xs
xsm
sm
md
lg

ขุนเดช ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขุนเดช ตอนที่ 5
ยงยุทธรีบบิดมอเตอร์ไซค์เข้ามาถึงหน้าโรงสีร้าง เจอประดับขับรถเก๋งออกมา ประดับเปิดกระจกรถมองมาที่ ยงยุทธแล้วยิ้มร้ายอย่างผู้มีชัย ยงยุทธเจ็บใจ
“ไอ้ประดับ”
ประดับเอาแว่นดำเรย์แบนด์มาสวมแล้วเหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว ยงยุทธจะตามไปแต่นึกเป็นห่วงดารา
“ดารา”

ยงยุทธรีบวิ่งเข้ามาในโรงสีเรียกหาดาราเสียงดังลั่น
“ดารา...ดารา” ยงยุทธเรียกหาอยู่ครู่ก็เห็นดารานั่งร้องไห้กอดตัวเองสะอึกสะอื้น “ดารา”
“ยงยุทธ”
ดาราวิ่งเข้าไปสวมกอดยงยุทธแล้วร้องไห้ ยงยุทธรีบกอดปลอบใจเธอทันที
“ไอ้ประดับมันทำอะไรคุณ...ดารา...มันทำอะไรคุณ”
ดาราน้ำตานองหน้ามองยงยุทธที่เป็นห่วงเธอมากจนแทบบ้า

รถเก๋งของประดับขับมาตามถนนที่ข้างทางเป็นอ่างเก็บน้ำวิวกว้างไกล แต่ขับมาได้ครู่ประดับก็ต้องแตะเบรค จอดกลางถนนเพราะเจอขุนเดชนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ขวางทาง
“ไอ้ขุนเดช”
ประดับถอดแว่นดำออกแล้วจ้องเขม็งกับขุนเดช สายตาของทั้งคู่จ้องกันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเพราะความ แค้นที่ฝังลึกเมื่อสิบปีก่อน ขุนเดชชักดาบดำที่เหน็บหลังออกมายิ่งสะท้อนกับแสงแดด ยิ่งส่องประกายวาววับ
ประดับยิ้มร้ายไม่เกรงกลัวดาบดำในมือขุนเดช ประดับวางแว่นดำที่เบาะข้างแล้วหยิบเอาปืนกระบอกสีเงินแวววาว ปลายกระบอกปืนยาวกว่าปืนทั่วไปเพราะเป็นปืนสั่งทำพิเศษ ส่วนด้ามเป็นงาช้างขาวนวล เสียงบิดคันเร่งของมอเตอร์ไซค์ขุนเดชกับเสียงบิดคันเร่งเครื่องรถเก๋งของประดับ ดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วอ่างเก็บน้ำ ล้อรถของทั้งคู่หมุนฟรีพร้อมที่จะพุ่งเข้าหากัน เพียงแค่นับถึงสามในใจ รถทั้งคู่ก็พุ่งใส่กัน

ดาราน้ำตานองสองแก้มในอ้อมกอดของยงยุทธที่เป็นห่วงมาก
“ไอ้สารเลวนั่นมันทำร้ายคุณใช่มั้ยดารา...ผมจะตามไปลากคอมัน”
ยงยุทธจะรีบไปแต่ดาราคว้ามือเอาไว้
“อย่านะยงยุทธ...อย่าไปยุ่งกับมันอีก”
“แต่มันทำร้ายคุณ...ผมจะไม่ปล่อยให้มันเดินลอยชายออกไปเฉยๆ แน่”
“แต่มันไม่ได้ทำอะไรชั้น”
ยงยุทธชะงัก
“คุณหมายความว่ายังไง?”
ดารามองหน้ายงยุทธ

ดาราเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ซึ่งเมื่อเธอรู้สึกตัวหลังจากสลบไปตื่นขึ้นมาก็เห็นประดับอยู่ใกล้ๆ
“นี่แกทำอะไรชั้น...ไอ้สารเลว”
“ใจเย็นสิดารา ถ้าชั้นคิดจะทำอะไรเธอจริงๆ เธอคงไม่อยู่ในสภาพนี้หรอก” ดาราชะงักมองตัวเองที่เสื้อผ้ายังอยู่ดีเรียบร้อย “ที่จริงแล้ว ถ้าเธอไม่ร้องโวยวายจะโดดลงจากรถ ชั้นก็คงไม่ต้องทำให้เธอเจ็บตัว ชั้นขอโทษด้วยนะ”
“แกวางแผนอะไรอยู่กันแน่”
“หึๆๆ...ก็อย่างที่เธอคิดไว้นั่นแหละ ความแค้นระหว่างชั้นกับพวกมัน ถึงเวลาที่จะ ต้องชำระแค้นซะที แต่ที่ชั้นพาเธอมาไม่ได้จะจบสงคราม”
ดารามองประดับอย่างสงสัย ประดับยิ้มร้ายๆ ประดับขยับเข้าใกล้ ดารารีบถอยหนี
“แล้วแกต้องการอะไร”
“หึๆๆ...ชั้นต้องการให้เธอเป็นคนบอกพวกมันแทนชั้น”
“บอก...บอกอะไร”
ประดับปรี่เข้าไปจับดารามาบีบแขนสองข้างและจ้องตาดุดัน
“เธอต้องบอกพวกมันว่าสงคราม มันแค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ชั้นจะให้เวลาพวกมันเตรียมตัวรับมือ เมื่อชั้นกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ชั้นจะทรมานพวกมันให้ตายทีละนิด แล้วฟังเสียงพวกมันร้องครวญครางขอชีวิต”
“คนเลวอย่างแกไม่มีวันได้ดีหรอก”
“หึๆๆๆ...พนันกับชั้นมั้ยล่ะดารา ร่างกายเธอชั้นก็ยังอยากได้อยู่นะ”
“ไอ้เลว”
ดาราผลักประดับแล้วตบหน้าซ้ำ ประดับหน้าหันแต่ไม่สะดุ้งสะเทือน แค่หันกลับมามองดารา
“พยศไปเถอะ...ถึงเวลาของชั้นเมื่อไหร่ เธอจะไม่เหลือใครปกป้องเธออีก ฮ่าๆๆๆ”

ขุนเดชกับประดับขับรถพุ่งเข้าใส่กัน ขุนเดชควงดาบดำบนมอเตอร์ไซค์ ประดับถือพวงมาลัยมือเดียวอีกมือก็ ยกปืนเล็งแล้วลั่นไกใส่...เปรี้ยง ๆๆๆๆ ขุนเดชควงดาบดำปัดกระสุนที่ประดับยิงใส่มาไม่หยุดจนประกายไฟแล่บ ส่วนมืออีกข้างก็บิดคันเร่งพุ่งเข้าหา ประดับเร่งเครื่องพุ่งใส่จนเข็มไมล์กระดิกเกือบเต็มพิกัดความเร็ว และยังยิงใส่ขุนเดชไม่หยุด เปรี้ยงๆๆๆ กระสุนนัดหนึ่งพุ่งเฉี่ยวไหล่ทำให้ขุนเดชเสียจังหวะควบคุมรถ มอเตอร์ไซค์ส่ายเป็นงูก่อนจะไถลไปกับพื้นถนน
ขุนเดชกระเด็นจากรถแล้วกลิ้งไปตามพื้นถนน ดาบดำหลุดกระเด็นไปตามพื้นถนนเช่นกัน ประดับเหยียบเบรคเสียงยางบดถนนดัง....เอี๊ยดดดดด เมื่อรถจอดนิ่งประดับก็ลงจากรถหยิบแว่นดำมาสวม แล้วยืนมองขุนเดชที่ค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมา เนื้อตัวถลอกเลือดซิบแต่สายตายังกร้าวแข็งใส่ประดับ ดาบดำอยู่ที่พื้นถนนห่างจากตัวไปหลายก้าว
ประดับเข้ามาที่ขุนเดชแล้วเปิดฉากแลกหมัดใส่กันต่อ ฝีมือของประดับกับขุนเดชพอฟัดพอเหวี่ยง แลกหมัดใส่กันจนไม่มีใครชนะ ต่างฝ่ายต่างถอยมาเหนื่อยหอบ ฝีมือเสมอกัน
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ขุนเดช”
ประดับรีบฉวยโอกาสหนีไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ขุนเดชกำหมัดมองตามเจ็บใจ

ยงยุทธพาดารากลับมาที่บ้านคำปัน
“น้ากับบัวทองตกใจซะแทบแย่ ปลอดภัยกลับมาก็ถือว่าฟาดเคราะห์นะคะอาจารย์”
“ฟาดเคราะห์อะไรล่ะแม่ ที่น่าจะฟาดให้เลือดอาบควรจะเป็นไอ้ทนายจากกรุงเทพนั่นต่างหาก” บัวทองบอกแล้วหันไปที่ยงยุทธ “ตกลงตามจับมันมาไม่ได้เลยเหรอคะหมวด” ยงยุทธนิ่งไป บัวทองไม่พอใจ “ว่ายังไงล่ะคะหมวด อย่าบอกนะคะว่ามันก่อเรื่องอุจอาจขนาดนี้แล้ว หมวดก็ยังทำอะไรไม่ได้เหมือนกับที่ต้องปล่อยให้ไอ้สัมฤทธิ์ไล่ยิงพี่ขุนเดช”
“บัวทอง...เอ็งยังไม่เข้าใจ ไอ้ทนายนั่นมันหัวหมอ ถ้าไม่มีหลักฐานที่เล่นมันหนักๆ ได้ ยังไงมันก็ดิ้นหลุด ดีไม่ดีมันจะหาทางดึงผู้ใหญ่ให้มาเล่นงานกลับเราได้อีก” จ่าแท่นบอก
“อ๋อ...ที่แท้ก็กลัวร้อนเก้าอี้ตัวเอง คนร้ายทำผิดกฏหมายแต่กฏหมายกลับทำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้มันเยาะเย้ยเล่น สู้พี่ขุนเดชก็ไม่ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นตำรวจ พี่ขุนเดชก็สู้พวกมันไม่ถอย”
“บัวทอง หยุดเดี๋ยวนี้นะ” คำปันดุลูกสาว
“ไม่เป็นไรหรอกครับน้าคำปัน ทั้งๆ ที่มีตำรวจอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ยังคาดหวังว่าชีวิตจะปลอดภัยไม่ได้ บัวทองมีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้น ผมขอตัวนะครับ”
ยงยุทธหน้านิ่งเดินออกไป คำปันหันมาดุบัวทองต่อ
“เห็นมั้ยบัวทอง...พูดอะไรออกไปทำไมไม่รู้จักระวัง”
บัวทองหน้าจ๋อยๆ ส่วนดารามองตามยงยุทธอย่างเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดของเขาดี

บรรยากาศริมบึงมีคบไฟเรียงรายสวยงาม ยงยุทธเข้ามายืนใบหน้าเงียบขรึม แววตามีความผิดหวังเมื่อนึกถึงคำพูดบัวทอง
“คนร้ายทำผิดกฏหมายแต่กฏหมายกลับทำอะไรไม่ได้ปล่อยให้มันเยาะเย้ยเล่น สู้พี่ขุนเดชก็ไม่ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นตำรวจ พี่ขุนเดชก็สู้พวกมันไม่ถอย”
ยงยุทธหงุดหงิดตัวเองกำหมัดแน่นแล้วชกเปรี้ยงไปที่ต้นไม้ใกล้ หมัดกระแทกต้นไม้จนเลือดซิบๆ ก่อนที่มือของดาราจะเข้ามาแตะไหล่อย่างปลอบโยน
“อย่าทำแบบนั้นเลยยงยุทธ เธอทำดีที่สุดแล้วนะ”
ดาราสบตาแล้วจับมือยงยุทธที่มีเลือดซิบๆ ใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยซับเลือดให้และพันมือให้เขา
“แต่มันควรจะดีกว่านี้ ถ้าผมจะจัดการกับพวกมันได้หมด ทุกคนจะวางใจได้ซะทีว่ากฏหมายเป็นเครื่องมือที่มีไว้ปกป้องคนดีจัดการคนเลว”
“เธอทำได้นะยงยุทธ ถึงจะไม่ใช่ตอนนี้ แต่ถ้าเธอเชื่อมั่นในความสามารถตัวเอง ชั้นก็มั่นใจว่าเธอจะจัดการกับคนเลวได้หมด”
“ดารา...แล้วกับความคิดของขุนเดชล่ะ มันเห็นตรงกันข้ามกับผม” ดารานิ่งไป “ผมรู้ว่าคุณยังมีใจให้ขุนเดช มันก็ไม่แปลกหรอกถ้าคุณจะเห็นด้วย แม้กระทั่งผมเอง”
ยงยุทธเสียใจจะเดินออกไป ดาราสงสารเลยตัดสินใจตามไปกอดยงยุทธเอาไว้จากข้างหลังทำเอายงยุทธ อึ้งตกใจ
“อย่านะยงยุทธ อย่าทิ้งอุดมการณ์ของเธอ ถ้าเธอเลือกทางเดินที่ไม่ถูกต้องก็คงไม่เหลือ ความดีอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว”
“ดารา” ยงยุทธคิดไม่ถึงว่าดาราจะให้ความสำคัญกับเขา ยงยุทธหันมาจับไหล่เธอมาสบตา “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าคุณให้ความสำคัญกับผมมากกว่าขุนเดช”
“ชั้นก็แค่อยากให้กำลังใจเธอ ไม่อยากให้ท้อถอยและก็ไม่อยากให้เธอเลือกทางผิด”
“ขอบใจนะดารา ถ้ามีคุณเป็นกำลังใจ ผมก็จะสู้ไม่ถอย”
ยงยุทธดึงดารามากอดแน่น ดารายิ้มให้ยงยุทธเพราะต้องการให้ยงยุทธสู้ต่อไป ขุนเดชมองทั้งสองคนจากอีกมุมหนึ่ง ในมือของขุนเดชถือดาบดำ ขุนเดชหันหลังให้เพื่อนตายและคนรักด้วยอุดมการณ์ของขุนเดชที่ไปกับคนทั้งคู่ไม่ได้

ภายในกระท่อมขุนเดชยืนถอดเสื้อ กล้ามเป็นมัด ตามร่างกายมีบาดแผลจากการต่อสู้ครั้งก่อนๆ และรอยถลอกเลือดซิบๆ จากการสู้กับประดับมาในวันนี้ ขุนเดชชูด้ามดาบดำขึ้นแล้วค่อยๆ ชักดาบดำออกมา ขุนเดชควงดาบดำอย่างคล่องแคล่วแล้วฟันฉับไปที่เสาไม้ที่ใช้ฝึกฟันดาบเป็นประจำ แต่พอดาบกินเข้าไปในเนื้อไม้ ขุนเดชก็รีบดึงออกมาสีหน้าเจ็บใจเพราะคมดาบบิ่นไปเยอะจากการต่อสู้
คืนนั้นขุนเดชพยายามลับคมดาบดำให้กลับมามีความกริบแต่ใจของขุนเดชกลับร้อนรุ่มเหมือนเตาไฟตรงหน้า
วันต่อมาที่ซากโบราณสถานแห่งหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ เจดีย์เก่ายังมีความสวยงามหลงเหลืออยู่ เปรื่อง แบกเป้หนักอึ้งเข้ามาหัวเราะเสียงแหลม มันมองเจดีย์ตรงหน้าแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เปรื่องเอาแท่งระเบิดเสียบเข้าไปรอบๆ ฐานเจดีย์ก่อนจะลากสายดินปืนออกมาห่างจน ได้ระยะปลอดภัย
“ไม่ต้องเหนียมไม่ต้องอายนะ มีของดีอะไรซ่อนอยู่ก็เอาออกมาให้ดูกันจะๆ เลย อย่าเก็บไว้ให้มันสนิมกินเลย ฮ่าๆๆๆ”
เปรื่องเอาไฟแช็คดูป๊องค์มาจุดสายชนวนดินปืน แล้วเข้าไปนั่งเอามืออุดหู...ตูม! เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว เจดีย์โบราณสถานศิลปะสวยงามถูกระเบิดซะกระจุย เปรื่องลุกขึ้นมายืนท่ามกลางฝุ่นที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

ยงยุทธกับจ่าแท่นขับรถจี๊ปมาตามถนนลูกรัง เสียงระเบิดตูมใหญ่ทำเอายงยุทธต้องเบรครถตัวโก่ง
“ได้ยินมั้ยจ่า”
“ได้ยินสิครับหมวด ดังจนขี้หูเกือบจะหลุดออกมาเลย”
“แถวนี้มีสัมปทานให้ระเบิดหินด้วยเหรอ”
“ไม่มีหรอกครับหมวด ที่นี่เป็นเมืองเก่าเป็นแหล่งโบราณสถาน เสียงตูมแบบนี้ สงสัยจะฝีมือพวกลักขุดกรุ มันใช้ระเบิดแทนจอมเสียม ไม่ต้องเสียเวลาขุด”
“งั้นรีบไปดูกัน”
ยงยุทธรีบถอยรถแล้วขับเข้าข้างทางที่เป็นพกหญ้ารกบุกลุยไปตามเสียงระเบิด

หลังจากฝุ่นควันและเศษปูนที่ฟุ้งกระจายเพราะแรงระเบิดจางลง เปรื่องรีบมุดเข้าไปดูที่ฐานเจดีย์ซึ่งโดนระเบิด จนเป็นโพรงใหญ่ มุดควานหาสมบัติได้ครู่มือก็คว้าได้อะไรบางอย่าง เปรื่องออกแรงดึงอยู่ครู่ก็อุ้มเอาพระพุทธรูปองค์หนึ่งออกมา แต่มีคราบสนิมสีเขียวเกาะอยู่เต็ม เปรื่องถึงกับเซ็ง
“โธ่เว้ย...พระอะไรวะเนี่ย...สนิมจับเขรอะเลย เสียเวลาชิบเป๋ง”
เปรื่องหงุดหงิดหัวเสียคิดจะทิ้งพระพุทธรูปที่ขุดเจอ แต่ฉับพลันนั้นเองลมก็พัดกระหน่ำเข้ามา ท้องฟ้ามืดครึ้ม อย่างไม่มีสาเหตุฟ้าแลบ แปล๊บปลาบจนน่าประหลาดใจ
“เกิดอะไรขึ้นวะ” ด้วยความสงสัยเปรื่องยกพระพุทธรูปขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง ลองเอามือขัดคราบสนิมสีเขียวที่จับอยู่ออกแล้วเปรื่องก็ต้องตกใจ “เฮ้ย...เนื้อทองแดงนี่หว่า...ชิบหายแล้ว”
ทันใดนั้นฟ้าผ่าลงมาทันที...เปรี้ยง !! เปรื่องกระเด็นไปหลายเมตรก่อนจะลุกขึ้นมึนๆ
“เป็นไปได้ยังไงวะเนี่ย โดนฟ้าผ่าแต่ไม่ตาย...หรือว่า...พระพุทธรูปฟ้าผ่า...ฮ่าๆๆๆ รวยแล้วไอ้เปรื่อง...รวยแล้วโว้ย” เปรื่องหัวเราะชอบใจอยู่ครู่ เสียงรถจี๊ปของยงยุทธดังเข้ามา เปรื่องชะงักชะโงกหน้าไปดูแล้วตกใจ “เวรเอ้ย !! ตำรวจมา มันโผล่มาทำไมตอนนี้วะ ขัดลาภชิบเป๋ง”
เปรื่องหันมาหน้าเครียดครุ่นคิดมองพระพุทธรูปในมือแล้วพยายามคิด

ยงยุทธกับจ่าแท่นจอดรถแล้วมองหาจุดที่ได้ยินเสียงระเบิด
“น่าจะเป็นทางนั้นนะครับหมวด”
“ระวังตัวด้วยนะจ่า”
ยงยุทธกับจ่าแท่นชักปืนออกมาเตรียมพร้อม แต่ระหว่างนั้นเปรื่องเดินออกมาพอดี ยงยุทธเลยยกปืนเล็งเปรื่องรีบชูมือขึ้น
“อย่าครับคุณตำรวจ...ผมเป็นพลเมืองดี ผมไม่ใช่คนร้าย” ยงยุทธกับจ่าแท่นชะงักไปแต่ยังไม่ลดปืนลง
“ผมเจอไอ้พวกขุดกรุมันระเบิดเจดีย์ กำลังจะขโมยวัตถุโบราณ เลยออกมาสู้กับมัน พอได้ยินเสียงตำรวจมา มันตกใจก็เลยหนีเตลิด”
จ่าแท่นมองเปรื่องอย่างระแวง
“หน้าตาไม่ใช่แถวนี้แน่ครับหมวด”
“ผมไม่ใช่คนร้ายจริงๆ นะครับ ถ้าไม่เชื่อ ผมจะพาไปดูว่าพวกมันขุดเจออะไร”
ยงยุทธนิ่งอย่างครุ่นคิด

ขุนเดชนอนอยู่ใต้ท้องรถกระบะคันเก่าๆ ของวัด ซ่อมช่วงล่างของรถจนเสร็จ หลวงลุงก็เดินเข้ามาหยุดใกล้ๆ
“เรียบร้อยแล้วเหรอขุนเดช”
“ครับหลวงลุง ผมเปลี่ยนเพลาใหม่ให้แล้ว หลวงลุงจะได้ออกไปรับกิจนิมนต์ได้”
“ขอบใจมากนะ...เอ็งเสร็จแล้วก็ไปนอนพักเถอะ เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืนเลยไม่ใช่เหรอ หลวงลุงได้ยินเสียงเอ็งทำงานทั้งคืน”
ขุนเดชชะงักไป
“ผมขอโทษด้วยครับหลวงลุง”
“ก็ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก แต่เสียงตีเหล็กของเอ็ง ทำให้หลวงลุงเป็นห่วง ใจของเอ็ง เป็นอะไรทำไมถึงได้ร้อนรุ่มนัก”
ขุนเดชนิ่งไปครู่
“เรื่องเก่าๆ มันรบกวนจิตใจของผมครับหลวงลุง”
“เดี๋ยวนี้เอ็งคงไม่ได้นั่งสมาธิตามที่หลวงพ่อสุขสั่งเสียไว้เลยใช่มั้ย อย่าทิ้งนะขุนเดช ที่หลวงพ่อกำชับให้เอ็งหมั่นทำสมาธิบ่อยๆ ต้องมีเหตุผลที่สำคัญแน่”
ระหว่างนั้นบัวทองขี่จักรยานเร็วจี๋มาเบรคเอี๊ยด
“พี่ขุนเดช...” บัวทองชะงักเมื่อเห็นหลวงลุงรีบยกมือไหว้ “ ขอโทษค่ะหลวงลุง พอดีมีเรื่องด่วนจี๋ค่ะ” บัวทองบอกแล้วเข้าไปคว้ามือขุนเดช “รีบไปกันเถอะพี่ขุนเดช มีคนเจอวีรบุรุษบาปที่เล่นงานพวกขุดกรุแล้วล่ะพี่”
ขุนเดชมองบัวทองด้วยสีหน้าแปลกใจเป็นอย่างมาก

จ่าแท่นกับตำรวจอีก2-3นาย เอาเชือกมากั้นรอบๆ บริเวณเจดีย์ที่ถูกเปรื่องระเบิดมีชาวบ้านมามุงดูกันอย่างสนใจ ขุนเดชขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามากับบัวทอง บัวทองชี้ให้ขุนเดชดูเปรื่องที่อยู่กับหมวดยงยุทธ
“นั่นไงพี่ขุนเดช คนที่ช่วยปกป้องพระพุทธรูปเอาไว้ได้”
ขุนเดชเห็นว่าเป็นเปรื่องก็แปลกใจ
“ผมไม่ทันได้เห็นหน้าไอ้คนที่มาระเบิดขุดกรุหรอกครับหมวด มันปิดหน้าปิดตากลัวคนจะรู้ว่ามันเป็นใคร”
“แล้วทำไมถึงคิดว่าเป็นวีรบุรุษบาปที่เรากำลังตามตัวอยู่” ยงยุทธถาม เปรื่องนิ่งไปครู่
“ตอนสู้กันมันขู่ผม มันบอกจะเล่นงานผมเหมือนกับพวกที่เคยขวางทางมัน”
“งั้นถ้าได้เจอหน้ากับไอ้หมอนั่นอีกครั้ง ก็คงชี้ตัวช่วยตำรวจได้” ขุนเดชถามเมื่อเดินเข้ามา
“ได้สิ...ท่าทางของมันชั้นจำได้แม่น เจออีกทีรับรองจำได้แน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องขอให้คุณอยู่ที่นี่จนกว่าเราจะได้ตัวผู้ต้องสงสัยมาชี้ตัว”
“ได้ครับหมวด พลเมืองดีอย่างผมยินดีช่วยเหลือราชการอยู่แล้ว”
เปรื่องหัวเราะเสียงแปล่งๆ ตามบุคลิก แต่ขุนเดชจ้องมันเขม็งเพราะรู้ว่ามันกำลังโกหกคำโต
“หมวดคะ แล้วพระพุทธรูปที่ถูกขุดขึ้นมาล่ะคะ”
“ผมติดต่อให้คณะของอาจารย์ประทีปนำไปศึกษาและเก็บไว้ที่แคมป์แล้ว”
เปรื่องฟังแล้วสีหน้าครุ่นคิดสนใจก่อนจะชะงักเมื่อเห็นขุนเดชจ้องเขม็งมาที่ตัวเอง

ที่แคมป์โบราณคดี พระพุทธรูปฟ้าผ่าหลังจากทำความสะอาดเผยให้เห็นเนื้อทองแดงทั้งองค์ถูกนำมาวางอยู่กลางโต๊ะในแคมป์ให้ดาราถ่ายรูปเก็บรายละเอียดเอาไว้
“เป็นพระพุทธรูปที่แปลกมาเลยนะคะอาจารย์ ปกติแล้วไม่ค่อยพบว่ามีการใช้ทองแดง บริสุทธิ์เพียงอย่างเดียวสร้างเป็นองค์พระกันเท่าไหร่”
“ก็มีบ้างที่พบ แต่ส่วนใหญ่เป็นการสร้างเพราะความเชื่อและความศรัทธามากกว่า เหมือนกับตำนานพระพุทธรูปฟ้าผ่า”
“ยังไงเหรอครับอาจารย์”
“ทองแดงธรรมชาติเป็นโลหะชนิดแรกคู่กับทองคำที่มนุษย์ค้นพบและนำมาใช้ประโยชน์ หลายครั้งที่ยอดโบสถ์มักจะถูกฟ้าผ่าเพราะมีทองแดงผสมอยู่”
“คนโบราณจึงมีความเชื่อว่าถ้านำทองแดงสายล่อฟ้าหลังคาโบสถ์ ที่ถูกฟ้าผ่า มาหลอมรีดเป็นแผ่นแล้วลงอักขระยันต์ตามตำรามาสร้างเป็นเครื่องบูชา ของสิ่งนั้นก็จะเป็นจุดศูนย์รวมอำนาจ ดึงดูดพลังจากธรรมชาติ แม้แต่ฟ้าผ่าก็ทำอะไรเจ้าของไม่ได้”
ขุนเดชเดินเข้ามาอธิบายไปก็มองที่องค์พระอย่างนิ่งสงบ
“แต่นั่นก็เป็นแค่ตำนาน ยังไงพระพุทธรูปองค์นี้ควรจะต้องส่งเข้าพิพิธภัณฑ์ เพราะถ้าหลุดเข้าไปในตลาดค้าวัตถุโบราณได้ล่ะก็ คงฮือฮากันน่าดู”
“ถ้าอย่างนั้นระหว่างรอทำเรื่องส่งเข้าพิพิธภัณฑ์ ช่วงกลางคืนผมจะมาเฝ้าที่นี่ให้เองครับ”
“ก็ดี...ที่นี่มีแต่อาจารย์กับนักศึกษา ขุนเดชมาช่วยเป็นหูเป็นตาให้จะได้เบาใจ”
“แต่ชั้นจะส่งตำรวจให้มาช่วยดูแลดีกว่า แกเคยโดนไอ้วีรบุรุษบาปนั่นเล่นงานมาแล้ว ถ้ามันบุกมาที่นี่ แกคงรับมือมันไม่ไหว”
ยงยุทธขัด ขุนเดชมองยงยุทธที่พูดเหมือนไม่ต้องการให้ขุนเดชเข้ามาเกี่ยวข้อง ดาราเห็นทั้งสองกำลังขัดแย้งกันเลยรีบปราม
“ขุนเดชต้องทำงานทั้งวัน ชั้นว่าให้ยงยุทธจัดการเถอะ...นะขุนเดช”
ดาราขอร้อง ขุนเดชจึงนิ่งไป

กำนันบุญสีหน้าสงสัยเมื่อเปรื่องมาพบ
“อะไรวะ ฝีมือเอ็งก็ไม่ธรรมดา ไอ้แค่หมวดกับจ่าแก่ๆ ทำไมไม่จัดการไปเลย ปล่อยให้มันยึดไปทำไม”
“สงสัยว่าที่กำนันบอกไว้ก็คงแค่...ราคาคุย” เปรื่องหันไปมองหน้าประดับอย่างไม่พอใจ “ผมไม่สนว่ากำนันจะทำยังไง กำนันรู้ดีอยู่แล้วว่าพระพุทธรูปฟ้าผ่าสำคัญมากแค่ไหน”
ประดับบอกด้วยน้ำเสียงแกมบังคับก่อนจะเดินออกไปหาผกาที่เพิ่งมาถึงพร้อมกับลูกน้องประดับ ประดับโอบเอวผกามาหอมแก้มก่อนจะพากันออกไป กำนันบุญมองผกาตาเป็นมันเพราะติดใจผู้หญิงแบบนี้
“คนของเจ้านายกำนันมันน่าหมั่นไส้จริงๆ ให้ชั้นจัดการมันแล้วฉุดนังนั่นมาให้ก็ได้นะ ชั้นทำให้ฟรีๆ”
“ไม่ต้อง...มันกับข้ายังมีธุระต้องทำด้วยกันอีกเยอะ” กำนันบุญบอกแล้วยิ้มแบบมีเลศนัย “ว่าแต่เอ็งเถอะ อย่าทำให้ข้าต้องเสียพระพุทธรูปฟ้าผ่าไปเด็ดขาด”
“ไม่ต้องห่วง ชั้นวางแผนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเอาไว้หมดแล้ว ทั้งไอ้วีรบุรุษบาป ทั้งไอ้หมวดขาลุยนั่น ถ้าทำตามแผนที่ชั้นบอกล่ะก็งานนี้คุ้มค่าเกินค่าจ้างแน่ๆ”
เปรื่องหัวเราะเสียงแปล่งตามบุคลิก

วันใหม่ สาลี่กับชาวบ้านอีกสองสามคนเอาใจเปรื่องเต็มที่
“เต็มที่เลยนะจ๊ะพ่อเปรื่อง อยากกินอะไรสั่งตามสบายเลย ชั้นเลี้ยงเอง”
“เกรงใจจ้ะพี่สาว”
“อ๊าย...พี่สาว ไม่เอาสิ เรียกน้องสาวดีกว่า”
“น้องสาวก็ได้จ้ะ น้องสาลี่”
“แหม...พ่อเปรื่องเนี่ย รู้มั้ยจ๊ะ ทุกคนที่นี่เขาชื่นชมพ่อกันทั้งนั้น พ่อน่ะกล้าหาญสุดๆ กล้าลุกขึ้นต่อกรกับวีรบุรุษบาป แล้วยังปลอดภัยไม่เป็นอะไรแม้แต่นิดเดียว”
บัวทองที่มาซื้อของกับขุนเดชฟังแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้
“พี่ขุนเดชก็เคยสู้กับมันมาแล้วนะ ลืมแล้วเหรอป้าสาลี่”
“แหม...ขุนเดชน่ะโดนมันฟันเลือดสาด เกือบตายเลยไม่ใช่เหรอ แต่พ่อเปรื่องใช้แค่มือเปล่าก็ไล่ตะเพิดจนมันหนีเตลิด อยู่ที่นี่นานๆ นะจ๊ะพ่อ ที่นี่กำลังต้องวีรบุรุษตัวจริง ไอ้ฮวด...เอาก๋วยเตี๋ยวพิเศษใส่ทุกอย่างมาให้พ่อเปรื่องเร็ว”
“รู้แล้วๆ สั่งจังเลย สงสัยร้านจะเจ๊งก็คราวนี้ เวงกรรม เวงกรรม”
สาลี่กับชาวบ้านรุมเอาใจชื่นชมเปรื่อง ขุนเดชมองเปรื่องนิดเดียวแล้วเดินออกไปอย่างนิ่งเฉย บัวทองรีบตาม

บัวทองถือถุงของเดินบ่นมาตามถนนกับขุนเดช
“ชั้นน่ะไม่ชอบหน้านายเปรื่อง เสียงแปล่งอะไรนั่นเลยนะพี่ขุนเดช ท่าทางดูไม่น่าไว้ใจ ยังไงก็ไม่รู้”
“แต่เขาช่วยไล่โจรนะบัวทอง”
“โอ้ย...ชั้นไม่เชื่อขี้ปากหมอนั่นหรอก ท่าทางอย่างนั้นนะ ถ้าเจอวีรบุรุษบาปนั่นจริงๆ ล่ะก็ ไม่มีทางรอดกลับมาโม้น้ำลายแตกฟองหรอก”
“แล้วที่เจดีย์โดนระเบิด พระพุทธรูปถูกขุดขึ้นมาล่ะ”
“ชั้นก็ไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของวีรบุรุษบาป”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ถ้าหมอนั่นคิดจะออกมาอาละวาดขโมยสมบัติโบราณจริงๆ ชั้นว่าป่านนี้พี่ขุนเดชคงเตะฝุ่นตกงานเพราะไม่เหลือโบราณสถานไว้ให้ดูแลแล้ว พี่ขุนเดชเห็นฝีมือเขาแล้ว พี่ว่าชั้นคิดถูกมั้ยล่ะ”
บัวทองยิ้มให้ขุนเดชแล้วเดินต่อ ขุนเดชนิ่งมองบัวทอง

แคมป์โบราณคดี ดารากำลังก้มหน้าก้มตาทำการศึกษาบันทึกรายละเอียดพระพุทธรูปฟ้าผ่าที่เตรียมจะส่งเข้าพิพิธภัณฑ์
“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยดารา” ยงยุทธเดินเข้ามาถาม
“ยงยุทธ...นี่มันงานชั้นนะ เธอจะช่วยได้ยังไง”
“พอดีได้ยินอาจารย์ดำรงบอกว่า คุณเอาแต่ศึกษาพระพุทธรูปองค์นี้จนข้าวปลาไม่ยอมแตะเลย ผมก็เลยอยากจะช่วยอะไรบ้าง คุณจะได้ไปพักผ่อน”
“ขอบใจนะ แต่ชั้นทำงานนี้จนชินแล้ว ว่าแต่เธอได้เบาะแสของโจรรึยัง” ยงยุทธนิ่งไป “มีอะไรเหรอยงยุทธ”
“สัญชาติญาณบอกผมว่าวีรบุรุษบาปไม่ใช่คนทำลายโบราณสถานเพื่อขุดเอาพระพุทธรูปขึ้นมา ฝีมืออย่างไอ้หมอนั่นไม่มีทางทิ้งร่องรอยเอาไว้เกลื่อนแบบนี้หรอก”
“ไม่ใช่เธอที่คิดแบบนั้นคนเดียวหรอก ชั้นเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่ เธอต้องระวังตัวให้มากนะ”
ดาราแตะแขนยงยุทธอย่างเป็นห่วง พลอยทำให้ยงยุทธรู้สึกดีกับดารามากขึ้น ระหว่างนั้นอาจารย์ดำรงเข้ามา
“อาจารย์ดาราครับ อาจารย์ก้องเกียรติมาที่นี่ครับ”
ดาราตกใจ
“อาจารย์ก้องเกียรติน่ะเหรอ”
ยงยุทธเห็นสีหน้าของดาราที่ดูไม่ค่อยสบายใจนักก็อดแปลกใจไม่ได้
อ่านต่อหน้าที่ 2




ขุนเดช ตอนที่ 5 (ต่อ)
ก้องเกียรติใช้แว่นขยายส่งดูองค์พระพุทธรูปทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียด
“เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นพระพุทธรูปที่สร้างด้วยทองแดงเนื้อพิเศษในสภาพที่ยังสมบูรณ์แบบนี้ สวยงามมาก มิน่าอาจารย์ประทีปถึงได้เร่งให้ทางพิพิธภัณฑ์ไปดูแลต่อ”
“ไม่ทราบว่าอาจารย์ได้ข่าวมาจากไหนคะ ถึงได้ตามมาดูของจริงถึงที่นี่” ดาราถามเมื่อเดินเข้ามา
“ผมอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พอดีตอนที่ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งเข้าไป แค่เห็นจากภาพถ่ายผมก็อดใจไม่อยู่ที่จะต้องมาให้เห็นกับตา”
“ค่ะ...พระพุทธรูปองค์นี้นอกจากมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีตำนานเหนือธรรมชาติให้พูดถึงอีก เพราะฉะนั้น ถ้าหลุดรอดไปอยู่ในมือพวกเศรษฐีนักสะสมของเก่าเมื่อไหร่ ก็คงน่าเสียดายที่เราไม่สามารถปกป้องสมบัติของชาติไว้ได้”
ดาราพูดไปก็มองก้องเกียรติอย่างไม่ไว้วางใจ
“น่าดีใจแทนอาจารย์ประทีปที่ได้คนรุ่นใหม่ไฟแรงมาเป็นมือขวา ถ้าเบื่องานภาคสนามแล้วอยากทำงานนั่งโต๊ะก็บอกผม ผมช่วยให้คุณได้ตำแหน่งดีที่สมกับความสามารถได้”
“ขอบคุณค่ะ แต่งานเดินตามนักการเมืองแบบนั้นไม่เหมาะกับชั้นเท่าไหร่ ถ้าอาจารย์หมดธุระแล้ว ดิชั้นขอทำงานต่อนะคะ”
ก้องเกียรติทำเป็นยิ้มรับ แต่แอบไม่พอใจความปากกล้าของดารา ยงยุทธสังเกตการพูดจาของดารากับก้องเกียรติแล้วสงสัยว่าต้องมีบางอย่างที่ไม่ปกติเกี่ยวกับอาจารย์ก้องเกียรติ

ดาราเข้ามานั่งที่เก้าอี้ในห้องทำงาน ถอนใจเฮือกใหญ่ ยงยุทธตามเข้ามา
“อาจารย์ดำรงเล่าให้ผมฟังแล้ว ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่ต้องรับมือกับพวกกาฝาก คนพวกนี้ผมเจอมาเยอะ ทิ้งจรรยาบรรณของอาชีพเพราะแพ้อำนาจเงิน”
“ถึงจะรู้ทั้งรู้ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ ชั้นสังหรณ์ใจไม่ดีเลยยงยุทธ”
ยงยุทธเข้าไปจับมือดาราปลอบใจ
“ผมอยู่นี่ทั้งคน...คุณไม่ต้องกลัวนะดารา”
ดารานิ่งมองยงยุทธอย่างพยายามคิดว่าคงจะไม่มีเรื่องอะไรที่น่ากังวล

หลายวันผ่านไปที่บ้านกำนันบุญ ก้องเกียรติเปิดผ้าคลุมออกทุกคนต่างทึ่งในฝีมือปลอมพระพุทธรูปที่เหมือนองค์จริงไม่มีผิด
“ฝีมือของอาจารย์ยอดเยี่ยมสมกับที่ท่านไว้วางใจยกให้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว แค่ไปดูของจริงครั้งเดียวก็ทำเลียนแบบได้แล้ว”
“ก็ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แค่เอาไว้หลอกตา ถ่วงเวลาพวกที่ตาไม่ถึงได้เท่านั้น”
“ชั้นกับอาจารย์จัดการเตรียมทุกอย่างให้ตามแผนที่กำนันบอกมาแล้ว หวังว่ากำนันคงไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
ประดับมองกำนันบุญที่มีสีหน้ามั่นใจ

พระพุทธรูปฟ้าผ่าถูกนำขึ้นไว้ที่ท้ายรถจี๊ปของอาจารย์ประทีปเพื่อเตรียมนำเข้ากรุงเทพฯ
“ระหว่างที่ชั้นกับอาจารย์ประทีปนำพระพุทธรูปไปส่งให้พิพิธภัณฑ์ ฝากพวกเด็กๆ ทางนี้ ด้วยนะคะอาจารย์ดำรง” ดาราบอกกับดำรง
“ผมว่าให้ผมไปด้วยดีกว่าครับอาจารย์” ขุนเดชบอก
“ไม่เป็นไรหรอกขุนเดช เธอไปช่วยดูงานขุดแต่งที่เขาพระศรีให้ชั้นดีกว่า งานที่นั่นยังไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไหร่”
“มีชั้นไปด้วย แกไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งคนทั้งของ ชั้นจะดูแลเอง”
ขุนเดชนิ่งไป ยงยุทธกับดารานั่งรถจี๊ปคันเดียวกันเป็นคันที่มีพระพุทธรูป ส่วนจ่าแท่นกับอาจารย์ประทีปนั่งรถตามไปอีกคัน

รถจี๊ปสองคันขับตามกันมาตามถนน รถของอาจารย์ประทีปกับจ่าแท่นขับนำเป็นคันแรก จนผ่านมาถึงสะพาน ข้ามแม่น้ำอยู่ๆ เสียงระเบิดก็ดังสนั่น….ตู้มมมมม !!
ระเบิดถูกวางเอาไว้ที่กลางสะพาน ทำให้รถสองคันต้องเบรคเอี๊ยด อาจารย์ประทีปหัวกระแทกกับคอนโซลจน ได้เลือด ส่วนยงยุทธกับดาราปลอดภัยแต่ก็รีบมาดู
“เป็นไงมั่งจ่า”
“ผม...ผมไม่เป็นไรครับ แต่อาจารย์ประทีป”
ระหว่างนั้นเสียงปืนดังขึ้นจากทั่วสารทิศ ยงยุทธกับดาราและจ่าแท่นก้มหลบกันเป็นพัลวัล สัมฤทธิ์สวมหมวกไอ้โม่งพร้อมลูกน้องอีกขโยง กรูเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือระดมสาดกระสุนใส่อย่างกับห่าฝน ยงยุทธกับจ่าแท่นยิงสวนตอบโต้ แต่สู้กับจำนวนพวกมันที่มากกว่าไม่ได้ สัมฤทธิ์เลยได้โอกาสบุกเข้ามายึดรถที่มีพระพุทธรูปอยู่ท้ายรถขับออกไป
“ยงยุทธพวกมันเอาพระพุทธรูปไปแล้ว”
“จ่า...ยิงเปิดทางให้ผมที”
“ครับหมวด”
จ่าแท่นพยายามยิงเปิดทางให้ยงยุทธขึ้นรถจี๊ปไล่ตามพวกโจรไปเอาพระพุทธรูปคืน ยงยุทธจับรถไล่ตามไปก็ยิงใส่พวกโจรที่เหลือไปด้วยจนเหลือพวกโจรที่ยิงใส่จ่าแท่นอยู่อีก 2-3 คน
“ไม่ต้องห่วงนะครับอาจารย์ ไอ้พวกที่เหลือ ไม่ใช่ปัญหา ผมสอยหมดแน่”
แต่พูดไม่ทันขาดคำพวกมันยิงใส่...ฟิ้วววว เฉี่ยวหัวจนหมวกตำรวจของจ่าแท่นกระเด็น จ่าแท่นหน้าเสีย ดาราเลยคว้าเอาปืนอีกกระบอกของจ่าแท่นมาขึ้นลำอย่างคล่องแคล่ว
“ชั้นช่วยเองค่ะจ่า”
ดารายิงใส่ตอบโต้พวกมันอย่างมั่นใจ..เปรี้ยงๆๆๆ จ่าแท่นถึงกับอึ้งไม่คิดว่าดาราจะเอาเรื่องเหมือนกัน

ยงยุทธขับรถจี๊ปไล่ตามเข้ามาจนเจอรถจี๊ปจอดอยู่ในโรงสี สัมฤทธิ์กับลูกน้องตั้งป้อมรอรับอยู่แล้ว
“ใครจัดการฆ่าไอ้ยงยุทธได้ กลับไปข้าจะจัดชุดใหญ่ให้หนำใจเลยเว้ย”
พวกลูกน้องเฮเสียงดังลั่น พอยงยุทธจอดรถเอี๊ยดพวกมันก็ดาหน้าออกมาเปิดฉากระดมยิงใส่ทันที
ยงยุทธต้องรีบเข้าไปหลบห่ากระสุนที่หลังรถตกอยู่ในสถานการณ์ถูกรุมกินโต๊ะ
“โธ่เว้ย !!”

จ่าแท่นกับดาราช่วยกันยิงตอบโต้ใส่พวกลูกน้องกำนัน จนกระสุนปืนของดาราหมด
“จ่า...กระสุนชั้นหมดแล้ว”
“ทางผมก็หมดเหมือนกันครับอาจารย์”
ดารากับจ่าแท่นหน้าเครียด พวกลูกน้องกำนันบุญเห็นพวกจ่าแท่นเงียบเสียงปืนไปก็ยิ้มได้ใจรีบออกจากที่หลบ ตรงเข้ามากะจะเก็บให้เกลี้ยง แต่ทันใดนั้นเสียงบิดมอเตอร์ไซค์ก็ดังเข้ามา
ขุนเดชบิดคันเร่งพุ่งตรงเข้ามา พวกมันหันไปยิงใส่ไม่ยั้ง แต่ไม่มีนัดไหนโดน มือหนึ่งขุนเดชจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์อีกมือชักปืนออกมาเล็งแล้วยิง...เปรี้ยงๆๆๆ ลูกน้องกำนันบุญโดนลูกปืนล้มกลิ้ง แต่ไม่ถึงตายพวกมันรีบลากสังขารหนีเอาตัวรอด
“ขุนเดช”
“แล้วพระพุทธรูปล่ะ”
“ยงยุทธกำลังตามไปเอาคืน”

ยงยุทธติดอยู่ในห่ากระสุนที่พวกสัมฤทธิ์ระดมยิงใส่ กลายเป็นกับดักที่ทำเอายงยุทธต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ ยงยุทธคิ้วขมวดพยายามคิดหาทางแก้ ทางฝั่งสัมฤทธิ์สาดกระสุนไปได้ครู่ก็เห็นยงยุทธเงียบไป สัมฤทธิ์เห็นปลายเท้าโผล่ออกมาจากด้านข้างรถ เลยส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องตีโอบเข้าไปใกล้
พวกลูกน้องบุกเข้าไปประชิดแล้วจะรุมยิงใส่ แต่กลับพบว่าเท้าที่เห็นโผล่ออกมาเป็นแค่รองเท้าที่ยงยุทธถอด ทิ้งไว้ กว่าพวกมันจะรู้ตัวว่าถูกหลอก ยงยุทธก็โผล่มาจากชั้นสองของโรงสียิงใส่พวกมัน...เปรี้ยงๆๆๆ สัมฤทธิ์กับพวกลูกน้องวงแตกกระเจิงไม่ทันตั้งรับ สัมฤทธิ์เจ็บใจ
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ยงยุทธ”
สัมฤทธิ์กับพรรคพวกพากันหนีออกไป ยงยุทธไม่ตามพวกมันไปรีบเข้าไปดูองค์พระที่ท้ายรถ พบองค์พระพุทธรูปยังอยู่ในสภาพเหมือนเดิม ยงยุทธโล่งอก

เปรื่องขับรถจี๊ปเข้ามาจอดในป่าที่ลับตาคนแล้วเปิดผ้าคลุมท้ายรถออก องค์พระพุทธรูปองค์จริงพระพักต์งดงามอยู่ท้ายรถ เปรื่องหัวเราะชอบใจเสียงแปล่งแหลม

กำนันบุญสงสัยถามสัมฤทธิ์เมื่อไม่เห็นเปรื่อง
“ทำไมไอ้เปรื่องถึงไม่มาพร้อมกับเอ็ง”
“พี่เปรื่องให้ชั้นแวะเปลี่ยนองค์พระระหว่างทาง แล้วให้ชั้นไปลุยกับพวกนั้น ชั้นก็นึกว่า พี่เขาจะมาถึงก่อน”
“ไม่เห็นมันจะโผล่หัวมาเลย หรือว่า...”
“ชั้นว่ากำนันกับลูกชายเสียรู้ไอ้นักขุดนั่นแล้ว”
ประดับบอก สัมฤทธิ์ตกใจ
“พี่เปรื่องหักหลังเราเหรอพ่อ ชั้นจะไปจัดการมัน”
สัมฤทธิ์จะออกไปแต่ประดับคว้าคอเสื้อไว้
“อย่างแกส่งไปก็มีแต่ตายกับตาย” ประดับผลักสัมฤทธิ์จนกระเด็นแล้วหันมาข่มกำนันบุญต่อ “กำนัน...ถ้ายังเอาพระพุทธรูปฟ้าผ่าคืนมาไม่ได้ คงรู้นะว่ากำนันจะโดนอะไรบ้าง”
ประดับขู่กำนันบุญแล้วเดินออกไป กำนันบุญหันมาชักสีหน้าเจ็บใจ
“ไอ้เปรื่อง...มึงกล้าหักหลังกู...มึงตาย !!”

ที่ร้านอาฮวดบัวทองคุยข่มสาลี่
“เป็นไงล่ะป้า…พอถึงเวลาเขายิงกันตู้มๆๆ วีรบุรุษของป้าไม่เห็นจะโผล่หัวไปช่วยใครเขาได้เลย มีแต่พี่ขุนเดชกับหมวดที่ช่วยรักษาพระพุทธรูปไว้”
สาลี่เถียงไม่ออก เอาพัดมาแกล้งทำเป็นพัดไล่ร้อนลอยหน้าลอยตา
“ช่วงนี้อากาศมันร้อน สู้กับโจรมาเหนื่อยก็ต้องพักบ้างสิ”
“อาสาลี่…แถไปได้ข้างๆ คูๆ ระวังสีข้างถลอกนะ อิอิอิ”
“ไอ้ฮวด ไม่ต้องมาสาระแนขายของไป ช่วงนี้ยิ่งขายไม่ดีอยู่ด้วย ลูกค้าหายหัวไปไหนหมดก็ไม่รู้” สาลี่แก้เก้อด่าผัวแล้วหันไปเห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามานึกว่าเป็นลูกค้า “เชิญค๊า…เชิญ จะกินก๋วยเตี๋ยว โอเลี้ยง กาแฟ มีทุกอย่างเลยนะค๊า”
ชายฉกรรจ์มองไปรอบๆ อย่างเอาเรื่อง
“ไอ้เปรื่องมาที่นี่รึเปล่า”
“อ๋อ…มาจ้ะ”
ไม่ทันขาดคำสาลี่ก็โดนชายฉกรรจ์กระชากคอมาตะคอกใส่ ฮวดกับบัวทองตกใจ
“มันอยู่ไหน”
“ใจเย็นๆ ก่อนจ้ะที่บอกว่ามา ชั้นหมายถึงว่าเคยมา แต่ตอนนี้ไม่ได้มา”
“ก็พูดให้มันรู้เรื่องสิวะอีแก่” ชายฉกรรจ์ผลักสาลี่จนกระเด็น ฮวดต้องรีบเข้าไปประคองบัวทองสังเกตเห็นพวกนั้นพกปืนที่เอว “เฮ้ย ไปหาที่อื่นต่อ”
พวกชายฉกรรจ์พากันออกไป สาลี่ยังไม่หายตกใจ
“ชั้นว่าวีรบุรุษของป้าสงสัยจะไปมีเรื่องเหยียบตาปลาพวกผู้มีอิทธิพลแถวนี้เข้าแล้วล่ะ” บัวทองบอก

ที่แคมป์โบราณคดี ขุนเดชยืนมองพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ตรงหน้า คิ้วขมวดสงสัยก่อนจะตัดสินใจหันไปหยิบค้อนขึ้นมาแล้วเงื้อจะทุบทำลาย แต่ระหว่างนั้นยงยุทธ ดาราและอาจารย์ประทีปเข้ามาเห็นพอดี
“หยุดนะเว้ยขุนเดช” ยงยุทธรีบเข้าไปคว้ามือเอาไว้ได้ทันแล้วแย่งเอาค้อนจากมือออกมา “นี่แกทำบ้าอะไรของแกวะ กว่าชั้นจะเอาองค์พระกลับมาได้ ชั้นเกือบต้องแลกด้วยชีวิตเลยนะเว้ย”
“แต่พวกเราทุกคนกำลังถูกหลอก”
“หมายความว่ายังไงขุนเดช”
“เธอดูที่องค์พระให้ดีสิดารา”
ดารากับอาจารย์ประทีปนิ่งไปก่อนจะหยิบแว่นขยายเข้าไปส่องดูองค์พระอย่างพิจารณาอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งคู่จะ ตกใจหน้าเสีย
“อาจารย์ประทีปคะ...ตรงนี้ชัดมากเลยค่ะ”
ดาราชี้ให้อาจารย์ประทีปช่วยตรวจสอบแล้วพบจุดตำหนิที่ชัดเจนมากจนรู้เลยว่าเป็นองค์ปลอม ยงยุทธพลอยสงสัยไปด้วย
“มีอะไรเหรอดารา”
“พระพุทธรูปองค์นี้เป็นของปลอม”
“ว่าไงนะ...ของปลอม”
ยงยุทธตกใจหันไปมองขุนเดชที่ขบกรามเจ็บใจ

บัวทองซ้อมรำอยู่ที่ลานใต้ถุนบ้าน แต่สมาธิไปจรดจ่ออยู่ที่เสียงคุยกันของคำปันกับจ่าแท่น
“ของปลอมเหรอพี่จ่า”
“ก็ใช่น่ะสิ ได้ยินหมวดบอกว่าฝีมือทำปลอมระดับอาจารย์เลย ถ้าไม่ใช่คนที่ตาถึง แล้วก็ระดับอาจารย์ด้วยกันจริงๆ ไม่มีทางดูออก”
บัวทองรีบแทรกเข้ามาทันที
“พี่ขุนเดชนี่เก่งเนอะแม่ มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าเป็นของปลอม”
“พ่อขุนเดชทำงานกับอาจารย์ประทีปมาเป็นสิบปี ตระเวนบูรณะโบราณสถาน โบราณวัตถุมาแทบจะทั่วประเทศ ก็ไม่แปลกหรอกที่จะดูออก”
“แต่ก็น่าเจ็บใจนะแม่ แสดงว่าไอ้พวกนี้ทำเป็นขบวนการ แบบนี้ต้องสืบให้ได้ว่าองค์จริงอยู่ที่ไหน จะได้ตามไปเอาคืน”
บัวทองหน้าตาจริงจังครุ่นคิดหาทาง คำปันมองลูกสาวตาดุ
“บัวทอง”
“จุ๊ๆๆ เงียบแป๊บนึงแม่ ชั้นกำลังใช้ความคิดหาทางสืบ” คำปันไม่พอใจดึงหูลูกสาวทันที บัวทองร้องโอ๊ยดังลั่น
“ชั้นเจ็บนะแม่…เบาๆ”
“ทีเรื่องพวกนี้ล่ะไวนัก ทีให้ซ้อมรำ ให้ทำงานบ้านล่ะบ่นตลอด”
“ก็เรื่องนี้มันเรื่องสำคัญ…สมบัติของชาติ มรดกของรุ่นลูกรุ่นหลานที่เราต้องช่วยปกป้อง ก็เหมือนกับที่แม่ให้ชั้นหัดรำไง อนุรักษ์มรดกเหมือนกัน”
“ดู…ยังมาเถียงข้างๆ คูๆ อีก ไปเลย…ไปซ้อมรำ เรื่องพวกนี้ให้เป็นหน้าที่ขุนเดชกับ หมวดยงยุทธเขา…ไป”
“จ้า…ไปก็ได้”
บัวทองหน้างอเดินไปซ้อมรำต่อ แต่สีหน้ายังติดใจสงสัยคิ้วขมวดไม่เลิกคิดวางแผน

ดาราเดินเข้ามาหาขุนเดชที่กำลังยืนใช้ความคิด
“อาจารย์ประทีปจะจัดการทำลายองค์พระปลอมให้ จะได้ไม่มีใครแอบเอาไปใช้ประโยชน์ได้อีก ขอบใจเธอมากนะขุนเดช”
“ผมได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน อาจารย์ก้องเกียรติมาขอดูองค์พระถึงที่นี่”
“เขาเป็นคนแรกเลยที่ชั้นสงสัย แต่เราไม่มีหลักฐานอะไรที่จะไปกล่าวหาว่าเป็นฝีมือเขา ห่วงแต่ว่าพระองค์จริงจะตกไปอยู่ในมือของใคร ถ้าเป็นพวกต่างชาตินำออกไปก็คงยากที่จะได้กลับคืน”
“ไม่หรอกดารา ผมจะตามหาพระองค์จริงกลับมาให้ได้”
“มีทางเหรอยงยุทธ”
ยงยุทธพยักหน้ารับมั่นใจ
“ผมพอจะรู้ว่าจะเริ่มสืบจากใครได้”

ที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง ยงยุทธนำกำลังตำรวจบุกผลักประตูเข้าไปค้นหาตัวเปรื่องในบ้านแต่ไม่พบแม้แต่เงา เจอแต่สภาพห้องที่ถูกรื้อค้นซะจนกระจุย จ่าแท่นที่ไปหารอบๆ เข้ามารายงาน
“ไม่เจอตัวมันเลยครับหมวด ทั้งในบ้านนอกบ้าน โดนรื้อซะกระจุย”
“ผมว่าไม่ใช่แค่เราแล้วล่ะที่ตามล่าตัวนายเปรื่อง สภาพถูกรื้อค้นแบบนี้ แสดงว่ามันต้องมีของสำคัญ”
“องค์พระจริงอย่างที่หมวดสงสัย”
ยงยุทธพยักหน้ารับ
“นายเปรื่องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่...สั่งทุกคนให้จับเป็นนายเปรื่องให้ได้ ผมต้องการตัวมาสอบปากคำ งานนี้เราต้องสาวให้ถึงไอ้ตัวบงการ”
“ครับหมวด”

ชายฉกรรจ์กลุ่มที่ถูกส่งให้มาตามล่าเปรื่องเข้ามาตามหาเปรื่องในป่า พวกมันเห็นแสงไฟที่เปรื่องก่อกองไฟเอาไว้
“เอ็งไปทางนั้น ส่วนเอ็ง ระวังทางโน้น กำนันสั่งมาว่าไอ้นี่ฝีมือมันเอาเรื่อง ข้านับถึงสามเมื่อไหร่ลงมือพร้อมกัน”
พวกมันเข้าใจแผนการแล้วแยกย้ายกันไปตีโอบ แต่เปรื่องค่อยๆ โผล่ออกมาจากมุมมืด บนหน้าของมันมีดินดำ ป้ายหน้าพรางตาแบบพวกทหารป่า ชุดทหารที่มันใส่เลยทำให้มันดูไม่ต่างจากทหารที่เชี่ยวชาญการรบในป่า
เปรื่องย่องเบาตามคนหนึ่งไปอย่างเงียบๆ แล้วเอาเชือกเอ็นขึ้นมาม้วนก่อนจะใช้เป็นที่รัดคอ ชายร่างใหญ่ดิ้น ทุรนทุรายก่อนจะขาดใจตายไม่ส่งเสียงร้องสักแอ๊ะ เปรื่องยิ้มร้ายๆ ก่อนจะย่องตามอีกคนไปอย่างเงียบๆ ชักมีดพกทหารขึ้นมา พอมันรู้สึกตัวว่ามีคนเดินตามหันขวับมาเปรื่องก็ซัดมีดพกเข้ากลางอกทันที…ฉึก !! ร่างของมันร่วงตกลงไปในน้ำตก…ตูม
ชายฉกรรจ์คนสุดท้ายได้ยินเสียงเพื่อนตกน้ำก็หันมาเห็นเปรื่อง มันชักปืนยิงใส่ทันที....เปรี้ยงๆๆๆๆ เปรื่องกระโจนหลบไปหลังต้นไม้ แล้วควักเอาระเบิดลูกเลี้ยง อาวุธถนัดมือขึ้นมาโยนเล่นไปมา พร้อมหัวเราะเสียงแปล่งแหลมดังน่ารำคาญ

ขุนเดชช่วยคำปันดูหลังคาบ้านที่พังจนเป็นรูใหญ่
“พอจะซ่อมได้มั้ยพ่อขุนเดช”
“ได้สิจ๊ะน้า ไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวชั้นจัดการให้”
“เกรงใจพ่อขุนเดชจังเลย”
“อย่าเกรงใจเลยจ้ะน้า ตอนเล็กๆ ถ้าชั้นไม่ได้น้าช่วยเลี้ยง ชั้นคงกลายเป็นเด็กพุงโล หัวโตไปแล้ว”
“งั้นพรุ่งนี้ให้ชั้นช่วยเป็นลูกมือพี่นะ”
“เอาอีกแล้วนะบัวทอง ทำไมตอนเกิด ไม่มาเป็นผู้ชายซะเลย แม่จะได้ไม่ต้องมากลุ้มใจ” คำปันบ่นได้ครู่ ขุนเดชก็หันขวับเพราะได้ยินเสียงบางอย่างดังแว่วมาไกลๆ “มีอะไรเหรอจ๊ะพ่อขุนเดช”
“แม่ไม่ได้ยินเหรอ เสียงดังตู้มๆ อย่างกับระเบิด มาจากทางเขาโน้น” บัวทองบอก
“บัวทองก็พูดเกินไป เสียงประทัดน่ะจ้ะน้า คงเป็นพวกเด็กๆ เอาประดับไปจุดเล่น ไว้พรุ่งนี้ชั้นจะมาซ่อมหลังคาให้แล้วกันนะจ๊ะน้า”
“ขอบใจจ้ะพ่อขุนเดช”
ขุนเดชยกมือไหว้คำปันแล้วเดินออกไป บัวทองมองตามสีหน้าสงสัยแววตาที่ขุนเดชดูชะงักนิ่งเมื่อได้ยินเสียงดังจากบนภูเขา

วันต่อมาพวกชาวบ้านกำลังจับกลุ่มมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ที่ริมตลิ่ง ขุนเดชขับรถกระบะที่บรรทุกสังกะสีกับไม้ที่จะเอาไปซ่อมหลังคาบ้านให้คำปันผ่านเข้ามา บัวทองมองชาวบ้านอย่างสนใจ
“พี่ขุนเดชจอดรถก่อน ตรงนั้นชาวบ้านเขามุงอะไรกัน” ขุนเดชจอดรถที่ข้างทาง บัวทองรีบเดินไปแหวกกลุ่มพวกชาวบ้านอย่างอยากรู้อยากเห็น “มีอะไรกันเหรอจ๊ะน้า”
บัวทองถามไปก่อนจะชะงักอึ้งเมื่อพบว่าที่พวกชาวบ้านกำลังมุงดูอยู่คือศพของชายฉกรรจ์ที่ถูกเปรื่องปามีด ใส่แล้วตกน้ำลอยมาตามน้ำจากบนภูเขา
“สงสัยจะเป็นพวกลักตัดไม้บนเขา ทะเลาะกันเองแล้วทิ้งศพให้ไหลตามน้ำมา”
พวกชาวบ้านเห็นแล้วก็สังเวช เอาผ้ามาช่วยคลุมศพ

ขุนเดชจอดรถกระบะที่หน้าบ้านคำปัน ขุนเดชลงจากรถไปหยิบอุปกรณ์ซ่อมหลังคาลง บัวทองส่งเสียงดังเพราะนึกออก
“ชั้นนึกออกแล้วพี่ขุนเดช…ใช่แน่ๆ”
“นึกอะไรออกเหรอบัวทอง”
“ก็ศพผู้ชายที่เราเจอตอนเข้ามาไง หมอนั่นไม่ใช่พวกลักตัดไม้หรอกพี่ขุนเดช ชั้นจำหน้าได้ หลายวันก่อนที่ร้านอาฮวดคนนี้แหละที่มาตามหานายเปรื่อง เสียงแปล่ง” ขุนเดชฟังที่บัวทองเล่ามาแล้วสีหน้าสนใจ “ได้ยินว่าหมวดกำลังตามหานายเปรื่องอยู่ ชั้นว่าเอาเรื่องนี้ไปบอกหมวดดีกว่า”
บัวทองจะออกไปแต่โดนขุนเดชดึงเอาไว้
“เดี๋ยวบัวทอง”
“อะไรอีกล่ะพี่ขุนเดช”
“พี่ลืมของไว้ที่ร้าน เดี๋ยวพี่จะกลับไปเอา ระหว่างทางผ่านโรงพัก พี่จะไปบอกยงยุทธเอง”
“งั้นชั้นไปด้วย”
บัวทองพูดไม่ทันขาดคำ คำปันก็เดินออกมา
“จะไปไหนอีกบัวทอง…อยากโดนแม่ตีอีกใช่มั้ย”
บัวทองสะดุ้งโหยงหันไปเห็นแม่ตีหน้าดุใส่

กำนันบุญอ่านจดหมายในมือแล้วขยำปาทิ้งอย่างหัวเสีย
“มันเขียนมาว่าไงพ่อ”
“มันบอกว่าถ้าเราอยากได้องค์พระคืนให้กล้าสู้ราคากับมัน ไม่งั้นมันจะเอาไปปล่อยให้พวกฝรั่ง”
“ไอ้สารเลวเอ้ย !! มันได้เงินค่าจ้างเราไปแล้วยังจะคิดแบลคเมล์เราอีก ชั้นจะไปตามล่ามันเองพ่อ”
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ คนที่ข้าส่งไปตามล่ามันฝีมือก็ไม่ได้ธรรมดา ถ้าไอ้เปรื่องมันกล้าส่งจดหมายมาต่อรองกับข้าแบบนี้ ก็แสดงว่าไอ้พวกที่ส่งไปกลายเป็นศพไปหมดแล้ว”
กำนันบุญหันมาหน้าเครียด ประดับกับลูกน้องเข้ามา
“ชั้นว่างานนี้กำนันคงรับมือไม่ไหวแล้ว”
“แกอย่ามาดูถูกพ่อข้านะเว้ย”
สัมฤทธิ์จะเข้าไปเอาเรื่องแต่ลูกน้องประดับก้าวออกมาจ้องหน้า
“พอได้แล้วไอ้สัมฤทธิ์ ได้...ถ้าคุณอยากลงมือเองผมก็ไม่ว่าอะไร อยากให้ผมช่วยอะไรก็บอกมาแล้วกัน ยังไงเราก็ลงเรือลำเดียวกันอยู่แล้ว”
“ตอนนี้ตำรวจกำลังตามล่าตัวไอ้เปรื่องอยู่ด้วย ชั้นไม่อยากให้พวกนั้นมาเกะกะขวาง ทาง งานนี้ลูกชายกำนันคงพอทำได้นะ”
กำนันบุญหันไปมองหน้าสัมฤทธิ์

ขุนเดชกลับเข้ามาในกระท่อม หยิบดาบดำที่ซ่อนอยู่ในตู้เก็บของออกมา ดาบดำที่ถูกชักออกจากฝักคมวาววับ
แววตาของขุนเดชเต็มไปด้วยความจงเกลียดจงชังและดุดันจนน่ากลัว ขุนเดชเสียบดาบคืนฝักเหน็บหลังเอว หน้าตามุ่งมั่นเอาจริง
ขุนเดชแบกเป้สนามเดินออกมาจากกระท่อมกำลังจะไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ แต่เสียงหลวงลุงดังขึ้น
“ขุนเดช”
ขุนเดชชะงักไปครู่
“ครับหลวงลุง”
“หลวงลุงจะมาชวนเอ็งไปนั่งทำสมาธิกรรมฐานด้วยกัน เห็นเอ็งบ่นว่าช่วงนี้มีเรื่อง รบกวนจิตใจ” ขุนเดชนิ่งไป
“จิตที่สงบจะช่วยทำให้เอ็งไม่ฟุ้งซ่านนะ”
ขุนเดชตัดใจเดินไปคุกเข่าพนมมือไหว้หลวงลุง
“ผมขอโทษด้วยครับหลวงลุง ผมมีธุระสำคัญต้องจัดการให้เรียบร้อยไว้เสร็จธุระแล้ว ผมจะรีบกลับมาครับ”
ขุนเดชก้มกราบเท้าหลวงลุงเหมือนคนที่สำนึกต่อบาปก่อนจะลุกไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์
“ขุนเดช…อย่าให้มันสายเกินไปนะ”
ขุนเดชนิ่งไปดวงตามีแววของความเศร้าหมองก่อนจะบิดคันเร่งพุ่งทะยาน หลวงลุงมองส่งแล้วถอนใจ

ที่สถานีตำรวจ ยงยุทธกับจ่าแท่นได้รับเรื่องจากชาวบ้านที่ถูกทำร้ายมาหน้าตาฟกช้ำ
“แน่ใจนะว่าเป็นนายเปรื่อง เสียงแปล่ง”
“มั่นใจครับหมวด ใครได้ยินเสียงมันก็จำได้แม่น ตอนแรกผมก็นึกว่ามันเป็นคนดี แต่ตอนนี้ลายมันออก มันรู้ว่าบ้านผมมีพระเชียงแสนหายาก มันเลยบุกเข้ามา”
“ไอ้นี่มันชักจะเหิมเกริมใหญ่แล้วนะครับหมวด”
“แล้วพอจะรู้มั้ยว่ามันหนีไปทางไหน”
“รู้ครับ”
“จ่า…เตรียมคนให้พร้อม เราจะออกตามล่ามัน”
“ครับหมวด”

ยงยุทธกับจ่าแท่นและกำลังตำรวจพากันออกมาขึ้นรถแล้วขับออกไป สัมฤทธิ์กับลูกน้องจอดรถอยู่อีกฝั่งของถนน ชาวบ้านที่เข้าไปบอกเรื่องเปรื่องให้ยงยุทธรู้เดินออกมาหาสัมฤทธิ์ที่ยื่นเงินค่าจ้างให้สัมฤทธิ์ยิ้มร้ายๆ

ขุนเดชแบกเป้สนามเดินลุยเข้ามาในป่า ขุนเดชมองสภาพป่ารอบๆ ตัวอย่างระมัดระวังเดินต่อไปอีกได้ครู่ขุนเดชก็หยุดนิ่ง
ขุนเดชค่อยๆ ก้มลงเห็นเชือกเอ็นที่ขึงเอาไว้ที่พื้นมองตามเชือกไปก็บว่ามันถูกผูกติดเอาไว้กับระเบิด ซึ่งถ้าเดินเตะเชือกมันก็จะกระตุกเกี่ยวสลักให้ระเบิดทำงาน
อ่านต่อหน้าที่ 3




ขุนเดช ตอนที่ 5 (ต่อ)
เปรื่องกำลังใช้มีดสปาร์ต้าเล่มใหญ่ผ่าฟืนเพื่อใช้สำหรับก่อกองไฟ แต่ระหว่างนั้นได้ยินเสียงหม้อสนามกระทบกันเพราะผูกเชือกเอาไว้เป็นสัญญาณดัก เปรื่องรู้ตัวมันทีว่ามีผู้บุกรุกเข้ามา
“ไอ้กำนัน...สงสัยจะไม่เข็ด คิดจะส่งคนมาจัดการกูอีก งั้นเดี๋ยวได้เจอชุดใหญ่แน่”
เปรื่องปักมีดไว้ที่ขอนไม้ แล้วไปหยิบระเบิดที่พกใส่เป้ทหารมาเพียบ แต่ยังไม่ทันจะหยิบระเบิดออกมา ระเบิด ลูกหนึ่งก็ลอยละลิ่วกลิ้งตามมาพื้นมาหยุดที่เท้าตัวเอง เปรื่องเห็นเข้าก็หน้าเหวอ
“ชิบหายแล้ว”
เปรื่องกระโดดตัวลอยหมอบลง หน้าแนบพื้นหลับตาปี๋นึกว่าระเบิดจะทำงาน แต่ทุกอย่างกลับเงียบกริบ เปรื่องสงสัยเลยลุกมาหยิบระเบิดที่ถูกโยนใส่มาดู เปรื่องเจ็บใจ
“ใช้ไม่ได้แล้วนี่หว่า...ใครวะ...เล่นแบบนี้ ไม่ขำนะเว้ย” ขุนเดชค่อยๆ เดินออกมาหน้านิ่ง ขรึมแต่ดูน่าเกรงขาม
“แก...ไอ้ขุนเดช”
“องค์พระของจริง แกเอาไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“อ๋อ...มาตามหาองค์พระ หึๆๆ คงเห็นพวกชาวบ้านชื่นชมชั้นตอนที่โดนหลอกว่าชั้นเป็นคนไล่ไอ้ฆาตกรล่องหนนั่น ลูกจ้างราชการอย่างแกก็เลยอยากเลียนแบบ อยากดังด้วย”
“สมบัติทุกชิ้นบนแผ่นดินนี้ ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของใคร มันผู้ใดที่คิดทำลายและครอบครอง มันต้องได้รับโทษ”
ขุนเดชพูดไปก็หยิบดาบดำทั้งปลอกขึ้นมา เปรื่องเริ่มสงสัย “นี่แก...หรือว่าแกเป็น...ไอ้วีรบุรุษบาป”
ขุนเดชชักดาบดำออกมา คมดาบต้องแสงแดดสะท้อนวาววับ
“ข้าน้อยขุนเดช ทหารของพระร่วงเจ้า ขอตัดสินให้คนบาปต้องรับโทษด้วย...ความตาย !!”
ขุนเดชควงดาบด้วยเชิงดาบอันดุดัน เปรื่องมีท่าทางตกใจไปนิดนึงแต่ก็ยิ้มอย่างถูกใจขึ้นมา
“ทหารของพระร่วงงั้นเหรอ...ดี...แบบนี้ค่อยสมน้ำสมเนื้อกับทหารผ่านศึกอย่างข้าหน่อย” เปรื่องหันไปคว้ามีดสปาร์ต้าที่ปักขอนไม้ขึ้นมา “เข้ามาเลย...ที่นี่มันสมรภูมิรบของข้า ไม่ใช่ของเอ็งเว้ย ไอ้ขุนเดช”
ทั้งคู่กระชับดาบในมือแน่น

บัวทองซ้อมรำอยู่ที่ลานบ้าน มีคำปันคอยตีกรับให้จังหวะ
“ใจลอยไปไหนบัวทอง ตั้งใจหน่อยสิ”
“พักก่อนไม่ได้เหรอแม่ พี่ขุนเดชไปเอาของตั้งนานแล้วไม่เห็นมาสักที”
“พ่อขุนเดชเขาไปเอาของแล้วเกี่ยวอะไรกับเรา”
“ก็...ก็...ก็ชั้นต้องช่วยพี่ขุนเดชซ่อมหลังคาบ้านไง”
“นั่นมันงานของพ่อขุนเดชเขา เราน่ะไม่ต้องไปยุ่งเลย ซ้อมไป..รำให้สวยด้วย ถ้าไม่สวยนะ แม่ตีมือหักแน่”
“จ้า”
บัวทองหน้างอ แล้วรำตามจังหวะที่คำปันตีกรับให้จังหวะ

ขุนเดชกับเปรื่องวิ่งลุยน้ำกลางน้ำตกจู่โจมเข้าฟาดฟันกัน ประกายไฟจากคมดาบที่ประทะกันกระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง ฝีมือการต่อสู้ด้วยดาบของเปรื่องเอาเรื่องพอตัว เพราะสามารถรับมือการรุกไล่ของขุนเดชได้แทบทุกเชิงดาบ
เปรื่องพยายามรุกใส่ขุนเดชอย่างหนักจนขุนเดชต้องเป็นฝ่ายตั้งรับและล่าถอย จนเปรื่องมั่นใจว่าสามารถเล่น งานขุนเดชได้ เลยบ้าพลังลุยฟันไม่หยุด ขุนเดชยกดาบขึ้นรับ เปรื่องออกแรงกดลงไปเต็มที่ก่อนจะถีบยอดอกขุนเดชกระเด็นตกลงไปในแอ่งน้ำ...ตูม
เปรื่องรีบกลับไปหยิบปืนที่แขวนอยู่ตรงต้นไม้มายิงใส่แอ่งน้ำที่ขุนเดชจมลงไป...ปังๆๆๆๆ
ขุนเดชอยู่ใต้น้ำไม่ได้เป็นอะไร แต่ดำลงไปในน้ำไม่ยอมโผล่ขึ้นมา ลูกกระสุนที่เปรื่องยิงใส่พุ่งลงมาอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มีนัดไหนโดนเลย ขุนเดชนิ่งมีสมาธิกลั้นหายใจรอ เปรื่องยิงจนกระสุนหมดแม๊กแล้วหันไปหยิบระเบิดมาโยนใส่ลงไปในน้ำอีก..ตูม น้ำกระจายขึ้นมาห่าใหญ่
“ฮ่าๆๆๆ เละตุ้มเป๊ะเป็นอาหารปลาอยู่ในนั้นไปเถอะไอ้ขุนเดช...ฝีมืออย่างเอ็ง มันห่างจากข้าหลายขุมเว้ย”
เปรื่องหัวเราะชอบใจ หันไปคว้ากระเป๋าเป้แล้วรีบออกไป ขุนเดชค่อยๆ โผล่ขึ้นจากน้ำมาหายใจ สายตาจับจ้องเขม็งและยิ้มร้ายเพราะหลอกล่อให้เปรื่องตายใจสำเร็จจะได้ตามเปรื่องไปเอาองค์พระที่มันซุกซ่อนเอาไว้
จบตอน 10

ขุนเดช ตอน 11.1
ยงยุทธพร้อมกับจ่าแท่นนำกำลังตำรวจเข้ามาตามล่าตัวเปรื่อง เสียงแปล่ง ตรวจสอบบริเวณที่เกิดการต่อสู้ ระหว่างขุนเดชกับเปรื่องพบปลอกกระสุนปืนเกลื่อน
“เละตุ้มเป๊ะ...อย่างกับสมรภูมิรบย่อยๆ เลยครับหมวด”
“ฝีมือคนที่พยายามจะเล่นงานนายเปรื่องไม่ธรรมดาแน่ ไม่งั้นคงไม่ลุยกันขนาดนี้”
“หมวดสงสัยว่าจะเป็น...”
ยงยุทธพยักหน้ารับ
“ไอ้ฆาตกรล่องหนมันโผล่ออกมาแล้ว”
ระหว่างนั้นตำรวจอีกนายเข้ามา
“หมวดครับ...พบร่องรอยของผู้ต้องสงสัยสองคนขึ้นไปที่เขาหลวงครับ”
“พวกมันไล่ล่ากันขึ้นไปบนนั้นแล้ว จ่า...บอกทุกคนให้ระวังตัวด้วย ผมต้องการได้ตัว พวกมันทั้งคู่แบบจับเป็น”
“ครับหมวด”
ไม่ทันขาดคำ เสียงปืนก็ดังรัวเข้ามาเพราะสัมฤทธิ์พร้อมพวกพันหน้าพันตาด้วยผ้าขาวม้าบุกเข้ามาระดมเปิดฉากยิงใส่เพื่อขวางไม่ให้ตำรวจตามไปจับเปรื่อง ยงยุทธกับพวกตำรวจยิงตอบโต้กันไปหลายนัด กระสุนปืนเฉียดฉิวจะโดนจ่าแท่นแต่ยงยุทธยิงสวนกลับไปแล้วลากจ่าแท่นเข้ามาหลบหลังโขดหิน
“ขอบคุณครับหมวด ไอ้พวกนี้มันเป็นใครครับเนี่ย”
“คงเป็นพวกโจรด้วยกันที่ไปค้นบ้านนายเปรื่อง มันไม่ต้องการให้เราได้ตัวนายเปรื่องแน่”
“เอาไงดีครับหมวด”
ยงยุทธหันไปสั่งตำรวจคนอื่น
“ยิงเปิดทางให้ผมที ผมจะตามไปที่เขาหลวง”
พวกตำรวจระดมยิงใส่พวกสัมฤทธิ์เพื่อเปิดทางให้ยงยุทธกับจ่าแท่นออกไปอีกทาง

ในถ้ำเขาหลวง เปรื่องขุดดินจนเป็นหลุมแล้วยกเอาลังที่เก็บพระพุทธรูปฟ้าผ่าองค์จริงขึ้นมา
“ฝีมือเอ็งกับข้ามันคนละชั้นกันเว้ย ไอ้ขุนเดช…ฮ่าๆๆๆ”
เปรื่องหัวเราะเสียงแปล่งดังลั่น แต่ระหว่างนั้นเสียงโลหะครูดกับหินเป็นทางยาวดังก้องไปทั่ว เปรื่องชะงักตกใจ

ขุนเดชใช้ดาบดำอันคมกริบครูดเป็นทางกับผนังหินในถ้ำจนเกิดประกายไฟเป็นทางยาวใบหน้าของขุนเดชดุดัน จริงจังจนน่ากลัว

เปรื่องหน้าเครียดหงุดหงิด เสียงดาบครูดกับหินดังก้องไปทั่วถ้ำ
“ไอ้ขุนเดช…ตายยากเย็นนักนะ คราวนี้กูจะให้มึงเป็นผีเฝ้าอยู่ในถ้ำนี่แหละ”
เปรื่องหันไปดับไฟที่คบเพลิงเพื่อลดแสงภายในถ้ำให้สลัว แล้วควงมีดสปาร์ต้าพร้อมตั้งรับการบุกของขุนเดช
บรรยากาศในถ้ำเงียบกริบ เปรื่องกำมีดแน่นเหงื่อบนหน้าแตกเป็นเม็ดเป้ง แต่ไม่เห็นขุนเดชโผล่เข้ามา
“โผล่หัวมาสิวะ เก่งจริงก็ลุยเข้ามาเลย เชิงดาบของมึงมันก็แค่ลิเกหัดรำ”
พูดไม่ทันขาดคำขุนเดชจู่โจมเข้ามา เปรื่องหันขวับใช้ดาบฟาดฟันใส่กันจนประกายไฟแล่บ ขุนเดชใช้ดาบดำฟันหนักและรุนแรง เปรื่องยกดาบขึ้นตั้งรับแล้วโดนขุนเดชศอกกลับเข้าดั้งเต็มๆ จนผงะหงายหลัง เลือดไหลออกมาเต็มจมูก แล้วขุนเดชก็หายไปกับความมืดสลัวอีก เปรื่องแทบคลั่ง
“โว้ยยยยยย !! ไอ้ลูกหมา มึงยั่วโมโหกู มึงตาย”
ไม่ทันขาดคำขุนเดชก็โผล่ออกมาจากความมืดอีก เปรื่องหันไปรับคมดาบแล้วฟาดฟันใส่ไม่ยั้งอย่างบ้าคลั่ง
ขุนเดชรับการฟาดฟันของเปรื่องได้อย่างสบายและถึงเวลาจบเกมส์ ขุนเดชใช้ปลายด้ามดาบกระแทกเข้าที่คอหอยทีเดียว เปรื่องดิ้นพราดๆ เอามือกุมคอเจ็บปวดมาก
ขุนเดชยืนมองมันดิ้นทุรนทุรายเหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้าอย่างเยือกเย็นแล้วตามไปจะใช้ดาบดำจัดการกับมัน แต่เปรื่องกลับงัดเอาลูกระเบิดลูกสุดท้ายขึ้นมาขู่
“เอาสิวะ...ถ้ากูไม่รอด มึงก็อย่าหวังว่าจะรอด”
ขุนเดชชะงักขบกรามเจ็บใจ

หน้าถ้ำเขาหลวงขณะนั้นประดับกับพวกลูกน้องพากันมาถึง ประดับชักปืนออกมาแล้วมองไปในถ้ำอย่างเอาเรื่อง แต่ระหว่างนั้นลูกน้องคนหนึ่งรีบเข้ามา
“คุณประดับครับ ไอ้หมวดนั่นตามมาที่นี่แล้วครับ”
“สงสัยไอ้สัมฤทธิ์คงกันมันไว้ไม่อยู่”
“แกขวางไอ้ยงยุทธเอาไว้ ชั้นจะเข้าไปจัดการไอ้เปรื่องเอง”
ประดับสั่งลูกน้องแล้วรีบเข้าไปในถ้ำ ลูกน้องหาที่กำบังรออยู่ครู่ ยงยุทธพร้อมจ่าแท่นก็ตามมา เสียงปืนดังรัว...ยงยุทธถูกโจมตีต้องรีบกระโจนหาที่หลบแล้วยิงตอบโต้
“ผมจะยิงคุ้มกันให้เอง หมวดรีบเข้าไปเถอะครับ”
จ่าแท่นช่วยยิงตอบโต้ใส่เพื่อเปิดทางให้ยงยุทธลุยเข้าไปในถ้ำจนผ่านเข้าไปได้คนเดียว

เสียงปืนจากนอกถ้ำดังมาถึงข้างใน เปรื่องยังกำระเบิดไว้ขู่ไม่ให้ขุนเดชฆ่าตัวเอง
“พวกมันคงส่งคนมาเก็บข้า...ถ้าอยากรอดด้วยกันทั้งคู่ก็ปล่อยข้าไปองค์พระอยู่โน่น อยากได้ก็เอาไปเลย ไว้มีโอกาสเมื่อไหร่ค่อยมาวัดฝีมือกันใหม่”
“คนบาปไม่มีวันที่จะหนีบาปพ้น”
“โธ่เว้ย...นี่เอ็งบ้าไปแล้วเหรอไงวะ” ขุนเดชไม่ฟังควงดาบเดินเข้าหา “ไอ้บ้าเอ้ย...ไม่หนีก็มีแต่ตายกับตาย งั้นก็เละเหลือแต่เศษเนื้ออยู่ในนี้ด้วยกันเลยแล้วกัน”
เปรื่องจะดึงสลักระเบิด แต่ขุนเดชกลับควงเพลงดาบเดือนดับ
“ฟ้า....ดิน...เป็นพยาน...ดาบเดือนดับ!!”
ขุนเดชฟันลงไปทันที....ฉับ ! เปรื่องร้องเจ็บปวดเสียงดังลั่นถ้ำ มือข้างที่กำระเบิดถูกฟันจนขาด ลูกระเบิดกำค้างอยู่ในมือ
“โอ้ยยยยย...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย มันบ้า..มันบ้าไปแล้ว”
“ใคร?...แกรับคำสั่งใครมา”
“ปล่อย...ปล่อยข้าไปเถอะ...ข้าขอร้อง”
ขุนเดชมองหน้าเปรื่องแล้วควงดาบฟันไปสองครั้ง เปรื่องร้องโอดโอยเพราะใบหน้าถูกฟันเป็นรูปกากบาก
“แกทำงานให้ใคร!!”
“ยอมแล้ว...ไอ้...ไอ้คนที่สั่งให้ข้ามาขุดพระ...มัน...มันคือ...”
เปรื่องไม่ทันพูด เสียงปืนดังเข้ามา...เปรี้ยง ! กระสุนเจาะกลางหน้าผาก เปรื่องตายคาที่
ประดับเป็นคนเข้ามายิงเปรื่องเพื่อฆ่าตัดตอน มันจะยิงใส่ขุนเดชด้วยแต่ขุนเดชไหวตัวทันรีบหนีออกไปอีกทาง
ประดับเข้ามาดูศพเปรื่องที่ถูกตัดตอนไปแล้วพบว่าถูกฟันตาย
“คิดจะหนีเหรอไอ้วีรบุรุษบาป”
ประดับข้ามศพเปรื่องแล้วรีบไล่ตามวีรบุรุษบาปไป

ประดับไล่ตามยิงเสียงปืนดังลั่นไม่หยุด ขุนเดชวิ่งหลบหลีกกระสุนที่ประดับยิงถล่ม จนมาสุดทางที่ข้างหน้าเป็นหน้าผาน้ำตกสูงเอาเรื่อง ขุนเดชชะงักตัดสินใจเอาไงดี
ประดับไล่ตามมาจนเกือบจะถึง ในที่สุดขุนเดชเลยตัดสินใจกระโดดพุ่งลงไปทันที ประดับตามมายิงใส่พื้นน้ำ อย่างบ้าคลั่งก่อนจะเจ็บใจ
“โธ่เว้ย !! ไอ้วีรบุรุษบาป มึงกับกูได้เจอกันอีกแน่”

ตำรวจเข้ามาเคลียร์พื้นที่ในถ้ำเขาหลวง ยงยุทธดูองค์พระสำริดที่อยูในหีบก่อนจะปิดฝาแล้วกำชับลูกน้อง
“ส่งไปให้คณะของอาจารย์ประทีปตรวจสอบว่าเป็นของจริงที่หายไปรึเปล่า คุ้มกันให้ดีด้วยล่ะ”
ตำรวจรับคำสั่งช่วยกันยกหีบพระออกไป ยงยุทธหันไปที่จ่าแท่นซึ่งกำลังเอาผ้ามาคลุมศพเปรื่อง
“โดนฟันซะมือขาด เพลงดาบของวีรบุรุษบาปมันร้ายกาจจริงๆ”
“ถึงมันจะร้าย จะแค้นไอ้พวกขุดกรุหนักหนายังไง แต่มันก็ไม่มีสิทธิ์ทำตัวเหนือกฎหมาย”
“เสียดายนะครับ นี่ถ้ามีร่องรอยให้ตามได้สักหน่อยว่ามันเป็นใคร เราก็คงไม่ต้องเป็นฝ่าย คอยไล่ตามมันตลอด”
“ไม่ใช่ว่ามันไม่ทิ้งร่องรอยให้เราตามหรอกจ่า…เพลงดาบของมันไงที่ทิ้งเอาไว้ให้เราตาม”
ยงยุทธขบกรามแน่นเจ็บใจ

บัวทองถือกระจาดเก็บผักเดินตามคำปันกลับเข้ามาในบ้าน
“แม่นะแม่…ให้ชั้นซ้อมรำจนนิ้วจะกระดิกไม่ได้อยู่แล้ว ยังให้ชั้นไปช่วยเก็บผักอีก”
“นี่ถ้าแม่รู้ว่าโตขึ้นมาแล้วจะขี้บ่น เลี้ยงยากแบบนี้ แม่เอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เล็กแล้ว”
“มีลูกสาวหน้าตาน่ารักแบบนี้ แม่กล้าทำจริงๆ เหรอจ๊ะ”
บัวทองแกล้งทำตาปริบๆ เศร้าให้ดูน่าสงสาร คำปันเห็นแล้วอดขำไม่ได้
“กะล่อนจริงๆ เลยเรานี่”
บัวทองกอดแม่ออดอ้อนจนคำปันไม่ไหวจะดุต่อ ระหว่างนั้นเองที่ขุนเดชปีนลงมาจากหลังคาบ้าน
“กลับมากันแล้วเหรอจ๊ะน้า ชั้นซ่อมหลังคาให้เสร็จพอดี”
“พี่ขุนเดช…นี่พี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“พี่มาตั้งนานแล้วสิ ไม่งั้นจะซ่อมหลังคาจนเสร็จได้ยังไง”
“แต่ชั้นกับแม่เพิ่งจะออกไปเก็บผักได้แป๊บเดียวเอง ตอนไปพี่ยังไม่เข้ามาเลย”
“เรานี่ยังไงกันนะบัวทอง พี่ขุนเดชเขาช่วยซ่อมหลังคาให้แทนที่จะขอบใจเขา หาน้ำหา ท่าให้ กลับมาซักอย่างกับเขาไปทำผิดอะไรมา”
“ก็...”
“ไม่ต้องเลย...ไป...ไปหาน้ำมาให้พี่เขา…ไปสิ”
“ก็ได้จ้ะแม่”
บัวทองออกไปแต่หน้ายังไม่หายสงสัย
“อย่าไปถือสาน้องเลยนะพ่อขุนเดช”
“ไม่เป็นไรจ้ะน้า”
ขุนเดชยิ้มให้อย่างไม่มีพิรุธ

บรรยากาศป่าช้าที่วังเวง ต้นไม้ขึ้นรกครึ้มหลุมศพเรียงรายดูน่ากลัว ยงยุทธเดินเข้ามาหยุดยืนดูขุนเดชที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ใกล้ๆ กับหลวงลุง ซึ่งใช้บรรยากาศในบริเวณป่าช้าเป็นที่นั่งสมาธิกรรมฐาน ทั้งขุนเดชและหลวงลุงอยู่ในสมาธิที่สงบนิ่งจนยงยุทธต้องยอมถอยออกมาไม่เข้าไปขัดเวลาทำสมาธิของหลวงลุง
ยงยุทธออกไปได้ครู่หลวงลุงก็ลืมตาขึ้นมองตามหลังยงยุทธก่อนจะหันมามองขุนเดชที่นั่งสมาธิเงียบๆ
ยงยุทธเดินกลับมาที่รถซึ่งจอดอยู่ในบริเวณวัด แต่ยังไม่ทันจะไปหลวงลุงก็ตามเข้ามาคุยด้วย
“มีเรื่องอะไรกับอาตมารึเปล่าผู้หมวด”
“หลวงลุง” ยงยุทธยกมือไหว้ “ผมขอโทษด้วยครับที่มารบกวนเวลาของหลวงลุง”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเป็นเรื่องสำคัญที่หมวดต้องการให้อาตมาช่วยก็ยินดี”
“วันนี้ขุนเดชนั่งสมาธิอยู่กับหลวงลุงตลอดทั้งวันเลยรึเปล่าครับ”
“เปล่า...เพิ่งจะตามมาทีหลังได้สักพักนี่เอง”
“แล้วขุนเดชบอกรึเปล่าครับว่าไปไหนมา”
หลวงลุงยังไม่ทันตอบ ขุนเดชก็เดินเข้ามา
“ชั้นไปช่วยซ่อมหลังคาบ้านให้น้าคำปันมา แกมีอะไร”
“เปล่า พอดีวันนี้ชั้นตามองค์พระกลับมาได้แล้ว ไม่รู้ว่าแกรู้เรื่องนี้รึยัง”
“ยัง แต่ก็ขอบใจที่อุตส่าห์มาบอก”
“แล้วจับโจรที่ขโมยพระไปได้มั้ยล่ะผู้หมวด”
ยงยุทธมองขุนเดชเขม็ง
“ผมเองก็อยากจับเป็นให้ได้เหมือนกันครับหลวงลุง แต่โจรที่ระเบิดกรุขุดพระ ถูกวีรบุรุษบาปพร้อมกับพรรคพวกของมันฆ่าตายไปซะก่อน”
ยงยุทธมองหน้าขุนเดชเพราะสงสัยว่าขุนเดชจะเกี่ยวข้อง ขุนเดชไม่มีทีท่าพิรุธอะไร สบตาสู้กับยงยุทธ
“แล้วผู้หมวดสืบรู้รึยังว่าทำไมฆาตกรรายนี้ถึงไล่เข่นฆ่าพวกโจร แล้วช่วยตามเอาวัตถุโบราณมาคืนให้ราชการ”
“ผมยังสืบไม่ได้ครับหลวงลุง ถึงมันจะช่วยเหลือราชการ แต่ยังไงสิ่งที่มันทำก็เป็นความ ผิดตราบใดที่ผมยังอยู่ที่ศรีสัชฯ เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองของคนดี ผมขอสาบานต่อหน้าหลวงลุงว่า ผมจะปกป้องเมืองนี้จากพวกนอกกฏหมายด้วยชีวิตของผม”
ยงยุทธพูดไปก็มองหน้าขุนเดช สองคนจ้องเขม็งใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใครด้วยอุดมการณ์ หลวงลุงเห็นอาการของทั้งสองแล้วรู้สึกไม่สบายใจ

ที่บ้านกำนันบุญ สัมฤทธิ์เข้ามาเยาะเย้ยถากถางประดับ
“ไหนว่าเก่งไง...ไหนว่าเอาอยู่ไง ถุย...สุดท้ายก็ไม่ทันไอ้วีรบุรุษบาปเหมือนกันล่ะเว้ย”
ประดับหันขวับมากระชากคอเสื้อสัมฤทธิ์
“คนที่ปล่อยให้ไอ้ยงยุทธมาขวางทางชั้นได้คือแก…ไอ้กระจอก”
ประดับชกสัมฤทธิ์จนเลือดกลบปาก สัมฤทธิ์เจ็บใจชักปืนออกมาพร้อมกับที่ประดับชักปืนเหมือนกัน ปากกระบอกปืนจ่อหน้ากันไปมา
“เก็บปืนเอ็งไปซะไอ้สัมฤทธิ์” กำนันบุญบอกลูกชาย
“แต่มันต้องรับผิดชอบที่ทำให้เราต้องเสียพระพุทธรูปฟ้าผ่าไปนะพ่อ”
“เรื่องนั้นคุณประดับเขาต้องช่วยเรารับผิดชอบแน่ ใช่มั้ยครับคุณประดับ”
ประดับนิ่ง กำนันบุญเข้าไปเอาปืนจากมือสัมฤทธิ์ออกแล้วมองประดับอย่างจริงจัง ประดับจึงค่อยๆ ลดปืนลง
“ชั้นจะบอกท่านว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ไม่ต้องห่วงว่าชั้นจะโยนความผิดให้กำนันคนเดียว”
“ขอบคุณมากครับ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไอ้วีรบุรุษบาปมันต้องรับผิดชอบ ไปเต็มๆ”
“ชั้นก็บอกพ่อตั้งแต่ทีแรกแล้ว พ่อประมาทมันเอง”
“หุบปากเอ็งไปวะ...จะไปไหนก็ไป...ไป” สัมฤทธิ์โดนกำนันบุญไล่จนต้องรีบออกไปอย่างหัวเสีย “เท่าที่คุณเจอกับมัน พอจะรู้มั้ยว่ามันเป็นใคร”
“ชั้นไม่ทันได้เห็นหน้ามัน แต่เชื่อเถอะต่อให้มันเก่งกาจมากแค่ไหน มันก็ต้องโดนชั้นจัดการเข้าสักวัน ไอ้วีรบุรุษบาป”

จ่าแท่นมองกองสารพัดอาวุธมีคม ดาบสารพัดประเภทที่อยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าฉงน
“โอ้โห…นี่ผู้หมวดเอาของพวกนี้มาจากไหนครับเนี่ย”
จ่าแท่นถามอย่างแปลกใจ
“ผมขอให้ช่างตีดาบที่สุโขทัยส่งของมีคมทุกชนิดที่สามารถใช้เป็นอาวุธมาให้ผมเปรียบ เทียบกับรอยอาวุธที่ไอ้วีรบุรุษบาปนั่นใช้ จะได้ใช้เป็นช่องทางตามร่องรอยของมัน”
“แล้วเพลงดาบที่มันใช้ล่ะครับ”
“เท่าที่ผมได้คุยกับนักเลงดาบเก่าๆ ลักษณะการใช้ดาบสังหารศัตรูแบบที่วีรบุรุษบาปใช้จัดการกับโจร น่าสงสัยว่าจะเป็นเพลงดาบเดือนดับ”
“เพลงดาบเดือนดับ ?”
“มันเป็นเพลงดาบของพวกเพชรฆาตโบราณที่มีไว้ใช้จัดการลงทัณฑ์คนผิด เป็นเพลงดาบที่ไร้ความปราณี เป้าหมายมีเพื่อสังหารจุดตายให้ได้ภายในดาบเดียว”
“หมวดครับ…ในเมื่อมันก็เป็นโจรฆ่าโจร ถ้าเราปล่อยให้มันฆ่าโจรไปเรื่อยๆ ก็น่าสนใจอยู่นะครับ เราจะได้ไม่ต้องเปลืองแรง”
“จ่า!!”
“ผมขอโทษครับหมวด เราเป็นตำรวจ เราต้องทำให้กฏหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ว่าแต่หมวดจะให้ผมช่วยอะไรมั้ยครับ”
จ่าแท่นรู้ตัวว่าเผลอพูดไม่ถูกหูผู้หมวดเลยทำเป็นหยิบพวกดาบขึ้นมาดูแก้เก้อ
“อยากช่วยใช่มั้ยจ่า...ได้...” ยงยุทธหยิบดาบเล่มหนึ่งขึ้นมา “ผมอยากหาที่ลองฟันดาบพวกนี้ดู”
จ่าแท่นเห็นหน้าเอาจริงของยงยุทธก็สะดุ้งโหยง

จ่าแท่นฟอกสบู่ล้างมืออยู่ที่ตุ่มน้ำหน้าบ้าน เสื้อยืดที่จ่าแท่นใส่เปรอะเลือดเต็มไปหมด คำปันกับบัวทองเดินกลับเข้ามาจากไปซื้อกับข้าวเห็นเข้าก็แปลกใจ
“ตายแล้วพี่จ่า…นั่นพี่ไปโดนอะไรมา ดูเนื้อตัวสิ…เลือดเต็มไปหมด”
“สงสัยไปลุยกับพวกผู้ร้ายมาน่ะแม่ กะจะไม่ให้น้อยหน้าวีรบุรุษบาปเลยใช่มั้ยจ๊ะลุงจ่า”
“ลุยกับคนร้ายที่ไหนล่ะบัวทอง เลือดหมูที่โรงฆ่าสัตว์ทั้งนั้นแหละ”
“อ้าว…แล้วพี่จ่าเลอะมาได้ยังไง”
“ก็ผู้หมวดน่ะสิ พยายามจะสืบให้ได้ว่าอาวุธที่วีรบุรุษบาปใช้ เป็นอาวุธแบบไหนแกก็ เลยชวนชั้นให้เอาดาบสารพัดที่แกหามาไปลองฟันเนื้อหมูดู จะได้เปรียบเทียบกับรอยแผลที่มันทิ้งเอาไว้บนศพโจรได้”
“แล้วได้เรื่องอะไรมั้ยจ๊ะลุงจ่า”

อีกด้านหนึ่งที่คฤหาสน์ปราชญ์ ประดับโดนปราชญ์ตบหน้าด้วยความไม่พอใจ...เพี๊ยะ !!
“ชั้นไม่สนใจว่าพวกแกจะเรียกมันว่าอะไร แต่ถ้าใครมาขวางทางชั้น แกต้องจัดการมันให้ชั้น เข้าใจมั้ย”
“ครับท่าน”
“ผมเสียพระพุทธรูปฟ้าผ่าไปแล้ว เรื่องโลหะธาตุทองแดงจะเอายังไงต่อ”
ปราชญ์หันไปถามก้องเกียรติ
“พระพุทธรูปฟ้าผ่ามีอำนาจในการรวมพลังจากธรรมชาติ ผมไม่แน่ใจว่าจะหาวัตถุโบราณชิ้นอื่นที่มีอำนาจแบบนั้นได้อีก อาจจะต้องใช้เส้นสายของท่าน”
“ได้...ผมจะได้ทำเรื่องขอยืมออกมาจากพิพิธภัณฑ์ เอามาจัดงานให้คนกราบไหว้แล้วให้อาจารย์เอาของปลอมเข้าไปเปลี่ยน” ปราชญ์บอกแล้วหันมาที่ประดับ “ส่วนแก...ไปจัดการเรื่องไอ้ วีรบุรุษบาปนั่น อย่าให้มันมาขวางทางชั้นอีก ไป”

ภายในไนต์คลับ ปารมีจับแก้มประดับที่โดนตบหน้ามา
“เจ็บมั้ยคะพี่ประดับ”
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
“คุณพ่อนะคุณพ่อ...ทำไมต้องลงไม้ลงมือกับพี่ด้วย ปาจะไปเอาเรื่อง พ่อจะได้ไม่ทำแบบนี้กับพี่อีก”
ประดับรีบคว้าตัวปารมีไว้ก่อนจะออกไป
“อย่านะครับคุณปา ถ้าคุณปาไปพูดท่านก็คงจะรู้เรื่องของเรา คราวนี้ผมคงไม่ได้โดนตบหน้า แต่คงต้องติดคุกแทน”
“ไม่หรอกค่ะพี่ประดับ ปารักพี่พ่อไม่มีทางขวางปาได้”
“แต่คุณปายังเรียนไม่จบ”
“เรื่องเรียนปาสนใจที่ไหน ปาจะเลิกเรียนอยู่แล้ว”
“ไม่ได้นะครับ อีกแค่เทอมเดียว อย่าเพิ่งพูดเรื่องของเราให้ท่านทราบ”
“ก็ได้ค่ะ...แต่ปาให้อยากให้พี่รู้ไว้นะคะว่า ปาใจร้อนอยากแต่งงานกับพี่ใจจะขาดแล้ว”
ประดับกับปารมีจ้องตากันก่อนจะโน้มตัวเข้าหากันแล้วกอดจูบกันท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ ในไนต์คลับ ขณะนั้นผกายืนมองประดับกับปารมีกอดจูบกันจากฝั่งเคาน์เตอร์ นักร้องสาวอีกคนเข้ามากระแหนะกระแหนผกา
“เป็นชั้นล่ะก็ ชั้นเตรียมหาผัวใหม่แล้วล่ะ เพราะพอมันได้เป็นเขยรัฐมนตรีเมื่อไหร่ แกได้เป็นหมาหัวเน่าแน่นังผกา”
ผกาหันมาตาขวางไม่พอใจกระแทกแก้วเหล้าเสียงดัง

ที่กระท่อมขุนเดช ขุนเดชกำลังตีเหล็กสำหรับทำเป็นเสียมให้ชาวบ้านอยู่ในกระท่อม ยงยุทธเข้ามายืนข้างหลัง ขุนเดชไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าเป็นยงยุทธ
“นี่แกยังไม่หมดธุระกับชั้นอีกเหรอ”
“ยัง”
“มีอะไรให้ชั้นช่วย”
“วันนี้ชั้นลองเอาดาบทุกชนิดเท่าที่หาได้ไปลองใช้ดู เพราะอยากรู้ว่าวีรบุรุษบาปที่ชาวบ้านกำลังสรรเสริญใช้อาวุธแบบไหนไปเที่ยวไล่ฆ่าคน”
“งั้นชั้นก็ขอเดาว่า แกคงลองแล้วไม่ได้เรื่องอะไร”
ขุนเดชพูดไปก็หันไปจุ่มเหล็กร้อนๆ ลงในบ่อน้ำจนควันพุ่งขึ้นมาก่อนจะหันไปหยิบเหล็กปลายเสียมที่ตีเสร็จและเย็นแล้วมาประกอบกับด้ามไม้
“เปล่า…ชั้นได้เรื่องแล้วต่างหาก ชั้นรู้ว่ามันใช้เพลงดาบเดือนดับจัดการสังหารโหด แกเคยได้ยินชื่อเพลงดาบนี้รึเปล่า”
“เปล่า…ชั้นไม่เคยได้ยิน”
ยงยุทธพยายามสังเกตอาการ แต่ขุนเดชนิ่งไปไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน
“แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับต้องรู้ให้ได้ว่าดาบที่มันใช้เป็นดาบอะไร เท่าที่ชั้นลองใช้ดาบทุกชนิดแล้ว ไม่มีอันไหนเลยที่จะเป็นอาวุธของมันได้ ก็แสดงว่าดาบของมันต้องเป็นดาบพิเศษที่ตีขึ้นมาเองโดยเฉพาะ”
“งั้นแกก็เจองานหนักแล้ว คงต้องเปลี่ยนแนวทางอื่นไปสืบแทน”
“ทางอื่นชั้นก็คงต้องเดินหน้าไปด้วย แต่ยังไงชั้นก็ไม่ทิ้งทางสืบทางนี้ คิดจะจับฆาตกรให้มันดิ้นไม่หลุดก็ต้องจับให้ได้พร้อมอาวุธของมัน ชั้นเลยมาขอให้แกช่วย”
ขุนเดชหันมามองยงยุทธ

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านทรงไทยหลังหนึ่ง ลูกจ้างในบ้านของเศรษฐีถูกโจรที่พันหน้าพันตาด้วยผ้าขาวม้าฟันหลังจนเลือดสาดตายคาที่ ศพของลูกจ้างถูกฆ่าตายเกลื่อน เศรษฐีเจ้าของบ้านพร้อมเมียกับลูกสาวหน้าตาสะสวยถูกลูกน้องของหัวหน้าโจรลากตัวมากองรวมกันที่ลาน
“อยาก…อยากได้อะไรก็เอาไปเถอะ แต่อย่าฆ่าพวกเราเลยนะ”
ไอ้น้ำหัวหน้าโจรเข้ามากระชากคอเศรษฐีขึ้นแล้วตะคอกใส่หน้า
“ถ้าบอกแบบนี้ซะตั้งแต่ทีแรก พวกกูก็คงไม่ต้องเสียเหงื่อ ออกแรงฆ่าลูกน้องกระจอกๆ ของมึงหรอก”
น้ำกระชากเศรษฐีผลักไปให้ลูกน้องจับตัวไว้ น้ำควงดาบ
“อย่า..อย่า…อย่าฆ่าชั้น”
น้ำไม่ฟังคำร้องขอชีวิต มันฟัน…ฉับ !! เศรษฐีโดนฟันจากหน้าผากลากยาวลงมาถึงท้องตายคาที่ เมียกับลูกสาว กรีดร้องตกใจ
“พ่อ…พ่อจ๋า”
ระหว่างนั้นลูกน้องคนหนึ่งที่เข้าไปค้นของในบ้านออกมาพร้อมกับอุ้มพระองค์หนึ่งออกมาด้วย
“เจอแล้วครับลูกพี่”
น้ำรีบเข้าไปดูองค์พระที่ลูกน้องอุ้มออกมา พอเห็นว่าเป็นของที่อยากได้ก็หัวเราะสะใจ
“เอาไปขึ้นเรือ ส่วนพวกมึงอยากได้อะไรก็ขนไปให้หมด ไหนๆ ก็มาแล้วจะได้ไม่เสียเที่ยว”
“แล้วอีพวกนี้ล่ะลูกพี่”
น้ำหันไปมองเมียกับลูกสาวของเศรษฐี สายตาของมันสนใจลูกสาวมาก มันเข้าไปกระชากตัวขึ้นมา
“กูเอาอีนี่ ส่วนอีแก่นั่น…ส่งมันไปอยู่กับผัว”
น้ำลากตัวลูกสาวออกไป ลูกร้องร้องไห้โฮ พวกลูกน้องหันมาที่เมียเศรษฐีอย่างโหดเหี้ยม
อ่านต่อหน้าที่ 4




ขุนเดช ตอนที่ 5 (ต่อ)
ขุนเดชกับยงยุทธยังคุยกันอยู่ที่กระท่อม
“วิชาตีเหล็กของลุงเถินได้ชื่อว่าไม่เป็นสองรองใคร คนที่ได้รับการถ่ายทอดมาทั้งวิชาตีดาบ ทั้งเชิงดาบ ก็มีแต่แกเท่านั้น”
“แกก็เลยอยากให้ชั้นตีดาบเพื่อเอาไปใช้เปรียบเทียบกับอาวุธของวีรบุรุษบาป”
“ชั้นคิดว่าแกคงช่วยราชการได้ แล้วที่สำคัญแกเองก็มีอุดมการณ์เดียวกับไอ้หมอนั่น แกคงอยากรู้ว่ามันเป็นใคร”
“ชั้นไม่อยากรู้ว่าไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร”
“ขุนเดช”
“กลับไปเถอะยงยุทธ ลุงเถินไม่เคยสอนวิชาตีดาบให้ชั้น สิ่งที่ชั้นรับการถ่ายทอดมาก็มีแต่การหล่อพระ เตาตีเหล็กที่เห็นก็มีไว้ใช้ทำจอบ ทำเสียม ทำเครื่องมือให้พวกชาวบ้านไว้ทำมาหากินเท่านั้น”
“น่าเสียดายนะขุนเดช ทั้งๆ ที่ชั้นพยายามจะดึงแกให้มาร่วมมือกับราชการ มาช่วยกันจัดการกับโจร แต่แกก็ยังเฉย เฉยเพื่อสนับสนุนให้โจรมันอยู่เหนือกฏหมาย” ขุนเดชไม่พูดอะไรหันไปใช้ที่คีบ คีบเนื้อเหล็กที่หลอมจนแดงออกมาวางบนทั่งตีเหล็ก “แกทำให้ชั้นเสียดายเวลาที่เคยคิดว่าแกกับชั้นเป็นพี่เป็นน้องกัน”
ยงยุทธเดินออกไป ขุนเดชนั่งนิ่งหยิบค้อนขึ้นมาแล้วตีลงไปที่เนื้อเหล็กที่กำลังแดงฉาน

น้ำฉุดกระชากลากตัวลูกสาวเศรษฐีออกมาที่ท่าน้ำที่พวกลูกน้องเอาเรือมาจอดรอรับ
“ช่วยด้วย..ช่วยด้วย”
“หยุดแหกปากซะที พ่อแม่แกมันตายหมดแล้ว” น้ำบอกอย่างรำคาญ
“ไอ้เลว แกฆ่าพ่อชั้น”
ลูกสาวเศรษฐีโกรธกัดแขนน้ำ แล้วกระชากผ้าขาวม้าที่พันหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังผ้าขาวม้า
ลูกสาวตกใจเพราะรู้จักน้ำ
“แก...แก”
“อีนี่…วอนหาเรื่องตายซะแล้ว”
น้ำถลึงตาเหี้ยมแล้วจับหน้าลูกสาวเศรษฐีมาบีบปากอย่างโหดเหี้ยม

วันต่อมายงยุทธกับจ่าแท่นมาตรวจดูสภาพที่เกิดเหตุบนบ้านเศรษฐีที่เกิดเหตุปล้นกันเมื่อคืน สภาพศพของเศรษฐีนอนตายอย่างน่าอนาถอยู่กับเมียและพวกลูกจ้าง จ่าแท่นต้องรีบเอาผ้าคลุมศพไว้
“โหดเหี้ยมเหมือนไม่ใช่คน ไอ้โจรพวกนี้มันเลวได้ใจจริงๆ”
“มีใครรอดชีวิตพอจะให้การได้มั้ยจ่า”
“ไม่มีเลยครับผู้หมวด ตายเกลี้ยงทั้งบ้าน”
น่วมบอกพร้อมกับเดินเข้ามา ยงยุทธหันไปมองน่วมอย่างสงสัย
“นี่ผู้ใหญ่น่วมครับหมวด คนตายเป็นลูกบ้านของแก”
“สวัสดีครับหมวด ได้ยินชื่อเสียงของหมวดมาตั้งนานว่าทั้งเก่งทั้งไฟแรงต่อไปนี้ลูกบ้าน ผมจะได้อยู่กันอย่างสบายใจ ไม่ต้องขวัญผวากลัวโจรอีก”
“เห็นจ่าบอกว่า บ้านนี้มีลูกสาวด้วย”
“ครับหมวด แต่หายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ยังไม่มีใครพบเลย”
“สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจจะหนีไปได้รีบหาตัวให้เจอ จะได้ให้เป็นพยาน”
ยงยุทธพูดไม่ทันขาดคำตำรวจอีกนายก็รีบเข้ามา
“หมวดครับ พบลูกสาวของผู้ตายแล้วครับ”
ยงยุทธหันไปสนใจทันที

ที่บริเวณท่าน้ำ ตำรวจช่วยกันอุ้มร่างของลูกสาวเศรษฐีที่จมน้ำตายขึ้นมา ยงยุทธเข้าไปตรวจดูศพ
“ไม่ได้จมน้ำตายธรรมดา แต่ถูกจับกดน้ำให้ตายอย่างทรมาน”
“ไอ้แบบนี้มันเกินกว่าเลวธรรมดาแล้วครับ มันต้องไอ้ชั่วมหาชั่ว ไอ้ชิงนรกมาเกิด”
ยงยุทธพิจารณาดูศพที่เบิกตาค้างแล้วพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่เอาผ้ามาคลุมศพก่อนจะหันไปถามน่วม
“ผู้ใหญ่ครับ ผู้ใหญ่สนิทกับกับครอบครัวผู้ตายรึเปล่า”
“สนิทครับหมวด รู้จักกันมาเป็นสิบปีแล้ว”
“งั้นพอจะทราบมั้ยว่า ผู้ตายกับครอบครัวมีปัญหาบาดหมางกับใครบ้าง”
“เท่าที่รู้ก็ไม่มี หมวดสงสัยว่าจะไม่ใช่คดีปล้นธรรมดาเหรอครับ”
“ผมสงสัยว่าผู้ตายจะรู้จักกับไอ้โจรคนนี้ดี สังเกตจากศพที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ เธอคงเห็นหน้ามันเข้า มันก็เลยต้องจัดการฆ่าให้ตายเพื่อปิดปาก”
“นั่นสิครับหมวด ผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบนี้ ไม่จำเป็นต้องลงมือโหดเหี้ยมเลย งั้นผมจะเริ่มสืบจากคนใกล้ชิดก่อน”
จ่าแท่นบอก ยงยุทธพยักหน้ารับความเห็นของจ่าแท่น แต่สีหน้าของน่วมแอบมีความกังวลขึ้นมาให้เห็นอย่างผิดปกติ

เมื่อกลับมาบ้านน่วมด่าน้ำ ลูกชายอย่างหัวเสีย
“ข้าแค่บอกให้เอ็งไปปล้นเอาพระของมันออกมาแล้วไปให้กำนันบุญ แค่เรื่องง่ายๆ แต่เอ็งดันไปทำให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไม”
“โธ่เอ้ยพ่อ ไอ้ตำรวจนั่นมันก็แค่อยากอวดว่ามันเก่งทำเป็นสงสัย ยังไงมันก็สาวมาไม่ถึงพ่อหรอก พ่อจะมาบ่นทำไมหนวกหู”
“ใช่ข้าเป็นผู้ใหญ่บ้าน ยังไงมันก็ไม่สงสัยข้าหรอก แต่เอ็ง...สารพัดเรื่องที่ก่อเอาไว้ บัญชียาวเป็นหางว่าว เดือดร้อนขึ้นมาข้าขี้เกียจแบกหน้าไปขอร้องให้กำนันบุญช่วยอีก”
“ที่เราต้องคอยเป็นลูกน้องทำตามคำสั่งกำนันเขา เพราะเรารวยไม่เท่าเขาไง เอางี้มั้ยพ่อ เงินที่ชั้นปล้นมากับค่าพระที่กำนันให้พ่อมา เราเอาเข้าบ่อนกันดีกว่า”
“อีกแล้วเหรอ คราวที่แล้วยังเป็นหนี้บ่อนอยู่เลย”
“เชื่อชั้นน่าพ่อ วันนี้ตาชั้นกระตุกทั้งวันแสดงว่าลาภลอยกำลังมา” น่วมนิ่งคิด “ไปเถอะพ่อ...ตอนนี้ดวงเราสองคนพ่อลูกกำลังขึ้น ถ้าไม่รวยวันนี้กระทืบชั้นได้เลย”
น่วมมองลูกชายอย่างสนใจ

คำปันพาบัวทองกับดารามาตักบาตรทำบุญให้กับพระในวัดที่เดินเรียงแถวรับ แสงแดดยามเช้าสวยงาม
ขุนเดชยืนมองอยู่ห่างๆ ก่อนจะถอยมานั่งแววตาเศร้าๆ แม้ตัวเขาจะอาศัยอยู่ในวัด แต่จิตใจของเขากลับเป็นได้แค่คนบาป
บัวทองกับดาราตักบาตรเสร็จก็มองไปเห็นขุนเดชนั่งเงียบๆ บัวทองชวนดาราแวะเข้าไปหา
“พี่ขุนเดช…มานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“มายืนดูพวกเราตักบาตรได้สักพักแล้ว”
“แล้วทำไมไม่เข้าตักบาตรด้วยกันล่ะขุนเดช”
“ชั้นมันคนอยู่วัดอยู่วา กินนอนอยู่กับวัดนะ”
“แต่ใกล้วัดใกล้วาใช่ว่าจะใกล้บุญนะพี่ ถึงตัวจะอยู่ในวัดแต่ไม่ชอบทำบุญก็ไม่ต่าง อะไรจากคนอยู่นอกวัด” บัวทองบอก
“แล้วที่บัวทองชอบเข้าวัดแต่ไม่ชอบฟังเทศฟังธรรม แต่ชอบไปนั่งเสี่ยงเซียมซีล่ะ”
“พี่ขุนเดช…หยุดพูดเลยนะ ถ้าพี่ล้อเลียนชั้นอีกล่ะก็”
“จะทำไมพี่ จะมีเรื่องกับพี่ในวัดเหรอ”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ...เชอะ”
บัวทองรีบเดินออกไปช่วยแม่เก็บถาดอาหารที่ตักบาตรให้พระเสร็จ ขุนเดชมองตามบัวทองแล้วหัวเราะส่ง
ดาราสังเกตเห็นรอยยิ้มที่ขุนเดชมีกับบัวทองแล้วอดคิดไม่ได้
“บัวทองเขาน่ารักดีนะขุนเดช”
“แก่นแก้ว ม้าดีดกะโหลกมากกว่า” ขุนเดชบอกแล้วนึกขึ้นได้ “เธอแวะมาวัดก็ดีแล้ว หลวงลุงมีเรื่องอยากคุยด้วย”
ดารามองขุนเดชอย่างสงสัยว่าหลวงลุงมีเรื่องอะไรกับเธอ

ภายในโบสถ์ ดาราก้มกราบหลวงลุงมีขุนเดชนั่งอยู่ใกล้ๆ
“ไม่มีปัญหาเลยค่ะหลวงลุง ดิชั้นจะทำเรื่องขอช่างจากกรมศิลป์ให้มาช่วยบูรณะภาพเขียนในโบสถ์ให้”
“ขอบใจนะโยม”
“หลวงลุงครับ แล้วพระเพชรทองล่ะครับจะให้บูรณะไปพร้อมกันเลยมั้ยครับ”
หลวงลุงหันไปมององค์พระประธานปางสมาธิปูนปั้นองค์ใหญ่ ศิลปะช่วงปลายสุโขทัย
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป หลวงลุงก็อยากจะบูรณะพระเพชรทองด้วย หลวงพ่อท่านอยู่คู่กับวัดมานาน ถ้าไม่ได้บารมีของท่านช่วยสร้างขวัญกำลังใจ บรรพบุรุษของคนที่นี่ก็คงจะล้มหายตายจากหมด”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะรับหน้าที่ดูแลให้เองครับ”
“ขอบใจนะขุนเดช”
ขุนเดชก้มกราบหลวงลุง ดารามองพระเพชรทอง พระประธานองค์ใหญ่อย่างสงสัยอยากรู้

ขุนเดชกับดาราเดินมาตามทางเดินในวัด ขุนเดชเล่าเรื่องพระเพชรทองให้ดาราฟัง
“เป็นเรื่องเล่ากันปากต่อปากของพวกชาวบ้านแถวนี้ ว่ากันว่าช่วงปลายสุโขทัย โจรออกอาละวาดชุกชุม ชาวบ้านต้องออกมาช่วยกันปกป้องทรัพย์สินตัวเอง แต่ก็ยังสู้โจรไม่ได้ ถูกพวกมันปล้นฆ่าไปมาก เหลือคนที่ต้องการรักษาชีวิตและทรัพย์สินที่หามาทั้งชีวิตไม่ ให้ตกไปอยู่ในมือโจร เมื่อไม่มีที่ไหนเป็นที่พึ่งก็ต้องหันมาพึ่งวัด”
“ชาวบ้านพากันอพยพมาอยู่ที่วัดกันหมดเลยหรอ”
“ใช่ ที่นี่เป็นวัดเล็กๆ ไม่มีแม้แต่พระประธานให้กราบไหว้ พวกชาวบ้านก็เลยช่วยกันสร้าง พระเพชรทองขึ้นมาเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ”
“แล้วทำไมถึงเรียกว่าพระเพชรทองล่ะ”
“เล่ากันว่าตอนสร้างองค์พระ ชาวบ้านได้นำสมบัติที่เหลืออยู่ติดตัวทั้งเพชร ทั้งทอง เก็บรักษาไว้ในเศียรพระเพื่อป้องกันไม่ให้พวกโจรมาขโมยไปอีก”
“แล้วในเศียรพระมีสมบัติอยู่จริงๆ เหรอขุนเดช”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อยากให้ไม่มีสมบัติอยู่ในนั้น เพราะยุคสมัยนี้ก็ไม่ต่างจากสมัยที่บรรพบุรุษเราต้องลุกขึ้นมาปกป้องชีวิตตัวเองจากพวกโจร”
ขุนเดชบอกดาราแล้วก็เดินต่อไปคนเดียวเงียบๆ ดารานิ่งมองตามขุนเดช

ผกาเดินตามประดับเข้ามาที่บ้านกำนันบุญพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า
“ที่นี่น่ะเหรอบ้านกำนันบุญ”
“ผกา...ท่านสั่งให้ชั้นมาทำงานที่นี่และชั้นก็ไม่ได้ขอให้เธอตามมา”
“เพราะชั้นไม่ไว้ใจเธอไงประดับ ถึงเธอจะรับปากว่าเธอจะแค่ใช้ประโยชน์จากนังเด็กนั่น แต่ชั้นก็กลัวว่าถ้าเธอถึงฝั่งแล้วเธอจะถีบหัวชั้นส่ง”
“ก็เลยตามมาประกบชั้นแจแบบนี้เนี่ยนะ”
“คิดถึงตอนที่เธอลำบากบ้างสิ ตอนที่พ่อเธอหมดอำนาจแล้วตายอย่างจนตรอกอยู่เมืองนอก ถ้าไม่ใช่นังโสเภณีคนนี้ให้ที่เธอซุกหัวนอนเธอจะมีวันนี้เหรอ”
ประดับชะงักมองผกาอย่างไม่ชอบใจที่เอาเรื่องในอดีตมาพูด ระหว่างนั้นกำนันบุญเดินเข้ามา
“สวัสดีครับคุณผกา ไม่คิดว่าผมจะมีโอกาสได้ต้อนรับคุณอีก เชิญครับ เข้ามาดื่มน้ำดื่ม ท่ากัน”
กำนันบุญยิ้มหวานให้และมองผกาที่นุ่งมินิสเกิร์ตตาเป็นมัน ผกายิ้มให้กำนันบุญแล้วเดินตามกำนันบุญเข้าไป

น้ำกับน่วมกำลังพายเรือกลับบ้าน ทั้งคู่หงุดหงิดอารมณ์เสีย
“เพราะเอ็งเลยไอ้น้ำ ข้าถึงโดนไอ้กำนันมันไล่อย่างกับหมูกับหมา”
“อ้าวพ่อ...ไหงมาว่าแต่ชั้น ตอนเล่นได้ชั้นก็บอกให้พ่อพอก่อน แต่พ่อดันไปแทงหมดเอง”
“ก็เห็นว่าดวงกำลังขึ้นนี่หว่า โธ่เว้ย เจ็บใจไอ้กำนันชะมัด แล้วนี่ข้าจะไปขุดหาของดีๆ ราคางามๆ ที่พอจะไปใช้หนี้บ่อนได้วะ”
“แล้วพวกเศรษฐีที่พ่อรู้จักไม่มีของดีๆ เก็บไว้อีกเหรอ ชั้นจะได้ไปปล้นมาให้”
“ไม่มีแล้วเว้ย แต่ถึงมีข้าก็ไม่ให้เอ็งไปทำแบบนั้นอีก เดี๋ยวไอ้หมวดนั่นมันจะวิสามัญเอ็ง”
“ชั้นไม่เห็นจะกลัวมันเลย ฝีมืออย่างพวกมันสู้ชั้นไม่ได้หรอก”
“เอ็งอย่าประมาทมัน ข้าดูหน้ามันก็รู้ว่ามันไม่ธรรมดา แล้วไหนจะไอ้วีรบุรุษบาปที่พวก ชาวบ้านพูดถึงอีก ข้าไม่อยากทะเล่อทะล่าไปขุดกรุให้ตกเป็นเป้าพวกมันหรอก”
“ถ้าพ่อยังขี้ขลาดตาขาวแบบนี้ ทางเดียวที่จะไม่โดนเจ้าหนี้ตามก็ต้องหนีไปหาที่ซุกหัวนอนใหม่”
น้ำบ่นไปพายเรือไป จนผ่านมาถึงท่าน้ำหน้าวัดเกาะน้อย น่วมนึกอะไรขึ้นมาได้
“ไอ้น้ำ...จอดเรือ”
“จอดทำไมล่ะพ่อ”
“บอกให้จอดก็จอดสิวะ เอาเรือไปเทียบท่าน้ำวัด”

พอขึ้นจากเรือน่วมรีบเดินนำลูกชายมาหยุดที่หน้าโบสถ์
“พ่อ...นี่พ่อพาชั้นเข้าวัดมาทำไม อย่าบอกนะว่าพ่อจะหนีเจ้าหนี้มาอยู่วัด”
“ไอ้น้ำ เอ็งจะแหกปากให้คนเขารู้ทำไมวะ”
“เอ้า...ก็พ่อไม่บอกชั้นนี่ว่าลากชั้นเข้าวัดมาทำไม”
“ข้ามีทางหาเงินไปใช้หนี้บ่อนแล้วน่ะสิวะ ตามข้ามาข้าจะให้ดูอะไร” น่วมรีบเดินนำน้ำเข้าไปที่โบสถ์ แล้วชี้ให้น้ำดูพระเพชรทององค์พระประธานกลางโบสถ์ “เอ็งเคยได้ยินที่เขาลือกันรึเปล่า ว่าตอนสร้างพระเพชรทองพวกชาวบ้านสมัยสุโขทัย เอาสมบัติมาซ่อนไว้ในเศียรพระ”
“เคยสิพ่อ แต่นั่นมันเรื่องเล่ากันปากต่อปาก ถ้ามีสมบัติจริง ป่านนี้ไม่ถูกขโมยมันเอาไป แล้วเหรอ”
“เอ็งดูองค์พระให้ดีๆ ไอ้น้ำ สมัยโน้นช่างฝีมือปั้นพระเก่งๆ มีให้เกลื่อน พระสุโขทัยถึงได้งามขึ้นชื่อ ไปวัดไหนก็งามทุกองค์ แต่มีแค่องค์นี้องค์เดียวที่ตั้งใจปั้นไม่ให้มีความงามเหมือนองค์อื่น”
“ก็ถ้างามจริงก็คงโดนพวกเราตัดไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว”
“นั่นไง...ข้าถึงเชื่อว่าเป็นกุศโลบายของคนโบราณ เข้าทำนองว่าผ้าขี้ริ้วห่อทอง พระไม่งามโจรที่ไหนจะสนใจ”
“ที่พ่อพูดมาก็มีเหตุผล...เป็นไปได้”
สองพ่อลูกมององค์พระเพชรทองในโบสถ์ด้วยสีหน้าสนใจ ระหว่างนั้นขุนเดชเดินเข้ามา
“จะมาไหว้พระกันเหรอ”
สองพ่อลูกชะงักตกใจหันมามองขุนเดช

ที่โต๊ะทำงานยงยุทธ จ่าแท่นเอาแฟ้มมาให้
“รายการบัญชีทรัพย์สินที่ถูกปล้นเอาไป ผมรวบรวมมาให้แล้วครับหมวด”
ยงยุทธรับมาดู
“จ่ารวบรวมมาได้ยังไง”
“สอบถามจากคนรับใช้ในบ้านที่ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุคืนวันถูกปล้นครับ”
“ไว้ใจ้ได้ใช่มั้ย”
“ได้ครับ เป็นคนรับใช้เก่าแก่ของที่นั่น พอดีไปทำคลอดลูกสาวก็เลยรอดตาย” ยงยุทธพยักหน้ารับแล้วไล่ดูรายการทรัพย์สิน “พวกมันขนเอาไปเกลี้ยงทั้งแก้วแหวนเงินทอง ป่านนี้คงเปลี่ยนไปเป็นเงินหมดแล้ว”
“ของพวกนั้นไม่มีรูปถ่ายเป็นบันทึกหลักฐาน คงตามแกะรอยได้ยาก” ยงยุทธไล่ดูในบัญชีต่อไปได้ครู่ก่อนจะชะงักสนใจ “แล้วพระพุทธรูปเชียงแสนที่ถูกเอาไปด้วยนี่ล่ะจ่า”
“อ๋อ...เป็นพระพุทธรูปโบราณที่ผู้ตายเอาไว้กราบไหว้บูชาครับ ได้ยินมาว่าเป็นของเก่า แท้ๆ ที่ไปได้มาจากเชียงใหม่ พวกนักเลงพระ เล่นของเก่าตีราคาไว้มากโขอยู่”
“ถ้าเรารู้ว่าพระเชียงแสนองค์นี้มีรูปลักษณะยังไงก็ดี จะได้ใช้เป็นร่องรอยตามสืบคนร้ายได้” ยงยุทธบ่นแล้วนึก ขึ้นได้ “จ่า พาตัวคนที่ให้ข้อมูลไปพบผมที่แคมป์ของอาจารย์ประทีป”

ภายในห้องเก็บสะสมของเก่าของกำนันบุญ ผกาเดินดูสมบัติของกำนันบุญอย่างสนใจ
“ชอบของเก่าเหมือนกันเหรอครับคุณผกา”
กำนันบุญถามเมื่อเข้ามาในห้อง
“ไม่ได้ชอบของเก่าหรอกค่ะ แค่อยากรู้ว่าทำไมแค่เศษอิฐ เศษเหล็กเก่าๆ ถึงได้มีราคาสูง ถึงขนาดฆ่ากันตายเพื่อแย่งมาเป็นเจ้าของ”
กำนันบุญหัวเราะ
“เรื่องพวกนี้ผู้หญิงอาจจะไม่เข้าใจ เพราะมันเป็นเรื่องของอำนาจและบารมีที่ ยิ่งมีของดี ของหายากมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงถึงความยิ่งใหญ่”
“เรื่องที่ผู้ชายชอบแสดงความยิ่งใหญ่ ชั้นเข้าใจดีเพราะชั้นเจอประเภทนี้มาเยอะ แต่ชั้นไม่ได้ดูที่ว่าสะสมอะไร ชั้นดูแค่ว่า...มีให้ชั้นใช้จ่ายได้ไม่อั้นรึเปล่า”
“แล้วถ้าผมบอกว่า ผมมีให้ได้อย่างไม่จำกัดล่ะ”
ผกายิ้มพอใจและขยับเข้าไปใกล้
“แล้วชั้นจะคอยดูว่าผู้ใหญ่ที่มีคนเคารพนับหน้าถือตาอย่างกำนัน เป็นคนพูดจริง ทำจริงหรือว่าแค่ปากหวานหว่านล้อมคนเก่ง”
ผกายั่วแล้วก็เดินออกจากห้องไป กำนันบุญมองตามแล้วยิ้มชอบใจ

ที่แคมป์โบราณคดี ดารากับยงยุทธแยกมาคุยกันตามลำพัง
“จากข้อมูลของพยานชั้นพอระบุได้ว่า พระองค์ที่ถูกปล้นเอาไปน่าจะเป็นพระพุทธรูป ปางมารวิชัย เนื้อสำริด ศิลปะเชียงแสนรุ่นแรก นิยมสร้างกันช่วงพุทธศตวรรษที่ 19-20”
ดาราอธิบายไปสีหน้าก็ดูหนักใจไปด้วย
“มีอะไรเหรอดารา”
“ชั้นเคยได้ยินว่ามีการขุดพบพระพุทธรูปแบบนี้เมื่อหลายปีก่อน แต่มีข่าวว่าถูกโจรขโมยไปคนที่ขุดพบถูกฆ่าตาย เล่ากันว่าใครที่ได้ไปครอบครองมักจะรักษาเอาไว้ได้ไม่นาน สุดท้ายต้องมีอันเป็นไป”
“บรรพบุรุษของเราสร้างพระขึ้นด้วยแรงศรัทธา เพื่อใช้เป็นที่พึ่งทางใจ แต่คนในปัจจุบันกลับตีราคาความศรัทธา และความงดงามทางศิลปะ ให้เป็นค่าเงิน ความโลภก็เลยทำ ให้ต้องฆ่ากันเพื่อเงิน”
“แล้วเธอจะทำยังไงต่อล่ะยงยุทธ”
“ผมจะลองใช้ข้อมูลที่คุณให้มาตามแกะรอยดู น่าจะใช้ตามไปถึงไอ้โจรพวกนี้ได้ ขอบคุณมากนะดารา ถ้าไม่ได้คุณช่วย ผมก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง”
ดารายิ้มรับ ยงยุทธจะไปทำงานต่อแต่ดาราเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนยงยุทธ...ระวังตัวด้วยนะ ชั้นห่วงว่าถ้าเรื่องนี้วีรบุรุษบาปรู้เข้าแล้ว...”
“คุณกลัวว่าผมจะต้องเผชิญหน้ากับมันอีก” ดาราพยักหน้ารับว่าใช่ “มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้หรอกดารา ความดียังไงก็ต้องอยู่ตรงข้ามกับความชั่ว ถ้าไม่เลือกอยู่ข้างความดีก็ต้องเป็นศัตรูกันไปตลอด”
ยงยุทธเดินออกไป ดาราอดเป็นกังวลไม่ได้

ขุนเดชพาน่วมกับน้ำมากราบหลวงลุงที่ศาลาวัด
“มนัสการครับหลวงพ่อ”
“เจริญพรเถอะโยม ขุนเดชบอกว่าโยมกับลูกชายตั้งใจจะมากราบพระเพชรทอง”
“ครับ พอดีผมกับลูกทำธุระผ่านมาแถวนี้ ก็เลยตั้งใจขึ้นมากราบไหว้ให้เป็นมงคล”
“มาตอนนี้ก็ดีแล้วล่ะโยม เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้อาตมาจะต้องปิดโบสถ์ชั่วคราว ญาติโยม คงไม่ได้เข้าไปกราบไหว้พระเพชรทองกันสักระยะ”
“ปิดโบสถ์ทำไมล่ะครับ”
“ปิดให้เจ้าหน้าที่จากกรมศิลป์มาช่วยบูรณะโบสถ์กับองค์พระน่ะสิโยม”
สองพ่อลูกพอรู้ว่าโบสถ์จะถูกปิดก็มีสีหน้าหนักใจขึ้นมาทันที
“แล้วจะปิดนานเท่าไหร่เหรอครับ”
“ก็จนกว่าจะบูรณะเสร็จ อาจจะเป็นเดือน เสร็จงานแล้วก็คงจะจัดการงานให้พวกชาวบ้านมากราบไว้กันเหมือนเดิม”
น่วมนิ่งไปสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้
“ดีครับดี...พระเพชรทองก็อยู่คู่กับวัดนี้มานาน ทรุดโทรมไปก็มาก บูรณะให้งดงามขึ้นก็เท่ากับช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้ชาวบ้าน ผมกับลูกชายชอบทำบุญสุนทาน ปีนี้มันก็ใกล้เบญจเพศ เจอแต่เรื่องอาเพศตลอด ถ้ามันได้บวชที่วัดนี้ ได้ช่วยเหลือทางวัดก็จะเป็นบุญ”
น้ำได้ยินพ่อบอกจะให้บวชก็ตกใจ
“อาตมาไม่มีปัญหาหรอก แต่ต้องถามลูกชายโยมด้วยว่าเขาตั้งใจบวชรึเปล่า”
“ไอ้น้ำมันตั้งใจอยากจะบวชอยู่แล้วครับหลวงพ่อ...ใช่มั้ยไอ้น้ำ”
น่วมหรี่ตาให้น้ำตกปากรับคำอย่างมีแผนการ น้ำอ่านสีหน้าพ่อออกก็รับปากไป
“ครับพลวงพ่อ ผมอยากบวช”
ท่าทางของน้ำกับน่วมอยู่ในสายตาของขุนเดชตลอดเวลา แววตาของขุนเดชมองด้วยความสงสัย

น้ำกับน่วมเดินออกมาจากศาลา น้ำโวยวายกับพ่อทันที
“พ่อคิดอะไรอยู่เนี่ย อยู่ๆ บอกให้ชั้นมาบวชเนี่ยนะ”
“เบาๆ หน่อยสิวะ เอ็งก็ได้ยินว่าวัดจะปิดโบสถ์ ถ้าอยากได้ลูกเสือไม่เข้าถ้ำเสือแล้วมันจะได้เหรอวะ”
“แต่ให้ชั้นบวชเนี่ยนะ แค่ใกล้ผ้าเหลืองชั้นก็ร้อนแล้ว”
“ใครว่าข้าจะให้เอ็งบวชจริงๆ ล่ะ ก่อนบวชข้าจะให้เอ็งมาอยู่วัด ทำทีว่ามาหัดขานนาคเรียนพระธรรม”
“อ๋อ...ให้ชั้นทำตัวกลมกลืนจะได้หาทางเข้าไปตัดเศียรพระเพชรทองใช่มั้ยพ่อ”
“เออ”
สองพ่อลูกรู้กันพากันหัวเราะชอบใจ

ขุนเดชยืนอยู่หน้าประตูโบสถ์ มองเข้าไปในเห็นพระเพชรทอง
“มีอะไรเหรอขุนเดช เห็นเอ็งยืนมองพระเพชรทองไม่ขยับเลย”
“ไม่มีอะไรหรอกครับหลวงลุง มาดูว่าจะต้องบูรณะอะไรบ้างน่ะครับ”
“งั้นหลวงลุงก็ต้องฝากเอ็งด้วยนะ”
“ครับ”
“จะเดินออกไป ขุนเดชเรียกไว้”
“หลวงลุงครับ...หลวงลุงเชื่อเรื่องสมบัติที่ซ่อนอยู่ในเศียรพระเพชรทองรึเปล่าครับ”
“ไม่รู้สิ หลวงลุงไม่เคยสนใจ แล้วเอ็งล่ะ..เชื่อรึเปล่า”
หลวงลุงย้อนถามแล้วเดินออกไป ขุนเดชนิ่งมององค์พระเพชรทอง
จบตอน 11

ขุนเดช ตอน 12.1
บริเวณวัดศรีชุม เห็นพระอจนะงดงามมาแต่ไกล บัวทองกับเพื่อนชาวบ้านถือพานพุ่มดอกไม้จะเข้าไปกราบไหว้พระอจนะ แต่พอไปถึงหน้ามณฑปกลับถูกลูกน้องของกำนันบุญที่ยืนเฝ้าทางเข้าไว้ขวางไม่ยอมให้ใครเข้าไป มีชาวบ้านที่ถูกกันไว้ยืนออกันอยู่
“เกิดอะไรขึ้นจ้ะน้า ทำไมไม่เข้าไปไหว้พระอจนะกันล่ะ”
บัวทองถามชาวบ้าน
“แขกคนสำคัญของกำนันบุญเขาไม่ชอบกลิ่นควันธูปเยอะๆ เราก็เลยต้องรอให้เขาไหว้ ให้เสร็จก่อน”
บัวทองแปลกใจมองเข้าไปในมณฑปเห็นผกาแต่งตัวจัดจ้าน นุ่งสั้นปากแดง ไหว้พระอจนะ เสี่ยงเซียมซี
“ทำอย่างนี้ได้ยังไง !!”
บัวทองจะเข้าไปแต่ถูกลูกน้องของกำนันบุญสองคนเข้ามากัน
“คุณผกายังไหว้ไม่เสร็จ ยังเข้าไปไม่ได้”
“วัดนี้เป็นสมบัติของคนสุโขทัยทุกคน ไม่ใช่สมบัติของใครคนเดียว”
บัวทองไม่สนจะเข้าไปให้ได้ ลูกน้องกำนันบุญเลยผลักไหล่จนบัวทองกระเด็นล้ม บัวทองไม่พอใจจะเอาเรื่อง แต่ผกาเดินเชิดหน้าออกมาหลังจากไหว้เสร็จ
“ชั้นเสร็จธุระแล้ว พวกเธอเข้าไปกันได้แล้ว”
ผกาสั่งอย่างเชิดๆ หยิบแว่นดำมาสวมแล้วเดินเชิดออกไป บัวทองมองตามอย่างเจ็บใจ

ผกาเดินกางร่มบ่นร้อนออกมาพร้อมกับลูกน้องกำนันบุญ
“ร้อนจะตายชัก ชั้นขี้เกียจเดินแล้ว พวกแกไปเอารถมารับชั้นตรงนี้แล้วกัน”
พวกลูกน้องรับคำแล้วเดินออกไป ผกาเอาพัดมาโบกอย่างกับคุณนาย บัวทองเดินเข้ามาหมั่นไส้
“มาไหว้พระขอพร แต่กลับมาเบียดเบียนทำร้ายคนอื่นแบบนี้ มันถึงอยู่ไม่เย็นไม่เป็นสุขไง”
ผกาชะงักหันมามองบัวทองเหยียดๆ
“นังบ้านนอก แกเป็นใคร กล้ามาด่าชั้นแบบนี้ได้ไง”
“ชั้นชื่อบัวทอง บ้านอยู่ศรีสัชณาลัย ชั้นไม่สนหรอกว่าหล่อนจะเป็นแขกคนสำคัญของใคร แต่ถ้าทีหลังหล่อนกล้ามาอวดเบ่งไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปกราบไหว้พระอจนะอีก หล่อนได้รู้จักนังบ้านนอกคนนี้ดีแน่”
บัวทองขู่แล้วเดินออกไป แต่ผกาเนื้อเต้นโกรธที่โดนเด็กบ้านนอกด่า
“นัง...นังเด็กเมื่อวานซืน ด่าชั้นแล้วมาสะบัดก้นหนีแบบนี้เหรอ…นังบ้า”
ผกาปรี่เข้าไปกระชากผมบัวทองมาแล้วตบหน้าหัน…เพี๊ยะ !! บัวทองอึ้งเจ็บใจกำหมัดแน่นก่อนจะพนมมือไหว้
“ลูกขอโทษด้วยค่ะหลวงพ่อ แต่ลูกเหลืออดแล้วจริงๆ”
พูดจบบัวทองก็ชกเปรี้ยงเข้าหน้าผกาทันที…เปรี้ยง !!

จบตอนที่ 5
ติดตามอ่านขุนเดช ตอนที่ 6 พรุ่งนี้




กำลังโหลดความคิดเห็น