xs
xsm
sm
md
lg

ขุนเดช ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขุนเดช ตอนที่ 1

ภายในโบสถ์วัดหลวงพ่อสุขมีพระประธานสีทองอร่ามงดงาม พระพักตร์เหมือนเพ่งมองพุทธบริษัทด้วยความกรุณาปรานี
 
ขุนเดชกับยงยุทธก้มกราบองค์พระพร้อมถวายดอกไม้ธูปเทียนแด่องค์พระ หลังจากกราบพระแล้วเสร็จสองหนุ่มก็หันไปหยิบเชือกป่านที่อยู่ในพานข้างตัวขึ้นมาพันที่ข้อมือเรื่อยจนถึงกำปั้น สายตาของสองหนุ่มจ้องหน้า กันอย่างเอาจริงเอาจังและดุดัน

อีกด้านหนึ่งหลวงพ่อสุขนั่งสมาธิเจริญภาวนาอยู่กลางโบราณสถานแห่งหนึ่ง หลวงพ่อสุขลืมตาขึ้นหลังจากการเจริญภาวนาจบลง สายตาทอดมองไปที่พระพุทธรูปที่เรียงรายตลอดสองข้าง พระพุทธรูปแต่ละองค์ล้วนถูกตัดเศียรจนเหลือแต่พระศอ แววตาของหลวงพ่อสุขมีแต่ความกังวล อาการป่วยด้วยวัณโรคของหลวงพ่อสุขทำให้ไอออกมาจนมีเลือดติดจีวร หลวงพ่อสุขรู้ตัวว่าคงเหลือเวลาอีกไม่นาน

ขุนเดชกับยงยุทธก้าวเข้ามาที่ลานวัดอย่างพร้อมแล้วสำหรับการต่อสู้ สองหมัดของทั้งคู่รัดแน่นด้วยเชือกป่าน ขุนเดชกับยงยุทธถอดเสื้อออกเห็นกล้ามเนื้ออัดแน่นของวัยหนุ่ม เสียงเชียร์ถือหางของพวกชาวบ้านและเด็กวัดส่งเสียงเชียร์ชื่อ ขุนเดชๆๆ และ ยงยุทธๆๆ ดังจนอื้ออึง ยงยุทธเดินออกมาที่กลางลาน ขยับคอจนดัง..กร่อบ! แล้วยิ้มอย่างกวนๆ ยวนประสาทกระดิกนิ้วเรียกขุนเดช ขุนเดชมองยงยุทธด้วยสีหน้าสงบนิ่งก่อนจะหันไปไหว้ครูก่อนเริ่มการชก

ที่โรงหล่อพระนายเถิน เถินกำลังทำงานหล่อพระอยู่กับพวกคนงาน เถินนั่งอยู่บนนั่งร้าน ค่อยๆ ทุบแม่พิมพ์เอาดินที่พอกอยู่ออกอย่างชำนาญ เนื้อดินแห้งๆ ค่อยๆ แตกออก เผยให้เห็นเนื้อทองขององค์พระงามอร่าม
เถินหันมายิ้มภูมิใจกับลูกน้องได้ครู่ ดารา ลูกสาวคนสวยของเถินก็ปั่นจักรยานส่งเสียงดังเข้ามา
“พ่อ...พ่อ...อยู่ไหนเนี่ย”
ดาราหันรีหันขวางก่อนจะเห็นว่าพ่ออยู่บนนั่งร้าน ดารารีบเข้าไปเขย่านั่งร้านเรียก
“ลงมาเร็วพ่อ รีบไปเร็วเข้า”
“เฮ้ยๆๆๆ อย่าเขย่านั่งร้านสิลูก เดี๋ยวพ่อก็ตกลงไปคอหักตายหรอก”
นั่งร้านส่ายไปมา เถินรีบหาที่เกาะแทบไม่ทัน
“แต่ถ้าพ่อไม่รีบไปห้ามขุนเดชกับนายยงยุทธ ต้องมีใครสักคนถูกหามส่งโรงพยาบาลแน่”
เถินแปลกใจรีบปีนลงมาจากนั่งร้าน
“เกิดอะไรขึ้น”
ดารามีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ

ที่ลานวัดขุนเดชโดนยงยุทธถีบเข้ายอดอกกระเด็น เสียงเฮของพวกเด็กวัดที่เชียร์ยงยุทธเฮลั่น ขุนเดชล้มคะมำเจ็บจุกยันตัวลุกขึ้น ยงยุทธไม่ปล่อยโอกาสผ่านไป ตามไปใช้แม่ไม้มวยไทยซ้ำ หักคอเอราวัณ โน้มคอขุนเดชมาตีเข่าแสกเข้าหน้าหงาย โอกาสได้เปรียบเป็นของยงยุทธตามเข้าไปชกซ้ำทั้งลำตัวและใบหน้า รัวหมัดใส่ขุนเดชไม่หยุด ขุนเดชยกการ์ดขึ้นป้อง แต่ก็ทนพายุหมัดของยงยุทธไม่ได้ ยงยุทธกระโดดเหยียบเข่าแล้วศอกลงที่กลางหน้าผาก ขุนเดชทรุดฮวบ เลือดไหลลงมาปิดตาสองข้างจนทำให้มองไม่เห็น ยงยุทธเห็นสภาพของขุนเดชแล้วเลยเดินไปหยิบผ้าขาวที่แขวนอยู่ที่กิ่งไม้มาโยนลงตรงหน้าขุนเดช
“หยิบผ้าขาวขึ้นมา แสดงว่าแกยอมแพ้ชั้นเถอะขุนเดช” ยงยุทธบอก
เลือดเข้าตาขุนเดชจนแสบตาไปหมด แถมเจ็บกระอักเพราะฤทธิ์หมัดของยงยุทธ มือของขุนเดชค่อยๆ เอื้อมไปหยิบผ้าขาวขึ้นมากำไว้ พวกชาวบ้านกับพวกเด็กวัดที่เชียร์ขุนเดชพากันส่งเสียงฮือ ขุนเดชกำผ้าขาวขึ้นมา ยงยุทธกำลังยิ้มพอใจที่ได้รับชัยชนะ แต่ต้องชะงักเมื่อขุนเดชเอาผ้าขาวขึ้นมาเช็ดเลือด ที่เข้าตาแล้วโยนทิ้งพื้น
“เมื่อกี้แค่อุ่นเครื่อง ของจริงมันต้องดูกันตอนนี้ต่างหากไอ้ยงยุทธ”
ยงยุทธหงุดหงิดอารมณ์เสีย
“โธ่เว้ย...แกนี่มันไอ้อึดจริงๆ เอาว่ะ...เมื่อกี้ชั้นก็แค่อุ่นเครื่อง ของจริงกำลังจะตามไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ยงยุทธตั้งท่ามวยไทยแล้วปรี่เข้าไปหา แต่คราวนี้ขุนเดชหลบหมัดยงยุทธได้อย่างสวยงามก่อนจะประเคน สองหมัดทิ่มเข้าใต้คางเป็นท่าหนุมานถวายแหวนซัดซะจนยงยุทธกระเด็น

เถินวิ่งขึ้นมาที่เรือนตรงดิ่งไปที่ผนังเรือนซึ่งมีดาบไทยแขวนเรียงรายเพราะเป็นของสะสมของเถิน
“พ่อ...ทำไมยังไม่รีบไปห้ามพวกนั้นล่ะ” เถินไม่ตอบลูกสาวเข้าไปคว้าดาบไทยสองเล่มลงมาจากผนัง
“พ่อ...พ่อจะเอาดาบไปทำไม”
เถินไม่ตอบมองดาบสองเล่มในมืออย่างมั่นใจแล้วรีบวิ่งลงจากเรือนไปทันที ดาราสุดแสนจะงงไม่เข้าใจ
“พ่อ !!”

บริเวณที่ท้ายวัด ยงยุทธโดนขุนเดชไล่ถลุงจระเข้ฟาดหางกระเด็นจนล้มกลิ้ง กลุ่มพวกกองเชียร์ตามมา เฮเชียร์ต่อ เพราะตอนนี้ขุนเดชเป็นฝ่ายได้เปรียบ ยงยุทธโดนทั้งหมัด เข่า ศอก ของขุนเดชประเคนใส่ไม่หยุด จนทุกคนคิดว่าขุนเดชกำลังจะชนะ แต่พอขุนเดช ตามเข้าไปชกหน้า ยงยุทธกลับใช้มือเดียวรับหมัดขุนเดชก่อนจะถึงดั้งจมูกเฉียดฉิว ขุนเดชอึ้ง
“พอได้แล้วไอ้ขุนเดช ออมมือให้หน่อยเอาใหญ่เลย แกทำให้เครื่องชั้นร้อนจนต้อง ระเบิดแล้ว”
ยงยุทธผลักขุนเดชกระเด็นด้วยการถีบยอดอก ขุนเดชเสียหลัก ยงยุทธตามเข้าไปเถรกวาดลานเตะตัดทีเดียว ขุนเดชล้มลงไปกองกับพื้น คราวนี้ยงยุทธตามไปใช้เข่ากดหน้าอกขุนเดชลงกับพื้น ขุนเดชจะยันตัวลุกแต่โดนน้ำหนักเข่าของยงยุทธกดทับให้ลุกไม่ขึ้น
“เลิกดันทุรังซะทีเถอะวะเพื่อน ถ้าเป็นเชิงมวย ยอมรับเถอะว่าแกสู้ชั้นไม่ได้” ขุนเดชยังดื้อฮึดฮัดจะลุก “ดื้ออย่างแก สงสัยต้องซัดให้สลบถึงจะยอม”
ยงยุทธง้างหมัดเตรียมจะชก แต่เสียงของเถินดังเข้ามา
“พอได้แล้วไอ้ยงยุทธ !”
ทั้งยงยุทธกับขุนเดชพากันชะงักหันไปมองเถินที่มาพร้อมกับดารา
“ลุงเถิน”
“ดารา”
เถินรีบเข้าไปแยกสองคนให้ออกห่างกัน มองสภาพของทั้งคู่ที่สะบักสบอมหน้าแตกปากแตกเลือดเกรอะหน้า
“สภาพดูไม่จืดแบบนี้ คงจะซัดกันเต็มเหนี่ยวเลยล่ะสิ”
“ครับลุง แถมรู้ผลแพ้ชนะแล้วด้วย”
ยงยุทธพูดไปก็ยืดใส่ขุนเดชที่ยังฮึดฮัดดูจะยังไม่ยอมรับว่าตัวเองแพ้
“ยัง...อย่าเพิ่งสรุปว่ามีคนชนะ เพราะข้าไม่ได้สอนเชิงมวยให้พวกเอ็งอย่างเดียว”
เถินพูดไปก็กระแทกดาบไทยที่เอามาด้วยให้ทั้งขุนเดชกับยงยุทธรับไป ขุนเดชกับยงยุทธรู้ว่าเถินกำลังสั่งให้ทำอะไร ทั้งคู่รับดาบมาแล้วก็ชักดาบออกจากฝัก ดาราตกใจ
“อ...นั่นพ่อจะทำอะไร ชั้นให้พ่อมาห้ามพวกเขานะ ไม่ใช่ให้มายุ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่าดารา ลูกผู้ชายเขาจะวัดฝีมือกัน มันไม่ถึงกับฆ่ากันตายหรอก”
“พ่อนะพ่อ...โธ่เอ้ย” ดาราโกรธมากสะบัดหน้างอนเดินออกไปทันที
“ดารา”
ยงยุทธจะตามดาราไปแต่ขุนเดชยื่นปลายดาบไปขวางและหันคมดาบเข้าด้วย ยงยุทธชะงัก
“แกจะยอมแพ้ชั้นซะตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้นะ…ไอ้ยงยุทธ”
ยงยุทธชะงักหันไปมองหน้าเพื่อนสนิท สีหน้าเอาจริงขึ้นมาทันที

ดาราเดินอารมณ์เสียออกมาที่บริเวณท่าน้ำวัด
“เจ็บตัวขึ้นมาทีไรคนเดือดร้อนก็เป็นเราทุกที...หึ !!”
ดาราบ่นไปได้ครู่สายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กๆ กำลังใช้หนังสติ๊กเล็งยิงนกบนต้นไม้สนุกสนาน
“เร็วๆสิวะ เดี๋ยวหลวงพ่อกลับจากธุดงค์มาเจอก็ซวยกันพอดี”
“เด็กพวกนี้นี่...มาแอบยิงนกกันในวัดอีกแล้ว ไม่กลัวบาปกลัวกรรมกันเหรอไง ไปเดี๋ยวนี้นะ”
ดาราเข้าไปไล่ พวกเด็กๆ ตกใจพากันวิ่งหนีวงแตกทิ้งหนังสติ๊กเอาไว้ ดาราเห็นแล้วคิดอะไรขึ้นมาได้

ที่ท้ายวัดขุนเดชกับยงยุทธประฝีมือกันด้วยชั้นเชิงดาบ ฟาดฟัน จ้วงแทง ทั้งรับและรุกใส่กันจนไฟแล่บ
ชั้นเชิงฝีมือทางเพลงดาบของขุนเดชคล่องแคล่วว่องไวและเหนือกว่าของยงยุทธ ขุนเดชรุกเข้าใส่จนยงยุทธ ต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับและล่าถอยสู้ไม่ได้ ยงยุทธพยายามตอบโต้กลับแต่ก็โดนขุนเดชฟาดฟัน สะบัดอย่างแรงจนทำให้ดาบในมือยงยุทธกระเด็น
ดาบของยงยุทธกระเด็นหมุนเป็นใบพัดไปปัก…ฉึก ! ที่ต้นไม้ เฉียดฉิวหน้าชาวบ้านที่มาเชียร์ไม่ ถึงนิ้ว ชาวบ้านถึงกับตาตั้งเข่าอ่อนพาลจะเป็นลม ยงยุทธจะตามไปเก็บดาบ แต่ถูกขุนเดชเอาปลายดาบชี้หน้าขวางไว้พร้อมกับยิ้มกวนๆ ใส่บ้าง
“เชิงมวยชั้นอาจจะสู้แกไม่ได้ แต่เชิงดาบของแกมันห่างจากชั้นเยอะว่ะเพื่อน”
“ยังเว้ย...ชั้นยังไม่ยอมแพ้แกหรอก”
“ได้เลยไอ้เกลอ ถ้าอยากให้ชั้นตอกย้ำว่าเชิงดาบแกมันอ่อนจริงๆ”
ขุนเดชควงดาบอย่างเท่แล้วกลับด้านที่เป็นด้ามดาบยื่นให้ยงยุทธ
“แกใช้ดาบ ชั้นมือเปล่า” ขุนเดชอมยิ้มกวนประสาททำให้ยงยุทธนึกฉุน
“ไอ้...ไอ้เพื่อนเวร!”
ยงยุทธอารมณ์พุ่งปรี๊ดใช้ดาบฟันซ้ายขวา แต่ขุนเดชอ่านเชิงดาบออกหมดเลยหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว แถมยังตอบโต้กลับชกหน้า ถีบอก ยงยุทธเลือดขึ้นหน้าเหลืออด ปักดาบลงที่พื้นแล้วปรี่เข้าไปแลกหมัด สองคนล้มกลิ้งไปตามพื้นเริ่มซัดกันนัวเนียไม่เป็นศิลปะแล้ว แลกหมัดซัดกันจนปากแตก เลือดกำเดาไหล
“อ้าวเฮ้ย...นี่มันซัดกันจริงๆ แล้วนี่หว่า พอได้แล้วไอ้ขุนเดช ไอ้ยงยุทธ แยกๆๆ”
เถินจะเข้าไปแยกแต่สองคนกำลังเมาหมัดลืมตัว แม้แต่เถินก็ห้ามไม่อยู่
“หลบไปพ่อ ห้ามไม่ฟังก็ต้องเจอแบบนี้”
เสียงดาราดังขึ้น เถินหันไปมองเห็นดาราเข้ามาพร้อมกับเหนี่ยวหนังสติ๊กเล็งใส่ขุนเดชกับยงยุทธ...ฟิ้ววววว ลูกแรกโดนเข้ากลางหัวยงยุทธ
“อู้ยยย...เฮ้ย ใครแซววะ เดี๋ยวมีสวยหรอก”
“ชั้นเอง สวยอยู่แล้ว มีอะไรมั้ย”
ขุนเดชกับยงยุทธหันมาเห็นดาราใส่กระสุนนัดที่สองแล้วยกหนังสติ๊กขึ้นเล็งเหนี่ยวหน้าเอาจริงก็เหวอตกใจ
ฟิ้วววว...ขุนเดชโโนกระสุนลูกที่สองเข้าที่แสกหน้าร้องเจ็บดังลั่น....โอ้ยยยย

ที่สะพานไม้ซึ่งทอดยาวเข้าไปเป็นท่าน้ำในสระบัว ขุนเดชกับยงยุทธร้องซี้ดเอายามาทารักษาแผลบนหน้า
“อู้ยยย...ออมมือให้หน่อยใส่ใหญ่เลยนะไอ้ขุนเดช”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดพระเอกเลย ออมมืออะไรวะซัดซะดั้งชั้นเกือบยุบ เอายามาทามั่ง”
ยงยุทธยื่นขวดยาให้ แต่พอขุนเดชเอามาทากลับพบว่ายงยุทธใช้หมดแล้ว
“เฮ้ย...นี่แกใช้คนเดียวหมดเลยเหรอวะ”
“ก็มันเหลือนิดเดียวแล้วนี่หว่า”
ดาราเดินเข้ามา
“ทีอย่างนี้ล่ะมาแย่งยากัน ทีตอนตีกันทำไมไม่คิด” ขุนเดชกับยงยุทธหันมามองดารา “ทีหลังถ้าชั้นเห็นพวกนายเล่นอะไรกันแบบนี้อีก ชั้นจะไม่ห้ามแล้ว จะปล่อยให้ถูกหาม ส่งโรงพยาบาลทั้งคู่เลย” ขุนเดชกับยงยุทธพยักหน้าให้กันอย่างเจ้าเล่ห์ “นี่...มองชั้นแบบนั้น อย่าบอกนะว่าคิดจะแก้แค้นชั้น” ขุนเดชพยักหน้าให้ยงยุทธเป็นคนลงมือ ยงยุทธยิ้มร้ายหักนิ้วดังกร่อบ ดาราเริ่มไม่ไว้ใจจะถอยหนี “ไม่นะ...ไม่เอา อย่า...ชั้น...ชั้นขอโทษ ก็ชั้นไม่ชอบเห็นพวกนายสู้กันนี่” ยงยุทธไม่สนใจเข้าไปจับตัวดาราขึ้นมาพาดบ่า ดาราร้องโวยวาย “ปล่อยชั้นนะนายยงยุทธ ปล่อยนะ ชั้นไม่อยากเปียก ขุนเดช ช่วยด้วย”
ขุนเดชกอดอกโบกมือบ๊ายบายกวนๆ ให้ไม่ยอมช่วย ปล่อยให้ยงยุทธอุ้มพาไปโยนลงสระบัว...ตูม ดาราลุกพรวดขึ้นจากสระก็กำโคลนขึ้นมาเต็มสองมือแล้วปาใส่ยงยุทธเข้าหน้า ยงยุทธรีบตามลงไปในสระแล้ว สนุกสนานเล่นสงครามโคลนกับดารากันอย่างน่ารัก
ขุนเดชยืนมองอยู่บนฝั่งสนุกสนานขำไปด้วย แต่แล้วอยู่ๆ ขุนเดชก็มีอาการปวดจี๊ดขึ้นมาที่ขมับ ภาพบางอย่าง แว่บขึ้นมาในหัวของขุนเดช

ในอดีตขุนเดชตอน 10 ขวบหน้าตาตื่นตกใจกลัวหลบอยูในซอกหินภายในถ้ำศิลา ประกายไฟและเสียงดาบกระทบกัน ทำให้ขุนเดชต้องเอามืออุดหูหลับตาปี๋เพราะกลัวก่อนที่เสียงปืนดัง…ปัง!! เสียงปืนดังขึ้นและกึกก้องไปทั้งถ้ำศิลา ขุนเดชลืมตาขึ้นมองไปเห็นเงาที่ผนังถ้ำ
ภาพเงาบนผนังถ้ำเป็นภาพนายเดื่อง พ่อของขุนเดชคุกเข่าแล้วถูกฟันด้วยมีดทีเดียวคอหลุดจากบ่า...ฉับ ขุนเดชช็อกตาเหลือก

กลับมาปัจจุบันขุนเดชเอามือกุมขมับด้วยความเจ็บปวด ดารากับยงยุทธหันมาเห็นก็แปลกใจรีบพากันขึ้น มาหาด้วยความเป็นห่วง
“ขุนเดช...เป็นอะไร”
“นี่แกปวดหัวอีกแล้วเหรอ”
ดาราหันไปตีแขนยงยุทธทันที
“เห็นมั้ย...ชั้นบอกแล้วไงจับดาบขึ้นมาสู้กันทีไร ขุนเดช ต้องเป็นแบบนี้ทุกที”
“มาโทษผมได้ยังไงล่ะดารา ไอ้ขุนเดชมันก็เป็นของมันแบบนี้ตั้งแต่หลวงตาพามาอยู่ที่ วัดนี่แล้ว ผมไม่ได้เพิ่งไปทำให้มันเป็นซะหน่อย”
ยงยุทธเถียง ดาราจึงหันไปถามขุนเดชอย่างเป็นห่วง
“ชั้นว่าไปหาหมอดีกว่ามั้ย รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ขุนเดชจะเป็นบ่อยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกดารา เป็นแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย” ขุนเดชบอก
“มาชั้นช่วย”
ดาราเข้าไปช่วยประครองขุนเดชให้ลุกขึ้นอย่างเป็นห่วงแล้วพาไปนั่งในรถที่ขับมา ยงยุทธยืนมองท่าทีของดาราที่เป็นห่วงเป็นใยขุนเดชมากแล้วรู้สึกใจเสียหวิวขึ้นมาทันที ดาราสตาร์ทเครื่อง
“ดารา...แล้วผมล่ะ” ยงยุทธรีบถาม
“ยืนตากโคลนให้แห้งไปคนเดียวแล้วกัน โทษฐานที่จับชั้นโยนสระบัว...เชอะ”
ดาราแลบลิ้นให้อย่างน่ารักแล้วขับรถพาขุนเดชกลับวัด

บรรยากาศวัดเวลากลางคืนเงียบสงบ ภายในโบสถ์ขุนเดชกับยงยุทธนั่งจ๋อยเพราะกำลังโดนหลวงพ่อสุขดุ
“ที่นี่เป็นเขตวัด เป็นเขตอภัยทาน ไม่ใช่สนามมวยที่ไว้ให้พวกเอ็งมาตีรันฟันแทงกัน”
“แต่ผมกับไอ้ขุนเดชไม่ได้ทะเลาะกันนะครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อสุขหันมาตาดุแล้วใช้ไม้เรียวฟาดเข้าที่ต้นแขนยงยุทธทันที ยงยุทธสะดุ้งโหยง
“อู้ยยยยย แสบๆๆๆ แสบครับหลวงพ่อ”
“อย่าไปว่าไอ้ยงยุทธมันเลยครับ ผมช่วยเป็นคู่ซ้อมมวยให้มัน เพราะเปิดเทอมมันต้องลง แข่งกีฬาเป็นตัวแทนนักเรียนนายร้อย”
“ครับหลวงพ่อ แถวนี้ก็มีแต่ไอ้ขุนเดชที่พอฟัดพอเหวี่ยงเป็นคู่ซ้อมให้ผมได้”
“ก็ไม่บอกตั้งแต่ทีแรก”
“ก็หลวงพ่อไม่ถาม มาถึงก็ตีผมเลย”
“ไอ้ยงยุทธ ! เอ็งนี่มันทั้งกะล่อน ทั้งหัวหมอ ข้าชักเป็นห่วงแล้ว ถ้าเอ็งจบมาเอ็งจะทำให้ วงการตำรวจเขาเสีย”
“ไม่หรอกครับหลวงพ่อ เห็นมันทั้งกะล่อนทั้งกวนบาทาแบบนี้ แต่ถ้าไอ้ยงยุทธได้เป็น ตำรวจเมื่อไหร่ ผมมั่นใจว่ามันจะเป็นตำรวจที่ดีที่สุด”
ขุนเดชหันไปมองเพื่อนอย่างมั่นใจ ยงยุทธยิ้มรับแต่ตบบ่าเพื่อนแล้วส่ายหน้า
“ขอบใจว่ะเพื่อน ถึงแกจะชมชั้นยังไงก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ชั้นโดนหลวงพ่อตีอยู่ คนเดียว มันต้องรับเท่าๆ กันเว้ย”
ยงยุทธจะดันให้ขุนเดชโดนหลวงพ่อสุขทำโทษด้วย แต่ระหว่างนั้นหลวงพ่อสุขเริ่มมีอาการไอไม่ไหยุด
“หลวงพ่อ”
หลวงพ่อสุขยกมือห้าม
“ไม่ต้อง…ข้าไม่เป็นอะไร คืนนี้เอ็งต้องนั่งสมาธิท่องบทสวดอยู่ที่นี่จนถึง เช้า ห้ามขัดคำสั่งข้าเด็ดขาด เข้าใจมั้ยไอ้ขุนเดช”
หลวงพ่อสุขกำชับหนักแน่นก่อนจะเดินออกจากโบสถ์โดยไม่บอกว่าทำไมต้องเฉพาะเจาะจงไปที่ขุนเดช
“หลวงพ่อกำชับแต่แกแบบนี้ แสดงว่าชั้นรอดแล้วว่ะเพื่อน โชคดีนะ”
ยงยุทธตบบ่าขุนเดชแล้วหัวเราะชอบใจ ส่วนขุนเดชก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมหลวงพ่อสุขต้องกำชับแต่เขา

ภายในกุฎิหลวงพ่อสุข หลวงพ่อสุขเปิดตู้เก็บของออกแล้วหยิบดาบพกที่ตัวปลอกดาบมีสีดำทะมึน ลงลวดลายด้วยอักขระภาษาโบราณแต่เริ่มเลือนรางเพราะความเก่าและมีฝุ่นจับเขรอะ หลวงพ่อสุขค่อยๆ ชักดาบออกจากฝัก เผยให้เห็นตัวดาบไทยที่มีสีดำทะมึนเช่นเดียวกับฝัก แต่ที่คมดาบกลับมี สีเงิน เพราะเป็นเทคนิควิธีการตีดาบแบบเฉพาะที่ใช้เหล็กที่มีความแข็งแทรกอยู่ในเนื้อเหล็กดำที่เป็นตัวดาบ เป็นการใช้ความแข็งและอ่อนรวมอยู่ในดาบเดียว
หลวงพ่อสุขค่อยๆ ชักดาบออกมาอย่างช้าๆ แต่เมื่อถึงกึ่งกลางดาบกลับพบว่าดาบนั้นหักเหลือเพียงครึ่ง สีหน้า ของหลวงพ่อสุขจับจรดอยู่ที่ดาบหักในมือแล้วอดคิดถึงที่มาของมันไม่ได้

10 ปีก่อนที่หน้าถ้ำศิลาบนเขาหลวง หลวงพ่อสุขถือกลดธุดงค์เดินเข้าผ่านมาหยุดดู ทีมงานขุดแต่งโบราณสถานทยอยนำวัตถุโบราณที่ค้นพบในถ้ำศิลาออกมาขึ้นรถ เพื่อนำกลับไปศึกษาและเก็บในพิพิธภัณฑ์ ขุนเดชในวัยซุกซนตอนนั้นตามดูโบราณวัตถุที่ทีมงานนำออกมาจากถ้ำอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ขุดเจอกรุพระเครื่องด้วยเหรอครับพ่อ ขอผมดูใกล้ๆ ได้มั้ยครับ”
ขุนเดชวัยเด็กถามนายเดื่องผู้เป็นพ่อ
“ดูอย่างเดียวนะขุนเดช มือห้ามจับ เดี๋ยวจะแตกหักเสียหาย”
“ผมรู้ครับพ่อ ของเก่าของโบราณเราต้องระมัดระวัง ดูแลให้ดี เพราะมันมีคุณค่ามาก ทางประวัติศาสตร์”
ขุนเดชตอบอย่างฉะฉานทำเอาอาจารย์ประทีป หัวหน้าคณะ ศึกษาโบราณคดีของกรมศิลป์ อดลูบหัวชื่นชมไม่ได้
“สมกับเป็นลูกของนายเดื่องจริงๆ ตัวแค่นี้ก็รู้เรื่องรู้ราวแล้ว”
“โตขึ้นผมอยากเป็นนักโบราณคดี อยากทำงานอย่างพ่ออย่างอาจารย์ครับ” ขุนเดชบอก
สองคนหัวเราะชอบใจความช่างพูดของขุนเดช ระหว่างนั้นนายเดื่องสังเกตเห็นมีพระธุดงค์องค์หนึ่งยืนมองอยู่

นายเดื่องพาขุนเดชมากราบหลวงพ่อสุข
“เจริญพรเถอะโยม”
“ผมต้องกราบขอขมาหลวงพ่อด้วย ไม่ทราบว่ามีพระมาธุดงค์ปักกลดแถวนี้ พวกผมทำงานกันเสียงดังเลยไปรบกวนหลวงพ่อ”
“ไม่เป็นไรหรอกโยม อาตมาเป็นเพียงพระธุดงค์ผ่านมา แต่ของเก่าของบรรพบุรุษอยู่ที่นี่ มาก่อน อาตมาต่างหากที่ต้องไป”
“แต่นี่ก็จะมืดแล้ว นิมนต์หลวงพ่อปักกลดอยู่แถวนี้ดีกว่า อีกสักเดี๋ยวพวกผมก็จะเสร็จ งาน เหลือแค่ผมที่เฝ้าพระศิลาอยู่ในถ้ำคนเดียว”
“อ้าว...ทำไมต้องอยู่เฝ้าด้วยล่ะพ่อ ผมนึกว่าพ่อจะกลับพร้อมกันซะอีก” ขุนเดชถามอย่างแปลกใจ
“พ่อทิ้งพระศิลาไว้ไม่ได้หรอกขุนเดช เราไม่รู้ว่าข่าวการขุดพบครั้งนี้จะไปถึงหูใครบ้าง พ่อต้องเฝ้าอยู่ที่นี่จนกว่าทางราชการจะส่งเจ้าหน้าที่มาดูแล”
“เรื่องนี้ชั้นก็เป็นห่วงนายเดื่องอยู่ ชั้นมีปืนอยู่ที่ท้ายรถ นายเดื่องควรจะติดตัวเอาไว้” อาจารย์ประทีปบอก
“ไม่ต้องหรอกครับอาจารย์ ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องปืนเท่าไหร่ แค่ดาบดำของผมเล่มเดียว ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ผมเอาอยู่ครับ”
นายเดื่องพูดไปก็ตบที่ดาบดำซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอว หลวงพ่อสุขมองตามที่ดาบดำ

ขุนเดชนั่งสมาธิอยู่หน้าองค์พระประธานตามคำสั่งของหลวงพ่อสุข ระหว่างที่ขุนเดชกำลังเข้าสมาธิอย่าง สงบ อยู่ๆ ภาพที่ขุนเดชเห็นก็แว่บเข้ามาทำให้ขุนเดชรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีก

ในอดีตขุนเดชวิ่งล้มลุกคลุกคลานตื่นตระหนกตกใจกลัว เนื้อตัวมอมแมม ในมือของขุนเดชข้างหนึ่งถือดาบดำของนายเดื่องที่หักกลางเหลือเพียงครึ่ง อีกมือก็ถือปลอกดาบกำแน่น เสียงนกแสกร้องดัง สลับกับฟ้าแลบฟ้าร้องครืนๆ ขุนเดชวิ่งหนีพวกโจรมายืนเคว้งอยู่ท่ามกลางความมืดสลัว
“พ่อ…พ่อ…ฮือๆๆๆ”
เสียงฟ้าผ่าลงมาดังเปรี้ยง! ขุนเดชสะดุ้งสุดตัว เสียงเสือแชนกับเสือชิดตะโกนดังโหวกเหวกเข้ามา
“หาให้เจอ แล้วฆ่าปิดปากมันซะ”
ขุนเดชยิ่งตกใจกลัวรีบวิ่งหนีไปต่อทันทีพร้อมกับดาบดำในมือ
เสือแชนกับเสือชิดรวมทั้งพรรคพวกของมันอีกสองคนพากันเข้ามา หน้าตาของพวกมันโหดเหี้ยม มีอาวุธครบมือ

ขุนเดชสะดุ้งเฮือกตกใจกับภาพที่แว่บเข้ามาในหัว อาการปวดหัวจี๊ดขึ้นจนขุนเดชต้องมือกุมขมับ
“โอ๊ย”
“ตั้งจิตสมาธิให้มั่น สวดแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์และเจ้ากรรมนายเวร เมื่อเอ็งนิ่ง ความ เจ็บปวดก็จะทุเลา” หลวงพ่อสุข ปรากฎตัวบอก
“หลวงพ่อ...เกิดอะไรขึ้นกับผมเหรอครับ ทุกครั้งที่ผมปวดหัวผมจะต้องเห็นภาพที่ไม่ เคยเห็น ได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยิน มีแต่เสียงร้องโหยหวนเจ็บปวด ทรมาน”
“ทำตามที่หลวงพ่อบอกเถอะขุนเดช จิตใจของเอ็งต้องนิ่ง ตั้งมั่นอยู่ในศีลอยู่ใน ธรรม ละเว้นบาป แล้วหนักจะเป็นเบา”
“ครับหลวงพ่อ”
ขุนเดชพนมมือไหว้หลวงพ่อแล้วหันมานั่งสมาธิสงบจิตและแผ่เมตตาตามที่หลวงพ่อสุขสั่ง

หลวงพ่อสุขเดินออกมาจากโบสถ์ ทิ้งให้ขุนเดชแผ่เมตตาตามลำพังในโบสถ์ หลวงพ่อสุขมองขุนเดชแล้วแววตามีแต่ความวิตกกังวลหนักใจกับชะตากรรมที่มองเห็นแต่ผู้เดียว
“ความจริงเป็นสิ่งหนีไม่พ้น อาตมาพยายามช่วยแล้ว แต่ก็คงฝืนกรรมลิขิตของเอ็งไว้ไม่ ได้อีกแล้ว...ขุนเดช”
หลวงพ่อสุขถอนใจแล้วปิดประตูโบสถ์เข้ามาจนชิดสนิทก่อนจะเพ่งมอง ภาพที่ประตูโบสถ์ซึ่งเป็นภาพเขียนของ “ทวารบาล” ยักษ์หน้าตาดุดันที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูโบสถ์ สัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์ปกป้องศาสนสถาน

ภาพนิมิตรในอนาคตของหลวงพ่อสุข หลวงพ่อสุขเห็นโจรอุ้มเศียรพระพุทธรูปที่ลักตัดมาวิ่งกระหืดกระหอบอย่างตกใจกลัวก่อนจะหยุดชะงักกึกตาเหลือก ร่างของโจรทรุดฮวบลงเพราะถูกฟันอย่างแรงที่กลางหลัง เผยให้เห็นขุนเดชในอนาคตที่ยืนหน้าตาถมึงถึงในมือถือดาบดำที่เพิ่งใช้ฟันโจรไป ขุนเดชย่างสามขุมเข้าหาโจรที่พยายามร้องขอชีวิต
“อย่า...อย่า...อย่าฆ่าชั้น” ขุนเดชหน้านิ่งไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ไม่สนใจเสียงร้องขอชีวิตของโจรตรงเข้าไปแล้วตวัดดาบดำใส่....ฉับ!! “อ๊ากกกกกกกกก”
เสียงโจรร้องโหยหวนดังก้องก่อนจะสิ้นใจ ขุนเดชตวัดดาบดำเสียบกลับคืนฝัก ใบหน้าดูขึงขังและดุดัน
ภาพไฟลุกโชนขึ้นข้างหลังขุนเดช แสดงความกราดเกรี้ยวและน่ากลัวราวกับขุนเดชคือยักษ์ทวารบาลที่มีหน้าที่ปกป้องพุทธสถานให้กับลูกหลานสืบไป

วันใหม่บรรยากาศย่านตลาดเก่าช่วง พ.ศ. 2500 มีแผงขายของและร้านรวงตึกไม้สองข้างทาง ยงยุทธขี่จักรยานพาดาราที่นั่งซ้อนท้ายขี่มาตามทาง
“ตอนอ่านเป็นหนังสือว่าเล็บครุฑสนุกแล้ว พอทำเป็นหนังยิ่งสนุกใหญ่ ยิงกันหูดับตับ ไหม้เลย ว่ามั้ยดารา”
ดาราทำหน้าเบื่อ
“มีแต่ยิงกันไม่เห็นสนุกเลย อยากดูยอดเยาวมาลย์ ไม่ได้อยากดูเล็บครุฑ”
ยงยุทธเบรคจักรยานเอี๊ยดทันที
“อ้าว...ทำไมดาราไม่บอกผมล่ะ”
“ก็ยงยุทธเป็นคนจ่ายค่าตั๋ว ชั้นเกรงใจ”
“โธ่...ทีหลังอย่าเกรงใจผมอีกนะ เห็นดาราอ่านหนังสือเตรียมสอบหน้าดำคร่ำเครียด ผมก็อยากให้ดาราได้พักสมองบ้าง”
“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่จะสอบเข้าโบราณคดีศิลปากรไม่ใช่ง่าย ดาราไม่ได้เก่งเหมือน ขุนเดชที่จำรายละเอียดโบราณสถานได้หมด คะแนนของขุนเดชถึงเป็นที่หนึ่งในคณะ”
“ดาราไม่รู้เหรอว่าไอ้ขุนเดชมันเป็นมนุษย์โบราณมาเกิด ชาติที่แล้วมันเป็นมนุษย์ถ้ำ หน้ามันถึงได้ไม่ค่อยยิ้มหงิกแบบมนุษย์โครมันยองไง”
ดาราตีแขนยงยุทธทันที
“บ้า! ไปว่าขุนเดชแบบนั้นได้ยังไง เออ...ใช่ ยงยุทธรออยู่นี่นะ เราไปซื้อของแป๊บนึงเดี๋ยวมา”
“เดี๋ยวสิดารา จะไปซื้ออะไร”

ดารามาที่ร้านขายยาจีน หมอจีนจัดยาใส่ห่อกระดาษให้ดารา
“กินแล้วหายแน่นะอาแปะ”
“หายซี่...ซูสีไทเฮาก็กินแบบที่อั้วจัดให้นี่แหละ”
ดารายิ้มชอบใจรีบรับห่อยามาใส่กระเป๋า แต่พอจะก้าวเท้าออกจากร้านก็ต้องชะงักเมื่อเจอประดับ ลูกชายนายทหารนิสัยเกกมะเหรกเกเรเพราะมีพ่อเป็นนายทหารยศใหญ่โตจึงกร่างไม่กลัวใคร ประดับมองดาราด้วยสีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย มีพรรคพวกของประดับอีกสองสามคนยืนประกบโชว์ความกร่าง
“เพิ่งรู้ว่าคุณดาราอยากเป็นซูสีไทเฮา ตรงกับที่ผมกำลังมองหาซูสีไทเฮาอยู่เหมือนกัน”
ประดับพูดไปก็เข้ามาเชยคางดาราอย่างจงใจลวนลาม ดาราไม่พอใจรีบปัดมือประดับ

ขณะนั้นยงยุทธรอดาราอยู่ที่ริมถนนเห็นดาราหายไปนานก็ชักเป็นห่วง
“ทำไมไปนานจัง”
ยงยุทธหันไปเห็นดารากำลังเดินมาแต่ไม่ได้มาคนเดียวเพราะมีกลุ่มพวกประดับกับพรรคพวกตามมาล้อมหน้า ล้อมหลังพยายามเจ๊าะแจ๊ะกับดารา
“ไปให้พ้นนะ อย่ามายุ่งกับชั้น”
“ไม่เอาน่าคุณดารา ผมก็แค่อยากชวนคุณคุยเล่นสนุกๆ ทำไมต้องซีเรียสด้วย
“ชั้นไม่ชอบพวกทำตัวไร้สาระไปวันๆ ถอยไป”
“เดี๋ยวสิครับ คุณยังไม่เคยลองนั่งรถผมไปกินลมชมวิว ลองไปบางปูกับผมสักครั้ง รับรองว่าคุณจะต้องติดใจ”
ประดับเข้าไปจับข้อมือดาราทันที ดาราตกใจ

“ปล่อยนะ...ปล่อยมือชั้น”

อ่านต่อหน้าที่ 2 





ขุนเดช ตอนที่ 1 (ต่อ)

ดาราแกะมือประดับแล้วผลัก ประดับยังตื้อไม่หยุดจะเข้ามาจับมืออีก ดาราเลยต้องเอากระเป๋าถือฟาดใส่ พวกลูกน้องประดับรีบเข้ามาแย่งกระเป๋าของดาราออกไปจากมือ
“เอากระเป๋าชั้นคืนมานะ เอาคืนมา!!”
พวกประดับไม่ยอมคืนให้แถมยังกลั่นแกล้งดาราให้วิ่งวนไปมา ทันใดนั้นเองยงยุทธก็ปรี่เข้ามาชกหน้ามัน..โครม
“หมาหมู่กับผู้หญิงแบบนี้ กลับบ้านไปขอกระโปรงแม่พวกแกใส่เถอะว่ะ”
ประดับมองหน้ายงยุทธอย่างไม่พอใจหันไปพยักหน้าให้พรรคพวกอีกคนปรี่เข้าไปเล่นงาน แต่พอมันพุ่งเข้าใส่ ยงยุทธก็แค่เอี้ยวตัวหลบแล้วสวนกลับด้วยท่าฟันศอกเข้าแสกหน้ากระเด็นเลือดโชกเต็มจมูก
“จะเอาอีกมั้ย ไอ้ตัวหัวหน้าลุยมาเลยก็ได้ จะเตะแข้งให้หักเหมือนเตะต้นกล้วยเลย”
ประดับโกรธขบกรามเอาเรื่องพยักหน้าบอกพรรคพวกทุกคน พวกมันเลยพร้อมใจกันเอามีดสปริงออกมา ดีดมีดออกมาอย่างพร้อมเพรียง ยงยุทธชะงัก
“เวรแล้วไง”ยงยุทธรู้ว่าเจอแบบนี้เอาไม่อยู่แน่เลยรีบถอยไปยืนใกล้ๆ ดารา “จำตอนที่เคยวิ่งแข่งกับผมกับไอ้ขุนเดชได้ใช่มั้ยดารา”
“จำได้”
“ดี…วิ่งให้เร็วกว่านั้นสองเท่าเลยนะ”
“ฮะ” ดาราหันมามองยงยุทธอย่างตกใจ
“วิ่งเลยดารา”
ยงยุทธคว้าข้อมือดาราแล้วตรงไปยันยอดอกประดับจนกระเด็นเพื่อเปิดทางวิ่งพาดาราหนีไปอย่างรวดเร็ว

ยงยุทธจูงมือพาดาราวิ่งหนีพวกประดับที่ไล่กวดมาห่างๆ ดาราเริ่มเหนื่อยจะไม่มีแรงวิ่งตาม ยงยุทธเห็นหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องทำอะไรสักอย่าง
“ดารา...มาทางนี้”
ยงยุทธฉุดดาราเข้าไปหลบที่ซอกแคบๆ ซึ่งมีกองลังกระดาษสุม ที่แคบมากจนตัวต้องเบียดกัน ยงยุทธกอด ดาราไว้แนบอก
“ชู่วววว์ เงียบไว้นะดารา อย่าให้พวกมันได้ยิน”
ดาราพยักหน้ารับแล้วปิดปากเงียบหลับตาปี๋ พวกประดับตามเข้ามาแล้วหยุดมองหา
“หายไปไหนแล้ววะ” พวกประดับมองหา ยงยุทธยิ่งกอดดาราเอาไว้แน่นจนหน้าดาราแทบชิดหน้ายงยุทธ
“สงสัยจะไปทางนั้น ตามไป”
ประดับยกพวกพากันออกไป ยงยุทธหายใจโล่งอกก่อนจะเห็นดาราหลับตาปี๋ซบหน้ากับแผ่นอกเขาตัวสั่นกลัว
“พวก...พวกมันไปรึยัง” ดาราถามทั้งที่ยังหลับตาปี๋
“ชู่ว์...เบาๆ ดารา พวกมันยังไม่ไป”
ดาราอยากรู้เลยค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมาแล้วเห็นว่าพวกนั้นไปแล้ว
“พวกมันไปแล้วนี่...โกหกชั้นเหรอยงยุทธ”
ดาราไม่พอใจทุบหน้าอกยงยุทธเป็นการใหญ่ แต่เพราะที่แคบยงยุทธเลยจับมือดาราไว้แล้วหน้าก็ชิดกันจนเกือบหายใจรดกันได้ ดาราชะงักเมื่อเจอสายตาที่ยงยุทธมองเธอ สองคนสบตากันไปมาได้ครู่
“ดารา”
ดาราสะดุ้งหันไปเห็นขุนเดชก็รีบผลักยงยุทธออกห่างจากตัวเพราะไม่อยากให้ขุนเดชเห็น ยงยุทธหน้าเสียที่เห็นท่าทางของดาราที่กลัวขุนเดชจะเข้าใจผิด

ขุนเดชกับยงยุทธพาดารากลับมาที่บ้าน
“พวกมันเป็นใคร ท่าทางไม่ใช่เพิ่งจะตามรังควาญดาราครั้งแรกแน่”
ยงยุทธถาม ดารามีสีหน้าหนักใจ
“มันชื่อประดับ ชั้นเจอมันตอนที่ตามพ่อไปรับงานหล่อพระให้นายพล”
“นึกแล้ว กร่างซะขนาดนั้นที่แท้ก็ลูกพวกมีสี”
“มันพยายามตามตื้อชั้นมาหลายครั้ง แต่นึกไม่ถึงว่าจะตามมาถึงที่นี่”
“ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง มันคงไม่เลิกยุ่งกับดาราแน่”
“ไอ้อะไรสักอย่างของแก ตรงกับที่ชั้นคิดเลยใช่มั้ยเพื่อน”
ขุนเดชกับยงยุทธมองหน้ากัน ดารารู้สองคนหมายถึงอะไรเลยรีบปราม
“อย่านะ ชั้นห้ามไม่ให้พวกนายไปยุ่งกับมันเด็ดขาด”
“แต่เราปล่อยให้มันมารังควาญดาราแบบนี้ไม่ได้”
“ไม่ต้องห่วงชั้นหรอก ชั้นดูแลตัวเองได้ แต่ชั้นไม่อยากให้พวกนายเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ถ้ามีเรื่องขึ้นมายงยุทธจะทำยังไงจะยอมให้อนาคตตำรวจดับเหรอ” ยงยุทธนิ่งไป “แล้วขุนเดชล่ะ อยากโดนไล่ออกจากศิลปากรเหรอ”
“แต่พวกที่ชอบใช้อำนาจข่มเหงรังแกคนอื่น ถ้าไม่ตาต่อตาฟันต่อฟัน มันไม่มีทางหยุด”
“ขุนเดช”
เถินเดินเข้ามาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่
“อ้าว...มาสุมหัวทำอะไรกันตรงนี้ นัดกันจะไปเที่ยวไหนเหรอ”
ดาราหันมาลงที่พ่อทันที
“เพราะพ่อคนเดียวเลย เป็นช่างหล่อพระอะไรถึงไปสอนให้คนอื่น ชอบแต่เรื่องตีรันฟันแทง”
ดาราหัวเสียงอนรีบเดินจ้ำเข้าบ้านทันที
“อ้าว...ทำไมลุงโดนลูกด่าซะงั้นล่ะ” เถินทำหน้างง
ดารารีบเดินกลับออกมาอีก เถินตกใจสะดุ้ง ดาราหน้าตึงยังโกรธแต่ก็เอาห่อยาจีนในกระเป๋ามายัดใส่มือขุนเดช
“ยาแก้ปวดหัว กินให้หมดด้วย!”
ดารากำชับขึงขังแล้วเดินเชิดเข้าบ้านไปปิดประตูปังไม่ออกมาอีก
“ไอ้ลูกคนนี้ ตกลงมีเรื่องอะไรกันเนี่ย”

ขุนเดชกับยงยุทธและเถินเดินคุยกันในบริเวณโรงหล่อพระ ซึ่งมีพระพุทธรูปที่หล่อเสร็จแล้วตั้งเรียงรายสวยงาม
“อ๋อ...ที่แท้ก็ไอ้ลูกชายนายพลนั่น เคยได้ยินมาเหมือนกันว่ามันชอบฉุดผู้หญิงขึ้นรถเป็นคดีอยู่บ่อยๆ แต่เรื่องก็เงียบทุกที”
“บารมีพ่อที่สนับสนุนให้ลูกทำแต่เรื่องเลวๆ แบบนี้ไม่สมควรให้ชาวบ้านเคารพ”
สีหน้าของขุนเดชดูท่าทางจะโกรธจริงๆ จังๆ ยงยุทธเองก็มีอารมณ์ร่วม
“เฮ้ยๆ พวกเอ็งสองคนอย่าได้ไปยุ่งกับมันเชียวนะ ข้ามันนักเลงเก่า ไอ้เรื่องแบบนี้ผ่านมาหมดแล้ว ใจร้อนวู่วามไปสุดท้ายก็พังกันหมด ข้าถึงต้องเลิกหันมาหล่อพระนี่ไง”
“พูดแบบนี้ลุงไม่ห่วงลูกสาวเหรอ”
“ว่ะไอ้ยงยุทธ...ลูกสาวคนเดียวข้าก็ต้องห่วงสิวะ แต่ข้าจะคอยกำชับดาราไม่ให้ไปไหนมา ไหนคนเดียว จะได้ตัดปัญหาพอมันมายุ่งไม่ได้ เดี๋ยวมันก็เบื่อไปเอง”
ขุนเดชกับยงยุทธนิ่งไป ระหว่างนั้นลูกจ้างของเถินรีบเดินเข้ามาหน้าตาเคร่งเครียด
“พี่เถิน แย่แล้วพี่ พระพุทธรูปที่นายพลสั่งให้เราหล่อถวายวัด โดนสั่งยกเลิกหมดเลย แถมใบสั่งของคนอื่นก็ระงับหมด อยู่ๆ ก็บอกว่าจะไปจ้างโรงหล่ออื่นแทน เอาไงดีพี่”
“จะเอาไง...ก็ชิบหายน่ะสิ” เถินหันมาหน้าเครียด “มีเรื่องกับลูกมันไม่ทันไร มันเล่นกูซะแล้ว”
ขุนเดชกับยงยุทธได้ยินเต็มๆ สองคนหันมามองหน้ากันโดยไม่ต้องนัด

เย็นวันนั้นภายในห้องน้ำของวัดที่เป็นบ่อน้ำรวมให้ตักอาบ ยงยุทธนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวโชว์กล้ามตักน้ำราดใส่ตัวแล้วถูสบู่ใหญ่ ขุนเดชนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวโชว์กล้ามเข้ามาอาบเหมือนกัน สองคนมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“ทำไมวันนี้รีบมาอาบน้ำแต่เย็นเลยวะไอ้ยงยุทธ”
“แล้วแกล่ะ”
“วันนี้ชั้นต้องท่องหนังสือ เลยรีบมาอาบก่อน”
“ชั้นก็ต้องท่องหนังสือเหมือนกัน”
ขุนเดชหรี่ตามองเพื่อนรู้ว่ามันกำลังคิดอะไร ขุนเดชรีบตักน้ำในบ่อขึ้นมาอาบซู่ๆๆ แล้วรีบถูสบู่ ยงยุทธเองก็รู้ว่า ขุนเดชคิดอะไรอยู่หรี่ตามองแล้วรีบจ้วงน้ำมาอาบเร่งทำเวลาแข่งกับขุนเดช สองคนแข่งกันอาบน้ำสุดฤทธิ์

ขุนเดชกับยงยุทธนั่งลงที่โต๊ะอ่านหนังสือ กางตำราเรียนทำทีเป็นสนใจกับการท่องตำราแต่อ่านตำราไปหางตาก็เหลือบมามองกันเอง ระหว่างนั้นหลวงพี่เดินเข้ามาดู
“สงสัยวันนี้ฝนจะตก พวกเอ็งถึงมานั่งท่องตำรากันแต่หัวค่ำ”
“คืนนี้อยากนอนเร็วครับหลวงพี่”
“อยากนอนเร็วหรืออยากไปทำอย่างอื่นว่ะไอ้ยงยุทธ” ขุนเดชถามอย่างรู้ทัน
“แล้วแกล่ะไอ้ขุนเดช” หลวงพ่อย้อนถาม
“วันนี้ผมง่วงมากอยากรีบนอนครับหลวงพี่”
“แน่ใจเหรอวะว่าง่วงจริงๆ” ยงยุทธถาม
ขุนเดชกับยงยุทธหันมามองหน้ากันอย่างรู้ทัน
“เอาล่ะๆ ท่องตำราเยอะๆ น่ะดี หลวงพ่อจะได้หายห่วงเรื่องเรียนของพวกเอ็ง เสร็จแล้วก็ดับตะเกียงด้วยล่ะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาช่วยบิณฑบาต”
“ครับหลวงพี่”
สองคนตอบหลวงพี่ไปแต่ก็ยังมองหน้ากันอยู่อย่างทันเชิงกัน

ไฟจากตะเกียงที่สว่างเห็นได้จากหน้าต่างดับลง ภายในกุฏิขุนเดชกับยงยุทธนอนอยู่ในมุ้งของตัวเองคนละมุมห้อง
“เฮ้ย...ขุนเดช ชั้นหลับแล้วนะเว้ย” ยงยุทธบอก
“เออ...ชั้นก็ง่วงแล้ว หลับแล้วเหมือนกัน” ขุนเดชบอก
“หลับแล้วยังพูดอยู่ทำไมวะ”
“แกก็หุบปากสิวะ”
ยงยุทธกับขุนเดชนอนตะแคงหันหลังให้กัน
ฝั่งขุนเดชปากทำเป็นบอกว่าง่วงนอนแต่หน้าตายังขึงขังจริงจัง มือเอื้อมไปหยิบบางอย่างออกมาจากใต้หมอน มันคือดาบไม้ที่เตรียมพร้อมสำหรับการมีเรื่อง ขุนเดชกำดาบไว้แน่นก่อนจะค่อยๆ หันกลับมามองที่มุ้งของยงยุทธ เห็นเงาตะคุ่มๆ ของยงยุทธนอนอยู่ในมุ้ง ขุนเดชแน่ใจว่ายงยุทธหลับไปแล้วเลยค่อยๆ เลิกมุ้งออกแล้วเดินไปที่ประตูจะเปิดออกไป แต่ประตูดันเปิดไม่ออก เพราะถูกล็อคจากข้างนอกพยายามเขย่าแต่เปิดยังไงก็เปิดไม่ออก
ขุนเดชสงสัยรีบไปเปิดมุ้งยงยุทธดู เห็นมีแต่หมอนที่ซุกอยู่ในผ้าห่ม ส่วนยงยุทธหายไปแล้ว
“ไอ้ยงยุทธ !!”

หน้าไนต์คลับ ประดับกับพวกลูกน้องเมาแอ๋หิ้วนักร้องในไนต์คลับออกมา ประดับชวนนักร้องสาวสวยที่สุดในกลุ่มขึ้นรถ พวกลูกน้องจะขึ้นตาม
“เฮ้ยๆๆๆ...พวกเอ็งไม่ต้อง...แยกย้ายกันได้แล้ว บ้านใครบ้านมันเว้ย”
“ขอตามไปดูอย่างเดียวไม่ได้เหรอครับลูกพี่”
“จะดูเหรอ...ได้”
ประดับเดินเข้าไปหาลูกน้องแล้วเปิดเอวให้ดูปืนที่พกอยู่
“สำหรับพวกเอ็ง ให้ดูได้แค่ลูกปืน แต่สำหรับคนสวยในรถข้าให้ดูปืนทั้งดุ้นเลย ฮ่าๆๆๆ”
ประดับตบหน้าลูกน้องหยอกเย้าเบาๆ หัวเราะร่าแล้วเดินไปขึ้นรถพานักร้องสาวออกไปด้วยกันสองต่อสอง
ประดับขับออกไปผ่านยงยุทธที่ซุ่มมองอยู่ ยงยุทธมีสีหน้าเอาจริงจะตามไปแต่ขุนเดชยื่นมือมาจับไหล่รั้งไว้
“แกคนเดียวจะสู้กับลูกปืนมันเลยเหรอวะไอ้ยงยุทธ”
“ไอ้ขุนเดช! อย่ามายุ่งนะเว้ย กลับวัดไปซะ คนเดียวชั้นเอาอยู่”
“แต่ชั้นปล่อยให้แกไปมีเรื่องคนเดียวไม่ได้”
ยงยุทธผลักอกขุนเดช
“ดาราเขาชอบแก เขาถึงเป็นห่วงหาซื้อหยูกยาให้ กำชับไม่ให้แกมีเรื่องกับไอ้ประดับ แต่ชั้นไม่เคยอยู่ในสายตาของดารา เพราะฉะนั้น...ชั้นมีเรื่องได้”
ขุนเดชอึ้ง
“ไอ้ยงยุทธ...นี่แก”
ยงยุทธมองหน้าขุนเดชแล้วหันไปที่พวกลูกน้องประดับที่ยังสุมหัวกันอยู่หน้าไนต์คลับ
“เฮ้ย...พวกเอ็ง ใครอยากโดนกระทืบก็เข้ามาเลย”
พวกลูกน้องประดับหันมา จำได้ว่าเป็นยงยุทธที่เพิ่งจะมีเรื่องไปเมื่อกลางวัน พวกมันรีบวิ่งเข้ามาทันที ยงยุทธหันมาที่ขุนเดชแล้วชกท้องขุนเดชทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว ขุนเดชจุกตัวงอ
“ขี้กลากอย่างพวกมันแกคนเดียวรับมือสบาย ส่วนไอ้ขี้โอ่ลูกนายพลนั่น ชั้นจะสั่งสอน มันไม่ให้มายุ่งกับดาราอีก”
ยงยุทธบอกแล้วรีบไป ขุนเดชจะตามแต่ยังจุกอยู่ แถมพวกลูกน้องประดับตามเข้ามาอีก

รถของประดับจอดที่ข้างถนนเปลี่ยว ประดับปลุกปล้ำอยู่กับนักร้องสาวที่เบาะหลังรถ
“ไปโรงแรมไม่ดีกว่าเหรอพี่ เดี๋ยวตำรวจก็มาเห็นเข้าหรอก” นักร้องบอก
“ตำรวจเห็นสิดี จะได้โชว์หนังสดให้ดู”
ประดับไม่สนใจแสดงอาการหื่นปลุกปล้ำนักร้องต่ออย่างเมามันส์ ทันใดนั้นเสียงกระจกแตกดัง...เพล้ง!!
ประดับชะงักตกใจรีบหันไปดูก็พบว่ากระจกมองข้างรถตัวเองแตกกระจาย ประดับรีบลงจากรถ
“เฮ้ย...กระจกรถกู ใครวะ...ใครมาทะลึ่งกับกู”
ประดับพยายามหันไปมองรอบๆ แต่ไม่เห็นใครเลย เสียงกระจกข้างรถยนต์อีกอันแตกดังเพล้งอีก
“ไอ้เวรเอ้ย...โผล่หัวออกมานะเว้ย ไม่รู้ซะแล้วว่ากูลูกใคร”
ยงยุทธก้าวออกมาโดยมีผ้าขาวม้าพันปิดหน้าเหลือแค่ลูกตา ในมือมีหนังสติ๊กเป็นอาวุธยิงกระจกรถของประดับ
“มึงเป็นใคร...มาหาเรื่องกูแบบนี้ อยากโดนกูยิงไส้แตกใช่มั้ย”
ประดับชักปืนออกจากเอวแล้วจะยิงใส่ แต่ยงยุทธไวกว่ายิงหนังสติ๊กโดนเข้าที่มือทำให้ปืนหลุดจากมือประดับ
นักร้องสาวเห็นท่าทางไม่ได้เรื่องเลยรีบหอบเสื้อผ้าวิ่งหนี ประดับเห็นไอ้โม่งกวักนิ้วเรียกให้ตามไปก็ขบฟันกรอด
“ยั่วกูเหรอ...มึงตายแน่”

ขณะนั้นขุนเดชกำลังต่อสู้อยู่กับพวกลูกน้องประดับ 4 คน ขุนเดชใช้ดาบไม้สู้กับพวกมันที่มีมีดสปริงเป็น อาวุธ ทั้งจ้วงทั้งแทง แต่ขุนเดชจัดการได้หมด 3 คนลงไปนอนเจ็บระบมมือข้อมือและลำตัวเพราะโดนขุนเดชใช้ ดาบไม้ฟาดสั่งสอน เหลือคนสุดท้ายที่อยากลองดีปรี่เข้ามาแทง ขุนเดชตั้งรับได้แล้วจะฟันสวนกลับแต่อาการปวดหัวแปล่บขึ้นมาซะก่อน ขุนเดชเริ่มปวดหัวแต่ก็ยังไม่หยุดมือ ตามฟาดฟันไปเรื่อย พวกคนร้ายตกใจหลบเป็นพัลวัน

ขุนเดชปวดหัวแล้วนึกถึงเหตุการณ์ตอนเด็ก ขุนเดชตอนเด็กอยู่ในอาการอาการตื่นตระหนกตกใจ ร้องครวญครางเหมือนสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลุ้มคลั่งเที่ยวฟาดฟันทุกอย่างรอบตัว
“นี่แน่ะ...ตาย...ตายให้หมด...ตาย...ตาย ข้าจะฆ่าให้ตายให้หมด”
หลวงพ่อสุขเห็นอาการของขุนเดชถึงกับผงะอึ้ง ภาพพ่อถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาอย่างสยดสยองทำให้ขุนเดชช็อกจนขาดสติ หลวงพ่อสุขต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ขุนเดชสงบจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาขุนเดชพร้อมกับตั้งจิตอฐิษฐาน แผ่เมตตาให้ ขุนเดชฟาดฟันอย่างบ้าคลั่งไม่รู้ว่ามีพระกำลังเข้ามา แต่เรื่องน่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเมื่อหลวงพ่อสุขเข้าไปเกือบถึงตัว ขุนเดชก็เริ่มสงบและคุกเข่าร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้น หลวงพ่อสุขลูบหัวขุนเดชอย่างเวทนาก่อนจะเป่ากระหม่อม ขุนเดชแน่นิ่งหมดสติไปแทบจะคาตักหลวงพ่อสุขที่ลูบหัวขุนเดช
“เวรกรรม...นี่มันเวรกรรมอะไรของเอ็ง...ขุนเดช”

กลับมาปัจจุบัน ขุนเดชไล่ฟาดฟันมั่วไปหมดจนพวกคนร้ายตกใจหนีกระเจิง ขุนเดชจึงหยุดอยู่ในท่าชันเข่าปัก ดาบไม้ลงพื้นหน้าก้มลงมองพื้นดิน ฟ้าร้องครืนๆ น่ากลัว ขุนเดชค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแววตาของขุนเดชเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่ขุนเดชคนเดิม เป็นแววตาที่น่ากลัว เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ราวกับว่ายักษ์ทวารบาลที่เฝ้าหน้าประตูโบสถ์ได้เข้าสิงสู่ในร่างของขุนเดช

ดาราก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเตรียมสอบ มีหนังสือและภาพเกี่ยวกับโบราณสถานมากมายกองอยู่เต็มโต๊ะ
เถินอาบน้ำอาบท่าเสร็จเดินผ่านมาเห็นลูกกำลังขมักเขม้น
“นี่ลูกต้องดูหนังสือพวกนี้หมดเลยเหรอดารา”
“จ้ะพ่อ...ถ้าดาราเข้าศิลปากรได้เมื่อไหร่ จะได้ทำคะแนนได้ไม่น้อยหน้าขุนเดช”
เถินยิ้มรับลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดูแล้วหันไปเห็นภาพวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งอย่างสนใจ
“นี่รูปอะไรเหรอลูก”
“ไหนจ๊ะพ่อ...อ๋อ...ภาพถ่ายประตูทวารบาลไม้แกะสลัก จากประตูปรางค์วัดมหาธาตุ เมืองเชลียง ศรีสัชนาลัยจ้ะ”
“ทวารบาล ผู้พิทักษ์ปกป้องพุทธสถานตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชน”
“จ้ะพ่อ…พ่อนี่ตาถึงนะ ทวารบาลไม้แกะสลักอันนี้เป็นชิ้นที่เก่าแก่ที่สุด มีคุณค่าทาง ประวัติศาสตร์และความเชื่อของคนไทยเลย”
“ไอ้เรื่องนั้นพ่อไม่ทันคิดถึงหรอก สนใจดาบที่อยู่ในมือเทวดาท่านต่างหาก ท่านคงจะทำหน้าที่ปกป้องพุทธสถานอย่างถึงที่สุด…สู้จนดาบหัก”
“พ่อ! คิดแต่เรื่องแบบนี้อยู่เรื่อย คงจะแตกหักเสียหายก่อนจะมีคนไปค้นพบต่างหาก”
เถินยิ้มรับ
“พ่อไม่กวนแล้ว อ่านหนังสือต่อเถอะ”
เถินเข้าห้องนอนไป ส่วนดาราหยิบภาพถ่ายทวารบาลขึ้นมาดูแล้วอดคิดคล้อยตามพ่อไม่ได้เหมือนกัน
“หรือที่พ่อคิดจะเป็นเรื่องจริง…” ดารานิ่งไปแล้วส่ายหน้า “ไปกันใหญ่แล้วเรา”
ดาราวางภาพทวารบาลแล้วหันไปอ่านหนังสือต่อ
จบตอน 1

ขุนเดช ตอน 2.1
ประดับถือปืนตามเข้ามาถึงบริเวณชุมทางรถไฟเปลี่ยว
“มึงแน่จริงก็ออกมาลุยกับกูสิวะ อย่าดีแต่หลบ ไอ้ขี้ขลาด”
เสียงคนวิ่งผ่านข้างหลังไป ประดับหันกระบอกปืนไล่ยิง...ปังๆๆๆๆ
เสียงปืนดังสนั่นก้องไปทั่วบริเวณ ยงยุทธหลอกล่อให้ประดับยิงปืนจนหมดลูกโม่แล้วจึงโผล่มาข้างหลังขณะที่
ประดับกำลังเติมกระสุนปืน ประดับหันปากกระบอกปืนมา ยงยุทธจับข้อมือบิดปืนร่วงแล้วซ้ำด้วยหมัดเข่าศอก เล่นงานจนประดับทรุด
“ยอมแล้วๆๆ อยากได้อะไรก็เอาไป”
ประดับรีบปลดนาฬิกาข้อมือ แหวน สร้อย ราคาแพงให้
“กูไม่ได้มาปล้นมึง...แต่กูจะสั่งสอนให้มึงจำใส่กะโหลกเอาไว้ พ่อมึงไม่ได้ใหญ่คับฟ้า อยู่คนเดียว ถ้ามึงยังไม่
เลิกรังควาญคนอื่น กูจะตามล่ามึงเหมือนหมาล่าเนื้อ”
“จ้ะๆ...สาบาน จะให้ทำอะไรยอมแล้วจ้ะ”
ประดับรีบก้มลงกราบสายตาก็เหลือบไปที่ท่อนไม้ใกล้ๆ มือ ยงยุทธสั่งสอนประดับจนพอใจแล้วก็จะเดิน
ออกไป แต่ประดับเงยหน้าขึ้นมาแล้วแสยะยิ้มร้ายพร้อมกับคว้าท่อนไม้ตามไปฟาดเข้าที่ท้ายทอยยงยุทธเต็มแรง...ผัวะ
ยงยุทธโดนเข้าอย่างจังตั้งตัวไม่ติด ประดับตามไปใช้ท่อนไม้ในมือกระหน่ำฟาดใส่ยงยุทธไม่ยั้ง
“จะเป็นหมาล่าเนื้อกูเหรอไอ้สวะ...อย่างมึงก็แค่หมาขี้เรื้อนให้กูไล่กระทืบนั้นแหละโว้ย”
ประดับกระหน่ำฟาดๆๆๆ จนยงยุทธเจ็บระบมไปทั้งตัวและหมดสติ ประดับเห็นยงยุทธลุกไม่ขึ้นก็เข้าไป
กระชาก ผ้าขาวม้าที่พันหน้าออก เลยรู้ว่าเป็นยงยุทธ
“ที่แท้ก็มึงนี่เอง ไอ้เด็กวัด...งั้นแค่นี้ยังไม่หนำใจกูหรอก...หึๆๆๆ”

ยงยุทธในสภาพหมดสติถูกสาดน้ำเข้าหน้าจนรู้สึกตัวแล้วพบว่าตัวเองถูกจับมัดขึงอยู่กับรั้ว ในท่ากางเขน
ส่วนประดับเอากระเป๋าสตางค์ของยงยุทธมาค้นดู
“กล้ามากนะมึง เป็นแค่นักเรียนตำรวจแต่คิดจะตั้งศาลเตี้ยมาเล่นงานกู”
“ไอ้สารเลว...ถึงเวลาของกูเมื่อไหร่ มึงไม่ได้มายืนกร่างแบบนี้แน่”
“คิดว่ามึงจะมีโอกาสแบบนั้นเหรอ...อวดเก่งกว่ามึงยังโดนพ่อกูดองเค็มเลย แล้วอย่างมึงน่ะเหรอ หมดอนาคต
ได้ใส่เครื่องแบบตั้งแต่วันนี้แล้ว”
ประดับปากระเป๋าสตางค์ใส่หน้า ยงยุทธเจ็บใจพยายามจะดิ้นให้หลุดจากเชือกที่มัดตัวแต่ดิ้นไม่หลุด
“กูไม่สนเครื่องแบบเว้ย ถ้ามึงไม่เลิกยุ่งกับครอบครัวของดารา กูจะเป็นเงาตามล่ามึง”
ประดับหัวเราะ
“เอาตัวเองไม่รอดแล้วยังเห่าอีก...ไอ้หมาขี้เรื้อนเอ้ย!!”
ประดับฮุคเข้าที่ท้องยงยุทธอย่างแรงเล่นเอาจุกตัวงอ ประดับซ้ำอีกหมัดเข้าที่หน้า ยงยุทธเลือดกลบปากก่อน
จะมองไปเห็นเงาตะคุ่มดำๆ ยืนอยู่ข้างหลัง ยงยุทธหรี่ตามอง
“ขุน…ขุนเดช”
ประดับสงสัยหันกลับไป เงาตะคุ่มนั้นก้าวเข้ามาเผยให้เห็นว่าเป็นขุนเดชที่มีดาบไม้ในมือ แต่ใบหน้าและ
ท่าทางนั้นดูไม่เหมือนขุนเดชคนเดิม ดวงตาแข็งกร้าวน่ากลัวราวกับยักษ์
“มีพรรคพวกมาด้วยเหรอ…มาเลย…อยากโดนลูกปืนกูแสกหน้าก็เข้ามา”
ประดับชักปืนขึ้นแล้วจะยิงแต่ขุนเดชตวัดดาบไม้ในมืออย่างรวดเร็ว...ฟึ่บ !!
ประดับร้องครวญครางโอดโอยดังลั่นเพราะโดนฟาดเข้าที่ท่อนแขนจนแขนหัก
“โอ๊ยยยยย…ช่วยด้วย….แขน…แขนกู…โอ้ยยยยยย”
ประดับดิ้นพราดๆ เจ็บปวดครวญคราง ขุนเดชยืนมองด้วยสายตาดุดันไร้ความปรานี
“ขุนเดช”
ยงยุทธพยายามเรียกแต่ดูเหมือนว่าขุนเดชจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ย่างสามขุมเข้าหาประดับ
“อย่า…อย่านะ...ชั้น…ชั้นยอมแล้ว ชั้นจะปล่อยพวกแก จะไม่ยุ่งกับพวกแกอีก”
ขุนเดชไม่ฟังฟาดดาบใส่ ประดับเอี้ยวตัวหลบได้อย่างหวุดหวิดก่อนจะรีบวิ่งหนีเอาตัวรอดออกไปทันทีขุนเดช
มองตามด้วยแววตาเอาเรื่องเดินไล่ตามมันไปอย่างสุขุมแต่น่ากลัว
“อย่านะเว้ยขุนเดช อย่าทำอะไรบ้าๆ...ทำไมมันไม่ฟังเลยว่ะ เกิดอะไรขึ้นกับมันวะเนี่ย”
ยงยุทธชักสังหรณ์ใจไม่ดีพยายามออกแรงบิดข้อมือดึงเชือกที่มัดเอาไว้ให้คลายปมอย่างแรง

ประดับล้มลุกคลุกคลานร้องเจ็บปวดโอดโอยเพราะแขนหัก
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...โอ้ยยยย”
ประดับพยายามจะหนีต่อแต่ขุนเดชก้าวเข้ามายืนขวาง ประดับผงะรีบวิ่งหนีไปอีกทางแต่ขุนเดชสะบัดดาบไม้
พุ่งไปปักที่พื้นขวางทาง ประดับใช้มืออีกข้างที่ยังใช้การได้รีบดึงดาบขึ้นมาแล้วหันมาใช้จู่โจมขุนเดช ขุนเดชหลบหลีกการฟาดฟันของประดับได้อย่างง่ายดายเหมือนสอนเชิงมวยให้เด็กประถม ล่อให้ประดับไล่ฟาด ฟันจนเหนื่อยหอบ ขุนเดชจึงสวนกลับด้วยหมัดเข้าดั้งประดับอย่างจัง ประดับหงายหลังเลือดเต็มหน้า ขุนเดชตามไปหยิบดาบไม้ขึ้นมา วาดเชิงดาบด้วยท่วงท่าดูน่าเกรงขาม
“มึงตาย!!”
ขุนเดชฟาดดาบลง ประดับเหวอตาตั้ง แต่ทันใดนั้นยงยุทธตามเข้ามาใช้ท่อนไม้รับดาบไม้ของขุนเดชไว้ ก่อนที่
จะเข้าตีแสกหน้าประดับได้อย่างเฉียดฉิว
“หยุดได้แล้วขุนเดช แค่สั่งสอนมันก็พอ”
ขุนเดชตาแข็งกร้าวมองแล้วออกแรงกดดาบไม้ลงไป ยงยุทธต้องรับแรงเพิ่มขึ้นจนแปลกใจ เพราะนั่นไม่ใช่
สายตาของเพื่อนรักที่เคยรู้จัก
“ขุนเดช...หยุดเถอะ เป็นอะไรของแกวะ ไม่ได้ยินที่ชั้นพูดเหรอไง” ขุนเดชไม่รู้สึกตัวยิ่งออกแรงกดยงยุทธถึงกับ
เข่าทรุด “นี่แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอ มีสติหน่อย ถ้าแกฆ่ามัน แกจะเป็นฆาตกร!”
ยงยุทธออกแรงขืนดันขุนเดชออกไปอย่างแรง ประดับอาศัยช่วงชุลมุนรีบวิ่งหนีเอาตัวรอด ขุนเดชลุกขึ้นได้ก็จะตามประดับไป แต่ไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ขุนเดชก็ปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง...โอ๊ย!
ยงยุทธตกใจรีบเข้าไปประครองเพื่อน
“ขุนเดช...ขุนเดช”
“ยงยุทธ…”
ขุนเดชเรียกชื่อเพื่อนออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา สายตาพร่าเลือนก่อนจะหมดสติคาอ้อมแขนเพื่อน
“ขุนเดช...ไอ้ขุนเดช”
ยงยุทธประครองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ระหว่างนั้นแสงไฟจากรถคันหนึ่งขับผ่านเข้ามา ก่อนจะมาจอดใกล้ๆ อาจารย์ประทีปที่ขับรถจี๊ปผ่านมารีบลงจากรถมาดูด้วยความสงสัย
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยคุณ”

รถจี๊ปของอาจารย์ประทีปแล่นมาจอดที่หน้าศาลาวัด ยงยุทธประครองขุนเดชลงมาพากลับที่พัก
“แน่ใจเหรอว่าจะไม่พาเพื่อนไปหาหมอสักหน่อย” อาจารย์ประทีปถาม
“ไม่เป็นไรหรอกครับเพื่อนผมมันเป็นแบบนี้ประจำเดี๋ยวก็หาย ขอบคุณมากนะครับ” ขุนเดชแรงไม่ค่อยมียงยุทธต้องประครองขึ้นมา “ถึงวัดแล้ว แข็งใจหน่อยนะเว้ยไอ้ขุนเดช”
ขุนเดชพยักหน้ารับอย่างอ่อนแรงก่อนจะให้ยงยุทธช่วยพาเข้าไป อาจารย์ประทีปได้ยินชื่อที่ยงยุทธเรียกขุนเดชแล้วรู้สึกสะดุดคุ้นหู แต่หันมาอีกทีไม่เจอสองหนุ่มนั่นแล้ว และได้เห็นพระสงฆ์ท่าทางน่าเลื่อมใสองค์หนึ่งยืนมองมาจากบนศาลาแทน อาจารย์ประทีปยกมือไหว้ หลวงพ่อสุขพยักหน้ารับไหว้ก่อนจะเดินกลับเข้าไป อาจารย์ประทีปมีความรู้สึกเหมือนเคยพบเคยเจอพระองค์นี้ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก

วันต่อมาลูกน้องประดับ 5-6 คนพร้อมอาวุธปืน ขับรถเข้ามาจอดถึงหน้าโบสถ์ หลวงพ่อสุขก้าวออกมาจากโบสถ์ด้วยท่าทีสงบ
“หยุดอยู่แค่นั้นเถอะโยม อาตมาขอ ที่นี่เป็นเขตวัด คงไม่เหมาะถ้าโยมจะนำอาวุธเข้ามา”
ประดับก้าวออกมายืนหน้าพวกลูกน้องที่แขนของประดับต้องเข้าเฝือก หน้าตายังมีรอยฟกช้ำ ใบหน้ากวนๆ
“ผมก็อยากทำตามคำขอของหลวงพ่อ แต่ในเมื่อที่นี่เลี้ยงอันธพาลเอาไว้ ผมคงเลี่ยง ไม่ได้ที่จะต้องให้คนของผมนำอาวุธเข้าไปจับกุมพวกมัน”
ประดับหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องที่มาด้วยบุกเข้าไปในวัด
“ค้นให้ทุกตารางนิ้ว หาพวกมันให้เจอ”
พวกลูกน้องพากันยกกำลังกระจายออกไปตรวจค้นโดยไม่มีการขออนุญาตจากหลวงพ่อสุข
“จะไม่อธิบายให้อาตมาฟังสักหน่อยเลยเหรอโยมว่าเกิดอะไรขึ้น”
ประดับก้าวเข้ามามองหน้าหลวงพ่อสุขด้วยสีหน้าไม่เกรงใจผ้าเหลือง
“หลวงพ่อเห็นนี่มั้ย...” ประดับชี้เฝือกที่แขน “ที่ผมต้องเป็นแบบนี้เพราะฝีมือลูกศิษย์อันธพาลของ หลวงพ่อ เพราะฉะนั้นอย่าว่าผมไม่เกรงใจพระเลย ไว้ยกมือไหว้ได้เมื่อไหร่ ผมจะกลับ มาไหว้ขอขมาทีหลัง”
ประดับเดินผ่านหลวงพ่อสุขไปอย่างหยิ่งยโส กร่างได้แม้แต่กับพระสงฆ์องคเจ้า

อ่านต่อหน้าที่ 3





ขุนเดช ตอนที่ 1 (ต่อ)

ขณะนั้นยงยุทธกำลังเร่งรีบเก็บข้าวของส่วนตัวใส่กระเป๋าเตรียมหนี ยงยุทธหันไปเร่งขุนเดชที่หยุดนิ่งคิดบางอย่าง
“เร็วเข้าสิวะขุนเดช...พวกมันมากันแล้วนะเว้ย”
ขุนเดชตัดสินใจ
“ยงยุทธ...อีกไม่กี่ปีแกก็จะได้เป็นตำรวจ ไม่สมควรที่แกจะเอาอนาคตมาทิ้งแบบนี้ ชั้นจะรับผิดชอบเอง”
ขุนเดชจะเดินออกไปแต่ยงยุทธรีบเข้ามาขวางแล้วผลักอกเพื่อน
“แล้วไอ้อนาคตนักวิชาการโบราณคดีของแกล่ะ หน้าที่ปกป้องหลักฐานของมนุษยชาติ ปกป้องรากเหง้าของประเทศนี้ล่ะ แกจะทิ้งมันไปเหมือนกันเหรอ”
ขุนเดชนิ่งไปครู่
“แต่ชั้นเป็นคนเล่นงานมัน ชั้นก็ควรจะต้องกลับไปรับผิดชอบ”
ยงยุทธกระชากคอเสื้อขุนเดชมาจ้องหน้า
“นั่นไม่ใช่แก ตอนนั้นแกบ้าเลือดจนลืมตัวต่างหาก ขนาดชั้นเรียกเท่าไหร่แกก็ไม่รู้ตัว ชั้นจะไม่ปล่อยให้แกกลับไปเจอหน้ามันอีก”
ขุนเดชกับยงยุทธมองหน้ากันอย่างลูกผู้ชาย

พวกลูกน้องประดับเข้าตรวจค้นทั่วบริเวณวัด บุกขึ้นศาลาเข้าไปรื้อค้นกระจุยกระจาย บุกเข้าไปในโบสถ์ ตามหาแม้กระทั่งหลังองค์พระประธาน จนพวกพระ เณร เด็กวัดพากันตกใจกลัว

ขุนเดชมองหน้ายงยุทธแล้วตัดสินใจ
“ยงยุทธ...ชั้นดีใจที่หลวงพ่อพาชั้นมาเลี้ยงและให้ชั้นได้รู้จักแก แกเป็นเพื่อนตายของชั้น เพราะฉะนั้น ชั้นจะไม่ยอมให้แกต้องเดือดร้อนเด็ดขาด”
ขุนเดชผลักยงยุทธแล้วจะออกไป ยงยุทธไม่ต้องการให้ขุนเดชเสียสละแบบนี้เลยหันไปคว้าแจกันทองเหลืองมาฟาดใส่ที่ท้ายทอยขุนเดชทันที...พลัก !! ขุนเดชทรุดฮวบหมดสติ
“แต่ถ้าดาราต้องเสียใจเพราะจะไม่ได้เจอแกอีก ชั้นก็ต้องเดือดร้อนเหมือนกัน”

พวกลูกน้องประดับบุกเข้ามาที่หน้าประตูกุฎิที่พักของสองหนุ่ม ทุกคนกระชับปืนพร้อมถ้ามีการตอบโต้ หนึ่งในกลุ่มลูกน้องก้าว ออกมาแล้วถีบประตูเข้าไปอย่างแรง พวกลูกน้องประดับกรูกันเข้ามาในห้องแล้วส่ายปืนหาตัวขุนเดชกับยงยุทธ แต่พบว่าทั้งห้องว่างเปล่า ประดับตามเข้ามา
“ยังไม่เจอพวกมันอีกเหรอ”
“ค้นทั่ววัดแล้วไม่เจอเลยครับ พวกมันคงหนีไปแล้ว”
ลูกน้องรายงาน ประดับหันมาด้วยสีหน้าเจ็บใจโกรธแค้นมาก
“ไอ้ขุนเดช ไอ้ยงยุทธ...กูนี่แหละจะเป็นพรานล่าเนื้อพวกมึง”
ประดับหันไปเอามือข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกกวาดข้าวของบนโต๊ะระเบิดอารมณ์โกรธแค้น

ยงยุทธประครองขุนเดชที่หมดสติพาออกมาวางที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างบึงบัว เหนื่อยหอบแทบหมดแรงระหว่างนั้นเสียงเท้าคนเดินเข้ามายงยุทธหันขวับพร้อมจะสู้ แต่พบว่าเป็นหลวงพ่อสุข
“หลวงพ่อ” หลวงพ่อสุขยืนสงบนิ่ง ยงยุทธรีบคุกเข่าพนมมือกราบทันที “หลวงพ่อ...ผมกราบขอโทษที่ทำให้หลวงพ่อต้องเดือดร้อน”
“แล้วก่อนทำ ทำไมไม่รู้จักคิด”
ยงยุทธหน้าสลด
“ผมยอมรับครับว่าผมผิด แต่พวกมันไม่ใช่คนดี มันใช้อิทธิพลกลั่นแกล้งคนบริสุทธิ์ แม้แต่กฏหมายก็ไปแตะต้องมันไม่ได้ ผมถึงจำเป็นต้องใช้ศาลเตี้ยกับมัน”
“ถ้าเอ็งคิดว่ากฏหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะอยากเป็นตำรวจทำไม”
ยงยุทธนิ่งไป
“ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อกระบวนการยุติธรรม แต่ผมเป็นห่วงเพื่อน เป็นห่วงดารา เมื่อไหร่ที่ผมเห็นว่าพวกเขาปลอดภัยดี ผมจะยอมรับความผิดนี้ด้วยตัวเอง”
หลวงพ่อมองยงยุทธแล้วมองไปที่ขุนเดชซึ่งยังนอนหมดสติ
“เอ็งสองคนมีชะตาที่ต้องร่วมเวรร่วมกรรมกันอีก จำคำข้าไว้ให้ดี ไม่มีใครลิขิตชีวิต ได้นอกจากตัวเอง เมื่อเลือกเดินทางไหนแล้ว พวกเอ็งต้องรับผิดชอบในสิ่งเลือก”
ยงยุทธเข้าไปก้มกราบหลวงพ่อสุขแทบเท้า หลวงพ่อสุขมองลูกศิษย์ทั้งสองก่อนจะหันหลังเดินจากไป

ดาราเดินไปเดินมารอขุนเดชกับยงยุทธอยู่หน้าโรงหล่อพระ
“สายป่านนี้แล้ว ทำไมยังไม่มากันอีก”
ดาราเริ่มบ่น ระหว่างนั้นเถินกลับจากเอาพระไปส่งวัดกลับมาพอดี
“อ้าว ทำไมยังอยู่นี่อีกล่ะ พ่อก็นึกว่าจะไปอยุธยาถ่ายรูปโบราณสถานกันแล้วซะอีก”
ดาราหน้างอ
“ก็ขุนเดชกับนายยงยุทธน่ะสิ ป่านนี้ยังไม่โผล่มาเลย ไม่รู้ลืมรึเปล่าไ
“ไม่น่าจะลืมนะ อาจจะติดธุระอยู่ที่วัดก็ได้ ลองไปตามสิ”
“ทำไมดาราต้องไปตามเขาด้วยล่ะพ่อ เขาบอกจะมารับดาราก็ต้องมาให้ตรงเวลาสิ คอยดูนะถ้าอีก 5 นาทียังไม่โผล่มาล่ะก็ ดาราไปเองคนเดียวก็ได้”
ดาราไปนั่งลงอย่างงอนๆ เริ่มโกรธ เถินขำที่ลูกสาวงอน ระหว่างนั้นเด็กวัดคนหนึ่งขี่จักรยานเข้ามาหน้าตาตื่นตกใจ
“พี่ดารา...พี่ดารา แย่แล้วพี่ พี่ขุนเดชกับพี่ยงยุทธแย่แล้ว”
“เหมือนเดิมอีกแล้วใช่มั้ย คราวนี้พี่ไม่ยุ่งแล้ว จะตีกันให้ตายพี่ก็จะไม่ยุ่งอีก”
“เปล่าพี่...พี่ขุนเดชกับพี่ยงยุทธไม่ได้ลองฝีมือกันเอง คราวนี้แย่หนักจริงๆ”
ดารากับเถินมองเด็กวัดแล้วสงสัย

อีกด้านหนึ่งขณะนั้นอาจารย์ประทีปกำลังนั่งพิมพ์ดีดบทความอยู่ในห้องทำงาน ผู้ช่วยของอาจารย์หอบตำราและเอกสารเกี่ยวกับโบราณคดีเข้ามาให้
“อาจารย์ครับ...อาจารย์เห็นข่าวหนังสือพิมพ์วันนี้รึยังครับ”
“เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด เร็วๆ นี้อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่บ้านเมืองไม่สงบได้” อาจารย์ประทีปรู้สึกเครียดถือไปป์เดินมองนอกหน้าต่าง “อำนาจอยู่ในมือใคร คนนั้นก็คือผู้ชนะ ทั้งๆ ที่มีตัวอย่างให้เห็นกันมาในอดีตเยอะแยะ ว่าการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ล้วนแต่ทำให้เกิดซากปรักหักพังทั้งทางวัตถุและจิตใจ แต่ก็ ไม่มีใครคิดจะเอาอดีตมาเป็นบทเรียนเลย”
อาจารย์ประทีปถอนใจ เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะดัง อาจารย์ประทีปเดินไปรับสาย
“...ไม่เจอเหรอ ขอบใจมาก ยังไงก็ฝากช่วยตามหาต่อด้วยนะ”
อาจารย์ประทีปวางสาย ผู้ช่วยเข้ามาถาม
“ยังไม่มีวี่แววของเศียรพระศิลาที่อาจารย์ตามหาเลยเหรอครับ”
อาจารย์ประทีปถอนใจอย่างหนักอก นึกไปถึงอดีต

ภายในถ้ำศิลาเศียรพระศิลาถูกตัดจนเหลือแค่พระศอ ส่วนศพของนายเดื่องมีผ้าคลุมนอนตายอยู่ใกล้ๆ อาจารย์ประทีปรวมทั้งทีมงานโบราณคดีและชาวบ้านต่างพากันยืนสลดเสียใจ
จ่าแท่นยืนมองศพของนายเดื่อง มือกำหมัดแน่นขบกรามด้วยความเจ็บแค้น
“ไอ้สารเลว ชาติชั่ว...กูจะตามไปลากคอพวกมึงให้มากราบขมาศพพี่เดื่องให้ได้”
จ่าแท่นจะหุนหันออกไปแต่อาจารย์ประทีปรีบรั้งตัวไว้
“ใจเย็นๆ ก่อนจ่า เรายังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร”
“จะเป็นฝีมือใครได้อีกล่ะครับอาจารย์ ทั้งฆ่าพี่เดื่อง ทั้งตัดเศียรพระศิลาไปแบบนี้ ฝีมือ ไอ้พวกโจรลักลอบขุดกรุแน่”
ระหว่างนั้นเสียงของคำปันดังเข้ามาแต่ไกล ทุกคนหันไปเห็นคำปันร้องไห้วิ่งแหวกกลุ่มชาวบ้านเข้ามา
“พี่เดื่อง...พี่เดื่อง...” คำปันเห็นศพถูกคลุมผ้า “ไม่จริง…ชั้นไม่เชื่อ”
คำปันจะเข้าไปที่ศพแต่โดนจ่าแท่นดึงเอาไว้
“อย่าคำปัน”
“ปล่อยชั้นนะพี่แท่น…ชั้นจะไปหาพี่เดื่อง”
“แต่พี่ไม่อยากให้เอ็งเห็นสภาพศพพี่เดื่อง”
“ทำไม…ทำไมล่ะพี่”
“ชื่อพี่เถอะคำปัน”
“ไม่!”
คำปันแกะมือจ่าแท่นแล้ววิ่งไปที่ร่างของนายเดื่องเปิดผ้าคลุมศพออก คำปันตกใจหน้าเสียเมื่อพบว่าศพของ นายเดื่องถูกฆ่าตัดคอ ส่วนหัวถูกนำมาวางอยู่ข้างตัว
“พี่เดื่อง!”

ศพของนายเดื่องถูกชาวบ้านช่วยกันยกวางบนแคร่แล้วใส่ขึ้นรถพาออกไป คำปันร้องห่มร้องไห้เสียใจโดยมีจ่า แท่นยืนโอบกอดปลอบใจเอาไว้
“พี่เดื่อง...ฮือๆๆๆ”
“ไม่ต้องห่วงนะคำปัน นายเดื่องเสียสละชีวิตตัวเองในหน้าที่ความรับผิดชอบของชั้น ชั้นจะจัดการงานศพให้อย่างดี ส่วนขุนเดชชั้นจะรับเลี้ยงเขาจะส่งให้เรียนสูงๆ วิญญาณของนายเดื่องจะได้ไม่ต้องมีห่วง” อาจารย์ประทีปบอก
“ตอนนี้เอ็งกลับบ้านไปดูแลขุนเดชเถอะ อย่าเพิ่งบอกเรื่องพี่เดื่องให้รู้ ไว้พี่กับอาจารย์ ประทีปจะเป็นคนบอกเอง”
“ขุนเดชไม่ได้อยู่กับอาจารย์เหรอคะ” คำปันถามอย่างตกใจ
“เปล่านี่”
“งั้นขุนเดชอยู่ไหน เมื่อวานขุนเดชบอกว่าจะมาช่วยพ่อเฝ้าพระศิลา”
อาจารย์ประทีปกับจ่าแท่นถึงกับตกใจหันมามองหน้ากัน

อาจารย์ประทีปถอนใจกับเรื่องราวในอดีต
“สิบปีแล้วที่ผมต้องเสียคนดีมีฝีมือ คนที่มีอุดมการณ์อย่างนายเดื่อง ส่วนขุนเดชลูกชาย ของเขาก็หายสาบสูญไม่มีใครได้พบตัวอีกเลย” อาจารย์ประทีปพูดถึงชื่อขุนเดชขึ้นมาแล้วก็พาลนึกขึ้นได้ “ขุนเดช”

ดาราขี่จักรยานเข้ามาตามหาร้องตะโกนเรียกขุนเดชกับยงยุทธแถวบึงบัว
“ขุนเดช...ยงยุทธ...พวกนายอยู่ที่ไหน ทำไมถึงได้ทำเรื่องโง่ๆแบบนี้...ขุนเดช ยงยุทธ”
ดาราพยายามร้องเรียกแต่ไม่มีวี่แววของทั้งคู่ ดาราหันมาครุ่นคิดว่าจะมีที่ไหนที่ขุนเดชกับยงยุทธหนีไปได้อีก

ดาราเข้ามาในห้องเก็บของของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งซึ่งภายในห้องเก็บของรกไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ และเต็มไปด้วยฝุ่น ครู่หนึ่งมีมือยื่นเข้ามาปิดปากดาราเอาไว้ ดาราตกใจพยายามดิ้นจนหลุดแล้วรีบคว้าไม้กวาดมาตีไม่ยั้ง
“หยุดได้แล้วดารา นี่ผมเอง! โอ้ย...อู้ยยย...กลางกบาลเลย”
ดาราชะงัก
“นายยงยุทธ”
“ดารา…คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเรามาหลบอยู่ที่นี่”
ขุนเดชปรากฎตัวถามอย่างแปลกใจ

ยงยุทธแง้มหน้าต่างห้องเก็บของดูว่ามีใครเห็นพวกเขาบ้างรึเปล่า ส่วนขุนเดชกับดารานั่งอยู่ใกล้ๆ
“ชั้นจำได้ว่าตอนเรียน เวลาพวกนายไปมีเรื่องแล้วโดนอาจารย์ไล่จับทีไร ต้องมาหลบกันอยู่ที่นี่ก็เลยลองมาดู”
“รู้จักพวกเราดีแบบนี้นี่เอง มิน่าตอนนั้นเราถึงโดนอาจารย์ตามเจอ ต้องตัดหญ้าสนามฟุตบอลอยู่เป็นเดือน”
“นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกนะยงยุทธ รู้มั้ยว่าที่พวกนายทำลงไปมันกลายเป็นเรื่องใหญ่มากขนาดไหน”
“ไม่ใช่ความผิดของไอ้ยงยุทธมันหรอกดารา ผมเองที่เล่นงานไอ้ประดับ ทั้งๆ ที่มันพยายาม ห้ามแล้วแต่ผมก็ไม่ฟัง”
“ไม่ใช่นะดารา ผมต่างหากที่ไปมีเรื่องกับมันก่อนแล้วไปลากให้ขุนเดชมาซวยด้วย”
“หยุด! ไม่ต้องมาแย่งกันรับผิดชอบ ผิดด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละถึงวันนี้พวกนายจะหนีรอด แต่สักวันพวกมันก็ต้องตามเจอ” ยงยุทธกับขุนเดชนิ่งไป ดาราเข้าไปแตะมือขุนเดช “ถึงพวกมันจะมีอิทธพล แต่คนดีอย่างพวกนายพระต้องคุ้มครอง และชั้นก็สัญญาว่าจะหาทางช่วยพวกนายให้ได้”
ขุนเดชกับยงยุทธหันมามองหน้ากัน

เย็นวันนั้นขณะที่อาทิตย์กำลังตกดิน ท้องฟ้าแดงฉาน
ตรงหน้าของเถินคือหีบเหล็กเก่าๆ ที่มีฝุ่นจับหนาและมีกุญแจล็อกอย่างแน่นหนา เถินไขกุญแจแล้วเปิดหีบออก เถินเพ่งมองของบางอย่างที่เก็บรักษาเอาไว้อย่างดีด้วยแววตาหนักแน่นขึงขัง เมื่อหยิบขึ้นมามันคือดาบดำ แบบเดียวกับที่นายเดื่องพ่อของขุนเดชมี

เถินนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เถินถือดาบยืนจังก้าอยู่ตรงกลางระหว่างขุนเดชกับยงยุทธ ท่ามกลางแสงไฟจากคบไฟที่จุดเรียงรายขับเน้นให้บรรยากาศดูจริงจัง
“แน่ใจนะลุงว่าจะรับมือพวกเราสองคนพร้อมๆ กัน” ยงยุทธถาม
“ข้าสอนพวกเอ็งจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ถ้าพวกเอ็งยังเอาชนะข้าไม่ได้ ก็ถือว่าข้ามันบุญน้อยที่ดันเลือกสอนลูกศิษย์ไม่เอาถ่าน”
ขุนเดชยกมือไหว้
“งั้นผมต้องขอโทษลุงด้วย...ที่ผมต้องเอาจริง”
ขุนเดชควงดาบปรี่เข้าไปฟาดฟันต่อสู้กับเถินที่ใช้วิชาเชิงดาบระดับอาจารย์ตอบโต้ขุนเดชได้หมด แถมยังเล่น งานกลับจนขุนเดชกระเด็น ยงยุทธเห็นเพื่อนโดนเล่นงานก็ตามเข้าไปสู้ด้วย ทั้งขุนเดชและยงยุทธรุมฟาดฟันใส่เถินไม่ยั้งมือ เถินโชว์ความเก๋ารับดาบยงยุทธแล้วศอกกลับหลังเข้าหน้า แถมยังตวัดดาบทีเดียวดาบยงยุทธก็หลุดจากมือไปปักพื้น
“เสร็จไปหนึ่ง...ว่าไงไอ้ขุนเดช”
ขุนเดชหนักใจกำดาบแน่น
“อย่ายอมนะเว้ยขุนเดช วันนี้ศิษย์ล้างครูไม่บาปเว้ย”
“ไอ้ยงยุทธ...ไอ้ปากเสีย”
เถินหันมาด่ายงยุทธ ขุนเดชเลยได้โอกาสร้องเสียงดังควงดาบปรี่เข้าใส่เถินตกใจเกือบเสียหลักแต่ก็ใช้ดาบรับการฟาดฟันของขุนเดชได้ สองคนผลัดกันรุกผลัดกันรับไปมา ขุนเดชก็กระโจนลอยตัวแล้วฟาดดาบลงไปอย่างแรง เถินยกดาบขึ้นรับ
“เฮ้ย!”
ยงยุทธตกใจหน้าเสียที่เห็นขุนเดชกับเถินพากันยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ขุนเดชลดดาบลงถึงได้เห็นว่าดาบในมือ หักครึ่งเพราะแรงฟาดฟันอย่างแรง
“เก่งมากไอ้ขุนเดช นี่ถ้าดาบเอ็งไม่เปราะหักซะก่อน หัวข้าได้แบะเป็นลูกแตงโมผ่าซีกแน่”
“ผมขอโทษด้วยครับลุง”
“ไม่ต้อง แบบนี้น่ะดีแล้ว เมื่อข้าตายข้าจะได้ภูมิใจที่วิชาเชิงดาบของข้าไม่ตายไปพร้อมกับข้าด้วย”
ระหว่างนั้นเสียงดาราดังเข้ามา
“พ่อ...พ่อ”
“เวรแล้วไง แม่ข้ากลับมาแล้ว นี่ถ้ารู้ว่าข้าสอนตีรันฟันแทงให้พวกเอ็ง มีหวังบ่นจนหูชาแน่ ไอ้ยงยุทธไปรับหน้าดาราให้ข้าที”
“ได้เลยครับอาจารย์”
ยงยุทธรีบเดินออกไป ขุนเดชมองดาบที่ฟันจนหักแล้วเสียดาย
“ดาบของครูหักแบบนี้คงใช้การไม่ได้อีกแล้ว ไว้ผมจะตีเล่มใหม่ให้นะครับ”
“เฮ้ย...ไม่ต้องหรอก ดาบนั่นมันไม่เหมาะกับเอ็ง...ตามข้ามา ข้าจะให้ดูอะไร”

เถินหยิบดาบดำออกมาจากหีบแล้วค่อยๆ ชักดาบดำออกมาจากฝักเผยให้เห็นความงามและความน่าเกรงขามของดาบดำซึ่งแตกต่างจากดาบอื่นๆ ตรงที่เนื้อเหล็กเป็นสีดำสนิท แต่คมดาบกลับมีสีเงินแววประกายวับ
“ดาบที่เอ็งเห็นอยู่นี่เรียกว่าดาบดำ ข้าได้มาจากปู่ของข้าตอนที่ข้ายังเป็นนักเลงดาบ” เถินถือดาบดำเดินไปที่เสาไม้แล้วตวัดทีเดียว เสาไม้ขาดครึ่งเพราะคมดาบที่คมกริบ ขุนเดชอดทึ่งไม่ได้ “ปู่ของข้าเป็นคนสุโขทัย เคยเล่าให้ข้าฟังว่าถึงตำนานของดาบดำว่าเป็นดาบที่ตีขึ้นโดยช่างตีดาบกลุ่มหนึ่ง ในสมัยที่เมืองสุโขทัยกำลังเผชิญกับการแย่งชิงอำนาจ บ้านเมือง ถูกละเลย ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาสู้รบกับพวกโจรที่เหิมเกริมไม่เกรงกลัวกฏหมาย ลำพัง แค่จอบเสียมยังไงก็สู้กับพวกโจรไม่ได้ มีแต่ดาบดำนี่แหละที่ใช้ฟาดฟันต่อสู้ ปกป้อง พ่อแม่พี่น้องและบ้านเรือนไม่ให้พวกโจรมันมาปล้น เผา ทำลาย วิชาตีดาบดำก็เลย สืบทอดกันมาในกลุ่มลูกหลานช่างตีดาบกลุ่มนั้นที่เรียกตัวเองว่า...ทหารของพระร่วง” สายตาของขุนเดชจับจ้องที่ดาบดำในมือของเถินด้วยความสนใจ “เอ็งกำลังสงสัยว่าตำนานเรื่องดาบดำที่ข้าเล่าให้ฟัง ไม่เคยผ่านหูผ่านตาในวิชาเรียน ของเอ็งเลยใช่มั้ย”
“ครับลุง”
“การที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้พูดถึง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี สิ่งที่เอ็งเห็นอยู่ตรงหน้านี่ ต่างหาก ที่จะทำให้เอ็งเชื่อ...หรือไม่เชื่อ” ขุนเดชนิ่งไปเพ่งมองดาบดำแล้วเริ่มรู้สึกแปลกๆ “เอ็งอยากลองจับดูมั้ย...ขุนเดช”
เถินยื่นดาบให้ขุนเดชค่อยๆ เอามือแตะเบาๆ แต่พอมือสัมผัสโดนดาบดำ ขุนเดชก็มีอาการปวดหัวจี๊ดขึ้นมา
“ขุนเดช”

เถินมองดาบดำในมือ
“ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย ประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยเปลี่ยน บ้านเมืองไร้การเหลียวแล แผ่นดิน เป็นของโจร”
เถินกำดาบดำแน่นก่อนที่เสียงลูกน้องจะเรียกเข้ามา
“ลูกพี่...แย่แล้ว พวกทหารบุกเข้ามาเต็มเลย”
เถินหันไปมองสีหน้าสงสัย

เถินรีบตามออกมาพบลูกน้องประดับกำลังรื้อค้นโรงหล่อพระกระจุยกระจาย ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม
“ทำอะไรกันน่ะ หยุดนะ”
เถินรีบเข้าไปห้ามลูกน้องประดับคนหนึ่งที่กำลังไปทุบปูนที่หุ้มองค์พระ
“บอกให้หยุด ไม่ได้ยินเหรอไง”
เถินกำลังจะกระชากมันออกมาแต่เจออีกสองคนกรูเข้ามาล็อกแขนเถินเอาไว้ แล้วให้อีกคนเอาพานท้ายปืนกระแทกเข้าท้องจนเถินจุก พวกลูกน้องเถิงตกใจจะเข้าไปช่วยแต่พวกมันก็ยกปืนขึ้นเล็ง ทุกคนพากันอึ้ง
“อย่า...นี่...นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ประดับก้าวเข้ามาหน้าตากวนประสาทเอามากๆ
“พวกเราสงสัยว่าคุณลุงจะให้ที่ซ่อนตัวกับพวกอันธพาลที่เรากำลังตามหาตัวอยู่”
“แหกตาดูซะมั่ง ที่นี่มีแต่พระพุทธรูปที่พวกแกกำลังย่ำยี ไม่มีคนที่พวกแกตามหา”
“อย่ามาโกหกกันดีกว่าน่าลุง ชั้นสืบมาหมดแล้วว่าไอ้สองคนนั่นมันชอบมาป้วนเปี้ยน อยู่กับดาราที่นี่”
“ถ้าแกไม่เชื่อ ก็ค้นดูได้ แต่ห้ามยุ่งกับพระพุทธรูป”
“ค้นให้ทั่ว สงสัยตรงไหน ไม่ต้องสนใจ เอาตัวไอ้สองตัวนั่นมาให้ได้”
ประดับหันไปสั่งลูกน้อง เถินอึ้งขบกรามแน่นจะลุกไปเอาเรื่องพวกลูกน้องประดับกรูเข้ามาแล้วใช้พานท้ายกระแทกหน้าเถิน...พลัก จนเถินหงายหลังหมดสติ

คืนนั้นดาราพาขุนเดชกับยงยุทธเข้ามาที่โรงหล่อพระ
“ก่อนจะพาพวกนายไปมอบตัว ชั้นจะลองปรึกษากับพ่อก่อน เผื่อจะมีใครที่พ่อพอรู้จัก ช่วยพวกนายได้บ้าง”
ดาราก้าวเข้ามาได้ไม่ทันไรก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าสภาพโรงหล่อถูกรื้อค้นจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ พระพุทธรูป หลายองค์ถูกทำลาย ส่วนลูกน้องของนายเถินก็ถูกซ้อมนอนเจ็บอยู่หลายคน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้”
ดาราถามอย่างตกใจ
“คุณ...คุณดารา พวก...พวกไอ้ประดับมัน...มันบุกมาที่นี่” ลูกน้องคนหนึ่งบอก
“แล้วพ่อชั้นล่ะ”
“ลูก...ลูกพี่...โดนมันจับตัวไป”
“ทำไมมันถึงจับตัวลุงเถินไป”
“มัน...มันยัดข้อหากบฏเป็นภัยต่อความมั่นคงให้ลูกพี่”
“พ่อ”
ดารารีบวิ่งออกไปทันที ยงยุทธเป็นห่วงรีบตามไปด้วย
“ดารา”
ขุนเดชยืนกำหมัด ขบกรามแน่น แล้วหันไปมององค์พระดินเหนียวที่ถูกทำลายจนเหลือแต่พระศอ
“ไอ้ประดับ”

ยงยุทธวิ่งตามดาราออกมาแล้วรีบเข้าไปคว้าตัวเอาไว้
“อย่านะดารา คุณไปไม่ได้”
“ปล่อยชั้นนะยงยุทธ พ่อชั้นไม่ผิด ชั้นต้องไปพาพ่อกลับมา”
“พวกมันใช้หลักฐานเท็จกล่าวลุงเถินไปแล้ว คุณไปพูดยังไงมันก็ไม่ปล่อยออกมาหรอก”
“งั้นชั้นจะไปคุยกับนายประดับเอง”
ดาราผลักยงยุทธแล้วจะไป ยงยุทธรีบดึงแขนดาราแล้วเอาเธอมาโอบกอดไว้แน่น
“ผมปล่อยคุณไปหามันไม่ได้ เพราะถ้าคุณไป…คุณจะไม่ได้กลับมาอีกเลย”
“ยงยุทธ”
ขุนเดชก้าวเข้ามายืนมองยงยุทธที่กอดดาราเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น
“ที่ไอ้ประดับมันตามทำลายชีวิตผม ไอ้ขุนเดชและลุงเถินก็เพราะมันต้องการบีบให้คุณ เดินไปติดหลุมพรางของมัน แต่ผมจะไม่มีวันยอมให้มันพรากเอาคนที่ผมรักไปเด็ดขาด”
“ยงยุทธ…นี่นาย”
“ผมรู้ว่าผมไม่เคยอยู่ในสายตาคุณเหมือนอย่างเวลาที่คุณมองขุนเดช แต่ผมก็ดีใจที่อย่างน้อยก็ยังเป็นไอ้ขุนเดช เพื่อนรักคนเดียวของผม” ยงยุทธยกมือขึ้นปัดไรผมของดาราแล้วลูบแก้มเธอเบาๆ “คุณอยู่ที่นี่เถอะนะ ผมจะไปจบปัญหากับไอ้ประดับแล้วช่วยลุงเถินกลับมาให้เอง”
ดาราส่ายหน้า
“ไม่นะยงยุทธ…ถ้านายทำอย่างนั้นก็เท่ากับนายจงใจเดินไปตาย”
“ถ้าผมกลัวตายผมไม่เลือกอนาคตเป็นตำรวจหรอกดารา ไม่ต้องห้ามผมนะ ขอให้ผมได้ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ปกป้องคนที่ผมรักกับเพื่อนรักของผม”
ยงยุทธสบตาดารา ขุนเดชที่เฝ้ามองทั้งคู่อยู่ห่างค่อยๆ หันหลังให้แล้วเดินกลับเข้าไปในโรงหล่อพระ

ขุนเดชเดินเข้ามาหยุดที่หน้าหีบเก็บดาบดำของลุงเถิน ขุนเดชพังกุญแจล็อกด้วยชะแลงก่อนจะเปิดหีบออก แล้วหยิบเอาดาบดำที่อยู่ในฝักขึ้นมามอง แววตาของขุนเดชกร้าวแข็งน่ากลัว
ดาบดำค่อยๆ ถูกชักออกจากฝัก อาการเจ็บปวดจนจี๊ดขึ้นสมองของคุณเดชกำเริบ...ภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ขุนเดชคลุ้มคลั่งใช้ดาบดำฟาดฟันไปทั่วหวนกลับมา ขุนเดชเดินตาลอยมองดาบดำในมือแล้วแสดงอาการตื่นตระหนกตกใจ ร้องครวญครางเหมือนสัตว์ป่าที่กำลัง บ้าคลุ้มคลั่ง เที่ยวฟาดฟันทุกอย่างรอบตัว
“นี่แน๊ะ...ตาย...ตายให้หมด...ตาย...ตาย ข้าจะฆ่าให้ตายให้หมด”
ขุนเดชเงยหน้าขึ้น แววตาเปลี่ยนไปเป็นแววตาของเพชฌฆาต ดุดันน่ากลัวโดยที่ขุนเดชไม่รู้สึกตัว

หลวงพ่อสุขนั่งสมาธิกรรมฐานอยู่ในกุฏิ แล้วหลวงพ่อสุขก็นิมิตเห็นบางอย่าง ภาพนิมิตของหลวงพ่อสุขที่ได้มาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลา ณ ปัจจุบัน ภาพรถไฟฟ้าวิ่งขวักไขว่ / ภาพผู้คนในยุคนี้เบียดเสียดแย่งกันเดินบนถนน / ภาพรถติดบนถนนรถชนกันทะเลาะชกต่อยกัน / ภาพการซื้อขายเศียรพระในตลาดนัดให้นักท่องเที่ยว / ภาพพระพุทธรูปถูกชาวบ้านเอาแป้งเข้าไปขัดถูดูหวย / ภาพพระพุทธรูปที่ชาวบ้านกราบไหว้ต้องอยู่ ในกรงกั้นคอกไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปกราบไหว้ใกล้ๆ

หลวงพ่อสุขลืมตาขึ้นจากการที่ได้เห็นนิมิตเหล่านั้น ใบหน้าของหลวงพ่อสุขสลดลงและอาการวัณโรคของหลวงพ่อสุขก็กำเริบไอไม่หยุดจนกระอักเลือดออกมา หลวงพ่อสุขต้องเอาผ้ามาซับเลือดและรู้ตัวว่าได้เวลาต้อง นับถอยหลังแล้วระหว่างนั้นพระลูกวัดเข้ามา
“หลวงพ่อครับ…มีโยมต้องการมาขอพบหลวงพ่อ”
“เข้ามาเถอะโยมประทีป อาตมารอโยมอยู่นานแล้ว”
อาจารย์ประทีปก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าแปลกใจสงสัยที่หลวงพ่อสุขบอกว่ารอเขาอยู่นานแล้ว

ยงยุทธพาดารากลับเข้ามาในโรงหล่อพระ ลูกน้องเถินได้รับการปฐมพยาบาลขั้นต้นจากขุนเดชไปแล้ว
“ขุนเดชล่ะ” ยงยุทธถามหาขุนเดช
“เพิ่งจะเอารถของลูกพี่ขับออกไปเมื่อกี้เอง”
“ไอ้ขุนเดช…ไอ้เวรเอ้ย”
ยงยุทธรู้ว่าขุนเดชกำลังไปทำอะไรหันรีหันขวางไปเห็นมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ ยงยุทธรีบโดดขึ้นคร่อมเบาะสตาร์ทเครื่อง บิดคันเร่ง ล้อฟรีพุ่งออกไปทันที
“ยงยุทธ”

ที่วัดอาจารย์ประทีปกราบหลวงพ่อสุข
“หลวงพ่อบอกว่ากำลังรอผมอยู่ หลวงพ่อรู้ได้ยังไงครับว่าผมจะมาพบหลวงพ่อ” อาจารย์ประทีปถามอย่างแปลกใจ
“อาตมารู้เพราะโยมคิดว่ากำลังเจอสิ่งที่ตามหามาตลอด เพียงแต่โยมไม่แน่ใจเลยต้องการให้อาตมายืนยัน”
“ครับ…ถ้าผมจำไม่ผิดหลวงพ่อคือพระธุดงค์ที่ผมเคยเจอบนเขาหลวงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว”
“ใช่แล้วโยม”
“ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อก็จำนายเดื่องกับลูกชายเขาได้”
“ขุนเดช”
“ครับ...ขุนเดชลูกชายนายเดื่องที่หายสาบสูญไปหลังจากที่นายเดื่องถูกโจรลักขุดกรุฆ่า”
หลวงพ่อสุขหันไปเลื่อนกล่องไม้ที่วางอยู่ข้างตัวแล้วเปิดให้อาจารย์ประทีปดู อาจารย์ประทีปพบว่าในนั้นคือดาบดำของนายเดื่อง อาจารย์ประทีปชักดาบออกจากฝักแล้วอึ้งไปเพราะดาบดำของนายเดื่องหักเหลือแค่เพียงครึ่งด้ามเท่านั้น

อ่านต่อหน้าที่ 4





ขุนเดช ตอนที่ 1 (ต่อ)
อีกด้านหนึ่งที่ไนต์คลับ ประดับนั่งกอดสาวๆ และดื่มกินอยู่ในไนต์คลับอย่างสรวลเสเฮฮา
“เต็มที่เลยเว้ย…คืนนี้ข้าเลี้ยงเอง”
พรรคพวกของประดับส่งเสียงเฮกันสนั่น ประดับหันไปกอดไปหอมสาวๆ ที่ขนาบสองข้าง
“พี่ประดับเนี่ย แขนข้างนึงยกไม่ขึ้นแล้วยังซนไม่เลิกเลย” หญิงสาวต่อว่า
“ถึงแขนพี่จะเดี้ยง แต่อย่างอื่นไม่เดี้ยงไปด้วยนะจ๊ะคนสวย” ประดับยิ้มหลีก่อนจะโอบเอวสองสาวพาเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง “เฮ้ย…สนุกกันได้ แต่อย่าส่งเสียงรบกวนข้าไม่งั้นพวกเอ็งวงแตก”
ประดับหัวเราะส่งเสียงดังโชว์ความกร่างแล้วควงสาวๆ ขึ้นไป

ขุนเดชขับรถกระบะเก่าๆ ของเถินมาจอดหน้าไนต์คลับ ขุนเดชลงจากรถตาเขม็งมองพนักงานเข้ามาดันอกห้าม
“เฮ้ย…ไม่ใช่แขกของคุณประดับ ห้ามเข้า”
ขุนเดชจ้องหน้าแล้วจับมือมันมาบิดอย่างแรงจนได้ยินเสียงกระดูกหักดัง..กร่อบ !!
พนักงานร้องโอดโอยดิ้นพราดๆ พนักงานอีกสองคนได้ยินเสียงรีบวิ่งเข้ามา แต่ก็โดนขุนเดชใช้เชิงมวยมือเปล่า ล้วนๆ เล่นงานจนกลิ้งไม่เป็นท่า จากนั้นขุนเดชก็ผลักประตูเข้าไปในไนต์คลับ

บนถนนยงยุทธบิดมอเตอร์ไซค์พุ่งตรงมา สีหน้ายงยุทธมีแต่ความร้อนใจ
“ไอ้ขุนเดช...แกอย่าทำอะไรโง่ๆ นะ ถ้าแกทำให้ดาราเสียใจชั้นจะไม่ยกโทษให้แก”
ยงยุทธบิดคันเร่ง มอเตอร์ไซค์พุ่งทะยาน ท่ามกลางบรรยากาศที่ฟ้าผ่า...เปรี้ยง !!
ตันไม้ข้างทางถูกฟ้าผ่าลงมากลางต้นทำให้หักโค่นลงมาขวางถนนเป็นจังหวะที่ยงยุทธกำลังพุ่งเข้าใส่พอดี
ยงยุทธตกใจร้องเสียงหลง

ที่ไนต์คลับพวกของประดับกำลังดื่มกินกันอย่างสนุกสนานพลันลูกน้องคนหนึ่งของประดับก็ถูกถีบถลาเข้ามาสลบเหมือดกลางวง สภาพของมันปากแตก เลือดเต็มจมูก เสียงหวีดร้องตกใจของสาวๆ ดังไปทั่วก่อนจะพากันวิ่งหนีออกไป เหลือแค่ลูกน้องประดับที่พากันตกใจเมื่อเห็นขุนเดชเดินเข้ามา ทุกคนพร้อมกันชักมีดพกออกมา บางคนก็มีสนับมือ บางคนก็ใช้คมแฝกเป็นอาวุธ
ขุนเดชยืนท่ามกลางวงล้อมของพวกลูกน้องประดับที่มีอยู่ประมาณ 7-8 คน ขุนเดชตั้งท่าเชิงมวยพร้อมรับ
ลูกน้องประดับสองคนแรกปรี่เข้ามาพร้อมคมแฝก ขุนเดชหลบหลีกแล้วใช้มือเปล่าต่อสู้และสามารถจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย
อีกคนซึ่งใช้มีดพกปรี่เข้ามาจะแทง ขุนเดชเอี้ยวตัวหลบแล้วศอกลงที่ท่อนแขน เสียงกระดูกหักดัง...กร่อบ มันร้องเจ็บปวดครวญคราง อีกคนอาศัยจังหวะเผลอถือขวดเหล้าวิ่งเข้ามาฟาดใส่หัวขุนเดชทันที...เพล้ง! ขุนเดชนิ่งงันเลือดค่อยๆ ไหลจากหัวลงมาที่หน้าผาก คราวนี้แววตาของขุนเดชยิ่งน่ากลัวกว่าเก่า ขุนเดชหยิบดาบดำที่เหน็บเอวขึ้นมาแล้วชักดาบดำออกจากฝัก คมดาบต้องแสงไฟวาววับ

อาจารย์ประทีปยังอยู่ที่สัดกับหลวงพ่อสุข อาจารย์ประทีปมองดาบหักในมือ
“ดาบของนายเดื่องมาอยู่ที่หลวงพ่อได้ยังไงครับ”
“อาตมาเจอขุนเดชถือดาบของนายเดื่องหนีการตามล่าของพวกโจร โชคดีที่พวกมันคิดว่าขุนเดชตกหน้าผาตาย ส่วนขุนเดชก็คลุ้มคลั่งเสียสติเพราะเห็นพ่อถูกฆ่าตายต่อหน้า”
“หลวงพ่อช่วยชีวิตขุนเดชไว้”
“แต่พอขุนเดชฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้ อาตมาเห็นว่าถ้ายังอยู่ที่เขาหลวงเห็นทีจะไม่ปลอดภัย เลยพาขุนเดชมาอยู่ที่วัดด้วย เพราะอาตมาไม่อยากให้ขุนเดช....”
หลวงพ่อสุขนิ่งไปแล้วไอไม่หยุดจนเลือดเปรอะมือ อาจารย์ประทีปตกใจ
“หลวงพ่อ”
“โยม...อาตมาหยุดขุนเดชได้เพียงเท่านี้ จากนี้ไปขุนเดชต้องเดินตามลิขิตชีวิตตนเอง”

ที่ไนต์คลับขุนเดชใช้ดาบดำเล่นงานพวกของประดับ คมดาบตวัดเข้าใส่ตามร่างกายของพวกมันจนเลือดสาดกระเด็น คนหนึ่งถอยหนีเพราะสู้ไม่ได้ ขุนเดชตามไปเงื้อดาบจะเล่นงานแต่เสียงปืนดังขึ้น...ปัง !!
ขุนเดชชะงักนิ่งไปดาบดำร่วงจากมือปักลงพื้น ขุนเดชหันไปเห็นประดับถือปืนเดินลงมาจากบันได
“กูบอกแล้วไง อย่ารบกวนเวลาความสุขของกู ไม่งั้น...วงแตกแน่”
ขุนเดชมองหัวไหล่เห็นเลือดที่ไหลจากแผลถูกยิงไหลลงมาตามแขน แต่ขุนเดชไม่รู้สึกเจ็บขมกรามเข้าหาประดับ”
ประดับยิงปืนลงพื้นอีกทีเพื่อหยุดขุนเดชเอาไว้...ปังๆๆๆ
“หยุดอยู่นั่นแหละไอ้ขุนเดช อย่าเพิ่งรีบเข้ามาหาเรื่องตายเร็วให้กูได้เอาคืนที่มึงเล่นงาน แขนกูจนหักแบบนี้ก่อน...เฮ้ย จับมัน”
พรรคพวกของประดับกรูเข้าไปจับขุนเดชมาล็อกแขนได้ตัวเอาไว้อย่างง่ายดาย ประดับเดินลงมาหัวเราะอย่างสะใจ แล้วใช้มือบีบลงไปที่แผลโดนยิงของขุนเดช
“อ๊ากกกกกกก”
“ฮ่าๆๆๆๆ กระทืบมัน”
สิ้นเสียงสั่งพรรคพวกของประดับรุมกระทืบขุนเดชชุดใหญ่ ขุนเดชนอนจุกตัวงอรับฝ่าเท้าที่รุมใส่ไม่ยั้งด้วยความเจ็บปวดทรมาน ประดับมองอย่างสะใจก่อนจะให้พรรคพวกหิ้วปีกขุนเดชขึ้นมา
“ยัง...นี่ยังแค่น้ำจิ้ม ของจริงต้องนี่...สำหรับที่มึงหักแขนกู”
ประดับหันไปคว้าแจกันมาทุบใส่หัวขุนเดชอย่างแรง...เพล้ง ขุนเดชตาปรือมองประดับด้วยสายตาพร่าเลือนก่อนจะค่อยๆ มืดลง

เหตุการณ์ย้อนกลับไปในอดีตนายเดื่องพาขุนเดชเข้ามากราบพระศิลา บรรยากาศเป็นไปอย่างสงบน่าศรัทธา
“พ่อครับ ทำไมพระศิลาถึงมาอยู่ในถ้ำบนเขาหลวงนี้ล่ะครับ”
“พ่อกับอาจารย์ประทีปเพิ่งจะค้นพบ เราเลยต้องอาศัยเวลาศึกษาค้นคว้า”
“ผมช่วยด้วยนะครับพ่อ ผมชอบค้นคว้าประวัติศาสตร์”
“ได้สิขุนเดช การศึกษาประวัติศาสตร์ก็คือการเรียนรู้ที่มาและรากเหง้าของเราเอง เพราะการคิดจากอดีตจะทำให้เรามองเห็นอนาคต”
“ผมเกลียดพวกที่เข้ามาทำลายโบราณสถาน ตัดเศียรพระ ลักขุดกรุ”
“พ่อก็เกลียดพวกมันเหมือนกัน แม้แต่รากเหง้าตัวเองยังไม่เคารพ แค่คิดถึงอนาคตก็น่ากลัวแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น บ้านเมืองคงต้องเสื่อมเพราะศีลธรรมถูกทำลาย”
“ผมสัญญาต่อหน้าพ่อ ต่อหน้าพระศิลา ผมจะปกป้องรากเหง้าของเรา ไม่ให้ พวกโจรมาทำลายเด็ดขาด”
สายตาของขุนเดชมุ่งมั่นอย่างเด็ดเดี่ยวเกินเด็กวัยแค่ 10 ขวบ

ขุนเดชในปัจจุบันสะดุ้งเฮือกลืมตาโพล่งพร้อมเปล่งเสียงออกมา
“พ่อ”
ขุนเดชหน้าตาตื่นตกใจ ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างในอดีตเรียงร้อยอยู่ในหัวทำให้ขุนเดชจดใจได้ว่าตัวเองเป็นใคร และเกิดอะไรขึ้นในวัยเด็ก
“พ่อ...พ่อ”
ขุนเดชพยายามจะขยับตัวแต่พบว่าตัวเองถูกจับมัดตัวติดอยู่กับเก้าอี้กลางห้องโถง ประดับเดินเข้ามาพร้อมกับดาบดำในมือ
“ฟื้นแล้วเหรอ...ดาบของมึงสวยดีนี่หว่า แปลกดีไม่เคยเห็น”
“มือคนชั่วอย่างมึงไม่สมควรจับดาบดำ”
“ดาบดำ...ฮ่าๆๆๆ ฟังชื่อดาบมันแล้วชักไม่อยากจะถือไว้แล้วว่ะ” ประดับหัวเราะสะใจ ลูกน้องประดับหัวเราะตามไปด้วย “ไม่ต้องกลัวหรอกไอ้ขุนเดช กูคืนดาบดำให้มึงแน่ แต่คงไม่เสียบคืนฝักให้หรอก เพราะกูจะเสียบคืนให้กลางหัวใจมึงเลย...ฮ่าๆๆๆ”
ขุนเดชจ้องตากร้าวใส่ประดับกับพวกอย่างเจ็บใจ
จบตอน 2
ขุนเดช ตอน 3.1
พงหญ้าข้างทางมอเตอร์ไซค์ที่ยงยุทธขี่มาล้มอยู่ข้างทาง ชาวบ้านมุงดูยงยุทธที่นอนหมดสติอยู่ แต่ยงยุทธก็รู้สึกตัวลุกขึ้นมาอย่างมึนๆ
“ใจเย็นๆ พ่อหนุ่ม”
“ไม่เป็นไรครับ...ผมไม่เป็นไร”
แม้ปากจะปฏิเสธว่าไม่เป็นอะไร แต่พอยงยุทธเดินก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ช่องท้อง เปิดชายเสื้อขึ้นดูก็พบว่ามีบาด แผลจากการถูกของมีคมบาดเข้าที่ช่องท้องระหว่างอุบัติเหตุ ชาวบ้านรีบเข้าไปประครองและช่วยดูให้
“สภาพแบบนี้ไปต่อไม่ไหวหรอก พวกเราเรียกรถพยาบาลมาแล้วเดี๋ยวก็คงมาถึง”
“ไม่ครับ...ผมรอไม่ได้...ผมต้องไปช่วยเพื่อน”
ยงยุทธเอามือกุมแผลที่มีเลือดไหลไม่หยุด พยายามฝืนความเจ็บปวดจับมอเตอร์ไซค์พลิกขึ้นมาแล้วขึ้นขี่ไปต่อ

ที่สถานีตำรวจ เถินนั่งหน้าเครียดอยู่ในกรงขังครู่หนึ่งดารารีบเข้ามา
“ดารา”
“พ่อจ๋า....พ่อเป็นยังไงบ้าง”
“พ่อไม่เป็นอะไรหรอกลูก ไม่ต้องห่วงนะ พ่อไม่ได้ทำผิดอย่างที่พวกมันกล่าวหา ยังไงพ่อก็ต้องได้ออกไป”
ดาราร้องไห้
“แต่พวกมันมีอิทธิพลมากนะพ่อ”
“คนชั่วไม่มีวันอยู่ในอำนาจได้นานหรอก พ่อเชื่อว่าฟ้ามีตารอที่จะจัดการกับพวกมันอยู่ ทั้งพ่อ ทั้งขุนเดชและไอ้ยงยุทธจะต้องได้รับความยุติธรรม” ดาราน้ำตาคลอหนักใจและเป็นกังวลจนเถินสังเกตเห็น “ดารา...เกิดอะไรขึ้น”
“พ่อ...ชั้นเจอขุนเดชกับยงยุทธแล้ว แต่พอเขารู้เรื่องที่นายประดับทำกับพ่อ พวกเขาก็เลย...”
ดาราร้องไห้เสียใจ เถินหน้าเสียเป็นห่วงทันที
“โธ่เอ้ย ไอ้เด็กพวกนี้ พ่อบอกพวกมันแล้วว่าอย่าใจร้อน” เถินหันไปเรียกตำรวจ “จ่า...จ่า”
“พ่อจะทำอะไร”
“ต้องมีใครไปห้ามพวกมัน ไม่อย่างนั้นทั้งขุนเดชทั้ง ไอ้ยงยุทธไม่มีทางได้กลับมาอีกแน่”
เถินพยายามเรียกพวกตำรวจที่ยืนจับกลุ่มคุยกันด้วยเรื่องบางอย่างสีหน้าเคร่งเครียดจนไม่มีใครหันมาสนใจ สักพักตำรวจอีกคนก็มาตาม พวกตำรวจพากันออกไปเหมือนว่ากำลังเกิดเรื่องใหญ่
“พ่อ...ชั้นจะไปคุยกับตำรวจเอง”
ดาราจับมือพ่อแล้วรีบเดินตามกลุ่มตำรวจออกไป

ดาราเดินออกมาพบตำรวจกำลังจับกลุ่มหน้าดำคร่ำเครียด
“คุณตำรวจคะ...ดิชั้นมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือค่ะ”
ตำรวจยศผู้กองคนหนึ่งหันมาที่ดารา
“คุณผู้หญิงครับ...ผมว่าตอนนี้คุณควรจะรีบกลับบ้านนะครับ อย่าออกมาอยู่ข้างนอก มันจะไม่ปลอดภัย”
“ไม่ปลอดภัย...เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” ดาราถามอย่างแปลกใจ
“ผมบอกรายละเอียดอะไรมากไม่ได้ครับ เอาเป็นว่าคุณต้องรีบกลับเดี๋ยวนี้ และเตือนคนที่รู้จักด้วยว่าอย่าออกมาเดินเพ่นพ่านนอกบ้าน”
ดาราชักจะแน่ใจ
“สถานการณ์การเมืองไม่ปกติแล้วใช่มั้ยคะผู้กอง ดิชั้นเคยได้ยินข่าวลือ”
ผู้กองนิ่งไปว่าใช่แต่ไม่พูดตรงๆ
“เชื่อผม...รีบกลับไปเถอะครับ”
“แต่พ่อชั้นอยู่ในนั้น แล้วเพื่อนชั้นก็กำลังต้องการความช่วยเหลือ”
“พ่อคุณอยู่ที่นี่รับรองว่าไม่เป็นอะไรแน่...รีบไปเถอะครับ จ่า...พาคุณผู้หญิงไปส่งที”
ตำรวจยศจ่ารับคำแล้วเข้ามาพาดาราออกไป
“แต่เพื่อนชั้นกำลังต้องการความช่วยเหลือ...ชั้นทิ้งพวกเขาไม่ได้...ชั้นต้องช่วยเขา”
ตำรวจไม่ฟังดาราพยายามพาตัวเธอออกไปอย่างสิ้นหวัง

ยงยุทธขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาที่ไนต์คลับแล้วลงจากรถทั้งๆ ที่ยังบาดเจ็บที่ช่องท้อง มีเลือดไหลออกมาซิบๆ แต่ยงยุทธก็ฝืนทน ยงยุทธย่องเงียบเข้าไปหาลูกน้องของประดับคนหนึ่งที่ออกมาพร้อมบุหรี่ที่กำลังจะจุดสูบ แต่ยังไม่ทันจะจุดไม้ขีด ยงยุทธก็รุกเข้าข้างหลังแล้วลอบเล่นงานมันจนสลบเหมือด
ยงยุทธแอบเข้าไปต่อแต่เข้าไปไม่นานพรรคพวกอีกคนของประดับก็เดินออกมาเจอเพื่อนที่ถูกเล่นงานจนสลบ และเห็นรอยเลือดหยดเป็นทาง

ขุนเดชซึ่งถูกจับมัดเอาไว้ ประดับเอาดาบดำมากวัดแกว่งไปมาอย่างกวนประสาทแล้วยกขึ้นเล็งพร้อมจะเสียบดาบใส่ ขุนเดชเจ็บใจจ้องประดับเขม็งแบบไม่กลัวตาย
“ถ้าฆ่าชั้นไม่ตายภายในดาบเดียว...แกโดนชั้นเอาคืนแน่”
“หึๆๆ...แกได้ตายสมใจแน่ ไอ้ขุนเดช”
ประดับพุ่งดาบกำลังจะแทง แต่พรรคพวกคนนึงรีบวิ่งเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ลูกพี่...มีพวกมันบุกเข้ามาคนนึง”
ประดับชะงัก
“สงสัยจะเป็นคู่หูของมัน”
“ท่าทางมันจะบาดเจ็บมาด้วย”
ประดับยิ้ม
“ดี...แกว่งเท้าหาเสี้ยนอยากตายแบบนี้ คนอย่างไอ้ประดับให้ได้อยู่แล้ว” ประดับโยนดาบดำให้ลูกน้องคนหนึ่ง “เฝ้ามันไว้”
ลูกน้องรับคำ ประดับออกไปแล้วทิ้งขุนเดชอยู่กับลูกน้องแค่คนเดียว ขุนเดชมองลูกน้องประดับด้วยแววตาร้ายกาจ

ยงยุทธกำลังสู้กับพรรคพวกของประดับคนนึงที่มาขวางทาง ฝีมือของมันสู้งยงยุทธไม่ได้ทั้งๆ ที่ยงยุทธ บาดเจ็บ แต่พอจัดการมันเสร็จยงยุทธกลับเจอประดับที่เข้ามาปิดล้อม
“ชั้นให้โอกาสแกหนีรอดไปแล้ว แต่ยังกล้ารนหาที่ กลับมาให้กระทืบแบบนี้ น้อยไปแกคงไม่ชอบ...ฮ่าๆๆๆ”
ประดับพยักหน้า พรรคพวกของประดับสองคนก้าวออกมา หักนิ้วดัง..กร่อบ !!
ยงยุทธตั้งท่าเชิงมวยพร้อมรับมือ แต่เลือดตรงบาดแผลที่ช่องท้องก็ยังคงซึมออกมาไม่หยุด ยงยุทธขบกรามเจ็บ พรรคพวกประดับปรี่เข้ามาเล่นงาน ยงยุทธใช้เชิงมวยไทยตอบโต้อย่างถึงลูกถึงคน

ด้านในขุนเดชจ้องเขม็งที่ลูกน้องประดับซึ่งถือดาบดำและเฝ้าเขาไว้ ลูกน้องประดับรู้สึกถึงสายตาอาฆาตที่ ขุนเดชจ้องแล้วขนลุก
“เฮ้ย...มองแบบนั้น เดี๋ยวก็โดนควักลูกตาออกมาโยนเล่นหรอก”
“ก็ลองดูสิ...ถ้าคิดว่าจะไม่โดนเตะก้านคอ”
“โดนมัดอยู่แบบนี้ยังปากเก่งอีก...ขอสักทีเถอะวะ”
ลูกน้องถือดาบดำปรี่เข้าไปหา ขุนเดชยิ้มร้ายเพราะพอมันเข้ามาใกล้เงื้อดาบจะเล่นงาน ขุนเดชก็ถีบเข้าที่หัวเข่ามันจนหน้าคะมำคุกเข่า ดาบดำในมือร่วงลงพื้น ขุนเดชเตะเข้าที่หน้ามันทีเดียวหงายหลังสลบเหมือด

อีกด้านยงยุทธใช้เชิงมวยมือเปล่าสู้พรรคพวกของประดับสองคน คนหนึ่งโดนยงยุทธเล่นงานได้ไม่ยากสลบไป แต่พอจะจัดการอีกคนอาการบาดเจ็บทำให้พลาดท่าโดนมันถล่มหมัดเข้าใส่เป็นพายุ ยงยุทธกำลังจะพลาดแต่ไปคว้าเอาแจกันมามารับหมัดของมันได้ พอมันพลาดท่ายงยุทธเลยถีบยอดอกแล้วซ้ำจนมันสลบเหมือด แต่จัดการได้แล้วก็ต้องชะงักเพราะเจอประดับเอาปืนจ่อ
“ฝีมือแกมันดีใช้ได้ ชกสนุกเหมือนอยู่เวทีราชดำเนิน แต่มือเปล่ายังไงก็สู้ไอ้นี่ไม่ได้หรอก”
ประดับใช้ปืนตบหน้ายงยุทธทีเดียว ยงยุทธร่วงผล่อยสลบเหมือด ประดับเข้ายืนมองแล้วถุยน้ำลายใส่
“ถุย!! มากร่างกับกู...ศพพวกมึงกูจะลากไปให้หมามันแทะ เฮ้ย...มาเอาตัวมันไป” ประดับเรียกลูกน้อง...แต่เงียบกริบไม่มีเสียงลูกน้องรับคำ “ไม่ได้ยินกูเรียกเหรอไงวะ”
ประดับหันไปแล้วต้องอึ้งตกใจเพราะเห็นขุนเดชใช้ดาบดำจ่อคอลูกน้องที่เหลืออยู่คนเดียวเอาไว้
“ลูก...ลูกพี่”
“ไอ้ขุนเดช!”
ขุนเดชใช้ด้ามดาบดำกระแทกเข้าท้ายทอยทีเดียวลูกน้องคนสุดท้ายของประดับร่วงผล่อย ประดับตกใจรีบชัก ปืนยิงใส่...แต่โชคไม่เข้าข้างแล้วเพราะกระสุนดันหมด...แชะๆๆ
ประดับเห็นปืนของลูกน้องที่สลบอยู่ใกล้ๆ จะรีบวิ่งไปหยิบ แต่กลับเจอขุนเดชกระโจนเข้ามาถีบประดับทันที

ประดับถูกถีบกระเด็นออกมานอกไนต์คลับล้มใส่กระถางต้นไม้แตกระเนระนาดกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดนขุนเดชไล่กระทืบเหมือนหมาจนตรอกตัวหนึ่ง ประดับคว้าอะไรได้ข้างตัวก็ใช้ปาใส่ ขุนเดชตวัดดาบดำฟันทุกอย่างขาดเป็นสองท่อนด้วยความคมของดาบดำ ประดับถอยกรูดไปติดบ่อน้ำพุไม่มีที่ให้หนีอีกแล้ว
“ขุนเดช...ชั้น...ชั้นขอโทษ...อย่าทำอะไรชั้นเลยนะ ชั้นจะบอกให้พ่อปล่อยพวกแกไป จะไม่เอาผิดพวกแกอีก”
ขุนเดชไม่พูดตั้งท่าควงดาบและตวัดดาบทีเดียวรูปปั้นปูนประดับสวนแบบโรมันที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ก็ถูกขุนเดชตัดคอ ขาดครึ่ง หัวรูปปั้นกระเด็นกลิ้งมาแทบเท้าประดับ ประดับกลัวสุดๆจนเป้ากางเกงชุ่มแฉะไปด้วยปัสสาวะ
“ไม่...ไม่นะ...ชั้นขอร้องอย่าฆ่าชั้นเลย ชั้นสาบานให้ก็ได้ ต่อไปนี้ชั้นจะไม่เอาเรื่องกับพวกแกอีก ที่มันแล้วมาก็ให้มันแล้วไป หรือถ้าแกกับเพื่อนอยากให้ชั้นช่วยอะไร ชั้นบอกพ่อชั้นคำเดียว พวกแกได้ทุกอย่างเลย”
ขุนเดชไม่สนใจตั้งท่าควงดาบด้วยเชิงดาบแบบเดิมอีก คราวนี้เล็งที่หัวของประดับ ประดับรีบเอามือจับคอตัวเองร้องเสียงหลง
“อย่า...อย่า...อย่า”
ขุนเดชกำลังจะตวัดดาบใส่ แต่ทันใดนั้นเสียงรถดังเข้ามา ขุนเดชชะงักค้าง ประดับหันไปมองเห็นพวกลูกน้อง พ่อ คนสนิทของนายพลเป็นพวกชายในชุดซาฟารีสองสามคน ประดับรีบเรียก
“ทางนี้…เร็ว…มันอยู่ทางนี้”
ขุนเดชจ้องหน้าประดับอย่างเจ็บใจที่มีพรรคพวกมาช่วย จำเป็นต้องเก็บดาบดำแล้วถอยกลับเข้าไปในไนต์คลับ

ขุนเดชเข้ามาประครองยงยุทธที่หมดสติ
“ยงยุทธ...ยงยุทธ”
ยงยุทธไม่ได้สติ ขุนเดชจำเป็นต้องพยุงพาหนีออกไปทางด้านหลังไนต์คลับ

ประดับกะเผลกทุลักทุเลพาลูกน้องพ่อมาตามหาขุนเดชกับยงยุทธ
“หายหัวไปไหนแล้ววะ หาพวกมันให้เจอ พวกมันต้องรับผิดชอบที่ทำกับชั้นแบบนี้” ประดับพยายามสั่งแต่พวกลูกน้องพ่อไม่มีใครทำตาม “ไม่ได้ยินที่สั่งเหรอไงวะ”
“คุณประดับครับ ท่านสั่งให้เรามารับคุณไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ครับ ตอนนี้เรือกำลังรออยู่”
“เรือ...ไปไหน” ประดับนึกขึ้นได้ “ไม่จริง...พ่อชั้นแพ้เหรอ”
ลูกน้องพ่อพยักหน้ารับ
“รีบไปเถอะครับ”
ประดับหันมาอย่างเจ็บใจ

ขณะนั้นดาราเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านด้วยความกังวลและเป็นห่วงจนร้อนรนทนไม่ไหวจะออกไปแต่คนงานรีบ
ห้าม
“อย่าออกไปเลยครับคุณดารา ข้างนอกยังวุ่นวาย ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร”
“แต่ชั้นทิ้งขุนเดชกับนายยงยุทธไว้ข้างนอกไม่ได้”
ดาราดื้อรั้นจะออกไป แต่ขุนเดชพยุงยงยุทธกลับเข้ามาพอดี
“พวกเราปลอดภัยแล้วดารา”
“ขุนเดช...ยงยุทธเป็นอะไร”
ดาราถามอย่างตกใจเมื่อเห็นยงยุทธไม่ได้สติ
“มันบาดเจ็บ รีบพามันไปทำแผลเถอะ”
ดารากับคนงานรีบเข้าไปช่วยพยุงยงยุทธพาเข้าไปในบ้าน
ขุนเดชยืนมองส่งยงยุทธได้ครู่ก็หันมาเจ็บที่บาดแผลตัวเอง แต่ขุนเดชข่มความเจ็บปวดเอาไว้ก่อนจะเดินจากไป อย่างเงียบๆ ดาราเดินออกมาตามแต่ไม่เจอขุนเดชแล้ว
“ขุนเดช...ขุนเดช”

วันต่อมาตำรวจมาไขกุญแจเปิดห้องขังปล่อยเถินให้เป็นอิสระ เถินกับดารากอดกันด้วยความดีใจ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอดารา”
เถินถามลูกสาวอย่างแปลกใจ
“การเมืองเปลี่ยนขั้ว ครอบครัวของพวกนายประดับต้องหนีออกนอกประเทศ คำสั่งของพวกนั้นก็เลยทำอะไร
เราไม่ได้อีกแล้วจ้ะพ่อ”
เถินยิ้มดีใจรีบดึงลูกสาวเข้ามากอดก่อนจะนึกได้
“แล้วขุนเดชกับยงยุทธล่ะ”

บนศาลาวัด ขุนเดชก้าวขึ้นบันไดมาพบพระลูกวัดกำลังนั่งสวดมนต์อยู่ต่อหน้าร่างที่มรณะภาพแล้วของหลวงพ่อสุข ขุนเดชรู้สึกงุนงง
“หลวงพ่อ...หลวงพ่อ...เกิดอะไรขึ้นกับหลวงพ่อ”
“หลวงพ่อมรณภาพเมื่อคืน เพราะอาการวัณโรคกำเริบ”
“หลวงพ่อ...”
ขุนเดชมองร่างที่นิ่งสงบของหลวงพ่อสุขด้วยความเสียใจคุกเข่าลงแล้วคลานเข้าไปกราบศพ แววตาที่มองร่างของหลวงพ่อสุขทำให้อดคิดไปถึงตอนเป็นเด็กที่เขาจำความได้แล้ว

ขุนเดชตอนที่เพิ่งถูกพาตัวมาที่วัดใหม่ๆ ขุนเดชยังเป็นเด็กเกรี้ยวกราดดุดันคว้าไม้ไล่ตีพวกเด็กวัดคนอื่นจน กระเจิง บ้างก็หัวร้างข้างแตกจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แม้แต่พระลูกวัดก็ได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ หลวงพ่อสุขถูกตามเข้ามาจัดการกับขุนเดช
“ขุนเดช”
ขุนเดชชะงักเสียงหลวงพ่อสุขเหมือนโดนมนต์สะกด หลวงพ่อสุขเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอามือจับหัวขุนเดชให้สงบ ขุนเดชนั่งคุกเข่าพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องกลัวแล้วนะ อยู่กับหลวงพ่อที่นี่ จะไม่มีใครมาทำร้ายเอ็งได้อีก” ขุนเดชกราบเท้าหลวงพ่อสุข “พามันไปอยู่กุฏิเดียวกับไอ้ยงยุทธ”
พวกเด็กวัดกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ทำตามที่หลวงพ่อสุขสั่งเข้ามาพยุงขุนเดชขึ้น
“หลวงพ่อไปเก็บมันมาจากไหนเหรอครับ ตัวกะเปี๊ยกแค่นี้ยังดุเอาเรื่องอย่างกับยักษ์ไม่มีผิด แล้วถ้าโตขึ้นจะเอามันอยู่เหรอครับ” พระลูกวัดถาม
“ให้มันอยู่กับวัดกับพระกับเจ้า อย่างน้อยธรรมะก็จะช่วยขัดเกลาจิตใจมัน จากหนักให้เป็นเบาได้”
ขุนเดชที่กำลังเดินออกไปหันมามองหลวงพ่อ ทั้งพระทั้งเด็กสบตากัน

จบตอนที่ 1

ติดตามอ่านขุนเดช ตอนต่อไป เวลา 12.00 น. 



กำลังโหลดความคิดเห็น