน่าดารา...เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ไม่ได้เจอหน้ากันเป็นสิบปี ก็ต้องมีเรื่องอยากรื้อฟื้นความหลังกันมั่ง ขึ้นรถไปกับชั้นเถอะ อย่าให้ชั้นต้องใช้กำลัง”
“ปล่อยชั้น...บอกให้ปล่อย”
ดาราพยายามขัดขืน แต่ประดับออกแรงฉุดกระชากพาดาราขึ้นรถไปจนได้ บัวทองกลับออกมาเห็นดาราถูกฉุดขึ้นรถไปกับคนแปลกหน้าก็ตกใจ
“อาจารย์”

บัวทองกระหืดกระหอบวิ่งขึ้นมาที่โรงพัก
“หมวดคะ...หมวด”
ยงยุทธกับจ่าแท่นเดินออกมาแปลกใจ
“มีอะไรบัวทอง”
“ช่วย...ช่วย...อาจารย์ดาราด้วยค่ะหมวด ใครก็ไม่รู้ฉุดอาจารย์ขึ้นรถเก๋งหายไปแล้วค่ะ”
ยงยุทธตกใจหน้าเสียรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือใคร
“ไอ้ประดับ”

ที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว เปรื่องแบกเป้ทำทีเป็นนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมกราบไหว้โบราณสถาน ขุนเดชเดินตามเปรื่องห่างๆ เพราะรู้สึกไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้า เปรื่องรู้สึกว่ามีคนเดินตามเลยพยายาม ทำตัวกลมกลืนกับชาวบ้านไม่ให้ผิดสังเกต แต่ก็พยายามหาทางไปให้พ้นสายตาขุนเดช
ขุนเดชเดินตามเปรื่องได้ครู่ บัวทองก็รีบเข้ามามองหาขุนเดชพอเจอตัวก็รีบมาฉุดแขน
“พี่ขุนเดช...รีบไปเถอะพี่”
“มีอะไรบัวทอง”
“อาจารย์ดาราโดนทนายของกำนันฉุดไปแล้วน่ะสิพี่”
ขุนเดชหน้าเครียดขึ้นมาทันที หันไปมองหาเปรื่องอีกครั้งพบว่าเปรื่องหายตัวไปแล้ว

รถประดับวิ่งมาตามถนนลูกรังฝุ่นตลบ
“จอดรถ!! ชั้นบอกให้จอดรถ ปล่อยชั้นลงไปนะนายประดับ”
“อย่าโวยวายตกใจกลัวไม่เข้าเรื่องเลยดารา ชั้นก็แค่อยากชวนเธอมานั่งรถกินลมชมวิวเล่นด้วยกันเท่านั้น”
“คิดว่าชั้นไม่รู้เหรอว่าเจ้าเล่ห์อย่างแกจับชั้นมาทำไม แกคิดจะใช้ชั้นแก้แค้นพวกเขา”
“หึๆๆ...ฉลาดนี่ดารา”
“แต่แกอย่าหวังว่าชั้นจะยอมเป็นหยื่อล่อ ชั้นยอมตายซะดีกว่า”
“จะคิดสั้นไปทำไม สวยๆ อย่างเธอรีบตายมันเสียดายของ”
ประดับยิ้มร้ายก่อนจะทุบเข้าที่ช่องท้องดาราทีเดียว ดาราจุกสลบเหมือดคาเบาะนั่ง ประดับยิ้มร้ายๆ

ขุนเดชขี่มอเตอร์ไซค์มีบัวทองซ้อนท้ายเข้ามาเจอกับยงยุทธและจ่าแท่นที่ขับรถจี๊ปมาเจอกันที่กลางทาง
“เจอดารารึยัง”
“ยัง...ชั้นสั่งให้กำลังที่โรงพักช่วยกันค้นหาแล้ว”
“ไอ้ทนายคนนั้นมันต้องการตัวอาจารย์ไปทำไมเหรอคะหมวด”
บัวทองถามอย่างสงสัย ขุนเดชกับยงยุทธมองหน้ากันเครียด
“มันต้องการแก้แค้นพวกเรา”
ขุนเดชพูดไม่ทันขาดคำเสียงบิดมอเตอร์ไซค์วิบากดังกระหึ่มเข้ามา แก๊งมอเตอร์ไซค์ใส่หมวกไหมพรมไอ้โม่งห้อตะบึง ควงโซ่ ควงไม้หน้าสาม เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังส่งเสียงคำรามน่ากลัว
“ไอ้พวกนี้มันมาจากไหนครับเนี่ยผู้กอง”
“คนของไอ้ประดับแน่ จ่า...รีบพาบัวทองหนีออกไปก่อน”
บัวทองไม่ยอมไปรีบเข้าไปเกาะแขนขุนเดช
“พี่ขุนเดช”
“รีบไปเถอะบัวทอง...ถ้าบัวทองยังอยู่ พี่กับหมวดรับมือมันไม่ได้หรอก”
“ไปเถอะบัวทอง”
จ่าแท่นเข้าไปดึงบัวทองพาขึ้นรถจี๊บแล้วขับหนีออกไป พวกแก๊งมอเตอร์ไซค์วิบากบิดเสียงเครื่องยนต์คำรามดังแข่งกับเสียงโห่ร้องควงโซ่ ควงหน้าสามอย่างคึกคะนอง ขุนเดชกับยงยุทธขยับถอยหันหลังชนกันตั้งท่าพร้อมรับมือ

ประดับอุ้มดาราที่หมดสติเข้ามาวางในโรงสีร้าง มันลูบผมดาราแล้วยิ้มร้ายอย่างเจ้าเล่ห์
ยงยุทธกับขุนเดชหลังพิงกันท่ามกลางวงล้อมของพวกแก๊งมอเตอร์ไซค์อาวุธครบมือ พวกมันกรูเข้ามารุมเล่นงานพร้อมกันจากทุกทิศทุกทาง ยงยุทธชักปืนยิงสวนแต่พวกมันขับรถฉวัดเฉวียนทำให้เล็งปืนยิงไม่โดน มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเข้ามาจากอีกทางแล้วใช้โซ่เหวี่ยงมาฟาดใส่มือทำให้ปืนยงยุทธหลุดมือ
ด้านขุนเดชพวกมันควงไม้หน้าสามบิดคันเร่งพุ่งเข้าใส่ ขุนเดชตั้งท่ารับมีดาบดำที่ไม่ต้องชักออกจากฝักเป็น อาวุธรับมือ ขุนเดชกระโจนหลบคันแรกพ้น อีกคันก็พุ่งเข้าใส่ขุนเดชลุกขึ้นได้ก็โดนมันใช้หน้าสามฟาดเข้าหน้า จนกระเด็น ยงยุทธรีบถอยมาพยุงขุนเดชลุกขึ้น สถานการณ์ตึงเครียดเพราะทั้งคู่โดนรุม
“อยู่เป็นเป้าให้พวกมันรุมแบบนี้ เอาไม่อยู่แน่”
“งั้นแบ่งกันไปแล้วกัน”
ขุนเดชพยักหน้ารับเห็นด้วยกับที่ยงยุทธว่า พวกมันคันหนึ่งบิดพุ่งเข้ามา ยงยุทธผลักขุนเดชแล้วใช้ตัวเองล่อให้มันไล่ตาม ขุนเดชหันไปจัดการกับอีกคันที่พุ่งเข้ามากระโจนหลบแล้ววิ่งไปที่มอเตอร์ไซค์ตัวเองบิดคันเร่งล่อพวกมันไปอีกทาง

ขุนเดชบิดมอเตอร์ไซค์หลอกล่อพวกแก๊งมอเตอร์ไซค์ให้ไล่ตามเข้ามาในสวนที่มีต้นไม้ปลูกเรียงเป็นแนว ขุนเดชขับลัดเลาะไปตามแนวต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว แต่พวกมันก็ยังบิดไล่ตามไม่ลดละ ขุนเดชหลอกล่อให้พวกมันขับเข้ามาจนเจอคูน้ำ ขุนเดชหักเลี้ยวกระทันหัน คันหนึ่งที่ไล่ตามมาเบรคไม่อยู่พุ่งมอเตอร์ไซค์ลงไปในคูน้ำ...ตูม !!
ขุนเดชบิดคันเร่งรออีกคันที่ไล่ตามมา พอมันเข้ามาตามแผนขุนเดชยิ้มร้ายก่อนบิดหลอกล่อมันไปอีกทางต่อทันที

ทางด้านยงยุทธ เขาวิ่งเข้ามาในโรงงานไม้ มีกองท่อนไม้กองเต็มสองข้างทาง มอเตอร์ไซค์สองคันที่ไล่กวดยงยุทธมาจนทัน พวกมันรุมเข้าใส่ใช้ทั้งโซ่ทั้งหน้าสามควงรุมตี ยงยุทธต้องหลบเป็นพัลวัลก่อนจะถอยไปตั้งรับ พวกมันวนรถกลับมาตีคู่บิดคันเร่งเสียงดังสนั่น แล้วพุ่งทะยานเข้าใส่ยงยุทธพร้อมกัน แต่ยงยุทธกลับยิ้มร้ายเหมือนคิดวางแผนเล่นงานพวกมันไว้แล้ว พอพวกมันบิดคันเร่งพุ่งจนเกือบจะถึงตัว ยงยุทธหันไปถีบแกลลอนน้ำมัน น้ำมันไหลออกจากถังนองเต็มพื้น พวกมันไม่ทันเบรคเลยลื่นไถลน้ำมัน มอเตอร์ไซค์ล้มกลิ้งคนขี่กระเด็นจากรถไถลไปตามพื้น มอเตอร์ไซค์คัน หนึ่งระเบิด...ตูม !! เสียงดังสนั่น คนขี่ถูกไฟกระเด็นมาท่วมตัวจนลุกไหม้ร้องโอดโอย อีกคนเห็นเพื่อนโดนเผาตายทั้งเป็นก็ตกใจรีบวิ่งหนี ยงยุทธมองตามมันหน้าเข้มเอาเรื่อง

มอเตอร์ไซค์คันที่เหลือยังบิดไล่ตามขุนเดชเข้ามา เห็นขุนเดชยืนอยู่ที่สุดปลายทางแนวต้นไม้ มันเลยบิดคันเร่ง พุ่งเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง ขุนเดชยิ้มร้าย เมื่อมันมาใกล้ถึงก็รีบดึงเชือกที่วางกับดักเอาไว้ เชือกขึงตึงจากพื้นขึ้นมาขวาง มันพุ่งชนเชือก เข้าเต็มๆ มอเตอร์ไซค์ไถล คนขี่กระเด็นกลิ้งไปตามพื้น ขุนเดชตามเข้าไปกระชากตัวคนขี่ที่สวมหมวกไหมพรมขึ้นมาแต่มันยังฮึดเอาเรื่องกระแทกหัวใส่ขุนเดชจน ผงะก่อนจะล้วงเอาสนับมือมาสวมมือเพื่อลุยมือเปล่ากับขุนเดชต่อ
ขุนเดชถอยมาตั้งท่าเชิงมวยพร้อมลุย มันชกใส่ขุนเดชด้วยสนับมือ แต่ขุนเดชถอยตั้งรับได้อย่างไม่ยากเย็น และตอบโต้มันกลับไปด้วยหมัด เข่า ศอก และจบด้วยท่าเข่าลอยกระแทกเข้าที่ปลายคางเข้าไปเต็มรัก มันร่วงผล่อยหมดสติ ขุนเดชเข้ายืนเหนือร่างมันสายตาแข็งกร้าวดุดัน

ยงยุทธวิ่งไล่ตามลูกน้องประดับเข้ามา แล้วผงะถอยหวุดหวิดโดนมันใช้หน้าสามฟาดเข้าหน้าไปอย่างฉิวเฉียด ยงยุทธหันไปคว้าไม้หน้าสามเหมาะมือใกล้ๆ ตัวขึ้นมาแล้วใช้สู้กับมัน เสียงไม้เนื้อแข็งกระแทกใส่กัน สลับกับท่วงท่ามวยไชยาของยงยุทธที่ประโคมเล่นงานจนมันตั้งรับไม่ทัน สุดท้ายก็ โดนยงยุทธจับมันมาเล่นงานด้วยกระบวนท่าจบ...ทุ่ม ทับ จับ หัก จนมันสิ้นฤทธิ์ ยงยุทธตามไปกระชากคอมันขึ้นมา
“ไอ้ประดับพาดาราไปไว้ที่ไหน”

จบตอนที่ 4

ติดตามอ่านขุนเดช ตอนที่ 5 พรุ่งนี้ 



กำลังโหลดความคิดเห็น