xs
xsm
sm
md
lg

ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 5
 

ค่ำนั้น...อาทิจนั่งอยู่ที่พื้นในห้องรับแขก ย่าแดงละสายตาจากผ้าที่กำลังปักสะดึงตรงหน้า แล้วหันมาหา

“จะทำเลยเหรอ ไม่เหนื่อยรึไงพ่อ”
“ไม่เหนื่อยครับ ถ้าคุณย่าจะอนุญาต อีกอย่างที่ตรงนั้นผมก็ไถพรวนไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ตอนปลูกผัก”
ดรุณีวางตำราในมือลง
“รอให้แปลงที่เพิ่งทำประสบผลสำเร็จ ขายได้กำไรก่อนดีมั้ย แล้วค่อยคิดขยายอะไร ยังไม่ทันไรก็โลภซะแล้ว สุภาษิตไทย...ช้าๆได้พร้าเล่มงามน่ะ เคยได้ยินมั้ย”
แก้วที่นั่งดูแลรับใช้ย่าแดงอยู่แย้งขึ้น
“แต่มันก็มีสุภาษิตที่ว่า น้ำขึ้นให้รีบตักด้วยนะคะคุณณี ตอนนี้คุณอาทิจกำลังไฟแรง มีแรงทำก็น่าจะทำนะคะ ดีกว่าทิ้งที่ดินไว้เปล่าๆ”
ย่าแดงมองหลานชายอย่างเป็นห่วง
“แล้วจะไหวเหรอพ่อ ผักมันต้องการการดูแลใกล้ชิด พ่อจะวิ่งไปๆมาๆที่สวนส้มกับแปลงผักอีกสองที่ไหวเหรอ”
ดรุณีมองหยัน
“แค่ถีบจักรยานไปรดน้ำวันละสองเที่ยว แถมต้องคอยถอนหญ้าทุกวันไหนจะต้องตรวจดูต้นที่เป็นราเป็นโรคอีก แค่นี้ก็หมดวันแล้ว”
อาทิจหันไปหาดรุณี
“ผมไม่ได้จะปลูกผัก” ชายหนุ่มหันไปบอกกับย่า “ผมจะปลูกกล้วยครับคุณย่า”
ย่าแดง ดรุณี แก้ว หันมามองอาทิจเป็นตาเดียว

อาทิจประคองแขนย่าแดงเดินออกมาที่ระเบียง โดยมีดรุณีเดินคุมเชิงตามมาห่างๆ
“ทำไมถึงคิดจะปลูกกล้วยล่ะ ย่าไม่ค่อยเห็นคนแถวนี้เขาปลูกขายกันเท่าไหร่ มีแต่ปลูกไว้ให้คนในบ้านกินนิดๆหน่อยๆมากกว่า”
แก้วถือถาดผลไม้ตามออกมาวางบนโต๊ะ อาทิจอธิบาย
“ผมเห็นว่านั่นเป็นข้อดี ที่เราจะไม่มีคู่แข่งมากเท่ากับปลูกผลไม้อย่างอื่น อีกอย่างกล้วยก็เป็นผลไม้สารพัดประโยชน์ที่คนสามารถเอาไปใช้ได้ทั้งต้น จะกินผลกิน ปลีหรือหยวกก็ได้ จะเอาใบไปห่อของสดหรือจะต้มจะนึ่งก็ได้ จะเอาต้นไปใช้ตกแต่งสถานที่ หรือจะฉีกทำเป็นเชือกห่อของก็ยังได้ แถมยังดูแลง่ายด้วยครับ”
ย่าแดงเห็นด้วย
“เออ...ดีเหมือนกัน ย่าก็ชอบกินกล้วย อีกอย่างจะได้มีต้นกล้วยอ่อนๆสับผสมฟางกับหญ้าแห้งให้วัวกินช่วงหน้าร้อนบ้าง วัวมันจะได้กินอาหารได้มากขึ้น เอาเป็นว่าย่าเห็นด้วย แล้วพ่อจะไปหาซื้อหน่อกล้วยจากไหนล่ะ”
“ไม่ต้องซื้อครับคุณย่า วันนี้ผมลองถีบจักรยานลงเขามาอีกทาง เห็นต้นกล้วยขึ้นเป็นดงเลยครับ ผมจะไปตัดหน่อที่นั่น คงต้องขออนุญาตใช้รถกระบะของคุณย่าไปขนนะครับ”
ดรุณีกำลังจะอ้าปากพูด แต่เหมือนแก้วจะรู้ใจ ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน
“แต่ต้องคิดค่าน้ำมันและค่าเสื่อมสภาพ คุณณีจะพูดอย่างนี้ใช่มั้ยคะ”
ดรุณีทำหน้าเมื่อยใส่แก้วเซ็งที่มีคนดักคอ อาทิจยิ้มๆ
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะทำบัญชีละเอียดเหมือนตอนปลูกผักทุกอย่าง”
ย่าแดงยิ้มให้กำลังใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือได้เลย ย่าสนับสนุนเต็มที่ แล้วย่าจะให้เงินเดือนพ่อด้วย”
ดรุณี ชักสีหน้าทันที
“แต่ในจดหมายที่คุณย่าส่งไปให้คุณลุง บอกชัดเจนไปแล้วนะคะว่า ลูกชายท่านต้องมาทำงานที่นี่โดยไม่ได้รับเงินเดือน”
“ใช่...ถ้านั่นเป็นงานที่ย่าทำมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ทั้งแปลงผักกับสวนกล้วยมันเป็นงานที่พี่เขาทำขึ้นเอง พี่เขาก็ควรจะได้เงินเดือนและผลกำไรจากน้ำพักน้ำแรงของเขาด้วย มันถึงจะยุติธรรม แล้วย่าจะดูให้นะพ่อว่าที่เหมาะสม ควรจะอยู่ที่เท่าไหร่”
อาทิจกราบที่ตัก
“ขอบพระคุณครับคุณย่า”
ดรุณีทั้งหมั่นไส้อาทิจ ทั้งน้อยใจย่าสารพัด

ดรุณีอ่านตำราอยู่ในห้องนอนแล้วกระแทกตำราลงกับเตียงอย่างหงุดหงิด แก้วเคาะประตูแล้วเดินถือถาดนมเข้ามายื่นให้
“อ่านหนังสือไม่ทันเหรอคะ ถึงได้ทำหน้ามุ้ยอย่างนี้”
“เรื่องเรียนหนูไม่ค่อยหนักใจหรอกค่ะน้าแก้ว หนักใจเรื่องหลานรักของคุณย่ามากกว่า นับวันคุณย่าจะเห็นนายนั่นเป็นเทวดา เข้าข้างทุกอย่าง ทำอะไรก็ดีงามไปหมด”
“แล้วคุณณีคิดว่าคุณอาทิจไม่ดีตรงไหน ไหนลองว่ามาซิคะ ไม่ดีตรงที่ไม่ตามใจคุณณีรึเปล่า”
“หนูไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจตัวเองขนาดนั้นนะคะน้าแก้ว หนูหมายถึงว่า เขาเองก็ยังไม่ได้ทำอะไรสำเร็จเบ็ดเสร็จสักอย่าง แต่คุณย่าก็ดูจะภูมิใจ เปิดโอกาสให้ทำนั่นนี่ตลอด”
“แล้วทำไมคุณณีไม่ลุกขึ้นมาทำบ้างล่ะคะ”
“หนูอยากทำค่ะน้าแก้ว หนูอยากแข่งกับเขา อยากทำให้คุณย่าเห็นว่าหนูก็ทำอะไรสำเร็จ ทำอะไรให้คุณย่าชื่นใจได้เหมือนกัน แต่หนูต้องอ่านหนังสือสอบ”
“ก็เริ่มจากการสอบให้ได้ก่อนสิคะ คุณณียังมีเวลาพิสูจน์ตัวเองอีกนานค่ะ คิดในแง่ดี การที่คุณอาทิจลุกขึ้นมาลองผิดลองถูกกับงานให้คุณณีเห็น ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มประสบการณ์ ให้คุณณี เวลาคุณณีลุกขึ้นมาทำอะไรเอง จะได้ไม่พลาดไง จริงมั้ยคะ”
ดรุณีอึ้งไปพักหนึ่ง
“มัน...ก็จริง” หญิงสาวยิ้มออกมาได้ “สบายใจล่ะ หนูจะอ่านหนังสือ จะสอบให้ติด จบมาเมื่อไหร่หนูจะสู้นายนั่นไม่ถอยเลย คอยดู”
ดรุณีหยิบหนังสือมาอ่านต่อ แล้วจู่ๆเสียงแคนก็ดังคึกมาตามสายลม ทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังฮึกเหิมอารมณ์ดี หน้าหงิก ขึ้นมาทันที

อาทิจเป่าแคนโดยมีต๊อด อึ่ง พันเซิ้งส่ายชนิดไม่มีใครยอมใครอยู่ข้างๆ ดรุณีเดินหน้านิ่วมาตามทางอย่าง จะเอาเรื่อง แต่แล้วจู่ๆอาทิจก็เลิกเป่า พลอยทำให้ดรุณีชะงักฝีเท้า ก้าวไปหลบอยู่ข้างต้นไม้ ต๊อดแปลกใจที่อาทิจหยุดเป่า
“เป็นอะไรอะนาย กำลังม่วนขนาด”
“บันเทิงแต่พอเหมาะ สนุกแต่พองาม พรุ่งนี้ยังมีงานหนักรออยู่ ไปนอนเอาแรงดีกว่า”
“ชีวิตนายไม่มีอะไรเลยเหรอ นอกจากงานๆๆๆ อึ่งพาไปเปิดหูเปิดตาที่ร้านแม่ทองประศรีบ้างเอามั้ย”
ดรุณีซึ่งหันหลังจะเดินกลับอยู่แล้ว ชะงักหันกลับมาฟัง เตรียมเก็บข้อมูลไปฟ้องคุณย่าเต็มที่
“ที่นั่นมีอะไร”
พันรีบสาธยาย
“มีทุกอย่างเลยนาย คาราโอเกะ เหล้ายาปลาปิ้ง แล้วสามสาวเจ้าของร้านก็นมตู่มตู๊มม๊าก ถ้านายไป รับรอง...เลือกนวดเลือกเฟ้นได้สบาย จะเอาคนไหนล่ะ”
อาทิจส่ายหน้า
“ฉันไม่ชอบเที่ยวอย่างนั้น ฉันชอบอยู่กับดินกับต้นไม้”
ต๊อดแซวขึ้นขำๆ
“แล้วก็กับผู้หญิงอีกคนที่ชอบอยู่กับดินกับต้นไม้เหมือนกัน”
“เออ...ฉันชอบอยู่กับคุณย่า”
อึ่งเซ็งๆ
“หือ...นายก็ คนนั้นน่ะรู้แล้ว ยกท่านขึ้นหิ้งไปแล้ว ไอ้ต๊อดมันหมายถึงผู้หญิงอีกคน”
พันงงๆ
“ใคร คุณวิเหรอวะ”
ต๊อดเบิ๊ดกะโหลกพัน
“หือ...ไอ้โง่ ไม่ใช่คุณวิเว้ย...อีกคน”
อาทิจไม่เข้าใจ
“คนไหน”
ต๊อดกับอึ่งโพล่งออกมาพร้อมกัน
“คุณณี!”
ดรุณีสะดุ้งเฮือก เจ็บใจที่พวกสามลิงลากเธอเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยจนได้ อาทิจถอนใจ
“เขาเกลียดหน้าฉันยังกับอะไรดี วันๆเคยพูดกันดีๆที่ไหน”
พันขัดขึ้น
“แต่คุณณีน่ารัก แล้วก็นิสัยดีนะนาย”
“ก็อาจจะเป็นอย่างที่นายว่า เขาอาจจะดีกับคนอื่น แต่ไม่ใช่กับฉัน ที่สำคัญ...ฉันไม่ชอบผู้หญิงที่นิสัยเหมือนเด็กๆ ฉันไม่มีเวลาไปตามงอนง้อใคร แค่ทำงานก็แทบไม่มีเวลาหายใจแล้ว”
อาทิจพูดจบก็เดินเข้าห้องไป ดรุณีหน้าหงิกยิ่งกว่าขามา ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง...อาทิจก็เห็นเธอเป็นเด็กอยู่ร่ำไป

สายๆของวันใหม่...บริเวณลำธารใกล้ๆน้ำตก ทองใบถลาเข้าไปหาทองประศรี
“วันนี้เลยหรือจ๊ะ”
ทองประศรีขยับเข้ามายืนประจันหน้าชายหนุ่ม
“ใช่ ศรีให้เวลาพี่มาเป็นเดือนแล้ว วันนี้พี่ต้องไปขอศรีกับพ่อแม่ให้เป็นเรื่องเป็นราว”
“พรุ่งนี้ได้มั้ยจ๊ะ”
“พี่จะเกี่ยงทำไม จะวันนี้พรุ่งนี้ พี่ก็ต้องไปขอศรีอยู่ดี หรือจะไปเดี๋ยวนี้เลย ดี
เหมือนกัน ตอนนี้ทุกคนอยู่พร้อมหน้า งั้นไปเลยก็แล้วกัน”
ทองประศรีคว้าแขนทองใบ เตรียมจะลากออกไปด้วยกัน
“เดี๋ยวจ้ะ...รอก่อน”
ทองประศรีโวย
“รออะไรอีกล่ะ”
ทองใบกระล่อนใส่
“รอเจ้าพ่อเจ้าแม่พี่น่ะสิจ๊ะ ท่านจะมาถึงที่นี่ช่วงบ่าย”
ทองประศรีตาวาวสดใสขึ้นมาทันที
“หา...นี่พี่นัดเจ้าพ่อเจ้าแม่ไว้แล้วเหรอ ทำไมไม่บอกศรีตั้งแต่แรก”
“ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพร์สน่ะสิจ๊ะ น้องศรีกลับไปแต่งหน้าแต่งตัวทำผมสวยๆรอเลยนะ วันนี้น้องศรีได้เป็นสะใภ้เจ้าแน่นอนจ้ะ”
ทองประศรีเอามือกุมอกอย่างตื่นเต้น บอกกับตัวเองว่า...โอ้...พระเจ้าช่วยกล้วยทอด...ฉันจะได้เป็นสะใภ้เจ้าแล้วหรือนี่

ทองประศรีเดินยักย้ายส่ายสะโพกดี๊ด๊ากลับเข้ามาในร้าน สิงห์ทองปราดเข้ามาฉะทันที
“ไปไหนมาวะนังศรี เดี๋ยวนี้หายแวบทั้งเช้า กลางวัน เย็น”
ทองประสานฟ้องทันที
“แถมกลางคืนด้วยพ่อ”
“แล้วทำไมไม่บอกแม่หา...นังสาน” คำมาไล่เบี้ยกับทองประศรี “เอ็งไปทำอะไรมา”
ทองประศรีไม่ยี่หระ
“เอาเถอะน่า ฉันไม่ทำอะไรให้พ่อแม่ต้องขายหน้าหรอกน่ะ จะได้หน้าจนคนทั้งหมู่บ้านอิจฉาซะด้วยซ้ำ”
ทองประสมมองหน้าพี่สาวอย่างสงสัย
“ตกลงพี่ศรีไปทำอะไรมากันแน่”
“แกไปต้องมาซักฉันหรอก ตอนนี้รีบไปขุดเสื้อผ้าที่ดูดีที่สุด แล้วก็แต่งหน้าทำผมให้พร้อมก่อนดีกว่า...ทุกคนนั่นแหละ”
ทองประสานลิงโลด
“มียี่เกมาเปิดวิกในหมู่บ้านเรางั้นเหรอพี่”
ทองประศรีตวาดแว๊ด
“ไม่ใช่ยี่เกเว้ย...แขกกิตติมศักดิ์ต่างหาก”
ทุกคนหันมามองทองประศรีอย่างมึนผสมงง...แขกกิตติมศักดิ์อะไร

อาทิจขับแทรกเตอร์เพื่อย่อยดินให้ละเอียด อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดรุณีก้าวฉับๆมาก่อนจะอ้อมไปยืนเท้าเอวอยู่ข้างๆแทรกเตอร์หน้าตาและอารมณ์เสียมากๆ
“ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่มั้ยว่าฉันมาที่นี่ทำไม”
อาทิจไม่สนทำงานไปพูดไป
“บอกซะหน่อยก็ดีครับ อย่าให้ผมคิดเองเลย”
ดรุณีย้อน
“คนมีสมอง น่าจะคิดเองได้”
อาทิจถอนใจเฮือก
“ก็ถ้าผมคิดว่าคุณมาเพราะคิดถึงผมล่ะ”
ดรุณีแว้ดใส่ทันควัน
“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ฉันไม่หลงเสน่ห์นายเหมือนแม่พวกสาวๆที่นี่หรอก ฉันจะมาหานายเรื่องอะไร นอกจากเรื่องคุณย่าใช้ให้มาตามไปกินข้าว”
อาทิจยิ้ม
“ขอบคุณครับที่บอก ถ้าบอกซะตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องโมโหแบบนี้ โมโหมากก็เครียดมาก เครียดมากก็...”
อาทิจจะต่อว่าแก่เร็ว แต่ก็หยุดไว้แค่นั้น ดรุณีขึงตาใส่
“ก็อะไร พูดมาสิ”
อาทิจยืมคำพูดดรุณี
“คนมีสมอง น่าจะคิดเองได้”
ดรุณีทั้งโกรธทั้งอายที่โดนย้อนหน้าแตก หญิงสาวกระโดดปีนขึ้นมาบนรถแทรกเตอร์แล้วทุบไหล่ทุบแขนเขาอั่กๆๆๆ
“นี่แน่ะ...เจ้าเล่ห์นักใช่มั้ย นี่แน่ะๆๆ”
อาทิจไม่สู้แค่ปัดป้อง
“โอ๊ย...ผมเจ็บนะคุณณี พอได้แล้ว”
ดรุณีเมามันหมั่นเขี้ยว
“ไม่พอ”
“หยุด”
“ไม่หยุด”
อาทิจลุกจากที่นั่งคนขับ ดรุณีตามทุบไม่ลดราวาศอก ชายหนุ่มกระโดดลงจากรถ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวโน้มตัวลงมาทุบโดยไม่ทันตั้งตัว เธอจึงตกลงมาในท่าจับกบ หัวเข่ากระแทกพื้นทั้งสองข้าง
“โอ๊ย!”
อาทิจหันไปมองแล้วหัวเราะ
“กรรมตามสนอง...เด็กดื้อ”
ดรุณีลุกขึ้น จะเข้ามาผลักแต่แล้วก็เป็นฝ่ายล้มลงซะเอง และคราวนี้ ลุกไม่ขึ้น อาทิจขยับเข้าไปช่วยประคอง ดรุณีสะบัด
“ไม่ต้อง!”
หญิงสาวยันตัวเองขึ้น และก่อนจะล้มลงอีกครั้ง ชายหนุ่มคว้าตัวไว้ได้ ดรุณีสะบัดตัวแผลงฤทธิ์ใส่อีก อาทิจหน้านิ่งเสียงกำราบเอาเรื่อง
“เดินไม่ไหวแล้วยังจะฤทธิ์เยอะอีก จะให้อุ้มเข้าเอวแบบไทย หรือจะขี่หลังไปแบบเกาหลี”
ดรุณีอึ้ง จินตนาการท่าทางการอุ้มทั้งสองแบบ อาทิจเห็นดรุณีนิ่งไปนานก็คิดว่าฝ่ายหญิงดื้อเงียบ เลย แกล้ง ตัดสินใจแทน
“แบบไทยๆแล้วกัน ถนัดเลย...อยู่บ้านอุ้มน้องเข้าเอวบ่อยๆ”
ชายหนุ่มทำท่าจะอุ้มหญิงสาวใส่เอวจริงๆจังๆ ดรุณีแหกปากร้องลั่น
“ไม่เอา!” เธอบีบเสียงอ่อยอย่างอายๆ “เอาขี่หลัง”
“ลืมไป...มีแฟนหน้าตาเกาหลี ก็ต้องเลือกแบบเกาหลี”
ดรุณียัวะสุดขีด
“นายอาทิจ!”
อาทิจเบิกตาแบ๊วใส่...พูดผิดตรงไหนเหรอ

ดรุณีขี่หลังอาทิจออกมาจาก รถแทรกเตอร์ ชายหนุ่มแกล้งแหย่
“ตัวหนักเหมือนกันนะเนี่ย”
“เงียบไปเลยไป”
อาทิจยิ้มๆ เขารู้สึกวูบวาบประหลาดๆ เกิดมาไม่เคยให้ผู้หญิงคนไหนขี่หลัง นอกจากน้องสาวของตัวเอง ในขณะที่ดรุณีอายหน้าแดงแล้วแดงอีก เพราะไม่เคยโดนสัมผัสจากชายใดมาก่อนในชีวิตเช่นกัน

อาทิจถีบจักรยานเอื่อยเฉื่อยมาตามทาง โดยมีดรุณีนั่งซ้อนหลัง ต๊อด อึ่ง พัน กำลังจะเดินข้ามถนนไปทำงานที่สวนอีกฝั่ง ทั้ง 3 หันไปเห็นแต่ไกลก็พากันชะงัก รีบวิ่งไปซ่อนหลังต้นไม้โดยพร้อมเพรียงกัน ต๊อดตาโต
“นายกับคุณณีนี่หว่า”
อึ่งพยักหน้า
“เอ็งดูไม่ผิด”
พันจ้องนิ่ง
“ตาพวกเราไม่ฝาด”
ต๊อดยิ้ม
“พากันมาถีบจักรยานกินลมชมวิวอย่างนี้ แอบจีบกันแหง”
ดรุณีนั่งหงุดหงิดที่ท้ายรถ สักครู่ก็ทนไม่ไหว
“ถีบหวานเย็นอย่างนี้เมื่อไหร่จะถึง เย็นนี้จะได้กินข้าวมั้ย”
“อุตส่าห์หวังดี กลัวก้นกระแทกเดี๋ยวจะเจ็บลามไปถึงเข่าถึงขา เฮ้อ...ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ เอ้า...ถ้างั้นก็เกาะให้ดีก็แล้วกัน”
อาทิจถีบใส่สปีดเต็มที่ ดรุณีแทบหงายเงิบ หญิงสาวแหกปากร้องโหวกเหวก บ่นเสียงดังมาตามทาง จนรถผ่านสามสหายไปแล้ว เสียงเจ้าหล่อนก็ยังดังก้องสวน
“นี่! ถีบให้มันดีหน่อยได้มั้ย! เร็วแบบพอดีๆน่ะ กะไม่เป็นรึไง อย่างนี้มันแกล้งกันชัดๆ เดินได้เมื่อไหร่ฉันจะเอาไม้มาตีๆๆๆ เอามีดมาสับๆๆๆนายให้เล๊ะเลยคอยดู”
อึ่งงงๆ
“ตกลงจีบกันหรือจะฆ่ากันให้ตายไปข้างวะเนี่ย”
พันส่ายหน้าเซ็งๆ
“นายนี่ท่าจะชำนาญแต่เรื่องดินกับต้นไม้ เรื่องผู้หญิงนี่ไม่เป็นสัปปะรดเอาซะเลย เฮ้อ...ต้องสอนกันอีกเยอะ”
ต๊อดหันมามองหน้าพัน
“แล้วคนสอนเคยได้มั้ย”
พันหน้าเจื่อน อึ่งมองตามหลังอาทิจไป
“กว่าจะถึงปลายทาง ถ้าหูไม่ดับก็คงแฉะไปข้างแน่นาย”

อาทิจถีบจักรยานเข้ามาจอดหน้าบ้าน ดรุณีรีบลงจากรถ อาทิจขยับเข้ามาเพื่อจะช่วยประคองหญิงสาว
“ไม่ต้องอุ้ม”
อาทิจเย้าแหย่ยิ้มๆเหมือนแหย่น้อง
“กลัวหนุ่มลอนดอนหน้าเกาหลีไม่พอใจ”
ดรุณีกัดฟัน
“นายอาทิจ”
“ผมไม่ได้จะอุ้มคุณ แค่จะประคองเดินเข้าบ้านแค่นั้น”
“ไม่ต้อง ฉันเดินเองได้”
ดรุณีขยับเดินไปได้ 2-3 ก้าว ก็เซ อาทิจซึ่งเดินระวังอยู่แล้วรีบคว้าตัวหญิงสาวไว้ เวทางค์กับวิยะดาวิ่งหน้าบานออกมาจากบ้าน พอเห็นอาทิจประคองเหมือนเข้ามากอดดรุณีก็โวยวาย
“เฮ้ย! ทำอะไรวะ แต๊ะอั๋งน้องณีเหรอ”
วิยะดาแย้งอย่างไม่พอใจ
“พูดยังงี้ได้ไงพี่เว พี่อาทิจเสียหายหมด”
ย่าแดงตามออกมา
“เอ๊ะอะอะไรกัน”
เวทางค์ฟ้องทันที
“ก็นายอาทิจสิครับคุณย่า มันลวนลามน้องณี เห็นๆกันอยู่”
ดรุณีเซ็งมาก
“ไม่มีใครลวนลามใครหรอกค่ะพี่เว ณีหกล้มแล้วเดินไม่ไหว มันเจ็บเข่าแล้วข้อเท้าอาจจะแพลงด้วย”
ย่าแดงมองหลานสาวอย่างเป็นห่วง
“พาเข้าไปดูในบ้านก่อนไป”
อาทิจจะประคองดรุณี แต่เวทางค์ปรี่เข้ามาดันอาทิจกระเด็น ส่วนวิยะดาก็เข้ามาประกบอีกข้าง
“ผมเองครับคุณย่า ไปครับน้องณี”
ดรุณีหันมามามองอาทิจ ชายหนุ่มแกล้งหยอดตาแหย่ส่งท้ายไปที่เวทางค์...ประมาณว่า แฟนมาทำหน้าที่แล้ว ดรุณีสะบัดหน้าหนีอาทิจก่อนจะเดินเข้าบ้านไปกับเวทางค์และวิยะดา ย่าแดงหันมาหาอาทิจ
“ไปกินข้าวก่อนเถอะพ่อ”
อาทิจกำลังยิ้มขำดรุณี หันมาปรับสีหน้ากับย่าแทบไม่ทัน
“ครับ...คุณย่า”

ดรุณีเลิกขากางเกงยีนส์เอี๊ยมซึ่งยาวคลุมเข่าขึ้นมา เห็นแผลถลอกเลือดซิบที่หัวเข่า ย่าแดงหันไปสั่งเวทางค์
“ตาเว ช่วยไปหยิบกล่องอุปกรณ์ทำแผลในตู้ยามาที”
“ครับ คุณย่า”
เวทางค์เดินออกไป ในขณะที่ดรุณีเลิกกางเกงอีกด้านขึ้นดู วิยะดาโผล่หน้าเข้ามาเห็นแผลที่เข่าอีกข้างแล้วทำหน้าเหยเก ย่าแดงมองหาแว่น
“เอ...ย่าไปวางแว่นไว้ที่ไหน เดี๋ยวแม่วิล้างแผลใส่ยาให้แม่ณีก็แล้วกัน”
“จะดีเหรอคะคุณย่า คือ...วิ...กลัวเลือดน่ะค่ะ เห็นแล้วหวิวพาลจะเป็นลม”
เวทางค์หิ้วกล่องอุปกรณ์ทำแผลเข้ามาได้ยินที่น้องสาวพูดพอดี
“อะไรจะใจเสาะขนาดนั้นยายวิ แผลถลอกแค่นิดเดียว เดี๋ยวผมจัดการเองครับ
คุณย่า”
เวทางค์วางกล่องอุปกรณ์ข้างดรุณี แล้วหันมาเห็นแผลที่เข่าอีกข้างของหญิงสาวที่เขายังไม่เห็น แผลมีเลือดไหลโชก ต่างจากแผลถลอกอีกข้างโดยสิ้นเชิง เวทางค์ตาเหลือกทำท่าพะอืดพะอมอยู่สักพัก ก่อนจะหงายหลังตึงเป็นลมพับไป วิยะดาตกใจ
“ว้าย...พี่เว”
ย่าแดงชะงัก
“อ้าว...เป็นลมไปซะแล้ว ไป...แม่วิ พาพี่เขาไปนอนที่ห้องนั้นไป เอายาดมให้ดมด้วย อยู่แถวนั้นล่ะ”
วิยะดาออกแรงดึงพี่ชาย ซึ่งพยายามประคองตัวช่วยตัวเองขึ้นมา ทั้งคู่พากันเดินโซเซออกไปสวนกับอาทิจซึ่งโผล่เข้ามาพอดี
“กินข้าวเสร็จแล้วเหรอพ่อ ไวดีจริง มา...ช่วยมาทำแผลให้แม่ณีหน่อยเถอะ ไม่รู้ย่าไปวางแว่นไว้ที่ไหน”
อาทิจยิ้ม
“ครับ...คุณย่า”
ดรุณีตาเหลือก รู้ว่าเขาไม่ได้มาดีแน่ อาทิจเปิดกล่องยาเอาสำลีเช็ดเลือดออก แล้วหยิบแอลกอฮอล์ขึ้นมา เทใส่สำลีจนชุ่ม ก่อนจะเช็ดลงที่แผลอย่างละเลียด ปราณีต บรรจง ดรุณีกัดฟันทำหน้าเหยเกเพราะความแสบเข้าไปถึงทรวง หญิงสาวรู้ว่าในความประณีตบรรจงจากการเช็ดนั้น มีความ นิ่งเนิบที่ทำให้แสบนานๆ แฝงอยู่ ดรุณีจึงแอบหยิกเข้าที่แขนเขาอย่างแรง อาทิจร้องลั่น
“โอ๊ย”
ย่าแดงซึ่งเดินหาแว่นอยู่แถวนั้น หันมามอง
“เป็นอะไรล่ะพ่อ”
“ปะ...เปล่าครับ”
คุณย่าหันไปเดินหาแว่นต่อ อาทิจหันมาคว้าขวดทิงเจอร์ เทใส่สำลีแล้วเช็ดลงบนแผล ดรุณีสะดุ้งเฮือก แต่ก็กัดฟันไม่ร้องสักแอะ และยังมีแรงพอที่จะหันมาดีดติ่งหูเขาอย่างเต็มข้อ อาทิจเจ็บปวดรวดร้าวไปถึงแก้วหูชั้นใน
“โอ๊ย”
ย่าแดงหันมาเปรย
“ตกลงที่ร้องโอย...โอยน่ะ คนเจ็บหรือคุณหมอกันแน่”
อาทิจเอามือคล้ำหูแล้วส่งยิ้มเจื่อนๆให้ย่า ในขณะที่ดรุณีแอบหัวเราะแล้วยักคิ้วให้ชายหนุ่ม
 
โปรดติดตามตอนต่อไป
 





ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 5 (ต่อ)
 

สิงห์ทอง คำมา ทองประสาน ทองประสม ทุกคนแต่งตัวกันอย่างเต็มที่เดินมายืนเรียงแถวหน้ากระดานทีละคน แล้วชะเง้อมองไปทางหน้าร้าน ก่อนจะหันมาหาทองประศรี ​

“แขกกิตติมศักดิ์ที่ไหนของเอ็งวะ”
สิงห์ทองถามลูกสาวยังสงสัยบวกแปลกใจไม่หาย ทองประศรี แต่งตัวราวกับจะไปประกวดเทพีก้าวเข้า ยิ้มร่า
“เดี๋ยวเขาก็มา ใจเย็นๆ”
คำมายังติดใจสงสัย
“มันกิตติมศักดิ์พอกับที่พวกเราต้องไปหาเช่าชุด ไปจ้างช่างมาแต่งหน้าทำผม​รึเปล่าวะ”
ทองประศรีตัดบท
“เอาน่าแม่ ฉันบอกได้คำเดียวว่างานนี้ คุ้ม”
สิงห์ทอง คำมา ทองประสาน ทองประสม พากันกลับเข้ามานั่งในร้าน ทองประสานมองพี่สาวอย่างสงสัย
“จะไม่แย้มสักหน่อยเหรอพี่ศรีว่า เขาเป็นใคร”
ขาดคำของทองประสาน ก็มีอีกเสียงแทรกขึ้นมา
“สวัสดีคร้าบ...พี่น้อง”
ทุกคนที่อยู่ในร้านหันมามองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว ทองประสมหน้าตื่น
“หรือว่า...คนนี้...”
บรรยง ใส่ชุดตำรวจยศสิบโทเต็มยศ เดินยืดอกเข้ามา สิงห์ทองอึ้งๆ
“เนี่ยเหรอ แขกกิตติมศักดิ์ของเอ็ง”
ทองประศรีเซ็งๆ
“ปัดโธ่...ตำรวจยศสิบตรีจะเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของฉันได้ไงล่ะพ่อ”
บรรยงยืดอกใส่
“สิบโทแล้วจ้ะน้องศรี ไม่ใช่สิบตรี นี่แต่งตัวจะไปเล่นยี่เกที่ไหนจ๊ะ”
ทองประศรีเหยียดปากดูถูก
“บ้านน๊อกบ้านนอก ใครๆเขาก็แต่งอย่างนี้ออกมาต้อนรับแขกกิตติมศักดิ์กันทั้งนั้น ไม่เคยเห็นรึไง”
บรรยงงง
“แขกกิตติมศักดิ์”
“ใช่...อยากจะอยู่ต้อนรับด้วยกันก็ได้นะ รู้จักท่านไว้ก็ดี เผื่อจะได้ติดยศสูงกว่านี้”
ทองประศรีเชิดใส่บรรยง ราวกับฮองเฮาเชิดใส่ขันทีปลายแถว
 
อาทิจ ต๊อด อึ่ง พัน ลุงเกร็ง ไพฑูรย์ และคนงานอื่นๆ ช่วยกันขนส้มขึ้นท้ายกระบะของลูกค้าจนเสร็จ อาทิจหันมาหาย่าแดง
“ผมขออนุญาตเอารถไปขนหน่อกล้วยนะครับคุณย่า”
“เอาเจ้า สามลิงนี่ไปช่วยด้วยสิ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวมีลูกค้าอีกเจ้ามารับส้ม ให้ต๊อด อึ่ง พันอยู่ช่วยทางนี้ดีกว่าครับ”
ลุงเกร็งเสนอตัวอาสา
“ถ้างั้น ลุงไปช่วยเอง”
“ลุงเกร็งต้องอยู่เคลียร์บัญชีค่าใช้จ่ายเดือนนี้กับคุณย่าไม่ใช่เหรอครับ”
ลุงเกร็งนึกได้
“เออ...จริง ขอบคุณนะครับคุณอาทิจที่เตือน”
ย่าแดงหันไปสั่งไพฑูรย์
“งั้นก็เจ้าฑูร ไปช่วยพ่ออาทิจหน่อยไป”
“เอ่อ...คือ” ไพฑูรย์อยากจะเกี่ยง แต่พูดไม่ออก “ครับ”
ย่าแดงหันมาหาดรุณี เวทางค์ วิยะดา
“แล้วสามคนนี้ล่ะ”
ดรุณีรีบบอก
“หนูเจ็บขา”
เวทางค์โบกมือไม่เอาด้วย
“ผม...ขอบายครับ เพิ่งไปเลเซอร์หน้ามา คุณหมอห้ามไม่ให้ตากแดดครับคุณย่า”
“วิก็เหมือนกัน ไปทำคลินิกเดียวกันกับพี่เวค่ะ” วิยดาหันไปบอกอาทิจ “รักเหมือนเดิม แต่ขอ
อยู่เป็นกำลังใจที่บ้านก็แล้วกันนะคะพี่อาทิจ”
อาทิจยิ้มพยักหน้ารับ
 
ทองประศรีเริ่มชะเง้อชะแง้มองไปหน้าร้าน หน้าตาท่าทางเริ่มร้อนรน ขณะเดียวกันนั้นตุ๊โพกผ้า ใส่แว่น แถมกางร่มเดินจ้ำเข้ามาในร้านอย่างอยากจะสอดรู้สอดเห็นเต็มแก่
“ทันรึเปล่าน้องศรี พี่ตุ๊มาทันรึเปล่า”
คำมาหันไปเห็น
“นี่หล่อนได้รับเชิญกับเขาด้วยเหรอ”
“อ๊ะ...ก็ตุ๊เป็นพี่ที่สนิทที่สุดของน้องศรี แขกกิตติมศักดิ์มาบ้านทั้งที ตุ๊จะไม่ได้รับเชิญได้ไงล่ะ ไหนล่ะน้องศรี แขกกิตติมศักดิ์”
ทองประศรีหน้าตากังวล
“ยังมาไม่ถึงเลยพี่ตุ๊”
ตุ๊โล่งอก
“แล้วไป...นึกว่ามาไม่ทัน นี่ถ้าไม่เจอไอ้รถขายของชำนั่น พี่ตุ๊คงมาถึงเร็วกว่านี้”
สิงห์ทองมองตุ๊อย่างแปลกใจ
“ทำไมหมู่นี้มีรถเข้ามา แย่งข้าขายของบ่อยนักวะ รถใคร”
“ไม่ใช่รายใหม่หรอกน้าสิงห์ มันก็ไอ้ทองใบเจ้าเก่านั่นแหละ”
ทองประศรีดีใจเนื้อเต้น
“เหรอพี่ เจอที่ไหนเมื่อไหร่”
“ก็เมื่อกี้น่ะสิ มันทำมาเป็นเกี้ยวพี่ด้วยนะ เชอะ...ไม่ได้แอ้มหวานหรอก”
ตุ๊เล่าเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้ทุกคนฟัง...ก่อนที่จะมาที่ร้านเธอเดินเอาผ้าโพกผม สวมแว่นกันแดดถือร่มสีแดงแป๊ดฝ่าเปลวแดดร้อนระอุมาตามถนนทางเข้าหมูบ้าน รถทองใบแล่นสวนออกไป ขณะที่กำลังขับผ่านตุ๊ ทองใบจอดรถแล้วลงมาถามเสียงหวานแบบเดิมเป๊ะ
“จะไปไหนครับคุณผู้หญิง ให้ผมไปส่งมั้ยครับ”
ตุ๊ทำเอียงอาย บีบเสียงเป็นสาวพรหมจารี
“จะดีเหรอ เดี๋ยวชาวบ้านเม้าท์”
“เม้าท์เรื่องอะไรครับ”
“อ้าว...ก็หนูมีแฟนแล้ว ใครมาเห็นเข้า เขาจะหาว่าหนูใจง่ายเที่ยวขึ้นรถไปกับ ผู้ชายอื่น”
“แค่นั่งรถไปด้วยกัน คงไม่มีใครคิดว่าเราไปทำอะไรไม่ดีไม่งามหรอกครับ แต่...หุ่นคุณผู้หญิงนี่ก็น่า...อยู่เหมือนกัน”
ตุ๊ทำเสียงกระเส่า
“น่า...อะไรจ๊ะ”
ทองใบมองอย่างโลมเลีย
“น่าพาไป...ปะ...เอ๊ย...ไปส่งครับ คุณผู้หญิงจะไปไหนล่ะครับ”
“จะเข้าไปในหมู่บ้านน่ะจ้ะ”
“หมู่บ้านไหนครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
ตุ๊เผลอถอดผ้าโพกผมกับแว่นออก
“ก็หมู่บ้านในนี้ล่ะจ้ะ”
ทองใบเหมือนถูกผีหลอก นึกไม่ถึงว่าลอกคราบแล้วจะกลายเป็นตุ๊
“เฮ้ย...พี่ตุ๊!”
ตุ๊รู้ว่าเผลอไปแล้ว เลยเลยตามเลย
“เออ...ก็ฉันน่ะสิ ไป...ไปส่งหน่อยก็ดี ขืนเดินไปกว่าจะถึงร้านน้องศรี ฉันคงเกรียมเป็นเนื้อแดดเดียวแหง...ไป”
ทองใบชะงัก
“ไปไหนนะ”
“ก็ร้านน้องศรี ลูกสาวยายคำมากับตาสิงห์ทอง พี่สาวนังสานกับนังสมไง”
 
ตุ๊ใส่อารมณ์ในการเล่าอย่างเมามัน
“เท่านั้นล่ะ มันกระโดดขึ้นรถแล้วเผ่นแน็บไปเลย แถมยังตะโกนใส่หน้าฉันอีกต่างหาก ว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีกเด็ดขาด”
ทองประศรียืนอึ้ง ใจหวิว คล้ายจะเป็นลม สิงห์ทองแปลกใจ​
“หรือว่ามันไปมีเรื่องกับใคร”
ทองประสานหันไปบอกพ่อ
“ไอ้นี่มันขี้หลีจะตายพ่อ เวลาพี่ศรีออกไปข้างนอกกับพี่ตุ๊ มันชอบมานั่งจีบฉันกับ
นังสม”
ทองประสมเสริมทันที
“ใช่...ชอบมาชวนเราไปเที่ยวน้ำตกอยู่นั้นล่ะ ที่คุยกันได้นานหน่อยก็เพราะเป็นคอยี่เกเหมือนกัน วีซีดียี่เกทุกคณะมีอยู่ในรถมันหมด จะดูเรื่องไหนล่ะ”
บรรยงนึกได้
“งั้นใช่เลย...ไอ้พระเอกยี่เกเก่านี่แหละที่ไปฟาดผู้หญิงที่หนองสะพือมาไม่รู้กี่คนต่อกี่คน จนฉันรับแจ้งความไม่หวาดไม่ไหว ตำรวจที่โรงพักถึงกับตั้งฉายาให้มันว่า ทองใบ จอมตะบันฟันแล้วทิ้ง”
ทองประศรีแข็งใจถามตุ๊หน้าซีดปากสั่น
“พี่ตุ๊ไปเจอมันที่ไหน”
“ก็ทางเข้าหมู่บ้านนั่นแหละ ป่านนี้คงถึงถนนใหญ่แล้วมั้ง”
ทองประศรียืนปากคอสั่น หายใจรวยรินจะหมดลมซะให้ได้
 
รถกระบะของทองใบแล่นเอื่อยเลียบถนนใหญ่ สาเหตุที่เขาขับรถเอื่อยๆมานั้น เพราะต้องการจอดตรงสตรีสะโพกดินระเบิดนางหนึ่งซึ่งยืนรอรถอยู่ข้างทาง ทองใบไขกระจกลงแล้วถามเสียงหว๊านหวาน
“จะไปไหนครับคุณผู้หญิง ให้ผมไปส่งมั้ยครับ”
ทองประศรีวิ่งเร็วจี๋ออกมาจากทางลัดด้านข้าง จนโผล่ออกมาที่ถนนใหญ่ หญิงสาวกวาดตามองเห็นทองใบลงจากรถแล้วเดินกุมเป้าไปหาผู้หญิงสะโพกดินระเบิดอย่างสุภาพ ก่อนจะโอบเอวสาวน้อยนางนั้นขึ้นรถอย่างทะนุถนอมจนแทบจะกลายเป็นอุ้ม ทองประศรีตะโกนลั่น
“พี่ทองใบจะไปไหน กลับมาก่อน อย่าทิ้งศรีไป รอศรีด้วย”
หญิงสาววิ่งติดสปีดไปที่รถกระบะ ทองใบจี๋จ๋ากับอนงค์สะโพกมโหฬารในรถ แล้วเหลือบมามองกระจกข้างเห็นทองประศรีวิ่งจี้มาจวนจะถึงรถอยู่รอมร่อ ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจยิ่งกว่าเจอควายไล่ขวิด รีบใส่เกียร์เดินหน้าแล้วเร่งเครื่องหูดับตับไหม้ออกไป เมื่อควันดำที่พ่นออกมาจากท่อไอเสียจางหายไป ทองประศรียืนสำลักควันอยู่ตรงนั้น หญิงสาวร้องไห้ตีโพยตีพาย ตามหลังรถทองใบอย่างไม่อายฟ้าดินอีกต่อไป
“ไอ้ทองใบ ไอ้เลว แกจะหนีไปไหน ไอ้ยี่เกบ้านนอก แกทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง ไหนล่ะวัง ไหนล่ะเจ้าพ่อเจ้าแม่ของแก มันอยู่ที่ไหน ไอ้กะล่อน ไอ้คนเลว!”
ทองประศรีตีอกชกอากาศก่อนจะเซซังลงกระแทกพื้น หญิงสาวเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจเหมือนตายทั้งเป็น
 
อาทิจขับรถเข้ามาจอดที่ตีนเขา ไพฑูรย์ซึ่งนอนหลับมาข้างๆ ค่อยๆปรือตาขึ้นมามองอย่างขี้เกียจ
“ถึงแล้วหรือครับ”
“ครับ...เดินเข้าไปข้างในนี่นิดเดียว”
“ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด กินยาไป สองเม็ดแล้วก็ยังไม่หายมัน...มึนหัว สมองมันตื้อๆ หน้ามืดในบางครั้ง ปวดท้องในบางคราว เท้าบวมในบางหน บางทีก็คลื่นไส้ คล้ายจะเป็นลม  ต้องหายาดมมาดมทั้งวันครับ”
ว่าแล้วไพฑูรย์ก็ควักยาดมที่พกติดตัวไว้ขึ้นมาดม พร้อมหายใจรวยรินคล้ายจะลาจากโลกไปในไม่ช้า อาทิจรู้ว่าที่ไพฑูรย์ร่ายยาวมาทั้งหมดเป็นเพราะขี้เกียจ ไม่อยากไปช่วยขุดกล้วย
“พี่ฑูรไม่ไหวก็นอนให้หายง่วงก่อนเถอะครับ”
อาทิจก็ลงจากรถ ไปหยิบจอบ เสียมและถุงกระสอบที่ท้ายกระบะ ไพฑูรย์เหล่มองจนแน่ใจว่าอาทิจเดินพ้นสายตาไปแล้ว จึงเลิกวางท่าป่วย เปลี่ยนเป็นดี๊ด๊าทันที
“เชื่อสนิท” ไพฑูรย์จะล้มตัวลงนอนต่อ แต่แล้วก็ดีดเด้งขึ้นมา “มันรู้ได้ยังไงวะว่าเราง่วง”
ไพฑูรย์ขมวดคิ้วคิดนิดนึง แต่แล้วก็ไม่สนใจลงไปนอนกระดิกเท้าสบายใจเฉิบเหมือนเดิม
 
 
ทองประศรีเดินน้ำตากรังกลับเข้าบ้าน คำมาโวยวายใส่ทันที
“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ เอ็งแจ้นไปตามไอ้ทองใบมันทำไม”
สิงห์ทองนึกได้
“หรือว่าไอ้นั่นมันเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของเอ็งหา!”
ทองประศรีร้องไห้โฮ
“ไม่ใช่”
ตุ๊มองอย่างสงสัย
“ไม่ใช่แล้วน้องศรีร้องไห้ทำไม หรือว่ามัน...มันมาออกกำลังกายกับน้องศรีแล้ว”
บรรยงตาโต
“อย่าบอกนะว่า น้องศรีโดนมันตะบันเข้าอีกคน”
ทองประศรีทั้งเจ็บทั้งอัดอั้นตันใจ
“ไม่ใช่...มัน...”
ทองประสานมองพี่สาวแล้วถามขึ้น
“มันมาชวนพี่ศรีไปอยู่กับเจ้าพ่อเจ้าแม่มัน เหมือนที่ชวนฉันสองคนงั้นเหรอ”
ทองประศรีช็อกสนิท ไม่คิดว่าทองใบจะโกหกเรื่องนี้กับน้องสาวเธอด้วย
“เปล่า...มัน...มัน...”
คำมาจ้องมองด้วยสายตาคาดคั้น
“มันทำอะไรก็พูดมาสิวะ ยึกยักอยู่นั่นล่ะ เดี๋ยวแม่ตบกลิ้ง มันปล้ำเอ็งงั้นเหรอบอกมานะนังตัวดี...บอกมา”
คำมาจะเข้าไปตบตีทองประศรี ทุกคนต้องเข้าไปช่วยห้าม
“เปล่านะแม่ มัน...มันยืมตังค์ฉันแล้วมันก็ไม่คืน ตั้งสองพัน”
ทุกคนชะงัก สิงห์ทองไม่พอใจ
“เอ็งไปสนิทสนมกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงได้กล้าให้เงินมันยืม”
ตุ๊สอดขึ้น
“ลองคนมันจะเอา มันก็หาเหตุผลมาตอแหลจนได้ล่ะน้าสิงห์”
คำมาเซ็งๆ
“เสียเงินแค่นี้ไม่ตายหรอก ร้องห่มร้องไห้จนข้านึกว่าเสียตัวให้มัน”
สิงห์ทองจ้องหน้าสายตาดุดัน
“ถ้าร่านกับคนไม่มีหัวนอนปลายตีนยังงั้น ข้าจะยิงให้ไส้แตกทั้งผู้หญิงผู้ชายเลย”
ทองประศรีร้องไห้โฮอีก เจ็บใจที่ร่านไปเสียตัวให้คนไม่มีหัวนอนปลายตีนอย่างที่พ่อว่า คำมาตัดบท
“เงียบได้แล้วหนวกหู แล้วไหนล่ะแขกกิตติมศักดิ์ของเอ็งอยู่ที่ไหน”
ทองประศรีสะอื้น
“เขา...คง...ไม่มาแล้วจ้ะ”
ทองประสมยังสงสัยไม่หาย
“แล้วเขาเป็นใครล่ะพี่ศรี”
ทองประศรีไม่รู้จะโบ้ยใคร นึกถึงคนที่คิดว่าพูดออกไปแล้วปลอดภัยที่สุด
“หลานคุณย่า”
ตุ๊หน้าตื่น
“ฮ้า! คุณอาทิจน่ะเหรอ นี่น้องศรีรู้จักคุณอาทิจถึงขั้นนัดมาเที่ยวบ้านเลยเหรอ”
ทองประศรีอ้ำๆอึ้งๆ
“ปะ...เปล่าจ้ะ คือ...ฉัน...ได้ยินพวกคนงานมันคุยกันว่าจะชวนคุณอาทิจเข้ามาเที่ยวในหมู่บ้าน ฉันก็เลย...อยากจะ...ต้อนรับ อยากทำให้เขาประทับใจ”
คำมาถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“โธ่...นังศรี นังกระต่ายตื่นตูม หลานคุณย่าเขาจะมาทำอะไรที่นี่วะ ถ้าจะกินจะเที่ยวเขาไปที่ห้างมีแอร์เย็นๆในเมืองไม่ดีกว่าเหรอ ใครจะมานั่งจั๊กกะแร้เปียกกับเอ็ง” คำมาเอานิ้วจิ้มไปที่หัวลูกสาว “มีสมองก็หัดคิดบ้างสิโว้ย เลิกฝันลมๆแล้งๆได้แล้ว”
ทองประศรีช้ำใจ อกแทบระเบิด
 
เย็นนั้น...อาทิจขุดหน่อกล้วยอย่างอุตสาหะ พยายาม มุ่งมั่น อดทน และตั้งใจ ชายหนุ่มเอามือปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้าและดื่มน้ำในกระติกก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
 
ค่ำแล้ว...แก้วลำเลียงอาหารออกมาวางที่โต๊ะ ในขณะที่ย่าแดง เวทางค์กับวิยะดาเดินมาจากอีกทางและกำลังจะนั่งประจำที่ อาทิจเดินเข้ามาจากทางหลังบ้าน วิยะดาหันมาเห็น
“พี่อาทิจ” เธอคว้ากล่องทิชชูบนโต๊ะไป “เหนื่อยมั้ยคะ กลับมาซะมืดเชียว”
วิยะดาดึงกระดาษออกมาซับเหงื่อให้
“ไม่เป็นไรครับคุณวิ ผมว่าจะไปอาบน้ำอยู่แล้ว ขออนุญาตนะครับคุณย่า”
“ไม่กินข้าวด้วยกันก่อนหรือพ่อ”
“ผมจะกินกับต๊อด อึ่ง พันที่บ้านครับ นัดพวกนั้นให้มาช่วยทำน้ำหมักกล้วยกัน”
แก้วแปลกใจ
“อะไรคะ น้ำหมักกล้วย”
“ก็น้ำหมักชีวภาพที่ทำจากกล้วยนี่ล่ะครับ”
ย่าแดงถามอย่างยิ้มแย้ม
“ย่าเคยอ่านเจอเหมือนกัน ทำอย่างไรนะพ่อ”
อาทิจอธิบาย
“เอาหน่อกล้วยที่ไม่สมบูรณ์ คือแทนที่เราจะทิ้งก็เอามาสับให้ละเอียดแล้วเอาไปผสมกับน้ำแล้วก็กากน้ำตาล จากนั้นก็นำไปหมักทิ้งไว้ในถังสักเดือนนึงครับ พอกล้วยที่เราลงไว้เริ่มแตกปลี ก็เอาน้ำรดโคนต้นให้ชุ่ม ตามด้วยน้ำที่เราหมักไว้ มันจะช่วยให้ผลกล้วยมีขนาดโตกว่าปกติ แล้วจำนวนหวีก็เพิ่มขึ้นครับ”
วิยะดามองอาทิจอย่างชื่นชม
“พี่อาทิจเก่งจังเลย รู้ไปหมดทุกสิ่งอย่าง”
เวทางค์​หมั่นไส้
“นายนี่เขาโตมากับดินกับต้นไม้ เขาก็ต้องรู้เรื่องพวกนี้สิ ลองถามเรื่อง 3 จี IPOD IPAD ดูบ้างสิ จะรู้มั้ย”
ย่าแดงแย้งขึ้น
“แล้วมันจำเป็นต้องรู้มั้ยล่ะ ย่าว่าเทคโนโลยีจะก้าวล้ำไปแค่ไหน มันก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องปากท้องของคนเราหรอกนะ ถ้าไม่มีข้าวกิน เราก็คงไม่มีแรงไม่มีสมองไปนั่งประดิษฐ์เทคโนโลยีก้าวล้ำอะไรนั่นหรอก จริงมั้ย”
เวทางค์เซ็งๆ
“คุณย่าพูดเหมือนไม่เห็นความสำคัญของเทคโนโลยี”
“ไม่ใช่ไม่เห็น แต่อยากให้หลานจัดลำดับความสำคัญในชีวิตให้เป็น อะไรที่มันไม่ได้ทำให้เรากินอิ่มนอนหลับ ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น เราจะได้ไม่ต้องไปไขว่คว้าหามาเป็นสมบัติ ให้มันเป็นขยะหนักโลกเปล่าๆ”
อาทิจพูดขึ้นเรียบนิ่ง
“ที่จริงก็มีอีกหลายเรื่องในโลกนี้ที่ผมไม่รู้ อย่าว่าแต่เรื่องเทคโนโลยีไฮเทคเลยครับ แม้แต่เรื่องดินเรื่องต้นไม้ มันก็มีอีกหลายร้อยพันเรื่องที่ผมไม่รู้และต้องเรียนรู้”
 
 
ดรุณีกับไพฑูรย์คุยกันที่มุมหนึ่งในสวนข้างบ้าน ดรุณีทำท่าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
“นายนั่นไม่รู้จริงๆเหรอพี่ฑูรว่านั่นมันกล้วยป่า”
“ครับ...พี่ฑูรไม่ได้ลงไปช่วยขุด เพราะป่วยก็เลยนอนอยู่ที่รถ ตื่นขึ้นมาเลยตกใจจนพูดไม่ออก ก็ไม่รู้จะพูดยังไงนี่ครับคุณณี คุณอาทิจเล่นขุดมาซะเต็มกระบะกล้วยป่าทั้งน้าน พี่ฑูรว่าคุณณีกระซิบบอกคุณย่าดีมั้ยครับ ท่านจะได้รู้ว่าหลานท่านดีแต่เก่งในตำรา”
“บอกน่ะบอกแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
ไพฑูรย์หน้าเหวอ
“อ้าว...แล้วจะบอกตอนไหนล่ะครับ พรุ่งนี้คุณอาทิจก็จะเอาลงดินแล้ว”
“ก็ให้เขาลงไปสิ คนโอหังอวดรู้อย่างนั้นต้องดัดนิสัยให้ซะเข็ด จะได้รู้ว่าจริงๆแล้วตัวเองก็แค่กบในกะลา”
“ยังไงคุณย่าก็ต้องไปดูอยู่ดี”
“เรื่องคุณย่าณีรับเป็นธุระเอง ส่วนเรื่องคนงานที่จะไปช่วย พี่ฑูรกำชับอย่าเพิ่งให้ใครปากโป้งไปบอกนายนั่นก่อนก็แล้วกัน”
ไพฑูรย์ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ อาทิจก็เดินออกมา
“ไปครับพี่ฑูร เดี๋ยวผมขับรถไปส่งที่บ้าน”
“แล้ว...พรุ่งนี้คุณอาทิจจะให้ใครไปช่วยลงกล้วยบ้างล่ะครับ”
“เอาแค่ต็อด อึ่ง พันก็พอครับ มาช่วยวันเดียวก็พอ”
ไพฑูรย์หันมามองหน้าดรุณี...เอาไงดี ดรุณีขัดขึ้น
“สวนตัวเอง น่าจะทำเองขายเองนะ เอาคนอื่นไปช่วย มันจะภูมิใจได้ยังไง ไหนเขาว่านักเรียนเกษตรเก่งนักเก่งหนา เรื่องกล้วยๆแค่นี้ทำเองคนเดียวไม่ได้รึไง”
อาทิจสูดลมหายใจลึกอย่างเหนื่อยใจ ไม่รู้ดรุณีจะตั้งแง่อะไรกับเขานักหนา ก่อนจะเดินออกไป  โดยมีไพฑูรย์เดินตาม ดรุณียิ้มกวนๆตามหลัง
“คราวนี้ล่ะ นายต้องได้เป็นเทวดาตกสวรรค์แน่ ฮิ...ฮิ...ฮิ”
 
โปรดติดตามตอนต่อไป พรุ่งนี้  เวลา 09.30น.





ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 5 (ต่อ)
 

อาทิจโกยเอาหน่อกล้วยที่ต๊อด อึ่ง พันช่วยกันสับ ขึ้นมาใส่ถังทึบแสงเพื่อทำการหมัก ต๊อดสับไปเว้าอิสานไป

“มีวันไหนบ้างน้อ ที่เราสามคนจะไม่ต้องช่วยนายหมักนายดองไอ้น้ำปุ๋ยพวกเนี้ย”
อึ่งบ่นแต่ก็สับถี่ๆ
“มีวันไหนบ้าง ที่พวกเราจะได้นอนกระดิกเท้าฟังนายเป่าแคนอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องทำอะไรเลย”
พันสับสองมือถี่ยิบ
“มีบ้างมั้ย ที่พวกเราจะได้ปะแป้งพรมน้ำหอมไปจีบสาวแทนที่จะต้องมานั่งเหม็นเปรี้ยวหมักปุ๋ยทุกวันแบบนี้”
ทั้งสามคนประสานเสียงถามดังลั่น
“มีบ้างมั้ย” แล้วทั้งสามก็ประสานเสียงตอบดังลั่นเช่นกัน “ไม่มี้!”
อาทิจพูดไปทำงานไป
“ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ใครบังคับ”
ต๊อดชะงัก
“ก็ไอ้การที่เราเห็นนายทำคนเดียวนี่แหละ ที่มันบังคับให้พวกเราต้องทำ”
“ไม่อยากเห็นก็ไม่ต้องมา”
อึ่งขัดขึ้น
“ไม่ได้หรอก มันคิดถึง”
พันพูดขำๆ
“ถูก...ต้องมาให้เห็นหน้าสักนิด ปะทะคารมก่อนนอนสักหน่อย ถึงจะหลับฝันดี”
ต๊อดหันมายิ้มแย้มให้อาทิจ
“พรุ่งนี้ไปลงกล้วย...ปลุกด้วยน้า ต๊อดจะไปช่วย”
“ไม่ต้อง”
อึ่งเย้าแหย่
“งอนอะดิ”
“ฉันทำคนเดียวได้ ไม่อยากให้ใครมาว่านักเรียนเกษตรเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”
อึ่งลุกขึ้นยืนตั้งกราดมวยขึงขัง
“ใครว่านาย บอกอึ่ง อึ่งจะไปตั๊นหน้ามัน”
ต๊อดลุกขึ้นพร้อมมีดเอาเรื่อง
“ต๊อดจะไปสับๆๆมันให้เล๊ะเลย นายบอกมา...ใคร”
พันหยิบเขียงขึ้นมาแยกเขี้ยว
“สมองมันกระจายแน่ นายบอกมาคำเดียวเท่านั้น มันเป็นใคร”
อาทิจพูดออกมาหน้าเรียบนิ่ง
“คุณณี”
ต๊อดยิ้มแห้งๆ
“แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก”
ทุกคนมือตก จ๋อยสนิท แล้วลงนั่งที่ใครที่มัน อาทิจแววตามุ่งมั่น
“ฉันอยากพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า นักเรียนเกษตรคนนี้มีหัวใจเป็นนักสู้เต็มร้อย ขุดหน่อกล้วยคนเดียวก็ทำมาแล้ว นับประสาอะไรกับแค่ลงกล้วย ทำไมจะทำคนเดียวไม่ได้”
ต็อดแซวทันที
“พิสูจน์กายเป็นใบเบิกทางแล้วตามด้วยการพิสูจน์ใจ”
“เหมือนในละคร ขึ้นต้นก็ตบตีจิกแขวะ” ต๊อดหันไปทำท่าเลียนแบบดรุณีเฮี้ยวใส่อึ่ง “ลงท้ายก็ได้แต่งงานกัน”
อึ่งเสริม
“แถมตอนจบ พระนางก็จูบกัน แล้วมีตัวหนังสือขึ้นที่จอว่า จบบริบูรณ์” อึ่งหันมาปั้นท่าหล่อเป็นอาทิจ อ้าแขนใส่พัน “น้องณี!”
พันแกล้งทำเป็นหญิงแก่นเซี้ยว โผเข้ามากอดและจูบอึ่ง
“พี่อาทิจ!”
ทั้ง สามหนุ่มเป่าปากปี๊ดปิ้ว...หัวเราะชอบใจ ที่ได้แกล้ง อาทิจส่ายหน้าแล้วกลับเข้าห้องไป

เช้าวันใหม่...ย่าแดงวางแก้วน้ำเต้าหู้ลงบนโต๊ะ ก่อนจะจิบน้ำ แก้วเดินมาหยิบหมวกกับแว่นกันแดดและย่ามใส่อุปกรณ์ทำงานซึ่งวางเตรียมไว้มุมหนึ่งมาให้
“ไปเลยนะคะคุณย่า”
“นัดให้พ่ออาทิจมารับน่ะ”
ดรุณีเข้ามา เดาออกว่าย่าจะไปไหน
“คุณย่าคะ หนูจะรบกวนคุณย่าให้เข้าไปตรวจบัญชีที่ออฟฟิศในเมืองวันนี้จะได้มั้ยคะ”
“ทำไมล่ะ เขานัดพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ”
“หนูทราบค่ะ พอดีแบบฝึกหัดตัวอย่างข้อสอบเล่มใหม่จะออกวันนี้ หนูกลัวว่ามันจะขายหมดเร็วแบบคราวก่อน ก็เลยว่าจะติดรถไปกับคุณย่าด้วย ถ้าคุณย่าจะกรุณาไปวันนี้ได้”
“ทางบัญชีเขาทำสรุปรายรับรายจ่ายทันรึเปล่า”
ดรุณีรีบยืนยัน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ หนูโทรไปเช็คให้แล้ว”
“ที่จริงย่าว่าจะไปดูพ่ออาทิจลงกล้วยสักหน่อย”
“ปลูกตั้งเป็นไร่ๆอย่างนั้น คงไม่เสร็จง่ายๆหรอกค่ะ กลับมาดูตอนเย็นก็ยังทันนี่คะ แต่ถ้า...” ดรุณีทำเป็นน้อยใจ “คุณย่าอยากอยู่ดูจริงๆก็ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงตำราของหนูมันก็ไม่สำคัญเท่าสวนกล้วยของหลานคุณย่าอยู่แล้ว”
ดรุณีหนีไปนั่งอ่านหนังสือมุมหนึ่ง ย่าแดงหันมาสบตาแก้วอย่างรู้ใจกัน ก่อนจะออกปาก
“ไปบอกเจ้าเกร็งให้เอารถออกไปแก้ว ฉันจะไปตรวจบัญชีกับแม่ณี”
แก้วรีบคำ
“ค่ะคุณย่า”
แก้วเดินออกไป ดรุณีแอบยิ้มใจหนึ่งก็สะใจล่วงหน้าที่จะได้เห็นอาทิจเจื่อนจ๋อย ส่วนอีกใจก็ดีใจจริงๆ ที่อย่างน้อยคุณย่าก็ไม่ได้เห็นการเรียนของเธอสำคัญน้อยกว่างานของอาทิจ

ดรุณีโผล่หน้าออกมาชะเง้อมองอะไรบางอย่าง สักครู่จึงรีบผลุบหายเข้าไปในบ้าน แล้วทำเป็นเดินออกอีกครั้งเมื่ออาทิจเข้ามา ดรุณีทำเหมือนเพิ่งเห็น
“มาทำไมไม่ทราบ”
“ผมมารับคุณย่า”
“คุณย่าขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะต้องเข้าไปตรวจบัญชีในเมือง ทำไม ตกลงลงมือเองคนเดียวไม่ได้รึไง ถึงต้องเอาคุณย่าไปลำบากตากแดดด้วย”
“ผมเพียงแต่บอกท่านว่าผมจะลงกล้วยแต่เช้า ท่านให้ผมแวะมารับ เพราะท่านอยากไปนั่งดู ไปให้กำลังใจ คงไม่มีหลานคนไหนอยากให้ย่าไปทรมานทำงานกลางแดดทั้งวันหรอกครับ คุณเองก็เหมือนกัน”
“ก็ในเมื่อคุณย่าไปไม่ได้แล้ว นายก็รีบไปซะสิ”
“รบกวนเรียนท่านด้วยว่า ผมแวะมาตามที่ท่านสั่งแล้ว”
อาทิจหันหลังจะเดินออกไป ดรุณีเปรยตามหลัง
“ทีหน้าทีหลังจะทำอะไรก็คิดให้ดีก่อนนะ อย่าเที่ยวหลงตัวเองว่าปลูกผักได้ แล้วจะทำอย่างอื่นได้ตามไปด้วย”
อาทิจชะงักหันกลับมา
“ผมว่าการคิดแล้วลงมือทำ ยังไงก็ดีกว่าการยืนมองแล้วดีแต่พูด”
“แต่การยืนมองแล้วพูด มันก็ไม่ทำให้ใครเสียหายหรือเจ็บตัว”
“ผมยอมเจ็บตัว เพราะอย่างน้อยมันก็จะเป็นประสบการณ์ชีวิตในวันข้างหน้า ดีกว่าพวกที่วันๆเอาแต่บริหารปาก ไม่รู้จักฝึกที่จะบริหารสมองของตัวเอง”
ดรุณีเลือดขึ้นหน้า
“นายว่าฉันเหรอ นายอาทิจ”
“ผมว่าคนที่มีอคติในใจ เพราะผมแน่ใจว่าผมมาทำงานที่นี่ด้วยใจบริสุทธิ์ ถ้าคุณไม่ใช่คนประเภทนั้นก็อย่าเดือดร้อนเลยครับ”
ดรุณีฮึดขึ้นมา
“ฉันไม่เดือดร้อนหรอก เพราะคนที่จะเดือดร้อนก็คือนาย จำไว้!”
“คุณหมายถึงอะไร”
ดรุณียิ้มหยัน
“ขอให้นายโชคดี ทำงานอย่างมีความสุขก็แล้วกัน”
อาทิจรู้สึกสะดุดในน้ำเสียงและแววตาเย้ยหยันของดรุณี แต่แล้วชายหนุ่มก็สลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป ก่อนจะเดินออกมา ดรุณีมองตามด้วยแววตาของคนเจ้าทิฐิ...
“ในเมื่อนายไม่ลดราวาศอกให้ฉัน เรื่องอะไรฉันจะต้องเห็นใจนาย”

ตุ๊มองซ้ายมองขวาก่อนจะวิ่งลับๆล่อๆเข้ามาในร้าน ทุกคนมองตุ๊งงๆ บรรยงนั่งกินกาแฟอยู่กับสิงห์ทองออกปากถาม
“ทำอะไรพี่ตุ๊ ยังกับตีนแมวย่องไปฉกของใครเขามา”
“ก็ไปฉกมาสิวะ เรื่องเด็ดๆอย่างนี้ถ้าไม่ฉกมาแล้วใครจะมาเม้าท์ให้ฟัง”
สิงห์ทองสงสัย
“เรื่องเด็ดอะไรวะ”
“ก็นังซ่อนกลิ่นลูกสาวผู้ใหญ่ทองกับน้าจิตน่ะสิ ดอดไปอุ๊อิ๊อุ๊อิ๊กับไอ้หนุ่มเซลล์ขายยา พอมันฟันฉึกฉักโช้งเช้งจนหนำใจแล้วมันก็ทิ้ง”
ทองประศรี ทองประสาน ทองประสมหยุดฟังหูผึ่ง คำมาถอนใจ
“อีหรอบเดียวกับไอ้ทองใบเลย แล้วผู้ใหญ่ทองกับนังจิตมันไม่อกแตกเหรอ”
“อื้อหือ...บ้านแทบระเบิด เพราะไม่ใช่ลูกสาวจะเสียตัวอย่างเดียว ดันโอ้กอ้ากขึ้นมาด้วยน่ะสิ อุตส่าห์ตั้งชื่อลูกว่าซ่อนกลิ่น ตอนนี้ซ่อนไม่ทันแล้ว กลิ่นมันหึ่งไปทั้งหมู่บ้าน จะออกไปไหนทีแทบต้องเอาปีบคลุมหัวแทนหมวกกันเลยล่ะ”
สิงห์ทองปั้นหน้าเหี้ยม
“เป็นลูกสาวบ้านนี้ล่ะก็...พ่อจะฆ่าให้ตายคามือ จะแรดก็ต้องแรดอย่างมีระดับ ไม่ใช่ไปมั่วกับไอ้พวกจรจัดพรรค์นั้น แล้วไอ้ผู้ชายพวกนี้ก็อย่าได้มาข้องแวะกับลูกสาวข้า ไม่งั้นข้าจะเจี๋ยนๆๆ”
สิงห์ทองดึงบรรยงมาเป็นแบบ แล้วเอาสันมือทำเป็นมีดปาดคอบรรยงไปมา
“ศอกๆๆ”
สิงห์ทองศอกใส่บรรยง
“เข่าๆๆ”
เข่าใส่อีก
“ตืบๆๆ”
สิงห์ทองกระทืบลงบนเท้าบรรยง
“ใส่ไม่เลี้ยงเลย”
ระหว่างที่สิงห์ทองดึงบรรยงมาเป็นแบบ ทุกคนสะดุ้งผสมหวาดเสียวตามจังหวะ แล้วสิงห์ทองก็ทรุดตัวลงนั่งสะเปะสะปะ
“โอ๊ย...หน้ามืด ขอยาดมหน่อย”
ทองประศรี เสียวสันหลังรีบปลีกตัวออกมา
“ฉันไปสั่งของในเมืองเข้าร้านก่อนนะแม่ จะรีบไปรีบกลับ”
“พี่ตุ๊ไปด้วยสิ จะไปซื้อยาพอดี”
ตุ๊กับทองประศรีเดินย้ายสะโพกเป็นจังหวะตามกันออกไป สิงห์ทองมองสะโพกไหวโยกของลูกสาวอย่างสงสัย
“ทำไมสะโพกนังศรีมันผายนักวะ ยังกับโดนของมาแล้วงั้นล่ะ”
คำมาขัดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ที่พูดน่ะลมปากหรือลมตูด นมโตสะโพกไหว มันเป็นจุดขายของผู้หญิงบ้านนี้เว้ย”

บ่ายวันนั้น อาทิจปลูกกล้วยได้กว่าครึ่งแปลง ชายหนุ่มเหนื่อยแทบขาดใจ ต๊อด อึ่ง พัน วิ่งเอาข้าวเอาน้ำมาให้ ต๊อดเสียงดังมาก่อนตัว
“นายอาทิจ...ยู้ฮู เมียสามคน เอ๊ย...เราสามคน เอาข้าวเอาน้ำมาส่งจ้า”
อาทิจเงยหน้าขึ้นมามอง มือไม่วางแล้วก้มทำงานต่อ
“ขอบใจนะ วางไว้ตรงนั้นล่ะ”
อึ่งมองอย่างห่วงใย
“พักมากินข้าวก่อนเถอะนาย นี่มันจะบ่ายโมงแล้ว พวกเราเห็นนายยังไม่มากินสักที ก็เลยหิ้วมาให้ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไป ขี้เกียจหามไปดมยา”
ต็อดมองยิ้มๆแล้วเย้าแย่
“หรือจะให้ป้อน...ก็ได้ ไอ้อึ่งไอ้พัน ล็อกแขนล็อกขา เดี๋ยวข้าป้อนเอง...มามะ”
“อยากกินรองเท้าลอยแก้วเป็นของหวานก็เข้ามา”
อาทิจขยับเท้ารอ ต็อดผงะ
“นายอะ...แก่น เซี้ยว ดุ โหด เค้าโกรธแล้วนะ”
“เดี๋ยวลงต้นนี้เสร็จ ฉันจะกินเอง กลับไปทำงานเถอะไป”
อึ่งมองๆ
“ไม่ง้อหน่อยเหรอ แค่พูดว่า ช่วยหน่อย สองคำ พวกเราช่วยทำทันที”
“ฉันทำคนเดียวได้ เย็นนี้ก็เสร็จ”
“เออวะ...ลงไปได้เยอะแล้วจริงๆ” พันเอะใจ “ว่าแต่...พี่ฑูรพานายไปซื้อหน่อกล้วยที่บ้านไหน ทำไมถึงได้ใบลีบก้านเล็กอย่างนี้ล่ะ”
“ไม่ได้ซื้อ มันมีอยู่ในที่คุณย่าเป็นดง แค่ออกแรงขุดแค่นั้น”
ทั้งสามคนโพล่งออกมาพร้อมกันอย่างงงๆ
“ดงไหน”
“ต๊อดอยู่ที่นี่มา ห้าปีแล้ว ยังไม่เห็นกล้วยขึ้นเป็นดงตรงไหนเลยนาย”
อาทิจหันมาแดกดัน
“วันๆเอาแต่ยุ่งเรื่องในมุ้งของชาวบ้าน จะมีตาไปมองอะไรที่ไหน ก็ไอ้ดงที่มันอยู่ตีนเขาด้านโน้นไง”
ทั้งสามคน หันมามองหน้ากัน อึ้งกิมกี่
“นั่นมัน...”
ยังไม่ทันที่ต๊อดจะเฉลยความจริงออกมา เสียงไพฑูรย์ก็ดังแหวกอากาศมาจากทางด้านหลัง
“นึกแล้วว่าพวกเอ็งต้องหลบมาอู้งานที่นี่ ไปเลย...รีบกลับไปทำงาน วันนี้ต้องส่งของให้ลูกค้าให้ทันเข้ากรุงเทพด้วย”
“ไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”
ทั้งสามคนยื้อจะบอกความจริงกับอาทิจ แต่ถูกไพฑูรย์ทั้งห้ามทั้งปรามด้วยสายตาแล้วลากทุกคนออกไป

ต๊อดหงุดหงิดมากที่ถูกลากออกมา
“ทำไมต้องปิดนายด้วย”
อึ่งอึดอัดคับข้องใจ
“อย่างงี้นายก็เหนื่อยฟรีน่ะสิ”
พันหน้าตาหมองหม่น
“แถมหน้าแตกอีกต่างหาก”
ต๊อดตัดสินใจ
“ข้าจะไปบอกนาย”
พันเอาด้วย
“ข้าด้วย”
“แล้วจะมายืนพูดอยู่ทำไมวะ ไปเดี๋ยวนี้เลย”
ทั้ง สามขยับเดินออกมาได้ก้าวเดียว ไพฑูรย์ก็ขยับเข้ามายืนด้านหลังทุกคนแล้วพูดเสียงแข็ง
“อยากจะทรยศคุณณีก็ตามใจ”
ทั้งหมดชะงัก หันกลับมา ต๊อดแปลกใจ
“ทำมั้ยต้องพูดถึงขนาดนั้นหา...พี่ฑูร”
“เราเห็นคุณณีมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย คุณณีน่ารักกับพวกเราขนาดไหน พวกเอ็งก็รู้”
ทั้งสามคนตอบพร้อมกัน
“ก็รู้”
“คุณอาทิจก็แค่คนมาใหม่ จะอยู่ทนอยู่นานแค่ไหนก็ไม่รู้ หรือพวกเอ็งรู้”
ทั้งสามส่ายหน้า
“ไม่รู้”
“แล้วพวกเอ็งจะเดือดร้อนอะไรนักหนา คุณณีเธอก็แค่จะแหย่คุณอาทิจเล่นแค่นั้น”
อึ่งแย้งขึ้น
“แหย่แรงไปรึเปล่า”
“แรงที่ไหนวะ ถ้าการแยกกล้วยป่า กับกล้วยน้ำว้าไม่ออกถือเป็นเรื่องใหญ่ ก็อย่าเสียเวลามาเป็นชาวสวนเลยว่ะ ไม่งั้นเจอน้ำแล้ง มรสุมเข้า แมลงลง พืชผลเสียหาย ไม่ต้องฆ่าตัวตายกันเลยหรือวะ”
พันมองไพฑูรย์ว่าที่พูดน่ะมากไปมั้ย
“พี่ฑูรก็...นั่นมันภัยธรรมชาติใครจะรู้ แต่เรื่องนี้เรารู้ทั้งรู้ จะให้เราทำเฉยงั้นเหรอ”
ไพฑูรย์ตัดบท
“คิดอะไรมากว้าไอ้พัน คิดมากไปก็อ้วนเปล่าๆดำด้วย เขาก็แค่ล้อเล่นกันขำๆ เขาพี่น้องกันนะเว้ย แหย่แค่นี้จะโกรธกันเหรอวะ คุณอาทิจไม่ติดใจเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้หรอก”
ทั้งสามคนจะแย้ง
“แต่...”
“ไม่มีแต่ ถ้าพวกเอ็งบอกก็เท่ากับพวกเอ็งตั้งตัวเป็นศัตรูกับคุณณี เอ็งคิดว่าใครจะขึ้นมาดูแลที่นี่แทนคุณย่า ใครที่จะเป็นคนจ้างหรือไม่จ้างพวกเอ็งทำงานต่อไป คิดดูให้ดี”
สามคนพากันลิ้นจุกปาก ตลกไม่ออกกันเลยทีเดียว

ค่ำคืนนั้น...อาทิจนั่งเขียนจดหมายถึงที่บ้านในท่ามกลางกอกล้วย ใบหน้าชายหนุ่มเจือด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข
“คุณย่าท่านไว้ใจและอนุญาตให้ผมปลูกกล้วยน้ำว้าในที่ดินอีกแปลง ทั้งๆที่ผักที่เพิ่งปลูกยังไม่เห็นผล ผมตื่นเต้นดีใจจนเก็บไว้ในใจคนเดียวไม่ได้ เลยต้องเขียนมาหาคุณพ่อคุณแม่ในวันนี้ คุณย่าท่านเอ่ยปากจะให้เงินเดือนและส่วนแบ่งจากการขายผมด้วยครับ ผมตื้นตันจนพูดไม่ออก ผมสัญญาครับว่าจะดูแลกล้วยของพวกเราเป็นอย่างดี เพราะทุกผลมันหมายถึงค่าเรียนและค่านมของน้องๆด้วย พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ ผมอยู่ที่นี่มีความสุขดี มีความสุขกับงานที่ผมรัก กับเพื่อนร่วมงานที่ดี ทุกคนดูเป็นมิตรและร่วมแรงร่วมใจช่วยผมทำงาน นับวันผมยิ่งรักที่นี่มากขึ้นทุกที แต่ก็ไม่มีวันลืมบ้านของเรา บ้านที่มีพ่อแม่และน้องรอผมอยู่...คิดถึงคุณพ่อคุณแม่และน้องๆทุกคนสุดหัวใจครับ...อาทิจ”
อาทิจวางปากกาในมือแล้วหันไปมองกล้วยที่ตนเองลงแรงปลูกเองกับมืออย่างมีความสุขและความหวัง

ทองประศรีและตุ๊เดินคุยกันมาตามฟุตบาทในเมือง
“สั่งของเสร็จแล้ว พี่ตุ๊จะซื้ออะไรรึเปล่า”
“ขอแวะร้านขายยาก่อนนะน้องศรี เดือนที่แล้วลืมกินยาคุมไป 2 วัน ไม่รู้แจ๊คพอตรึเปล่า ซื้อไอ้ที่ตรวจฉี่มาวัดดวงเลยดีกว่า จะได้รู้ๆกันไป”
“พี่ตุ๊ไม่อยากมีลูกเหรอ”ทองประศรีแปลกใจ
“โอ๊ย...ไม่เอาล่ะน้องศรี ชีวิตพี่ตุ๊ไม่เคยลำบาก ข้าวปลาไม่เคยหุงไม่เคยหา ซักผ้ารีดผ้ายังไม่เคยทำ พี่ฑูรจัดการให้หมด แค่เดินไปเม้าท์กับบ้านโน้นบ้านนี้ก็หมดวันแล้ว พี่ตุ๊ถึงได้ต้องป้องกันไว้ไง ไอ้พวกรักสนุกที่โป๊ะชึ่ง...ชึ่ง...ชึ่งโป๊ะกันโดยไม่ป้องกันอะไรน่ะ สุดท้ายก็ท้องป่องทุกราย แล้วเป็นไง ไม่โยนลูกให้พ่อแม่เลี้ยง ก็กลัวพ่อแม่ตบกระเด็นจนต้องไปทำแท้ง เวรมั้ยล่ะ”
ตุ๊พูดจบก็เดินเข้าไปซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์ในร้านขายยา ทองประศรีฟังที่ตุ๊พูดแล้วรู้สึกสะท้อนใจปนตกใจที่เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในพวกโป๊ะชึ่ง...ชึ่ง...ชึ่งโป๊ะที่ไม่เคยป้องกันอะไรเหมือนกัน หญิงสาวใจสั่นแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบเดินตามตุ๊เข้าไปในร้าน ตุ๊รับของและเงินทอนจากเภสัชกรมานับ ในขณะที่ทองประศรีเดินเข้าไปถึงตัวพอดี
“เสร็จแล้ว...ไป”
ตุ๊เดินก้มหน้าก้มตาเก็บเงินเข้ากระเป๋า ในขณะที่ทองประศรีแอบกระซิบกับเภสัชกร
“เอาแบบที่พี่เขาซื้ออันหนึ่งจ้ะ”
เภสัชกรหันไปหยิบชุดทดสอบการตั้งครรภ์ให้ หญิงสาวรีบจ่ายเงินแล้วยัดของลงกระเป๋า ในขณะที่ตุ๊ซึ่งเดินพ้นหน้าร้านไปแล้ววกกลับเข้ามาตามอีกที
“ซื้ออะไรเหรอน้องศรี”
ทองประศรีรีบเดินมาหาตุ๊แล้วยิ้มกลบเกลื้อน
“เอ่อ...ยาแต้มสิวน่ะพี่ตุ๊”
“เหรอ หน้าพี่กำลังขึ้นตุ่มอยู่พอดี ไหน...ดูหน่อยซิ ยี่ห้ออะไร ใช้ดีมั้ย”
ทองประศรีชะงัก
“คือ...มันไม่ใช่ยาทาสิวซะทีเดียวหรอกพี่ตุ๊ มันเป็น...เอ่อ...ยาถ่ายน่ะ”
ตุ๊หน้าเหวอ
“หา...ตูดกับหน้านี่มันอยู่คนละที่ มีหน้าที่คนละอย่างเลยนะ น้องศรีซื้อยาถ่ายมาทาสิวที่หน้า...มันได้เหรอ”
ทองประศรียิ้มแหยๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้น คือ...ฉัน...ไม่ได้ขี้มาหลายวันแล้ว สิวมันก็เลยขึ้น ก็เลยซื้อยามาลองถ่ายท้องดู ขี้ออกแล้วสิวก็ยุบเองแหละ”
ตุ๊ร้องอ๋อในขณะที่ทองประศรีรีบดึงตุ๊ออกไปจากร้าน

โปรดติดตามตอนต่อไป





ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 5 (ต่อ)
 

เย็นนั้นหลังเลิกงาน กลุ่มคนงานพากันเดินคุยกันมา บ้างก็ถีบจักรยานกลับบ้านมาตามทางแล้วทั้งหมดก็พากันหยุดชะงักเมื่อผ่านมาเห็นอาทิจกำลังปลูกกล้วยในแถวสุดท้าย อาทิจเงยหน้าทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม

“เลิกงานกันแล้วเหรอ”
คนงานขยับเดินเข้ามายืนล้อมดูอาทิจปลูกกล้วยด้วยความสงสัยแปลกใจ ระคนใคร่รู้
“ครับ”
กลุ่มคนงานยืนมองอาทิจแล้วหันมามองหน้ากันอย่างงงสุดขีด

ลุงเกร็งขับรถเข้ามาจอด แก้ววิ่งหน้าตื่นออกมาจากบ้าน ลุงเกร็งรีบลงมาเปิดประตูรถให้ย่าแดงในขณะที่ดรุณีเปิดประตูลงมาเอง แล้ววิ่งไปรับย่าที่ประตูอีกด้าน
“เป็นอะไรแม่แก้ว วิ่งหน้าตาตื่น”
“นังจิ๋วแจ๋วมันบอกว่าได้ยินพวกคนงานลือกันให้แซดว่า...คุณอาทิจ...”
แก้วหยุดหอบ ย่าแดงตกใจ
“พ่ออาทิจ...ทำไม”
“มันว่ากล้วยที่คุณอาทิจเอามาปลูกมันเป็น...”
ย่าแดงเริ่มคิ้วขมวดต้องการคำตอบ ดรุณียิ้มสะใจ ป่านนี้หน้าอาทิจคงหดเหลือสองนิ้ว

อาทิจก้มหน้าก้มตาปลูกกล้วยสองต้นสุดท้าย โดยที่พวกคนงานยืนดูอย่างงงไม่หาย ต๊อด อึ่ง พัน วิ่งเข้ามาหาอาทิจอย่างร้อนรน โดยมีไพฑูรย์วิ่งตามมารั้งแขนรั้งขา คนงานคนหนึ่งเข้าไปถามอาทิจอย่างอยากรู้
“คุณอาทิจจะปลูกกล้วยนี่ไปทำไมครับ ที่ตรงนี้มันก็ไม่ได้อยู่ตีนเขา หรือว่ากลัวน้ำจะท่วมเข้ามาในสวน ถึงต้องปลูกกล้วยพวกนี้รับน้ำไว้ครับ”
“เปล่า...ฉันปลูกเอาไว้ขาย”
คนงานงงๆ
“ขาย”
พวกคนงานหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะ
“ขายได้หรือครับ ใครจะซื้อ”
อาทิจไม่เข้าใจ
“ทำไมล่ะ”
จิ๋วแจ๋วมองอย่างสงสาร
“นี่คุณอาทิจไม่รู้จริงๆหรือคะว่า กล้วยพวกนี้มัน...”
จิ๋วแจ๋วยังไม่ทันบอก คนงานก็พากันหัวเราะเสียงดังอีกหนึ่งระลอก ต๊อดทนไม่ไหวที่เห็นคนงานหัวเราะใส่อาทิจ จึงสะบัดตัวหลุดจากไพฑูรย์ที่ยึดแขนไว้เข้ามาหาเจ้านาย
“มันขายไม่ได้ครับนาย มันเป็นกล้วยป่า ลูกมันเล็ก มีแต่เม็ด ไม่มีเนื้อ ไม่มีใครเขากินกันครับ”
อาทิจอึ้งตะลึง ตัวเย็นวาบ ไพฑูรย์แอบแดกดัน
“มีแต่นกกับกระรอกเท่านั้นล่ะครับที่กิน แต่มันก็ไม่มีตังค์ซื้อ”
พูดจบไพฑูรย์ก็นำทีมคนงานฮาลั่น ย่าแดงวิ่งเข้ามาตัวปลิว จนดรุณี แก้ว ลุงเกร็งจ้ำตามแทบไม่ทัน หญิงชราผงะ เมื่อเห็น...อาณาจักรกล้วยป่าอันกว้างใหญ่ยาวเหยียดแล้วแทบเข่าอ่อน ดรุณีเองก็อึ้งที่เห็นกล้วยป่าเต็มไปหมด มันเยอะเกินกว่าที่เธอคิดไว้หลายเท่า ย่าแดงก้าวเข้าไปยืนต่อหน้าทุกคนแล้วประกาศเสียงเฉียบดังลั่นจนทุกคนเงียบสนิท ขนหัวลุกไปตามๆกัน
“สนุกมากใช่มั้ย...พวกแกเห็นหลานฉันเป็นตัวตลกหรือยังไง ทำไมไม่มีใครสักคนมีแก่ใจบอกหลานฉันสักคำว่านี่มันเป็นกล้วยป่า ปล่อยให้หลานฉันก้มหน้าก้มตาปลูกมันเป็นไร่ๆอย่างนี้ได้ยังไง หัวใจพวกแกทำด้วยอะไรหา”
อาทิจมองหน้าทุกคนที่ต่างก็พุ่งสายตามาที่เขาเป็นจุดเดียว ชายหนุ่มรู้สึกเสียใจเสียความรู้สึกสุดๆ
“ผม...ขอโทษครับคุณย่า ผมขอโทษ”
อาทิจพูดจบก็ไม่สามารถทนยืนเป็นเป้าสายตาของทุกคนได้ ชายหนุ่มสบตาดรุณีก่อนจะวิ่งออกไปทันที ดรุณีใจหายวาบเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังสุดๆของเขา ย่าแดงหันไปหาไพฑูรย์
“ไอ้ฑูร”
ไพฑูรย์สะดุ้งโหยง ขวัญอ่อนขึ้นมาทันที
“ฉันใช้ให้แกไปขุดหน่อกล้วยช่วยพ่ออาทิจ แล้วแกไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ปากแกอมอะไรไว้ถึงไม่บอกไม่เตือนเด็กมัน”
ไพฑูรย์อึกอัก
“ผม...ผะ...ผม...คือ”
ย่าแดงเสียงเข้มขึ้นอีกจนไพฑูรย์ผวาหนัก
“ว่ามา ไม่อย่างนั้นเดือนนี้ ฉันจะตัดเงินเดือนแกทั้งเดือน”
ไพฑูรย์สบตาดรุณีแล้วตอบอ้ำๆอึ้งๆ
“คือ...คะ...คุณณีครับ คุณณีห้ามไม่ให้ผมบอก”
ย่าแดงหันขวับมามองดรุณี หญิงสาวเสียวสันหลังวาบ
“แล้วแกก็บ้าจี้ไปกับเด็กมัน โตจนป่านนี้แล้วไม่มีสมองคิดใคร่ครวญเลยรึไงว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรควรไม่ควร แกจัดการถอนกล้วยพวกนี้ออกให้หมดภายในคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้ ไปซื้อหน่อกล้วยที่หนองสะพือมาลงให้เต็มแปลง ทั้งถอนทั้งปลูกคนเดียวเหมือนอย่างที่พ่ออาทิจทำ ถ้าใครช่วย ฉันจะตัดเงินเบี้ยเลี้ยงให้หมดทุกคน จะได้รู้สึกกันซะบ้างว่าการเสียเหงื่อเสียงแรงมันเป็นยังไง” ย่าแดงหันมาหาสามเกลอ
“เจ้าต๊อด เจ้าอึ่ง เจ้าพัน”
ทั้งสามคนยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวโดยไม่ได้นัดหมาย
“ผมกลัวแล้วครับคุณย่า”
“แก สามคน ตามไปดูพ่ออาทิจก่อน” ย่าแดงหันมาสั่งดรุณีเสียงเฉียบขาด “แม่ณี...ตามย่ามาเดี๋ยวนี้”
ย่าแดงเดินจ้ำออกมา โดยมีแก้วกับจิ๋วแจ๋ววิ่งตาม ดรุณีเดินก้มหน้างุดตัวลีบตามหลังอย่างรู้ชะตาชีวิต ต๊อด อึ่ง พัน วิ่งออกไปทางที่อาทิจวิ่งออกไป ไพฑูรย์จ๋อยสนิท เมื่อลุงเกร็งและคนงานหันมามองเขาด้วยสายตาตำหนิติเตียน

อาทิจวิ่งสุดชีวิตมาตามลาดเขาอันสวยงามในยามเย็น ชายหนุ่มหยุดยืนพิงต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วหอบแฮก ภาพคนงานพากันหัวเราะ เหมือนเห็นเขาเป็นตัวตลก...ไพฑูรย์ขำก๊าก มองเขาเป็น ทารกน้อยๆซึ่งเพิ่งหัดคลานแล้วล้มแผละ ไม่เป็นท่า ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พัน มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่คิดว่าเขาจะโง่ ขนาดแยกกล้วยไม่ออก แก้วกับจิ๋วแจ๋ว มองเขาด้วยสายตา สมเพชเวทนา
ดรุณี มองเขาด้วย สายตาเย้ยหยัน เหยียดและเหยียบให้จมดิน ย่าแดงมองเขาด้วยสายตาที่บ่งว่าเสื่อมศรัทธา หมางเมินและไม่เชื่อถือเขาอีกต่อไปแว่บเข้ามา อาทิจอยากหนีไปให้พ้นสายตาเหล่านั้น ชายหนุ่มวิ่งออกไปตามทางอย่างไม่คิดชีวิต

ทองประศรีอยู่ที่ดงไม้หลังร้าน เธอดึงที่เทสการตั้งครรภ์ออกมาจากกล่อง แล้วนึกถึงคำพูดตุ๊เมื่อตอนบ่าย
“อยากรู้ไปทำไม”
“ใครๆเขาก็พูดเป็นเสียงเดียวว่าพี่ตุ๊น่ะแสนรู้ ฉันก็เลยอยากรู้ว่ารู้ทุกเรื่องเลยจริงป๊ะ”
ตุ๊ยักไหล่ยิ้มฮิฮะ ทำฉลาดเว่อร์ ก่อนจะหยิบอุปกรณ์ในกล่องเทสการตั้งครรภ์ขึ้นมาอธิบาย
“เรื่องแค่นี้...จิ๊บๆ ก็แค่เอาฉี่ใส่ในถ้วย แล้วก็เอาแท่งพลาสติกนี่จุ่มลงไป อย่าให้เกินขีดนี้ แช่ไว้ สองสามวิ ก็เอาขึ้นมาถือในแนวนอน รอสัก สองสามนาที ก็รู้เรื่องแล้ว ถ้ามีขีดขึ้นที่ตัว ซี ขีดเดียวก็แปลว่ารอด แต่ถ้าขีดมันขึ้นที่ตัว ที ด้วยล่ะก็...แจ๊คพอตแตก ท้องชัวร์”


ทองประศรีเอาแผ่นเทสจุ่มลงไปในถ้วยเก็บฉี่ ชั่วอึดใจหญิงสาวก็ดึงแผ่นเทสขึ้นมาถือในแนวนอนแล้วจ้องมองแผ่นเทสนั้นไม่วางตา สักครู่ มีขีดขึ้นที่ตัว ซี ทองประศรีลิงโลด
“รอดแล้วเว้ย”
แต่สักพักเธอก็เห็นขีดขึ้นที่ตัว ที ตามมา หญิงสาวหน้าถอดสี
“ไม่จริง...ไม่จริง...ไม่จริ๊ง!”
คำมาเข้ามายืนเท้าเอวทางด้านหลัง
“แหกปากอะไรวะนังศรี แล้วไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น”
ทองประศรีหุบปากทันที ก่อนจะหันมาหาแม่
“ฉันมา...เยี่ยวสิแม่”
“ส้วมก็มี ทำไมไม่เข้า เอ๊อ...นังนี่ชอบทำอะไรลับๆล่อๆพิกล เยี่ยวสุดรึยังล่ะ เจ้ายงมันมา ออกไปดูแลมันหน่อย แม่กับพ่อจะไปจั่ว”
สั่งเสร็จ คำมาก็เดินนมโต สะโพกไหวออกไป ทองประศรีฮึดฮัดฟึดฟัด
“มาทำไมวะ”
ทองประศรีก็ชะงัก ก้มมองท้องตัวเอง คิดอะไรได้บางอย่าง

ย่าแดงทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้านิ่ง แก้วพยักพเยิดให้ดรุณีเข้าไปหาย่า ดรุณีคลานเข้าไปหา
“หนูขอโทษค่ะคุณย่า หนูแค่ต้องการให้คุณย่าเห็นว่านายอาทิจเขาไม่ได้วิเศษกว่าใคร เขาก็แค่คนคนหนึ่งที่ทำอะไรผิดพลาดได้เท่านั้นเอง”
“เราบอกย่าด้วยวิธีอื่นได้นี่ ไม่เห็นต้องใช้วิธีทำร้ายความรู้สึก ความตั้งใจของคนอย่างนี้เลย เราเห็นมั้ยว่ากล้วยที่พี่เขาเอามาลงมันมากมายแค่ไหน เขาต้องใช้เวลาทั้งขุดทั้งปลูกนานเท่าไหร่ แรงกายน่ะไม่สำคัญหรอก นอนพักสักหน่อยตื่นมามันก็มีแรงได้อีก แต่ไอ้แรงใจที่เสียไปแล้วนี่สิ มันนอนแล้วตื่นมามีเองไม่ได้ มันต้องใช้เวลาในการสั่งสมกว่าจะกลับมาเหมือนเดิม หรือบางทีมันอาจจะไม่กลับมาอีกเลยก็ได้”
ดรุณีหน้าเสีย
“หนูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาเสียกำลังใจ หรือหมดความมั่นใจขนาดนั้น”
“ลองคิดดูว่าถ้าเป็นเรา เราจะเสียใจแค่ไหน ถ้ามีคนมาหัวเราะเยาะในสิ่งที่เราตั้งใจทำ คนเรามันจะรู้อะไรไปซะทุกอย่าง ย่าเกิดมาปูนนี้แล้ว เรื่องเล็กๆบางเรื่องย่ายังไม่รู้เลย พ่ออาทิจเขาแก่กว่าเราแค่สามปี เขาจะรู้อะไรนักหนา ต้นไม้ใบหญ้ามีเป็นล้านๆชนิด ถ้าบ้านเขาไม่มี เขาไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก มันผิดด้วยหรือ”
“หนูก็ไม่ได้ว่าเขาผิดนี่คะ”
“ถ้าอย่างนั้นมันคุ้มมั้ยกับการแลกเสียงหัวเราะหึ...หึของเรา กับหยาดเหงื่อและความตั้งใจของพี่เขา”
ดรุณีน้ำตาคลอ
“หนูรู้ว่าหนูผิด หนูไม่ดี หนูขอโทษค่ะคุณย่า”
“ไม่ใช่ย่า หนูต้องขอโทษพี่เขาตอนเขากลับมา เข้าใจมั้ย”
ดรุณีไม่ตอบ แต่ก็ก้มหน้าแล้วผงกหัวรับคำหงึกๆ

บรรยงกระดกขวดเหล้าขาวขึ้นกรึ่บ ทองประศรีเดินเข้ามาก้มลงเอากับแกล้มจำพวกถั่วลิสงทอด และแหนมวางลงตรงหน้า หญิงสาวก้ม...ก้มและก้ม จนคอเสื้อที่คว้านกว้างอยู่แล้วลึกถ่วงลงไปจนเกือบเห็นหัวนม บรรยงตาลุกวาว น้ำลายย้อย
“อะ...โอ๊ยย...น้องศรี พี่ไม่ไหวแล้ว”
ทองประศรีแกล้งเอาแขนเท้าโต๊ะ แล้วโน้มตัวไปข้างหน้า เหมือนจะยิ่งยั่วบรรยงให้น้ำลายยืดขึ้นไปอีก
“ไม่ไหวอะไรจ๊ะ”
ทองประศรีกระพริบตาปิ๊งๆใส่
บรรยงคราง
“มัน...คือ...โอ้ว”
คนงานสวนคุณย่าที่นั่งกินเหล้าอยู่อีกโต๊ะตะโกนแซว
“มายืนท่านั้นที่โต๊ะพี่บ้างสิจ๊ะน้องศรี”
“มาพร้อมกันทั้ง สามพี่น้องเลยก็ได้จ้ะ จะได้รู้ว่าใครพี่ใครน้องของจริง”
คนงานพากันตบมือ เฮเจี้ยว ทองประศรีผละจากบรรยงมายืนเท้าเอวด่า
“เดี๋ยวแม่ตบเขาหลุดจากหัวเลยนี่ ฉันเป็นพี่คนโต อะไรๆก็ต้องโตกว่าน้องสิวะ ไอ้โง่”
ทองประศรีด่าเสร็จ ก็เดินกลับไปหาทองประสานซึ่งกำลังตักน้ำแข็งใส่ถังพลาสติกเล็กๆ ในขณะที่ทองประสมกำลังแกะแหนมใส่จาน ทองประสมเตือนพี่สาว
“พี่ศรีก็ไม่น่าไปยั่วพี่ยง ให้ไอ้พวกคนงานมันคันปากเลยนี่นา”
ทองประสานมองหน้าพี่สาวอย่างแปลกใจ
“ใช่ แล้ววันนี้เป็นอะไร กินยาผิดมารึเปล่า ทุกทีพี่ศรีไม่เคยเห็นหัวพี่ยงเลยนี่ ทำไมวันนี้แทบจะอมหัวเขา”
“ไม่ต้องแส่สักเรื่องได้มั้ย คนเราเปลี่ยนใจได้โว้ย ถ้ามันมีเหตุจำเป็นให้เปลี่ยน”
ทองประสานหน้าเหวอ
“กับพี่ยงเนี่ยนะ”
“มันก็ยังดีกว่าไอ้พวกคนงาน จากสวนคุณย่าไม่ใช่เหรอ”
ทองประศรีดึงถังใส่น้ำแข็งจากมือทองประสาน แล้วเดินส่ายไปหาบรรยงซึ่งยังคงมองมาที่หญิงสาว ขณะที่อาทิจเดินล้าๆเข้ามา ชายหนุ่มเดินผ่านร้านทองประศรีและเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย คนงานคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดี
“นายครับ”
อาทิจยังครุ่นคิดอยู่กับเรื่องของตัวเองจนไม่ได้ยินที่คนงานเรียก คนงานตะโกนเรียกอีกครั้ง ในจังหวะที่อาทิจจะก้าวพ้นร้านอยู่แล้ว
“นายอาทิจ”
อาทิจชะงัก ทองประศรีซึ่งกำลังคีบน้ำแข็งใส่แก้วให้บรรยง ได้ยินชื่อแล้วชะงัก คนงานตะโกนชวน
“กินเหล้าด้วยกันครับนาย”
ทองประศรีหันหน้าและพลิกตัวมามองที่หน้าร้าน อาทิจหันมามองกลุ่มคนงาน ทองประศรีอึ้ง ตะลึง ในความหล่อของอาทิจ รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวชายหนุ่มมีพลังมหาศาลในการดูดให้หญิงสาวเดินเข้าไปหา ทองประศรียิ้มหวานเสียงหวาน ประดิษฐ์หน้าให้ดูมีสกุลรุนชาติ
“เชิญค่า”
อาทิจหันมามองทองประศรีแล้วยืนนิ่ง

ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ย่าแดง แก้ว จิ๋วแจ๋ว พากันยืนชะเง้อมองไปที่ถนนหน้าบ้าน แล้วเดินไปเดินมาแทบจะชนกัน ดรุณียืนอยู่ทางด้านหลัง หญิงสาวแอบชะเง้อมองไปที่ถนนอย่างกระวนกระวายไม่แพ้กัน ย่าแดงบ่นอย่างกังวลใจ
“เจ้าสามคนนั่นมันหายไปนานจริง มืดค่ำป่านนี้แล้วยังไม่พาพ่ออาทิจกลับมาอีก”
“นั่นสิคะ มันไปตามกันถึงไหน”
จิ๋วแจ๋วมองไปแล้วดีใจ
“นั่นไงคะ มากันโน่นแล้ว”
ดรุณีเผลอขยับมาชะเง้อมองข้างๆทุกคน...ต๊อด อึ่ง พันวิ่งหอบแฮกเข้ามา ย่าแดงมองหาไม่เห็น
“อ้าว...แล้วพ่ออาทิจล่ะไม่มาด้วยเหรอ”
พันหอบเหนื่อย
“ไม่มาครับคุณย่า”
แก้วคิดๆ
“สงสัยจะเพลียเลยกลับไปพักที่บ้านใช่มั้ย”
อึ่งส่ายหน้า
“เปล่าครับน้าแก้ว คุณอาทิจไม่ได้กลับไปนอนบ้าน ผมหาจนทั่วแล้วครับ”
จิ๋วแจ๋วแปลกใจ
“อ้าว...แล้วคุณอาทิจไปไหน”
“ถ้ารู้พี่ต๊อดก็ต้องพากลับมาแล้วสิจ๊ะน้องจิ๋วแจ๋ว”
ย่าแดงหันไปถามเสียงเขียว
“ตกลงพวกแกเจอพ่ออาทิจรึเปล่า”
ทั้งสามคนตอบพร้อมกัน
“เปล่าครับ”
ย่าแดงกระวนกระวายไม่สบายใจ
“เอารถออกไปช่วยกันหาอีกรอบ ขับดูให้ทั่ว ฉันไปด้วย”
“ครับ”
ทั้งหมดรีบออกมาได้สองก้าว แต่แล้วก็ชะงัก ต๊อดหันกลับมายิ้มแหยๆ
“ผม...เอ่อ...ขับรถไม่เป็นครับ”
อึ่งหน้าระรื่นเหมือนขับเป็น
“น้าเกร็งเพิ่งสอนผมขับเมื่อวาน แต่...ยังไม่เป็นครับ”
พันยิ้มแหยๆ
“ส่วนผม...ไม่เคยแตะพวงมาลัยรถเลยครับ”
แก้วหงุดหงิดสั่งสามคนเสียงเข้ม
“ถ้างั้นก็ไปตามตาเกร็งมาขับสิ”
“ครับ”
ทั้งสามจะผละออกมา ดรุณีพูดขึ้น
“ไม่ต้องไปกวนลุงเกร็งหรอก ฉันขับเอง”
ทุกคนหันมามองดรุณีอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“คุณย่าไม่ต้องไปหรอกค่ะ หนูจัดการเรื่องนี้เอง น้าแก้วหาข้าวให้คุณย่ากินก่อนนะคะ ไม่ต้องรอหนู” ดรุณีหันไปหาสามหนุ่ม “ไป...”
ดรุณีเดินนำต๊อด อึ่ง พันออกไป ย่าแดงรู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหนึ่ง

ดรุณีขับรถฝ่าความมืดเข้ามาจอดหน้าโรงซ่อมรถ ทุกคนลงจากรถพร้อมไฟฉายในมืออึ่งถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมคุณณี ถึงคิดว่านายจะมาอยู่ที่โรงซ่อมรถนี่ล่ะครับ”
“ไม่รู้สิ เดาเอา บางทีเขาอาจจะมานั่งซ่อมนั่นนี่ให้สบายใจก็ได้”
ต๊อดมองไปที่โรงซ่อมรถ
“เฮ้ย...ไฟอะไรลอยแวบไปแวบมาในนั้นวะ”
พันกอดต๊อดแน่น
“ผะ...ผี...ผีกระสือ เผ่นเหอะ”
สามหนุ่มโผเข้ามาโอบกอดกันกลม ดรุณีเพ่งมอง
“ผีบ้าบออะไร แสงจากไฟฉายต่างหาก”
สามหนุ่มหันมามองหน้ากัน
“นายอาทิจ”
ดรุณีเดินเข้าไปดู โดยมีต็อด อึ่ง พันตามประกบ แสงจากไฟฉายจากด้านใน และแสงไฟฉายจากด้านนอกขยับมาใกล้กันท่ามกลางความมืดตรงทางออก แสงไฟฉายจากด้านในส่องมาที่หน้าต๊อด และแสงไฟของต๊อดจากด้านนอกส่องมาที่ลุงเกร็ง ในระยะประชิด ต่างคนต่างตกใจสุดขีด พลอยทำให้อึ่ง พันและดรุณีตกใจตามไปด้วย
“จ๊าก”
ลุงเกร็งตั้งสติได้ก่อน
“โธ่...ไอ้ต๊อด”
“ป๊าดโธ...น้าเกร็ง นึกว่านายซะอีก”
ดรุณีมองลุงเกร็งอย่างแปลกใจ
“ลุงเกร็งมาทำอะไรที่นี่คะ”
“ลุงเป็นห่วงคุณอาทิจก็เลยออกมาดูครับ เผื่อจะเจอ แต่ก็...ไม่เจอ”
พันครุ่นคิด
“แล้วนายหายไปไหน ที่สวนก็ไม่มี โรงซ่อมรถก็ไม่มา บ้านก็ไม่ได้กลับไป”
ดรุณีนึกได้
“หรือ...จะไปที่เรือนเพาะกล้า”
อึ่งเห็นด้วย
“ใช่เลย...นายชอบหมักปุ๋ยตอนกลางคืน นายอาจจะไปหมักที่นั่นก็ได้”
ทุกคนมีความหวังขึ้นมาทันที

จบตอนที่ 5

โปรดติดตามตอนต่อไป พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.




กำลังโหลดความคิดเห็น