ขุนเดช ตอนที่ 3
ที่คฤหาสน์ของปราชญ์ ปารมีนอนอาบแดดอยู่ที่สระว่ายน้ำ สวมแว่นกันแดดอันโตก่อนจะเหลือบไปมองประดับที่เพิ่งคุยงานกับพ่อเธอเสร็จและกำลังเดินผ่านมา ปารมีรีบเอาเสื้อคลุมมาสวมอย่างรวกๆ แล้วเข้าไปหาประดับ
“คุยธุระกับพ่อเสร็จแล้วเหรอคะพี่ประดับ”
“ครับคุณปา”
“เลิกเรียกคุณปาซะที่ได้มั้ยคะพี่ประดับ พี่เป็นเลขาคุณพ่อนะคะ ความรู้สูงจบจาก อังกฤษ เป็นมือขวาที่คุณพ่อพร้อมจะปั้นให้เป็นตัวแทน เรียกน้องปาดีกว่านะ...นะคะ”
“ก็ได้ครับน้องปา”
ปารมียิ้มยั่ว
“วันก่อนปายังไม่ได้ขอบคุณพี่ที่ช่วยปาจากไอ้โรคจิตนั่นเลย ให้ปาได้ขอบคุณพี่ ด้วยการไปดูหนังกันนะ”
“จะดีเหรอครับน้องปา พี่ยังทำงานให้ท่านอยู่”
“ก็เลิกงานค่อยไปสิคะ ปาไปกับพี่ประดับรับรองคุณพ่อไม่ว่าหรอก สัญญากันแล้วนะ”
“ครับ”
ประดับพูดไปก็มองที่ไหล่ขาวๆ ของปารมีที่โผล่หลุดออกมาจากชุดคลุมที่ใส่ไม่เรียบร้อย ปารมีมองสายตาของประดับก็ยิ้มยั่วรับขยับเปิดไหล่อีกข้างให้เห็นแล้วหัวเราะคิกๆ ก่อนจะเดินไปอาบแดดต่อ ประดับมองตามยิ้มร้ายเจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากเมื่อ 10 ปีก่อน
ขุนเดชคุยกับยงยุทธระหว่างที่ขุนเดชขับรถจี๊ปพายงยุทธไปด้วยตามถนนลูกรังฝุ่นตลบ
“เพราะชั้นยังจำได้ดีว่าตอนนั้นเราโดนพวกมันใช้อิทธิเล่นงานยังไง ไม่มีใครยอมยื่นมือมาช่วย เพราะต่างก็กลัวอิทธิพล ชั้นเลยสาบานไว้ว่าชั้นจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นกับ คนดีๆ อีก”
“แต่มันจะทำให้ชีวิตแกไม่ปลอดภัย”
“คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ถ้าความตายของชั้นช่วยทำให้แผ่นดินสูงขึ้น พวกไม่ เคารพกฏหมายน้อยลง ชั้นก็ยินดีอ้าแขนรับความตาย”
“แล้วสมมุติว่าถ้าชั้นไปทำผิดกฏหมายเข้า แกจะตามล่าชั้นรึเปล่า”
ยงยุทธชะงักมองขุนเดชที่อยู่ๆ ก็แตะเบรคจนรถจอดเอี๊ยดที่กลางถนนลูกรัง
“แกหมายความว่าไงวะขุนเดช”
ขุนเดชนิ่งไปไม่ตอบมองไปที่ทางข้างหน้าเห็นชาวบ้านจูงวัวข้ามถนนลูกรังผ่านไป
“เห็นแกจริงจังกับเรื่องนี้มากเลยถามเผื่อว่าถ้าคนที่แกต้องไล่จับเป็นคนที่แกรู้จัก แกจะ ทำยังไง”
“ถ้าชั้นละเว้นสักคน แล้วชั้นจะมีหน้าไปไล่จับคนอื่นได้ไง”
“นั่นแหละ...คำตอบที่ชั้นอยากได้ยินจากปากของแก”
ขุนเดชเข้าเกียร์แตะคันเร่งขับรถไปต่อเพราะชาวบ้านจูงวัวข้ามถนนไปหมดแล้ว ยงยุทธยังคงมองขุนเดชด้วย ความสงสัยแปลกใจเพราะในคำพูดของขุนเดชเหมือนมีนัยบางอย่างที่ซ่อนอยู่
กลางคืนดึกสงัด ขุนเดชฝึกซ้อมเชิงดาบอยู่ที่หน้ากระท่อม ดาบดำฟาดฟันอากาศอย่างหนักหน่วง เบื้องหน้า ขุนเดชเป็นหุ่นไม้ที่ทำเหมือนคน มีหัว ตัว แขนและขา...ภาพบนท้องฟ้ากำลังเกิดเหตุการณ์จันทรุปราคา ดวงจันทร์กำลังความมืดกลืนกินไปทีละนิดๆ ขุนเดชควงดาบร่ายรำจนพร้อมแล้วจึงหยุดนิ่งด้วยเชิงดาบที่พลิกสันดาบไว้ที่บ่า สายตาจับจ้องไปที่หุ่นไม้เขม็งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
ขุนเดชวัยเด็กมาแอบดูพ่อกำลังซ้อมเชิงดาบอยู่ในถ้ำ ขุนเดชใช้ดาบไม้เลียนแบบเชิงดาบของพ่อทุกเม็ดอย่างตั้งใจ พ่อฟันซ้ายขุนเดชฟันซ้าย พ่อฟันขวา ขุนเดช ฟันขวา จนนายเดื่องหยุดนิ่งด้วยท่วงท่าพลิกสันดาบไว้ที่ไหล่ ตาเขม็งไปที่หุ่นไม้ ขุนเดชตื่นเต้นดีใจเพราะกำลังจะได้ดูพ่อใช้เพลงดาบที่เขารอดูอยู่
“เพลงดาบเดือนดับ!!”
นายเดื่องกำดาบแน่น กล้ามเนื้อตามตัวเกร็งจนเป็นมัดๆ
“ฟ้า.ดิน…เป็นพยาน ดาบเดือนดับ”
นายเดื่องวาดาบเป็นวงกลมแล้วปรี่เข้าใส่หุ่นไม้ฟาดฟัน อย่างรวดเร็ว...ฉับ !! คอ ข้อมือ 2 ข้างและข้อเท้า 2 ข้างของหุ่นไม้ขาดกระเด็น ขุนเดชเผลอส่งเสียงตื่นเต้นดีใจที่ได้เห็นเพลงดาบสุดยอดของพ่อ นายเดื่องได้ยินหันมาเห็นขุนเดชก็ตกใจ
“ขุนเดช”
นายเดื่องใช้ดาบไม้ตีก้นขุนเดชที่แอบมาเรียนเชิงดาบโดยไม่ได้รับอนุญาต
“ชั้นขอโทษจ้ะพ่อ...ชั้นขอโทษ ชั้นจะไม่ทำอีกแล้ว”
“ที่พ่อลงโทษเจ้า เพราะอย่างอื่นพ่อสอนให้ได้ แต่เพลงดาบเมื่อกี้นี้ พ่อสอนให้เจ้าไม่ได้”
“ทำ...ทำไมล่ะจ้ะพ่อ”
ขุนเดชสะอื้นถาม นายเดื่องนิ่งโยนดาบไม้ของลูกชายทิ้งแล้วหยิบดาบดำของตัวเองขึ้นมามองนิ่ง
“เพลงดาบเดือนดับ เป็นหนึ่งในท่าดาบของเพชรฆาตโบราณที่ไม่ค่อยมีใครฝึกกัน หนึ่งดาบที่ฟาดฟันต้องตัดเส้นเลือดใหญ่ให้ขาดทั้ง 5 จุด มันจึงเป็นเพลงดาบที่มาจากความโหดเหี้ยม ไร้ความปราณี มีไว้เพื่อฆ่าศัตรูให้ตายภายในดาบเดียว” นายเดื่องเก็บดาบดำเข้าฝักแล้วเข้ามาลูบหัวขุนเดช “นักดาบที่ดี เมื่อชักดาบออกมาย่อมต้องมีเหตุผลที่ดีในการใช้คมดาบ จำคำพ่อไว้นะ ขุนเดช ถ้าเจ้าใช้เพลงดาบนี้เมื่อไหร่ นั่นก็หมายความว่าเจ้าพร้อมจะเป็นเพชรฆาต”
ขุนเดชพยักหน้ารับ
ขุนเดชตาเขม็งมองหุ่นไม้ตรงหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองดวงจันทร์ที่กำลังใกล้จะถูกความมืดกลืนกิน จนเกือบจะเต็มดวง ขุนเดชเดชกำดาบแน่นกล้ามเนื้อเกร็งจนเป็นมัด เดือนถูกกินจนมิดดวงเปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำอันน่าสะพรึง ขุนเดชปรี่เข้าไปฟัน...ฉับ หุ่นไม้คอขาด ข้อมือสองข้างขาด ข้อเท้าสองข้างขาดอย่างน่าสะพรึงกลัว
“เพลงดาบเดือนดับ...เพชรฆาตผู้ลงทัณฑ์คนบาป ลูกสัญญาว่าจะใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น”
วันต่อมาขุนเดชกำลังแจกเครื่องมือทำงานให้กับคนงานที่เข้าแถวรอรับ บ้างได้จอบ บ้างได้เสียม จนถึงคิวของเถรที่มารับเครื่องมือ ขุนเดชหยิบเอาชแลงขึ้นมาดูอยู่ครู่ก่อนจะยื่นให้เถรเอาใช้งาน ขุนเดชยืนอยู่ท่ามกลางคนงานก่อนเริ่มปล่อยให้ไปทำงานกัน
“จอบ เสียม ชแลงที่แจกให้เป็นของหลวง แต่ละคนต้องเก็บรักษากันเอง เสร็จงานแล้วก็เอาไปเก็บรักษาที่บ้าน อย่าทิ้งขว้าง ห้ามสับเปลี่ยนกันเป็นอันขาดและที่สาคัญที่สุด ห้ามเอาจอบ เสียม ชแลงที่แจกไป ไปแอบขุดกรุ ขุดเจดีย์ เพราะจะมีโทษหนัก” เถรฟังคำเตือนของขุนเดชแต่ไม่ได้สนใจ เอาชแลงขึ้นมามองแล้วสีหน้าครุ่นคิด “ไปทำงานกันได้แล้ว”
ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ คนงานทำงานกันจนเหนื่อยและเริ่มแยกย้ายกันไปนั่งพักตามร่มไม้ ขุนเดชเดินมากินน้ำจากตุ่มน้ำที่มีไว้ให้พวกคนงาน ระหว่างนั้นเสียงเอะอะโวยวายของบัวทองดังลั่น
“หลบๆๆๆ...เบรคแตก...หลบๆๆๆ...ช่วยด้วย เบรคแตก”
จักรยานที่บัวทองขี่เข้ามาเบรคแตกเลยแถพุ่งตรงมา พวกคนงานกระโดดหลบกันวุ่นวาย
“บัวทอง”
“พี่ขุนเดชช่วยด้วย...จักรยานเบรคแตก ชั้นเบรคไม่อยู่”
“จะให้พี่ช่วยยังไงล่ะ”
“ยังถามอีก ก็ช่วยหยุดรถชั้นที”
“ต้นไม้ข้างหน้าไง”
“พี่ขุนเดช !”
โครม! จักรยานของบัวทองชนเข้ากับต้นไม้ บัวทองล้มลงมา พวกคนงานหัวเราะขบขันกันใหญ่
ขุนเดชช่วยพยุงบัวทองมานั่งที่แคร่ใต้เพิงพัก
“เบาๆ หน่อยสิพี่ ชั้นเจ็บนะ”
“เจ็บจริงเหรอ เห็นเสียงยังดังอยู่เลย”
“งั้นก็ปล่อยชั้นเลย ที่ชั้นต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ก็เพราะพี่คนเดียวนั่นแหละ”
“พี่ไม่ได้ไปยุ่งกับจักรยานเราเลยนะบัวทอง”
“ชั้นไม่ได้หมายถึงจักรยาน แต่ชั้นหมายถึงนี่ต่างหาก” บัวทองชูปิ่นโตขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “แม่สั่งให้ชั้นเอาข้าวกลางวันมาให้พี่”
“ก็เลยโทษว่าเป็นความผิดพี่”
“หรือไม่ใช่ล่ะ”
“ไม่ใช่...บัวทองซุ่มซ่ามไม่รู้จักระวัง ทีหลังต้องตรวจเช็คจักรยานก่อนเอาออกมาขี่”
“สอนอีกแล้ว เก่งไปซะทุกเรื่องแบบนี้ พี่ก็หากินเอาเองแล้วกัน ชั้นจะไม่มาดูดำดูดีพี่อีก” บัวทองฉุนเอาปิ่นโตกลับไปเลยดื้อๆ ไม่ยอมให้ขุนเดชกินข้าว “อ้าว...บัวทอง นั่นมันข้าวพี่ไม่ใช่เหรอ”
บัวทองไม่สนใจเดินหน้าบึ้งออกไป ขุนเดชยิ้มขำบัวทอง ระหว่างนั้นแหลมกับจ่อยคนงานสองคนเข้ามาหา
“ขุนเดช...ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”
“มีอะไรเหรอนายแหลม”
ที่บ้านกำนันบุญ บรรยากาศภายในห้องควันธูปลอยอบอวล กำนันบุญนั่งสมาธิอยู่หน้าองค์พระพุทธรูปองค์หนึ่งที่ดูเก่าและขลัง เสียงขู่ดังฟ่อดๆ ทำเอากำนันบุญต้องลืมตาขึ้น ก่อนจะพบว่ามีงูเห่าเลื้อยอยู่รอบๆ องค์พระพุทธรูปเหมือนกำลังแสดงความเป็นเจ้าของ
กำนันบุญจ้องหน้ากับงูเห่าตัวนั้นตาเขม็ง งูก็ยิ่งเลื้อยเข้ามาใกล้และไม่มีทีท่าจะหนี กำนันบุญค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อแล้วถอดเสื้อออกเผยให้เห็นว่ามีรอยสักยันต์ลงอักขระเต็มตัว กำนันบุญยิ้มเยาะร้ายกาจก่อนจะหลับตาบริกรรมคาถา และมีลมกรรโชกจนธูปดับวูบ งูเห่าจึงจะหายวับไป
กำนันบุญไล่งูตัวนั้นไปได้ก็หยิบเสื้อมาสวมแล้วลูบองค์พระพลางยิ้มภูมิใจ
“พ่อ...พ่อ” สัมฤทธิ์มาเคาะประตูเรียก
กำนันบุญหันมามองลูกชายด้วยสีหน้าแปลกใจ
“เอ็งว่าไงนะ ไอ้เสี่ยอ๋าโดนหมวดยงยุทธเล่นงานไปแล้วเหรอ”
“จ้ะพ่อ...ชั้นได้ยินพวกชาวบ้านมันคุยกันสนุกปาก ฟังแล้วมันน่าหมั่นไส้ คุยโวว่าได้ตำรวจฝีมือดีมาช่วยทำให้แผ่นดินที่สุโขทัยสูงขึ้น”
“ข้าว่าไอ้หมวดนั่นไม่ได้เก่งเท่าไหร่หรอก ไอ้เสี่ยอ๋าต่างหากที่ประมาททำโฉ่งฉ่างให้โดนจับได้เอง สมน้ำหน้ามัน”
“แต่ตอนนี้ไอ้หมวดนั่นมันก็ฮึกเหิมเอาเรื่องนะพ่อ มันคงตั้งใจจะล้างบางเอาผลงาน”
กำนันบุญมีสีหน้าครุ่นคิด
“ท่านก็เตือนข้าเรื่องไอ้หมวดคนนี้มาเหมือนกัน เห็นทีข้าคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”
คืนนั้นยงยุทธขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งดาราที่หน้าบ้านคำปัน
“ขอบใจนะยงยุทธ”
“ปลาเผาอร่อยดีนะ ไว้วันหลังเราไปกินกันอีกมั้ย คราวนี้ผมสัญญาว่าจะลากคอไอ้ขุนเดชให้ไปด้วยกันให้ได้”
“จ้ะยงยุทธ”
ดาราเดินเข้าบ้าน ยงยุทธมองตามรู้สึกดี แต่เสียงกระแอมของจ่าแท่นดังเข้ามาขัดจังหวะ
“ปลาเผาเนื้อคงจะหวานมากเลยนะครับผู้หมวด”
“หวานอะไรจ่า”
“ไม่มีครับ บังเอิญได้ยินว่าผู้หมวดชอบร้านอาหารที่ผมแนะนำไป ผมก็ดีใจ ผู้หมวด ทำงานหนักมาทั้งวันก็น่าจะพักผ่อนบ้าง”
“แล้วจ่ามาทำอะไรที่นี่”
“คำปันพาบัวทองไปรับงานรำที่อำเภอ ผมก็เลยมาเฝ้าบ้านให้น้องสาวครับ แต่ถ้าผู้กองยังไม่ง่วงจะเข้าไปนั่งเล่นหมากรุกกับผม ชวนอาจารย์ดาราคุยกันต่อก็ได้นะครับ”
“น่าสนนะจ่า... เอ้ย...ดึกแล้วนะจ่า พรุ่งนี้มีงานต้องทำ”
จ่าแท่นแอบยิ้ม
“ครับหมวด...เอ้อ...พูดถึงเรื่องงานผมก็เลยนึกได้ กำนันบุญจะจัดเลี้ยงต้อนรับผู้กองเลยให้คนมาเชิญ”
“กำนันบุญ...เขาเป็นใคร ทำไมต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับผมด้วย”
“ถ้าจะให้พูดถึงกำนันบุญล่ะก็ สงสัยต้องคุยกันยาวแล้วล่ะครับหมวด”
ยงยุทธมองจ่าแท่นอย่างสงสัย
ที่กระท่อมขุนเดช ขุนเดชอยู่ที่หน้าเตาหลอมเหล็ก กำลังหลอมทองเหลืองเพื่อใช้หล่อพระพุทธรูปแต่สมาธิของขุนเดชกลับวนเวียน อยู่กับสิ่งที่ได้รับรู้มาเกี่ยวกับเถรเมื่อตอนกลางวัน
ขุนเดชเดินตามแหลมกับจ่อยมายืนดูเถรที่นั่งหลบมุมกินข้าวอยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับพวกคนงานคนอื่น
“ขุนเดชไม่น่ารับไอ้เถรมาทำงานจริงๆ นะ คนอย่างมันไม่เคยทำงานสุจิตได้หรอก”
“ชั้นก็ไม่เห็นเขามีอะไร ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว”
“มันก้มหน้าก้มตาเล็งหาช่องทางขุดกรุน่ะสิขุนเดช” ขุนเดชชะงักมองแหลมอย่างแปลกใจ
“พวกชั้นน่ะรู้ดี ไอ้เถรนี่มันนักขุดเจดีย์มืออาชีพ ขุดมาแล้วหลายที่ ขุนเดชน่าจะไล่มัน ออกไปนะ” จ่อยบอก ขุนเดชนิ่งไม่ตอบแต่สายตากลับมองไปที่เถร
“ชั้นไม่ไล่ออกหรอก คนล้มควรจะได้รับโอกาส แต่ถ้าได้โอกาสแล้วยังไม่เลิกสันดาน เดิม...ก็ค่อยว่ากัน”
กลางดึกคืนนั้น บรรยากาศรอบๆ องค์เจดีย์เงียบเชียบ เถรพันผ้าขาวม้าปิดหน้าปิดตาแอบเข้ามาพอเห็นปลอดคนก็เอาผ้า ขาวม้าออกแล้วเข้าไปที่เจดีย์ เอาชแลงที่ได้มาจากขุนเดชทั้งเจาะทั้งขุดที่ฐานเจดีย์ เถรขุดลึกลงไปจนเจอพวกหม้อไหที่ไม่มีราคา เถรทุบไหจนแตกทันใดนั้นพระพิมพ์เนื้อดี สวยๆ หลายองค์ก็ร่วง ออกมาเต็มสองมือ
“เจอ...เจอแล้ว พระพิมพ์สวยๆ ทั้งนั้น...รวย...รวยแล้วโว้ย ไอ้เถร ต้องมีอีกแน่ๆ แถวนี้ ต้องมีอีกเพียบแน่ ฮ่าๆๆๆ”
เถรพยายามโกยพระพิมพ์ขึ้นมาอย่างละโมบ
วันรุ่งขึ้น ขุนเดชเดินเข้ามาหยุดดูเจดีย์ซึ่งถูกทำลายจนน่าใจหาย เศษซากอิฐกระจายเกลื่อน หม้อไหโบราณถูกทุบแตกกระจาย ขุนเดชสำรวจดูรอบๆ โดยเฉพาะกับรอยขุดเจาะที่ฐานเจดีย์ ดูอยู่ครู่ขุนเดชก็พอจะรู้
“ทิ้งหลักฐานไว้ซะใหญ่โตเลย ไอ้สารเลว”
ขุนเดชนึกถึงตอนที่มองชแลงในมือก่อนจะยื่นชแลงให้เถรเอาไปใช้งาน ขุนเดชขบกรามจนขึ้นสัน
“ไอ้เถร...กูให้โอกาสมึงแล้ว แต่ในเมื่อมึงไม่อยากได้...มึงก็เป็นได้แค่...ไอ้คนบาป”
จบตอน 5
ขุนเดช ตอน 6.1
ภายในกระท่อมเก่าๆ โทรม เสียงตากล่ำด่าลูกชายดังออกมาโหวกเหวก
“อะไรวะ มึงเพิ่งทำงานได้ไม่กี่วัน ไม่ทันไรมึงก็จะเลิกซะแล้ว”
เถรนั่งหน้าเซ็งเทเหล้าจากไหกินอย่างไม่สนใจ
“ไอ้งานขุดดินขุดอิฐขุดหญ้าพวกนั้น เหนื่อยจะตายชัก ทำไปก็จนไม่เห็นทางรวยซักที”
“แล้วที่พวกข้าอุตส่าห์บากหน้าไปขอร้องให้ขุนเดชรับเอ็งทำงาน เพราะเอ็งบอกอยากกลับตัวล่ะ...พวกข้าไม่เสียผู้ใหญ่เหรอ”
“จนไม่มีจะกินอย่างพ่อกับแม่ ไม่ต้องกลัวขายหน้าใครหรอก มีแต่เขาจะดูถูกมากกว่า”
ตากล่ำอึ้งกับคำพูดลูกชาย
“ไอ้...ไอ้เถร ไอ้ลูกทรพี ไอ้ลูกชั่ว นี่มึงด่าพ่อแม่มึงได้ยังไง”
เถรขว้างไหเหล้าแตก
“แล้วที่ทุกวันนี้กูไม่มีจะกิน ไม่ใช่เพราะมีพ่อแม่จนๆ แบบนี้เหรอไงวะ”
ตากล่ำหันไปคว้ามีดพร้าที่เหน็บผนัง
“ไอ้ทรพี...วันนี้กูจะเอาเลือดชั่วมึงออกจากกบาล”
ตากล่ำปรี่เข้าไปจะเล่นงานลูก แต่เถรไวกว่ารับข้อมือพ่อไว้ได้
“คำก็ชั่วสองคำก็ชั่ว ก็ใครมันเลี้ยงให้กูชั่วแบบนี้ล่ะโว้ย”
เถรออกแรงผลักพ่อเต็มแรง ตากล่ำเซหัวไปกระแทกกับเสาเรือนสลบเหมือด ยายแช่มตกใจ
“ตากล่ำ...ตากล่ำ”
ทางด้านขุนเดช ขุนเดชกระเทาะดินที่หุ้มองค์พระที่หล่อเอาไว้ออก เนื้อดินหลุดออกทีละชิ้นๆ จนเผยให้เห็นพระพุทธรูปทองเหลือง ขุนเดชนำพระพุทธรูปไปตั้งที่แท่นบูชาซึ่งเรียงรายด้วยพระพุทธรูปนับได้หลายสิบองค์ยกมือไหว้สงบนิ่ง
ขุนเดชนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้...ขุนเดชเดินออกมาหน้าอนามัยพร้อมกับหมอน้อย
“ยังไงผมฝากตากล่ำด้วยนะครับอาหมอ เรื่องค่าใช้จ่ายให้มาเอาที่ผม ผมจะรับผิดชอบ ทุกอย่างเอง”
“ถ้าไม่ได้เป็นอะไรหนักค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้มากหรอกขุนเดช แต่อาหมอสงสารสองคนนั่นมากกว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่ เลี้ยงลูกมาเหนื่อยสายตัวแทบขาด ยามแก่ตัวลงก็หวังฝากผีฝากไข้ลูก แต่ลูกก็มาอกตัญญู ไม่รู้หัวใจมันทำด้วยอะไร”
“ไอ้เถรเหมือนงูเห่าที่ชาวนาเก็บมาเลี้ยงครับอาหมอ มันไม่รู้จักคำว่ากตัญญูหรอกครับ”
“แต่ก็น่าจะกลัวบาปกรรมบ้าง”
“คนประเภทนี้จะรอให้บาปกรรมลงโทษอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ”
แววตาขุนเดชดูกร้าว หมอน้อยมองอย่างแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก คิดว่าขุนเดชคงพูดไปด้วยอารมณ์
อ่านต่อหน้าที่ 2
ขุนเดช ตอนที่ 3
ยงยุทธสอบปากคำกำนันบุญถึงในบ้านด้วยคำถามที่ทำเอากำนันบุญแอบมีสีหน้าไม่พอใจ
“ผมจำได้ว่าคดีทุจริตงบสร้างถนนที่เชลียง มันจบไปแล้วไม่ใช่เหรอครับผู้หมวด”
“คดียังไม่ได้หมดอายุความครับกำนัน เพียงแต่พยานปากสำคัญหายตัวไป”
“ก็ในเมื่อพยานปากสำคัญหายตัวไป พ่อผมก็ไม่โดนสั่งฟ้องพ้นข้อกล่าวหาไปแล้ว ผู้หมวดจะมารื้อฟื้นทำไมอีก” สัมฤทธิ์บอกอย่างไม่พอใจ
“เฮ้ย...ไอ้สัมฤทธิ์ พูดจาระวังหน่อย ผู้หมวดเขาเป็นแขกของข้า” กำนันบุญดุลูกชาย สัมฤทธิ์ทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ กำนันบุญทำยิ้มกลบเกลื่อนดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีสุดฤทธิ์ “อย่าถือสาลูกผมเลยนะครับผู้หมวด เอาเป็นว่าผู้หมวดอยากรู้อะไรก็ถามมาได้เลย เพราะผมเข้าใจว่าผู้หมวดมารับงานที่นี่แล้วก็ต้องอยากทำทุกอย่างให้โปร่งใส”
“ผมทราบมาว่าก่อนที่พยานคนนั้นจะหายตัวไป มีคนเห็นกำนันไปหาพยานที่บ้าน”
“ครับ...คนอย่างผมไปไหนมาไหนเปิดเผยตลอด การที่ผมจะไปให้ความช่วยเหลือลูกน้องเก่าของผม มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ”
“พ่อผมเป็นคนใจบุญ ลูกน้องทุกคนถ้ามีใครเดือดร้อนพ่อผมช่วยเต็มที่ไม่มีคำว่าปฏิเสธ”
สัมฤทธิ์บอก แต่ขัดกับความเป็นจริงเพราะวันนั้นที่บ้านพยาน ลูกน้องกำนันบุญจับหัวพยานยกขึ้น สภาพพยานหน้าตาสะบักสะบอมเลือดเต็มหน้าเพราะโดนมาหนัก
“กะ...กะ...กำนันครับ...ไว้ชีวิตผมเถอะ ผมจะไม่ไปเป็นพยานให้ทางราชการแล้ว”
“ถ้ามึงคิดอย่างนี้ได้ตั้งแต่ทีแรก กูก็คงไม่ต้องดั้นด้นมาหามึงถึงบ้าน”
“ปล่อยผมไปเถอะนะครับกำนัน ผมสัญญาว่าผมจะไม่พูดอะไรอีก”
พยานพยายามเข้าไปกอดขากำนันบุญอ้อนวอนขอชีวิต แต่กำนันบุญกลับจิกหัวมันขึ้นมา
“มึงทำให้กูเสียชื่อเสียง เสียเวลา คนอย่างมึง ฆ่าตายอย่างเดียวก็ยังไม่สะใจกู สัมฤทธิ์!”
สัมฤทธิ์เข้ามาพร้อมกับลากเอาเมียสาวของพยานที่มีผ้าอุดปากมาด้วย เสื้อผ้าเมียพยานหลุดลุ่ยเพราะถูก สัมฤทธิ์ปู้ยี้ปู้ยำมา
“ในเมื่อมึงคิดจะเล่นงานพ่อกู เมียมึงก็ต้องได้รับโทษของมึงด้วย” สัมฤทธิ์จิกหัวเมียพยานมาขู่ “และถ้ามึงคิดจะปากโป้งเหมือนผัวมึง ครั้งต่อไปจะไม่ใช่แค่กูคนเดียวที่จะทำหน้าที่แทนผัวมึง”
เมียพยานพยักหน้ารับด้วยความกลัวสุดขีด กำนันบุญหัวเราะชอบใจแล้วสั่งเด็ดขาด
“จับมันไปถ่วงน้ำอย่าให้ศพมันลอยขึ้นมาได้”
พยานถูกพวกลูกน้องกำนันบุญลากตัวไป เมียพยานร้องไห้โฮน่าเวทนา
กลับมาปัจจุบัน กำนันบุญตีหน้าซื่อโกหกหน้าตายกับยงยุทธ
“มันสองคนผัวเมียทั้งติดหนี้การพนัน ทั้งติดฝิ่น ไอ้ผมน่ะสงสาร พ่อแม่มันก็เคยทำงานให้ผมมาก่อน ผมเลยไปบอกให้มันเลิกแล้วเอาเงินให้มันไปตั้งตัว”
“แต่สันดานมันก็ไม่เลิก ยิ่งไปติดหนี้บ่อนจนต้องหนีเตลิด ถ้าหมวดยังไม่เชื่อก็ถามเอาจากเมียมันก็ได้”
“ถามมาแล้ว แต่หมวดยังไม่เชื่อ” จ่าแท่นบอก
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ที่ผมมีคนนับหน้าถือตามากมายเรียกผมว่ากำนันบุญ สุโขทัย มันก็คงไม่ใช่เพราะว่าผมเป็นโจรชั่วหรอกครับผู้หมวด”
ยงยุทธนิ่งมองกำนันบุญ
คืนนั้นขณะที่เถรนั่งกินเหล้าจากไหอยู่ที่กระต๊อบกลางนาจนเริ่มกึ่มๆ ได้ที่ ขุนเดชเดินฝ่าความมืดและหมอกควันเข้ามายืนมองด้วยสายตาชิงชังคนใจบาปหยาบช้า
“มีคนบอกข้าว่าคืนก่อนเอ็งไปขุดเจดีย์ที่เชลียง”
เถรชะงัก มองขุนเดชอย่างตกใจ
“พี่ขุนเดช พี่พูดอะไร ชั้นเปล่านะพี่ ชั้นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ไอ้พวกที่มันกล่าวหาชั้น มันอิจฉาชั้นมากกว่า”
“แต่คนที่สงสัยเอ็ง มีเจ้านายข้าด้วย”
“เจ้านายพี่น่ะเหรอ...เขาไม่ชอบหน้าชั้นมากกว่า เพราะเห็นว่าชั้นเคยติดคุกมาก่อนถ้าไม่คิดจะให้โอกาสชั้นแบบนี้ ชั้นก็ไม่อยากทำงานให้แล้วชั้นขอลาออก”
“เรื่องลาออกไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ข้าก็ใช่ว่าจะฟังความจากเจ้านายอย่างเดียว เรามันก็คนบ้านเดียวกัน เอ็งควรจะทำให้ข้าสบายใจมากกว่า”
“แล้วพี่จะเอายังไงกับชั้นล่ะ”
“ข้าเป็นคนหัวโบราณเชื่อเรื่องคำสาบาน ถ้าเอ็งไปสาบานกับข้าหน้าเจดีย์ที่โดนขุดไปข้าถึงจะเชื่อเอ็ง”
เถรนิ่งมองขุนเดชอย่างลังเล
“คืนนี้เลยเหรอพี่”
“ถ้าไม่ไว้ใจข้าจะเอาชะแลงไปด้วยก็ได้นะ ข้ามีแค่ข้องใส่ปลามาอันเดียวแค่นั้น”
ขุนเดชเดินออกไป เถรหยิบชะแลงขึ้นมามองอย่างตัดสินใจ
ยงยุทธกับจ่าแท่นเดินเลี่ยงออกมาคุยกันที่ชานเรือนหลังสอบปากคำกำนันบุญเสร็จ
“คนอื่นอาจจะเชื่อคำพูดของกำนัน แต่สัญชาติญาณของผมยืนยันได้ครับว่ากำนันโกหก”
จ่าแท่นบอก
“ผมรู้อยู่แล้วล่ะจ่าว่ากำนันจะต้องไม่พูดความจริง”
“อ้าว...งั้นผู้หมวดมาสอบปากคำกำนันทำไมครับ”
“ถ้าอยากรู้จักเสือจะเอาแต่ดูอยู่หน้ากรงไม่ได้หรอกจ่า”
จ่าแท่นสงสัยคำพูดของยงยุทธ กำนันบุญเดินเข้ามา
“หมวดครับ ถ้าหมวดเสร็จธุระแล้วก็อย่าเพิ่งกลับนะครับ ไหนๆ ผมก็จัดเตรียมอาหารไว้ ต้อนรับหมวดแล้ว”
“ขอบคุณมากครับกำนัน เรื่องเมื่อครู่นี้ผมต้องขอโทษด้วย ผมต้องทำทุกอย่างให้ชัดเจน”
“ช่างมันเถอะครับหมวด น่าดีใจซะอีกที่ศรีสัชนาลัยได้ตำรวจหนุ่มไฟแรง ขยันขันแข็งอย่างหมวดมาดูแล ชาวบ้านจะได้อยู่กันอย่างสงบสุข”
“งั้น...คืนนี้ผมคงต้องรบกวนกำนัน”
“ได้ครับ...เดี๋ยวเชิญเลยนะครับหมวด”
กำนันบุญหันไปสั่งคนงานในบ้านให้ไปจัดเตรียมสำรับสำหรับยงยุทธแล้วเดินเข้าไป
“เข้ามาที่นี่ไม่ทันไร ดูแป๊บเดียวผมก็รู้แล้วว่าที่นี่ไม่ธรรมดา คนดีๆ ที่ไหนจะ เลี้ยงลูกน้องมีฝีมือไว้ในบ้านนับสิบ ถ้าที่นี่ไม่มีอะไรที่สำคัญจนคนนอกเข้ามาไม่ได้” ยงยุทธบอกกับจ่าแท่น
“อ๋อ...ผมเข้าใจแล้วครับ เข้าถ้ำเสือก็ต้องมาอย่างเสือ ถ้ามาอย่างแมวเสือที่ไหนจะ เกรงใจ สุดยอดจริงๆ เลยครับผู้หมวด”
ขุนเดชถือคบไฟพาเถรมาหยุดที่บริเวณเจดีย์ซึ่งเถรมาขุดไว้จนพัง
“ไอ้โจรชั่วมันพังที่นี่ซะเละ แต่มันยังทิ้งหลักฐานรอยชะแลงเอาไว้อยู่ เอ็งเอาหน้าชะแลงลองไปทาบดู” เถรชะงักหน้าเสียขึ้นมาทันที เริ่มลังเล ขุนเดชขยับจ้องกร้าว “เร็วสิ รอยชะแลงที่เอ็งเห็นนั่นแหละ” เถรชักกังวลเมื่อโดนสั่งให้ทำหนักเข้าก็เลยเอาหน้าชะแลงไปทาบกับรอยที่ฐานเจดีย์ “เป็นไง ชะแลงของเอ็งกับรอยนั่นมันเท่ากันเลยใช่มั้ย”
“มันก็เท่ากัน แล้วทำไมล่ะพี่”
“ชะแลงในมือเอ็ง ข้าเป็นคนตีขึ้นมาเองกับมือ ทุกอันจะมีขนาดไม่เหมือนกัน และทุกอันก็มีปุ่มตำหนิต่างกัน เพื่อที่ข้าจะได้รู้ว่าใครเป็นคนใช้เครื่องมือพวกนี้” เถรชะงักมองชะแลงในมืออย่างตกใจ “เพราะฉะนั้นข้าถึงได้รู้ว่าไอ้คนที่ลักขุดเจดีย์มันใช้ชะแลงอันนี้ !”
“โธ่พี่…ชั้นบอกพี่แล้วไงว่าชั้นไม่ได้ขุด มันอาจจะมีใครมาขโมยเอาชะแลงของชั้นไปก็ได้”
“ก็อาจเป็นไปได้ว่าเอ็งอาจจะไม่รู้ตัวเผลอให้คนอื่นมาขโมยชะแลงไป ข้าถึงต้องให้เอ็งมาสาบานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเอ็ง”
“สาบานยังไงล่ะพี่”
ขุนเดชมองหน้าเถรแล้วยื่นข้องให้เถร
“ข้องใบนี้ไม่ใช่ข้องปลาธรรมดา แต่เป็นข้องเสี่ยงทายตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดของข้า เอ็งแค่สาบานแล้วก็เอามือล้วงเข้าไป ถ้าเอ็งบริสุทธิ์เอ็งก็จะดึงมือออกมาได้” เถรชักเริ่มมีอาการร้อนรน ขุนเดชยิ่งจ้องหน้าอย่างจับผิด “ว่าไง ถ้าเอ็งบริสุทธิ์ เอ็งก็สาบานมา”
“ไม่! ชั้นไม่สาบานหรอก”
เถรฟาดชะแลงในมือใส่ขุนเดช ขุนเดชฉากหลบแล้วถีบยอดอกเถรจนเซ เถรรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีไปทันที
ขุนเดชมองตาแข็งดุดันแล้วยิ้มร้าย
เถรวิ่งมาที่ท่าน้ำจะรีบกลับไปที่เรือแต่ไม่เจอเรือที่นั่งมาอยู่ที่ท่าน้ำ
“เรือ…เรือหายไปไหนวะ”
“ข้าไม่ได้ผูกเรือไว้ ป่านนี้มันคงลอยไปตามน้ำแล้ว”
ขุนเดชบอก เถรชะงักหันมาเห็นขุนเดชยืนจังก้าเอาเรื่อง
“มึงหลอกกูมา แล้วใส่ร้ายป้ายสีกู มึงได้โดนชะแลงของมึงตีหัวแบะแน่ไอ้ขุนเดช”
เถรใช้ชะแลงเป็นอาวุธปรี่เข้าไปไล่ฟาดฟันใส่ขุนเดช แต่ขุนเดชก็แค่ฉากหลบไปมาให้ไอ้เถรหัวทิ่มหัวตำ
“มึงทำลายเจดีย์ ทำร้ายบุพการี คนบาปอย่างมึง บาปกรรมไม่รู้จักกลัว แต่ดันกลัวกับไอ้แค่คำสาบาน”
“กูไม่ได้กลัวคำสาบานเว้ย แต่กูเหม็นขี้หน้ามึง ทำอวดเก่งคิดจะเล่นงานกู ฝันไปเถอะ” เถรเอาชะแลงไล่ฟันอีก คราวนี้ขุนเดชเอาด้ามดำทั้งที่ยังอยู่ในฝักขึ้นมารับชะแลง…แคร๊ง ! “ถุย...นี่เหรอวะที่บอกว่าพกมาแต่ข้องปลา”
“กับคนบาปต่ำช้าอย่างมึง ดาบของข้าไม่จำเป็นต้องชักออกมาหรอก”
ขุนเดชดันเถรแล้วใช้เพียงแค่ฝักดาบสู้กับเถร ใช้ตีทั้งท่อนแขน ท่อนขา และตามลำตัว จนเถรร้องโอดโอยไม่ เหลือแรงแม้แต่จะจับชะแลงอีก
“โอ๊ยๆๆ พอแล้วๆ พี่ขุนเดช...ชั้นยอมแล้ว...โอ้ยยยยย”
ขุนเดชลากคอเถรมาทิ้งที่หน้าองค์เจดีย์ปรักหักพังด้วยน้ำมือเถร
“หันหน้าไปมององค์เจดีย์แล้วพนมมือ”
เถรเอาแต่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ ขุนเดชต้องใช้ฝักดาบดำฟาดเข้ากลางหลัง เถรถึงยอมพนมมือแล้วค่อยๆกล่าวตามทีละประโยค
“กล่าวตามข้า...ข้าพเจ้านายเถร ขอสาบานต่อหน้าองค์พระเจดีย์และภูเขาอันเป็นที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าข้าพเจ้านายเถร ประพฤติชั่ว ด้วยการลักลอบขุดพระทำลายองค์ พระเจดีย์ อันเป็นที่สักการะสูงสุดของชาวพุทธทั่วไปแล้วไซร้ ขอให้ข้าพเจ้านายเถรเอามือล้วงลงไปในข้องใบนี้มีอันต้องติดขัด เอามือออกมาไม่ได้ แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้ ประพฤติชั่ว ขอให้เป็นไปในทางตรงกันข้ามด้วยเถิด”
ขุนเดชบอกเสร็จก็เปิดฝาข้องออกแล้วยื่นให้เถรเอามือล้วงลงไป เถรลังเลขุนเดชจ้องเขม็ง เถรกลัวโดนทำร้ายอีกจึงยอมเอามือล้วงลงไปแล้วร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บ....โอ๊ย !!
เถรจะชักมือออกแต่ขุนเดชเหยียบเอาไว้ไม่ให้ชักออกมา เถรไม่ยอมเอามืออีกข้างปัดเท้าขุนเดชแล้วชักมือออก มาได้ในที่สุด
“นี่ไง ชั้นเอามือออกมาได้ ชั้นไม่ได้เป็นอะไรด้วย”
ขุนเดชมองแล้วยิ้มร้ายมุมปาก
“งั้นข้าก็เชื่อว่าเอ็งบริสุทธิ์...เอ็งไปได้แล้ว”
เถรกำมือที่โดนบางอย่างกัดแล้วรีบถอยออกไปทันที ขุนเดชมองตามแววตาสังเวชต่อคนบาปอย่างเถร
เถรเดินโซซัดโซเซตาเริ่มพร่าเลือนมองทางไม่เห็น มือข้างที่ล้วงเข้าไปในข้องแล้วโดนกัดเกร็งแข็งจนเถรต้อง เอาฝ่ามืออีกข้างมาประกบดูเหมือนท่าคนพนมมือ เถรเข่าทรุดหมดแรงเดิน เลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากตาเหมือนเป็นน้ำตาเลือด ตัวสั่นสะเทิ้มเพราะพิษร้ายที่แผ่ซ่านไปทั่วตัว
เถรนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำไว้ ภาพความชั่วที่เถรทำลายเจดีย์ ลักขุดพระ ภาพเถรด่าพ่อแม่ ภาพเถรผลักพ่อจนหมดสติ...เถรหงายหลังตึงชักตัวเกร็ง กระอักเลือดออกมาตาแข็งค้าง ดิ้นพราดๆ ท่าพนมมือก่อนจะตายอย่างน่าอนาถ ขุนเดชออกมาจากมุมมืดมองเถรอย่างสังเวชก่อนจะล้วงเอางูเห่าตัวใหญ่ออกจากข้องมาปล่อย
ขุนเดชกลับมาที่กระท่อม แสงไฟจากเตาหลอมเหล็กที่คุโชน ขุนเดชโหมไฟให้แรง เหงื่อผุดจากกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ไหลโทรมเต็มตัว
“สาธุ...ข้าน้อยขอเคารพนพไหว้พระไตรลักษณ์ดวงประเสริฐ ไหว้เจ้ากรรมนายเวรทั้ง หลายทั้งปวงทั้งสิ้น ไหว้พ่อแม่อาจารย์ผู้มีพระคุณ ข้าน้อยนี้นาม ขุนเดช ไหว้แผ่นดิน พระร่วงเจ้า”
ขุนเดชเททองเหลืองที่หลอมจนเป็นของเหลวลงพิมพ์องค์พระ ใบหน้าต้องแสงไฟจากเตาหลอม
ที่บ้านกำนันบุญ ลูกน้องกำนันบุญที่เฝ้ายามเดินผ่านไป ยงยุทธค่อยๆ เดินออกมาจากหลังเสาที่ใช้หลบสาย ตาพวกมัน แล้วมองไปที่ห้องๆ หนึ่งซึ่งมีลูกน้องของกำนันบุญเฝ้าอยู่ ท่าทางเป็นห้องที่สำคัญมากจนต้องมีคนคอยเฝ้า
สัมฤทธิ์เดินเข้ามาพร้อมกับลูกน้องอีกคนพร้อมกับลังของบางอย่าง สัมฤทธิ์ไขกุญแจแล้วให้ลูกน้องยกลังเข้าไปเก็บในห้อง ลูกน้องข้างนอกยืนเฝ้าระวังแจ ด้วยสัญชาติญาณยงยุทธจึงยิ่งสงสัย ขยับจะเข้าไปดูใกล้ๆ แต่มีมือหนึ่งเข้ามาจับมือยงยุทธเอาไว้...หมับ
“เล่นอะไรเหรอ เล่นด้วยได้มั้ย”
ทิพย์ น้องสาวต่างแม่ของสัมฤทธิ์ แต่สติไม่สมประกอบถาม ยงยุทธชะงักมองเด็กสาวน่าสงสารท่าทางสติไม่สมประกอบตาลอยไปมาตลอดเวลา
สัมฤทธิ์ออกมาจากห้องเก็บของกำชับพวกลูกน้อง
“ของสำคัญของพ่อข้าทั้งนั้น ถ้าพวกเอ็งดูแลไม่ดี โดนเล่นงานเรียงตัวแน่”
สัมฤทธิ์กำชับเสร็จรู้สึกได้ยินเสียงแปลกๆ เลยหันไปทางที่ยงยุทธหลบอยู่ รู้สึกไม่ไว้ใจเอาปืนจากเอวลูกน้องมา ขึ้นลำกล้องแล้วเข้าไปเอาปืนส่อง...ฟึ่บ !! ยงยุทธกับทิพย์ไม่อยู่แล้ว แต่สัมฤทธิ์ยังรู้สึกระแวงสงสัย
ยงยุทธพาทิพย์มานั่งที่ใต้ต้นไม้ในบริเวณบ้านกำนันบถญ
“ปล่อยนะ...ปล่อย”
“ไม่ต้องกลัวนะ ชั้นเป็นตำรวจ ไม่มีใครทำอะไรหนูได้หรอก”
“ตำรวจ...ตำรวจจับผู้ร้ายเหรอคะ”
“จ้ะ ชั้นเป็นตำรวจจับผู้ร้าย”
“งั้นตำรวจต้องไปจับพี่สัมฤทธิ์ เขาใจร้าย เขาชอบว่าทิพย์ พ่อก็ด้วย พ่อไม่รักทิพย์ พ่อชอบตีทิพย์ ด่าทิพย์ แล้วยังตีแม่ด้วย”
ทิพย์จับมือยงยุทธแววตาขอร้องอย่างน่าสงสาร ระหว่างนั้นรำพัน แม่ของทิพย์ตามมาเจอ
“ทิพย์ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ แม่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาเดินแถวนี้ พ่อเขาไม่ชอบ” รำพันรีบเข้าไปดึงทิพย์มาโอบ ยงยุทธมองสองแม่ลูกอย่างแปลกใจ “เอ่อ...ขอโทษด้วยนะคะผู้หมวด ไปเถอะทิพย์เดี๋ยวพ่อเขามาเห็น”
รำพันพาทิพย์ออกไป ยงยุทธมองตาม
สัมฤทธิ์ตบหน้ารำพัน...เพี๊ยะ! รำพันเซถลาไปกอดร้องห่มร้องไห้กับทิพย์ที่ตกใจกลัว
“ชั้น...ชั้นไม่ได้พูดอะไรกับผู้หมวดเลยนะจ๊ะพี่ ทิพย์ก็เหมือนกัน”
“แต่ไอ้สัมฤทธิ์มันมาบอกชั้นว่าเห็นแกกับนังทิพย์อยู่กับไอ้ผู้หมวด”
“ผู้หมวดแค่บังเอิญมาเจอทิพย์ พอชั้นเห็นเข้าชั้นก็รีบไปพาทิพย์ออกมา สาบานเลยนะจ๊ะพี่กำนัน คำสั่งของพี่ชั้นไม่เคยขัดสักครั้ง”
ทิพย์เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ฮือๆๆๆ รำพันโอบกอดทิพย์เอาไว้ปลอบใจน่าสังเวช
“ชั้นจะเชื่อแก...แต่ทีหลังอย่าปล่อยให้มันมาเดินเพ่นพ่านแถวนี้อีก”
กำนันบุญเดินออกจากห้อง สัมฤทธิ์หันมามองแม่เลี้ยงกับน้องสาวแล้วตามพ่อออกไป
สัมฤทธิ์เดินตามพ่อออกมา
“ไอ้ผู้หมวดคนนี้มันแสบจริงๆ นะพ่อ ทำทีมาเป็นนั่งกินข้าวกับเรา แต่ที่จริงมันอยากมาสืบเรื่องเรามากกว่า”
“มิน่าท่านถึงเตือนว่ามันไม่ธรรมดา”
“หยามหน้ากันแบบนี้ จะปล่อยไว้ไม่ได้นะพ่อ อย่างน้อยก็ต้องสั่งสอนให้มันกลัวบ้าง”
กำนันบุญมีสีหน้าเอาเรื่อง
แสงไฟจากหน้ารถฝ่าความมืดมาตามทางถนนลูกรังที่ยงยุทธกับจ่าแท่นกำลังขับรถกลับ
“ผมเห็นกับตาว่ากำนันบุญพยายามซุกซ่อนบางอย่างไว้ ท่าทางจะเป็นของสำคัญที่ไม่ ให้ใครเข้าใกล้”
“ออกหมายค้นเลยมั้ยครับผู้หมวด จะได้รู้กันไปเลยว่ากำนันซุกอะไรเอาไว้”
“จะเอาอะไรไปเป็นข้ออ้างล่ะจ่า เราเป็นเจ้าหน้าที่ราชการ ทุกอย่างต้องโปร่งใส ขืนไปใช้ อำนาจในมือโดยพลการ ถอดเครื่องแบบออกเราก็อันธพาลดีๆ นี่แหละ”
ยงยุทธพูดไปไม่ทันไรก็เบรครถ...เอี๊ยดดดด ฝุ่นตลบ
“มีอะไรเหรอครับผู้กมวด” จ่าแท่นถามอย่างแปลกใจ
“มีตะปูเรือใบข้างหน้า”
ยงยุทธหันไปมองหน้ากับจ่าแท่นแล้วหน้าเครียด รีบชักปืนออกมาพร้อมกับเสียงปืนที่ได้ยินมาจากรอบตัวอย่างกับเสียงเซอร์ราวน์...เปรี้ยงๆๆๆ ยงยุทธกับจ่าแท่นรีบกระโจนลงจากรถ แล้วพยายามยิงสวนกลับไป
“ระวังด้วยนะจ่า”
“ไม่ต้องห่วงผมครับผู้หมวด”
จ่าแท่นลุกขึ้นแล้วยิงสวน แต่ไม่ทันไรก็โดนยิงกลับมาเฉี่ยวเข้าที่แขนจนได้เลือด...โอ๊ย !
“จ่า”
ยงยุทธเห็นจ่าแท่นได้รับบาดเจ็บก็รีบยิงสวนกลับไปจนกระสุนหมดลูกโม่ แล้วไปเปิดผ้าใบที่หลังรถจี๊ปหยิบเอาปืนลูกซองออกมาพร้อมกับกล่องลูกปืน
“อยู่นี่นะจ่า...ผมจะตามพวกมันไปเอง”
ยงยุทธหุนหันออกไป จ่าแท่นมองตามอย่างเป็นห่วง
“อย่าตามพวกมันไปเลยครับหมวด...หมวด”
ยงยุทธถือปืนลูกซองเข้ามาในป่าที่มีต้นไม้รกครึ้ม สัมฤทธิ์กับพวกลูกน้องสวมหมวกไอ้โม่งปิดบังหน้าตา กระจายกันล้อมตีวงเข้าหายงยุทธที่มาคนเดียว
“ล่อให้มันไปตามแผน”
ลูกน้องพยักหน้าแล้วโผล่ออกไปให้ยงยุทธเห็น ยงยุทธยกปืนลูกซองยิงใส่ไม่หยุด..เปรี้ยง ๆๆๆ ลูกน้องกำนันบุญวิ่งหลอกล่อให้ยงยุทธไล่ตาม สัมฤทธิ์เดินออกมายิ้มร้าย
“เก่งนักเหรอไอ้หมวดยงยุทธ...หึ...กูจะคอยดูว่าชื่อเสียงของมึงจะช่วยมึงได้มั้ย”
ที่บ้านคำปัน ดารานั่งพิมพ์งานวิจัยอยู่ที่ระเบียงมีบัวทองช่วยจัดเรียงเอกสาร คำปันสงสัยออกมาดู
“อากาศเริ่มหนาวแล้ว ทำไมยังไม่เข้านอนอีกคะอาจารย์”
“ยังพิมพ์งานวิจัยไม่เสร็จเลยค่ะน้าคำปัน”
“เพราะบัวทองมานั่งเกะกะเลยทำให้อาจารย์ทำงานไม่เสร็จรึเปล่าคะ”
“แม่! ใครว่าบัวทองมานั่งเกะกะ บัวทองมาช่วยงานอาจารย์ต่างหาก”
“ช่วยให้ยุ่งน่ะสิ...ขนาดให้เรียนหนังสือยังขี้เกียจเลย”
“บัวทองเขาช่วยได้เยอะเลยค่ะน้าคำปัน สอนครั้งเดียวก็จำได้แล้ว” ดาราบอกยิ้มๆ
“เห็นมั้ยแม่...บัวทองทำได้ทุกอย่างขอให้บอก”
บัวทองยืดได้ครู่ จ่าแท่นก็ขับรถจี๊ปกลับเข้ามา
“นั่นพี่จ่านี่...มาทำอะไรที่นี่”
จ่าแท่นประคองตัวลงจากขับรถจี๊ปด้วยอาการบาดเจ็บ คำปันพร้อมกับดาราและบัวทองเดินออกมาเห็นก็ตกใจ
“พี่จ่า...เกิดอะไรขึ้น...พี่ไปโดนอะไรมา”
“โจร...โจรมันบุกเล่นงานชั้นกับผู้หมวดระหว่างทาง”
“แล้วผู้หมวดยงยุทธล่ะคะจ่า”
“หมวดพยายามจะตามไปจับพวกมันครับอาจารย์”
“คนเดียวเนี่ยนะคะ”
“ครับ.ง.ผม...ผมห้ามแล้วแต่หมวดไม่ฟัง ผมจะไปตามคนที่โรงพัก แต่พวกมันยิงโดนถัง น้ำมันรั่ว น้ำมันใกล้จะหมด ผมเลยไปไม่ถึงโรงพัก”
“ไม่ต้องห่วงค่ะลุงจ่า...เดี๋ยวบัวทองปั่นจักรยานไปบอกทุกคนบนโรงพักเอง”
บัวทองรีบออกไป ดาราหน้าเครียดเป็นห่วงยงยุทธ
“กว่าบัวทองจะไปตามคนมาช่วย อาจจะไม่ทัน” ดาราบอกแล้วคิดถึงขุนเดช
ดาราตัดสินใจมาหาขุนเดชที่กระท่อม ดาราเคาะประตูเรียกเสียงดัง
“ขุนเดช...ขุนเดช อยู่รึเปล่า...ขุนเดช”
ครู่หนึ่งขุนเดชก็เปิดประตูออกมา เห็นท่าทางร้อนรนของดาราก็แปลกใจ
“มีอะไรเหรอดารา”
“ยงยุทธแย่แล้ว ขุนเดชต้องไปช่วยยงยุทธนะ”
“เกิดอะไรขึ้นกับยงยุทธ”
ดาราหน้าเสียมองขุนเดช
ยงยุทธยังอยู่ในป่า ถือปืนลูกซองวิ่งเข้ามาเห็นโจรสวมหมวกไอ้โม่งกำลังวิ่งหนี ยกยุทธยกปืนขึ้นเล็งแล้วยิง...เปรี้ยง กระสุนไม่โดนโจรแต่โดนต้นไม้กระจุย ยงยุทธเจ็บใจรีบเอากระสุนลูกซองมาบรรจุแล้วจะไล่ตาม แต่สัมฤทธิ์ที่พันผ้าขาวม้าปิดหน้าเป็นไอ้โม่งโผล่เข้ามาแล้วใช้อีดาบยาวฟันฉับ...ยงยุทธหันไปเห็นพอดีเลยเอาปืนลูกซองขึ้นรับ...แคร๊ง !!
ยงยุทธกับสัมฤทธิ์ประลองเชิงโถมงัดแรงใส่กัน แต่ยงยุทธแรงมากกว่ากระแทกสัมฤทธิ์จนกระเด็น สัมฤทธิ์ไม่หยุดสู้ใช้ดาบยาวฟาดฟันใส่ ยงยุทธต้องใช้ปืนลูกซองสู้กับดาบแล้วอาศัยจังหวะตอบโต้ถีบยอดอกสัมฤทธิ์กระเด็นเจ็บจุก
สัมฤทธิ์จนแต้มสู้ไม่ได้รีบคลานหนีไปพิงต้นไม้ ยงยุทธจะตามไปเล่นงานแต่กลายเป็นเดินเข้าไปเหยียบกับดักที่สัมฤทธิ์เตรียมไว้แล้ว ยงยุทธเหยียบเข้าเต็มเท้า ร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ยยยยยยย”
ยงยุทธทรุดฮวบมองที่ขาตัวเองพบว่าถูกกับดักที่ไว้ดักสัตว์งับเข้าที่ข้อเท้าจนเลือดสาด หน้าตายงยุทธเจ็บปวดทรมานมาก สัมฤทธิ์ที่สวมหมวกไอ้โม่งเดินเข้ามา ยงยุทธจะคว้าปืนที่ตกพื้นแต่โดน สัมฤทธิ์เตะทิ้ง สัมฤทธิ์จ้องเอาเรื่องก่อนจะยกพานท้ายปืนขึ้นแล้วกระแทกเข้าหน้าทีเดียวยงยุทธสลบ
ขุนเดชถือคบไฟเข้ามาตามหายงยุทธ
“ยงยุทธ...ยงยุทธ”
ขุนเดชเรียกแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบก่อนที่เท้าจะเหยียบเข้ากับปลอกกระสุนปืนลูกซองที่ตกเกลื่อน ขุนเดชหยิบมาดูแน่ใจว่าแถวบริเวณนี้ต้องมีการเปิดศึกยิงกันไปไม่นาน จึงรีบเดินตามรอยไปก่อนจะพบรอยหยดเลือดที่พื้นเต็มไปหมดและปืนลูกซองที่ถูกทิ้งเอาไว้ ดารากับกำลังตำรวจถือไฟฉายตามเข้ามา
“ได้ร่องรอยหมวดยงยุทธบ้างมั้ยขุนเดช”
ขุนเดชนิ่งก่อนจะมองไปที่ดารา
“ปืนลูกซองอันนี้นี่เป็นของราชการรึเปล่าครับ”
“ใช่ ของหมวดยงยุทธ”
ดารารีบเข้ามาถามต่อทันที
“แล้วยงยุทธล่ะ ขุนเดชเจอมั้ย”
“ผมหาจนทั่วแล้วเจอแต่รอยเลือดกับร่องของกับดักสัตว์ เป็นไปได้ว่ายงยุทธน่าจะถูกพวกมันจับตัวไป”
“แล้วพวกมันจะจับไปทำไม มันจะฆ่าเขาเหรอขุนเดช”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะดารา ยงยุทธมันเป็นคนดี พระต้องคุ้มครอง”
ขุนเดชบีบไหล่ดาราอย่างให้ความหวังแม้ตัวเองจะไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของยงยุทธจะเป็นยังไงก็ตาม
อ่านต่อหน้าที่ 3
ขุนเดช ตอนที่ 3 (ต่อ)
อีกด้านหนึ่งที่คฤหาสน์ของปราชญ์ ปราชญ์หันมาที่ก้องเกียรติอย่างสนใจ
“คุณวิธีที่จะช่วยให้ผมได้สิ่งที่ต้องการแล้วเหรออาจารย์”
“ครับท่าน หนทางที่จะทำให้ท่านได้ก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเป็นทั้งผู้มีอำนาจและมากบารมี โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาทัดเทียมท่านอีกเพราะท่านจะเป็นที่หนึ่ง”
“ยังไง...ผมต้องทำอะไรบ้าง”
ก้องเกียรติมองปราชญ์แล้วยิ้ม
เสียงเพลงจังหวะเต้นรำในไนต์คลับ แสงไฟวูบวาบ ผกากำลังป้อยอเอาใจเสี่ยลูกค้าคนหนึ่ง
“รถคันเก่าของผกามันซ่อมจนไม่รู้จะซ่อมตรงไหนแล้ว ถ้าเสี่ยอยากให้ผกาไปหาเสี่ย บ่อยๆ เสี่ยก็ซื้อใหม่ให้ผกาสิคะ”
“ถ้าเสี่ยซื้อให้แล้ว ผกาจะเลิกทำงานแล้วไปเป็นเมียน้อยเสี่ยมั้ย”
“ก็อยู่ที่ว่าเสี่ยจะมีค่าเลี้ยงดูผกาเท่าไหร่ ถ้าน้อยกว่าที่คนอื่นเขาให้…เสี่ยก็อยู่กับอีแก่ เสี่ยไปแล้วกัน”
“งั้นเสี่ยทุ่มไม่อั้น อยากได้เท่าไหร่...บอก” เสี่ยยิ้มหื่นจะเข้าไปซุกไซร้แต่ทันใดนั้นก็ถูกลูกน้องประดับเข้ามากระชากคอให้ประดับที่ยืนจ้องหน้าเอาเรื่อง “เฮ้ย…ลื้อเป็นใครวะ”
ประดับไม่ตอบชกเปรี้ยงเข้าหน้าไปสองสามหมัดจนเลือดกบปากทะลักจมูก ร่างเสี่ยร่วงผล่อยหมดสติ
ผกายืนตกใจ ประดับหันมามองหน้าผกาจิกตาร้ายกาจเอาเรื่องก่อนจะเข้าไปบีบปากผกาด้วยแววตาดุดัน ผกาจ้องหน้าตอบเหมือนจะกัดกัน...ฮึ่มๆ
เสื้อผ้าและชุดชั้นในของผกาที่ถอดกองอยู่ตามพื้นไล่เรื่อยขึ้นไปบนเตียง ผกาในร่างเปลือยเปล่านอนกอดก่ายอยู่กับประดับบนเตียงหลังสุขสมอารมณ์หมายด้วยกันไปแล้ว
“ใครจะรู้ล่ะ เห็นเธอได้งานดีเป็นถึงเลขาคนใหญ่คนโต ชั้นก็นึกว่าชั้นต้องตกกระป๋อง”
“ถ้าชั้นลืมเธอ ชั้นจะกลับมาหาเหรอ”
ผกายิ้มพอใจแล้วลูบไล้แผ่นอกเนื้อแน่นๆ ของประดับ
“อย่ามาปากหวานกับผู้หญิงอย่างชั้น เลย วันๆ ชั้นเจอผู้ชายปากหวานมาเยอะแล้ว”
ผกาจุ๊บที่แก้มของประดับอย่างเอาใจ
“ผู้ชายที่ชั้นอยากได้น่ะ ต้องให้ได้ ‘ทุกอย่าง’ ที่ชั้นต้องการต่างหาก”
ผกายิ้มยั่วยวนเหมือนพวกนางยั่วสวาทซุกไซร้ซอกคอประดับ ระหว่างนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ดัง ประดับเอื้อมมือไปรับสาย ขณะที่ผกาก็ยังไม่หยุดยั่วยวน
“ครับท่าน…มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ” ผกาหยุดซุกไซร้เพราะประดับลุกจากเตียงพร้อมคุยโทรศัพท์สีหน้าจริงจัง “ได้ครับ…ผมจะรีบจัดการให้ท่าน”
ประดับวางสายด้วยสีหน้าครุ่นคิดสงสัย ผกามองด้วยความสงสัยว่าประดับคุยอะไร
วันต่อมาพวกชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันที่ร้านของอาฮวด
“ห๊า…ตายจริงๆ เหรอ”
“ก็ใช่น่ะสินังสาลี่ พวกข้าไปเห็นมากับตา สภาพศพนะดูไม่ได้เลย”
“เฮ้อ…เวรกรรม เห็นกันอยู่หลัดๆ ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ ไม่น่ามาตายไวเล้ย ไอ้ที่มันแก่มันเหี่ยวจนน่าจะยัดใส่โลงซะที มันก็ดันแก่ง่ายตายยาก”
“ด่าใครอยู่เหรออาสาลี่”
“จะใครซะอีกล่ะ ก็แกไงไอ้ฮวด”
“คำก็เบื่ออั้ว สองคำก็เบื่ออั้ว ลองถ้าอั้วนอนตายศพอุจาดลูกตาแบบนั้นมั่ง ลื้อจะนอนไม่หลับเพราะอั้วจะเป็นผีมาหลอกลื้อ”
“ไม่กลัวเว้ย ข้ามีพระ”
“เดี๋ยว…ที่บอกว่าเจอศพน่ะ เจอศพใคร”
ทุกคนหันไปมองบัวทองที่เข้ามาได้ยินทุกคนคุยกัน
ดาราเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจเพราะยังไม่ได้ข่าวของยงยุทธ คำปันเห็นอาการเป็นห่วงของดาราก็อดห่วงด้วยไม่ได้
“ผู้หมวดเป็นคนดี เป็นคนเก่ง น้าเชื่อว่าต้องเอาตัวรอดกลับมาได้”
“แต่จนป่านนี้เรายังไม่ได้ข่าวอะไรเลยนะคะน้าคำปัน ไม่รู้ว่าพวกมันเอาตัวยงยุทธไป เพื่ออะไร” ดาราหน้าเครียดกังวลมาก ขุนเดชเข้ามาดารารีบถามทันที “เป็นยังไงบ้างขุนเดช”
ขุนเดชส่ายหน้าว่าไม่พบ
“ผมกับพวกชาวบ้านช่วยกันตามหาแล้ว ไม่มีร่องรอยอะไรเลย”
“โธ่ยงยุทธ”
“แต่ผมเชื่อว่าพวกมันคงไม่คิดจะฆ่ายงยุทธหรอก เพราะถ้ามันคิดจะฆ่าจริงๆ เราคง เจอศพไปแล้ว”
ระหว่างนั้นบัวทองเดินบ่นเข้ามา
“โธ่เอ้ย...เล่าซะตกอกตกใจนึกว่าจะเป็นศพผู้หมวด เสียเวลาฟังอยู่ได้ตั้งนาน”
“พูดอะไรน่ะบัวทอง นี่มันใช่เวลามาพูดเรื่องไม่ดีแบบนี้เหรอ” คำปันเข้าไปหยิกลูกสาว
“โอ๊ยแม่...ชั้นไม่ได้พูดไม่ดีกับผู้หมวดนะ ชั้นได้ยินพวกชาวบ้านที่ร้านอาฮวดคุยกัน ว่าเจอศพคนตาย”
“ว๊าย...ตายแล้ว โธ่ผู้หมวด”
“นั่นไง...แม่ได้ยินแค่นี้แม่ยังคิดเหมือนชั้นเลย”
“ก็แม่กำลังเป็นห่วงผู้หมวดนี่”
“แล้วไม่ใช่ผู้หมวดเหรอบัวทอง”
“ค่ะอาจารย์ เป็นศพของไอ้เถรลูกน้องพี่ขุนเดชนั่นแหละ พวกชาวบ้านไปเจอศพแถวเจดีย์ที่มีโจรไปลักขุดพระเมื่อวันก่อน เขาว่าถูกงูพิษกัดตาย”
“ตายแล้ว...คุณพระคุณเจ้า”
“นี่แหละน้าที่เขาว่าบาปกรรมมันตามทัน ทำร้ายพ่อตัวเองจนเข้าโรงพยาบาลไปไม่ทันไรก็มาโดนงูพิษกัดตาย”
“หยุดพูดเลยนะบัวทอง คนตายไปแล้วจะไปวิจารณ์ทำไม”
“ก็จริงนี่แม่”
ระหว่างนั้นจ่าแท่นนั่งรถจี๊ปเข้ามาพร้อมกับตำรวจอีกคน จ่าแท่นได้รับการทำแผลที่ถูกยิงมีผ้าคล้องแขน
“ทุกคน...พบผู้หมวดแล้ว”
“พบแล้วเหรอคะจ่า...แล้วเขาเป็นยังไงบ้างคะ”
ดาราถามอย่างดีใจ
ภายในห้องพักฟื้นของอนามัย ยงยุทธยังนอนหมดสติไม่รู้สึกตัวที่เท้ามีผ้าพันแผลจากอาการบาดเจ็บที่ถูกกับดักสัตว์เล่นงาน
“เท่าที่หมอตรวจดูจนทั่วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จะมีก็แผลที่ข้อเท้าที่ต้องใช้เวลาสักระยะ”
ดารามองยงยุทธด้วยความเป็นห่วง
“ปลอดภัยแล้วนะยงยุทธ”
ดาราเข้าไปจับมือยงยุทธและมองด้วยสายตาห่วงใย คำปันกับบัวทองพลอยโล่งอกไปด้วย
ขุนเดชเดินตามจ่าแท่นเข้ามาที่ท่าน้ำ จ่าแท่นชี้ออกไปที่กลางแม่น้ำที่เห็นพวกชาวบ้านพายเรือสัญจรไปมา
“แถวนี้แหละที่พวกชาวบ้านเจอผู้หมวด” จ่าแท่นหันไปหาชาวบ้าน “ไอ้ตุ่น...เอ็งใช่มั้ยที่เจอผู้หมวด เล่าให้ฟังสิว่าเจอยังไง”
ชาวบ้านเล่าเหตุการณ์ตอนเจอยงยุทธ ขณะนั้นชาวบ้านกำลังพายเรือสัญจรไปมา เรือลำหนึ่งลอยมาตามน้ำโดยไม่มีฝีพายและลอยมากระแทกเรือของชาวบ้านที่กำลังหาปลา ชาวบ้านสงสัยว่าเรือใครเลยเดินไปดูแล้วตกใจเพราะ เห็นยงยุทธนอนหมดสติอยู่บนเรือคนเดียว
ขุนเดชมีสีหน้าครุ่นคิดกับสิ่งที่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง
“ขอบใจ...ไปทำงานเถอะ” จ่าแท่นบอก ชาวบ้านเดินออกไป จ่าแท่นหันมาคุยต่อกับขุนเดช “น่าแปลกมั้ยขุนเดชที่ไอ้โจรพวกนั้นมันปล่อยให้ผู้หมวดรอดกลับมา”
“สิ่งที่พวกมันทำเลวยิ่งกว่าฆ่าผู้หมวดทิ้งอีกครับลุงจ่า”
“หมายความว่ายังไงน่ะขุนเดช”
“พวกมันไม่ฆ่า แต่จงใจให้ชาวบ้านพบยงยุทธในสภาพแบบนั้น เพราะต้องการให้ทุกคนเห็นว่า ต่อให้เป็นตำรวจที่เก่งสักแค่ไหน ถ้ามันอยากให้ตาย จะตายเมื่อไหร่ก็ได้”
จ่าแท่นถึงกับอึ้งเมื่อขุนเดชอธิบาย ขุนเดชขบกรามกำหมัดเจ็บแค้นแทนเพื่อน
จบตอน 6
ขุนเดช ตอน 7.1
บรรยากาศในร้านอาฮวด พวกชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันวิพากษ์วิจารณ์
“ห๊า...ผู้หมวดคนเก่งนั่นน่ะเหรอโดนพวกโจรเล่นงานซะเกือบตาย” ฮวดทำเสียงตกใจ
“ก็ได้ยินเขาเล่ามาแล้วไงยังจะมาถามซ้ำอีก หูตึงเหรอไงห๊ะไอ้ฮวด” สาลี่บอกอย่างหงุดหงิด
“อั้วไม่ได้ตึง แต่อั้วไม่ค่อยอยากจะเชื่อนี่ วันก่อนจ่าแท่นยังคุยอยู่เลยว่าผู้หมวดคนนี้ เก่งที่สุดในศรีสัชแล้ว”
“แต่เขาเห็นกับตามากันทั้งนั้นแหละอาฮวด สภาพผู้หมวดน่ะดูไม่จืดเลย ตอนนี้ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ที่อนามัย”
“ไอ้หย้า...เก่งขนาดนั้นยังไม่รอด แล้วทีนี้พวกเราจะอยู่กันยังไง เวงกรรม เวงกรรม”
“อัตหิอัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เลิกหวังเลิกพึ่งราชการได้แล้ว เอ้า...ใครติดเงินร้านนี้อยู่เอามาจ่ายให้หมด ต่อไปนี้ชั้นจะไม่ใจดีมีน้ำใจอีกแล้ว ต้องเอาตัวรอดก่อน”
ดาราเข้ามาเยี่ยมยงยุทธที่อนามัย แต่พอเข้ามาในห้องแล้วเจอแต่พยาบาลที่กำลังเก็บเตียง
“อโทษนะคะ...ผู้หมวดยงยุทธอยู่ไหนคะ”
พยาบาลไม่ทันตอบหมอน้อยที่เดินเข้ามาพอดีก็พูดขึ้นแทน
“อาจารย์มาก็ดีเลยครับ ผมอยากให้อาจารย์ช่วยไปพูดกับหมวดเขาหน่อย ผมพูดเท่าไหร่เขาก็ไม่ฟังดื้อเหลือเกิน”
“ดื้อ?...ยงยุทธเขาดื้ออะไรกับหมอคะ”
ที่สถานีตำรวจ มีผู้ต้องหาคนหนึ่งถูกคุมตัวอยู่กับตำรวจยศหมู่ ยงยุทธในชุดตำรวจแต่เดินกะเผลกเข้ามาพร้อมกับจ่าแท่นที่ยังมีผ้าพันแผลที่แขนอยู่ พอเจอหน้าผู้ต้องหายงยุทธก็ปรี่เข้าไปคว้าคอเสื้อ
“ใคร...พวกมันเป็นใคร”
“ผมไม่รู้ครับหมวด”
“แน่ใจนะว่าไม่รู้ เพราะถ้าชั้นสืบแล้วเจอว่าแกเกี่ยวข้อง แกได้แก่ตายอยู่ในคุกแน่”
“ผมไม่รู้จริงๆ ครับหมวด ให้ผมไปสาบานวัดไหนก็ได้”
“งานนี้วัดวาไม่เกี่ยว มีแต่ลูกปืนที่จะตัดสินว่าคำพูดของแกมันเชื่อได้แค่ไหน” จ่าแท่นกระชากคอเสื้อผู้ต้องหามาจ้องหน้าเอาเรื่อง “ทำร้ายเจ้าหน้าที่ราชการอย่างอุจอาจ คิดเหรอว่าหมวดเขาจะปล่อยให้ลอยนวล”
“ผม...ผมไม่รู้จริงๆ ครับ ถ้าผมรู้ผมบอกไปแล้ว ปล่อยผมไปเถอะนะครับ...ผมไม่รู้จริงๆ”
ผู้ต้องหาหน้าเสียกลัวตัวสั่น ยงยุทธมองแล้วตัดสินใจ
“ปล่อยมันไปเถอะจ่า มันไม่รู้เรื่องจริงๆ”
“ทำไมล่ะครับหมวด”
ยงยุทธพยักหน้าให้จ่าแท่นดูที่เป้ากางเกงของผู้ต้องหาซึ่งเปียกโชกไปด้วยฉี่
ยงยุทธเดินกะเผลกออกมาสีหน้าเจ็บปวดแผลที่เท้าแต่พยายามฝืนทนไม่ให้จ่าแท่นเห็น จ่าแท่นตามเข้ามา
“เอายังไงต่อล่ะครับหมวด ไอ้หมอนั่นเป็นเบาะแสเดียวที่เรามี แต่ก็ดันไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“พวกมันจงใจทำให้ผมขายหน้า แต่พวกมันไม่รู้หรอกว่าคนอย่างผมยิ่งพยามเหยียบให้จมมากเท่าไหร่ พวกมันนั่นแหละที่จะต้องจมหนักกว่าผมหลายเท่า...จ่า เอาแฟ้มคดีที่ค้างอยู่ทั้งหมดมาให้ผม คดีไหนที่ค้างอยู่ผมจะล้างให้เกลี้ยง จะได้รู้กันว่าพวกมันกับผมใครจะอยู่...ใครจะไป”
“เอ่อ...แต่หมวดครับ”
“ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะจ่า”
“คืออาการเจ็บของหมวดยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอครับ”
“กว่าผมจะรอให้แผลมันตกสะเก็ด พวกชาวบ้านคงไม่มีใครกล้าหันหน้ามาพึ่งตำรวจไร้น้ำยาอีกแล้วล่ะจ่า”
จ่าแท่นรีบเดินเข้าไป ยงยุทธถึงได้แสดงสีหน้าเจ็บปวดที่ทนเจ็บจนแทบจะยืนไม่อยู่ ระหว่างนั้นดาราเข้ามาพอดี
“ต้องรอให้เธอพิการจนเดินไม่ได้ก่อนใช่มั้ยยงยุทธ เธอถึงจะเลิกดื้อซะที”
ดาราทั้งดันหลัง ทั้งออกแรงผลักให้ยงยุทธไปกับเธอ
“คุณไม่ต้องมาเสียเวลากับผมหรอกดารา ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”
“แต่หมอน้อยบอกเธอต้องพักรักษาตัวก่อน ไม่อย่างนั้นเธออาจจะเดินไม่ได้อีกเลยก็ได้”
“หมอน้อยก็พูดเกินไป ผมเป็นคนเจ็บนะ ผมต้องรู้ตัวเองดีสิว่าไหวหรือไม่ไหว”
“ก็ได้...งั้นเธอลองเดินเขย่งขาเดียวมาหาชั้น ขาข้างที่เธอเจ็บอยู่นั่นแหละ”
ยงยุทธชะงัก
“ที่นี่โรงพักนะ ถ้าผมทำอย่างนั้น ใครจะนับหน้าถือตาผม”
“แต่ถ้าเธอไปล้มหัวหกก้นขวิดต่อหน้าผู้ร้ายอีก ชั้นว่าเธอได้ขายหน้ากว่านี้อีกจม” ยงยุทธนิ่งไป “ยงยุทธ...ขนาดชั้นยังไม่มั่นใจเธอ แล้วเธอจะทำให้คนอื่นฝากชีวิตไว้กับเธอได้ยังไง”
ยงยุทธทำหน้าอย่างเสียไม่ได้ เลยยอมยืนเขย่งขาเดียวด้วยขาข้างที่ขาดเจ็บ...อาการเจ็บแปล๊บขึ้นทันที แต่ยงยุทธก็ฝืนทนไม่ให้ดาราเห็นว่าไม่ไหว ยงยุทธเขย่งเดินไปหาดาราได้แค่ไม่กี้ก้าวก็ล้ม ดารารีบเข้าไปประคองเขาเอาไว้ ใบหน้าของทั้งสองเกือบจะชนกัน สายตาประสานกันนิ่ง ลมหายใจแทบจะรดใส่กัน ก่อนที่ดาราจะรู้สึกตัว
“ทีนี้ก็ยอมรับได้แล้วใช่มั้ย ว่าถึงเวลาที่เธอจะต้องฟังชั้น”
เสียงร้องเจ็บของยงยุทธดังลั่นออกมา
“โอ๊ยยยยยย...แสบๆๆๆ”
ที่ศาลาวัดเกาะน้อย ยงยุทธหน้าตาปวดแสบปวดร้อนเพราะการรักษาด้วยสมุนไพรของหลวงลุง
“ร้องซะลั่นวัด มิน่าถึงได้หนีออกจากอนามัย ที่แท้ก็กลัวเจ็บ” ขุนเดชต่อว่า
“เฮ้ย! ชั้นไม่ได้กลัวเจ็บนะเว้ยไอ้ขุนเดช”
“งั้นก็อยู่เฉยๆ ให้หลวงลุงรักษา สมุนไพรพวกนี้เป็นแพทย์ทางเลือกที่อาหมอกับหลวงลุงช่วยกันศึกษา ถือว่าเธอโชคดีที่ได้เป็นหนูทดลอง”
“หนูทดลอง...” ยงยุทธทำหน้าตกใจ “นี่หมายความว่าไอ้ยากลิ่นเหม็นๆ เหนียวๆ แสบๆ ที่พอกเท้าผมอยู่เนี่ย ยังไม่เคยใช้รักษาใครมาก่อนเลยเหรอครับ”
“ครับหมวด ในเมื่อหมวดไม่ยอมไปอนามัยให้ผมรักษา เพราะกลัวว่าพวกชาวบ้านจะเสียขวัญกำลังใจ ผมก็ต้องใช้ทางเลือกที่คิดว่าน่าจะได้ผลที่สุด” หมอน้อยบอก
“แล้วนอกจากสรรพคุณรักษาแผลที่เท้าเธอแล้ว ยังใช้รักษาแผลในปากเธอได้อีกนะ เผื่อไปจับผู้ร้ายแล้วปากแตกจะได้เอามาป้ายให้แบบนี้ไง”
ดาราป้ายยาจะแกล้ง ยงยุทธรีบปัดป่าย
“ไม่เอา...รีบๆ รักษาผมเถอะครับหลวงลุง ผมจะได้รีบไปจับผู้ร้าย”
ดาราขำยงยุทธที่กลัวกลิ่นยาเหม็นๆ ฉุนๆ ขุนเดชแอบมองดาราที่มองยงยุทธ รู้สึกว่ายงยุทธมักจะทำให้ดารามีรอยยิ้มเสมอ
อ่านต่อหน้าที่ 4
ขุนเดช ตอนที่ 3
ขุนเดชพยุงยงยุทธเข้ามาที่บ้านพักตำรวจโดยมีดารามาส่งด้วย
“ถ้าอยากหายเร็ว ยาที่หลวงพ่อกับอาหมอให้มา แกต้องจัดการใช้ตามที่สั่ง” ขุนเดชบอก
“รู้แล้วน่า ชั้นไม่ใช่เด็กพูดคำเดียวก็รู้เรื่อง”
“เด็กดื้อน่ะยังพอใช้ไม้เรียวกำราบให้ฟังได้ แต่ผู้ใหญ่ดื้อเนี่ย สงสัยต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม”
“งั้นดาราก็แวะมาดูแลมันสิ บ้านน้าคำปันกับที่นี่ก็อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ จะได้มั่นใจว่าผู้หมวดจะไม่ดื้อ”
“เฮ้ยๆๆ ชั้นดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องให้ดารามาเสียเวลากับชั้นหรอก”
“ดาราเขายังไม่ปฏิเสธสักคำ ใช่มั้ยดารา” ขุนเดชหันไปถามดารา ดารานิ่งไปครู่
“ก็อย่างที่ขุนเดชเป็นห่วงเธอนั่นแหละ ถ้าชั้นไม่ดูแลเธอ แล้วใครจะดูแล”
“ดารารับปากแบบนี้ผมก็สบายใจ งั้นผมขอตัวไปทำงานต่อ ฝากไอ้หมวดจอมดื้อด้วยนะ”
ขุนเดชเดินออกไปเปิดโอกาสให้ยงยุทธกับดาราได้อยู่กันตามลำพัง ยงยุทธแม้จะรู้สึกดีที่ได้อยู่ตามลำพังกับดาราแต่ก็พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก
“ไอ้ขุนเดชนี่มันชอบยุ่งเรื่องคนโน้นคนนี้ตลอด ว่ามั้ยดารา”
ดารานิ่งไม่พูดอะไรแต่แอบเศร้า
ที่จังหวัดอยุธยา กำนันบุญกับลูกน้องจอดรถรอการมาของประดับที่ขับรถเก๋งคันหรูวิ่งเข้ามาฝุ่นตลบ ประดับลงจากรถมาพร้อมกับลูกน้อง กำนันบุญยื่นภาพถ่ายใบหนึ่งให้ประดับรับไปดู
“ตามใบสั่งที่ท่านต้องการให้หา ชั้นดูให้แล้วก็มีนี่แหละที่พอจะตรงกับความต้องการของท่านที่สุด” ภาพในมือของประดับเป็นเป็นภาพของโล่ห์เหล็กโบราณอันหนึ่งที่มีสีออกปนเขียวอยู่ในเนื้อเหล็ก “เป็นโล่ห์ในปลายสมัยอยุธยา สภาพน่าจะผ่านการรบมาอย่างโชกโชน เพิ่งจะขุดพบไม่นานมานี่เอง เนื้อโลหะผสมหินแร่เหล็กเขียว จากเหมืองที่จังหวัดอุตรดิตถ์”
“ท่านไม่ได้อยากได้รูป แต่อยากได้ของ”
“ชั้นก็อยากจะเอามาให้ท่าน แต่มันมีปัญหา”
“ปัญหาอะไร”
“พวกข้าราชการเป็นคนขุดเจอ ตอนนี้ของถูกเก็บรักษาเอาไว้รอนำเข้าพิพิธภัณฑ์ อยู่ๆ จะ ไปหยิบเอามาก็คงไม่ได้” ประดับนิ่งไปสีหน้าครุ่นคิดบางอย่างจนกำนันบุญอดสงสัยไม่ได้ “ปกติท่านไม่เคยสะสมของพวกนี้ ทำไมคราวนี้ท่านถึงต้องการ”
“ไม่ใช่เรื่องของกำนัน หน้าที่มีแค่ทำตามคำสั่งท่านเท่านั้น”
ประดับบอกเสียงห้วนแล้วเดินกลับไปที่รถพร้อมกับลูกน้อง ขับรถฝุ่นตลบออกไป กำนันบุญมองตามอย่างสงสัย
รถจี๊ปคันหนึ่งขับมาตามถนนลูกรังทันใดนั้นรถจี๊ปที่มีเจ้าหน้าที่ 3 คนพร้อมกับลังของสำคัญก็จอดเอี๊ยด เพราะเจอรถเก๋งคันหรูของประดับจอดขวางทาง ประดับก้าวออกมาจากรถพร้อมแว่นตาดำที่สวมปิดบังแววตาอันร้ายกาจ
“รถเสียทำไมไม่เข็นไปข้างทางล่ะคุณ ขวางถนนแบบนี้คนอื่นเขาจะไปได้ยังไง”
เจ้าหน้าที่ถาม ประดับเดินตรงดิ่งเข้ามาและไม่พูดพร่ำชักปืนออกมายิงใส่เจ้าหน้าที่คนนั้นทีที...เปรี้ยง !!
เจ้าหน้าที่ตายคาถนน เจ้าหน้าที่อีก 2 คนตกใจ คนหนึ่งรีบคว้าปืนที่อยู่ในรถจะยิงสู้ แต่ไม่ทันเพราะลูกน้องประดับที่ดักซุ่มอยู่ข้างทางโผล่เข้ามายิงดับไปหนึ่ง เหลือเจ้าหน้าที่คนสุดท้ายที่ตกใจกลัวจะวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่ก็เจอประดับยกปืนขึ้นเล็งจากระยะไกล
ประดับถอดแว่นตาดำออกแล้วยิ้มชั่วอย่างโหดเหี้ยม...ลั่นไกทันที...เปรี้ยง !! กระสุนพุ่งตัดขั้วหัวใจตายคาที่
ประดับกับลูกน้องเดินมาที่ท้ายรถ ลูกน้องเปิดผ้าคลุมออกแล้วงัดลังพบโล่ห์เหล็กสีเขียวอยู่ในนั้น ประดับเอาโล่ห์ออกมาแล้วหันไปสั่งลูกน้อง
“จัดการทำลายหลักฐานให้เรียบร้อยด้วย”
ลูกน้องรับคำ คว้าถังน้ำมันแกลลอนในรถมาราดใส่ทั้งรถและคนที่นอนตายเกลื่อน พอประดับเดินเข้าไปนั่งใน รถ ลูกน้องก็โยนไฟแช็คใส่รถระเบิดสนั่นหวั่นไหว...ตู้ม !! ไฟลุกท่วม ประดับขับรถเก๋งคันหรูออกไปลูกน้องขี่มอเตอร์ไซค์วิบากตาม
หลังจากประดับออกไปแล้ว กำนันบุญกับลูกน้องที่แอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ก็พากันออกมาจากที่ซ่อน มองสภาพความโหดเหี้ยมของประดับที่ทิ้งเอาไว้แล้วยิ่งเคลือบแคลงสงสัย
“แปลกนะครับพ่อกำนัน...ถึงกับต้องลงมือเอง ทั้งๆ ที่งานแบบนี้ ใช้พวกเราก็ได้”
“ท่านคิดจะทำอะไรของท่านกันแน่”
กำนันบุญคิ้วขมวดสงสัย
ที่บ้านพักตำรวจ ยงยุทธมีสีหน้าสงสัยกับสิ่งที่จ่าแท่นบอก
“แน่ใจเหรอจ่า”
“ครับหมวด ตอนแรกผมก็นึกว่าจะถูกงูกัดตายธรรมดาก็เลยไม่ได้สนใจอะไร แต่พอพาพ่อแม่ไอ้เถรไปดูศพ ผมถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าตามตัวของไอ้เถรมีร่องรอยการต่อสู้ถูกทำร้ายร่างกายด้วย”
“แล้วใช่สาเหตุของการตายรึเปล่า”
“ไม่ใช่ครับ...ผมให้หมอน้อยช่วยตรวจดูศพด้วย หมอน้อยยืนยันว่าตายเพราะพิษงู”
ยงยุทธนิ่งคิดอยู่ครู่
“งั้นอายัดศพไว้ก่อน ผมต้องตรวจให้ละเอียดอีกครั้งว่าร่องรอยของการต่อสู้ที่นายเถรถูกทำร้าย...เกิดจากอาวุธอะไร”
ขณะนั้นขุนเดชกำลังเดินกลับกระท่อม แต่เจอบัวทองที่มายืนรอ
“พี่ขุนเดช กลับมาแล้วเหรอไปไหนมาเนี่ย ทำไมกลับซะเย็นเลย ชั้นมารอพี่ตั้งนาน ยืนจนขาจะแข็งอยู่แล้วนะ”
“ถามเยอะแยะ จะให้พี่ตอบอันไหนก่อน”
“ตอบอันไหนก็ได้”
“พี่ก็ไปทำงานเหมือนทุกวัน”
“ถ้าตอบแค่นั้นไม่ต้องตอบดีกว่า อย่างพี่จะไปไหนได้ถ้าไม่ทำงานก็อยู่วัด”
ขุนเดชยิ้ม
“รู้แล้วยังถาม เขาเรียกว่าฟุ่มเฟือยคำพูด”
บัวทองชะงัก
“โหย...นี่หลอกด่าว่าชั้นพูดมากใช่มั้ยเนี่ย”
ขุนเดชยิ้มกวนๆ แล้วจะเดินเข้ากระท่อม แต่บัวทองรีบขัด
“เดี๋ยวสิพี่ แล้วพี่จะไม่ถามชั้นสักคำเหรอว่าชั้นมารอพี่ทำไม”
“อยู่กับบัวทองพี่ไม่ต้องถามอะไรหรอก เดี๋ยวบัวทองก็บอกทุกอย่างพี่เอง”
ขุนเดชเดินเข้าไปในกระท่อม บัวทองปั้นหน้างอปั้นปึ่ง
“คนบ้า...นี่ถ้าไม่อยากรู้เรื่องเด็ดๆ ล่ะก็...ไม่มาให้กระแหนะกระแหนหรอก”
บัวทองบ่นก่อนจะเดินตามขุนเดชเข้าไปในกระท่อม
บัวทองตามขุนเดชเข้ามาในกระท่อมพร้อมกับยื่นฝักบัวให้
“เอ้า...ชั้นไปเด็ดดอกบัวมาเจอฝักบัวน่ากินเลยเอามาให้พี่”
“ให้พี่?”
“ก็ใช่น่ะสิ...อร่อยนะ ระหว่างรอพี่ชั้นกินไปตั้งหลายอันแล้ว”
“พี่ว่าบัวทองอยากรู้อะไรก็ถามพี่ตรงๆ เลยดีกว่า หัดติดสินบนแบบนี้เดี๋ยวจะติดเป็นนิสัย”
บัวทองชะงักที่ขุนเดชรู้ทัน
“พี่ขุนเดชเนี่ย...ทำไมถึงได้รู้ทันชั้นไปซะทุกเรื่องเลย ก็ได้งั้นถ้าชั้นถามแล้วพี่ต้อง เล่ามาให้ชั้นฟังให้หมดเลยนะ”
“อยากรู้อะไรล่ะ”
“ชั้นได้ยินอาจารย์ประทีปคุยกับอาหมอเรื่องการตายของนายเถร สงสัยว่าอาจจะมีคนร้ายเล่นงานนายเถร”
“นั่นเป็นเรื่องของตำรวจ บัวทองมาถามพี่คงไม่ได้เรื่องอะไรหรอก”
“เรื่องนั้นชั้นไม่สนใจหรอก ชั้นสนเรื่องที่ได้ยินจากอาจารย์ประทีปมามากกว่า” ขุนเดชมองสงสัย บัวทองขยับมาใกล้ๆ อย่างอยากรู้ “เป็นเรื่องจริงเหรอพี่ขุนเดชที่มีฆาตกรคอยตามเล่นงานพวกคนร้ายที่ลักขุดกรุ ทำลายโบราณสถาน ขโมยวัตถุโบราณ ตลอดทางทุกที่ที่คณะโบราณคดีของอาจารย์ประทีปเดินทางไปทำงาน” ขุนเดชนิ่งไป “
เงียบทำไมล่ะพี่ขุนเดช ตกลงเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เล่าให้ฟังหน่อยสิชั้นอยากรู้...นะๆๆๆ”
ขุนเดชหันมามองบัวทองหน้านิ่ง
คืนนั้นเมื่อบัวทองกลับมาบ้าน บัวทองนั่งลงที่เตียงอย่างหัวเสียหงุดหงิดหน้าบึ้งบ่นๆๆๆๆ
“พี่ขุนเดชบ้า...มาว่าเราเป็นพวกเพ้อเจ้อ ไร้สาระ อ่านนิยายมากเกินไปเนี่ยนะ บ้าที่สุด”
บัวทองบ่นไม่หยุด จนดาราที่นั่งหวีผมอยู่หันมายิ้ม
“ขุนเดชเขาคงไม่ตั้งใจว่าบัวทองแบบนั้นหรอกจ้ะ”
“ไม่ตั้งใจอะไรคะอาจารย์ นอกจากจะบอกว่าบัวทองเพ้อเจ้อแล้ว ยังไล่ให้บัวทองรีบกลับบ้าน ให้มาช่วยแม่ทำงาน ให้สนใจแต่เรื่องทำมาหากินอย่างเดียวก็พอ ทั้งๆ ที่เรื่องที่บัวทองถามเนี่ยมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคนที่นี่ทั้งนั้น”
“บางทีที่ขุนเดชไม่อยากให้บัวทองไปยุ่ง อาจจะเพราะกลัวบัวทองจะไม่ปลอดภัยก็ได้”
“แสดงว่าอาจารย์ก็เชื่อเหมือนอย่างที่บัวทองเชื่อใช่มั้ยคะว่ามีฆาตกรที่คอยเก็บ กวาดเล่นงานพวกโจรลักขโมยโบราณวัตถุจริงๆ”
“อาจารย์ก็ไม่รู้ว่ามีจริงรึเปล่า แต่ก็เคยได้ยินทีมงานของอาจารย์ประทีปเล่าให้ ฟังบ่อยๆ ว่าพวกโจรที่มาลักขโมยวัตถุโบราณมักจะโดนตามเล่นงานจนถึงชีวิตทุกราย”
“งั้นก็แสดงว่า บางทีฆาตกรที่คอยเล่นงานพวกใจบาปทำลายสมบัติของชาติ อาจจะตามมาถึงที่นี่แล้ว และอาจจะเดินสวนไปสวนมากับพวกเราในศรีสัชฯ โดยที่เราไม่รู้ตัว”
ความสงสัยของบัวทองทำให้ดาราเองก็ปฏิเสธที่จะคล้อยตามความคิดไม่ได้เหมือนกัน
หลายวันต่อมา ชาวบ้านหลายสิบคนเฮโลถือจอบ ถือเสียม เข้ามาที่บริเวณไร่ที่มีการขุดเจอพวกเครื่องชาม สังคโลก ทั้งหม้อ ทั้งไหของโบราณจนชุลมุนวุ่นวาย บางคนขุดเจอของที่ยังสภาพสมบูรณ์ก็เข้าไปยื้อแย่งกัน อาจารย์ประทีปกับดารารีบเข้ามาร้องตะโกนห้ามทุกคน
“หยุดเถอะค่ะ นี่เป็นสมบัติที่พวกเราต้องช่วยกันรักษานะคะ อย่าเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัวเลย” ดาราเห็นชาวบ้านผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มชามสังคโลกวิ่งผ่านหน้า ดารารีบเข้าไปขวาง “คุณป้าคะ...ขอร้องเถอะค่ะ สมบัติพวกนี้ถือเป็นของหลวง ถ้าคุณป้าเอาไปครอบครองจะมีความผิดทางกฎหมายนะคะ”
“ถอยไปเลยนังหนู ทีกับคนจนขู่ว่าผิดกฏหมาย แล้วทีไอ้พวกคนรวยๆ ในเมืองที่มันเอา ไปประดับบ้านล่ะ ไม่เห็นตำรวจจะทำอะไรมันได้สักคน”
หญิงชาวบ้านผลักดาราไม่ให้มาแย่งเอาของคืนไป ดาราเซเกือบจะล้มยงยุทธเข้ามาช่วยประคองเอาไว้ได้
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า” ยงยุทธถามอย่างเป็นห่วง
“ชั้นไม่เป็นอะไรแต่ต้องห้ามชาวบ้านอย่าให้ขุดทำลาย ของทุกชิ้นมีค่าทางประวัติศาสตร์”
ยงยุทธหันไปมองพวกชาวบ้านที่ยังชุลมุนวุ่นวายไม่เลิก อาจารย์ประทีปถึงกับเอาโทรโข่งมาประกาศห้าม
“พ่อแม่พี่น้อง หยุดเถอะครับ ที่ทุกคนกำลังทำอยู่เป็นการผิดกฏหมาย ของทุกชิ้นที่นี่เป็นสมบัติของหลวง ขอพี่น้องทุกคนหยุดทำลาย เพื่อพระร่วงเจ้า เพื่อพ่อขุนรามของเรา”
“ไม่ต้องมาขู่พวกเราหรอกอาจารย์ ตำรวจก็ดีแต่เข้าข้างคนรวย ทีกับคนจนล่ะจับได้จับเอา พวกเราไม่กลัวหรอก ใช่มั้ยพวกเรา”
พวกชาวบ้านเฮโลเห็นด้วยส่งเสียงโวยวายไม่ฟังและไม่พอใจ พยายามจะเข้าไปขุดค้นต่อ กำลังตำรวจที่ยงยุทธพามาต้องเข้าไปกันแต่ก็ถูกพวกชาวบ้านยื้อดันไม่ยอม
ยงยุทธเข้ามามองสภาพการที่กำลังชุลมุนวุ่นวายเลยตัดสินใจรับโทรโข่งจากอาจารย์ประทีปมาประกาศ
“จะจนจะรวยผมไม่สน ถ้าหน้าไหนไม่เคารพกฏหมายจะลากคอเข้าคุกให้หมด ใครกล้าก็ลองดู”
พวกชาวบ้านชะงักกันไป แต่ก็มีชาวบ้านที่ยังหัวแข็ง
“ตำรวจไร้น้ำยาเจอโจรดักตีจนต้องหยอดข้าวต้มที่อนามัย ไม่ต้องไปกลัวเว้ย”
ชาวบ้านหัวโจกพยามโวยยงยุทธเลยตัดสินใจชักปืนออกมาแล้วยิงขึ้นฟ้าทันที...เปรี้ยง ๆๆๆ
“ใครมีสมบัติของแผ่นดินไว้ในครอบครอง จับขึ้นรถให้หมด”
เสียงปืนทำให้พวกชาวบ้านตกใจร้องเสียงหลงวิ่งแตกตื่นหนีกันจ้าละหวั่น
ขุนเดชกับจ่าแท่นนั่งรถจี๊ปเข้ามาเห็นพวกชาวบ้านวิ่งหนีตำรวจที่ไล่จับจนแตกตื่นสวนทางออกมา บางคนถึงกับโยนชามสังคโลกทิ้งแตกกระจาย เพราะกลัวความผิด
“รีบหนีเร็วเว้ย ใครเอาสังคโลกกลับบ้าน ผู้หมวดเอาจริงสั่งจับทุกคนแล้ว”
พวกชาวบ้านวิ่งหนีกระเจิงขุนเดชรีบลงจากรถไปหยิบเครื่องชามสังคโลกที่แตกกระจายขึ้นมาอย่างเสียดาย
“ไอ้พวกเวรเอ้ย...หนีแต่ตัวอย่าทำลายสมบัติแผ่นดินสิโว้ย”
ขุนเดชกับจ่าแท่นตามเข้ามาที่บริเวณเนินดินที่ขุดเจอเตาเผาสังคโลก ยงยุทธกำลังสั่งให้ตำรวจเอาเชือกมาล้อม ดาราหันไปเห็นขุนเดช
“ขุนเดช”
“เสียหายเยอะมั้ยดารา”
“ข่าวไวอย่างกับไฟลามทุ่ง พอมาถึงพวกชาวบ้านก็แห่กันมาจากไหนไม่รู้ ขุดกันอย่างไม่มีความรู้เสียหายแตกไปเกือบหมด”
“ผมผ่านเข้ามาตะกี้เห็นพวกชาวบ้านหนีกันกระเจิง”
“ผู้หมวดต้องขู่ว่าจะเอาจริงถึงจะกลัวกันค่ะจ่า”
“แต่แค่นี้ยังเอาไม่อยู่หรอก ข่าวสะพัดออกไปแบบนี้ต้องมีพวกไม่กลัวคุกกลัวตะรางแอบ ลักลอบมาอีกแน่”
ยงยุทธเดินเข้ามา
“คืนนี้ชั้นจะนอนเฝ้าที่นี่ ถ้ากล้าเข้ามาก็ได้เจอชั้นแน่”
“งั้นชั้นจะอยู่ช่วยด้วย”
ขุนเดชกับยงยุทธมองหน้ากัน
คืนนั้นบริเวณเนินดินที่ขุดเจอเตาเผาสังคโลกมีป้ายติดไว้ว่า “ห้ามเข้า” ยงยุทธเอาฟืนมาเติมกองไฟที่ก่อไว้หน้าเต้นท์ที่พักก่อนจะหันไปมองขุนเดชที่ยืนสีหน้าเคร่งขรึมมองซากเตาสังคโลกที่ถูกขุดจนพังยับ
“ชั้นคุยกับอาจารย์ประทีปแล้ว เครื่องชามสังคโลกที่ยังสมบูรณ์น่าจะพอหลงเหลืออยู่ บ้าง อาจจะไม่มากแต่ก็ยังพอขุดขึ้นมาศึกษาและเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ได้”
“ชาวบ้านที่มาวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นพวกยากจน เห็นว่าของพวกนี้เป็นสมบัติราคาแพงที่ พวกเศรษฐียอมจ่ายไม่อั้นเลยแห่กันเข้ามาขุด”
“ชั้นถึงต้องขู่ให้กลัว เพราะไม่อยากซ้ำเติมพวกเขาอีก”
“แต่ถ้าคืนนี้มีโผล่มาที่นี่อีกจะไม่ใช่พวกชาวบ้านธรรมดาแล้ว เพราะพวกโจรมืออาชีพมันรู้แล้วว่าที่นี่คือขุมทองของมัน”
ยงยุทธยื่นปืนให้ขุนเดช
“ชั้นว่าแกน่าจะพกเอาไว้ป้องกันตัว”
“ขอบใจ แต่ชั้นไม่จำเป็นต้องใช้”
“แต่แกเพิ่งบอกเองว่าพวกที่จะมาคืนนี้เป็นพวกโจรมืออาชีพ มือเปล่าของแกกับดาบหักที่แกพกติดตัวช่วยแกไม่ได้หรอก”
“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชั้นต้องเจอกับพวกโจรพวกนี้”
ขุนเดชมีสีหน้าจริงจังเดินออกไป ยงยุทธมองตามโดยเฉพาะกับดาบดำที่ขุนเดชถืออยู่ในมือ
จบตอนที่ 3
ติดตามอ่านขุนเดช ตอนต่อไป พรุ่งนี้