ขุนเดช ตอนที่ 6
ที่บ้านกำนันบุญ ผการ้องเจ็บแก้มช้ำจนเป็นจ้ำเพราะฤทธิ์หมัดของบัวทอง
“นังเด็กบ้า...คอยดูนะ ชั้นไม่ปล่อยแกไว้แน่นังบัวทอง”
สัมฤทธิ์เดินเข้ามา
“ถ้าคุณคิดจะแตะต้องบัวทองล่ะก็ ข้ามศพผมไปก่อน”
“สัมฤทธิ์”
“ถึงคุณจะเป็นแขกของพ่อ เป็นคนของนายประดับ แต่อย่าคิดว่าผมจะยอมก้มหัวให้”
“หึ...ชั้นได้ยินประดับพูดถึงเธอ คนอย่างเธอเก่งก็เฉพาะที่ปากเท่านั้น”
สัมฤทธิ์ไม่พอใจจะเอาเรื่อง แต่ลูกน้องสัมฤทธิ์ห้ามไว้
“ใจเย็นพี่…พ่อกำนันสั่งไว้ว่าให้เราดูแลคุณผกาให้ดีระหว่างที่พ่อกำนันไปทำงานกับคุณประดับ”
สัมฤทธิ์นิ่งไปหงุดหงิดหัวเสีย ผกาเชิดหน้าหยิ่งใส่แต่ก็ยังอยากแก้แค้นบัวทอง
“เอาเป็นว่าชั้นจะไม่ถือสาที่เธอมาปากเก่งกับชั้น แต่ชั้นจะช่วยหาทางให้เธอไม่ต้องคอยแต่ชะเง้อคอมองบัวทองเหมือนหมาชะเง้อรอข้าวจากบาตรพระ”
ผกาพูดไปก็ยิ้มร้ายไป สัมฤทธิ์หรี่ตามองสงสัย
ภายในโบสถ์วัดเกาะน้อยนั่งร้านถูกต่อขึ้นสูงเพื่อให้ช่างจิตรกรรมฝาผนังจากขึ้นไปทำงานซ่อมแซมภาพบนฝา ผนังโบสถ์ที่ทรุดโทรม คนงานช่วยกันต่อนั่งร้านแล้วขนเอาแผ่นไม้ขึ้นไปปูเป็นทางเดิน ขุนเดชเข้ามาในโบสถ์เห็นดารากำลังคุยงานการบูรณะภาพเขียนอยู่กับช่างจิตรกรรม รอจนดาราคุยงานเสร็จ
“อ้าวขุนเดช”
“งานคืบหน้าเร็วดี หลวงลุงฝากขอบใจมาด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก หน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว ว่าแต่ที่ขุนเดชจะบูรณะตกแต่งองค์พระเพชรทอง มีอะไรให้ชั้นช่วยมั้ย”
“ไม่มีหรอก แค่งานของเธอก็ล้นมือแล้ว”
ระหว่างนั้นคนงานที่กำลังช่วยกันปูแผ่นไม้บนนั่งร้าน เกิดพลาดไม่ระวังทำแผ่นไม้ร่วงจากนั่งร้าน ตกลงมาตรง ดาราพอดี ขุนเดชเห็นก่อนเลยรีบคว้าตัวดารามากอดไว้แล้วเอาหลังตัวเองรับแทน
“ระวัง”
โครม!! แผ่นไม้ตกลงมากระแทกหลังขุนเดชจนฝุ่นคลุ้งกระจาย ขุนเดชกอดดาราเอาไว้แน่นจนดาราปลอดภัย
“ขุนเดช...เป็นอะไรรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอก นิดหน่อยเอง” ขุนเดชลุกขึ้นรู้สึกเจ็บ...แปล๊บ แต่ไม่แสดงอาการ พวกคนงานรีบลงมาขอโทษขอโพยกันใหญ่ “ผมไม่เป็นอะไรหรอก ทุกคนทำงานต่อเถอะ”
“แน่ใจนะขุนเดชว่าไม่เป็นอะไร”
ดาราถามอย่างเป็นห่วง ขุนเดชพยักหน้ารับ แต่ดารายังมองสงสัย
ขุนเดชเข้ามาในกระท่อมถอดเสื้อออกสีหน้าเจ็บแปล๊บ
“ทำไมต้องโกหกด้วยว่าไม่เป็นอะไร”
ดาราต่อว่า ขุนเดชหันไปมองอย่างตกใจ
“ดารา”
ดารารีบเข้าไปช่วยดูแผ่นหลังพบว่าเป็นแผลจนเลือดซิบๆ
“เจ็บแบบนี้ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ ไปอนามัยให้อาหมอช่วยดูให้ดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอก แค่นี้ทายาแป๊บเดียวก็หาย อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย”
“งั้นชั้นช่วยเอง เธอทำคนเดียวไม่ได้หรอก ยาอยู่ไหน”
“อยู่ในตู้”
ดาราเดินไปเปิดตู้กำลังจะเอื้อมมือเข้าไปหยิบ แต่ขุนเดชรีบเข้ามาจับมือดาราเอาไว้ เพราะกลัวว่าดาราจะหยิบเจอดาบดำที่เขาซ่อนเอาไว้
“ผมเอาให้เองดีกว่า”
ขุนเดชหยิบกล่องยาออกมาจากตู้แล้วรีบปิดตู้โดยไม่ให้ดาราแตะต้องอีก
“มีอะไรที่เธอไม่อยากให้ชั้นเห็นอยู่ในนั้นเหรอขุนเดช” ดาราถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก ผมยังมีงานต้องทำอีกเยอะ คุณจะช่วยผมได้มั้ย”
ขุนเดชยื่นกล่องยาให้ ดารารับมาแล้วแต่ยังหันไปมองตู้เก็บของของขุนเดชอย่างสงสัย
ยงยุทธกำลังซ้อมมวยชกกระสอบทรายด้วยเชิงมวยจนเหงื่อเต็มตัว ระหว่างนั้นจ่าแท่นเข้ามา
“หมวดครับ…หมวด”
ยงยุทธไม่ได้ยินเพราะจรดจ้องอยู่กับการซ้อม พอจ่าแท่นเข้ามาใกล้ก็เลยหวุดหวิดจะโดนกระสอบทรายกระแทกหน้า
“อ้าวจ่า โผล่มาทำไมไม่ให้เสียงกัน เดี๋ยวก็โดนลูกหลงหรอก”
“โธ่หมวด ดีที่ผมยังพอมีเชิงมวยอยู่บ้าง ไม่งั้นหน้าแหกไปแล้ว”
“จ่าเป็นมวยด้วยเหรอ ดี…งั้นมาลงนวมซ้อมกับผม”
“ไว้ก่อนเถอะครับหมวด ผมเอาข่าวใหญ่มาให้หมวดดู”
ยงยุทธสงสัย จ่าแท่นเอาหนังสือพิมพ์ยื่นให้ ยงยุทธเห็นพาดหัวข่าวแล้วก็แปลกใจ
“ปล้นอุจอาจ พระพุทธรูปฟ้าผ่ากลางงานกาชาด”
ยงยุทธอ่านแล้วชะงักอึ้งไป
ที่โต๊ะทำงานของประทีปที่แคมป์โบราณคดี ประทีปถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้อ…ผมเองก็ได้ข่าวมาแล้วเหมือนกันครับหมวด ทั้งๆ ที่พวกเราพยายามปกป้องกันจน แทบจะเอาชีวิตเข้าแลกแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นโดนพวกคนใจบาปเอาไปได้อยู่ดี”
“เท่าที่ผมสอบถามจากเพื่อนๆ ที่ดูแลคดีนี้อยู่ มีผู้ใหญ่บางคนทำเรื่องให้นำพระพุทธรูปออกมาให้ชาวบ้าน
กราบไหว้ แต่ระหว่างเดินทางไปที่งานพวกมันก็เข้าปล้น ฝีมือพวกมันก็ไม่ใช่ธรรมดา เพราะไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย”
“โธ่เอ้ย…น่าเจ็บใจจริงๆ เท่ากับที่เสี่ยงชีวิตไปก็เปล่าประโยชน์”
“อาจารย์ครับ…ทำไมพระพุทธรูปองค์นี้ถึงได้มีความสำคัญ ถึงขนาดที่พวกใจ บาปไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือ” ยงยุทธถามอย่างสงสัย
“ความเชื่อและความศรัทธาในทางที่ผิดจนกู่ไม่กลับของคนพวกนั้นไงครับ ที่ทำให้มีคนอย่างวีรบุรุษบาปเกิดขึ้น”
ประทีปพูดไปก็ถอนใจยาว โดยที่ทุกคนไม่รู้ว่า ขุนเดชได้ยืนฟังอยู่ข้างนอกสีหน้าเจ็บใจ ขบกรามแน่น
ในห้องเก็บวัตถุโบราณของปราชญ์ พระพุทธรูปฟ้าผ่าถูกนำมาประจำอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) เหมือนกับที่โล่ห์โลหะเขียวอยู่ที่ทิศอุดร พระนารายณ์เนื้อเงินอยู่ที่ทิศพายัพ
ก้องเกียรติเขียนยันต์หัวใจพยัคฆราชกำกับ แล้วทำพิธีเรียกพลังแห่งอำนาจและบารมีจนเกิดเป็นควันสีขาวพวยพุ่งออกจากพระพุทธรูปลอยเข้าสู่ร่างของปราชญ์ที่ยืนอยู่ตรงกลางห้อง เหมือนเช่นทุกครั้งที่ทำพิธี ประดับยืนมองดูพิธีอย่างสนใจเหมือนเช่นทุกครั้ง
ประดับเอาน้ำมาให้ปราชญ์หลังจากทำพิธีเสร็จ
“น้ำครับท่าน”
“ขอบใจ” ปราชญ์หันปหาก้องเกียรติ “แล้วเมื่อไหร่อาจารย์จะให้ประดับไปตามหาวัตถุโบราณโลหะ ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นที่ 4”
“ผมกำลังศึกษาอยู่ว่าวัตถุโบราณชิ้นไหนที่ควรนำมาทำพิธีระหว่างนี้อยากให้ท่านรอไปอีกสักพัก”
“ทำไมล่ะ”
“ท่านก็เห็นอยู่ว่าวัตถุโบราณที่นำมาเสริมพลังอำนาจและบารมีของท่าน ทุกชิ้นล้วนแต่ ไม่ธรรมดา ของแรงแบบนี้เอาเข้าตัวมากๆ กระชั้นชิดเกินไป จะอันตรายกับท่านได้”
“แล้วผมต้องรอไปอีกนานเมื่อไหร่”
“ผมอยากให้ท่านหันมาทำบุญสวดมนต์ จนกว่าผมจะพบว่าชิ้นต่อไปควรเป็นวัตถุโบราณอะไร”
“แต่อย่าให้นานนักล่ะอาจารย์”
“ครับท่าน”
ประดับฟังอยู่ตลอดเวลาสีหน้ามีบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ
ประดับเดินมาส่งปราชญ์ที่จะออกไปข้างนอก
“เธอได้ยินที่อาจารย์ก้องเกียรติบอกแล้ว ระหว่างนี้ชั้นจะไปตระเวนทำบุญ อาจจะไปถึงอินเดียเลย ยังไงชั้นฝากดูแลลูกเมียชั้นด้วย”
“ครับท่าน”
ปราชญ์ยื่นกุญแจให้
“ดูแลห้องสะสมวัตถุโบราณของชั้นให้ดีด้วย อย่าให้ใครเข้าไปเด็ดขาด”
“ครับท่าน”
ประดับรับกุญแจมาแล้วส่งปราชญ์ขึ้นรถ ก่อนจะมองกุญแจในมือแล้วยิ้มร้าย
ขุนเดชถือคบไฟเข้ามายืนหน้าพระศิลาที่ไร้เศียร ขุนเดชปักคบไฟแล้วหน้าตาถมึงถึงโกรธแค้น อีกด้านหนึ่งยงยุทธเองก็อยู่ในอารมณ์เจ็บใจ เอาเชือกมาพันที่มือสายตาโกรธแค้น ส่วนประดับไขกุญแจห้องสะสมวัตถุโบราณของปราชญ์แล้วเข้ามายืนที่กึ่งกลางมองวัตถุโบราณโลหะ ศักดิ์สิทธิ์ด้วยแววตาร้ายกาจ ก่อนจะหันไปมองกำนันบุญที่เดินก้าวเข้ามาอย่างรู้กัน
ขุนเดชค่อยๆ ชักดาบดำออกมามองความคมกริบของดาบ ขุนเดชควงดาบดำอย่างหนักหน่วง
ยงยุทธรัดเชือกเข้ากับหมัดจนแน่นตึง ยงยุทธตั้งท่าเชิงมวยอันดุดัน
ประดับยืนอยู่ตรงกลางให้กำนันบุญที่ถอดเสื้อจนเห็นลายสักทั้งตัวยืนพนนมือทำพิธีแบบเดียวกับที่ก้องเกียรติทำให้กับปราชญ์ ควันจากวัตถุโบราณโลหะศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 ชิ้น ลอยเข้าร่างประดับ
ขุนเดชควงดาบจนจบท่ารำดาบ สายตาจับจ้องที่องค์พระศิลาซึ่งไร้เศียร
“ข้า…นามขุนเดช ทหารของพระร่วงเจ้า ขอสบานให้ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าจะตาม จองล้างจองผลาญ ประหารชีวิตพวกคนใจบาปให้สาสมกับบาปกรรมของมัน !!”
ยงยุทธรัวชกประเคนหมัดเข่า ศอกใส่กระสอบทรายจนไกวไปมาอย่างแรง ยงยุทธยืนกำหมัดแน่นแววตาจริงจัง
“ไม่ว่าพวกแกจะเป็นใคร ทั้งวีรบุรุษบาป ทั้งโจรใจบาป ความยุติธรรมในมือของชั้นจะตามไปลากคอพวกแกให้มารับโทษตามกฏหมายให้ได้!!”
วันต่อมาบัวทองเดินดูของในตลาด อยู่ๆ สัมฤทธิ์ก็โผล่เข้ามายื่นดอกบัวให้บัวทองพร้อมรอยยิ้ม
“สวัสดีจ้ะบัวทอง”
“ไอ้สัมฤทธิ์”
บัวทองไม่ชอบขี้หน้ารีบเดินหนี สัมฤทธิ์รีบเดินตาม
“นี่บัวทอง ชั้นน่ะมาดีนะจ๊ะ ชั้นไม่ใช่อันธพาล”
“หุบปากไปเลย...คนอย่างแกอมพระมาพูดชั้นก็ไม่เชื่อ”
“ชั้นยอมรับ ไอ้เหตุการณ์ครั้งก่อนมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ชั้นอยากให้บัวทองเข้าใจ ชั้นถึงอยากมาขอโทษ”
“หยุด! ไม่ต้องเข้ามาใกล้ชั้น”
“ก็ได้จ้ะ บัวทองอยากให้ชั้นทำอะไรชั้นทำได้ทุกอย่าง เพราะชั้นอยากรู้จักบัวทอง อยากพูดคุยกับบัวทอง บัวทองรับดอกบัวไปสิ…จะได้เชื่อว่าชั้นตั้งใจมาขอขมา”
สัมฤทธิ์พยายามยื่นดอกบัวให้แต่บัวทองมองอย่างรังเกียจ
“ไม่ต้องเอามาให้ชั้น เก็บเอาไว้ขอขมาคนที่แกเที่ยวไปอันธพาลใส่เขาเถอะ”
บัวทองด่าให้แล้วรีบเดินออกไป สัมฤทธิ์มองตามด้วยสีหน้าไม่พอใจที่ถูกบัวทองด่า
บัวทองเดินกลับบ้านคนเดียวพร้อมของที่ซื้อมาจากตลาด เท้าของใครบางคนเดินตามหลัง บัวทองรู้สึกว่ามีคน ตามหันไปมองจึงเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์หน้าตาไม่ประสงค์ดีเดินตาม บัวทองไม่ไว้ใจรีบเร่งฝีเท้าเดินหนี กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นบัวทองรู้ตัวก็รีบวิ่งตาม บัวทองเปลี่ยนจากเดินเร็วเป็นวิ่งหนีทันทีของที่ถืออยู่ตกพื้นกระจาย
กลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งเข้ามาแต่หาบัวทองไม่เจอ
“หายไปไหนแล้ววะ”
บัวทองค่อยๆ โผล่ออกมาจากพงหญ้าพร้อมท่อนไม้ปรี่เข้าไปตีใส่พวกมันไม่ยั้ง
“นี่แน๊ะๆๆ คิดจะเล่นงานชั้นเหรอ ฝันไปเถอะ” บัวทองกระหน่ำตีไม่ยั้ง แต่หนึ่งในพวกมันกลับชักมีดออกมาแล้วช่วยกันจับตัวบัวทองเอาไว้ได้ “ปล่อยชั้นนะ...ไอ้เลว...ไอ้ชาติชั่ว...บอกให้ปล่อย”
บัวทองพยายามดิ้น พวกมันเข้ามาเลยเข้ามาชกท้องจนจุกตัวงอ
“หุบปากเงียบๆ ไว้แบบนี้แหละน้องสาว พวกพี่จะได้ไม่ต้องเสียอารมณ์”
พวกมันยิ้มร้ายเตรียมจะรุมโทรมบัวทอง ระหว่างนั้นเองสัมฤทธิ์ก็โผล่เข้ามาพร้อมกับไม้หน้าสามฟาดใส่พวกมัน จนกลายเป็นฉากตะลุมบอนที่สัมฤทธิ์เล่นงานพวกมันจนกระเจิงวิ่งหนีเตลิด แล้วก็รีบเข้าไปช่วยบัวทอง
“เป็นไงมั่งบัวทอง”
“อย่ามายุ่งกับชั้น”
บัวทองปัดมือสัมฤทธิ์แล้วพยุงตัวเดินหนีทั้งๆ ที่ยังเจ็บจุกอยู่ สัมฤทธิ์หันไปมองพวกชายฉกรรจ์ที่แอบซุ่มอยู่ สัมฤทธิ์พยักหน้ารู้กันให้พวกมันออกไปก่อน
สัมฤทธิ์พยายามเดินตามบัวทอง
“เดี๋ยวสิบัวทอง...เดินจะไม่ไหวแบบนั้น ให้ชั้นพาไปส่งบ้านดีกว่า”
“ชั้นกลับเองได้ ไม่ต้องมายุ่งกับชั้น”
“แต่ชั้นเพิ่งช่วยบัวทองเอาไว้นะ”
“คิดว่าชั้นโง่เหรอ ไอ้พวกนั้นมันพวกเดียวกับแกนั่นแหละ”
“โธ่บัวทอง...โอ๊ย!!” สัมฤทธิ์ร้องเจ็บ บัวทองหันไปเห็นที่แขนของสัมฤทธิ์มีเลือดไหลเป็นทางเพราะโดนพวกมีดของชายฉกรรจ์ “ชั้นรู้ว่าชั้นทำเรื่องไม่ดีไว้เยอะ จนบัวทองอาจจะไม่ไว้ใจชั้นอีก แต่ชั้นไม่ได้อยากเป็นคนเลวไปตลอดหรอกนะบัวทอง”
บัวทองนิ่งไป ระหว่างนั้นยงยุทธขับรถจี๊ปผ่านมาพอดี ยงยุทธเห็นบัวทองอยู่กับสัมฤทธิ์ก็ไม่ไว้ใจ
“บัวทอง...มีอะไรรึเปล่า”
บัวทองนิ่งมองสัมฤทธิ์ ยงยุทธสงสัยจะเข้าไปเอาเรื่องกับสัมฤทธิ์ บัวทองรีบห้าม
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะหมวด ช่วยพาบัวทองไปส่งบ้านหน่อยได้มั้ยคะ”
“แน่ใจนะบัวทอง”
“ค่ะหมวด”
ยงยุทธมองสัมฤทธิ์อีกครั้งก่อนจะพาบัวทองขึ้นรถออกไป สัมฤทธิ์มองตามแล้วยิ้มร้ายๆ
ยงยุทธมาส่งบัวทองที่หน้าบ้าน
“ชั้นเองก็คิดเหมือนกับบัวทอง คนอย่างนายสัมฤทธิ์ยังไงก็ไม่น่าไว้ใจ อยู่ให้ห่างไว้เป็นดี”
“ค่ะหมวด บัวทองจะคอยระวังตัว ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง”
ยงยุทธยิ้มรับ บัวทองยกมือไหว้แล้วจะเดินขึ้นเรือน แต่ระหว่างนั้นจ่าแท่นเดินออกมาจากหลังบ้านพอดี
“อ้าว สวัสดีครับหมวด ว่าจะไปหาหมวดที่บ้านพักอยู่พอดี ได้ยินว่าหมวดสืบเรื่องพระเชียงแสนได้เค้ามาบ้างแล้วเหรอครับ”
“ใช่จ่า พอดีเจอบัวทองระหว่างทางเลยพามาส่ง เดี๋ยวเราหาที่คุยกัน”
“งั้นทางนี้เลยครับ”
ยงยุทธตามจ่าแท่นออกไปอีกมุมหนึ่งของบ้าน บัวทองยังไม่ขึ้นบ้านเพราะได้ยินยงยุทธกับลุงจ่ามีเรื่องสำคัญคุยกัน สีหน้าบัวทองอยากรู้อยากเห็น
ยงยุทธกับจ่าแท่นมาคุยกันอีกด้านหนึ่งของบริเวณบ้าน
“ไอ้น้ำ ลูกชายผู้ใหญ่น่วมน่ะเหรอครับ”
“ใช่จ่า...ผมไปสืบมาจนรู้ว่า ลูกชายผู้ใหญ่น่วมคนนี้นิสัยชอบเข้าออกบ่อนเป็นว่าเล่น หนำซ้ำพอเหล้าเข้าปากเป็นต้องมีเรื่องมีราว คดีฉุดผู้หญิงยาวเป็นหางว่าว ท้องที่อื่นประวัติต้องสงสัยมีเพียบ”
“แต่ไม่มีประวัติในพื้นที่เราเลยนี่ครับ”
“หมอนี่มันฉลาด มันไม่สร้างปัญหาในพื้นที่ของพ่อให้ชาวบ้านนินทาหรอกจ่า”
“งั้นที่หมวดสืบมาได้ว่า ลูกชายผู้ใหญ่น่วมเคยไปติดต่อขอซื้อพระเชียงแสนจากผู้ตาย ก็พอจะเป็นข้อสันนิษฐานได้ว่า...”
ยงยุทธพยักหน้ารับ
“พ่อลูกคู่นี้ต้องเกี่ยวข้องกับคดีนี้แน่”
บัวทองซึ่งทำทีเป็นเอาผ้ามาตากใกล้ๆ แต่แอบฟังอย่างสนใจ
คืนนั้นขณะที่ดารานั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะในห้องนอน บัวทองนั่งบ่นให้ดาราฟังอยู่ใกล้ๆ
“ทำไมจิตใจผู้คนสมัยนี้ถึงได้ชอบทำบาปทำกรรมกันนักก็ไม่รู้นะคะอาจารย์”
“เพราะคนเรานับถือวัตถุกันมากขึ้น กลัวบาปกรรมกันน้อยลง”
“ถ้าอย่างนั้นการกระทำของวีรบุรุษบาปก็ชอบธรรมน่ะสิคะ เพราะไม่ต้องรอให้บาปกรรมมาตัดสิน พูดไปบัวทองก็ชักอยากรู้แล้วว่าวีรบุรุษบาปเป็นใคร” ดารานิ่งไปสีหน้าครุ่นคิด “อาจารย์ก็อยากรู้เหมือนกันใช่มั้ยคะ บัวทองว่าเขาต้องอยู่ไม่ไกลจากเรา และอาจจะเป็นคนที่เรานึกไม่ถึงเลยก็ได้”
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะบัวทอง”
“ก็อาจารย์เคยบอกเองไม่ใช่เหรอคะว่าคณะสำรวจโบราณคดีของอาจารย์ประทีปไป สำรวจที่ไหนก็มักจะมีโจรถูกฆ่าตายเหมือนอย่างที่วีรบรุษบาปทำ”
ดารานิ่งไปสีหน้าครุ่นคิดติดใจอะไรบางอย่าง
“เรื่องบังเอิญมากกว่าน่ะจ้ะ”
ดาราหันไปทำงานต่อก่อนจะหยิบแผนที่ขึ้นมาดูแล้วนึกได้
บรรยากาศบนศาลาวัดเกาะน้อย น้ำเอาตำราสวดมนต์มานั่งท่องอยู่กับพระลูกวัด ยุงตอมหน้าตอมตาแต่น้ำ จนมันหงุดหงิดรำคาญ
“เว้ย! ยุงชุมชมัด ไปกัดพระมั่งสิวะมากัด กัดแต่ข้าอยู่ได้...ไป”
น้ำหงุดหงิดรำคาญได้ครู่ก็เหลือบไปเห็นดาราที่เดินเข้ามาตรงหน้าศาลา ดาราถามหาขุนเดชกับเด็กวัดก่อนจะเดินไปทางกระท่อมของขุนเดช น้ำตาโตด้วยความสนใจ
“ใครวะ...สวยชิบเป๋ง ค่ำๆ มืด มาเดินอยู่ในวัดแบบนี้...แหม...มันน่า”
น้ำยิ้มร้ายคิดชั่วแล้วหันไปมองพระพี่เลี้ยงที่นั่งสวดมนต์อยู่ห่างๆ คิดหาโอกาสย่องตาม
ดารามาเคาะประตูเรียกขุนเดชที่กระท่อม
“ขุนเดช...ขุนเดช...เธอลืมแผนที่ที่ต้องใช้สำรวจไว้ที่ชั้น...ขุนเดช” ดาราเคาะเรียกแต่เงียบไม่มีเสียงตอบ ดาราแปลกใจเลยลองเปิดประตูดูพบว่าประตูไม่ได้ล็อค “ขุนเดช”
ภายในกระท่อมไม่มีใครอยู่ ดาราคิดว่าขุนเดชคงออกไปทำธุระเลยเอาแผนที่วางไว้ที่โต๊ะ แต่ก่อนจะออกไป ดาราหันไปสนใจที่ตู้ซึ่งขุนเดชพยายามไม่ให้ดาราเข้าไปยุ่ง ด้วยความสงสัยอยากรู้ เห็นไม่มีใครจึงตัดสินใจเปิดตู้
ทันใดนั้นคนร้ายที่พันหน้าด้วยผ้าขาวม้าโผล่ขึ้นข้างหลัง มันรีบเข้าไปจับดาราปิดปาก ดาราตกใจพยายามดิ้นต่อสู้แล้วสะบัดตัวไปชนตู้จนล้ม ดาบดำหักของนายเดื่องกระเด็นออกมาจากตู้ ดาราคว้าดาบดำมาชักออก แม้จะเป็นแค่ดาบหักแต่เธอก็กำไว้แน่น
“อย่าเข้ามานะ”
ดาราพยายามฟาดฟันใส่เพื่อไม่ให้มันเข้าใกล้ มันพยายามจะเข้าไปเล่นงานอีก แต่ดาราก็ฟาดฟันและถอยหนีวิ่ง ออกไปจากกระท่อมทันที แต่แทนที่คนร้ายจะไล่ตามกลับหยุดแล้วถอดผ้าขาวม้าที่พันหน้าออก เผยให้เห็นว่า เป็นขุนเดชนั่นเอง
ดาราถือดาบดำหักวิ่งออกมาร้องขอความช่วยเหลือก่อนจะล้มลง
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับคุณ” น้ำเข้ามาถาม
“ช่วยด้วยค่ะ มีคนพยายามจะทำร้ายชั้น”
“ทางไหนครับ”
“ทางนั้นค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ มากับผม เดี๋ยวผมพาไปที่ปลอดภัย”
น้ำจะพาดาราออกไปกับมันโดยที่มันมองดาราด้วยสายตาโลมเลีย แต่ขุนเดชตามเข้ามาขัดมันซะก่อน
“ดารา”
“ขุนเดช”
ดาราดีใจรีบโผเข้าไปหา ขุนเดชโอบดาราช่วยปลอบใจ แล้วมองหน้าน้ำอย่างไม่ไว้วางใจ
“พี่ขุนเดช…พี่รู้จักคุณผู้หญิงคนนี้ด้วยเหรอ”
ขุนเดชพยักหน้ารับ
“ขอบใจนะ ไม่มีอะไรแล้วกลับไปกุฏิเถอะ”
น้ำถึงกับเซ็ง
“จ้ะพี่”
น้ำเดินออกไปอย่างเสียอารมณ์ ไม่พอใจที่โดนขุนเดชขัดจังหวะ
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะดารา...ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
ขุนเดชพาดารากลับมาที่กระท่อม ขุนเดชยกตู้ขึ้นตั้งเหมือนเดิม
“คงเป็นพวกโจรลักเล็กขโมยน้อย เห็นไม่มีใครอยู่ก็เลยย่องเข้ามา”
“ชั้นขอโทษนะ ข้าวของเธอเลยเสียหาย”
“ไม่เป็นไรหรอกดารา ข้าวของเสียหายก็หาใหม่ได้ คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ดาราหันไปมองดาบดำที่เธอได้มาจากในตู้ ขุนเดชหยิบขึ้นมาแล้วยิ้ม “โชคดีด้วยที่เธอเจอโจรใจเสาะ แค่โดนขู่ด้วยดาบหักสนิมขึ้นก็วิ่งหนีแล้ว”
“ปกติเธอเก็บดาบหักของพ่อเธอไว้ที่ตู้นี้เสมอเหรอขุนเดช”
“ใช่...ถามทำไมเหรอ” ดาราชะงัก
“เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก”
ขุนเดชพยายามมองตาดารา แต่ดาราพยายามเลี่ยงไม่สบตาเพราะไม่อยากให้ขุนเดชรู้ว่าเธอสงสัย
น้ำเดินกระดกขวดเหล้าเมาจนกึ่ม
“ค่อยยังชั่วหน่อยเว้ย...ได้เหล้าได้ยาเข้าไป ชีวิตมันถึงบันเทิง ฮ่าๆๆๆ” น้ำหัวเราะร่าก่อนจะหันไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งขี่จักรยานผ่านมาบนถนนเส้นเดียวกัน น้ำมองตามแล้วคิดชั่ว “เหล้ายาครบแล้ว...ขาดก็แต่นารี...หึๆๆๆ”
หญิงสาวถูกทำร้าย วันต่อมายงยุทธกับจ่าแท่นมาสอบปากคำน้ำที่วัดแต่น่วมรีบปฏิเสธแทนลูกชาย
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับหมวด ลูกชายผมมันกำลังจะบวชมันมาเรียนรู้พระธรรมอยู่กับพระกับเจ้า แล้วมันจะไปทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง”
“แต่ลูกชายผู้ใหญ่ยังไม่ได้ห่มผ้าเหลือง แล้วที่อ้างว่าอยู่ในวัดมีพยานรึเปล่า”
น้ำนิ่งไป น่วมหันมามองหน้าลูกชายอย่างหนักใจ
“อย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้นะผู้ใหญ่ ท้องที่อื่นอาจจะเล่นงานลูกชายผู้ใหญ่ไม่ได้แต่ที่นี่ หมวดยงยุทธจะไม่ปล่อยให้คนทำผิดลอยนวล”
“อย่ามาข่มขู่กันเลยจ่า ถ้าหมวดเก่งจริงทำไมไอ้วีรบุรุษบาปถึงยังลอยนวลอยู่ล่ะ”
จ่าแท่นไม่พอใจจะเข้าไปเอาเรื่องแต่ยงยุทธยกมือกัน
“ถ้านายยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนที่ถูกกล่าวหา ก็ต้องมีพยาน”
น้ำนิ่งไปสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะ นึกขึ้นได้
“ผมมีพยาน”
น้ำพาทุกคนมาที่กระท่อมขุนเดช ขณะนั้นขุนเดชกำลังขัดองค์พระทองเหลืองที่เพิ่งหล่อเสร็จให้สวยงาม ก่อนจะหันไปถาม
“เมื่อคืนนี้น่ะเหรอ”
“ใช่จ้ะพี่ขุนเดช หมวดเขาหาว่าชั้นไปเกี่ยวข้องกับคดีทำร้ายร่างกายผู้หญิงข้างนอกวัด ชั้นยืนยันว่าไม่ได้ออกไปจากวัดเลยเขาก็ไม่เชื่อ”
“ขุนเดช”
ขุนเดชนิ่งไปครู่
“เมื่อคืนนี้ชั้นเห็นเขาอยู่ที่วัด”
น้ำกับผู้ใหญ่น่วมยิ้มพอใจ ยงยุทธรีบเข้าไปดึงไหล่ขุนเดชมาทันที
“ขุนเดช…แกรู้มั้ยว่าผู้หญิงที่ถูกทำร้ายอยู่ในสภาพแบบไหน”
“อากาการหนักมากนะขุนเดช ฝีมือไอ้คนทำมันไม่ใช่คน แต่มันเป็นไอ้นรกจกเปรต”
จ่าแท่นด่าไปก็มองหน้าน้ำไป
“อ้าวจ่า…ลูกชายผมมีพยานยืนยันแล้ว จ่าจะมากล่าวหากันลอยๆ แบบนี้ไม่ได้นะครับ นี่ถ้าลูกชายผมไม่อยู่ในช่วงจะบวชล่ะก็ผมเอาเรื่องจ่าได้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอกพ่อ เขาว่าคนจะบวชมักมีมารมาผจญ ถ้าพวกหมวดยังไม่เชื่อคำพูดของพี่ขุนเดช ลองไปถามแฟนพี่ขุนเดชดูก็ได้ เมื่อคืนนี้ผมเพิ่งจะช่วยชีวิตเขา”
“แฟน?”
ยงยุทธมองขุนเดชอย่างสงสัย ขุนเดชหน้านิ่งไม่พูดอะไรสักคำ
ยงยุทธมาหาดาราที่แคมป์โบราณคดี ขณะนั้นดารากำลังทำงานปัดฝุ่นทำความสะอาดวัตถุโบราณที่นำกลับมาจากพื้นที่โบราณสถาน
“ใช่…ผู้ชายคนนั้นเขาเข้ามาช่วยชั้นตอนที่ถูกไล่ทำร้าย”
“ขุนเดชก็บอกผมแบบนั้นเหมือนกัน ทำไมคุณไม่บอกผมล่ะดารา ผมจะได้ช่วยตามหาโจรที่เข้าไปทำร้ายคุณ”
“งานเธอเยอะแยะ ชั้นเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก โจรนั่นก็ไม่ได้อะไรไป”
“แล้วคุณไปหาขุนเดชตอนดึกๆ ทำไม” ดารานิ่งไป ยงยุทธเสียใจแต่ก็ยังเป็นสุภาพบุรุษ “ผมขอโทษนะดารา ผมไม่ควรถามเรื่องส่วนตัวของคุณ”
ยงยุทธแอบน้อยใจแล้วเดินออกไปทันที
“ยงยุทธ”
วันต่อมาที่ลานซ้อมรำในบริเวณบ้านคำปัน บัวทองฟ้อนรำอย่างสวยงามให้ทิพย์ดู ทิพย์ชอบอกชอบใจตีมือดีใจ
“สวย..สวยจังเลย พี่สาวรำสวยจัง”
“แล้วอยากรำสวยแบบพี่รึเปล่าล่ะจ้ะ”
“อยากสิจ้ะ ทิพย์อยากรำสวยๆ”
“งั้นมาสิ เดี๋ยวพี่สอนให้”
บัวทองจับมือทิพย์ให้ลุกมารำด้วย บัวทองช่วยจับมือ ช่วยตั้งท่าวงรำให้ คำปันกับรำพันนั่งมองอยู่ห่างๆ ด้วยความชื่นชม สัมฤทธิ์ก้าวเข้ามายืนมองแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้
ทิพย์เกาะแขนบัวทองที่พามาส่งที่รถ ทิพย์ชอบบัวทองมาก
“ทิพย์ ปล่อยแขนพี่เขาบ้างก็ได้ลูก เดี๋ยวจะพาพี่เขาสะดุดล้ม”
รำพันบอกลูกสาว
“ทิพย์ชอบพี่บัวทอง พี่บัวทองสวย สวยเหมือนนางฟ้า”
“ชมพี่ขนาดนั้นเดี๋ยวพี่ก็ตัวลอยหรอก”
สัมฤทธิ์เดินเข้ามา
“ปล่อยแขนพี่เขาได้แล้วทิพย์” น้ำเสียงของสัมฤทธิ์ดุจนทิพย์ตกใจก้มหน้าก้มตารีบผละจากบัวทองไปหารำพัน
“ไปขึ้นรถ” รำพันรีบพาทิพย์ไปขึ้นรถ สัมฤทธิ์เดินปั้นหน้าเป็นคนดีสุดฤทธิ์มาที่บัวทอง “ขอบใจมากนะบัวทอง ชั้นเป็นหนี้บุญคุณเธอจริงๆ เพราะกว่าชั้นจะหาครูสอนรำที่ยอมรับสอนน้องสาวชั้นได้ ก็แทบจะพลิกหาทั้งสุโขทัย”
“ชั้นไม่ได้ช่วยเธอ ชั้นสงสารทิพย์ถึงได้ยอมสอนให้”
“นี่บัวทองยังไม่หายโกรธชั้นอีกเหรอ”
“ไว้ถือพานพุ่มไปกราบขอขมาพี่ขุนเดชเมื่อไหร่ ค่อยมาคุยกัน” บัวทองเชิดหน้าใส่แล้วเข้าไปหาทิพย์ที่นั่งอยู่ในรถ “แล้วมาเรียนรำกับพี่อีกนะจ๊ะทิพย์”
“จ้ะพี่บัวทอง”
สัมฤทธิ์มีสีหน้าเจ็บใจ แต่แกล้งทำตีสีหน้าเป็นคนดีก่อนจะขับรถพาทิพย์ออกไป คำปันหันมามองลูกสาวแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้
อ่านต่อหน้าที่ 2
ขุนเดช ตอนที่ 6 (ต่อ)
คำปันเตรียมกับข้าวใส่ปิ่นโต
“ไปพูดแบบนั้นกับเขา มันจะดีเหรอบัวทอง”
“แม่...คนแบบนั้น พูดดีๆ ด้วยไม่มีวันเข้าใจหรอก ชั้นเห็นทิพย์แล้วก็อดสงสารไม่ได้ น่าจะเกิดเป็นน้องสาวของชั้นมากกว่าไปเกิดในบ้านของคนพวกนั้น”
“ทุกคนต่างก็มีกรรมของตัวเอง ชาติที่แล้วทำอะไรไว้ ชาตินี้ก็ต้องยอมรับผลกรรมนั้น”
“ถ้าทุกคนคิดได้อย่างที่แม่พูด สงสัยวีรบุรุษบาปคงต้องตกงานเพราะทุกตรอกซอกซอยจะมีแต่คนดี ไม่มีคนบาป...เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยแม่ ชั้นเอาไปให้พี่ขุนเดชนะ”
บัวทองหิ้วปิ่นโตรีบออกไป คำปันมองตามแล้วส่ายหน้าในความกระโดกกระเดกของลูกสาว
ภายในโบสถ์ที่กำลังตกแต่งบูรณะจึงเต็มไปด้วยนั่งร้านและอุปกรณ์วางเรียงราย ที่องค์พระเพชรทองมีนั่งร้านตั้งข้างๆ เพื่อไว้สำหรับตกแต่งบูรณะองค์พระ น้ำมององค์พระตาเป็นมัน
“ที่ข้าเรียกเอ็งมาก็เพราะเห็นว่าเอ็งกำลังจะบวชเลยอยากถามเอ็งหน่อย”
“จะถามอะไรชั้นเหรอพี่ขุนเดช”
“มองที่องค์พระแล้วบอกข้ามาว่าทำไมการสร้างพระพุทธรูปที่เป็นตัวแทนขององค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงต้องมีพระเศียรแหลม พระกรรณยานและพระเนตรมองต่ำ”
น้ำนิ่งไป
“ชั้นไม่รู้จ้ะพี่”
“งั้นไปหาคำตอบมาให้ข้า ข้าถึงจะให้เอ็งมาช่วยบูรณะพระเพชรทอง”
ขุนเดชบอกแล้วเดินออกไป น้ำมองตามอย่างหัวเสียหงุดหงิด
บัวทองมาหาขุนเดชที่กระท่อม เมื่อมาถึงบัวทองเอาอาหารออกจากปิ่นโตให้ขุนเดชกินมื้อเย็น
“ชั้นได้ยินหมวดคุยกับลุงจ่า ไอ้น้ำนี่แหละที่หมวดสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับคดีปล้นฆ่า เจ้าทรัพย์แล้วขโมยเอาพระเชียงแสนไป”
“สงสัยแล้วมีหลักฐานรึเปล่า”
“ถ้าหมวดมีหลักฐานก็จับไปแล้วน่ะสิพี่ขุนเดช”
“งั้นบัวทองก็ไปกล่าวหาเขาไม่ได้”
“พี่ขุนเดช...หน้าอย่างไอ้หมอนั่น เห็นแค่แว่บเดียว ชั้นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี พี่ไม่น่ายอมให้มันมาบวชที่วัดนี้เลย”
“คนเราก็มีดีมีเสียกันทั้งนั้น ในเมื่อเขาตั้งใจมาบวชก็แสดงว่าตั้งใจจะเลิกทำบาป”
“แต่ชั้นไม่เชื่อว่าพวกที่ฆ่าคนเพื่อขโมยพระพุทธรูปจะกลับตัวเป็นคนดีได้ คอยดูนะพี่ ถ้าวีรบุรุษบาปรู้เรื่องนี้ ชั้นว่าเขาต้องไม่ยอมให้คนบาปมาทำผ้าเหลืองให้มัวหมองหรอก”
ขุนเดชนิ่งไปปล่อยให้บัวทองของขึ้น
วันต่อมาขุนเดชเดินเข้ามาในป่ารกทึบ ขุนเดชสำรวจไปรอบๆ บริเวณ ใกล้ๆ กันมีขอนไม้ที่ตายซากเลยเข้าไปพลิกดู พบข้างในมีดงเห็ดสีสวยงาม ขุนเดชขุดเอาเห็ดพวกนั้นขึ้นมาใส่ชะลอมที่ติดตัวมาด้วย
ขุนเดชกับน้ำยืนอยู่หน้าองค์พระเพชรทอง
“ที่พี่ขุนเดชถามชั้นเกี่ยวกับองค์พระพุทธรูป ชั้นก็ไปหาคำตอบมาได้แล้ว ที่จริงแล้วเป็น ปริศนาธรรม”
“แล้วคำตอบคืออะไร”
“ที่พระพุทธรูปมีเศียรแหลม เพราะหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดําเนินชีวิต สอนให้ชาวพุทธแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยสติ ปัญญาไม่ใช้อารมณ์หากใช้สติปัญญาคิดให้รอบคอบความผิดพลาดก็ย่อมไม่เกิดขึ้น”
“ถูก”
“ส่วนที่ทำไมพระกรรณต้องยาน ก็หมายความว่า ชาวพุทธต้องเป็นคนหูหนัก มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แต่ให้เชื่อในกฎแห่งกรรม คือทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว”
“ใช่…แล้วพระเนตรต่ำล่ะหมายความว่าอะไร”
“หมายความว่าเป็นการมองตัวเอง ตักเตือนตน ไม่ใช่คอยจับผิดผู้อื่น” ขุนเดชนิ่งมองน้ำอย่างพิจารณา “ชั้นตอบถูกใช่มั้ยพี่”
“ถูกหมดทุกข้อ”
“ทีนี้พี่ก็ให้ชั้นช่วยบูรณะท่านแล้วใช่มั้ย”
ขุนเดชไม่ตอบอะไรเดินไปยืนหน้าองค์พระแล้วสีหน้าจริงจัง
“คนที่จะตอบปริศนาธรรมทั้งสามข้อนั่นได้มีอยู่สองประเภท หนึ่งคือพุทธบริษัทที่มีใจศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา สองคือพวกโจรชั่วใจบาปหยาบช้า ที่เห็นพระพุทธศาสนาเป็นเพียงสินค้าพุทธพานิชย์ มันจึงศึกษาพระพุทธรูปเพื่อเอาไว้เพิ่มมูลค่าให้สินค้ามัน” คำพูดของขุนเดชทำเอาน้ำชะงัก “เอ็งจัดอยู่ในคนจำพวกไหน”
“ชั้นก็ต้องจัดอยู่ในพวกแรกสิพี่ขุนเดช ไม่งั้นชั้นจะเข้าวัดมาบวชเป็นพระทำไม”
ที่แคร่หน้าโบสถ์ ขุนเดชเปิดข้าวในปิ่นโตให้น้ำกิน น้ำตักกินอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยดีนะพี่”
“อร่อยก็กินไปเยอะๆ เห็นเอ็งกินแต่ข้าวบาตรพระทุกมื้อ กินอย่างอื่นบ้างจะไม่เบื่อ”
“พี่ขุนเดชรู้ใจชั้นจริงๆ แล้วพี่ไม่กินด้วยกันเหรอ”
“ข้ากินแล้ว เอ็งกินให้หมดเลย ไม่ต้องห่วง”
น้ำตักกับข้าวในปิ่นโตราดข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย ขุนเดชมองมันด้วยสายตาเยือกเย็น
ภายในโบสถ์ น้ำหิ้วถังอุปกรณ์ปีนขึ้นไปบนนั่งร้านข้างๆ องค์พระเพชรทอง ทำทีเป็นทำความสะอาดองค์พระ
ขุนเดชยืนมองน้ำอยู่จากด้านล่าง น้ำทำความสะอาดองค์พระไปก็เริ่มมีอาการมึนหัว ตาพร่า เหมือนคนเมา
“เป็นอะไรไป ไม่สบายรึเปล่า”
“เอ่อ...ปละ...เปล่าจ้ะพี่ขุนเดช ข้างบนนี้มันร้อน”
“งั้นลงมาพักก่อนก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะพี่ ชั้นอยากช่วยงานให้เสร็จเร็วๆ”
“งั้นข้าฝากทางนี้ด้วยแล้วกัน”
ขุนเดชมองมันด้วยสายตาเหมือนเหยี่ยวจ้องเหยื่อก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้น้ำอยู่กับองค์พระตามลำพัง น้ำรอจนแน่ใจว่าขุนเดชไม่อยู่แล้ว มันจึงรีบปีนเข้าไปใกล้กับเศียรพระแล้วรีบเอาค้อนอันเล็กๆ มากระเทะเนื้อปูนที่เศียรพระออก เมื่อเนื้อปูนหลุดล่อนออกมาเป็นแผ่น เผยให้เห็นเนื้อทองคำที่ถูกปูนหุ้มทับ
“แม่เจ้าเว้ย...นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยเนี่ย” น้ำตบหน้าตัวเองไม่เชื่อสายตาแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น “รวย...รวยแล้วเว้ย ฮ่าๆๆๆๆ”
ที่โบราณสถาน คนงานที่มาช่วยบูรณะตกแต่งโบราณสถานเลิกงานกลับไปหมดแล้วเหลือขุนเดชคนเดียว ยงยุทธเดินเข้ามาเงียบๆ แต่ขุนเดชรู้ตัว
“จะมาช่วยชั้นทำงานเหรอ วันนี้เขาเลิกงานกันหมดแล้ว”
ยงยุทธก้าวเข้ามามองขุนเดชด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
“แกรู้ตัวมั้ยว่าแกกำลังช่วยเหลือพวกโจรให้มันใช้ผ้าเหลืองบังหน้า”
“แกเป็นตำรวจ มีกฏหมายอยู่ในมือ ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าเที่ยวกล่าวหาคนอื่น”
“ไอ้ขุนเดช” ยงยุทธชี้หน้าขุนเดช “ชั้นขอเตือนนะ ถ้าคิดจะอยู่ตรงข้ามกับชั้น ชั้นจะไม่ไว้หน้าแก”
“แกต่างหากที่ควรจะต้องหนักแน่นกว่านี้ ถ้าคิดแต่จะใช้อารมณ์ตัดสินความผิด แกก็จะไม่ต่างอะไรจากวีรบุรุษบาป”
“แกอย่าเอาชั้นไปเปรียบเทียบกับไอ้ฆาตกรอย่างมันนะเว้ย”
ยงยุทธเข้าไปกระชากไหล่ขุนเดช แต่ขุนเดชพลิกตัวกลับมาจับมือยงยุทธมาบิด แต่ยงยุทธตอบโต้ด้วยศอก กระแทกเข้าที่หน้าจนขุนเดชผงะ สองคนจ้องหน้ากันอย่างเอาเรื่อง
ขุนเดชชกใส่ ยงยุทธใช้มือปัดแล้วชกกลับ ขุนเดชปัดมือยงยุทธกลับบ้างอย่างว่องไว สองคนงัดเชิงมวยใส่กัน ก่อนจะกระเด็น แล้วมือไปคว้าท่อนไม้ขึ้นมาเตรียมจะสู้กันอีก แต่เสียงดาราดังขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
สองหนุ่มชะงักหันไปเห็นดาราที่ไม่พอใจการทะเลาะเบาะแว้งของทั้งคู่
ขุนเดชเดินออกมา ยงยุทธยังไม่หมดธุระเดินไล่ตาม
“ขุนเดช...แกยังไปไหนไม่ได้ ชั้นยังไม่หมดธุระกับแก”
“พอซะทีเถอะยงยุทธ ปล่อยขุนเดชไปได้แล้ว”
“ดารา...คุณนั่นแหละที่ต้องหยุดขวางผม อย่าเอาเรื่องส่วนตัวระหว่างคุณกับมันมาทำให้ ผมเสียงาน”
“ยงยุทธ” ดาราอึ้ง เข้าไปตบหน้ายงยุทธทันที...เพี๊ยะ !! ยงยุทธหน้าหันตามแรงตบเลยหยุด...กึก “ไปเถอะขุนเดช ชั้นจะคุยกับเขาเอง”
ขุนเดชนิ่งมองทั้งคู่ก่อนจะเดินออกไป ยงยุทธไม่หายเจ็บใจจะตามขุนเดชไปอีก ดาราขยับไปขวางเงื้อมือ
“คิดว่าผมจะยอมให้คุณทำร้ายผมเหรอดารา”
ดาราชะงักเมื่อยงยุทธหันมาสีหน้าเอาจริงกับเธอ
ยงยุทธจับมือดาราพามาอีกมุมหนึ่ง
“ชั้นเจ็บนะยงยุทธ ปล่อยชั้น...บอกให้ปล่อย”
ดาราพยายามยื้อยุด ยงยุทธเลยยิ่งออกแรงต้านจนดันกันไปมาแล้วพากันล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่ หน้าเกือบจะ ชนกัน ก่อนจะสบตากันนิ่งไปครู่ใหญ่
“ชั้นไม่ใช่ผู้ต้องหาของเธอ จะปล่อยชั้นได้รึยัง”
ยงยุทธปล่อยมือ ดารารีบผลักแล้วลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัว ใจยังเต้นไม่หาย
“ผมขอโทษ...ผมไม่อยากให้คุณมาขวางการทำงานของผม”
“โดยคิดว่าชั้นกับขุนเดชมีอะไรกันน่ะเหรอ”
“แล้วจะให้ผมคิดเป็นอย่างอื่นได้ยังไงล่ะดารา ในเมื่อมีคนเห็นคุณไปหามันถึงที่ตอน ดึกๆ ดื่นๆ”
“เธอดูถูกชั้นเกินไปแล้ว”
ดาราไม่พอใจจะเดินออกไป ยงยุทธรีบคว้ามือดาราเอาไว้
“เดี๋ยวสิดารา...หมายความว่ายังไง ตกลงคุณกับมันคุณไม่ได้...”
“พอ...เลิกคิดบ้าๆ ซะที ชั้นไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เธอคิด ที่ชั้นไปหาขุนเดชเพราะต้องการพิสูจน์ว่าขุนเดชจะใช่วีรบุรุษบาปรึเปล่า”
ยงยุทธอึ้งไป
“แล้วไอ้ขุนเดชมันใช่รึเปล่า”
“ชั้นไม่พบอาวุธของวีรบุรุษบาปที่นั่น ขุนเดชมีแค่ดาบดำของพ่อเล่มเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะมีอุดมการณ์เหมือนกับวีรบุรุษบาป แต่ชั้นก็ไม่เชื่อว่าเพื่อนของเราจะเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมแบบนั้นได้”
“แต่ว่า...”
“ยงยุทธ...ขุนเดชเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอ ยอมเสียสละอนาคตตัวเองเพื่อให้เธอมีวันนี้ เธอควรจะเลิกสงสัยเพื่อนของเธอได้แล้ว”
ยงยุทธนิ่งไป
“อย่างนึงที่มันเสียสละก็คือคุณด้วยใช่มั้ย คุณถึงไม่อยากให้ผมเป็นศัตรูกับมัน”
ยงยุทธตัดพ้อแล้วเดินออกไป
“เดี๋ยวสิยงยุทธ...ชั้นแค่ไม่อยากเห็นคนที่ชั้นรักต้องมาทำร้ายกันเอง”
“คนที่คุณรัก?...ใครล่ะดารา...คุณรักคนสองคนในเวลาเดียวกันไม่ได้หรอก”
ยงยุทธทิ้งท้ายให้ดาราคิดแล้วเดินออกไป ดารานิ่งงัน
บัวทองอยู่กับขุนเดชที่กระท่อม ขุนเดชเป็นห่วงเมื่อบัวทองมาบอกเรื่องสอนรำทิพย์
“บัวทองจะไปสอนรำทิพย์ที่บ้านกำนันบุญเหรอ”
“ใช่จ้ะ ชั้นสงสารทิพย์ก็เลยรับปากว่าจะไปสอนให้”
“แต่พี่ไม่ไว้ใจ บัวทองควรจะอยู่ให้ห่างจากพวกมัน”
“ชั้นก็ไม่ชอบหน้าไอ้สัมฤทธิ์เหมือนกันพี่ขุนเดช อยู่ใกล้มันทีไรเหมือนอยู่ใกล้พวกอสรพิษ แต่ทำไงได้ล่ะ…ทิพย์เขาน่าสงสารมาก ถ้าขอให้มาเป็นน้องสาวชั้นได้ล่ะก็ชั้นขอ ไปนานแล้ว” ขุนเดชยังมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ บัวทองนึกอะไรขึ้นได้เลยทำทีเป็นเข้าไปสะกิด “พี่ขุนเดช”
ขุนเดชหันมาไม่ทันตั้งตัว บัวทองเลยชกเข้าที่ท้องทันที
“โอ๊ย..บัวทองชกพี่ทำไมเนี่ย”
“ชั้นอยากแสดงให้พี่เห็นไงว่าชั้นก็พอมีฝีมือเอาตัวรอดได้”
“คิดว่าฝีมือแค่นั้นจะเอาตัวรอดได้จริงๆ เหรอ”
“ได้สิ...อย่างน้อยชั้นก็ทำให้พี่ร้องเจ็บได้แล้วกัน”
“งั้นลองอีกที คราวนี้เล็งหมัดมาที่หน้าพี่”
“อย่าท้าชั้นนะ”
ขุนเดชไม่ตอบขยับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“ซัดมาให้เต็มที่เลย พี่จะได้รู้ว่าเรามีฝีมือแค่ไหน”
“พี่หาเรื่องเจ็บตัวเองนะพี่ขุนเดช” บัวทองง้างหมัดแล้วชกใส่ แต่ขุนเดชเอามือจับหมัดบัวทองได้กลางอากาศแล้วบีบแรง “โอ๊ย...ชั้นเจ็บนะพี่”
“ถ้าอยากมีฝีมือติดตัวเอาไว้ป้องกันตัวเองจริงๆ พี่สอนให้ดีกว่า”
ขุนเดชปล่อยมือ บัวทองหน้าเหยเกด้วยความเจ็บ
ขุนเดชพาบัวทองออกมาสอนวิธีการป้องกันตัวที่นอกกระท่อม ท่ามกลางใบไผ่ที่ร่วงจากต้นลอยตามลมเป็นทางสวยงาม ขุนเดชสอนบัวทองตั้งแต่การกำหมัด การวางท่ายืน และการออกหมัดชกต่อสู้เมื่อยามคับขัน เห็นความสนิทใกล้ชิดของทั้งคู่
ขุนเดชลอบเข้าด้านหลัง บัวทองนำสิ่งที่ขุนเดชสอนมาปรับใช้จับมือขุนเดชมาบิด แต่ขุนเดชตัวใหญ่กว่าเลย ผลักไม่ไป บัวทองกลายเป็นฝ่ายเซจะล้ม ขุนเดชเลยประครองตัวเอาไว้ในอ้อมกอด ขุนเดชกับบัวทองหน้าเกือบจะใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ บัวทองใจเต้นตึกตัก ขุนเดชเองก็รู้สึกแปลกๆ กับ บัวทอง ก่อนที่ใจจะเตลิดไปมากกว่านี้ ขุนเดชก็แก้เก้อด้วยการปล่อยมือจนบัวทองล้มก้นจ้ำเบ้า
“โอ๊ย!! พี่ขุนเดชบ้า”
ขุนเดชยืนตีหน้าขรึม บัวทองยังเจ็บระบมก้นไม่หาย
“เอาล่ะ…ทีนี้ลองเข้ามาหาพี่อีกที ทำตามที่พี่สอน”
“หึ…ระวังตัวให้ดีนะพี่ขุนเดช ชั้นเอาคืนพี่แน่ๆ”
บัวทองกำหมัดแล้วเข้าไปชกใส่ซ้ายๆ ขวาๆ แต่ขุนเดชหลบได้หมด แถมยังจับมือบัวทองมาพลิกตัวล็อคเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
“พี่ขุนเดชขี้โกง…ปล่อยชั้นนะ พี่เป็นผู้ชาย พี่แรงเยอะกว่าชั้น”
“แรงใครเยอะกว่ากันไม่สำคัญหรอกบัวทอง ถ้าบัวทองรู้จักวิธีเล่นงานคู่ต่อสู้ ต่อให้เป็นผู้หญิงก็ล้มผู้ชายได้เหมือนกัน”
“ก็ได้พี่ขุนเดช”
บัวทองยกเท้ากระทืบเท้าขุนเดช แล้วศอกเข้าที่ท้องน้อยจังหวะขุนเดชเผลอก่อนจะจับมือขุนเดชมาบิดพลิกกลับ มาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“ชั้นทำได้แล้ว…ชั้นเอาชนะพี่ขุนเดชได้แล้ว”
“เห็นมั้ย ถ้าบัวทองตั้งใจจริงบัวทองก็เอาชนะพี่ได้ ปล่อยพี่ได้แล้ว”
“ปล่อยเหรอ…พี่ทำชั้นเจ็บ ชั้นยังไม่ได้เอาคืนเลย” บัวทองออกแรงบิดอีกที ขุนเดชสะดุ้งหน้าตาเจ็บมาก
“ไม่ต้องทำสำออยเลยพี่ขุนเดช ชั้นไม่ได้ทำพี่แรงขนาดนั้นสักหน่อย”
“พี่เจ็บจริงๆ บัวทอง แผลที่หลังพี่ยังไม่หาย”
บัวทองตกใจ
“แผลที่พี่ช่วยอาจารย์ดาราไว้น่ะเหรอ” บัวทองรีบปล่อยมือ “ชั้นขอโทษด้วยพี่ขุนเดช ชั้นลืมไป พี่เจ็บมากมั้ย”
บัวทองเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างเป็นห่วง แต่พอรู้ว่าขุนเดชโกหกเพราะต้องการแกล้ง บัวทองก็เลยทุบเข้าให้จริงๆอีก
“คนผีทะเล!!”
บัวทองงอนจริงๆ ขุนเดชได้แต่ยิ้มชอบใจ บัวทองเลยปั้นปึ่งออกไป
ที่บ้านกำนันบุญ ผกาเอายานอนหลับในซองเล็กๆมายื่นให้สัมฤทธิ์
“ใช้แค่นิดเดียวพอ ไม่งั้นนังบัวทองจะหลับไม่ตื่น”
“ชั้นรู้น่า ไม่ต้องมาสอนจระเข้ว่ายน้ำ” สัมฤทธิ์มองยาในมือ “บัวทอง…คราวนี้เธอได้เป็นเมีย ชั้นแน่” สัมฤทธิ์หัวเราะเสียงดังก่อนจะได้ยินเสียงแจกันล้ม…เพล้ง !! สัมฤทธิ์หันขวับ “ใครวะ”
ลูกน้องรีบออกไปดูเห็นทิพย์วิ่งหนีไป ผการีบสั่งสัมฤทธิ์
“อย่าให้รอดไปได้นะ ไม่งั้นทุกอย่างพังแน่”
ทิพย์วิ่งหนีอย่างตื่นตระหนก เพราะได้ยินทุกอย่างที่สัมฤทธิ์กับลูกน้องคุยกัน ทิพย์หนีมาหลบที่ใต้ต้นไม้ คิดว่าคงรอดจากการถูกตาม แต่สัมฤทธิ์กลับโผล่เข้ามา
“นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็ไอ้น้องสาวปัญญาอ่อน” ทิพย์ตกใจจะหนีแต่เจอลูกน้องสัมฤทธิ์มาดักทางไว้ “แกได้ยินที่ชั้นคุยกันเมื่อกี้ใช่มั้ย...นังทิพย์!!”
ทิพย์ตกใจก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูด
“พี่…น้องสาวพี่ปัญญาอ่อน คงไม่รู้เรื่องที่เราคุยกันหรอก”
ลูกน้องบอก สัมฤทธิ์นิ่งมองทิพย์อย่างสังเกต
“ทิพย์…พี่ขอโทษนะที่ไล่ตามแก แกคงไม่ตกใจกลัวพี่ใช่มั้ย” สัมฤทธิ์ยื่นมือจะไปแตะ แต่ทิพย์รีบถอยไม่ยอมให้สัมฤทธิ์โดนตัว “ไม่ต้องกลัว…แกคงคิดถึงบัวทองแล้ว ชั้นจะไปตามมาให้แล้วกัน”
ทิพย์ตกใจรีบคว้าแขนสัมฤทธิ์รั้งไว้ทันที
“อย่านะ…อย่าทำพี่บัวทอง…อย่าทำพี่บัวทอง”
สัมฤทธิ์ยิ้มร้ายๆ
“หึ…ใครว่ามันปัญญาอ่อนฟังไม่รู้เรื่อง”
สัมฤทธิ์จับมือทิพย์มาบีบอย่างแรงหน้าตาเอาเรื่อง ทิพย์ตกใจกลัว
บัวทองนั่งรออยู่ที่เรือนพักของรำพันกับทิพย์ สักพักรำพันเดินหน้าตาไม่ค่อยสบายใจเข้ามา
“ไม่เจอทิพย์เหรอคะน้ารำพัน”
“จ้ะ หาทั่วบ้านแล้ว หายไปไหนก็ไม่รู้”
“ปกติทิพย์หายไปแบบนี้บ่อยรึเปล่าคะ”
“ไม่หรอกจ้ะ มีบ้างที่ชอบเล่นซ่อนแอบแต่ก็หาเจอทุกที”
“งั้นเดี๋ยวบัวทองช่วยหามั้ยคะ”
“ไม่ต้องเสียเวลาตามหากันหรอก ทิพย์ไปสุโขทัยกับพ่อ”
สัมฤทธิ์บอกขณะเดินเข้ามา รำพันมองอย่างแปลกใจ
“พี่กำนันน่ะเหรอ พาทิพย์ไปสุโขทัย”
“ก็ใช่น่ะสิ ไปกันได้สักพักใหญ่แล้ว ได้ยินว่าทิพย์เขาอยากจะซื้อของให้บัวทอง ตอบแทนที่มาช่วยสอนรำให้ พ่อก็เลยพาไปด้วย”
รำพันมองสัมฤทธิ์อย่างสงสัย
“งั้นวันนี้ชั้นกลับก่อนนะจ๊ะน้ารำพัน”
“เดี๋ยวสิบัวทอง…ทิพย์เขาตั้งใจไปซื้อของมาให้ อีกแป๊บเดียวก็กลับมาแล้ว อยู่รอที่นี่เถอะนะ ถ้าทิพย์กลับมาไม่เจอเธอ มีหวังได้อาละวาดงอแงแน่”
บัวทองนิ่งไป รำพันเข้าไปที่สัมฤทธิ์
“ชั้นขอคุยกับเธอหน่อยสัมฤทธิ์”
รำพันออกมาคุยกับสัมฤทธิ์อีกมุมหนึ่ง
“ทิพย์อยู่ไหน”
“อะไร...ก็บอกไปแล้วไงว่าไปกับพ่อ”
“ชั้นไม่เชื่อ...พี่กำนันไม่มีทางเอาทิพย์ไปไหนต่อไหนด้วยแน่ เกิดอะไรขึ้นกับทิพย์ เธอทำอะไรทิพย์ใช่มั้ยสัมฤทธิ์”
“อย่ามาเซ้าซี้ได้มั้ย รำคาญ”
“สัมฤทธิ์...เขาเป็นน้องเธอนะ ชั้นขอร้องล่ะ เธอทำอะไรน้อง”
“ไม่ต้องกลัวว่าชั้นจะไปทำอะไรมันหรอก ถ้าชั้นไม่อยากเห็นหน้ามัน ชั้นเอาขี้เถ้ายัดปากมันตั้งแต่มันยังแบเบาะแล้ว”
รำพันตกใจ
“ทิพย์อยู่ไหน...บอกชั้นมานะว่าทิพย์อยู่ไหน”
“ยังไม่เลิกเซ้าซี้อีกใช่มั้ย...ได้”
สัมฤทธิ์กระชากแขนรำพันแล้วผลักเข้าไปในห้อง จัดการปิดประตูล็อคกลอน เสียงรำพันทุบประตูปังๆ
บัวทองรอทิพย์อยู่ที่เรือนพักของทิพย์ แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นทิพย์มาสักที
“แถวนี้มันร้อน ไปรอที่เรือนใหญ่ดีกว่ามั้ยจ๊ะบัวทอง”
สัมฤทธิ์บอก บัวทองมองสัมฤทธิ์ด้วยหางตา
“ไม่ต้อง…ชั้นจะรออยู่ตรงนี้แหละ”
“ชั้นเป็นห่วงบัวทองจริงๆ นะ”
“เอาความเป็นห่วงของแกกองไว้นั่นแหละ”
“ก็ได้จ้ะ อยู่แถวนี้ชั้นคงเกะกะขวางหูขวางตาบัวทอง พาลจะทำให้บัวทองไม่อยู่รอน้องสาวชั้น อีกแป๊บเดียวทิพย์ก็คงจะมาแล้ว”
สัมฤทธิ์เดินออกไป บัวทองนั่งรอต่ออีกพักคนใช้ของรำพันก็ยกถาดของว่างกับน้ำมาให้
“คุณรำพันอยู่ไหน”
บัวทองถามหารำพัน คนใช้ชะงักไปนิดนึง
“งานยุ่งอยู่ในครัวค่ะ”
คนใช้ตอบแค่นั้นแล้วเดินออกไปสวนกับสัมฤทธิ์ที่แอบหลบอยู่หลังต้นไม้ บัวทองรอจนรู้สึกกระหายเลยยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม สัมฤทธิ์เห็นแล้วยิ้มร้ายทันที
“เสร็จข้าแน่…บัวทองคนสวย…หึๆๆๆ”
เวลาผ่านไป บัวทองเริ่มมึนๆ ตาปรือเพราะฤทธิ์ยานอนหลับที่สัมฤทธิ์ใส่ไว้ในแก้วน้ำ บัวทองพยายามประคองสติ ลุกเดินจนเกือบเซล้มแต่สัมฤทธิ์เข้ามาประคอง
“เป็นอะไรไปบัวทอง ไม่สบายเหรอ”
“ปล่อย…อย่า…อย่ามาถูกตัวชั้น”
“แต่ชั้นว่าท่าทางบัวทองไม่ดีเลยนะ ไปพักที่เรือนชั้นก่อนดีกว่า”
สัมฤทธิ์ถือโอกาสจะประคองบัวทองไป แต่กลับถูกบัวทองที่ฮึดแรงเฮือกสุดท้ายจับมือสัมฤทธิ์มาบิดไขว้หลัง ตามแบบที่ขุนเดชได้สอนบัวทองไว้
“โอ๊ย!! บัวทอง ชั้นเจ็บ ชั้นหวังดีจะช่วยบัวทองนะ”
“ชั้นรู้ว่าเป็นฝีมือแก...แกเอาอะไรให้ชั้นกิน”
“ชั้นเปล่านะบัวทอง เลิกมองว่าชั้นเป็นคนเลวซะทีเถอะ”
“บัวใต้น้ำอย่างแก ไม่มีวันโผล่ขึ้นมาเป็นบัวพ้นน้ำได้หรอก”
บัวทองออกแรงอีกครั้งจนสัมฤทธิ์เจ็บแขนร้องดัง บัวทองผลักสัมฤทธิ์แล้วรีบเดินหนีอย่างโซซัดโซเซ สัมฤทธิ์เจ็บใจ
“บัวทอง !! แกหนีไม่พ้นชั้นหรอก”
ไม่ทันขาดคำบัวทองก็ร่วงผล่อยหมดสติเพราะทนต่อฤทธิ์ยานอหลับไม่ไหว สัมฤทธิ์ยิ้มร้ายๆ
อ่านต่อหน้าที่ 3
ขุนเดช ตอนที่ 6 (ต่อ)
ทิพย์ถูกสัมฤทธิ์จับมาขังไว้ในกระท่อมที่สวนหลังบ้าน ทิพย์พยายามทุบประตูร้องเรียกคนช่วย
“ช่วยด้วย…แม่จ๋า…ช่วยทิพย์ด้วย…ฮือๆๆๆ แม่จ๋า…แม่…แม่”
ลูกน้องสัมฤทธิ์ที่เฝ้าอยู่หน้ากระท่อมยกไหเหล้าซดดื่มไปก็หงุดหงิดรำคาญเสียงของทิพย์เลยเปิดประตูเข้าไป
“เฮ้ย…หุบปากเงียบๆ เป็นมั่งมั้ย”
“แม่…ชั้นจะหาแม่…แม่จ๋า”
“เฮ้ย!! ไม่ได้พูดเล่นนะเว้ย ถ้ายังไม่เงียบล่ะก็จะจับหักคอเดี๋ยวนี้เลย” ลูกน้องสัมฤทธิ์หงุดหงิดเดินปรี่เข้าไปหา ทิพย์จับมือมากัดทันที “โอ้ยยยย…อี…อีบ้า”
ทิพย์กัดมันจนจมเขี้ยวแล้วผลักมันจนล้มก่อนจะรีบวิ่งหนีไปทันที
ยงยุทธขับรถพาดารามาตามถนนลูกรังเพื่อพาไปส่งที่ไซต์งานโบราณคดี
“เรื่องวันนั้น…ผมอยากจะขอโทษคุณ ให้โอกาสผมได้ขอโทษคุณได้มั้ย”
“ชั้นไม่โกรธเธอหรอกยงยุทธ”
“แต่ผมพูดจาไม่ดีกับคุณ”
“ใครเห็นชั้นไปหาขุนเดชกลางดึก ก็คงต้องคิดแบบนั้นกัน” ยงยุทธตัดสินใจเบรครถ...เอี๊ยด “หยุดรถทำไม”
“งั้นเรามาจบเรื่องนี้กันดีกว่า ผมรู้ว่าผมคือตัวปัญหาที่ทำให้คุณกับขุนเดชกลับไปเป็น เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้”
“ยงยุทธ”
“ถ้าไม่มีผมอยู่ที่นี่ซะคน คุณกับขุนเดชก็คงจะเดินไปด้วยกันได้ ผมยอมเสียสละให้ได้นะ ถ้าเพื่อคนที่ผมรักจะมีความสุข”
ดาราตบหน้ายงยุทธทันที…เพี๊ยะ !! ยงยุทธอึ้ง
“อย่าพูดแบบนั้นอีกนะยงยุทธ เธอจะไปจากที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าที่นี่ขาดคนที่เห็นแก่ความยุติธรรมอย่างเธอ แผ่นดินก็คงจะร้อนเป็นไฟ กฏหมู่จะอยู่เหนือกฏหมาย”
“แต่ถ้าผมอยู่ ผมก็เหมือนกับเสี้ยนหนามหัวใจให้คุณกับขุนเดช”
“ไม่หรอกยงยุทธ…เธอไม่ใช่เสี้ยนหนามหัวใจของชั้น”
“แล้วผมเป็นอะไรสำหรับคุณ…บอกผมมาสิดารา”
ดารานิ่งไป ยงยุทธรอให้ดาราพูด แต่ดาราไม่ทันจะพูดอะไรต่อเสียงของทิพย์ก็ดังแทรกเข้ามา
“ช่วยด้วย…แม่จ๋า แม่ช่วยทิพย์ด้วย…ฮือๆๆๆ”
ทิพย์ล้มลงเนื้อตัวมอมแมม ยงยุทธกับดาราตกใจ
พวกลูกน้องช่วยอุ้มบัวทองที่หมดสติเข้ามาในห้องของสัมฤทธิ์
“ออกไปได้แล้ว หมดหน้าที่ของพวกเอ็งแล้ว”
พวกลูกน้องออกไปทิ้งให้สัมฤทธิ์อยู่กับบัวทอง สัมฤทธิ์มองบัวทองตาเป็นมัน
“บัวทองคนสวย…ถึงเธอจะฤทธิ์เดชเยอะสักแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องเสร็จคนอย่าง ไอ้สัมฤทธิ์อยู่ดี...หึๆๆ หลังจากที่เธอเป็นเมียช้ันแล้ว ชั้นจะไปเยาะเย้ย ไอ้ขุนเดช ชั้นอยากเห็นหน้ามันเวลาเวลาเจ็บใจ ฮ่าๆๆ”
สัมฤทธิ์กำลังจะจูบบัวทองแต่ระหว่างนั้นลูกน้องเข้ามาขัดจังหวะ
“พี่สัมฤทธิ์”
“โว้ย…บอกว่าอย่ามาขัดจังหวะไง”
“แย่แล้วพี่…พ่อกำนันกลับมาแล้ว”
“พ่อข้ากลับมาแล้วทำไม พ่อไม่ว่าข้าหรอกที่ข้าทำกับนังบัวทองแบบนี้ พ่อข้าก็ใช้วิธีนี้กับผู้หญิงอื่นบ่อยๆ”
“แต่ว่าคราวนี้พ่อกำนันสั่งห้ามพี่แล้ว เพราะไอ้หมวดยงยุทธอยู่ที่นี่ด้วย”
ทิพย์กับรำพันกอดกันร้องห่มร้องไห้ต่อหน้ากำนันบุญ
“ผมต้องขอบคุณผู้หมวดมากที่ช่วยพาลูกสาวผมมาส่ง ผมก็มัวแต่ไปยุ่งเรื่องงานราชการ คนที่บ้านก็ไม่ทันระวังปล่อยให้หายออกไปได้” กำนันบุญหันมามองรำพัน “ต่อไปถ้าปล่อยให้ทิพย์หายออกไปอีก ชั้นจะเอาเรื่องเธอ”
“ชั้น…ชั้นขอโทษจ้ะพี่กำนัน”
รำพันกอดทิพย์สะอื้นไห้ลูบหัวปลอบใจ
“แม่จ๋า….พี่บัวทอง…พี่บัวทองอยู่ไหน”
รำพันชะงักมองกำนันบุญแล้วก้มหน้าก้มตาไม่กล้าพูดต่อหน้ายงยุทธ
“นั่นสิคะ บัวทองมาสอนรำให้ทิพย์ที่นี่ แต่ทิพย์หายตัวไปจากบ้านแบบนี้ บัวทองยังอยู่ที่นี่รึเปล่าคะกำนัน”
รำพันอึดอัดอยากจะบอกยงยุทธจนยงยุทธสังเกตได้ถึงความอึดอัดของรำพัน
“มีอะไรรึเปล่าครับคุณรำพัน”
กำนันบุญจิกหน้ามองรำพันถลึงตาใส่ไม่ให้รำพันพูดมาก
“ถามหาบัวทองกันเหรอครับ เห็นยังรออยู่ที่เรือนของทิพย์เลยจ้ะพ่อ”
ยงยุทธหันไปมองสัมฤทธิ์อย่างไม่ไว้ใจ
ยงยุทธกับดารารีบเข้ามาที่เรือนของทิพย์จึงพบบัวทองนอนอยู่ที่ชานเรือน
“บัวทอง…บัวทอง บัวทองจะเป็นอะไรรึเปล่ายงยุทธ”
ดาราหันไปถามยงยุทธ ยงยุทธสงสัยเปิดเปลือกตาบัวทองดู ตรวจสภาพร่างกายทั่วๆ แล้วหันไปเห็นถาดของว่างกับน้ำที่กินไปจน หมดแก้ว ยงยุทธพอจะเดาออก
“ไม่หรอก…บัวทองปลอดภัยดี เดี๋ยวก็คงฟื้น เราช่วยกันพาบัวทองกลับไปที่รถก่อน ผมมีเรื่องต้องไปจัดการกับนายสัมฤทธิ์”
ดารามองยงยุทธอย่างสงสัย
ยงยุทธกระชากคอเสื้อสัมฤทธิ์มาตะคอกใส่หน้า
“คราวนี้ชั้นไม่เอาแกไว้แน่ไอ้สัมฤทธิ์”
“ปล่อยลูกชายกำนันไปซะดีกว่ายงยุทธ”
ประดับเดินเข้ามา ยงยุทธชะงักเมื่อเห็นประดับก็ยิ่งเจ็บใจ จึงผลักสัมฤทธิ์จนกระเด็นเข้าไปเผชิญหน้ากับประดับ
“ชั้นว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของคนที่ทำงานให้ประชาชนแล้ว แต่มันเป็นซ่องโจรชัดๆ”
“ระวังคำพูดของคุณหน่อยนะครับผู้หมวด ชั้นอาจจะใช้คำพูดนั่นไปเล่นงานแกในศาลได้”
“คนที่จะต้องไปถึงศาลไม่ใช่ชั้นแต่จะเป็นไอ้ลูกชายกำนัน”
“อย่ากล่าวหาคนอื่นในบ้านเขาแบบนี้สิหมวด บัวทองเป็นคนเข้ามาในบ้านนี้เอง ถ้าสัมฤทธิ์ไปฉุดกระชากลากเข้ามา ชั้นจะยอมให้หมวดเอาเรื่องเลย ส่วนไอ้เรื่องวางยานอนหลับไม่คิดบ้างเหรอว่าบัวทองอาจจะเป็นลมเป็นแล้งไปเองก็ได้”
“อย่าให้เรื่องมันใหญ่โตไปเลยหมวด ไม่งั้นจะอยู่ที่นี่ลำบาก”
ยงยุทธจ้องหน้าประดับ
“ผมแนะนำกำนันให้อย่าง ล่ามปลอกคอลูกชายกำนันไว้ให้ดีถ้าวัน ไหนปลอกคอหลุด ผมจะถือว่าไม่มีเจ้าของ”
“หมวด มันจะเกินไปแล้ว”
“ไอ้สัมฤทธิ์!!” สัมฤทธิ์ชะงัก “เชิญหมวดออกไปจากบ้านผมได้แล้ว...เชิญ”
ยงยุทธจ้องหน้าเขม็งกับประดับอย่างผูกใจเจ็บก่อนจะออกไป
ที่กระท่อมขุนเดช ขุนเดชเลี้ยงข้าวปลาอาหารน่วมกับน้ำจนสองพ่อลูกกินกันอิ่มแปล้
“ต้องขอบใจพ่อขุนเดชจริงๆ ที่ช่วยดูแลลูกชายชั้น ไหนจะช่วยสอนสั่ง แล้วไหนจะข้าวปลาอาหารให้อิ่มทุกมื้อนี่อีก”
“ชั้นอาศัยวัด เป็นข้าพุทธศาสนา เห็นคนที่ตั้งใจมาสืบสานแล้วก็ต้องสนับสนุน กินให้อิ่มนอนให้หลับ ถึงวันบวชได้ครองผ้าเหลืองแล้วจะได้ดูน่าศรัทธา”
“จริงอย่างที่พ่อขุนเดชว่า ชั้นก็รอวันที่จะได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกนี่แหละ” น่วมพูดไปก็มองหน้ากับลูกชายอย่างรู้กันว่าถึงเวลาแล้ว น้ำพยักหน้าให้น่วมทำตามแผน “ได้ยินว่าพ่อขุนเดชหล่อพระพุทธรูปสวยๆ ไว้หลายองค์ ชั้นอยากได้ไปบูชาสักองค์ พอจะมีให้ชั้นเช่าบ้างมั้ย”
“ไม่ต้องเช่าหรอกกำนัน ชอบองค์ไหนก็เลือกไปเลย ที่ชั้นหล่อพระไว้ก็เพื่อทำบุญ อยากให้คนที่ได้ไปกราบไหว้ด้วยใจที่ศรัทธาจริงๆ”
ขุนเดชพาน่วมไปดูที่ชั้นวางพระพุทธรูปที่ขุนเดชหล่อเอาไว้มากมาย แต่ละองค์สวยๆ ทั้งนั้น น้ำอาศัยจังหวะที่ขุนเดชกำลังแนะนำพระให้น่วม ฉวยโอกาสคว้าเหล็กชะแลงแล้วย่องเข้าไปฟาดกลางหลังขุนเดชทันที...ผั๊วะ !! ขุนเดชล้มแน่นิ่ง น้ำฟาดซ้ำไปที่กลางหลังอีกหลายทีอย่างเมามันส์จนน่วมต้องรีบห้าม
“เฮ้ย..พอได้แล้ว เดี๋ยวมันตายห่าพอดี”
“ขออีกสักทีเถอะพ่อ ชั้นหมั่นไส้มันมานานแล้ว ทำเป็นมาสอนสั่งชั้นอยู่ได้”
“แต่ข้าไม่อยากให้เอ็งฆ่ามัน มันกับไอ้หมวดยงยุทธรู้จักกัน ถ้ามันตายขึ้นมา ทั้งโรงพักได้ยกขโยงล่าเอ็งแน่”
“ชั้นเคยกลัวที่ไหนล่ะพ่อ ให้มันล่าชั้นจริงๆ เถอะ ชั้นสู้ไม่ถอย”
“แต่ข้าอยากใช้เงินแบบสบายใจ ไม่ใช่ว่าหอบสมบัติไปแล้วต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปด้วย”
“ก็จริงของพ่อ เรากำลังจะอภิมหารวยแล้วนี่ มันก็ต้องมีความสุขให้สมอยาก”
น้ำยิ้มร้ายแล้วหันไปถ่มน้ำลายใส่ขุนเดชที่แน่นิ่งก่อนจะพากันออกไป
บัวทองถูกพากลับมาบ้านและยังนอนไม่ได้สติอยู่ในห้อง คำปันเอาผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูกสาว
“ขวัญเอ้ยขวัญมานะลูก คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองถึงได้โชคดีที่ไม่ถูกไอ้คนใจทรามมันทำร้ายเอา”
“ต่อไปนี้คงต้องช่วยระวังไม่ให้นายสัมฤทธิ์มาเข้าใกล้บัวทองอีก” ดาราบอก
“ค่ะอาจารย์ ถึงวันนี้เราจะทำอะไรมันไม่ได้ แต่น้าก็เชื่อเรื่องเวรกรรม คนบาปไม่มีทางหนีบาปกรรมพ้น น้าฝากบัวทองนะคะ น้าจะไปขอบคุณผู้หมวด”
“ค่ะน้าคำปัน”
คำปันออกไป ดาราหันมาเช็ดตัวให้บัวทองอย่างเป็นห่วง แต่ระหว่างที่กำลังบิดผ้าที่ชุบน้ำในอ่าง
“พี่ขุนเดช...พี่ขุนเดช...”
บัวทองเพ้อออกมาเบาๆ แต่ดาราได้ยิน ดาราชะงักไปที่เห็นว่าบัวทองเอาแต่เพ้อเรียกหาขุนเดช
ที่กระท่อมขุนเดฃ ขุนเดชซึ่งแน่นิ่งอยู่ที่พื้นค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น ที่หัวมีเลือดไหลซิบๆ แต่ไม่ได้เจ็บอะไรมาก ทั้งหมดเป็นแผนการที่ขุนเดชยอมให้น้ำเล่นงานเพื่อปล่อยให้มันตายใจ ขุนเดชขยับตัวไปหยิบดาบดำที่ซ่อนอยู่ที่พื้น ซึ่งฝังดาบดำไว้ในกล่องอย่างแนบเนียนเพราะมีทั่งตีเหล็กปิดทับอีกชั้นหนึ่ง ขุนเดชหยิบดาบดำออกมาสีหน้าเหี้ยมดุดัน
“ไอ้คนใจบาป...โทษของเอ็งคือตายสถานเดียว”
น้ำกับน่วมรีบเดินลัดตัดผ่านทุ่งนา น้ำเร่งเดินนำหน้าแต่มาตกใจเพราะเจอหุ่นฟางไล่กาที่เหมือนคนเป็นเงา ตะคุ่มๆ อยู่ตรงหน้า
“โธ่เอ้ย...ตกใจหมด...นึกว่าคน”
น้ำถีบหุ่นฟางไล่กาจนหล่นจากหลักไปนอนเอ้งแม้ง แล้วหันไปเห็นพ่อตามหลังมามีอาการมึนๆ หัวเหมือนคนเมา
“ทำอะไรอยู่น่ะพ่อ เร็วเข้า เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้าแล้วจะยุ่ง”
น่วมพยายามสะบัดหัวให้หายมึน
“เดี๋ยวไอ้น้ำ”
“อะไรอีกล่ะพ่อ”
“เอ็ง...เอ็งไม่รู้สึกอะไรมั่งเหรอวะ ข้าว่า...กับข้าวที่ไอ้ขุนเดชให้เรากินมันต้องมีอะไรผิดปกติแน่”
“คิดมากน่าพ่อ ชั้นกินไปตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
น้ำบอกพ่อแล้วก็เดินก้าวข้ามหุ่นฟางไล่กาไป น่วมยืนมึนๆ มองหุ่นฟางไล่กา ภาพรอบๆ ตัวหมุนเคว้งไปหมด
ประตูโบสถ์ถูกเปิดเข้ามา น้ำยิ้มร้ายอย่างชั่วช้าแล้วรีบรีบปีนขึ้นไปที่องค์พระเพชรทอง มันเอาค้อนกระเทาะปูนที่หุ้มเศียรออกเห็นเนื้อทองอยู่ข้างใน
ภาพสะท้อนเป็นเงาที่ผนังโบสถ์ น้ำใช้เลื่อยมาตัดเศียรพระเพชรทองจนหลุดออกจากบ่า เสียงหัวเราะด้วย ความละโมบของมันดังกึกก้องไปทั่วโบสถ์
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
น้ำกับน่วมพากันกลับบ้าน สองพ่อลูกกระดกไหเหล้าอย่างสุขสำราญกับความร่ำรวย
“เห็นมั้ยพ่อ...ต่อไปนี้เราจะโคตรของโคตรรวยแล้ว”
“ข้าจะเอาเงินไปตบหน้าไอ้กำนันบุญ ดูสิว่ามันจะกล้าออกคำสั่งกับข้าอีกมั้ย ฮ่าๆๆ”
“งั้นจะรอช้าทำไมพ่อ ชั้นอยากเห็นแล้วว่าเศียรพระทองคำมันจะอะร้าอร่ามขนาดไหน”
น้ำถือค้อนจะไปทุบเศียรพระที่ตัดมาซึ่งห่อผ้าเอาไว้ แต่ระหว่างนั้นน่วมได้ยินเสียงคนเดินอยู่นอกเรือน
“เดี๋ยว...ข้าได้ยินมีคนอยู่ข้างนอก”
“ดึกแล้ว ใครมันจะมาบ้านเราล่ะพ่อ”
“ไว้ใจไม่ได้ ขอข้าไปดูก่อน”
น่วมเดินออกไป น้ำหงุดหงิด
น่วมเดินออกมาที่หน้าเรือน ใช้ไฟฉายส่องอย่างสงสัย
“เฮ้ย...ใครอยู่ตรงนั้นวะ” เงาดำตัดผ่านหลัง...วูบ น่วมหันขวับ “ใครวะ” เงาดำตัดผ่านหลังไปอีกวูบ น่วมหันไปแล้วชะงักเพราะเจอขุนเดชยืนจ้องเขม็ง “ไอ้ขุนเดช!!”
ขุนเดชค่อยๆ ชักดาบดำออกมา คมดาบสะท้อนแสงจันทร์คมกริบ น่วมหน้าเหวอ
ภายในบ้าน น้ำขี้เกียจรอพ่อ
“พ่อ...หายไปนานจังวะ เมาตกบันไดไปรึเปล่า ชั้นไม่รอแล้วนะพ่อ”
น้ำหันไปที่ห่อผ้าเศียรพระแล้วค่อยๆ คลี่ผ้าออก แต่ต้องตกใจแทบผงะเพราะในห้องผ้านั่นไม่ใช่เศียรพระเพชร ทองที่ลักตัดมาแต่เป็นหัวของหุ่นฟางไล่กา
“เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย พระทองคำ...พระทองคำอยู่ไหน” น้ำยกหัวหุ่นฟางขึ้นมาแล้วกระชากจนฟางกระจุยกระจาย ระหว่างนั้นน่วมก้าวเข้ามา น้ำหันไปหาพ่อทันที “พ่อ...เศียรพระทองคำที่เราขโมยมา กลายเป็นเศษฟางไปหมดแล้ว...พ่อ” น่วมยืนนิ่งไม่พูดไม่จา น้ำเข้าไปจับตัว “พ่อ...พ่อเป็นอะไร” น่วมล้มลงเลือดเต็มหลังเพราะถูกฟัน น้ำตกใจ “พ่อ!!”
น่วมตายคาที่ น้ำโกรธจัดหันไปคว้าดาบมาทันที
น้ำถือดาบวิ่งออกมาอย่างเอาเรื่อง
“ใคร...มึงเป็นใคร...โผล่หัวมึงออกมา” ขุนเดชค่อยๆ ก้าวออกมาจากมุมมืดพร้อมกับดาบดำในมือ “ไอ้ขุนเดช!! นี่ฝีมือมือแกเหรอ”
“พ่อเอ็งถูกตัดสินโทษสำหรับบาปที่มันก่อไปแล้ว เหลือก็แต่เอ็ง ไอ้น้ำไอ้คนใจบาป”
“นี่แกทำได้ยังไง หรือว่าแกเล่นคุณไสยวะ”
“ข้าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องพรรณ์นั้นหรอก ความละโมบ ของเอ็งต่างหากที่ทำให้หน้ามืด ตามัว เห็นเศษฟางเป็นเพชรนิลจินดา”
“เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เชื่อ ข้าตัดเศียรพระทองคำมากับมือข้าเอง”
“ตาเอ็งไม่ได้มองเห็นสมบัติหรอก ข้าก็แค่ช่วยทำให้เอ็งเห็นในสิ่งที่ใจบาปของเอ็งอยากเห็นต่างหาก”
น้ำชะงัก
“หรือว่า...ไอ้ขุนเดช...แกเอาอะไรให้ข้ากิน”
“มันก็แค่เห็ดเมาธรรมดา คนปกติทั่วไปกินเข้าไปก็แค่เมามาย แค่สำหรับคนที่จิตใจหมกหมุ่นอยู่แต่กับความละโมบอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง เอ็งถึงได้เห็นในสิ่งที่เอ็งอยากเห็น”
“ไอ้สารเลว !! มึงหลอกกู...มึงตาย”
น้ำปรี่เข้าไปไล่ฟันขุนเดชอย่างบ้าคลั่ง ขุนเดชตอบโต้กลับด้วยเชิงดาบ ฟาดฟันกันได้ 3 - 4 เพลงดาบน้ำก็ยกเท้าถีบยอดอกจนขุนเดชจนกระเด็น หลังกระแทกกับเสาเรือนอย่างแรง ขุนเดชชะงักไปเพราะมีอาการบาดเจ็บอยู่ น้ำยิ้มร้ายอย่างได้โอกาส
“แกเสร็จชั้นแล้ว ไอ้ขุนเดช”
น้ำควงดาบเข้าไปไล่ฟาดฟันขุนเดช ขุนเดชกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบต้องยกดาบดำขึ้นตั้งรับและพลาดท่าโดนน้ำฟาดอย่างแรงจนดาบดำหลุดมือกระเด็นไปปักพื้น
“แก...ที่แท้แกก็คือวีรบุรุษบาปที่เขาร่ำลือกัน”
ขุนเดชนิ่งจ้องตาน้ำเขม็ง
“ข้า...ขุนเดช ทหารของพระร่วงเจ้า”
“งั้นวันนี้ข้าก็จะเด็ดคอวีรบุรุษบาป แล้วตัดหัวมันไปเสียบประจานว่ามันตายเพราะข้า”
น้ำเงื้อดาบแล้วฟันลงไป..แต่ขุนเดชใช้มือสองมือเปล่ารับคมดาบที่เกือบจะแสกหน้าแค่ไม่ถึงคืบ น้ำกัดฟันกรอดออกแรงกดดาบ ขุนเดชออกแรงต้าน สองคนทุ่มกำลังใส่กันอย่างเต็มที่
“อ๊ากกกกกกก”
ขุนเดชเปล่งเสียงเรียกกำลัง ออกแรงบิดทีเดียวดาบของน้ำก็หักครึ่งทันที น้ำผงะตกใจ ดาบไทยในมือของมันเหลือเพียงครึ่ง ยิ่งเห็นขุนเดชค่อยๆ ลุกขึ้นดวงตาแข็งกร้าว ดุดันน่ากลัว เหมือนมีใบหน้าของยักษ์ซ้อนทับบนหน้าของขุนเดชอีกที
“ไม่จริง...ไม่จริง”
น้ำกลัวตายรีบวิ่งหนีออกไปทันที ขุนเดชหน้าเหี้ยมดุดันเดินไปดึงดาบดำที่ปักพื้นขึ้นมาแล้วเหลียวมองตามน้ำที่หนีไป
น้ำรีบวิ่งมาคว้าปืนที่ผนัง แต่ปืนไม่ได้บรรจุกระสุนเอาไว้มันเลยต้องเสียเวลาหากล่องใส่ลูกปืน เสียงดาบดำครูดกับผนังเรือนเป็นทางยาว พร้อมกับขุนเดชที่ย่างเข้ามาด้วยแววตาน่ากลัว
น้ำมือสั่นใส่ลูกปืนก่อนจะหันไปเห็นขุนเดชเข้ามาใกล้ น้ำบบรจุลูกปืนได้ก็หันไปยิงใส่ทันที...เปรี้ยง ขุนเดชฉากหลบใช้เสาเรือนเป็นที่กำบัง น้ำรีบยิงซ้ำอีกหลายนัด เปรี้ยงๆๆๆ
“มาเลย...ต่อให้มึงเก่งสักแค่ไหน ดาบมึงก็ไม่เร็วกว่าลูกปืนหรอก ไอ้ขุนเดช”
น้ำยังยิงใส่ไม่หยุด ขุนเดชนิ่งไปครู่เหมือนรวบรวมสมาธิเมื่อแน่วแน่แล้วก็ก้าวออกมาจ้องน้ำตาเขม็ง
“กูจะแก้แค้นให้พ่อกู...มึงตาย”
น้ำลั่นไก...เปรี้ยง ลูกปืนพุ่งจากปากกระบอกตรงไปที่ขุนเดชแต่เฉียดหน้าไปแค่นิดเดียว น้ำเจ็บใจที่ตัวเองยิงพลาด เลยจะยิงซ้ำแต่กระสุนหมดมันรีบเอากระสุนมาบรรจุ ขุนเดชเลยได้โอกาส
“คนบาปอย่างเอ็ง โทษสถานเดียวคือ...ตาย” น้ำตกใจ มือสั่นใส่ลูกปืนผิดๆ ถูกๆ “ฟ้า...ดิน...เป็นพยาน...ดาบ...เดือน...ดับ”
ขุนเดชควงเพลงดาบเดือนดับปรี่เข้าไปแล้วฟันน้ำทันที...ฉับ !! ภาพเงาของน้ำที่ฝาผนังคอหลุดจากบ่า ขุนเดชยืนนิ่งจบท่าเพลงดาบเดือนดับพร้อมกับคำกล่าวของขุนเดชดังกึกก้องกังวาล
“สาธุ...ข้าน้อยขอเคารพนบไหว้ พระไตรรัตน์ดวงประเสริฐ พระสยามเทวาธิราช พระมหาราชแต่อดีตจนปัจจุบัน...”
ขุนเดชกลับเข้ามาในกระท่อมในสภาพอ่อนแรง
“ไหว้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงทั้งสิ้น ไหว้พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ ข้าน้อยนามขุนเดช ไหว้แผ่นดินพระร่วงเจ้า”
ขุนเดชเข่าทรุดหมดเรี่ยวแรงเพราะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ สิ้นคำพูดขุนเดชก็พลิกหน้าคว่ำหมดสติ
วันต่อมาบัวทองสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วร้องด้วยความตกใจ
“พี่ขุนเดช!!”
บัวทองเหงื่อเต็มหน้า ยังไม่หายตื่นตกใจจากฝันร้ายระหว่างนั้นดาราเข้ามา
“รู้สึกตัวแล้วเหรอบัวทอง”
“อาจารย์ดารา…นี่บัวทองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
“ชั้นกับหมวดยงยุทธพาเธอมาจากบ้านกำนันบุญ
บัวทองนึกขึ้นได้
“ไอ้สัมฤทธิ์”
“ไม่เป็นไรจ้ะบัวทอง เธอปลอดภัยแล้ว นายสัมฤทธิ์ไม่ได้ทำอะไรเธอ แต่ต่อไปนี้เธอต้องอยู่ให้ห่างมันไว้ อย่าไปไว้ใจมันอีก”
“ค่ะอาจารย์”
“เมื่อกี้นี้ชั้นได้ยินเสียงเธอร้อง มีอะไรรึเปล่า”
“บัวทองฝันร้ายค่ะอาจารย์”
“ฝันร้าย”
“ค่ะ…บัวทองฝันเห็นพี่ขุนเดช”
ดารามองบัวทองอย่างสงสัย
ชาวบ้านมุงดูอะไรบางอย่างที่ริมตลิ่ง ยงยุทธกับจ่าแท่นรีบเข้ามา จ่าแท่นต้องแหวกพวกชาวบ้านเข้าไป
“หลบหน่อย...หลบๆๆ”
ยงยุทธกับจ่าแท่นเข้าไปถึงก็ต้องผงะด้วยความตกใจ เพราะตรงหน้าคือศพของผู้ใหญ่น่วมกับน้ำที่ถูกจับแขวนไว้กับต้นไม้ริมตลิ่ง หัวของน้ำกองอยู่ที่พื้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของพวกชาวบ้านอื้ออึง
“หมวดครับ...ฝีมือแบบนี้...ผลงานไอ้วีรบุรุษบาปอีกแล้ว”
ยงยุทธขบกรามหน้าเครียด
บัวทองกับดารามาหาขุนเดชที่กระท่อมเคาะประตูเรียกอยู่ครู่
“พี่ขุนเดช...พี่ขุนเดช”
บัวทองเรียกแล้วไม่ได้ยินเสียงตอบ
“เงียบจังเลย หรือว่าไปทำงานแล้วคะอาจารย์”
“ไม่นะ...วันนี้ขุนเดชไม่มีงานอะไร”
บัวทองนิ่งไปสีหน้าสงสัยเลยลองเปิดประตูเข้าไปก็พบขุนเดชนอนหมดสติอยู่ที่พื้น
“พี่ขุนเดช”
บัวทองเอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้ขุนเดชที่รู้สึกตัวขึ้นมาแล้วอย่างเป็นห่วง ขุนเดชจับมือบัวทองให้หยุด
“ขอบใจนะบัวทอง พี่ไม่ได้เป็นอะไรแล้วล่ะ”
“แต่ชั้นว่าพี่น่าจะไปหาหมอนะ”
“พี่ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”
“พี่ขุนเดชน่ะดื้อ...โดนพวกโจรมันบุกเข้ามาทำร้ายจนไม่ได้สติแบบนี้ยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก”
“ไว้ถ้าพี่เจ็บหนักกว่านี้ พี่ค่อยไป”
“งั้นไม่รอให้ตายก่อนไปเลยล่ะ”
บัวทองประชดแกะมือขุนเดชที่จับมือเธออยู่ออกหันไปหยิบอ่างน้ำเดินหน้าตึงออกไปสวนกับดาราที่เอาน้ำมาให้
“เธอก็เป็นซะอย่างนี้ รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับบัวทองบ้าง”
ขุนเดชมองดาราอย่างสงสัย
บัวทองมานั่งเศร้าๆ อยู่คนเดียวที่ศาลาท่าน้ำ ขุนเดชตามเข้ามา
“พี่ขอโทษนะบัวทอง”
“พี่จะมาขอโทษชั้นทำไม ชั้นไม่ได้ไปทำอะไรพี่ซะหน่อย”
“พี่ขอโทษเพราะพี่ไม่ได้ช่วยอะไรบัวทองเลย”
“ชั้นหาเรื่องใส่ตัวเองต่างหาก เพราะชั้นไปที่นั่น มันถึงได้อ้างว่าชั้นไปหามันถึงที่ ตำรวจก็เลยทำอะไรมันไม่ได้”
บัวทองพูดไปก็น้ำตาซึม พอจะรีบปาดน้ำตา ขุนเดชก็เข้ามาช่วยปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
“ถึงตำรวจจะทำอะไรไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะลอยนวลทำชั่วต่อไป”
บัวทองนิ่งไปมองตาขุนเดชที่มีแววของความอาฆาตจนน่ากลัว
“ไม่นะพี่ขุนเดช ชั้นไม่ให้พี่ไปยุ่งกับพวกมันเด็ดขาด คนเลวอย่างพวกมันสักวันไม่พ้น ต้องโดนวีรบุรุษบาปตามไปลงโทษ”
ระหว่างนั้นดาราที่ตามมายืนดูอยู่ห่างๆ นิ่งมองขุนเดชกับบัวทองที่มีความสนิทสนมกัน ภาพตรงหน้าทำให้รู้สึกใจหายและตัดสินใจจะออกไป แต่ชะงักเมื่อเห็นยงยุทธเข้ามา
“ผมอยากจะคุยกับขุนเดชเรื่องการตายของผู้ใหญ่น่วมกับลูกชาย”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น เธอถามชั้นได้เพราะชั้นคุยกับขุนเดชแล้ว”
ยงยุทธมองดาราแล้วแปลกใจ
ยงยุทธกับดาราเดินคุยกันในบริเวณวัด
“เมื่อคืนนี้สองพ่อลูกนั่นบุกเข้ามาทำร้ายขุนเดชแล้วแย่งกุญแจโบสถ์ไป”
“แต่ฝีมืออย่างขุนเดช ไม่น่าจะปล่อยให้สองคนนั่นทำร้ายได้”
“นี่เธอยังไม่เลิกสงสัยขุนเดชอีกเหรอ”
“ผมกับมันรู้จักฝีมือกันดีนะดารา”
“แต่ขุนเดชบาดเจ็บอยู่ เพราะเคยช่วยชั้นเอาไว้ตอนที่ชั้นเกือบจะได้รับอุบัติเหตุในโบสถ์ ชั้นยังเพิ่งเอายาให้ขุนเดชกินอยู่เลย แต่ถ้าเธอไม่เชื่อไปถามหมอน้อยดูก็ได้”
ยงยุทธนิ่งไป
บัวทองกับขุนเดชยังอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ
“เมื่อคืนนี้ชั้นฝันร้าย ชั้นเห็นพี่ถูกไล่ตามฆ่า” บัวทองบอก
“บัวทองเห็นใครไล่ตามฆ่าพี่”
“พวกนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นพวกผีตายโหงเข้ามารุมทำร้ายพี่ พยายามจะลากพี่ให้ลงไปในขุมนรกพร้อมกับพวกมัน”
ขุนเดชนิ่งไปครู่แล้วยิ้มขำ
“แล้วบัวทองเห็นพี่ถูกลากลงนรกพร้อมกับพวกมันรึเปล่า”
“พี่ขุนเดช...ชั้นไม่ได้พูดเล่น ที่ชั้นเห็นในฝัน มันเหมือนจริงมากเลยนะ ชั้นพยายามวิ่งตามพี่ ร้องขอให้คนช่วย แต่ก็ไม่มีใครมาช่วยพี่เลย”
ขุนเดชจับไหล่บัวทองมาบีบให้หายกังวล
“มันก็แค่ความฝันเท่านั้น บัวทองเจอเรื่องร้ายๆ มา ก็เลยเก็บเอามาคิดเป็นตุเป็นตะ”
“แต่ชั้นเป็นห่วงพี่นะ”
“พี่ขอบใจที่บัวทองเป็นห่วงพี่ แต่มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมามีกรรมและต้องชดใช้กรรม ต่อให้ต้องถูกลากลงนรกในขุมที่ลึกที่สุด พี่ก็ต้องยอมรับเพราะว่ามันเป็นกรรมที่พี่ก่อไว้”
“พี่ขุนเดช”
ยงยุทธเข้ามากราบพระเพชรทองและยืนมององค์พระด้วยสีหน้านิ่งครุ่นคิด
“มีอะไรให้อาตมาช่วยมั้ยผู้หมวด”
“ครับหลวงลุง คดีสองพ่อลูกที่ถูกวีรบุรุษบาปฆ่าตาย ผมได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับองค์พระเพชรทองที่ร่ำลือกัน”
“หมวดอยากจะรู้ใช่มั้ยว่าแท้จริงแล้ว สมบัตินั้นมีจริงรึเปล่า”
“ครับหลวงลุง”
“งั้นอาตมาก็ไม่ขัดข้อง ถ้าผู้หมวดอยากพิสูจน์”
หลวงลุงกับยงยุทธเดินคุยกันมาตามทาง
“ในเมื่อองค์พระเพชรทองเป็นแค่พระพุทธรูปธรรมดา แล้วทำไมหลวงพ่อถึงปล่อยให้มีการร่ำลือกันไปล่ะครับ”
ยงยุทธถามอย่างแปลกใจ หลวงลุงยังไม่ทันตอบขุนเดชก็ก้าวเข้ามาตอบแทน
“ถึงหลวงลุงจะป่าวประกาศว่าพระเพชรทองเป็นพระพุทธรูปธรรมดา แต่พวกที่ถูกความโลภครอบงำก็จะเชื่อของมันอยู่อย่างนั้น เหมือนสองพ่อลูกนั่นที่ถูกกิเลสกัดกินหัวใจจนไม่เหลือความเป็นมนุษย์”
“ถ้าอย่างนั้นการกระทำของวีรบุรุษบาปก็ถือว่าเป็นการติดอยู่ในกิเลสเหมือนกัน มันลุ่มหลงอยู่กับการฆ่า ถ้าผมจับตัววีรบุรุษบาปได้ ผมคงต้องนิมนต์หลวงพ่อให้ไปเทศน์สั่งสอนให้พ้นจากกิเลส”
ยงยุทธกับขุนเดชมองหน้ากันเหมือนเป็นการหยั่งเชิงกันกลายๆ
“การกระทำของวีรบุรุษบาปผิดทั้งทางโลกและทางธรรม อาตมาไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเทศน์ให้เขาฟังได้เมื่อไหร่ แต่เอาเป็นว่าอาตมาจะหมั่นสวดอุทิศบุญกุศลให้เขา เพื่อหวังว่าวันข้างหน้าเขาจะพบทางสว่างได้ด้วยตัวเอง”
หลวงลุงทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป ขณะที่ขุนเดชกับยงยุทธยังมองหน้ากัน
อ่านต่อหน้าที่ 4
ขุนเดช ตอนที่ 6 (ต่อ)
วันต่อมาที่แคมป์โบราณคดี ดารากอดอกด้วยสีหน้าครุ่นคิดสงสัยเมื่อพิจารณาดูภาพถ่ายของวัตถุโบราณ 3 ชิ้น โล่ห์โลหะเขียว พระนารายณ์เนื้อเงินและพระพุทธรูปฟ้าผ่า
“วัตถุโบราณที่ยังตามหาไม่พบทั้ง 3 ชิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นของที่หายากและมีประวัติที่มาที่น่าสนใจ อาจารย์พอจะทราบข่าววงในจากพวกนักสะสมบ้างมั้ยคะ” ดาราถามไปแต่เงียบไม่ได้คำตอบจึงหันมาเห็นเป็นขุนเดชที่เข้ามา
“ขุนเดช...ชั้นนึกว่าเป็นอาจารย์ประทีป”
“อาจารย์เพิ่งเดินทางไปเพชรบูรณ์”
ขุนเดชบอกดาราแล้วเข้าไปหยุดมองดูภาพถ่าย สีหน้าของขุนเดชครุ่นคิดบางอย่าง
“ทางราชการต้องการให้เรารวบรวมข้อมูลของทั้งหมดเพื่อเอาไว้ช่วยสืบหาตามคืน แต่ชั้นมีความรู้สึกว่าของที่หายไปน่าจะเป็นฝีมือของคนๆ เดียว” ขุนเดชยังนิ่งเงียบ “เพราะส่วนใหญ่พวกนักสะสมมักจะเลือกสะสมของในยุคเดียวกัน หรือไม่ก็ประเภทเดียวกัน แต่ทั้ง 3 ชิ้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันทั้งทางยุคสมัยและประเภท แต่มีอย่างนึงที่เหมือนกัน”
“เป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อโบราณ”
ขุนเดชมองแล้วครุ่นคิดถึงบางเรื่องที่เคยจำได้ในอดีต
ในอดีต นายเดื่องใช้ดาบดำต่อสู้กับโจรลักขุดกรุ 2 คนที่บริเวณโบราณสถาน การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด เชิงดาบของนายเดื่องเล่นงานโจรคนหนึ่งจนกระเด็น ระหว่างขุนเดชเข้ามาตามพ่อจนเห็นเหตุการณ์ต่อสู้
“พ่อ”
นายเดื่องชะงักหันไปเห็นขุนเดชเข้ามาเลยถูกโจนฟันด้วยดาบจนได้รับบาดเจ็บ นายเดื่องผงะแล้วตอบโต้กลับฟันมันด้วยดาบดำจนหมอบหมดสติ โจรอีกคนรีบเข้ามาจับขุนเดชเป็นตัวประกัน
“อย่าเข้ามานะโว้ย ไม่งั้นลูกเอ็งตายแน่”
นายเดื่องกำดาบดำแน่นอย่างเจ็บใจ ขุนเดชร้องตกใจ
“พ่อ…ช่วยด้วย”
โจรเงื้อดาบจะปาดคอขุนเดช แต่ทันใดนั้นเสียงปืนดังขึ้น…ปัง !!
จ่าแท่นกับตำรวจเข้ามาช่วยพร้อมกับช่วยยิงจนโจรตายคาที่ นายเดื่องรีบเข้าไปรับตัวขุนเดชมากอด
ตำรวจลากโจร 2 คนออกไป จ่าแท่นเข้ามาที่นายเดื่องกับขุนเดช
“ขอบใจนะมากนะพี่เดื่อง ถ้าไม่ได้พี่ตามไอ้สองโจรนี่มาพวกชั้นก็ไม่รู้จะตามวัตถุโบราณคืนมาได้ยังไง”
“ไม่เป็นไร ของที่มันขโมยมาเอ็งก็เอาไปให้ราชการเขาเก็บรักษาแล้วกัน”
“จ้ะพี่...เอ้อ...เมื่อกี้นี้ชั้นสอบปากคำพวกมันแล้ว ใบสั่งที่พวกมันได้มาสั่งให้มันหาโลหะ ศักดิ์สิทธิ์โบราณเพื่อไปทำพิธีสัตตะโลหะบุรุษ”
สีหน้านายเดื่องขึงขังขึ้นมาทันที
“คืออะไรเหรอพ่อ” ขุนเดชถามอย่างสงสัย
“มันเป็นพิธีกรรมความเชื่อของพวกที่ลุ่มหลงในเดรัจฉานวิชา พยายามหาหนทางให้ตนเป็นยอดคน” นายเดื่องบอก
“ชั้นก็พอจะเคยได้ยินมาบ้างนะพี่เดื่อง แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงได้”
“ข้าก็ยังไม่เคยพบคนที่ผ่านพิธีจนได้เป็นสัตตโลหะบุรุษ แต่ได้ยินว่าศาสตราวุธใดๆ ก็แตะต้องไม่ได้ บุรุษผู้เป็นสัตตโลหะจะมากด้วยอำนาจและบารมีแผ่ไพศาล ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน”
“โห...แบบนี้ชั้นชักอยากเป็นสัตตโลหะบุรุษแล้วสิพ่อ”
“ไม่ได้! เจ้าจะคิดอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาดนะขุนเดช อำนาจและบารมีต้องได้มาด้วยความดี การเสียสละและความกล้าหาญ แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมหาบุรุษได้ด้วยความดี จำเอาไว้นะขุนเดช”
ขุนเดชมองพ่อแล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ที่บ้านกำนันบุญ ประดับลุกจากเตียงมาสวมเสื้อเตรียมตัวจะออกไป ผกาเอาผ้าห่มมาพันตัวมองค้อนอย่างไม่พอใจ
“จะเข้ากรุงเทพไปหานังเด็กนั่นอีกแล้วเหรอ”
“ชั้นทำงานให้ท่าน ไม่ได้มานั่งกินๆ นอนๆ”
“ชั้นรู้ว่าเธอคิดทำอะไรอยู่ ไม่ต้องมาทำพูดจาให้ตัวเองดูดีหรอก”
ประดับไม่พอใจเข้าไปบีบปากผกา
“ที่ชั้นไว้ใจให้เธอเข้ามายุ่งกับชีวิตของชั้น เพราะถือว่าเธอมีบุญคุณตอนที่ชั้นลำบาก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ชั้นรู้สึกว่าทดแทนกันหมดแล้ว...รู้นะว่าคนอย่างชั้นทำอะไรได้”
ผกาตกใจกลัวพยักหน้ารับ
“ชั้น...ชั้นเป็นห่วงเธอนี่...ถ้าท่านรู้ว่าเธอวางแผนอะไรไว้ ท่านไม่มีวันไว้ชีวิตเธอแน่”
“หึๆๆ ชั้นรู้ว่าความลับไม่มีในโลก ท่านจะได้รู้ความจริงแน่ แต่วันที่ท่านรู้จะเป็นวันที่ไอ้ประดับคนนี้คือสัตตะโลหะบุรุษผู้ยิ่งใหญ่...ไม่ใช่ท่าน”
คืนนั้นที่คฤหาสน์ของปราชญ์ เสียงร้องตกใจของปราชญ์ดังก้องสลับกับเสียงปืนดังลั่น เปรี้ยงๆๆๆ
ปราชญ์วิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามาแล้วกราดยิงไปทั่วอย่างตื่นกลัว
“ไปให้พ้น อย่าเข้ามา ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยชั้นที”
ปราชญ์พยายามวิ่งหนีและร้องให้คนช่วย แต่ไม่มีใครอยู่ให้ช่วย เงาทะมึนร่างกายใหญ่โตทาบผ่านที่กำแพง ยิ่งทำให้ปราชญ์ตกใจร้องเสียงหลง
“อย่า...อย่า...อย่าฆ่าชั้น กลัวแล้ว...กลัวแล้ว...อย่า”
ฉับ... เงาของปราชญ์ที่ผนังถูกตัดคอขาดกระเด็น เลือดกระเซ็นเป็นทาง
ปราชญ์สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาตกใจเหงื่อแตก พอรู้ตัวว่าฝันร้ายก็เริ่มคลายอาการตกใจแต่เมื่อหันไปมองตัวเองที่ กระจก ปราชญ์ถึงกับหน้าถอดสีเพราะที่คอมีรอยแดงเหมือนถูกมีดฟันคอจนช้ำ
วันต่อมาปราชญ์คว้าหุ่นดินเผาทวารบาลที่ตั้งอยู่ในห้องทุ่มทิ้งจนแตกกระจาย
“ใจเย็นๆ ก่อนสิครับท่าน...มันก็แค่ความฝัน” ประดับบอก ปราชญ์ชี้รอยแดงที่คอ
“นี่น่ะเหรอความฝัน ไอ้ยักษ์ทวารบาลนี่แหละที่มันพยายามจะฆ่าชั้น”
“ทวารบาลเป็นสัญลักษณ์ของการปกปักษ์รักษาเป็นอสูรที่มีหน้าที่ปกป้องพุทธสถาน ท่านครับ...นี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่าท่านควรจะต้องหยุดพิธีกรรมที่กำลังทำอยู่”
ก้องเกียรติบอก ปราชญ์ไม่พอใจกระชากคอเสื้อก้องเกียรติทันที
“ไม่!! ต่อให้ยักษ์มารหน้าไหนก็มาหยุดให้ผมยิ่งใหญ่ไม่ได้ คุณต้องเดินหน้าทำพิธีให้ผมต่อ”
“แต่ผมเชื่อว่าการเตือนครั้งนี้มันจริงจังมากนะครับท่าน” ก้องเกียรติบอก
“แต่คุณบอกผมเอง ถ้าผมทำพิธีสำเร็จจะไม่มีใครมาทำอะไรผมได้”
“มันก็ใช่ครับ...แต่ว่า”
“ไม่มีคำว่าแต่...คุณจัดการหาวัตุโบราณชิ้นต่อไป ส่วนไอ้หน้าไหนที่มันคิดจะมาขวางทางผม ผมจะส่งมันลงนรกเอง...ประดับ”
“ครับท่าน”
“ชั้นได้ยินเรื่องไอ้วีรบุรุษบาปนั่นมานานแล้ว แกไปสืบหามาให้ได้ว่ามันเป็นใคร แล้วจัดการกับมันให้เป็นเยี่ยงอย่าง ต่อไปจะไม่มีใครกล้ามาขวางทางชั้นอีก”
โจรขุดกรุสองคนเพิ่งจะขุดพบพระพุทธรูปขึ้นมาได้จากซากเจดีย์เก่า พวกมันดีใจที่ได้ของดีแต่อยู่ๆ คนหนึ่ง ถูกกระชากคอเสื้อแล้วเหวี่ยงกระเด็นด้วยแรงอันมหาศาล
“เฮ้ย...แกเป็นใครวะ”
โจรถามอย่างตกใจ แจ็คไม่ตอบแต่มันกลับยิ้มร้ายหักนิ้วดังกร่อบ โจรเลยคิดว่ามันเอาเรื่องแน่เลยคว้าดาบขึ้นมาแล้วปรี่เข้าใส่
โจรไล่ฟาดฟันใส่แจ็คอย่างบ้าคลั่ง แต่คมดาบไม่ระคายผิวแจ็คแม้แต่นิดเดียวเพราะแจ็คฉากหลบได้ว่องไวแม้ ร่างกายจะใหญ่โต โจรอีกคนที่โดนเหวี่ยงคว้าอีดาบเข้าไปช่วยไล่ฟันแจ็คอีกแรง แต่ก็โดนแจ็คเอามือเปล่ารับดาบไว้และจับมันล็อค ใช้ดาบในมือของโจรให้รับดาบพวกเดียวกันเองฟันกันไปมองสองสามเพลงดาบแจ็คก็เสียบพุงพวกมันตายคาที่ไปหนึ่ง แถมแจ็คยังเอาดาบของมันมาหักครึ่งอย่างง่ายดายราวกับว่ามันไม่ใช่คน
โจรเหลือคนสุดท้ายตกใจวิ่งหนีเพราะกลัวตาย แจ็คไล่ตามด้วยความเร็ว โจรเลยต้องหันมาสู้ด้วยมือเปล่า ก่อนที่แจ็คจะปล่อยให้มันชกหน้าเข้าไปทีนึง หมัดของโจรทำอะไรแจ็คไม่ได้แถมมันกลับยิ้มเยาะอย่างน่ากลัว แจ็คจับมือมันทั้งสองข้างมาหักดัง...กร่อบ!! โจรร้องเสียงลั่นด้วยความเจ็บปวดเพราะกระดูกแตกละเอียด แจ็คกำหมัดแน่นตั้งท่าไม้ตาย
ที่หมัดของแจ็คซึ่งกำแน่น นิ้วกลางที่เป็นสันหมัดโหนกนูนขึ้นมาเป็น 3 เหลี่ยม
“หมัดสั่งตาย”
แจ็คเหวี่ยงหมัดแบบหมัดฮุคเข้าใส่ไอ้โจรอย่างแรง โจรเข่าทรุดก่อนจะหน้าคว่ำตายคาที่ ประดับก้าวออกมาจากมุมที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมด แจ็คหันมาพยักหน้าให้ประดับอย่างรู้กัน
“ไอ้วีรบุรุษบาป ถ้าแกเป็นยักษ์ทวารบาลอย่างที่ท่านกลัว ยักษ์อย่างไอ้แจ็คก็คือพญายมที่จะมาลากคอแกให้ลงนรก…หึๆๆๆ”
ที่แก่นหลวงยงยุทธมองขุนเดชจากริมตลิ่ง ยงยุทธเอาแต่นั่งมองขุนเดชพายเรือจับปลาอยู่กับบัวทองจนจ่าแท่นเข้ามาพร้อมกับโอเลี้ยงที่ซื้อมาให้
“นี่ถ้าขุนเดชรู้ว่าหมวดตามดูมันทั้งวันแบบนี้ ผมกลัวว่าจะเสียเพื่อนเอานะครับ”
“ถ้าผมเป็นฝ่ายคิดผิด ผมยอมเป็นฝ่ายขอโทษเพื่อนได้เสมอ แต่ถ้าผมคิดถูก...เพื่อนดีๆ ผมก็ตัดได้”
“แต่คนอย่างขุนเดชเนี่ยนะครับจะเป็นวีรบุรุษบาป ผมว่า...”
“จ่า...ถ้าจ่าไม่สบายใจที่จะทำงานกับผม ผมให้จ่าลาพักได้”
ยงยุทธพูดน้ำเสียงจริงจังจนจ่าแท่นต้องรีบหุบปาก ระหว่างนั้นเองวิทยุของจ่าแท่นดัง จ่าแท่นแยกไปคุยวิทยุได้ครู่จึงรีบกลับมาหายงยุทธ
“หมวดครับ...เป็นเรื่องแล้วไง วีรบุรุษบาปถูกท้าทายเข้าให้แล้ว”
“หมายความว่ายังไงจ่า”
ขุนเดชที่กำลังพายเรืออยู่กลางลำน้ำ ขุนเดชเห็นยงยุทธอยู่ตลอดเวลาและรู้สึกแปลกใจที่เห็นยงยุทธรีบขับรถ จี๊ปออกไปกับจ่าแท่นเหมือนมีเรื่องสำคัญอะไรเกิดขึ้น
“มีอะไรเหรอจ๊ะพี่ขุนเดช” บัวทองถาม
“เปล่าจ้ะ”
ขุนเดชปฏิเสธแต่สีหน้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมยงยุทธถึงทิ้งการเฝ้าติดตามดูเขา
ที่โบราณสถาน ศพของ 2 โจรที่ถูกแจ็คฆ่าตายถูกแขวนห้อยต่องแต่งอยู่บนต้นไม้ จ่าแท่นกับพวกตำรวจต้อง ช่วยกันเอาศพลงมา ยงยุทธเข้าไปพลิกศพตรวจดู
“ท่าทางฝีมือของไอ้คนที่เล่นงานพวกมันจะไม่ธรรมดาเลยนะครับหมวด”
ยงยุทธนิ่งพิจารณาศพที่โดนแจ็คชกเข้าขมับ จับพลิกหน้ามาดูพบว่าที่เบ้าตาของมันมีเลือดไหลออกมาเหมือน กับน้ำตา ลูกกะตาของมันก็แดงก่ำเพราะเส้นเลือดแตก ด้วยความสงสัยยงยุทธเลยพลิกหน้าด้านข้างมาดูพบรอยช้ำที่ ขมับอย่างชัดเจน ยงยุทธถึงกับอึ้งไปทันที
“มีอะไรผิดปกติเหรอครับหมวด”
“หมัดสั่งตาย”
สีหน้าของยงยุทธเมื่อพูดถึงหมัดพญายมแล้วมีแววตาวิตกกังวลจนเห็นได้ชัด
จ่าแท่นถึงกับกลืนน้ำลายเอื๊อก
“หมัดสั่งตาย!!…แค่หมัดเดียวเล่นเอาถึงตายเลยเหรอครับหมวด น่ากลัวสมกับชื่อ เหมือนเป็นพญายมมาเอาชีวิตเลย ว่าแต่หมวดรู้จักเชิงมวยแบบนี้ได้ยังไงครับ”
ยงยุทธนิ่งไปสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยผ่านมา
“3 ปีก่อนผมได้รับคำสั่งให้แฝงตัวเข้าไปสืบหาตัวหัวหน้าแก๊งปล้นธนาคารพร้อมกับเงิน 5 ล้านที่หายไป...”
ยงยุทธเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้จ่าแท่นฟัง เหตุการณ์เกิดขึ้นที่สังเวียนมวยเถื่อน พวกนักพนันพากันมาทุ่มเงินพนันขันต่อ บนเวทีเป็นการชกของยงยุทธที่ปลอมตัวมาเป็นนักชกมวยเถื่อนกำลังซัดแลกหมัดกับนักชกฝีมือดีคนหนึ่งท่ามกลางเสียงเชียร์ของพวกนักพนัน
ยงยุทธประเคนทั้งหมัดเข่าศอกเข้าใส่คู่ต่อสู้ชนิดที่ว่าฝีมือมันสู้ยงยุทธไม่ได้จนยงยุทธต้องถอยมารอให้มันหาย มึนหลังจากโดนยงยุทธซัดด้วยศอกกลับไป ระหว่างนั้นหัวหน้าแก๊งปล้นธนาคารเข้ามากับพวกลูกน้อง ยงยุทธจึงหันไปมองเพราะเป็นเป้าหมายที่รออยู่
“ผมตามสืบจนได้ร่องรอยว่าพวกมันชอบเล่นพนันมวยเถื่อน และจะมีการเดิมพันด้วยเงินที่พวกมันปล้นมา”
ยงยุทธมองพวกแก๊งปล้นธนาคารพร้อมกับส่งสัญญาณให้ตำรวจนอกเครื่องแบบที่ปะปนกับพวกนักพนันเห็น ว่าเป้าหมายเข้ามาแล้ว นักมวยคู่ต่อสู้ของยงยุทธเห็นกำลังเผลอเลยปรี่เข้ามาเล่นงานชกใส่ไม่ยั้ง ยงยุทธต้องตั้งการ์ดปัดป้องเป็นพัลวัลและกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบก่อนจะยกเท้าถีบจนคู่ชกกระเด็น เสียงเชียร์ดังลั่นให้จัดการจบการชกด้วยท่าไม้ตายของยงยุทธ
“หมัดฟ้าฟาด...หมัดฟ้าฟาด...หมัดฟ้าฟาด”
นักพนันตะโกนเชียร์ ยงยุทธควงหมัดแล้วกระโจนตัวเหวี่ยงหมัดฟ้าฟาดใส่คู่ชกทีเดียวกระเด็นเด้งเชือก น็อคหมดสติคาเวที เสียงโฮ่ ร้องดัง กรรมการบนเวทีเข้ามาชูมือให้ยงยุทธเป็นฝ่ายชนะ ส่วนคู่ชกที่หมดสติถูกหามลงจากเวที
ยงยุทธกลับไปที่มุมเตรียมจะลงจากเวทีแต่ทันใดนั้นเสียงเวทีสะเทือนเพราะแจ็คก้าวขึ้นบนเวทีเพื่อเป็นคู่ชก ยงยุทธถึงกับผงะที่เห็นฝรั่งร่างยักษ์มาเป็นคู่ชก พวกแก๊งปล้นธนาคารเริ่มเอาเงินที่ปล้นมาลงพนันขันต่อทำให้ยงยุทธไม่มีทางเลือกจำเป็นต้องเปิดฉากชกกับแจ็ค
เสียงระฆังดัง ยงยุทธออกจากมุมเข้ามาลองเชิงลองหมัดกับแจ็ค ยงยุทธใส่ทั้งฮุค แย็บ หมัดตรง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะทำอะไรแจ๊คไม่ได้เลยสักหมัด และแค่แจ็คแย็บเบาๆ เข้าที่หน้า ยงยุทธก็ถึงกับผงะมึน แจ็คเลยถีบยอดอก อีกที ยงยุทธกระเด็นไปเด้งเชือกจุกเอาเรื่อง แจ็คกร่างหัวเราะเสียงดังแล้วหันไปชูมือเรียกเสียงเชียร์จากพวกนักพนัน
ตำรวจนอกเครื่องแบบที่เป็นพี่เลี้ยงให้ยงยุทธเข้ามาถามยงยุทธอย่างเป็นห่วง
“ไหวมั้ยครับหมวด”
ยงยุทธพยักหน้ารับแม้จะยังจุกอยู่
“ผมจะยันไอ้ฝรั่งนี่ไว้ ส่วนพวกคุณเข้าไปประกบพวกมันเอาของกลางกลับมาให้ได้”
“ครับหมวด”
ตำรวจถอยออกไป ยงยุทธจับเชือกพยุงตัวลุกแล้วฮึดเรียกกำลังกลับมาพร้อมลุย แจ็คหันมาแสยะยิ้ม กรรมการจะให้เข้ามาเจอกันที่กลางเวที แต่แจ็คกลับผลักกรรมการจนกระเด็นแล้วปรี่เข้าไป ไล่ถลุงใส่ยงยุทธอีกครั้ง ยงยุทธต้องตั้งการ์ดป้องกันตัวเองเต็มที่
ด้านล่างเวที ตำรวจนอกเครื่องแบบเริ่มขยับเข้าใกล้พวกแก๊งปล้นธนาคาร บนเวทียงยุทธโดนแจ็คไล่ต้อนเข้ามุมและถลุงใส่ไม่ยั้ง แต่ยงยุทธก็อึดพอที่จะรับพายุหมัดได้ แล้วอาศัยจังหวะหลบหมัดและพลิกตอบโต้สวนหมัดเข้าหน้า กลายเป็นฝ่ายไล่ถลุงใส่แจ็คบ้าง ยงยุทธไล่ต้อนแจ็คไปถึงกลางเวทีก่อนจะใช้สองมือฮุคเข้าหลายคางพร้อมๆ กันแบบหนุหมานถวายแหวน แจ็คกระเด็นไปหงายหลังตึง กรรมการเข้ามานับทันที ยงยุทธยืนหอบเหนื่อยสุดๆ กรรมการนับได้แค่ไม่ถึง 5 แจ็คก็ตาโพล่งลุกขึ้นมาคำรามเสียงก้องอย่างโมโหสุดๆ ยงยุทธอึ้ง
“หมัดสั่งตาย....หมัดสั่งตาย....หมัดสั่งตาย”
นักพนันตะโกนเชียร์ แจ็คเกร็งกล้ามเนื้อจนปูดโปนขึ้นมาอย่างน่ากลัว มันกำหมัดแน่นให้สันหมัดนิ้วกลางนูนขึ้นมาเป็น 3 เหลี่ยม
ด้านล่างพวกตำรวจนอกเครื่องแบบรุกจนใกล้จะถึงตัวแก๊งปล้นธนาคาร แต่ตัวหัวหน้าดันรู้ตัวก่อนเพราะเห็นปืนที่ตำรวจนอกเครื่องแบบเหน็บอยู่ที่เอว พวกมันเลยเปิดฉากยิงใส่ตำรวจก่อน...เสียงปืนดังสนั่นทำให้ข้างล่างเวทีวุ่นวาย นักพนันวิ่งหนีตายแต่บนเวทีแจ็คยังไม่ยอมเลิก ทั้งที่กรรมการเข้ามายุติการชก แต่แจ็คกลับบ้าเลือดเหวี่ยงหมัดสั่งตายเข้าที่ขมับกรรมการ จนเส้นเลือดที่ลูกตาแตกเลือดไหลออกมาเป็นน้ำตา ตายคาที่ต่อหน้าต่อตายงยุทธ
ข้างล่างวุ่นวายหนักพวกแก๊งปล้นธนาคารยิงใส่ตำรวจแล้วหนีออกไปได้ ยงยุทธจำเป็นต้องทิ้งเวทีแล้วไล่ตาม แต่แจ็คยังขวางไม่ยอมให้ไปเพราะต้องการจัดการกับยงยุทธให้ได้ ยงยุทธเลยต้องสู้กับแจ็คอีกสองสามหมัดก่อนจะคว้าเก้าอี้ข้างสนามมาฟาดใส่หัวแจ็คจนมึนแล้วรีบออกไป แจ็คมึนหัวได้ครู่ก็เกร็งคอเบ่งกล้ามร้องเสียงคำรามลั่น
ตำรวจนอกเครื่องแบบโยนปืนให้ยงยุทธที่ตามเข้ามาแล้วเปิดฉากยิงกับพวกแก๊งปล้นธนาคาร เสียงปืนดังสนั่น ควันปืนตลบ พวกโจรยิงตอบโต้สู้ตาย ตัวหัวหน้าแก๊งทิ้งให้ลูกน้องยิงสู้กับตำรวจแล้วรีบถือกระเป๋าเงินวิ่งหนีเอาตัวรอด ยงยุทธรีบตามตัวหัวหน้าไปแล้วปล่อยให้ตำรวจยิงกับพวกลูกน้อง
หัวหน้าแก๊งถือกระเป๋าเงินวิ่งหนีมาแต่เจอยงยุทธไล่ยิง มันเลยเปิดฉากยิงกับยงยุทธแต่สุดท้ายก็พลาดท่าให้กับความแม่นของยงยุทธโดนยิงแสกหน้าตายคาที่ ยงยุทธจัดการกับหัวหน้าแก๊งโจร แต่ยังไม่ทันเข้าไปหยิบกระเป๋าเงิน แจ็คก็โผล่เข้ามาแล้วเล่นงานยงยุทธทันที กะเอาให้หายแค้น ยงยุทธเลยต้องรับหมัดอันหนักหน่วงของมัน และตอบโต้กลับเอาคืน แต่แจ็คก็ไม่สะดุ้ง ซ้ำยังเอาหัวโขกหน้าจนยงยุทธหัวแตกเลือดอาบ ยงยุทธเจ็บใจตั้งท่าหมัดฟ้าฟาดแล้วจู่โจมใส่ทันที
“หมัด…ฟ้า…ฟาด”
หมัดฟ้าฟาดเหวี่ยงจากกลางอากาศเข้าที่หน้าของแจ็คแต็มๆ แจ็คล้มลงไปเหมือนจะเสร็จหมัดฟ้าฟาด แต่นั่น กลับทำอะไรมันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แจ็คลุกขึ้นมาแล้วพลิกหลับมาเล่นงานยงยุทธไม่ยั้ง จนยงยุทธโงนเงน แทบหมดเรี่ยวแรง คราวนี้จึงถึงทีที่แจ็คจะใช้ไม้ตายกำหมัดยกสันนิ้วกลางขึ้นมาเป็นสามเหลี่ยม
“หมัด…สั่ง…ตาย”
ยงยุทธไม่มีแรงแม้แต่จะป้องกันตัวเอง มีหวังตายเพราะหมัดสั่งตายแน่นอน แต่ทันใดนั้นเสียงปืนดังขึ้น พวกตำรวจนอกเครื่องแบบตามมาช่วย แจ็คเลยชะงักแต่อาฆาตพยาบาทกับยงยุทธ
“เจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่…แกตายแน่”
แจ็ครีบหนีออกไปทิ้งให้ยงยุทธโงนเงนก่อนจะหมดสติไป
“ดีนะครับที่ตอนนั้นหมวดรอดมาได้ ไม่อย่างนั้นได้ถูกไอ้ฝรั่งยักษ์นั่นสั่งตายไปแล้ว”
จ่าแท่นบอกหลังจากยงยุทธเล่าจบ
“ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่เจอไอ้ฝรั่งนั่นอีก”
“เชิงมวยปีศาจแบบนี้ คงไม่มีใครฝึกกันได้ง่ายๆ…หรือว่าคนที่มาท้ายวีรบุรุษบาปคือมันครับ”
“ถ้าเป็นมันจริงๆ ผมว่านี่ไม่ใช่การท้าทายวีรบุรุษบาปอย่างเดียวแล้ว แต่เป็นการจ้องเอาชีวิตมากกว่า”
ยงยุทธหันไปมองศพโจรที่น้ำตาไหลออกมาเป็นสายเลือดอย่างเป็นกังวล
ขุนเดชกำลังซ้อมเพลงดาบอยู่ในถ้ำเขาหลวงหน้าองค์พระศิลาที่ไร้เศียร เม็ดเหงื่อสาดกระเซ็น ขุนเดชฟันดาบดำตวัดขึ้นลงด้วยเชิงดาบอันหนักหน่วง ก่อนจะหยุดเชิงดาบแล้วหันไปมองที่องค์พระศิลาแล้วคิดถึงอดีต
ภาพอดีตขุนเดชวัยเด็กกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงแลกหมัดกับเด็กที่ตัวโตกว่า ขุนเดชมีฝีมือพอตัวสู้พวกเด็กโตได้ แต่กลับถูกพวกมันเล่นหมาหมู่เข้ามาจับล็อคแล้วให้หัวโจกเข้ามารุมอัด ขุนเดชเลยเหยียบเท้าคนจับล็อคแล้วใช้หัวกระแทกเล่นงานพวกมันจนเลือดกำเดาออกจมูก ขุนเดชจะซ้ำแต่ระหว่างนั้นนายเดื่องเข้ามาห้าม
“หยุดนะขุนเดช”
เมื่อผู้ใหญ่มาพวกเด็กเกเรเลยหนีเตลิดแต่ไม่วายผูกใจเจ็บขุนเดช
“เอ็งกับข้าต้องได้เจอกันอีกแน่ไอ้ขุนเดช”
พวกเด็กเกเรวิ่งออกไป นายเดื่องเข้ามาสีหน้าไม่พอใจใส่ขุนเดชเป็นอย่างมาก
“พ่อ”
นายเดื่องใช้ไม้เรียวฟาดก้นขุนเดชไม่ยั้งจนขุนเดชร้องลั่น
“ชั้นเจ็บ…ฮือๆๆๆ...ชั้นเจ็บ”
“แค่นี้เอ็งร้องเจ็บ แล้วที่เอ็งไปวิวาทกับคนอื่นเขาล่ะ ห๊ะ บอกข้ามาสิ…ว่าเคยสอนให้ เอ็งใช้กำลังทำร้ายคนอื่นรึเปล่า”
“เปล่าจ้ะพ่อ...ฮือๆๆๆ ชั้นแค่อยากสั่งสอนให้พวกมันหุบปาก ฮือๆๆๆ เพราะมันมาว่าชั้น ว่าชั้นขี้โม้ที่ไปช่วยพ่อจับโจร”
“เรื่องแค่นี้เองน่ะเหรอ เอ็งเป็นลูกผู้ชายนะขุนเดช ถ้าเอ็งไม่หนักแน่น แยกแยะไม่ออกว่าอะไรควรใช้กำลัง ควรใช้ปัญญาแก้ปัญหา ต่อไปนี้ข้าจะไม่สอนอะไรเอ็งอีก”
นายเดื่องฟาดไม้เรียวซ้ำอีก ขุนเดชร้องลั่น คำปันต้องรีบเข้ามาห้ามเสียงหลง
“พอเถอะจ้ะพี่เดื่อง…ชั้นขอร้อง”
คำปันเข้ามาขวางแล้วกอดขุนเดชไว้อย่างเป็นห่วง นายเดื่องจำเป็นต้องหยุดแล้วมองขุนเดชด้วยแววตาผิดหวัง ก่อนจะออกไปทิ้งให้ขุนเดชร้องไห้เสียใจอยู่กับคำปัน
“น้าคำปัน….ชั้นเกลียดพ่อ…ฮือๆๆๆ ชั้นเกลียดพ่อ”
“ขุนเดช”
คืนนั้นขณะที่นายเดื่องสวดมนต์อยู่หน้าพระพุทรูปจนเสร็จคำปันก็เข้ามานั่งข้างๆ
“ชั้นว่าพี่เดื่องน่าจะไปคุยกับขุนเดชหน่อยนะ ชั้นเป็นห่วงขุนเดช” นายเดื่องเงียบไม่พูด “พี่เดื่อง ขุนเดชยังเด็ก เรื่องวิวาทมันก็เป็นธรรมดาของเด็กผู้ชาย”
“แต่ขุนเดชไม่เหมือนเด็กคนอื่นนะคำปัน”
“พี่เดื่องหมายความว่ายังไงจ้ะ” คำปันถามอย่างแปลกใจ นายเดื่องนิ่งไปแล้วมองที่พระพุทธรูป
“ขุนเดชเป็นสายเลือดของพี่ เมื่อเขาโตขึ้น พี่เชื่อว่าขุนเดชจะต้องสืบทอดหน้าที่ทหารของพระร่วงจากพี่ เพราะฉะนั้นเขาต้องพิเศษกว่าคนอื่น”
“พี่เดื่อง”
นายเดื่องมีสีหน้ามุ่งมั่นเอาจริง ขณะนั้นขุนเดชแอบอยู่หลังข้างฝา จึงได้ยินที่พ่อพูดถึงตนเองทุกคำ ขุนเดช
ครุ่นคิดแววตาจับจ้องไปที่ดาบดำของพ่อซึ่งแขวนอยู่ที่ผนัง
“ชั้นจะพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าชั้นพิเศษกว่าคนอื่นยังไง”
ขุนเดชคุกเข่าลงที่หน้าพระศิลาที่ไร้เศียร แล้วเอาดาบดำหักของพ่อขึ้นมาดูด้วยแววตาสำนึกผิด
“พ่อ...ชั้นขอโทษ”
จบตอนที่ 6
ติดตามอ่านขุนเดชตอนต่อไป พรุ่งนี้