xs
xsm
sm
md
lg

ราชินีลูกทุ่ง ตอนที่ 5-6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ราชินีลูกทุ่ง ตอนที่ 5

รูปถ่ายของแก้วตาในชุดหางเครื่องที่ถ่ายกับนทีทองในสมัยที่ทั้งคู่ยังหนุ่มสาว ทั้งสองกอดกันอย่างสนิทสนม ชะเอมแปลกใจ

“เอ๊ะ...นี่รูปน้าแก้วตอนสาวๆเหรอ สวยจัง แล้วทำไมถ่ายกับนทีทองอ่ะ รู้จักกันเหรอหรือว่า...”
“เขาเป็นพ่อกุ้ง”
กุ้งนางถือภาพนี้อยู่ด้วยอาการตกใจมือไม้สั่น ทำกล่องตกทันทีโดยไม่สนใจว่าภายในกล่อง จะมีอะไรอีกบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสร้อยข้อมือและกระดาษใบหนึ่งที่พับอยู่
“เป็นอะไรกุ้ง”
ยายอุ่น เดินเข้าบ้านมาพอดี ถือถุงขนมมาด้วย ได้ยินเสียงของตก ก็ตกใจมาก
“ไอ้กุ้ง!”
ยายอุ่นรีบไปดูข้างใน กุ้งนางยังอึ้งอยู่ก้านเขย่าตัวกุ้งเบาๆเรียกสติ
“กุ้ง...กุ้ง” ก้านมองที่รูป “รูปนี้มีอะไรเหรอ ทำไมถึงตกใจขนาดนี้”
“แม่...”
ยายอุ่นเดินเข้ามาเห็นข้าวของเกลื่อนกระจายก็ตกใจ
“อะไรกันวะ ไอ้กุ้ง ไอ้ก้าน”
“ยาย...” กุ้งนางยื่นรูปให้ยายดู “ยายอธิบายรูปนี้ได้ไหม”
ยายอุ่นมองรูปในมือกุ้งก็ตกใจพูดอ้อมแอ้ม
“ก็แม่เอ็งไง”
ยายอุ่นอึดอัดจะเดินหนี กุ้งนางรีบเข้ามาจับแขนยาย
“แม่กับใคร ยายเล่ามาสิ”
ยายอุ่นพยายามเลี่ยง
“โอย ข้ามีนัดจะไปต่อลำตัดกับพวกตาแหวง เอ้านี่ ขนมเอ็ง”
กุ้งนางร้องไห้
“ยายจ๋า บอกกุ้งมาเถอะนะว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร ใช่พ่อกุ้งหรือเปล่า”
ยายอุ่นถอนใจอย่างเสียไม่ได้


ยายอุ่นนั่งลงที่เก้าอี้ กุ้งนางกับก้านและชะเอมนั่งฟังที่พื้น
“แม่เอ็งน่ะ เขาฝันอยากเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็กตากับยายเลยสอนเพลงพื้นบ้านให้ แต่แก้วตามันดันชอบลูกทุ่งมากกว่า เพลงอะไรมันก็ร้องได้ หัวไวแต่เรื่องเรียนน่ะ ไม่ได้เรื่อง จนตาเอ็งตายนั่นแหละ มันถึงได้หยุดร้องเพลง เพราะเอาแต่ร้องไห้ แต่พอมันอายุ15 มันก็มาขอตามไปอยู่กับวงดนตรี...ยายน่ะไม่อยากให้ไปเล้ย...แต่แก้วตามันก็แอบหนีไปจนได้”
ยายอุ่นถอนใจก่อนจะเล่าเรื่องราวในอดีตให้หลานสาวฟัง...ตอนนั้นยายอุ่นยืนถือจดหมายอย่างอึ้งๆ เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าก็พบแต่ความว่างเปล่า ยายอุ่นทิ้งตัวลงนั่งด้วยความเสียใจ จดหมายร่วงจากมือ...ยายอุ่นเดินปาดเหงื่อด้วยความเหนื่อยมาที่เวทีคอนเสิร์ตเห็นทีมงานกำลังจัดไฟ ตั้งเครื่องเสียงกันอยู่
“ยายตามหาแก้วตาอยู่หลายที่ พอมีวงดนตรีมาเล่นที่ไหน ยายตามไปหมด แต่ก็ไม่เจอ จนวันหนึ่งตอนที่วงของนทีทองมาเล่นที่อำเภอใกล้ๆ”
ยายอุ่นบอกอย่างเศร้าๆแล้วเล่าต่อ...เย็นนั้นในอดีต ยายอุ่นเดินมาหลังเวทีเห็นแก้วตากำลังแต่งตัวชุดหางเครื่องรวมกับเพื่อนๆอย่างมีความสุข
“นังแก้ว!”
แก้วตาหันมา ตกใจ
“แม่!”

ยายอุ่นลากลูกสาวออกมาจากห้องแต่งตัว แก้วตาพยายามบิดมือออก
“ไม่เอา ฉันไม่กลับนะแม่”
“เอ็งหนีข้ามาอย่างนี้ รู้ไหมว่าข้าเสียใจแค่ไหน ไป เอ็งต้องกลับไปเรียนหนังสือ”
แก้วตาสะบัดมือจากยายอุ่น
“ปล่อยฉันเถอะแม่ ฉันอุตส่าห์ไต่เต้าจากเด็กเย็บเสื้อในวงจนได้เป็นหางเครื่องแล้ว อีกหน่อยฉันก็จะได้เป็นนักร้อง แม่อย่าห้ามฉันเลยนะ”
“เอ็งแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะให้เอ็งเป็นนักร้อง ถ้าเอ็งโดนเขาหลอกล่ะ ไม่เอา เป็นตายยังไง ข้าต้องพาเอ็งกลับบ้านให้ได้”
ยายอุ่นคว้ามือลากไปอีก แก้วตาดึงรั้งไว้
“พี่นทีทองเขาไม่หลอกฉันหรอกแม่ เขาเป็นคนดี ฉันไม่ไป ขอร้องล่ะแม่ให้ฉันไปทำตามความฝันของฉันเถอะ”
ยายอุ่นยังฉุดดึงแก้วตา จนนทีทองวิ่งหน้าตื่นมา
“มีเรื่องอะไรกันแก้วตา”
“พี่นที ช่วยพูดกับแม่แก้วให้ที แม่จะพาแก้วกลับบ้าน แก้วไม่อยากไป”
นทีทองมองยายอุ่นอย่างอึ้งๆ
“แม่...”
นทียกมือไหว้ ยายอุ่นมองๆดูเอาเรื่อง
“มึงน่ะเหรอนทีทอง”
นทีทองชะงักกลัวนิดๆ
“ครับ...”
“มึงจะให้นังแก้วมันเป็นนักร้องจริงเรอะ”
“แก้วมีความสามารถ แต่ทุกอย่างต้องผ่านการฝึกอย่างหนัก แม่ไม่ต้องห่วงแก้วนะครับ ผมจะดูแลแก้วอย่างดี”
ยายอุ่นสงสัย
“มึงเป็นผัวมันเรอะ”
แก้วตากับนทีทองตกใจ
“ไม่ใช่ครับ” นทีทองยิ้มแหย “ผมเอ็นดูแก้วเหมือนน้องสาวคนนึง”
ยายอุ่นที่ยังจับมือแก้วตาแน่น ก็ตัดใจปล่อย
“ก็ได้ เอ็งอยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่าให้เสียผู้เสียคนล่ะ ยังไงข้าก็เป็นห่วง”

แก้วตาดีใจ ก้มลงกราบเท้าแม่ ยายอุ่นลูบผมลูกสาวน้ำตาซึม นทีทองพลอยยิ้ม ตื้นตันไปด้วย

ยายอุ่นเล่าถึงตรงนี้ก็นิ่งไปก่อนจะนึกถึงแก้วตาที่ส่งเงินมาให้

"หลังจากนั้นนังแก้วก็ส่งเงินมาให้ยายไม่ขาด ถึงจะไม่มากนัก แต่ยายก็สบายใจที่
มันดูแลตัวเองได้ แล้ววันหนึ่งมันก็กลับมาบ้าน”
ยายอุ่นเล่าเรื่องราวในอดีตต่อ...แก้วตากลับมาบ้านตรงเข้ามาไหว้แม่ แล้วกอดอย่างคิดถึง ยายอุ่นดีใจมากที่ลูกสาวกลับมา
“ข้าดีใจนะดีเอ็งกลับมา ข้าก็รอแล้วรออีก”
“วงเขาจะพักช่วงฤดูฝนกันน่ะแม่ เขาให้ลูกวงกลับไปช่วยที่บ้านทำนาทำไร่”
“เอ็งไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ ไปพักซะหน่อย เดี๋ยวค่อยมากินข้าว ที่หลับที่นอนเอ็งแม่ก็ซักตากไว้ให้อยู่เรื่อยๆ รับรองสะอาดเอี่ยม”
แก้วตาอ้ำอึ้ง
“เออแม่...ฉัน...จะขอที่ท้ายนาได้ไหม”
ยายอุ่นแปลกใจ
“ขอทำไมวะ”
“เอ่อ...ฉันอยากจะปลูกบ้านหลังเล็กๆอยู่น่ะ”
ยายอุ่นงง
“ทำไมว่ะ อยู่ด้วยกันที่บ้านนี้เหมือนเดิมไม่ได้เหรอ”
“ฉัน...อยากมีที่อยู่สำหรับครอบครัว” แก้วตาตัดใจบอก “ฉันจะแต่งงานน่ะแม่”
ยายอุ่นตกใจ
“แต่งงาน! เอ็งจะแต่งกับใคร”
“เขายังไม่ว่างน่ะจ้ะแม่ แต่อีกไม่นานหรอก เขาบอกว่าจะมาไหว้แม่ เขาเป็นคนดีนะ”
ยายอุ่นจ้องหน้าลูกสาวนิ่ง แก้วตาจับมือแม่
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันดูคนไม่ผิดหรอก เชื่อฉันสิแม่ ฉันเคยตัดสินใจถูกมาครั้งหนึ่งที่ออกไปทำงานหาเงินให้แม่มาแล้ว ครั้งนี้แม่ก็ลองเชื่อฉันอีกสักครั้งนะ”
“แล้วความฝันที่จะเป็นนักร้องของเอ็งล่ะ”
แก้วตายิ้ม
“คนเราคงไม่ได้อย่างใจไปทุกอย่างหรอก แต่ฉันก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวฉันเองไม่ใช่หรือจ๊ะ”
“แล้วไอ้หมอนี่มันคือ...”
แก้วตาสวนขึ้นทันที
“ไว้เขามาแม่ก็รู้เอง”
ยายอุ่นมองแก้วตา แล้วพยักหน้ารับ
“ถ้าเขาเป็นคนดีจริงข้าไม่ว่าอะไรหรอก มันเป็นความสุขของเอ็งนี่”
ยายอุ่นลูบผมลูกสาว สองแม่ลูกกอดกัน

เวลาผ่านไปแก้วตาท้องโตนั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้านท้ายนาไม่มีวี่แววของสามีที่จะมาหาเธอ...ยายอุ่นถือปิ่นโตเดินมา มองลูกสาวด้วยความสงสาร แก้วตาหันไปเห็นแม่ ก็โผเข้ากอดแม่ทันที
“แม่...”
“กินข้าวซะบ้างเถอะแก้วเอ๊ย สงสารลูกในท้องเอ็งบ้าง อย่ามามัวรอไอ้คนเลวๆพรรค์นั้นอีกเลย”
“แต่เขาบอกฉันว่าจะมา เราไปตามเขากันไหมแม่”
“มันรู้ว่าเอ็งอยู่นี่ยังไม่มา แล้วเอ็งคิดว่าหอบท้องไปตามมันจะยอมมาเหรอ”
“ก็แม่ไปกับฉันสิ ถ้าแม่ไปเขาต้องมา หรือไม่แม่ก็ไปที่วงไปหา...”
ยายอุ่นตัดบท
“ไม่เอา ไม่ต้องบอก ในเมื่อเอ็งเคยบอกว่าข้าจะได้รู้จักมันวันที่มันมาหาข้า...ข้าก็จะรอวันนั้น”
แก้วตาร้องไห้
“แม่...ฉันจะทำยังไงดี ฉันอาย...ฉันเจ็บ”
“ทำใจไงล่ะ เลิกหวังลมๆแล้งๆแล้วคิดถึงวันข้างหน้า”
“ฉันอยากตาย”
ยายอุ่นร้องเสียงหลง
“นังแก้ว” ยายอุ่นพูดไปร้องไห้ไป
“ห้ามคิดอย่างนี้อีก มันไม่เลี้ยง เราก็เลี้ยงกันเองก็ได้ ชีวิตเป็นของเอ็งไม่ใช่ของมัน เอ็งต้องอยู่ให้ได้ กลับไปอยู่บ้านกับแม่นะ ยังไงเอ็งก็ยังมีแม่นะลูกนะ”
แก้วตาร้องไห้โฮ ยายอุ่นกอดปลอบ ร้องไห้ไปด้วย

เล่ามาถึงตอนนี้ ยายอุ่นก็หน้าเศร้าหมอง
“สุดท้ายยายกับแม่เอ็ง เลยตกลงกันว่าจะบอกทุกคน รวมทั้งเอ็งด้วยว่า พ่อของเอ็งรถคว่ำตายระหว่างทางที่มาบ้าน”
กุ้งนางมองที่รูปแก้วตาและนทีทอง ชะเอมโพล่งออกมา
“งั้นนทีทองก็เป็นพ่อของกุ้งน่ะสิยาย โห...ตื่นเต้นจัง”
ยายอุ่นส่ายหน้า
“ไม่รู้ว่ะ ข้าไม่กล้าปักใจเชื่ออย่างนั้น ไว้มันมาบอกยายด้วยตัวเองเมื่อไหร่ยายถึงจะเชื่อ”
กุ้งนางน้อยใจและคับแค้นใจ
“ไม่คิดเลยว่าพ่อจะใจร้ายทิ้งแม่ทิ้งได้ลง” กุ้งนาวค้อนๆ “ยายด้วยแหละ”
ยายอุ่นหน้าเหวอ
“อ้าว เฮ้ย นังกุ้ง ข้าไปเกี่ยวอะไรด้วย”
“เกี่ยวสิยาย ก็ยายน่าจะไปถามนทีทองเขาให้รู้เรื่อง”
ยายอุ่นหน้านิ่ง
“ถามไปทำไม ถ้าคนมันรับผิดชอบมันก็ต้องโผล่หัวมาบ้างสิ แม่กุ้งมันจดหมายไปกี่ฉบับทางโน้นก็เงียบ ถ้าพวกเอ็งเป็นยายน่ะยังคิดจะบากหน้าไปถามมันอีกเหรอ”
ชะเอมเสียความรู้สึก
“สรุปก็คือนทีทองไม่ยอมรับเป็นพ่อของกุ้ง แหม...เห็นหล่อๆเป็นคนดีเสียความรู้สึกจริงๆที่ไปหลงชอบแต่เด็ก”
ก้านปลอบกุ้งนาง
“กุ้ง...พี่ว่าลืมเรื่องนี้ไปเลยดีกว่านะ คิดไปก็ไม่สบายใจ”
กุ้งนางเจ็บใจ
“ไม่หรอกพี่ก้าน ฉันไม่ลืม...และฉันก็จะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนี้ด้วย”
ก้านแปลกใจ
“แล้วกุ้งจะทำไง”
“ฉันจะไปถามเขาเอง เขาทำให้แม่ฉันทรมาน เขาต้องรับผิดชอบ”
ยายอุ่นขัดขึ้น
“โอ๊ย นังกุ้ง มีแค่รูปใบนี้น่ะเหรอ ที่จะเอาไปถามว่าเขาเป็นพ่อเอ็งหรือเปล่าน่ะ”
กุ้งนางคิดๆ แล้วมองในกล่องเห็นสร้อยกับกระดาษที่พับไว้ กุ้งนางหยิบกระดาษมาคลี่อ่าน ก้าน ชะเอม ยายอุ่นโผล่หัวมาอ่านด้วย ชะเอมมองหน้ายายอุ่น
“ยายอ่านออกเหรอ”

“เปล่า...ข้าจะถามว่ากระดาษอะไร”

กุ้งนาง ก้าน ชะเอมอยู่ในร้านกาแฟที่ตลาด กุ้งนางถือรูปแม่กับนทีทอง กระดาษเนื้อเพลง และสร้อยลูกปัด หน้าละห้อยชะเอมถามงงๆ

“รูป เนื้อเพลง แล้วก็สร้อยลูกปัดเนี่ยน่ะเหรอ ที่แกจะเอาไปยืนยันกับนทีทองว่าแกเป็นลูกเขา”
ก้านหนักใจ
“หลักฐานมันอ่อนมากนะกุ้ง”
กุ้งนางเถียง
“ก็ทำไมเขาจะไม่ใช่พ่อล่ะ แค่เนื้อเพลงที่เขาแต่ง มีคำว่าแก้วตา แค่นี้ก็เดาได้เลยว่าพ่อแต่งให้แม่แน่ๆ”
ก้านพยายามแย้ง
“โธ่กุ้ง พ่อแต่งเพลงให้ลูก ลูกแต่งให้พ่อ ก็ใช้คำว่าแก้วตาแทนได้เหมือนกัน”
“ไม่รู้ล่ะ มันเชื่อไปตั้งครึ่งนึงแล้ว จะให้ล้มเลิกความคิดนี้ มันก็ยากแล้วล่ะ”
ชะเอมชักเห็นด้วย
“ก็จริงนะไอ้ก้าน ถูกของกุ้งมัน งั้นงานนี้ก็ต้องไปสืบความจริง บุกไปสยามซองกันเลยไหมกุ้ง พี่ไปด้วย เผื่อจะได้สมัครหางเครื่องซะเลย”
ขะเอมตาลอยชวนฝัน ก้านต่อว่า
“โธ่...นึกว่าจะช่วยกุ้ง ที่แท้ก็จะไปหางาน”
ชะเอมจ๋อย
“แต่พี่ชะเอมพูดถูกนะพี่ก้าน ยังไงฉันก็ต้องไปสยามซองเพื่อจะได้เจอพ่อ”
ก้านเหนื่อยใจ
“แล้วไงอ่ะ ไปถึงสยามซองแล้วยังไง เขาคงให้เจอนทีทองง่ายๆหรอก”
ชะเอมยิ้มภูมิใจ
“แต่ถ้าใช้วิธีฉันยังไงก็ต้องได้เจอ”
ก้านส่ายหน้าระอาใจ
“ก็คือไปสมัครงานใช่ไหม”
กุ้งนางโพล่งออกมาทันที
“ใช่...ฉันจะไปสมัครงานที่นั่น”
“พี่ว่าคงไม่ได้หรอก”
กุ้งนางกับชะเอมถามพร้อมกัน
“ทำไมล่ะ”
ชะเอมเอาใจกุ้งนาง
“ไอ้กุ้งกับฉันออกจะสวย ความรู้ก็พอมี แถมขยันอีก มันต้องได้งานสักอย่างละวะ”
ก้านคิดๆก่อนจะบอก
“ลืมไปอย่างหรือเปล่า นายจิรายุเขาก็อยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ”
ชะเอมหน้าตื่น
“จริงด้วย ไอ้กุ้ง...โจทย์แกเลยนะเนี่ย”
กุ้งนางหน้าเสียกลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยความสยดสยองทันที ภาพในความคิดผุดขึ้นมาทันที เป็นภาพที่เธอกำลังเผชิญหน้ากับจิรายุในออฟฟิศ
“ฉันแค่ขอเข้าไปพบนทีทองแค่นั้นเองนะ”
“ฉันไม่อนุญาต กลับไปเดี๋ยวนี้”
“ฉันขอร้องล่ะ มันเป็นสำคัญมาก”
“สำคัญแค่ไหนก็ไม่ได้...ตอนที่เธอตบหน้าฉัน จำได้ไหม พูดว่าไง...อย่ามายุ่งกับฉันอีกต่อไป...เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่ต้องมาขอร้องอะไร ฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรกับเธอทั้งนั้น”

กุ้งนางร้องโวยวายต่อ
“ไอ้บ้า!”
ก้านกับชะเอมตกใจ โดยเฉพาะก้านหน้าเหวอไปเลย
“กุ้งด่าพี่เหรอ”
กุ้งนางรู้สึกตัว
“เฮ้ย...ไม่ใช่...ฉันนึกถึงไอ้คุณจิรายุนั่น มันต้องแกล้งไม่ให้ฉันเข้าไปพบพ่อแน่ๆ”
ก้านถอนใจ
“เออดี งั้นอย่าไปเลย”
ชะเอมถามกุ้งนาง
“แล้วแกรู้เหรอว่าคุณจิรายุเขาทำหน้าที่อะไร เขาอาจจะไม่เกี่ยวกับวงก็ได้ เราก็ไปทำงานของเราสิ”
ก้านพยายามห้าม
“แต่พี่ว่าอย่าไปเลยนะกุ้ง”
ชะเอมยุ
“ไปเถอะกุ้ง พี่ไปด้วย”
สองคนรบเร้ากุ้งนางไปคนละทาง กุ้งนางหนักใจ เริ่มลังเล ตัดสินใจไม่ถูก

ที่สยามซอง...จิรายุมีหน้าตาตื่นเต้นเมื่อได้ฟังสิ่งที่พ่อบอก
“พ่อจะรวมวงนทีทองกับชามาดางั้นเหรอครับ”
“ชามาดาเขามาเสนอ เพราะไหนๆอัลบั้มนี้ก็ต้องรวมทุกอย่างอยู่แล้วก็รวมวงเป็นการเฉพาะกิจไปเลย”
จิรายุยิ้มๆ
“งั้นผมก็ไม่ต้องทำงานแล้วสิครับ เพราะพี่โชคเขาก็ดูวงชามาดาอยู่แล้ว ก็ให้เขาทำไปเลยแล้วกัน”
“ใครบอก ฉันจะให้ไอ้โชคไปดูวงอื่น แล้วแกนั่นแหล่ะที่จะต้องมาดูคู่นี้”
“ได้ไงครับพ่อ ผมยังไม่เริ่มงานผู้จัดการวงนทีทองเลย ประสบการณ์ก็ไม่มีแล้วพ่อจะให้ผมมาดูโปรเจ็คท์ใหญ่แบบนี้ได้ไง”
“นั่นเป็นปัญหาของแก ถ้างานนี้แกทำดีแกก็จะแจ้งเกิดในวงการ ทุกคนจะยอมรับในฝีมือแกว่าแกจะเป็นผู้บริหารที่ดีต่อไป แต่ถ้าแกทำเจ๊ง นักร้องยอดขายสูงสุดของบริษัทก็จะตก วงดนตรีสองวงพังคนตกงานเป็นร้อยๆแน่”
“พ่อ...ผมว่ามันเว่อร์เกินไปหน่อยนะ”
“มีแต่แกแหละคิดว่าเว่อร์ แต่มันเป็นเรื่องจริง หมดสิ่งที่ฉันจะพูดแล้วไปเริ่มงานได้”
จิรายุมองหน้าพ่อก่อนจะลุกออกไปอย่างอารมณ์ไม่ดี
“ฉันรู้ว่าแกทำได้ ถ้าคนอย่างแกคิดจะทำไอ้จิ”

ในห้องซ้อมเต้น เจ๊อึ่งกำลังกรี๊ดอย่างไม่สบอารมณ์
"ห๊า...คุณจิจะเป็นผู้จัดการทั้งสองวงเหรอ ตายแล้ว...คุณจรัลคิดอะไรอยู่เนี่ย”
ครูแจ๋หนักใจ
“คุณจรัลน่ะไม่ได้คิด แต่เป็นความคิดของชามาดานักร้องหญิงเบอร์หนึ่งต่างหาก”
เจ๊อึ่งอึ้งไป
“น้องชมดน่ะเหรอ”
ครูแจ๋เว้าอีสานใส่
“แม่นแล้ว...แต่คุณจรัลเห็นด้วยเพราะคิดจะแจ้งเกิดให้กับคุณจิ แหม...ก็เป็นลูกเจ้าของ ถ้ามานั่งบริหารเลยคนก็เม้าท์น่ะสิว่าได้ดีเพราะมีพ่อ มันต้องโชว์ฝีมือกันหน่อย”
เจ๊อึ่งหนักใจ
“คุณจิน่ะคงมีฝีมือหรอก แต่อีคนร่วมงานนี่สิ มันจะทำวายป่วงกันหมด ดีไม่ดีงานนี้จะกลายเป็นงานปิดตัวคุณจิในวงการก็ไม่รู้”
“ก็นั่นนะสิ จะเอาอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้”
เจ๊อึ่งทำหน้าเซ็งโลก
“ยังไม่ต้องทำหน้าเซ็งโลก เดี๋ยวคุณจิเรียกประชุมต่ออีก คุณซุปตาร์เขาก็มาด้วย”

“ฮ่วย...”

ราชินีลูกทุ่ง ตอนที่ 5 (ต่อ)

ภายในห้องประชุม ทุกคนนั่งคุยกันอยู่ ยกเว้นชามาดา จิรายุพูดขึ้น

“อัลบั้มนี้เราคงต้องทำงานกันหนักหน่อย ผมหวังว่าเราจะช่วยดูแลกันไปจนจบโปรเจ็คท์นะครับและก็อย่างที่ทราบ เราจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ ซึ่งผมคงต้องพึ่งพาอาศัยทุกคน ยังไงก็ช่วยๆ ผมด้วยนะครับ”
เจ๊อึ่งถอนใจ
“แต่งานนี้ ไม่รู้ว่าเจ๊จะตายก่อนจบโปรเจ็คท์หรือเปล่านะคะ”
จิรายุยิ้มขำ
“อ้าว ทำไมอย่างงั้นล่ะครับ”
“ก็...”
เจ๊อึ่งไม่ทันได้พูดจบ ชามาดาโผล่เข้ามาในห้องพอดี พร้อมน้ำเสียงดีใจ เข้าไปกอดแขนจิรายุ
“จิขา ดาขอโทษที่มาช้า ดาดีใจจังเลยค่ะ ในที่สุด จิก็มาเป็นผู้จัดการวงให้ดาด้วย”
เจ๊อึ่ง หันไปเบ้หน้ากับครูแจ๋ ก่อนจะซุบซิบ
“แค่เห็นหน้าก็อายุสั้นลงไปอีกวันละ”
นทีทองมองชามาดา แล้วถอนใจ แต่พยายามนิ่งไว้จิรายุพูดขึ้น
“เชิญคุณนั่งเถอะ เราจะได้คุยงานกันต่อ”
ชามาดาอ้อนอาทิจ
“ไม่เอาค่ะ ดาหิว ไปทานข้าวกันก่อนนะคะ...ผู้จัดการ”
ทุกคนแอบมองหน้ากันอย่างระอา แต่ชามาดายิ้มระรื่นส่งสายตาให้จิรายุ
“ถ้าหิวก็ไปทานคนเดียวก่อน ผมยังประชุมไม่เสร็จ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย รอดากับจิทานข้าวเสร็จแล้วค่อยกลับมาประชุมต่อก็ได้นี่คะ”
“ไม่ได้...เพราะพี่มีสัมภาษณ์รายการวิทยุต่อ”
นทีทองจ้องหน้าชามาดาจริงจัง จนชามาดาเกรงเดินไปนั่งข้างนทีทองๆมองหน้าแล้วถอนใจเบื่อๆ

สามคนมาคุยกันที่บ้านกุ้งนาง ก้านตกใจกับการตัดสินใจของกุ้งนาง
“เอาจริงเหรอกุ้ง”
ชะเอมตื่นเต้นดีใจ
“แน่ใจแล้วใช่มะน้องรัก”
“แน่นอน ชัวร์ จริง คิดมาสามวันแล้ว เป็นไงเป็นกัน”
“แล้วไม่กลัวคุณจิรายุจะไล่ตะเพิดออกจากบริษัทแล้วเหรอ”
“มันก็ต้องเสี่ยงอ่ะ ถ้าจะให้ฉันอยู่ๆเฉยๆไปเรื่อยๆอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เจอ
พ่อล่ะ”
ก้านหนักใจ แต่ไม่รู้จะโต้แย้งยังไง
“บอกยายหรือยัง”

ยายอุ่นถอนหายใจ
“จะไปหามันทำไม”
“ยายจ้ะ ฉันต้องทำเพื่อแม่”
ยายอุ่นมองหลานสาวอย่างเป็นห่วง
“เฮ้อ ถ้างั้นยายก็ไม่ขัด แต่กุ้งเป็นผู้หญิงเข้ากรุงเทพคนเดียว จะดูแลตัวเองได้เหรอ”
ชะเอมรีบบอก
“ไม่ต้องห่วงจะยาย ชะเอมไปด้วย จะดูแลน้องอย่างดีที่สุด”
“ยายฝากกุ้งมันด้วยนะชะเอม”
กุ้งนางและชะเอมยิ้มดีใจ ก้านรู้สึกเป็นกังวล จึงคิดและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“เอางี้ พี่ไปด้วย”
กุ้งนางดีใจ
“จริงนะพี่ก้าน”
ก้านพยักหน้าแทนคำตอบ
“พี่จะปล่อยให้เอ็งสองคนไปตามลำพังได้ยังไง พี่มีเพื่อนที่กรุงเทพ มันน่าจะช่วยอะไรได้บ้างล่ะวะ “ก้านหันไปหายายอุ่น “ไม่ต้องเป็นห่วงนะยาย ฉันจะดูแลน้องเอง”
“แหม...นึกว่าจะทิ้งกันแล้ว”

กุ้งนางเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวอื่นๆใส่กระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนเตียง กุ้งนางยืนมองภาพถ่ายของแก้วตา ในมือถือกระดาษโน้ตที่มีเนื้อเพลงและสร้อยลูกปัด
“แม่...กุ้งจะไปหาพ่อนะ กุ้งจะไปถามพ่อแทนแม่ ว่าทำไมเขาถึงใจร้าย หรือมีความจำเป็นอะไรถึงทิ้งแม่กับกุ้งได้ แม่...เอาใจช่วยกุ้งด้วยนะ”

เช้าวันใหม่...ควันไฟลอยจางๆ ออกมาจากบริเวณที่ทำครัวหลังบ้าน พระภิกษุเดินบิณฑบาตมาตามทาง มีเด็กวัดสะพายย่ามเดินรั้งท้าย กุ้งนางตักข้าวและหยิบอาหารใส่บาตร แล้วรับดอกไม้จากยายอุ่นวางบนฝาบาตร ทั้งสองลงนั่งไหว้พระที่สวดมนต์ให้พร เมื่อตักบาตรเสร็จแล้ว ยายอุ่นก็พูดกับกุ้งนางอย่างจริงจัง
“กุ้งนาง จำไว้นะลูก ความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ก็คือ กุ้งนางเป็นหลานสาวของยายอุ่นและลูกของแม่แก้วตา”
กุ้งนางยิ้ม โผเข้ากอดยายอุ่น
“จ้ะยาย หนูรักยายนะ”
ยายอุ่นกอดตอบพลางน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ เอามือลูบหัวหลานด้วยความรัก
“เดินทางดีๆนะลูก”

บนรถโดยสาร ผู้คนนั่งเต็มคัน กุ้งนางกับก้านนั่งคู่กัน ส่วนชะเอมนั่งอยู่เบาะหลังถัดไปข้างๆชายหนุ่มหล่อล่ำ ผู้โดยสารบางคนนั่งหลับ บ้างนั่งกินขนมขบเคี้ยว บ้างนั่งคุยกันเงียบๆ รถโดยสารจอดเป็นระยะๆ ให้คนขึ้นลงไปตลอดทาง บนรถยังแน่นอยู่ตลอด ชะเอมมีความสุขกับการนั่งคู่กับหนุ่มหล่อ
“พี่จะไปกรุงเทพเหรอ”
“ครับ”
“อุ๊ย เหมือนกันเลย ฉันจะไปเป็นแดนเซอร์วงนทีทอง อยากให้พี่มาดูจังเลย”
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มๆ ก้านหันมามองชะเอม ส่ายหน้าอย่างระอา แล้วหันไปมองกุ้งนาง หญิงสาวปล่อยให้ลมปะทะหน้า สายตามองเหม่อไปนอกรถอย่างมีความฝันว่าจะได้เจอพ่อ

จิรายุ นั่งคุยกับทีมงานในสตูดิโอ นทีทองซ้อมเต้นกับแด๊นเซอร์ อยู่ที่มุมหนึ่ง โดยมีครูแจ๋คอยเทรน ด้านหลังผู้จัดการ คุยงานกับทีมงาน ฝ่ายเทคนิคก็เซ็ทไฟเซ็ทฉากไป นทีทองหันมาบอกครูแจ๋
“เดี๋ยวครับครูแจ๋”
ทุกคนหยุดเต้น
“ชามาดาอยู่ที่ไหน ทำไมไม่มาซ้อมพร้อมกัน”
เจ๊อึ่งเดินหน้ามุ่ยมาอีกคน
“ใครเห็นชามาดามั่ง ทำไมไม่มาแต่งตัวซะที โอ๊ย...อารมณ์เสีย”
ชามาดากับวีวี่ ผู้จัดการส่วนตัว เดินเข้าสตูมาด้วยกัน ครูแจ๋หันไปเห็น
“มาโน่นแล้วไง”
เจ๊อึ่งทำท่าปั้นหน้าเป็นยิ้มหวาน
“น้องดาขา...”
เจ๊อึ่งจะเดินไปแต่ต้องชะงักเบรกเอี๊ยดเพราะชามาดาแยกไปหาจิรายุ พอเดินไปถึงก็เข้าไปเกาะแขนจิรายุทันที
“จิขา ดามาแล้ว เราไปนั่งคุยกันในห้องแต่งตัวไหม”
“ไม่ได้หรอก ผมยุ่งอยู่ ดาเองก็น่าจะรีบไปแต่งตัวนะ คนอื่นเขารออยู่”
“ก็รอมาได้ตั้งนานแล้ว ก็รออีกหน่อยสิ ไม่เอาอ่ะ จิต้องไปกับดา ดามีเรื่องจะคุยเยอะแยะเลย”
ชามาดาพยายามจะลากแขนจิรายุไปด้วยกัน นทีทองเห็นภาพนี้แล้วโมโหเดินหน้าตึงไปหาทั้งคู่พูดเสียงเข้มมาก
“ดา...ตกลงวันนี้จะได้ถ่ายไหม ถ้าไม่พร้อมพี่ก็จะกลับ”
ชามาดาไม่พอใจ
“ได้ยังไงอ่ะ ถ้าพี่นทีกลับก็ต้องยกกองสิ ให้ดามาถ่ายคิวนี้ใหม่ไม่เอาแล้วนะ”
“งั้นก็แสดงความรับผิดชอบ ให้สมกับที่เป็นมืออาชีพที่มีสมองหน่อยได้ไหม”
ชามาดาหันมาอ้อนจิรายุ
“จิคะ...”
ชายหนุ่มสวนขึ้นทันที
“พี่นทีพูดถูกนะ”
ชามาดาหน้าเสีย แต่แอบค้อนนทีทอง เจ๊อึ่งแอบหัวเราะกับครูแจ๋
“ต้องให้นทีจัดการ ดอกเดียวอยู่”
ชามาดาหันขวับมาแว้ดใส่
“เจ๊อึ่ง นินทาอะไร”
ทั้งสามแตกกระเจิงต่างแยกย้ายกันไปทำงาน ชามาดาเดินไป เจ๊อึ่งยกนิ้วให้นทีทองแล้วหันเดินตามชามาดาไป จิรายุหันมาหานทีทอง
“ขอบคุณพี่นทีมากครับ”
นทีทองยิ้ม
“ค่อยๆ ฝึกไปนะครับ เป็นผู้จัดการวงปัญหายังมาอีกเยอะ”

ชามาดายืนหน้าหงิก

นทีทอง ชามาดา และแด๊นเซอร์ร้องและเต้นกันอยู่หน้ากล้อง มีฉากที่ทั้งคู่ต้องเต้นใกล้กัน มองตา จับมือ โอบกอดกัน ชามาดาแอบทำสะบัดสะบิ้งเล็กน้อย ไม่อยากให้จับ

“ขอโทษนะคะ ดาขอพักแป๊บนึงนะคะ”
ชามาดาเดินออกมาเลย ทุกคนงง อึ้ง ผู้จัดการจำใจสั่งพัก
“เอ้า พักสิบนาทีนะครับ”
เจ๊อึ่งเข้ามาซับๆหน้านทีทอง แล้วแอบซุบซิบ
“นทีซัดซะอีกดอกสิ”
“โธ่...เจ๊อึ่ง เอะอ่ะสั่งเกาเหลาให้ผมกินอยู่เรื่อย”
ชามาดาไปนั่งกระแซะข้างจิรายุ
“จิขา ดาไม่อยากเต้นกับพี่นทีเลยค่ะ” ชามาดาเหลือบมองนทีทอง “ดารู้สึกว่าโดนลวนลาม”
จิรายุตกใจ
“หา! พี่นทีเนี่ยนะ พี่เขาเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ คงไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอก อีกอย่างผมก็ไม่เคยได้ยินข่าวด้านลบๆของพี่เขาเลยนะ ดาคิดไปเองหรือเปล่า”
“แหม ก็มีพีอาร์คอยช่วยกลบข่าวซะขนาดนี้ ใครจะไปรู้ได้ล่ะคะ แต่คราวนี้ดาเหลือทนแล้วจริงๆ จิต้องคอยอยู่ใกล้ๆดานะคะ พี่นทีจะได้ไม่กล้า”
จิรายุยังตั้งรับไม่ทัน กระอักกระอ่วน นทีทองเดินเข้ามาพูดกับชามาดา
“ดา เดี๋ยวพี่ขอซ้อมคิวหน่อยนะ เมื่อกี๊พี่ว่ามันดูขัดๆกันยังไงไม่รู้ เหมือนเราไม่รักกันตามเพลงที่ร้อง พี่ว่าเราน่าจะกอดกันให้แน่นอีกหน่อย เดี๋ยวพี่ไปรอที่เซ็ทนะ”
ชามาดาเขยิบเข้าหาจิรายุทำเป็นกลัว
“เห็นไหม ดาว่าพี่นทีต้องแอบชอบดาแน่ๆ ตั้งแต่เราสองคนใกล้ชิดกัน พี่นทีก็ดูขวางๆดาชอบกล จิว่าไงคะ”
จิรายุยังงงๆ
“เหรอครับ ดาคิดมาไปหรือเปล่า”
“ไม่มากหรอก นี่แหล่ะอาการเฒ่าหัวงู ดาเจอมาเยอะแล้วผู้ชายแบบนี้ จิต้องช่วยดานะ”
“ช่วยดา...ช่วยยังไง”
“เราก็ต้องชัดเจนไปเลยสิว่าเรารู้สึกยังไงต่อกัน พี่นทีจะได้ตัดใจจากดาซะที”
ชามาดายิ้มหวานให้ จิรายุมองหน้าชามาดา แล้วแค่นหัวเราะ
“ผมน่ะชัดเจนอยู่แล้ว”
ชามาดายิ้มระรื่น
“ดาก็ชัดเจนค่ะ”
ชามาดากอดแขน จิรายุส่ายหน้าระอา

เวลาผ่านไป ทีมงานเก็บของ ชามาดาลาทุกคนไหว้ไปทั่ว
“สวัสดีนะคะทุกคน วันนี้ทำงานสนุกมากเลย...ไปนะคะพี่นที”
นทีทองยิ้มบางๆ
“จ้ะ”
ชามาดาหันไปควงแขนจิรายุ
“ไปค่ะจิ”
จิรายุอึ้ง ทำตัวไม่ถูก
“เอ่อ...ครับ” จิรายุหันไปบอกทุกคน “พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”
ชามาดาดึงจิรายุไป แต่นึกอะไรได้ หันมาพูดกับนทีทอง
“พี่นทีขา ดาขอโทษพี่นะคะ ที่ทำให้พี่ลำบากใจ ดาเข้าใจความรู้สึกพี่ค่ะ แต่ดาคงเทคแคร์คนแก่ เอ๊ย ผู้ใหญ่ไม่เป็นน่ะค่ะ...ดาขอตัวก่อนนะคะ”
ชามาดาควงจิรายุเดินออกไป วีวี่ เจ๊อึ่ง และครูแจ๋รีบเข้ามาประกบนทีทอง เจ๊อึ่งถามอย่างไม่เข้าใจ
“มันพูดอะไรของมันน่ะนที”
นทีทองส่ายหน้า
“ผมก็ถอดรหัสไม่ออกเหมือนกัน งง”
วีวี่อึ้งๆ
“งงเหมือนกันค่ะ”
ครูแจ๋ เจ๊อึ่ง นทีทองมองวีวี่ ก่อนที่ครูแจ๋จะแว๊ดออกมา
“ฉันก็งง แล้วทำไมหล่อนไม่ตามไปรับใช้ศิลปินชะมดของหล่อนล่ะจ๊ะ”
วีวี่จ๋อยไป
“ก็วีวี่โดนเฉดหัวออกมาน่ะสิคะ บอกว่าจะไปดินเนอร์กับคุณจิรายุสองต่อสอง”
ครูแจ๋กับเจ๊อึ่ง เบ้หน้า ส่วนนทีทองสีหน้านิ่งเฉย

ชามาดากระเง้ากระงอดชวนจิรายุอยู่ตรงข้างรถตัวเอง
“นะคะ ไปทานข้าวกับดานะคะ”
“ไม่ได้หรอก ผมต้องกลับไปเตรียมงานวันพรุ่งนี้”
“แหม แต่จิก็ต้องทานข้าวนะคะ”
“ผมทานที่บ้านได้ ผมส่งคุณแค่นี้นะ”
จิรายุจะไป ชามาดาไม่พอใจแต่เก็บไว้แล้วทำเป็นเศร้า
“เดี๋ยวสิคะจิ จิโกรธดามากใช่ไหม”
จิรายุหยุด หันมา ชามาดาบีบน้ำตา
“จิโกรธที่ดาไปคบคนอื่น ดาพยายามขอโทษจิ แต่จิก็ไม่เห็นใจเกลียดดามาก อภัยให้ดาไม่ได้เลยใช่ไหมคะ”
จิรายุงงๆ
“คุณพูดอะไรเนี่ย มันไม่เกี่ยวอะไรเลยสักนิดนะดา”
“ก็เกี่ยวกันไปหมดแหละ ก็จิไม่ยอมไปทานข้าวกับดานี่”
จิรายุถอนใจ ใจอ่อน
“โอเค จะไปทานที่ไหน”
ชามาดายิ้มพอใจ

ค่ำนั้น ชามาดาชวนจิรายุมาทานข้าวที่คอนโดของเธอ จิรายุกินอาหารเสร็จรวบช้อน ดื่มน้ำ เช็ดปาก
“ผมอิ่มแล้ว ขอตัวกลับก่อนนะครับ”
ชามาดาทำงอน
“อะไรกัน อยู่ต่ออีกหน่อยสิคะ เราไม่ได้มีเวลาคุยกันตามลำพังอย่างนี้นานแล้วนะคะ”
“ไม่ได้แล้วล่ะ นี่ผมก็อยู่นานแล้ว ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะ”
จิรายุลุกขึ้น ชามาดารีบลุกมาดึงไว้
“เดี๋ยวสิคะ” ชามาดาส่งสายตายั่วยวน “เราจะไม่รำลึกถึงอดีตกันหน่อยเหรอ”
ชามาดาโอบคอจิรายุอย่างยั่วยวน ชายหนุ่มแค่นยิ้ม
“อดีตเหรอ...อดีตก็ผ่านไปแล้วไง ตอนนี้เราก็คบกันเฉยๆ แบบเพื่อน”
ชามาดายังยื้อต่อ
“ดาไม่เชื่อหรอก ไม่งั้น จิก็คงไม่ยอมมากินข้าวกับดาถึงในห้องหรอก จิส่งดาแค่ข้างล่างก็ได้ หรือไม่ก็ทิ้งดาไปตั้งแต่ที่ลานจอดรถที่บริษัทแล้วแต่นี่...แสดงว่า เราคงต่อกันติดไม่ยากใช่ไหมคะ”
ชามาดาจะจูบ จิรายุจับมือหญิงสาวสะบัดออก
“ขอโทษนะดา ผมคงไม่ต่อไม่ติดอะไรทั้งนั้น ขาดแล้วก็ขาดเลย”
จิรายุจะกลับ ชามาดาโกรธ วิ่งตามมาจับแขนไว้อีก
“อย่าไปนะคะจิ คุณจะทิ้งดาไปเฉยๆอย่างนี้ไม่ได้นะ”
จิรายุไม่ฟัง สะบัดมือออก แล้วเดินออกประตูไปเลย ชามาดาเจ็บใจ ตะโกนลั่น
“อ๊ายย จิ!...คอยดูนะ ดาจะดึงคุณกลับมาให้ได้”

ชามาดากำหมัดด้วยความโมโห นึกถึงเรื่องในอดีต

ค่ำคืนนั้นในอดีต...ที่งานเลี้ยงในโรงแรมหรู ชามาดากำลังร้องเพลงอยู่บนเวที พร้อมแดนเซอร์ หน้าเวทีมีนักข่าวต่างรุมถ่ายรูป อีกมุมหนึ่งจิรายุกับจรัลยืนดูการแสดงอยู่ จิรายุมองด้วยสายตาชื่นชมจนจรัลไม่ไว้ใจ

“ตกลงที่เขาเม้าท์ๆ กันนี่จริงหรือเปล่า”
“เรื่องอะไรครับพ่อ”
“ก็เรื่องที่แกกับนักร้องใหม่นี่คบกันน่ะสิ”
“แล้วถ้าจริงล่ะพ่อ”
“เฮ้ย...มันจะไม่ดีนะ หวังว่า นี่คงไม่ใช่คำตอบของแกนะ”
จิรายุยิ้ม
“ถ้าพ่ออยากได้คำตอบก็รอถามเวลาแล้วกัน เวลาจะบอกพ่อเอง”
“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนเลย แล้วเรื่องเรียนต่อโทจะว่าไง พ่อจะได้จัดการ”
“ผมไม่อยากเรียนแล้วครับ”
จิรายุพูดจบก็หันไปมองชามาดาอย่างมีความสุข ชามาดาที่ร้องไปเต้นไปก็มองลงมาเห็นหนุ่มตี๋ไฮโซยืนส่งตาหวานให้ ชามาดายิ้มตอบ เธอร้องจนจบเพลง ไฮโซเอาดอกไม้มามอบให้ที่หน้าเวที จิรายุมองไปแล้วอึ้ง
“ใครน่ะพ่อ ทำไมมาอยู่ในงานเปิดตัวอัลบั้มของนักร้องเรา ไม่ใช่นักข่าวนี่”
“อ๋อ...ลูกชายเจ้าของโรงแรม เขาเป็นคนไปเสนอเองเลยนะว่าให้เรามาเปิดตัวที่นี่เป็นไง ทำให้นักร้องเราดูดีไปเลยใช่ไหม”
จิรายุมองตามหน้าเครียด ชามาดานั่งจับมือมองตากับหนุ่มไฮโซอยู่ที่โต๊ะ
“ขอบคุณมากนะคะ ที่ให้ดามาร้องเพลงเปิดอัลบั้มที่โรงแรมคุณ”
“ผมเห็นคุณในทีวีครั้งแรก ก็คิดเลยว่าจะต้องเจอตัวคุณให้ได้ ผมเลยติดต่อสยามซอง ให้คุณมาเปิดอัลบั้มที่นี่ซะเลย”
“แหม พูดอย่างกับจะจีบดาแน่ะ”
“ได้ไหมล่ะครับ”
ชามาดาทำอายเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่เอาแล้ว คุยเรื่องอื่นดีกว่า โรงแรมสวยจังนะคะ เห็นเขาว่ากันว่าที่อื่นๆก็สวย”
“ที่เขาว่าน่ะที่ไหนล่ะครับ เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต หรือในต่างประเทศ”
ชามาดาตาโต
“โห...คุณมีโรงแรมกี่แห่งคะเนี่ย”
“ทั้งในและต่างประเทศก็หกสิบกว่าที่เท่านั้นครับ”
ชามาดาอ้าปากค้างแต่รีบเก็บอาการเป็นยิ้มหวาน จิรายุยืนมองอยู่ที่มุมหนึ่ง อย่างเจ็บใจ ชามาดาหันไปเห็นก็หน้าเจื่อนนิดนึง เธอบอกกับหนุ่มไฮโซ
“แป๊บนึงนะคะ พอดีเจอเพื่อนน่ะค่ะ”
ชามาดาเดินไปหาจิรายุอย่างเซ็งๆ
“มีอะไรคะจิ”
“คุณนั่นแหละ มีอะไรกับไอ้ไฮโซนั่น”
ชามาดาตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ก็ยังไม่มีอะไร”
“ขอให้เป็นอย่างที่ดาพูดนะ”
จิรายุจะเดินไปแต่ชามาดาเรียกไว้
“เดี๋ยวค่ะจิ...ดาคิดว่าเราสองคนไม่ควรปิดโอกาสตัวเอง”
จิรายุอึ้ง
“หมายความว่ายังไง”
ชามาดายิ้ม
“ทั้งดาและคุณยังมีอนาคตอีกไกล บางทีเราไม่ควรจะมองแต่ปัจจุบันนะคะ”
จิรายุมองชามาดาอย่างเจ็บใจ และเสียใจ เดินออกไป ชามาดามองตาม เบะปาก แล้วเดินกลับไปหาหนุ่มไฮโซ

วันใหม่ ชามาดายืนกรี๊ดดังลั่น เมื่อเห็นโลงศพวางอยู่หน้าบริษัท ครูแจ๋ ครูคม เจ๊อึ่ง จรัล ก็พาตกใจใหญ่ พร้อมกับนักข่าวกรูเข้ามาถามชามาดา
“น้องชามาดาไปแย่งสามีของไฮโซ จ. มาจริงๆเหรอคะ”
จรัลเข้ามาขวางนักข่าว
“ขอโทษนะครับ คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะครับ”
“แต่ทางโน้นเขาเอ่ยชื่อชามาดาออกมาเลยนะครับ”
“ภรรยาเขาส่งโลงศพมาให้อย่างนี้ชามาดาจะทำยังไงคะ”
“จะส่งคืน หรือเอาไว้ใช้เองคะ”
นักข่าวแย่งกันถาม ชามาดากรี๊ดลั่นอีก

ชามาดาโทรคุยกับหนุ่มไฮโซอยู่มุมหนึ่งในบริษัท
“คุณมีเมียแล้วทำไมไม่บอกฉัน...ว่าไงนะ จะเลิกกับฉันเหรอ”
“ดา...เข้าใจผมหน่อยสิ ผมก็ไม่มีวันเอานักร้องลูกทุ่งมาเป็นเมียได้หรอก เอาเป็นว่าที่ผ่านมาถือซะว่าเราสนุกด้วยกันทั้งคู่แล้วกันนะ”
ชามาดากรี๊ด คิดๆไปด้วยความแค้น แล้วค่อยสงบลง คิดอะไรออกบางอย่าง แล้วกดโทรศัพท์ แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ ก็กดๆๆอีก จนโมโห ครู่หนึ่งเจ๊อึ่งเดินดื่มน้ำผ่านเข้ามา เห็นชามาดาก็ตกใจสำลักน้ำ ชามาดาหันขวับมามอง เจ๊อึ่งทำหน้านิ่ง แล้วจะเดินหนีไป
“เดี๋ยว คุณจิไปไหน ทำไมไม่เปิดมือถือเลย”
“อู๊ยย...เขาไปเรียนต่อเมืองนอกแล้วล่ะจ้ะ”
“เรียนต่อเมืองนอก แล้วทำไมเขาไม่บอกดา”
เจ๊อึ่งทำหน้าเหรอหรา
“ก็น้องดามัวแต่ไปอยู่ในกรงทองมือสองมานี่ค้า”
ชามาดากรี๊ดใส่ เจ๊อึ่งตกใจ รีบเผ่นออกไป ชามาดาคิดๆอย่างเจ็บใจ

ชามาดานึกถึงอดีตแล้วเจ็บใจนั่งขยุ้มหมอนอย่างปวดร้าว
“ฉันไม่ปล่อยคุณหรอก ฉันรอคุณมาขนาดนี้ ฉันจะเอาคุณกลับคืนมาเป็นของฉันเหมือนเดิม คุณจิรายุ”
จิรายุขับรถหน้าเครียด ครุ่นคิดถึงนึกถึงคำพูดของชามาดา
‘จิ...ดาจะดึงคุณกลับมาให้ได้’
“ไม่มีทางหรอกดา ผมมันก็แค่คนเคยรักคุณมากเท่านั้น”

รถโดยสารวิ่งฝ่าความมืดมุ่งหน้าไปตามถนน กุ้งนางมองพระจันทร์จากหน้าต่างรถ ก้านหลับคอพับไปทางหนึ่ง ชะเอมหลับซบไหล่ชายที่นั่งด้านข้าง ชายคนนั้นพยายามดันหัวชะเอมออก แต่ชะเอมก็มาซบโงกเงกมาซบอีก ชายคนนั้นทำหน้าเซ็งๆ

เช้าวันใหม่...บรรยากาศสถานีขนส่งหมอชิตยามเช้ามีรถโดยสารจอดอยู่เรียงราย ผู้คนเดินกันพลุกพล่านทั้งผู้โดยสาร ทั้งคนที่มารอรับญาติพี่น้อง มิจฉาชีพ 2 คนแฝงตัวมาปะปนกับผู้โดยสารเพื่อรอทีเผลอแล้วแอบขโมยของ และพวกแท็กซี่ผีที่แอบเข้ามาเรียกผู้โดยสารถึงที่จอดรถ กุ้งนางเดินลงมาจากรถตามด้วยก้านและชะเอมที่เดินบ่นลงมา
“โอย...เมื่อยตูดเป็นบ้า เดี๋ยวจอด เดี๋ยวจอด กว่าจะถึงได้”
กุ้งนางกับก้านท่าทางเก้ๆกังๆมองซ้ายมองขวาดูตื่นตระหนกกับผู้คนมากมายตามประสาเด็กต่างจังหวัดที่เพิ่งเข้ากรุงครั้งแรก คนร้ายที่เพิ่งกรีดกระเป๋าเสร็จ เห็นกุ้งนาง ก็ซุบซิบกัน แล้วคนหนึ่งก็แยกไปจะไปรอดักอีกทาง ส่วนอีกคนก็เข้าประชิดตัวกุ้งนางแล้วแย่งกระเป๋าไปถือ
“แท็กซี่จอดอยู่ทางโน้น ไปเลยน้อง”
“เฮ้ย...อะไรพี่ เอากระเป๋าของหนูมา”
กุ้งนางเข้าไปแย่งกระเป๋าคืนแต่คนร้ายยื้อเอาไว้
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวถือให้”
ก้านเข้าไปช่วยแย่งคืน
“ไม่ต้องเลย เอามานี่”
“ก็บอกว่าจะถือให้ไง”
คนร้ายทำท่าจะเดินหนี ก้าน กุ้งนาง ชะเอมจึงเดินไปดักหน้าดักหลัง คนร้ายจวนตัวเลยวิ่งชนชะเอมจนล้มผ่านออกจากวงล้อมเอาดื้อๆ แล้ววิ่งหนีไป กุ้งนางกับก้านวิ่งตามไปติด ชะเอมลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งตามไป

คนร้ายวิ่งหนีไปจนมุมด้านหลังอาคารที่ค่อนข้างเปลี่ยว
“เอากระเป๋าฉันคืนมา”
ขณะที่ก้านกับกุ้งนาง มัวแต่ดูท่าทีอยู่กับคนร้ายจึงไม่ได้ระวังว่าพวกของคนร้ายอีกสองสามคนมายืนอยู่ข้างหลัง
“เฮ้ย...ข้าให้ไปเอากระเป๋า เสือกเอาไอ้สามตัวนี่มาด้วยทำไมวะ”

กุ้งนาง ก้าน และชะเอมหันไปดูตามเสียง เริ่มใจคอไม่ดีเพราะมีคนน้อยกว่า แต่ก็ตั้งท่าสู้

ราชินีลูกทุ่ง ตอนที่ 6

คนร้ายมองจ้องกุ้งนาง ทำท่ากรุ้มกริ่มแล้วเดินเข้ามาหา ถูกใจรูปร่างหน้าตากุ้งนางมากๆ คนร้ายอีกคนทำเสียงจุ๊ปาก

“จุ๊ๆๆ...อีนี่มันสวยดีนี่หว่า”
กุ้งนางเหวี่ยงหมัดใส่ คนร้ายหลบทัน
“แน๊ะ...มีฤทธิ์ด้วย พี่ล่ะอยากโดนฤทธิ์ของน้องเสียจริงๆ”
เหล่าคนร้ายหัวเราะชอบใจ จะเดินเข้ามาหากุ้งนางอีกแต่ก้านรีบเดินเข้ามาขวางไว้
“อย่ามายุ่งกับน้องฉันนะเว้ย”
“มึงนั่นแหล่ะที่อย่ายุ่ง” คนร้ายหันไปสั่งเหล่าสมุน “เฮ้ย...จัดการมัน”
เหล่าคนร้ายปรี่เข้าไปต่อยและรุมกระทืบก้าน กุ้งนางและชะเอมร้องกรี๊ดจะเข้าไปช่วย แต่คนร้ายคนหนึ่งหยิบมีดออกมาขวางสองสาวไว้ ชะเอมต่อว่า
“โห...พี่ แมนโคตรเลย ใช้มีดกับผู้หญิงเนี่ยนะ”
กุ้งนางกับชะเอมได้แต่ยืนดูก้านโดนรุม
“พี่ก้าน...”
กุ้งนางกอดกับชะเอมด้วยความเป็นห่วงก้าน ระหว่างที่ก้านกำลังแย่นั้น เสียงนกหวีดก็ดังปรี๊ดขึ้นมาพวกคนร้ายทั้งสามรีบมารวมตัวกัน กุ้งนางกับชะเอมรีบวิ่งเข้าไปดูก้าน
“พี่ไม่เป็นไรนะ ตำรวจมาแล้ว...” กุ้งนางตะโกน “ช่วยด้วย...คุณตำรวจช่วยด้วยค่ะ พวกแกตายแน่”
เสียงนกหวีดดังขึ้นใกล้เข้ามาอีก ทุกคนหันไปมองที่มุมตึก ด้วงโผล่ออกมาจากมุมตึกในมาดเท่ห์สุดๆ เหล่าคนร้ายถอยไปตั้งหลัก คิดว่าด้วงเป็นตำรวจ เพราะดูจากท่าทาง ด้วงพยายามเข้มเต็มที่และมีวิทยุสื่อสารอย่างที่ตำรวจใช้กัน ชะเอมตะลึงหลงรัก
“พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง...หล่อเกิ้น”
ก้านพึมพำ
“พี่ด้วงเหรอเนี่ย”
ด้วงเดินมาหยุดขวางพวกคนร้าย ยกวิทยุมาพูด
“วอ2 เรียก วอ1 เกิดเหตุทำร้ายร่างกายที่หลังตึก ขอกำลังมาด่วน”
สมุนคนหนึ่งตกใจ
“เฮ้ย...พี่ ตำรวจ...หนีกันเถอะ”
สมุนพยายามจะดึงลูกพี่ให้หนี แต่คนร้ายคนนั้นมองด้วงอย่างสงสัย
“ตำรวจแน่เหรอวะ ดูแปลกๆ”
“ใช่...กูนี่แหละตำรวจ”
ก้านงง
“พี่ด้วงเป็นตำรวจเหรอ ก็เมื่อวานตอนคุยกันพี่ยังบอกว่าเป็นยามอยู่เลย”
ด้วงหน้าซีดทันที คนร้ายทั้งสามจ้องหน้าเอาเรื่อง ด้วงมองก้านเซ็งๆ
“มึงจะมาซื่ออะไรตอนนี้วะไอ้ก้าน”
คนร้ายแสยะยิ้ม
“กูว่าแล้วเชียว ตำรวจอะไรวะตัวเตี้ยจนแทบจะต้องสอยมะเขือกินยังงี้ คราวนี้ ตายหมู่แน่” คนร้ายหันไปสั่งลูกน้อง “เฮ้ย ปลดให้เกลี้ยงแล้วลากอีสองตัวนี่ไปขาย”
ทั้งสองฝ่ายเข้าตะลุมบอนกันอีกรอบ กุ้งนางกับชะเอมก็ช่วยด้วย กุ้งนางคว้ากระเป๋าคืนมาได้
“ฉันได้กระเป๋าแล้ว”
ชะเอมรีบบอก
“งั้นก็เผ่นสิ”
กุ้งนาง ชะเอม ก้าน ด้วง วิ่งไม่คิดชีวิต เหล่าคนร้ายวิ่งตาม แต่เมื่อวิ่งหนีไปในบริเวณที่มี คนพลุกพล่าน คนร้ายก็ต้องเก็บมีดแล้วล้มเลิกด้วยความเจ็บใจ

ด้วงเปิดประตูห้องพักของตน แล้วเดินนำเข้ามาตามด้วยกุ้งนาง ก้าน ชะเอม
“วันนี้อยู่เบียดๆ กันไปก่อนนะ เจ๊เจ้าของหอบอกว่า พรุ่งนี้จะมีห้องว่างแล้วค่อย ขยับขยายกัน...ไม่เป็นไรนะ”
กุ้งนางยิ้มแหยๆเพราะไม่มีทางเลือก ชะเอมยิ้มหวานให้ด้วงดูจะยินดีจนออกนอกหน้า
“แล้วนี่ชื่ออะไรกันบ้างล่ะ มัวแต่หนียังไม่รู้จักเลย”
“อ้อ...ลืมไปเลย” ก้านบอกกับสองสาว “นี่พี่ด้วงญาติทางแม่ฉันเอง...นี่กุ้งนาง นี่ชะเอม”
ชะเอมยิ้มหวาน
“พี่ด้วงเหรอ ชื่อน่ารักสมตัวเลย”
ด้วงโอ่ทันที
“ที่กรุงเทพ เพื่อนฝรั่งของพี่ เค้าเรียกชื่อด้วงลำบาก พี่เลยเปลี่ยนเป็นแดนนี่”
ชะเอมตาโต
“ว๊าว เท่ห์จัง งั้นฉันเปลี่ยนเป็นเอมมี่แล้วกัน เผื่อมีเพื่อนฝรั่ง”
กุ้งนางตื่นเต้น
“โห...พี่ด้วง...เอ๊ย พี่แดนนี่มีเพื่อนฝรั่งด้วยเหรอจ๊ะ”
“มีสิ มันก็ทำโรงงานที่พี่เป็นยามนั่นแหล่ะ”
ก้านขัดขึ้น
“ฝรั่งจากเขมร พม่าน่ะสิพี่”
ด้วงหน้าเสีย ก้าน กุ้งนาง ชะเอมขำ
“เออๆๆๆ ถ้าพวกเอ็งออกเสียงยาก ก็เรียกด้วงเหมือนเดิมแหละ อยู่ที่นี่น่ะ ถิ่นพี่ ถ้าอยากรู้อะไร ถามพี่ พี่ตอบได้หมด”
ชะเอมยิ้มหวานทำเซ็กซี่โปรยเสน่ห์จีบด้วง
“อยากรู้ว่าผู้ชายเตี้ย ล่ำ ดำแต่ดูดี มีแฟนหรือยังจ๊ะ”
ด้วงกุมขมับ
“เอาอีกแล้ว ทำไมผู้หญิงต้องหลงใหล แต่รูปลักษณ์ภายนอกพี่ด้วยนะ น้องชะเอม ถ้าไม่อยากเจ็บก็อย่าจับพี่เลย ถึงพี่จะหล่อแต่พี่น่ะ...ยากจ้ะ”
ชะเอมค้อน งอนด้วง สะบัดหน้า เชอะ! กุ้งนาง ก้านแอบหัวเราะคิกคัก

ค่ำนั้น...กุ้งนาง ก้าน ด้วง ชะเอม นั่งอยู่ในร้านอาหารอีสานริมถนน เด็กเสิร์ฟยกส้มตำ ข้าวเหนียว น้ำตกและเมนูอื่นๆ มาวางจนเต็มโต๊ะ ก้าน ชะเอม กุ้งนางมองอย่างชอบใจ ซู้ดปากกันใหญ่ ด้วงเชื้อเชิญ
“เอ้า...ซัดกันให้เต็มเหนี่ยวเลย มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง”
กุ้งนางเกรงใจ
“ไม่ต้องหรอกพี่ พวกฉันมาอาศัย แล้วให้พี่เลี้ยงข้าวอีก ฉันเกรงใจ”
“เกรงใจทำไม” ด้วงจัดแจงตักน้ำแข็งใส่แก้ว เทน้ำแล้วแจกให้ “พี่เลี้ยงแต่น้ำนะอาหารเลี้ยงพี่ด้วยแล้วกัน”

ทั้งสี่กินกันไปคุยกันไป กุ้งนางจึงบอกว่าเธอต้องการจะไปสมัครงานที่สยามซอง...ด้วงกำลังซดน้ำซุปแต่แล้วก็ต้องสำลัก
“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ...จะไปสมัครงานที่สยามซองเหรอ”
สามสหายพยักหน้าพร้อมกัน สีหน้าจริงจัง
“บ้าไปแล้วพวกเอ็ง ขนาดข้ารูปร่างหน้าตาเพอร์เฟ็คยังงี้ สมัครเป็นนักร้องมาไม่รู้กี่สิบครั้ง ยังปิ๋ว อย่าหาว่าดูถูกเลยนะ กลับไปทำไร่ทำนาที่บ้านเห๊อะ”
ก้านรีบบอกกุ้งนางทันที
“เห็นมั้ยกุ้ง ถ้ามันยากอย่างที่พี่ด้วงว่า เรา...กลับบ้านกันดีกว่ามะ”
กุ้งนางสวนทันควัน
“ถึงยาก ฉันก็จะไปสมัครให้ได้ ถ้าพี่ก้านอยากกลับก็กลับไปคนเดียวเหอะ”
ชะเอมรีบสนับสนุน
“ช่าย...มาถึงนี่แล้ว เรื่องอะไรจะกลับง่ายๆ ไม่ได้งาน อย่างน้อยก็ต้องได้แฟนล่ะวะ”
กุ้งนางเซ็งๆ
“อันนี้นอกประเด็นแล้วพี่” กุ้งนางหันไปหาก้าน “ฉันขอบคุณพี่ก้านมากนะ ที่เป็นห่วง ดูแลฉันมาตลอด แต่ฉันกลับไม่ได้แล้วจริงๆ พี่ก้านเข้าใจฉันนะ”
ก้านถอนใจ
“เฮ้อ พวกเอ็งนี่บ้า จะให้พี่กลับไปคนเดียวได้ไงล่ะ ยายอุ่นด่าแหลกแน่”
ด้วงส่ายหน้าและมองก้านด้วยสายตำหนิที่ก้านยอมน้องๆ
“ไอ้ก้าน เอ็งนี่มันดวงผู้หญิงข่มเห็นๆเลยว่ะ”
ชะเอมเขยิบมาใกล้ด้วง
“แต่ฉันน่ะ ดวงผัวข่ม แต่ฉันไม่ขืนด้วยนะ”

ด้วงกุมขมับ

เมื่อกลับมาที่ห้องพัก ก้านกับด้วงนอนที่พื้นแล้วกุ้งนางกับชะเอมนอนบนเตียง กุ้งนางนอนไม่หลับลุกขึ้นมา ย่องไปเปิดกระเป๋าหยิบกล่องขนมปังมาแล้วออกไปนอกระเบียง

หญิงสาวเปิดกล่องขนมปังออกมีเงินค่าผ่าตัดมัดหนังสติ๊กอยู่ พร้อมกับรูป สร้อยข้อมือ และกระดาษเนื้อเพลงอยู่ในนั้น กุ้งนางลูบของในกล่องด้วยความเศร้าแล้วหยิบรูปมาดู
“แม่จ๋า...ฉันใกล้พ่อเข้ามาอีกนิดแล้วนะ ฉันชักจะกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับพ่อแล้วสิ”
กุ้งนางเอารูปใส่กล่อง แล้วหยิบสร้อยมาดู
“สักวันนะแม่ ฉันจะใส่สร้อยนี้ให้พ่อเห็น”

เช้าวันใหม่...จิรายุขับรถอยู่บนถนน เสียงโทรศัพท์ดัง ชายหนุ่มหยิบหูฟังบลูทูธมาใส่ แล้วกดรับสาย
“ว่าไงครับพี่คมกริช อย่าบอกว่าผมสายนะ ยังไม่ถึงเวลาประชุมนี่”
“ยังหรอกครับ แต่ผมจะถามคุณจิว่า เรื่องผู้ช่วยเจ๊อึ่งที่คุณจิจะรับเพิ่มน่ะ ไปถึงไหนแล้ว เจ๊แกมาโวยวายกับผม ว่าถีบจักร์เป็นโรงงานเย็บผ้า ทำไม่ไหวแล้ว”
“ผมให้เลขาทำเรื่องไปที่ฝ่ายบุคคลแล้วนี่ครับ”
“ถ้างั้นผมต้องรบกวนคุณจิรีบๆ ตามงานหน่อยนะครับ ไม่งั้นเสื้อผ้าเซ็ทใหม่คงเสร็จไม่ทันวันเปิดอัลบั้มแน่ๆ”
“ครับพี่ ถ้าฝ่ายบุคคลช้ามาก ผมอาจจะต้องหาคนมาช่วยไปก่อนดีมั้ยครับพี่คม”
คมกริชยิ้มสะใจ
“ก็ดีมั้งครับ คุณจิเป็นผู้จัดการวงนี่ครับ”
จิรายุผิดสังเกตกับน้ำเสียงคมกริช
“คุณจิจะให้ผมช่วยอะไรมั้ยล่ะครับ”
“พี่คมช่วยไปคุยเจ๊เคลียร์กับเจ๊อึ่งก่อนนะครับ”
“ได้ครับ”
“ขอบคุณครับพี่ เดี๋ยวถึงบริษัทแล้วจะรีบจัดการเรื่องนี้ทันทีเลยครับ”
จืรายุกดวางสาย จิรายุเปิดไฟเลี้ยวแล้วแซงขวาออกไป

คมกริชนั่งอยู่ในห้องทำงาน เจ๊อึ่งเดินมาลงนั่ง เขียดยืนอยู่เยื้องๆไป
“มีอะไรจะคุยกับเจ๊เหรอคะคุณคม”
“คุณจิรายุ ให้ผมเคลียร์กับเจ๊เรื่องเสื้อผ้าเซ็ทใหม่ที่เสร็จไม่ทันวันเปิดอัลบั้ม”
“อ๊าว เจ๊ก็เร่งสุดๆ แล้วนะ นี่เจ๊ลงมือกำลังกระทืบจักรด้วยตัวเองแล้วนะ”
เขียดเสริม
“จริงค่ะ กระทืบมาสามวันสามคืนแล้วนะคะคุณคม”
“แล้วจะมาโวยวายอะไรกับผมล่ะ ผมเรียกมาเนี่ย ก็จะหาทางช่วยเห็นว่าผู้จัดการวง เค้าก็ไม่สนใจอะไร”
“คุณจิน่ะเหรอคะ”
“ก็เจ๊คิดว่าใครล่ะ วันๆ ไม่เห็นสนใจงาน ทำงานเหมือนเล่น”
เจ๊อึ่งขัดขึ้น
“แต่คุณจิเพิ่งมาทำหน้าที่ผู้จัดการวงนะคุณคม”
“แล้วก่อนนี้ที่ผมช่วยดูแลงาน มีปัญหายังงี้มั้ยล่ะ”
เขียดเห็นด้วย
“ก็จริงของคุณคมนะเจ๊”
เจ๊อึ่งถลึงตาใส่ เขียดสะดุ้ง คมกริชหยิบเอกสารให้
“นี่ครับเจ๊ เอกสารยืนยันเรื่องรับพนักงาน ผมจัดการให้แล้ว”
เจ๊อึ่งรับมาแล้วมองหน้าคมกริชไม่ค่อยมั่นใจ คมกริชจ้องหน้า
“มีอะไรอีกล่ะเจ๊”
“แต่คุณจิบอกเจ๊ว่า เร่งไปที่ฝ่ายบุคคลให้แล้ว...”
คมกริชตัดบททำเป็นเสียใจ
“เจ๊...ผมอุตส่าห์ช่วย ทำดีกลับไม่ได้ดี เจ๊จะขอบคุณสักคำก็ไม่มี เฮ้อ..ผมมันไม่ใช่ลูกเจ้าของบริษัทนี่นะ ก็ต้องเจียมตัวหน่อย จริงมั้ยเจ๊”
“โอ๊ย คุณคมคิดเยอะไปแล้ว เจ๊ก็เห็นคุณคมทุ่มเททำงานเพื่อบริษัทเต็มที่นะ”
“แต่ไม่รู้คุณจรัลจะเห็นความดีของผมรึเปล่านะเจ๊”
“ต้องเห็นสิคะคุณคม”
เขียดเสริม
“เขียดก็ว่าต้องเห็นค่ะ…”
เจ๊อึ่งดุ
“นังเขียด…เอาเป็นว่า เจ๊ขอบคุณคุณคมนะคะ ที่ช่วยเจ๊”
เจ๊อึ่งยิ้มปลอบใจ คมกริชแกล้งยิ้มเศร้า

กุ้งนาง ก้าน ชะเอม และด้วงเดินอยู่ข้างทาง ชะเอมมัวแต่มองโน่นนี่จนเผลอลงไปเดินบนถนน รถหรูของจิรายุแล่นเฉี่ยวผ่านไป กุ้งนางตกใจ
“ระวัง!”
กุ้งนางจับแขนชะเอมไม่ให้เสียหลักล้มได้ทัน ชะเอมจำรถได้
“รถไอ้คุณจิรายุนี่กุ้ง”
ก้านส่ายหน้า
“คันเดิม นิสัยเดิมจริงๆ”
กุ้งนางมองตามรถด้วยความแค้นสุดๆ
“ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ”
ทั้ง 4 คน เดินมายืนหน้าหน้าตึกบริษัทสยามซอง กุ้งนางมองไปรอบๆ บริเวณด้วยความตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะรูปของนทีทองนักร้องขวัญใจและชามาดา กุ้งนางเดินไปที่หน้ารูปของนทีทองที่ยิ้มหล่อ หญิงสาวยืนจ้องหน้านิ่ง ผิดกับชะเอมและก้านกับด้วง ที่ตื่นเต้นกันใหญ่ ชะเอมปลื้มมาก
“โห...นี่วันนี้เราจะได้เจอพ่อของกุ้งมั้ยเนี่ย ถ้าเจอนะพี่ขอกอดทีนะ”
กุ้งนางพูดเสียงเรียบ
“แล้วแต่พี่สิ”
ก้านสะกิดชะเอมๆรู้ตัวก็ยิ้มแหยๆ
“แฮ่ะๆ กุ้ง พี่ขอโทษนะ”
กุ้งนางยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ”
ด้วงงงๆ
“คุยอะไรกัน แล้วพ่อกุ้งคือใคร”
ชะเอมรีบบอก
“ก็นทีทองไงพ่อกุ้ง”
ด้วงตะโกนลั่น
“เฮ้ย...พี่นทีทองน่ะเหรอพ่อกุ้ง”
ก้านรีบปิดปากเพราะกุ้งนางเริ่มมองรอบๆกลัวคนตื่นตกใจ ก้านปรามด้วง
“เบาๆ สิ พี่ด้วง พ่อลูกเค้ายังไม่เจอกัน ที่กุ้งมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้แหละ”

กุ้งนางมองรูปนทีทองอีกครั้ง สีหน้าเป็นกังวล

กุ้งนาง ก้าน ด้วง และชะเอม พากันเดินเข้ามาในตึกด้วยความตื่น ทั้งหมดไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แล้วยกมือไหว้ประชาสัมพันธ์อย่างนอบน้อม

“พี่คะ หนูมาสมัครเป็นนักร้องค่ะ”
ประชาสัมพันธ์สาวยิ้มอย่างใจดี
“ตอนนี้เรายังไม่เปิดรับสมัครนะคะน้อง”
ชะเอมเข้ามาถามด้วย
“แล้วหางเครื่องล่ะคะ พวกหนูเป็นหางเครื่องก็ได้”
“น้องเคยเรียนหรือว่าเต้นให้วงไหนมาก่อนรึเปล่าคะ”
ชะเอมส่ายหน้า
“ไม่เคยค่ะ แต่พวกหนูเต้นเก่งนะคะ ตอนเลี้ยงควายว่างๆก็เต้นประจำ ไม่เชื่อหนูเต้นให้ดู มากุ้งเต้นให้พี่เค้าดู”
สองสาวเต้น ประชาสัมพันธ์รีบห้าม
“อุ๊ย พอแล้วค่ะ พี่ไม่ใช่คนที่จะรับแดนเซอร์ แต่ตามกฎต้องเรียนมาหรือมีประสบการณ์ ที่นี่รับคนเต้นเป็นแล้วค่ะ”
กุ้งนางผิดหวัง
“งั้นก็ขอบคุณค่ะพี่”
กุ้งนางกับพวกยกมือไหว้ลาประชาสัมพันธ์แล้วเดินออกไป ประชาสัมพันธ์มองตามด้วยความเห็นใจ...เจ๊อึ่งเดินมากับเขียด ถือกระดาษใบสมัครมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์สองปึก
“น้องจ๋า...นี่จดหมายแจ้งเรื่องรับพนักงานจ้ะ”
เขียดแสริม
“น้องจ๊ะ ถ้าใครมาสมัครช่างเย็บปะสอยชุนก็ส่งไปที่ห้องเจ๊เขียดเลยนะ”
“ค่ะ เจ๊อึ่งเจ๊เขียด”
เจ๊อึ่งกับเขียดเดินออกไป

กุ้งนางกับเพื่อนๆเดินไปนั่งที่ม้านั่งอย่างหมดหวัง ก้านถอนใจ
“เราลองไปหางานที่อื่นทำก่อนมั้ยกุ้ง”
ชะเอมหน้าเหวอ
“อ้าว...นี่เราจะไม่เข้าวงการลูกทุ่งแล้วเหรอ”
ก้านหนักใจ
“ก็แล้วเราจะเข้าไปยังไง งานก็ไม่มีให้ทำ”
กุ้งนางกับชะเอมเถียงไม่ออกรู้สึกเซ็ง ด้วงคิดอะไรขึ้นมาได้
“เอาอย่างงี้ เดี๋ยวพี่จะพาไปสมัครงานที่โรงงานดีมั้ย”
ชะเอมยิ้ม
“ก็ดีนะ ฉันจะได้อยู่ใกล้ๆพี่แดนนี่ด้วย”
ด้วงส่ายหน้าระอาใจ ก้านมองหน้ากุ้งนาง
“กุ้ง...ว่าไง ไปทำงานโรงงานกับพี่ด้วงมั้ย”
กุ้งนางถอนใจ
“นี่ฉันจะมีโอกาสได้พบพ่อมั้ยเนี่ย”
ด้วงตัดบท
“เอาน่า คิดเรื่องปากท้องก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากัน”
กุ้งนางพยักหน้ารับเซ็งๆแล้วทั้งหมดก็ลุกขึ้นจะเดินออกจากรั้วบริษัท ทันใดนั้นเสียงประชาสัมพันธ์ดังขึ้น
“น้องคะ เดี๋ยวค่ะ”
ทั้งหมดหันไปตามเสียง เห็นประชาสัมพันธ์วิ่งตามมา
“น้องผู้หญิงสองคน นอกจากจะเป็นนักร้องกับแดนเซอร์แล้ว ถ้ามีงานด้านอื่นน้องๆสนใจกันรึเปล่าคะ”
ชะเอมตอบรับทันที
“อะไรก็สนทั้งนั้นล่ะค่ะ”
กุ้งนางกับเพื่อนๆหูผึ่งแววตาเปี่ยมความหวังขึ้นมาทันที ประชาสัมพันธ์ยิ้มแล้วยื่นใบประกาศให้สองสาว

ในห้องทำงานของแผนกเสื้อผ้า เจ๊อึ่งกับเขียดกำลังเย็บตัดดูความเรียบร้อยของชุดที่มาส่ง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดออกมา ประชาสัมพันธ์สาวเดินนำหน้ากุ้งนางและเพื่อนๆเข้ามาในห้อง เจ๊อึ่งหันไปมอง
“อ้าว...พาใครมาล่ะเนี่ย”
“น้องพวกนี้เค้ามาสมัครเป็นนักร้อง เป็นแดนเซอร์”
เขียดไม่เข้าใจ
“แล้วพามาเจ๊ทำไมล่ะ”
“ก็มันไม่มีตำแหน่ง หนูสงสารเลยพามาหาเจ๊ เผื่อจะพอเป็นลูกมือเจ๊ได้ เจ๊ลองสัมภาษณ์ดูแล้วกัน” ประชาสัมพันธ์ยิ้มให้กุ้งนางและชะเอม “โชคดีนะ”
ประชาสัมพันธ์ส่งใบสมัครของสองสาวให้เจ๊อึ่ง ทุกคนไหว้ขอบคุณแล้ว ประชาสัมพันธ์ก็เดินออกไป เจ๊อึ่งหันไปมองด้วงกับก้าน
“แล้วสองตัวนั่นมาทำไม โอ๊ย อย่าบอกว่าผัวมาคุมนะ เจ๊ละเบื่อ”
เขียดเสริม
“จริงเจ๊ พวกมีผัวเนี่ย เดี๋ยวทำๆ ไปก็ลาออกอีก”
ก้านรีบบอก
“ไม่ใช่ผัวจ้ะเจ๊ พวกผมมาเป็นเพื่อนกุ้งกับชะเอมจ้ะ แต่ไม่รู้จะคอยที่ไหนจ้ะ”
เจ๊อึ่งมองหน้า
“แล้วจะสมัครด้วยมั้ยล่ะ เป็นกะเทยรึเปล่าเนี่ย”
ด้วงสะดุ้งก่อนจะบอก
“ไม่สมัคร และไม่เป็นกระเทยด้วยครับ”
เจ๊อึ่งมองด้วงเหยียดๆ
“ดี อย่างแกน่ะเป็นก็ไม่รุ่งหรอก ถ้าพ่อหน้านวลเนี่ยรุ่งแน่” เจ๊อึ่งมองก้านยิ้มๆ “นี่พ่อหน้านวล
อย่าแอบเอาส้นสูงของเจ๊ไปใส่นะจ๊ะ...อ่านประวัติสินังเขียด”
เขียดอ่านใบสมัคร
“จบ ม.6 เลยนะเจ๊ แต่...ตัดเย็บปะชุนพ๊งเป็นรึเปล่าก็ไม่รู้”
กุ้งนางกับชะเอมตอบพร้อมกัน
“เป็นค่ะ”
เจ๊อึ่งตาโต
“โอ๊วเป็น...เริ่ดมั่ก สะแมนแตนมั่ก...อุ๊ย แต่เจ๊ยังไม่รับปากอะไรนะ ต้องถามคุณจิก่อน”
กุ้งนางอึ้ง
“คุณจิ...จิไหนจ๊ะเจ๊”
“คุณจิรายุ…”
ทันใดนั้นประตูห้องเปิดออก จิรายุเดินเข้ามา เจ๊อึ่งหันไปมอง
“นั่นไงมาพอดี คุณจิรายุเป็นผู้จัดการวง”
กุ้งนาง ก้าน ชะเอมพอเห็นจิรายุก็หน้าเสียทันที จิรายุพอเห็นทั้งสามก็อึ้ง ก้านกระซิบกุ้งนาง
“ซวยแล้ววะกุ้ง”
จิรายุถามเสียงเข้ม
“นี่ พวกเธอ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
เจ๊อึ่งรีบบอก
“ก็มาสมัครเป็นช่างตัดเย็บสิคะ อึ่งดูใบสมัครแล้วก็โอนะคะ คุณจิจะสัมภาษณ์มั้ยคะ”
จิรายุกับกุ้งนางจ้องหน้ากัน กุ้งนางอึกอัก
“เอ่อ...เจ๊จ๊ะ เราต้องทำงานกับนายนี่เหรอคะ”
เจ๊อึ่งหน้าตื่น
“อุ๊ย ทำไมพูดจาแบบนี้”
เขียดสอดขึ้น
“นั่นสิ คุณจิเป็นลูกชายคุณจรัลเจ้าของสยามซองนะ”
ชะเอมหน้าเหวอ
“ละ...ลูกเจ้าของเหรอคะ”
ด้วงตำหนิชะเอม
“เออ ก็เจ๊เค้าบอกอยู่เนี่ย หูหนวกเหรอเอ็ง”
จิรายุเก๊กทันที
“ตอนนี้ รู้แล้วนะ ว่าฉันเป็นใคร เพราะฉะนั้นเธอควรจะทำตัวให้ดี ฉันจะได้รับเข้าทำงาน”
เจ๊อึ่งดูใบสมัครแล้วมองงงๆ
“คุณจิรู้จักเด็กพวกนี้ด้วยเหรอคะ”
จิรายุจะอ้าปากพูดแต่กุ้งนางสวนขึ้นมาก่อน
“ขอบคุณนะเจ๊ที่ให้โอกาสพวกหนู แต่หนูคงไม่ทำแล้วล่ะ” กุ้งนางบอกกับเพื่อนๆ “ไปกันเถอะ”
กุ้งนางกับเพื่อนๆไหว้เจ๊อึ่งแล้วพากันเดินออกไป เจ๊อึ่งมองตามงงๆ
“อ้าว...เดี๋ยวสิ จะไปไหน...อะไรกันวะ...”
เขียดเซ็งๆ
“ตกลงเจ๊ จะได้คนทำงานมั้ยเนี่ยเจ๊”

จิรายุมองตามแล้วตัดสินใจเดินตามไป เจ๊อึ่งรีบวิ่งตามไป เขียดตามไป

ราชินีลูกทุ่ง ตอนที่ 6 (ต่อ)

กุ้งนางกับเพื่อนเดินมา จิรายุกับเจ๊อึ่งรีบเดินมาดักหน้าไว้

“หยุดพูดกันให้รู้เรื่องก่อนเลย”
ชะเอมชะงัก
“เรื่องอะไรกันคะท่าน”
จิรายุมองหน้าชะเอม
“ไม่ต้องมาเรียกท่าน มันเว่อร์ เข้าใจมั้ย”
ก้านอึกอัก
“แล้วท่านจะให้เรียกท่านว่าอะไรละครับ ท่านเป็นลูกท่านเจ้าของบริษัท”
จิรายุหงุดหงิด
“โอ๊ย จะเรียกอะไรก็เรียก แต่ไม่ต้องเรียกท่าน เข้าใจมั้ย”
ชะเอมกับก้านรับคำพร้อมกัน
“ค่ะ/ครับท่าน”
ด้วงหันไปถามจิรายุ
“ว่าแต่ท่านให้พวกผมหยุด มีเรื่องอะไรจะพูดด้วยเหรอครับท่าน”
จิรายุเหลือทน
“โอ๊ย...เออ จะท่านก็ท่าน” ชายหนุ่มหันไปหากุ้งนาง “นี่ขอถามหน่อย เธอก็น่าจะรู้ว่ามาสมัครงานที่นี่ต้องเจอฉัน”
“ใช่...แต่ไม่ได้อยากทำงานกับนายนี่”
“ถ้าไม่อยากแล้วมาสมัครที่นี่ทำไม”
กุ้งนางกับพวกอึ้งตอบไม่ได้ หญิงสาวจะเดินไปแต่จิรายุจับแขนไว้
“ฉันจะรับพวกเธอเข้าทำงาน”
กุ้งนางเสียงแข็งใส่
“ฉันไม่ทำ”
“ทำไม”
“เพราะนาย ทำให้ฉันไม่ได้รางวัล นายแกล้งฉัน”
“ฉันไม่ได้แกล้ง”
“ไม่ต้องโกหกหรอก”
“นี่...ฉันถามจริงๆเถอะ ไอ้เงินแค่ไม่กี่หมื่นนี่มันจะอะไรกันนักกันหนา เธอทำยังกับ
ฉันเป็นฆาตกร”
กุ้งนางจ้องหน้า
“ใช่...นายนั่นแหละฆาตกร”
“เฮ้ย นี่มันบ้าไปใหญ่แล้วนะ”
“นายมัน ฆ่าคนด้วยเงินไม่กี่หมื่น”
กุ้งนางจะเดินไปจิรายุยื้อไว้อีก
“พูดอะไร เธอกำลังหมิ่นประมาทฉันนะ”
กุ้งนางจ้องหน้าแล้วกระทืบเท้าใส่เท้าเขาอย่างแรง แล้วเดินเชิดไป จิรายุดิ้นเร่าๆ
“โอ๊ย...บ้าเอ๊ย...เพี้ยนไปแล้วมั้ง”
เขียดหน้าตื่น
“ฆาตกร”
เจ๊อึ่งตะลึง
“คุณจิไปฆ่าใครมาเหรอคะ”
จิรายุหงุดหงิดมาก
“จะบ้าเหรอเจ๊...พอเหอะ ปวดหัว”
เจ๊อึ่งรีบเข้ามาดูแล

ทุกคนเดินออกมาหน้าบริษัท ด้วงเมื่อได้รับรู้เรื่องราวจากกุ้งนางก็เข้าใจ
“ที่แท้ เรื่องก็เป็นแบบนี้เอง ท่านจิรายุอะไรนั่น หน้าตาก็ดีไม่น่าจะใจร้ายเลย ไม่เป็นไรนะ พี่ด้วงยังอยู่ พี่เส้นใหญ่ เดี๋ยวพาไปฝากงานที่โรงงานดีกว่า รับรองได้งานแน่”
ด้วงเก๊กทันที ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ด้วงรีบรับ
“สวัสดีครับหัวหน้า อ๋อ...ผมพาน้องๆ จากต่างจังหวัดมาสมัครงานครับ...อะไรนะครับ เวรผม...ไม่ใช่นะครับ เดือนนี้ผมหยุดวันพุธไงหัวหน้าอย่ามั่ว” ด้วงหัวเราะขำ สักครู่ก็หน้าเสีย “อะไรนะ วันนี้วันอังคาร”
ด้วงมองหน้าทุกคนๆพยักหน้ารับ
“จ๊าก...” ด้วงรีบกลบเกลื่อน “ปฏิทินเฮงซวย สองมาตรฐาน...งั้นผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ละครับ แป๊บเดียวถึง...อะไรนะ...ไล่ออก...หัวหน้าๆๆๆ”
โทรศัพท์ตัดสายไป ด้วงช็อคน้ำลายฟูมปากชักทันที เพื่อนๆ ต้องช่วยกันดูแล

จิรายุนั่งนวดเท้าตัวเองอยู่ในห้องทำงาน เจ๊อึ่งนั่งมอง เขียดเดินเอายาหม่องมาส่งให้ เจ๊อึ่งอึกอักบอก
“คุณจิคะ...เอ่อ...เจ๊ว่า เรื่องรับคนงาน คุณจิน่าจะลองคิดใหม่นะคะ”
“ไม่ต้องคิดแล้ว...ผมเป็นผู้บริหาร พูดคำไหนต้องคำนั้น คนอะไรไม่มีเหตุผลจู่ๆ มาหาว่าผมเป็นฆาตกร”
เขียดไม่เข้าใจ
“เรื่องประกวดร้องเพลงแค่เนี้ยนะเจ๊”
“แต่เท่าที่เจ๊ฟังจากคุณจิ ถ้าเจ๊เป็นกุ้งนาง เจ๊ก็ต้องเข้าใจว่า คุณจิซึ่งเป็นกรรมการต้องแกล้งแน่”
เขียดแย้ง
“แต่เท่าที่เขียดฟังจากคุณจิ ก็ไม่มีใครตายนี่คะ”
จิรายุชะงักไปนิด
“ช่างเถอะ ผมก็ไม่สนแล้ว เจอกันทีไรมีเรื่องทุกที เบื่อ”
“แต่ตอนนี้ ถ้าไม่มีเด็กสองคนนั่น เจ๊ก็จะต้องมีเรื่องเหมือนกัน เพราะเจ๊กับนังเขียดทำงานไม่ทันแน่ ยิ่งรวมวงแบบนี้ เจ๊ไม่ไหวแล้ว เจ๊ขอลาออกดีกว่า”
“เจ๊ออก เขียดก็ออก”
จิรายุหน้าตื่น
“เฮ้ย อย่าเพิ่งทิ้งกันสิครับ”
“แล้วใจคอคุณจิ จะให้เจ๊กับนังเขียด ทำงานจนหัวใจวายตายคากองผ้าเหรอคะ”
จิรายุเสียงอ่อย
“ก็หาคนอื่นไม่ได้เหรอเจ๊”
“ได้ค่ะ แต่มันไม่มีน่ะสิคะ เจ๊ว่าคุณจิไปตามพวกนั้น กลับมาง่ายกว่า”
จิรายุถอนใจ
“แล้วผมจะไปตามที่ไหนล่ะ”
เขียดสอดขึ้น
“ก็ในประเทศไทยนี่แหละค่ะ”
เจ๊อึ่งดุเสียงเข้ม
“นังเขียดเยอะไป...คุณจิลองดูสิคะ เพราะคุณจิไล่เค้าไป ก็ต้องไปตามกลับมา” เจ๊อึ่งวางใบสมัครบนโต๊ะ “นี่ใบสมัครค่ะ ไปนังเขียด”
พูดจบเจ๊อึ่งก็เดินหงุดหงิดออกไป โดยมีเขียดตามไป จิรายุโวยวาย
“เจ๊ กลับมาก่อน...นี่ตกลงใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นลูกน้องวะ”
 
จิรายุบุ่นอุบก่อนจะหันไปนวดเท้าต่อ “อู๊ย...เจ็บ”

กุ้งนาง ก้าน ชะเอม ด้วง นั่งอยู่ที่ร้านกาแฟรถเข็นริมถนน ด้วงถือยาดมแล้วร้องไห้
“ไม่คิดเล้ยว่าหัวหน้าพี่จะใจร้ายแบบนี้”
กุ้งนางไม่พอใจ
“ใช่ อะไรกันเข้างานผิดแค่วันเดียวถึงกับไล่ออกเลย มันไม่ยุติธรรมนะ”
ชะเอมหน้าตาจริงจัง
“แบบนี้มันต้องฟ้อง ชะเอมเคยดูในทีวี เดี๋ยวนี้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียง ไม่พอใจอะไรร้องเรียนได้ ไม่ต้องห่วงนะพี่แดนนี่ เอมมี่จะช่วยเอง”
ก้านเห็นด้วยกับชะเอม
“ฉันด้วย พี่ด้วงต้องฟ้องให้หนัก เรียกค่าเสียหาย แล้วก็ได้กลับไปทำงานต่อ”
ด้วงพอเห็นก้านกับชะเอมเอาจริงก็เริ่มหยุดร้องไห้แล้วดูดกาแฟนิ่งๆ จนทุกคนมองสงสัย ชะเอมถามงงๆ
“พี่ด้วงไม่เสียใจแล้วเหรอ”
“เอ่อ...พี่ไม่มีเงินไปฟ้องร้องหรอก”
กุ้งนางคิดๆก่อนจะเสนอแนะ
“ถ้าไม่ฟ้องก็ไปคุยกับหัวหน้าพี่ มีด้วยเหรอ คนทำงานทั้งเดือนไม่ให้หยุดบ้ารึเปล่า ไปพี่ด้วงไม่ต้องกลัวนะ พวกเราไปด้วย”
กุ้งนางกับพวกจะดึงแต่ด้วงไม่ลุก ทุกคนช่วยกันดึงอีก ด้วงก็จับโต๊ะแน่น ก้านงงๆ
“อ้าว...พี่ด้วง ยังไงกันแน่เนี่ย”
“จริงๆ พี่ก็ไม่ได้ขาดงานแค่วันเดียวหรอก” ด้วงยิ้มเจื่อน “คือ พี่เข้าเวรผิดแบบนี้ประจำ เดือนที่แล้วก็หยุดผิดไปหกวัน ยิ่งปีก่อนพี่หยุดผิดเดือนเว้นเดือนเลย”
ทุกคนโพล่งออกมาพร้อมกัน
“อะไรนะ”
“ก็บางทีมันขี้เกียจตื่น พี่ก็มั่วนิ่มทำเป็นจำวันผิดไปเลย อย่างวันนี้ พี่ก็มากับพวกน้องๆไง”
กุ้งนาง ก้าน ชะเอมทรุดตัวนั่งด้วยความเซ็ง กุ้งนางหันมาถาม
“แล้วงานที่ว่าเส้นใหญ่จะฝากพวกฉันล่ะ”
ด้วงถอนใจ
“ไว้ชาติหน้าได้มั้ยอ่ะ”
ทั้งสี่นั่งกุมขมับเครียดระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือของด้วงก็ดังขึ้น ด้วงยิ้มดีใจ
“สงสัยหัวหน้าโทรมาง้อ” ด้วงหยิบมาดูแล้วงง “ไม่ใช่นี่ เบอร์ใครหว่า” ด้วงกดรับ “หวัดดีครับ ใครนะครับ กุ้งนาง...”

เลขาจิรายุเปิดประตูพากุ้งนาง ก้าน ชะเอม ด้วง เดินเข้ามาห้องทำงานของจิรายุ ซึ่งเขานั่งรออยู่ที่ชุดรับแขก จิรายุผายมือให้ทุกคน
“นั่ง”
ชะเอมจะเดินไปนั่งแต่กุ้งนางดึงไว้
“เรียกพวกเรากลับมาทำไม”
“นี่...อย่าทำเป็นหยิ่งหน่อยเลย ถ้ามีทางไป ก็คงไม่ยอมกลับมาหรอก”
กุ้งนางกัดริมฝีปากครุ่นคิด แล้วตัดสินใจไปนั่งพร้อมกับทุกคน
“ตกลงจะทำงานที่นี่กันรึเปล่า”
กุ้งนางนิ่งไม่ตอบ ชะเอมกระซิบกับกุ้งนาง
“ทำเถอะกุ้ง ไม่งั้นพากันอดตายแน่”
กุ้งนางจำยอม
“ก็ได้...พวกฉันจะทำงานที่นี่ แต่ต้องรับพี่ก้านกับพี่ด้วงด้วย”
จิรายุโวย
“รับทำไม โอ๊ยเยอะ”
“เยอะ ก็ไม่ทำ...”
กุ้งนางจะออกไป
“หยุดเลย เอะอะจะหนีตลอด ที่ว่าเยอะน่ะ หมายถึง เธอน่ะเรื่องมาก ได้นี่ จะเอาโน่นนี่นั่นอีก”
“ก็ตอนแรกฉันมาสมัครเอง แต่ตอนนี้คุณไปตามฉัน ก็ต้องต่อรองนิดหน่อย”
“เออ ก็ได้ รับทั้งหมดนั่นแหละ” จิรายุมองก้านกับด้วง “สองคนน่ะ เป็นเด็กยกเครื่องดนตรีได้นะ”
ก้านกับด้วงรับคำ
“ครับท่าน”
จิรายุเซ็นชื่ออนุมัติในแฟ้มสมัครงาน
“เดี๋ยวไปทำบัตรพนักงานที่ฝ่ายบุคคล”
กุ้งนางกับเพื่อนยิ้มดีใจ แล้วจะลุกกันไป จิรายุเรียกไว้
“นี่กุ้งนาง...ฉันสงสัยอยู่อย่าง ทำไมเธอถึงว่าฉันเป็นฆาตกร”
“อยากรู้เหรอ ได้...ก็เพราะคุณตัดสินให้ฉันแพ้การประกวด ฉันไม่ได้เงินสามหมื่น แม่ฉันก็เลยไม่ได้ผ่าตัด...แล้วแม่ฉันก็ตาย”
จิรายุกับเจ๊อึ่งมองหน้ากันอึ้งตกใจ กุ้งนางกับพวกเดินออกไป จิรายุงงๆ
“นี่เราทำคนตายเหรอเนี่ย”

เจ๊อึ่งเดินเปิดประตูห้องเสื้อผ้าเข้ามา เห็นจิรายุนั่งรออยู่ก็ตกใจ เขียดตามมา
“ว้าย คุณจิ ตกใจหมดเลย”
“นั่นสิเจ๊ คุณจิทำไมมานั่งอยู่นี่คะ”
“มาคอยเจ๊อึ่ง”
“มีธุระอะไรกับเจ๊คะ”
“คนงานใหม่อยู่ไหน”
เขียดถาม
“ใครคะ กุ้งนางหรือชะเอม”
“ก็...ทั้งสองคนน่ะและ”
เขียดบอกหน้าตาเฉย
“ไปแล้วค่ะ”
จิรายุตกใจ
“อ้าว...ตกลงเค้าไม่ทำงานเหรอ”
เจ๊อึ่งยิ้ม
“ทำสิคะ...แต่เจ๊ให้ให้มาเริ่มพรุ่งนี้”
“แล้วไปนานหรือยัง”
“ก็เพิ่งแยกกันเนี่ยค่ะ”
จิรายุรีบเดินออกไปเลย เจ๊อึ่งมองตามงงๆ
“โอ๊ย อะไรกันวะเนี่ย วันนี้ยุ่งกับเจ้านายกับลูกน้องทั้งวัน”
“เขียดด้วยเหรอเจ๊”
“เออ แกด้วย” เจ๊อึ่งตวาดแว๊ด

กุ้งนาง ก้าน ชะเอม ด้วง เดินยิ้มกันออกมาพร้อมกับชื่นชมบัตรพนักงานที่ห้อยคอย
“พี่ด้วงต้องขอบคุณกุ้งจริงๆ เลยนะ ถ้าไม่ได้กุ้ง ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้งาน”
“ต่อไปพี่ด้วงก็ห้ามเกเรนะ จะได้ทำงานด้วยกันไปนานๆ”
“รับรองไม่เกเรแน่ ได้ทำงานกับเพื่อน ดีจะตาย”
ก้านคิดอะไรได้
“ได้งานแล้ว ตอนนี้ฉันว่าไปหาอะไรกินกันมั้ย”
ชะเอมเห็นดีด้วย
“ดี...มื้อนี้ขอกินอะไรแปลกๆ หน่อยนะ ไม่อยากกินซ้ำๆ เดิมๆ เบื่อ”
กุ้งนางงง
“พี่ชะเอมอยากกินอะไรล่ะ”
“ข้าวเหนียวส้มตำ”
ก้านส่ายหน้า
“โอ๊ย...แปลกสุดๆ เลยเอ็ง ข้าเห็นกินกันทู้ก...วัน”
ทั้งหมดหัวเราะแล้วเดินออกไป พอดีรถตุ๊กๆมาทั้งหมดเรียกแล้วขึ้นรถไป จิรายุเดินตามมาแต่ไม่ทัน เขารีบเดินไปขึ้นรถแล้วสตาร์ทขับตามออกไป

กุ้งนาง ก้าน ชะเอม ด้วง เดินเข้ามาในร้านอาหารข้างทาง ด้วงหันมาถามชะเอม

“เป็นไงจ๊ะน้องชะเอม ร้านนี้แปลกใหม่พอมั้ยจ๊ะ”
“หือ ถ้าเป็นพี่ด้วงแนะนำก็แปลกใหม่สำหรับชะเอมม๊ากมากจ้ะ”
ด้วงอึ้ง
“เฮ้ย...นี่มันร้านเมื่อคืน”
ชะเอมหน้าเหวอ
“อ้าวเหรอ...ชะเอมจำไม่ได้ ชะเอมมัวแต่มองหน้าพี่ด้วงน่ะจ๊ะ”
ด้วงถอนใจ
“เฮ้อ...ไอ้ก้าน ไอ้กุ้ง ข้าเข้าใจหัวอกฟิล์ม รัฐภูมิแล้วว่ะ”
ก้านกับกุ้งนางหัวเราะขำแล้วลงนั่ง หยิบกระดาษปากกาจะมาจดอาหาร แล้วก้านก็มองไปที่หน้าร้านเห็นรถจิรายุแล่นมาจอด ก้านสะกิดกุ้งนางให้ดู จิรายุเดินลงจากรถมาที่โต๊ะกุ้งนาง
“ฉันมีเรื่องต้องเคลียร์กับเธอหน่อย”
“อะไรของคุณอีกเนี่ย น่ารำคาญจริงๆ เลย”
“แล้วนึกว่าฉันไม่รำคาญเธอเหรอ ชอบคิดเองเออเอง แล้วก็โทษคนอื่น”
กุ้งนางมองหน้า
“ฉันคิดเอง เรื่องอะไร”
“ก็เรื่อง...”
จิรายุพูดได้แค่นั้นก็มีเสียงบีบแตรรถดังลั่นเพราะรถจิรายุจอดขวางเขาอยู่
“โอ๊ย รู้แล้วคร้าบ รอเดี๋ยวคร้าบ”
มีเสียงคนตะโกนด่าประมาณว่าจอดรถภาษาอะไร ด่าๆๆๆ จิรายุไม่รู้จะทำยังไงก็ดึงแขนกุ้งนางลุกขึ้น
“ไปคุยกับฉันก่อน”
จิรายุลากกุ้งนางไปขึ้นรถ ก้านตกใจ
“เฮ้ย...คุณ...ท่าน ท่านครับ จะเอากุ้งไปไหน”
จิรายุขับรถออกไป ก้านจะวิ่งไปตามไปด้วยความเป็นห่วงแต่ไม่ทัน

จิรายุกับกุ้งนางเดินคุยด้วยกัน ในสวนสาธารณะ
“ฉันไม่ได้เป็นฆาตกร”
“ฉันไม่อยากพูดถึงมันอีก”
“แต่เราต้องพูดกัน เพราะเธอกำลังเข้าใจผิด”
“คุณเป็นกรรมการ ฉันเป็นคนแข่งขัน คุณบอกฉันสิ ว่าคนชนะร้องดีกว่าฉัน ฉันไม่ได้อวดตัวว่าฉันเก่ง แต่เสียงปรบมือกับเสียงโห่ร้องของคนดูมันก็ฟ้องอยู่แล้ว”
“ไม่ว่าเธอจะเชื่อรึเปล่า แต่ฉันก็ตัดสินตรงกับคนดู”
“ทั้งๆ ที่คุณไม่ชอบหน้าฉันงั้นเหรอ”
“ฉันแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้”
“แต่คุณไม่ได้ตั้งใจฟังใครร้องด้วยซ้ำ ฉันยังคิดว่า คุณมานั่งเป็นไม้ประดับทำไม”
“นั่นมันความคิดเธอ ถ้าเธอสังเกต จะเห็นว่า ฉันสนใจฟังเธอคนเดียว คนอื่นร้องไม่ได้เรื่องจะฟังทำไม”
กุ้งนางอึ้งไปนิด
“คุณโกหก”
“ฉันพูดความจริง ที่เธอแพ้ เพราะคนที่ได้ที่หนึ่งเค้าเป็นเด็กเส้น”
“ไม่จริง”
“ถ้าไม่เชื่อฉัน ก็ลองไปถามครูชาตรีก็ได้”
คราวนี้กุ้งนางนิ่งเงียบครุ่นคิดหนัก
“ฉันเสียใจเรื่องแม่ของเธอ ฉันไม่ได้อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้ฉันเสียใจด้วยจริงๆ”
กุ้งนางกับจิรายุมองหน้ากัน

เย็นนั้นบนท้องถนนรถติดมาก จิรายุกับกุ้งนางนั่งหงุดหงิดกันอยู่ในรถ
“นี่เธอจำทางกลับบ้านตัวเองไม่ได้จริงเหรอ”
“ก็ฉันเพิ่งมากรุงเทพ จะไปรู้ทางได้ไง”
“มันก็ต้องจำอะไรได้บ้าง ไหนบอกว่าอยู่ใกล้ร้านส้มตำไง นี่วนมาเป็นสิบรอบแล้วนะ”
“ก็เมื่อวานมันนั่งรถเมล์ต่อเดียวนี่”
“โอ๊ย อยากจะบ้าตาย”
“นี่อย่ามาโทษแต่ฉันนะ แล้วคุณล่ะ มีโทรศัพท์แต่โทรไม่ได้ เค้าเรียกว่าอะไร”
“มันเกี่ยวอะไรกัน โทรศัพท์ฉันแบตหมด”
“ก็นั่นแหละ ถ้าแบตไม่หมดก็โทรไปถามทางพี่ด้วงได้แล้ว ใช้ของแพงภาษาอะไรแบตหมดเร็ว”
“ก็ฟังก์ชั่นมันเยอะ หน้าจอมันใหญ่ มันก็กินแบตสิ คนทันสมัยไฮเทคเค้าก็ใช้กันทั้งนั้น”
“โอ๊ย เครื่องมันดี งั้นคนใช้มัน ก็ห่วยเองสิ”
“เธอมันตัวแสบ ปากจัดนักนะ”
“เอางี้ดีกว่า บ้านคุณอยู่กรุงเทพ แต่ไปหอพักพี่ด้วงไม่ถูกเนี่ย เป็นไปได้ไง ที่บ้านฉันนะ ใครอยู่ตรงไหนก็รู้หมด”
จิรายุเหนื่อยใจ
“เธอนี่มัน เหลือเชื่อจริงๆ ฉันขอย้ำนะ ฉันไม่ได้หลงทาง แต่เธอต่างหากที่ความจำเสื่อม จำทางไม่ได้”
“เออ...งั้นก็จอดรถเลย ฉันจะไปใช้โทรศัพท์สาธารณะ โทรหาพี่ด้วง จอดสิ จอดๆ”
จิรายุไม่ทันดู รถไปชนคันหน้าโครม
“โอ๊ยโว้ย อะไรวะเนี่ย ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ”
จิรายุหันมามองกุ้งนาง หญิงสาวยิ้มแหยๆ ตกใจ ที่รถชน รถจิรายุชนท้ายคันหน้า จิรายุลงจากรถมาเคลียร์กับคู่กรณี

ด้วง ก้าน ชะเอมนั่งอยู่ที่ม้าหินหน้าห้องพัก ก้านนั่งไม่ติด ด้วงกับชะเอมเริ่มรำคาญก้าน
“เฮ้ย ไอ้ก้าน นั่งได้มั้ยวะ”
ก้านสวนทันที
“ไม่ได้”
ด้วงกับชะเอมสะดุ้งแปลกใจกับคำตอบ ชะเอมกระซิบกับด้วง
“ไอ้ก้านมัน แรงนะพี่ด้วง”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือด้วงดังขึ้น เขารีบกดรับสาย
“ฮัลโหล...เฮ้ย ไอ้กุ้ง เอ็งอยู่ไหน”
“เอามานี่ ฉันพูดเอง” ก้านแย่งมาพูด “กุ้ง พี่ก้านนะ ทำไมไปนานจัง นี่อยู่ไหนกินข้าวหรือยัง หิวรึเปล่า”
ชะเอมรีบขัด
“ไอ้ก้าน น้องมันตอบไม่ถูกแล้ว”

ค่ำนั้น หลังจากที่ จิรายุมาส่งที่ห้องพัก กุ้งนางก็นั่งกินมาม่าอย่างหิวโหย โดยมีด้วง ชะเอม ก้านนั่งล้อมอยู่ชะเอมเมื่อรู้เรื่องจากปากกุ้งนางก็โล่งใจ
“ที่แท้ก็หลงทาง”
กุ้งนางยังฉุนไม่หาย
“ใครจะไปคิดล่ะว่านายนั่นจะหลงทาง”
ด้วงขัดขึ้น
“แต่พี่ว่ามองอีกมุมก็น่าสงสารท่านจิรายุนะ กุ้งเล่นจำได้แต่ร้านส้มตำ ใครจะไปหาเจอ”
กุ้งนางงอน
“พี่ด้วง เข้าข้างนายนั่นเหรอ”
“เค้าเรียกว่าเห็นใจ”
กุ้งนางค้อนใส่ด้วง ชะเอมซักต่อ
“แล้วเรื่องที่เค้าบอกว่า ไม่ได้ตัดสินให้ยัยใบตองหนองงูเห่าล่ะ กุ้งเชื่อรึเปล่า”
กุ้งนางพยักหน้า
“ก็คงจริงอย่างที่เค้าพูด อย่างน้อยกุ้งก็ต้องเชื่อว่าครูชาตรีไม่โกงส่วนตัวเค้า ก็คงไม่โง่ทำอะไรที่เสียชื่อเสียงตัวเอง”
ก้านอึ้งที่ได้ยินก็หน้าเจื่อนไปนิด กุ้งนางหันมาถามก้าน
“หรือพี่ก้านว่าไง”
ก้านมองกุ้งนางแล้วยิ้ม
“กุ้งพูดถูก กินข้าวเถอะ เดี๋ยวพี่ไปซื้อน้ำให้นะ”
ก้านเดินออกไปท่ามกลางความงุนงงของทุกคน ด้วงส่ายหน้า

“ไอ้ก้านนี่ชักจะเพี้ยนหนัก อะไรของมัน น้ำก็เพิ่งซื้อมาตั้งครึ่งโหล”

โปรดติดตาม "ราชินีลูกทุ่ง" ตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น