หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 5
วันใหม่ตอนกลางวัน ภายในห้องนั่งเล่นบ้านกันต์ เนติมายิ้มด้วยความสดใสยกมือไหว้กันต์กับเจือจันทร์
“สวัสดีค่ะอากันต์อาจันทร์ เนติ์กลับมาแล้วค่ะ”
“เป็นไงหายดีแล้วเหรอเรา” เจือจันทร์ถาม
“พร้อมลุยงานแล้วค่ะ”
เนติมายิ้มอย่างอารมณ์ดี ระบิลถือกระเป๋าเดินตามเข้ามาพอดี
“ลุยอะไรคุณ คุณหมอให้กลับมาพักผ่อนที่บ้านต่างหาก เออ..พี่เชษฐ์ออกไปรึยังครับ” ระบิลว่า
“อยู่นี่”
ผู้กำกับวิเชษฐ์เดินออกมาจากห้องหนังสือพอดี ยิ้มให้ระบิลกับเนติมาอย่างเป็นกันเอง
“ฉันกำลังจะออกไปสถานีตำรวจพอดี”
“ได้ผู้กำกับมาอยู่เป็นเพื่อนอุ่นใจขึ้นเยอะ” กันต์ว่า
“ขอบคุณพี่เชษฐ์มากนะครับ” ระบิลบอก
“ขอบคุณเหมือนกันค่ะผู้กำกับ” เนติมาว่า
ระบิลกับเนติมายกมือไหว้ผู้กำกับวิเชษฐ์ จนวิเซษฐ์อดหัวเราะไม่ได้
“แหม..พร้อมใจกันไหว้ยังกับผมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องคิดมากคนกันเองทั้งนั้น”
เนติมานึกได้จึงถามขึ้น
“เออ..ขวัญเป็นยังไงบ้างคะอากันต์”
ระบิลเดินออกมาส่งผู้กำกับวิเชษฐ์ที่รถซึ่งจอดไว้อยู่หน้าบ้านกันต์
“พี่เห็นน้องขวัญเขาแอบมองลงมาสองสามครั้งแล้วท่าทางคงอยากออกมาเหมือนกัน” วิเชษฐ์บอก
“เจอเรื่องร้ายแรงกับชีวิตขนาดนั้น ไม่เสียสติไปก็โชคดีมากแล้วครับ รอให้คุณขวัญมั่นใจ อีกหน่อยเธอคงกล้าออกมา”
“มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ” วิเชษฐ์พูดจากใจจริง
ระบิลยิ้มแล้วมองไปที่รถของผู้กำกับวิเชษฐ์
“พี่เชษฐ์ยังเหมือนเดิมนะครับ ไม่ชอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชามาขับรถให้”
“อะไรที่เราพอทำเองได้จะไปรบกวนเขาทำไม ให้เขาเอาเวลาไปบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนดีกว่า ประชาชนเขาจ้างมาทำงาน ไม่ได้จ้างมาขับรถให้นาย”
“เยี่ยมครับพี่ อย่างนี้เราคอเดียวกัน”
ระบิลพูดอย่างชอบใจ ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างเข้าอกเข้าใจ จังหวะเดียวกันปานก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาที่หน้าประตูรั้วบ้านอิสราวัชรพอดี ระหว่างรอประตูเปิด ปานกับระบิลต่างจ้องกันอย่างไม่วางตา
ภายในห้องนอน ขวัญชนกค่อยๆเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเนติมาที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“เห็นมั้ยฉันหายแล้ว”
“แต่ก็ไม่ควรไปโดนแดดโดนฝนนะ ไม่งั้นไข้กลับอีกแน่” ขวัญชนกบอก
“แต่เธอก็รู้นี่ขวัญว่าฉันแข็งแรงหัวแข็งโป๊ก”
เนติมาแกล้งเขกหัวตัวเองด้วยรอยยิ้ม ทำเอาขวัญชนกหัวเราะออกมาได้
“ว่าแต่ขวัญนั่นแหละ เมื่อไหร่จะออกไปนอกบ้านซะที ป่ะ..ลงไปกับฉัน”
เนติมาจะคว้าแขนขวัญชนก แต่ขวัญชนกขืนไว้ทันที
“ไม่ !”
“ทำไมล่ะขวัญ ข้างนอกไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วนะ คุณระบิลเขาตัดแต่งต้นไม้จนสะอาดตาเธอก็เห็นไม่ใช่เหรอ”
ขวัญชนกพยักหน้ารับรู้ แต่สีหน้ายังไม่สู้ดีนัก เนติมายิ้มพยายามชักชวนต่อ
“คุณระบิลติดกล้องวงจรปิดรอบบ้านขวัญหมดแล้วนะ แถมยังมีผู้กำกับวิเชษฐ์มาช่วยดูแลอีกแรง เห็นมั้ยว่าไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว...อย่าบอกนะ ว่าขวัญกลัวผู้กำกับวิเชษฐ์”
ขวัญชนกถอนใจแล้วบอก
“ฉันกลัวคนแปลกหน้าทุกคนนั่นแหละ เธอก็รู้นี่เนติ์ ว่า...”
ขวัญชนกเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ เนติมารีบเข้าไปกอดปลอบขวัญชนกทันที
“โอเคๆ ฉันเข้าใจแล้ว เธอยังไม่พร้อม ฉันไม่เร่งเธอแล้วล่ะขวัญ แต่อยากให้เธอรู้ไว้อย่างหนึ่งนะ ว่าคนที่ฉันพาเข้ามาที่นี่ทุกคนไว้ใจได้ แล้วพวกเขาก็จะคอยปกป้องเธอ พาความสุขกลับมาให้ครอบครัวของเธอนะ”
ขวัญชนกถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจ ก่อนลุกขึ้นไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอก เนติมาลุกตามมายืนข้างๆ ทั้งสองคนมองออกไปด้านนอก เป็นจังหวะเดียวกับที่ระบิลเดินเข้ามาที่สวนหย่อมของบ้าน ระบิลเดินดูต้นไม้อย่างมีความสุข คอยเก็บใบไม้ที่ร่วงอย่างเอาใจใส่
“คุณระบิลเขาเป็นคนดีนะ ชอบต้นไม้ใบหญ้า ทำกับข้าวเก่ง แถมดูแลความปลอดภัยฉันดีมากๆด้วย”
เนติมามองระบิลแล้วยิ้มหันไปพูดกับขวัญชนกอย่างชอบใจ ขวัญชนกยิ้มออกมา ทำเอาเนติมาชะงักด้วยความแปลกใจ
“ยิ้มอะไรเหรอขวัญ”
ขวัญชนกไม่ตอบอะไร เนติมาสงสัยหันมองตามขวัญชนกไปแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นระบิลหันหน้ามองขึ้นมายังห้องนอนขวัญชนก ระบิลเอาดอกไม้สีแดงดอกใหญ่ในสวนมาทัดหู ยืนเต้นแร้งเต้นกาด้วยท่าทางตลกๆให้ดู
“ตายแล้ว ! หมดกัน ฉันไม่น่าชมนายเลยจริงๆ”
เนติมามองระบิลด้วยความหมั่นไส้ แต่ขวัญชนกยังคงยิ้มอยู่จนเนติมาอดแปลกใจไม่ได้
ภายในห้องหนังสือค่ำคืนนั้น เนติมายื่นหน้าเข้ามาพูดกับระบิลที่กำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ดูภาพจากกล้องวงจรปิด
“ต่อไปนายจะทำบ้าๆบอๆยังไงฉันจะไม่ว่านายเลย จริงๆนะ”
“แหม..เห็นเพื่อนหัวเราะได้ เอาใหญ่เลยนะคุณ ผมก็กลัวเสียภาพพจน์เป็นเหมือนกันน้า”
ระบิลอมยิ้มลอยหน้าลอยตาแกล้งเล่นตัว เนติมายิ้มมองอย่างหมั่นไส้
“แหม..ทีงี้ทำเล่นตัวนะ นี่..ท่าทางขวัญจะถูกชะตานายนะ เมื่อกี้อากันต์ยังบอกเลยว่าไม่เคยเห็นขวัญหัวเราะอย่างนี้มานานแล้ว”
ระบิลยิ้มแล้วบอก
“ดีแล้วแสดงว่าเรามาถูกทางแล้วล่ะคุณ”
ระบิลหันไปเห็นถุงยาของโรงพยาบาลที่วางอยู่ใกล้ๆ ก็หยิบขึ้นมาดูทันที
“ถุงยานี่คุณยังไม่หยิบไปอีกเหรอ แล้วยาหลังอาหารทานรึยังครับเจ้านาย”
“ก็..หายแล้วนี่”
เนติมาหน้ามุ่ยพูดเหมือนไม่อยากทานยา ระบิลเหล่มองกวนๆพลางหยิบซองยาข้างในออกมา
“ไม่ได้ คุณหมอบอกแล้วว่าให้ทานให้หมด”
“แต่...”
“หรือจะให้ผมบอกคุณศิวัชว่าคุณเข้าโรงพยาบาล”
ระบิลชูถุงยาของโรงพยาบาลขึ้นมาต่อรอง เนติมาถอนใจอย่างเซ็งๆก่อนแบมือออกมาพร้อมพูดอย่างงอนๆ
“โห..ขี้ฟ้องเป็นเด็กไปได้ เอามาๆ”
ระบิลยิ้มอย่างผู้มีชัย แกะยาจากถุงเอาใส่มือเนติมาสามสี่เม็ด แล้วหันไปรินน้ำใส่แก้วยื่นให้เนติมาเนติมามองยาเม็ดโตในมืออย่างเบื่อๆ ก่อนทานด้วยความยากลำบาก แล้วหันไปค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้
“พอใจรึยังล่ะ..โอ๊ย !”
ระบิลแกล้งบีบปากเนติมาให้อ้าออก เนติมาพยายามดิ้นแต่สู้แรงไม่ได้ ระบิลแล้วดูว่าเนติมากลืนยาหมดแล้วจริงๆจริงปล่อยมือ
“โอเค..ไม่ได้ซ่อนไว้...ผ่าน”
“คนบ้า !”
เนติมาเงื้อมือจะตีระบิลด้วยความหมั่นไส้ ระบิลรีบยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพูดแกล้งขู่อีก
“ฮัลโหล..คุณศิวัชเหรอครับ”
เนติมารีบลดมือลง ได้แต่มองค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้ ระบิลนั่งลอยหน้าลอยตาเช็คภาพกล้องวงจรปิดที่หน้าคอมพิวเตอร์ต่อไป
ภายในห้องพัก เนติมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี ก่อนคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหา
“พี่ศิวัช..ป่านนี้นอนรึยังนะ”
เนติมารอศิวัชรับสายด้วยรอยยิ้ม...
ภายในรถ ศิวัชนั่งหลับอยู่ที่เบาะหลังด้วยความอ่อนเพลียจากการหาเสียง โทรศัพท์มือถือของศิวัชที่วางอยู่ข้างตัวดังขึ้นมา ปฏิพรที่นั่งอยู่ข้างๆศิวัชหันขวับไปมองแล้วรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที เห็นรายชื่อที่ขึ้นมาคือชื่อของเนติมา ปฎิพรคิดนิดหนึ่ง ก่อนรีบตัดสายแล้วแอบปิดเครื่องทันที
ศิวัชขยับตัวอย่างงัวเงียแล้วถาม
“มีอะไรเหรอครับน้องตี้”
ปฏิพรรีบวางโทรศัพท์มือถือของศิวัชอย่างแนบเนียนทันทีพลางยิ้มกลบเกลื่อน
“เออ..ไม่มีอะไรค่ะพี่ศิวัช”
ศิวัชพยักหน้ารับรู้อย่างอ่อนเพลียก่อนหลับต่อ ปฏิพรมองศิวัชยิ้มๆแล้วขยับตัวเข้าไปซบไหล่ศิวัชอย่างออดอ้อน
“ตี้ขอพิงหน่อยนะคะพี่ศิวัช วันนี้หาเสียงเหนื่อยจังเลย”
ปฏิพรยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้ใกล้ชิดกับศิวัช
ฝ่ายเนติมาพยายามต่อสายโทรศัพท์อีกแต่ไม่ติด เนติมาถอนใจอย่างผิดหวัง
“เมื่อกี้ยังติดอยู่เลย จู่ๆปิดเครื่องไปซะแล้ว”
เนติมาคิดนิดหนึ่งก่อนยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ
“สงสัยพี่ศิวัชคงเหนื่อย”
เนติมาวางโทรศัพท์มือถือพลางขยับตัวลงนอน มองออกไปที่หน้าต่างเห็นพระจันทร์ส่องสว่าง
“ฝันดีนะคะพี่ศิวัช เนติ์รักพี่ศิวัชนะคะ”
เนติมายิ้มหลับตาลงอย่างมีความสุข
วันใหม่ เวลากลางวันศิวัชเดินคุยโทรศัพท์มาด้วยสีหน้ารู้สึกผิดอยู่ในบริเวณสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ธำรง
“พี่ขอโทษนะจ๊ะเนติ์ เมื่อคืนพี่เพลียมาก ไม่รู้ว่าเนติ์โทรมาเมื่อไหร่ อีกอย่างโทรศัพท์มันเป็นอะไรไม่รู้ จู่ๆก็ดับไป...เนติ์อย่าโกรธพี่นะจ๊ะ”
เนติมานั่งอยู่ในรถ ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ
“เนติ์จะโกรธทำไมล่ะคะ ช่วงนี้พี่ศิวัชเหนื่อยมาก เนติ์เข้าใจค่ะ”
ศิวัชยิ้มแล้วบอก
“นี่แหละคือกำลังใจที่ดีที่สุดของพี่ อืม..แล้ววันนี้เนติ์จะไปช่วยพี่หาเสียงมั้ยจ๊ะ”
“ไปสิคะ เจอกันที่พรรคนะคะ เดี๋ยวเนติ์แวะซื้อขนมอร่อยๆไปให้พี่ศิวัชทานด้วย เดี๋ยวเจอกันนะคะ”
เนติมาวางสายยิ้มอย่างมีความสุข ระบิลที่กำลังขับรถอยู่มองเนติมาด้วยสายตายิ้มๆ
“ยิ้มแก้มป่องเลยนะคุณ”
“ใช่สิ ไม่ได้เจอพี่ศิวัชตั้งหลายวัน คิดถึงจะแย่แล้ว”
“การมีคนรักนี่ดีนะครับ ไม่ได้เจอแค่ได้คิดถึงก็มีความสุข ยิ่งได้อยู่ใกล้ๆ ก็ยิ่งมีความสุข”
เนติมายิ้มก่อนหันไปถามระบิลอย่างอารมณ์ดี
“แล้วนายล่ะ ทำงานอย่างนี้จะหาเวลาที่ไหนไปอยู่ใกล้ๆคนรัก...อย่าบอกนะว่าไม่มีแฟน ฉันไม่เชื่อ”
ระบิลสีหน้าสลดลงนิดหนึ่งพลางยิ้มกลบเกลื่อน
“ไม่ต้องหาเวลาที่ไหนหรอกครับ แฟนผมก็อยู่แถวๆนี้แหละ”
เนติมามองไปรอบๆ
“แถวไหน...แถวที่รถผ่านเนี่ยเหรอ”
“ไม่ใช่ ผมหมายถึงอยู่ใกล้ๆตัวผมนี่แหละ”
“นายพูดอะไรของนาย จะเล่าเรื่องผี หรือเล่นมุขกันแน่”
เนติมานิ่วหน้า มองไปรอบๆด้วยความสงสัย ระบิลยิ้มพร้อมพูดตัดบททันที
“ตรงนั้นใช่มั้ยครับที่คุณจะแวะซื้อขนมให้คุณศิวัช”
ระบิลเลี้ยวรถไปทันที ขณะที่เนติมามองระบิลด้วยความสงสัย
บริเวณโถงกลางห้องพักในคอนโดฯ ดลกำลังนั่งทานข้าวไปด้วย อ่านตำราเรียนไปด้วยอย่างตั้งใจ อนงค์เดินออกมาจากห้องนอนมองดลอย่างขัดใจ
“พี่ดล ปิดหนังสือกินข้าวให้หมดก่อนดีกว่ามั้ยจ๊ะ เดี๋ยวข้าวก็ติดคอกันพอดี”
“พี่ต้องใช้เวลาให้มีค่าที่สุด เดี๋ยวพี่ยังต้องไปทำงานอีก”
ดลพูดทั้งๆที่ยังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ อนงค์ได้ยินแล้วถึงกับถอนหายใจอย่างเซ็ง
“อะไร จะสอบแล้วยังจะออกไปทำงานอีกเหรอจ๊ะ”
“พี่รับปากไอ้แก้วไว้แล้ว ไม่อยากเสียคำพูด”
อนงค์มองดลอย่างขัดใจเพราะไม่อยากให้ออกไปทำงานหนัก แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่หันไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่กางออกดู
“จะเลือกตั้งอยู่แล้ว พี่ดลว่าใครจะได้จ๊ะ”
“พรรคสยามพัฒนาอยู่แล้ว”
อนงค์มองหนังสือพิมพ์อย่างสังเกต
“อืม..เนอะกระแสดี๊ดี เอ๊ะ..พี่ดลดูนี่สิจ๊ะ”
อนงค์เลื่อนหนังสือพิมพ์ให้ดลดู พร้อมชี้ให้ดูกรอบข่าวอันหนึ่ง เห็นศิวัชกำลังเดินหาเสียงกับประชาชนในย่านชุมชน โดยมีเนติมาคอยช่วยแจกใบปลิวอยู่ไม่ห่าง ดลมองภาพพี่สาวของตนด้วยรอยยิ้มของความผูกพัน ดลหันไปยิ้มกับอนงค์อย่างมีกำลังใจ
บริเวณริมถนนหน้าตลาดในเวลาต่อมา ดลกำลังช่วยลูกค้าขนเสื้อผ้ามัดใหญ่หลายมัดขึ้นท้ายรถแท็กซี่ด้วยความขยัน
“เรียบร้อยครับพี่”
“น้องนี่ขยันดีจัง ขอบใจมากนะจ๊ะ เอานี่..พี่ให้”
ลูกค้าหยิบเงินยื่นให้ดลสี่สิบบาท ดลยิ้มพร้อมยกมือไหว้ก่อนรับเงินมาอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณครับพี่”
บริเวณตลาดเปิดท้ายขายเสื้อผ้า ดลในสภาพเหงื่อโทรมใบหน้ากำลังเร่งฝีเท้าเดินสวนกับผู้คนที่เดินผ่านไปมาเพื่อกลับมาที่ร้าน ดลเห็นแก้วยืนซื้อน้ำอยู่เลยรี่เข้าไปหา
“เฮ้ย..แก้ว โทษทีกลับมาช้าไปนิดว่ะ”
“เออ..ไม่เป็นไร”
“เอ็งมายืนซื้อน้ำอยู่นี่ แล้วใครเฝ้าร้านวะ”
“อ้าว...ก็น้องสาวเอ็งไง”
“อะไรนะ !”
แก้วพูดต่อพลางชี้
“ก็น้องสาวเอ็งมาช่วยขาย โน่น..เสียงแจ๋วๆเรียกลูกค้าอยู่โน่น เก่งนะโว้ย มาแป็บเดียวขายดีกว่าฉันขายอีก”
ดลหันไปที่แผงของแก้วซึ่งเป็นร้านขายเสื้อผ้าวัยรุ่นแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นอนงค์ยืนตะโกนเรียกลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว มีลูกค้ามามุงอยู่ที่ร้านหลายคน
“เชิญจ้ะพี่จ๋า เสื้อกางเกงทั้งหญิงทั้งชาย แบบใหม่ทันเทรนด์ ทั้งขายส่งขายปลีก ทางนี้ที่เดียวเลยนะจ๊ะ”
“อ้อ !”
ที่แผงอนงค์กำลังร้องเรียกลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว
“เอาตัวไหนดีจ๊ะพี่ ตัวนี้ก็สวยนะจ๊ะ ตัวไหนรุ่นไหนถามหนูได้เลยนะจ๊ะ ซื้อหลายตัวหนูลดให้พิเศษเลยจ้ะ”
“แล้วตัวนี้คิดยังไงน้อง”
เสียงดลดังเข้ามา อนงค์ไม่ทันมอง
“ตัวไหนจ๊ะ...อุ๊ย !”
พออนงค์เห็นดลยืนหน้าบึ้งอยู่ถึงกับตกใจ
บริเวณใกล้ๆตลาด ดลดึงมืออนงค์มาด้วยความหงุดหงิด อนงค์เดินตามมาอย่างงอนๆ
“โอ๊ย..ปล่อยได้แล้วพี่ดล อ้อเจ็บนะ”
“แล้วใครใช้ให้อ้อทำแบบนี้ พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่า...”
“ก็อ้ออยากช่วยพี่ดลนี่จ๊ะ”
อนงค์พูดฉะฉาน ดลได้แต่ถอนใจในความดื้อ
“อ้อ..เราคุยเรื่องนี้กันมาหลายครั้งแล้วนะ พี่ไม่รู้จะพูดกับอ้อยังไงแล้ว”
“ก็ไม่ต้องพูดสิจ๊ะ แล้วฟังอ้อบ้าง”
“อ้อ !”
ดลเสียงแข็ง อนงค์เอื้อมมือไปปิดปากดลแล้วพูดอย่างใจเย็น
“อ้อก็แค่อยากช่วยพี่ดลทำงาน พี่ดลจะได้รีบกลับบ้านไปอ่านหนังสือ ความรู้สึกของอ้อก็ไม่ได้ต่างกับที่พี่ดลกลัวผลการเรียนอ้อไม่ดีหรอกนะจ๊ะ พี่ดลก็เห็นเองแล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะว่าอ้อทำได้”
ดลเอามืออนงค์ปิดปากตนอยู่ออก พลางถอนใจด้วยความไม่สบายใจ
“นี่ตกลงอ้อจะเอาชนะพี่ให้ได้ใช่มั้ย”
“อ้อไม่ได้ต้องการจะเอาชนะ อ้อแค่อยากให้พี่ดลเข้าใจ”
อนงค์เอื้อมมือไปจับมือดลขึ้นมากระชับแน่นแล้วพยายามอธิบายอีก
“อ้อรู้ว่าพี่ดลเป็นห่วงอ้อ แต่จะให้อ้อทนดูพี่ดลทำงานหนักอยู่คนเดียวอ้อทนไม่ได้นะจ๊ะ”
“อ้อ...”
“ขออ้อมีส่วนร่วมในความเหนื่อยของพี่ดลสักนิดได้มั้ย สักเท่าเหงื่อหยดหนึ่งของพี่ดล อ้อก็ดีใจแล้ว อ้อสัญญานะจ๊ะว่าอ้อจะไม่ให้กระทบผลการเรียนสักนิด”
อนงค์พูดแล้วยิ้มให้ดลสบายใจ ดลถอนใจอย่างยอมจำนน
“ทำไมนะ เวลาเอาเข้าจริงๆพี่ก็แพ้อ้อทุกที”
“ก็พี่ดลรักอ้อไงจ๊ะ”
อนงค์พูดออกมาอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่ทำเอาดลชะงักรู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่อนงค์เองก็รู้สึกอายขึ้นมาเหมือนกัน เพราะทั้งสองคนผูกพันและจะรักกันอย่างไม่รู้ตัว
อนงค์พูดยิ้มๆพลางยกนิ้วก้อยขึ้นมา
“อ้อสัญญานะจ๊ะว่าจะไม่ไม่ทำให้พ่อกับพี่ดลผิดหวังเด็ดขาด”
ดลยิ้มออกมาก่อนเอานิ้วก้อยของตัวเองเกี่ยว ทั้งสองคนยิ้มให้กันด้วยความเข้าใจ
บริเวณหน้าร้านขายเครื่องไฟฟ้า จอโทรทัศน์ทั้งเครื่องใหญ่ เครื่องเล็กที่เปิดโชว์อยู่กำลังแพร่ภาพผู้ประกาศข่าวสาวกำลังยืนรายงานข่าวอยู่ในสถานี ชาวบ้านและประชาชนยืนเฝ้าติดตามข่าวอย่างมากมาย
“การเลือกตั้งใหญ่ขยับเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วนะคะ จากผลการสำรวจของโพลสำนักต่างๆ เป็นไปในแนวทางเดียวกันค่ะ” ผู้ประกาศข่าวรายงาน
ภายในร้านอาหาร คนที่นั่งทานอาหารในร้านต่างหันมามองข่าวในโทรทัศน์ของร้านอย่างตั้งใจ ผู้ประกาศกำลังชี้ให้เห็นชาร์ตของโพลที่แสดงให้เห็นว่าความนิยมของพรรคสยามพัฒนาอยู่เป็นอันดับหนึ่ง
“...ว่าพรรคสยามพัฒนาซึ่งเป็นพรรคใหม่ แต่กลับได้ความนิยมจากประชาชนเป็นอย่างมาก”
กลุ่มนักศึกษาทั้งชายหญิงราว 5-6 คนกำลังมุงดูข่าวผ่านแท็บเล็ตด้วยความสนใจ
“โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจและชื่นชอบในนโยบายของพรรคสยามพัฒนาถึง 70 %”
กลุ่มเกษตรกรราว 10-15 คน ต่างนั่งดูข่าวอยู่ที่ชานบ้านด้วยความสนใจ
“กลุ่มเกษตรกร ซึ่งเป็นฐานคะแนนเสียงหลักของพรรคการเมือง ก็ให้ความสนใจพรรคสยามพัฒนากันมาก ซึ่งน่าจะมีผลมาจากราคาผลผลิตที่ตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพรรคสยามพัฒนาได้ให้คำมั่นว่า จะทำให้เกษตรกรพ้นภาวะความจนได้ภายในหนึ่งปี”
ภายในบ่อน อิทธิหาญเดินออกมาจากห้องส่วนตัวด้วยความหงุดหงิด โดยมีปานเดินตามออกมาด้วย ทั้งสองคนเดินผ่านผู้คนที่เข้ามาเล่นการพนันกันอยู่มากมาย
“โธ่โว้ย ! มันจะเข้าเส้นชัยอยู่วันนี้พรุ่งนี้แล้ว พ่อยังนั่งใจเย็นอยู่ได้”
“คุณพ่อเสี่ยอาจมีแผนการอะไรอยู่ในใจก็ได้นะครับ”
“แผนการของพ่อเหรอ เชย ช้า ไม่ทันกินพวกมันหรอก...ที่ปารีสไม่น่าพลาดเลย” อิทธิหาญพูดอย่างเจ็บใจ
“ผมว่าเสี่ยลองรอคุณพ่อสักนิดดีมั้ยครับ ยังไงท่านคงไม่ปล่อยให้พวกนั้นมันลอยนวลแน่”
ปานพยายามพูดให้อิทธิหาญใจเย็น แต่อิทธิหาญหันขวับมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ก็ปล่อยให้พ่อเขาทำตามวิธีของเขาไป ส่วนฉันแกก็รู้นี่ปาน ว่าฉันจะทำยังไง”
อิทธิหาญพูดด้วยความเลือดเย็นสีหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
ห้องนั่งเล่น ภายในคฤหาสน์หรูของธำรงเช้าวันใหม่ จอโทรทัศน์มีภาพข่าวของศิวัชกับปฏิพรควงคู่กันออกงานกลางคืนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผู้ประกาศข่าวสาวสองคนในจอโทรทัศน์ หันมาพูดกันอย่างออกรส
“ตอนนี้กลายเป็นคู่ฮอตของวงสังคมไปแล้วนะคะ สำหรับแคนดิเดทผู้นำประเทศอย่างคุณศิวัชกับคุณปฏิพร หลานสาวท่านพลเอกทวี เมื่อคืนก็ควงกันออกงานแต่งงานของลูกชายเจ้าของศูนย์การค้าชื่อดังอีกแล้ว”
จนจอโทรทัศน์มีภาพของศิวัชกับปฏิพรเจาะเป็นกรอบเล็กๆอยู่
“นอกจากผู้ใหญ่ของทั้งสองคนยังสนิทแนบแน่นกันทางการเมืองแล้วทั้งคุณศิวัชกับน้องปฏิพรยังสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัวอีกด้วยนะคะ”
“แบบนี้น่าจะไม่ใช่เรื่องการเมืองซะแล้วนะคะ น่าจะเป็นเรื่องของหัวใจมากกว่า”
ศิวัชที่นั่งอยู่บนโซฟา กดรีโมทปิดโทรทัศน์ทันทีด้วยความไม่สบายใจ
“รายงานข่าวยังไง ตีไข่ใส่สีโอเว่อร์ชะมัด”
ธำรงเดินยิ้มเข้ามาโอบไหล่ลูกชายอย่างชอบใจ
“ไม่ต้องคิดมากน่า เขาก็ทำหน้าที่ของเขา เป็นผลดีกับเราด้วยซ้ำ”
“แต่ผมไม่สบายใจครับ...กลัวเนติ์จะเข้าใจผิด” ศิวัชพูดพลางถอนใจ
“พ่อว่าเนติ์เขาเป็นคนมีเหตุผลพอนะ”
ธำรงเดินเข้าไปตบบ่าศิวัชอย่างใจเย็น แต่ศิวัชดูยังไม่ค่อยโล่งใจนัก ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรออก
ภายในรถ โทรศัพท์มือถือของเนติมาที่มีไฟกระพริบ และชื่อของศิวัชขึ้นที่หน้าจอ ระบิลที่กำลังขับรถอยู่หันมามองเนติมาที่นั่งมองโทรศัพท์ของตัวเองด้วยความไม่สบายใจ
“ไม่รับล่ะคุณ”
เนติมายังคงมองไปที่โทรศัพท์มือถือของตัวเองด้วยความสับสนว่าจะรับดีหรือไม่ ก่อนตัดสินใจตัดสายทิ้งทันที
“อ้าว !”
บริเวณริมสระน้ำภายในคฤหาสน์ ศิวัชพยายามต่อสายโทรศัพท์หาเนติมา แต่ไม่มีคนรับสาย
“ต้องเห็นข่าวเมื่อกี้แน่ๆเลย”
ศิวัชถอนใจด้วยความไม่สบายใจ จังหวะเดียวกันปฏิพรก็เดินเข้ามา ยิ้มร่าเข้าหาศิวัชทันที
“พี่ศิวัชขา”
“ตี้...”
“พี่ศิวัชยังไม่แต่งตัวอีกเหรอคะ”
“แต่งตัว...”
ศิวัชนิ่วหน้าด้วยความสงสัย ปฏิพรยิ้มพูดอ้อน
“อะไร..ลืมแล้วเหรอคะ วันนี้พี่ศิวัชต้องไปทำบุญที่บ้านเด็กกำพร้า แล้วต้องไปทำกิจกรรมรณรงค์ลดโลกร้อนกับเยาวชนรุ่นใหม่ด้วยนะคะ”
“ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่องพวกนี้เลย”
ศิวัชถามอย่างสงสัย ก่อนจะหันมองเข้าไปยังตัวบ้าน เห็นธำรงถือถ้วยกาแฟยืนมองออกมาพลางอมยิ้มพยักหน้าเป็นเชิงให้ศิวัชไปกับปฏิพร
ศิวัชพยักหน้าเล็กน้อยอย่างรับรู้ในความหมายของพ่อด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก ก่อนหันไปยิ้มให้ปฏิพรเพื่อรักษามารยาท
ธำรงเดินจิบกาแฟพลางคุยโทรศัพท์ไปด้วยความสบายใจ
“ขอบคุณมากนะคุณปิยณีที่ช่วยส่งลูกน้องตามทำข่าวลูกชายผม ได้เลยเรื่องนั้นไม่มีปัญหา แล้วยังไงเราคุยกันสวัสดีครับ”
ธำรงวางสายอย่างอารมณ์ดีกับการจับคู่ให้ศิวัช นัยตาครุ่นคิดถึงการวางแผนอย่างใจเย็น
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 5(ต่อ)
บริเวณร้านขายต้นไม้ในย่านชานเมือง ต้นไม้และดอกไม้ตั้งเรียงอยู่มากมายดูสวยงาม ระบิลกำลังเดินเลือกต้นไม้อย่างเอาใจใส่ โดยมีเนติมาเดินอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก ระบิลชำเลืองมองเนติมาแล้วยิ้มอย่างเข้าใจ
“ก็เมื่อกี้เขาโทรมาก็ไม่ยอมรับสาย แล้วก็มาเดินจิตตกอย่างเนี้ย นี่คุณ..อย่าเชื่อข่าวกอสซิปอะไรพวกนั้นเลยน่า คนเราไปไหนมาไหนด้วยกันได้เรื่องธรรมดาจะตาย คุณกับผมยังมาเดินซื้อต้นไม้ด้วยกันเลย”
“จะไม่ให้ฉันคิดมากได้ยังไง ข่าวมันหนาหูขึ้นทุกวัน อีกอย่างพี่ศิวัชจะให้ฉันเป็นเลขา แต่ทุกวันนี้กิจกรรมของพี่ศิวัชตั้งหลายอย่างฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“เขาคงกลัวคุณเหนื่อยมั้ง ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะเรื่องครอบครัวคุณอีก”
“กลัวเหนื่อย หรือไม่อยากให้รู้กันแน่”
เนติมาพูดด้วยความน้อยใจ ระบิลหยุดสนใจต้นไม้หันมามองเนติมายิ้มๆ ก่อนพูดอย่างใจเย็น
“ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความคิดของตัวเองหรอกนะ แล้วตอนนี้คุณกำลังโดนความคิดของตัวเองทำร้ายอยู่ แล้วก็บ่อยซะด้วย”
“ก็มันน่าคิดมั้ยล่ะ เป็นนายๆก็คิด”
ระบิลยิ้มไม่ยอมตอบอะไร ก่อนหันไปเห็นก้อนหินที่ใช้ประดับสวนก้อนเล็กๆที่วางขายอยู่ ระบิลหยิบขึ้นมาสองสามก้อน ก่อนเอื้อมมือไปจับมือของเนติมาขึ้นมา
ระบิลเอาก้อนหินใส่มือเนติมาแล้วเอามือบีบมือเนติมาให้กำก้อนหินทันที เนติมาร้องลั่นก่อนรีบปล่อยก้อนหินลงพื้นทันที
“โอ๊ย ! จะบ้าเหรอฉันเจ็บนะ”
เนติมาเอามือตีระบิลอย่างหัวเสีย ระบิลยิ้มก่อนพูดอย่างใจเย็น
“เห็นมั้ย ก้อนหินก็เหมือนทุกข์ที่ผมเอามาใส่มือคุณนั่นแหละ ถ้าคุณถือมันไว้ยิ่งบีบมันเท่าไหร่คุณยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น แค่คุณปล่อยมันซะก็จบ ไม่ต้องเจ็บ”
“ไม่ต้องสอนฉันหรอกน่า ปรัชญานี้ฉันรู้”
“รู้แต่ไม่เอาไปใช้ก็เหมือนมีดไม่ลับคมแหละคุณ”
ระบิลพูดดักคอจนเนติมาชะงักพูดอะไรไม่ออก
ระบิลยิ้มก่อนหันไปที่กระถางต้นไม้เล็กๆของร้านที่กำลังออกดอกสีสันสดใสสวยงาม ระบิลก้มลงไปหยิบขึ้นมาให้เนติมา ระบิลกระชับมือเนติมาให้ถือกระถางไว้
“ของที่ทำให้เราสบายใจ ความจริงก็อยู่รอบตัวเราทั้งนั้น ทำไมไม่เอามันขึ้นมาเชยชมล่ะครับ”
เนติมานิ่งฟังระบิลพูดอย่างใช้ความคิด ก่อนมองไปรอบๆเห็นต้นไม้ของร้านขายต้นไม้ที่วางเรียงกันเต็มพื้นที่ แต่ละต้นออกดอกสีสันสวยงาม เนติมายิ้มออกมาได้บ้างมองระบิลอย่างขอบคุณ
“ฉันนี่แย่จังเลยเนอะ จิตตก ฟุ้งซ่าน จนนายต้องเตือนสติบ่อยๆ”
“ก็คุณยังมีหัวใจนี่ครับ สำคัญตรงที่จิตตกเมื่อไหร่ ฟุ้งเมื่อไหร่ ก็เรียกกลับมาให้เร็วก็แล้วกัน”
ระบิลชี้ดอกไม้แล้วถาม
“เป็นไง ดอกนี่ถูกใจมั้ยครับ”
เนติมามองกระถางต้นไม้ในมือของตัวและมองไปรอบๆอีกนิด ก่อนหันมาพยักหน้าให้กันอย่างยิ้มๆ
“งั้นผมสั่งเลยนะ...พี่สาว”
ระบิลพูดยิ้มๆ ก่อนเดินเข้าไปพูดกับเจ้าของร้านที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว
เนติมามองตามระบิลที่กำลังยืนชี้สั่งต้นไม้ พูดคุยกับเจ้าของร้านอย่างเป็นกันเองแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้
ระบิลขับรถมาอย่างอารมณ์ดี พลางหันไปมองเนติมาที่กำลังคุยโทรศัพท์อย่างมีความสุข
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ศิวัช เนติ์เข้าใจ พี่ศิวัชดูแลตัวเองดีๆนะคะ แล้วไงอีกสองวันเราเจอกัน”
เนติมาวางสายโทรศัพท์พลางก้มมองแหวนที่ศิวัชสวมที่นิ้วก้อยซ้ายด้วยความโล่งใจ
“คนเรานี่รอยยิ้มกับความสุข มันห่างกันนิดเดียวจริงๆเนอะ”
“นายหมายความว่าไงเหรอ”
เนติมาถามด้วยความสงสัย ระบิลยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ก็วันก่อนยังไปช่วยกันหาเสียงจิ๊จ๊ะหวานจ๋อย พอมาวันนี้งอนตุ๊บป่อง ไม่ยอมรับสายคุณศิวัชเขาอยู่เลยนี่ครับ แต่เผลอแว๊บเดียวดันโทรไปหาเขาเองซะงั้น แถมยังหวานซะอู๊ย..น้ำตาลจะขึ้นตา นี่แหละน้าความรัก”
“เวลาฉันมีความทุกข์นายก็ปลอบให้ฉันหายเศร้า แต่เวลาฉันหายเศร้านายก็มาแซว ตกลงนายจะเอายังไงกันแน่หา”
เนติมาพูดด้วยความหมั่นไส้ ระบิลหัวเราะอารมณ์ดี
“โธ่..ล้อเล่นน่าคุณ ผมไม่ใช่คนโรคจิตนะ ที่จะชอบเห็นคนรักเขาตีกันน่ะ เข้าใจกันก็ดีแล้ว กว่าจะรักกันไม่ใช่เรื่องง่ายนะคุณ”
เนติมายิ้มพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับระบิล เนติมานึกอะไรขึ้นมาได้
“เออ..แล้วนี่เขาจะส่งต้นไม้ให้เราเมื่อไหร่เหรอ”
“ตามหลังมาติดๆนี่ล่ะคุณ”
ระบิลพูดพลางมองไปที่กระจกมองหลังแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อคันหนึ่งขับตามมา โดยมีลูกน้องอิทธิหาญสามคนนั่งอยู่ด้านใน ระบิลมองด้วยความสงสัย
“นั่งดีๆนะคุณ”
“มีอะไรเหรอ”
ระบิลไม่ตอบอะไร แต่เท้าของระบิลเหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อเร่งความเร็ว
ระบิลขับรถเลี้ยวเข้ามาในถนนอีกเส้น โดยมีรถของลูกน้องอิทธิหาญเลี้ยวตามมาติดๆ เนติมาสีหน้าตื่นมองระบิลที่ขับรถด้วยสีหน้าจริงจัง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเราต้องรีบขนาดนี้”
“มีคนตามเรามา”
“อะไรนะ !”
เนติมารีบหันไปดูกระจกมองข้างทันที แต่จังหวะเดียวกันที่ลูกน้องอิทธิหาญซึ่งอยู่ในรถอีกคันยิงปืนเข้าใส่ กระสุนโดนกระจกมองข้างด้านเนติมาแตกกระจาย ระบิลรีบหักพวงมาลัยไม่ให้เป็นเป้านิ่ง
“ระวัง !”
ระบิลเอื้อมมือไปกดสวิทช์ปรับพนักพิงของเนติมาให้เอนนอนลงอย่างรวดเร็ว เนติมาพยายามเงยหัวขึ้นมาแต่โดนระบิลกดลงไปอีก
“ระวัง !”
“คุณนั่นแหละระวัง อย่าเงยขึ้นมา เดี๋ยวก็โดนส่องหัวหรอก”
เนติมามีสีหน้าตกใจ
“ระวัง !”
“ระวังอะไรอีก”
“รถบรรทุก !”
เนติมาชี้ไปข้างหน้าพลางพูดด้วยความร้อนรน ระบิลหันขวับไปมองด้านหน้าแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นรถบรรทุกคันหนึ่งวิ่งสวนมาเพราะรถของเนติมาวิ่งกินเลนเข้าไป รถบรรทุกบีบแตรลั่น
“เฮ้ย !”
เนติมาเอามือขึ้นปิดตาด้วยความหวาดกลัว ระบิลหักพวงมาลัยหลบรถบรรทุกได้อย่างเฉียดฉิว เนติมาเปิดมือขึ้นมามองหน้าระบิลอย่างความโล่งอก ระบิลจะหันไปมองด้านหลัง เห็นรถของลูกน้องอิทธิหาญยังขับตามมาอยู่พร้อมยิงปืนเข้าใส่อีก กระสุนเฉียดไปมา
“เอาไงดีล่ะ”
“เรื่องอะไรให้มันล่อเป้าอยู่ล่ะคุณ”
ระบิลหันไปเห็นถนนลูกรังที่อยู่ข้างหน้า ระบิลรีบเลี้ยวรถเข้าไปทันที
ระบิลขับรถด้วยความรวดเร็ว เนติมาปรับเบาะขึ้นมานั่ง หันกลับไปมองด้านหลังเห็นฝุ่นลูกรังตลบ จนแทบไม่เห็นรถคันที่ตามมา
“มองแทบไม่เห็นรถพวกนั้นเลย”
“ก็เข้าทางเราสิครับ”
ระบิลยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนเพิ่มความเร็วมากขึ้น
“นายจะทำอะไร”
เนติมาชักสีหน้าด้วยความสงสัย ระบิลยิ้มชอบใจ
“ใช้ฝุ่นพรางตัวให้เราหนีไงคุณ ฮ่าๆ ไงฉลาดมั้ยๆ”
ขณะที่ลูกน้องอิทธิหาญคนแรกขับรถ คนที่สองกับคนที่สามยื่นหน้าออกไปนอกรถเพื่อเล็งปืนยิงรถของเนติมา แต่ไม่ถนัดเพราะฝุ่นลูกรังฟุ้งตลบจนแทบไม่เห็นรถของเนติมา ลูกน้องทั้งสองคนสำลักฝุ่นจนต้องกลับเข้ามาในรถ
“โอ๊ย..ไม่ไหวโว้ย ฝุ่นทั้งนั้น” ลูกน้องคนที่สองบอก
“เฮ้ย..ทิ้งระยะหน่อยโว้ยจะสำลักฝุ่นตายอยู่แล้ว” ลูกน้องคนที่สามหันไปบอกลูกน้องที่ขับรถอยู่ ลูกน้องคนแรกถอนใจอย่างหงุดหงิด ก่อนผ่อนคันเร่งทันที
ระบิลขับรถด้วยความเร็ว มองกระจกส่องหลังเห็นแต่ฝุ่นลูกรังฟุ้งโดยไม่เห็นรถของพวกลูกน้องอิทธิหาญแม้แต่เงา ระบิลยิ้มอย่างได้ใจ
“เห็นมั้ย สติมา ปัญญามี ไม่ต้องออกแรงให้เสียเหงื่อ ฮ่าๆ...กินฝุ่นเป็นของว่างแล้วกันนะไอ้น้อง ฮ่าๆ”
ระบิลหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เนติมามองไปทางถนนด้านหน้ารถแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นถนนซึ่งไม่ใช่ลูกรังอีกแล้ว
“อุ๊ย..ทำไมไม่ใช่ถนนลูกรังแล้วล่ะ”
ระบิลมองตามแล้วบอก
“เฮ้ย ! เออ..สงสัยตรงโน้นไม่มีงบมั้งคุณ”
เนติมาหันขวับไปมองด้านหลังเห็นรถของลูกน้องอิทธิหาญขับประชิดเข้ามาก็ตกใจ
“พวกนั้นตามมาแล้ว”
ลูกน้องอิทธิหาญยิงปืนเข้าใส่ กระสุนสามสี่นัดเฉียดตัวถังรถไปนิดเดียว ระบิลหักพวงมาลัยหลบ อย่างคล่องแคล่ว ระบิลเห็นลูกน้องอิทธิหาญสองคนที่เบี่ยงตัวออกมาจากตัวรถ เล็งปืนมา
“หมอบลงไปคุณ !”
ระบิลรีบเอื้อมมือไปกดหัวเนติมาให้ก้มต่ำลงไป
“โอ๊ย ! อีกแล้วเหรอเนี่ย”
“ถ้าไม่อยากหัวเป็นรู อย่าลุกขึ้นมาอีกนะ”
ระบิลพูดพลางหยิบปืนประจำตัวออกมา เนติมามองด้วยความตกใจ
“นายจะทำอะไร”
“โธ่..ไม่ใช่งานวัดนะครับ จะได้เป็นเป้านิ่งให้มันสอยอยู่ข้างเดียว เอื้อมมือมาประคองพวงมาลัยให้ผมหน่อยเร็ว”
“นายว่าไงนะ !”
“อย่าถามมาก ทำตามที่ผมบอกเร็ว !”
ระบิลพูดพลางคว้ามือเนติมา มาจับพวงมาลัยรถไว้ เนติมามองอย่างกลัวๆ
“แต่ฉันมองไม่เห็นทาง”
“ตรงนี้ทางตรง คุณจับไว้นิ่งๆ รับรองไม่พลาด”
“แล้วนายล่ะ”
“ผมก็ส่งลูกน้องไปเคลมค่าเสียหายกับพวกมันน่ะสิคุณ”
ระบิลเปิดกระจกแล้วเบี่ยงตัวออกไปนอกตัวถังรถ พร้อมวาดปืนไปด้านหลังทันที
จังหวะต่อมาระบิลเหนี่ยวไกยิงปืนใส่รถของลูกน้องอิทธิหาญอย่างใจเย็น กระสุนสองนัดแรกเฉียดไปที่ตัวรถ ก่อนระบิลจะเล็งอีกครั้ง คราวนี้กระสุนเจาะเข้าที่ยางล้อหน้าอย่างแม่นยำ รถของลูกน้องอิทธิหาญส่ายไปมา ก่อนเสียหลักพุ่งชนกองวัสดุที่ตั้งอยู่ริมทางจนไปต่อไม่ได้
“เช็คบิล ฮ่าๆ”
ระบิลหัวเราะชอบใจ ก่อนดึงตัวกลับเข้ามาในรถพร้อมหันพูดกับเนติมา
“เรียบร้อยคุณ”
“ไหน...”
เนติมาปล่อยพวงมาลัยรถแล้วลุกขึ้นหันไปมองรถของลูกน้องอิทธิหาญอย่างลืมตัว
“คุณอย่าปล่อย !
รถเสียหลักแถออกไปจนจะตกถนน ระบิลรีบคว้าพวงมาลัยรถแล้วเหยียบเบรกทันที
“ว้าย !”
เนติมาเสียหลักเพราะแรงเบรก โดนแรงเหวี่ยงจนตัวของทั้งคู่เข้าไปเบียดชิดกัน แก้มเนติมาเหวี่ยงไปโดนหน้าของระบิลอย่างจัง ระบิลกับเนติมาชะงักด้วยความตกใจ ก่อนทั้งคู่จะขยับตัวออกจากกันอย่างเขินๆ
“เออ..ผมว่าเรารีบกลับกันเถอะ เดี๋ยวพวกนั้นตั้งหลักได้จะยุ่ง” ระบิลพูดอึกอัก
เนติมาพยักหน้าอย่างอายๆ ก่อนระบิลจะรีบขับรถออกไป
บริเวณตึกร้างชานเมือง ลูกน้องอิทธิหาญลงมาจากรถด้วยความสะบักสะบอม บ้างหัวแตก บ้างมีรอยฟกช้ำ
“โอย...ไม่น่าพลาดเลย อูย..เจ็บ” ลูกน้องคนแรกบอก
“โชคดีเท่าไหร่แล้ววะ ที่มันยิงใส่รถ เก็บปากไว้แก้ตัวกับเสี่ยดีๆเถอะมึง” ลูกน้องคนที่สองว่า
ลูกน้องอีกคนมองเห็นรถของอิทธิหาญวิ่งเข้ามาจอดอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย!”
ลูกน้องอิทธิหาญทั้งสามคนมองหน้ากันด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ปานที่นั่งอยู่ข้างคนขับกดกระจกลงมองลูกน้องทั้งสามคนด้วยสีหน้านิ่ง อิทธิหาญกดกระจกเลื่อนลงมา อมยิ้มมองลูกน้องทั้งสามคนอย่างใจเย็น
ลูกน้องทั้งหมดสีหน้าเจื่อนไปทันที
“เออ..เสี่ย เสี่ยตามมาด้วยเหรอครับ”
“กูก็ตามมาดูศพพวกมันน่ะสิวะ แต่ดูสารรูปมึงแล้ว สงสัยกูมาเสียเที่ยว”
ลูกน้องทั้งหมดรีบยกมือไหว้อิทธิหาญทันที
“ขอโทษครับเสี่ย พวกผมขอแก้ตัวอีกทีนะครับ” ลูกน้องคนที่สามบอก
“รับรองว่า...”
ยังไม่ทันที่ลูกน้องคนแรกจะพูดอะไรต่อ ปานก็ชักปืนขึ้นมายิงใส่ลูกน้องอิทธิหาญทั้งสามคนอย่างแม่นยำจนร่วงลงไปสิ้นใจตายทันที
ปานพูดเบาๆ
“กูเตือนพวกมึงแล้วว่าอย่าพลาด”
ปานพูดด้วยสีหน้านิ่ง พร้อมเก็บปืนทันที อิทธิหาญมองร่างของลูกน้องตนเองอย่างไม่เห็นคุณค่า ก่อนสายตาอิทธิหาญจะเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นทันที
“ให้มันรู้ไปว่าพวกมึงจะปฏิเสธความตายที่กูยื่นให้สักกี่น้ำ...กลับ !”
อิทธิหาญกดกระจกเลื่อนขึ้น ก่อนรถจะวิ่งออกไป
ภายในห้องครัวบ้านกันต์ เวลากลางคืน ระบิลกำลังทำอาหาร โดยมีเนติมากับผู้กำกับวิเชษฐ์คอยช่วยเป็นลูกมือ
เนติมากำลังอ่านข่าวจากไอแพดด้วยความสงสัย
“พบศพชายสามคน ถูกยิงตายข้างรถที่เกิดอุบัติเหตุ ตายปริศนา”
เนติมาหันไปพูดกับวิเชษฐ์
“นี่มันสามคนที่ไล่ยิงฉันเมื่อกี้นี่คะ”
“ทำงานไม่สำเร็จ ไม่ก็ฆ่าปิดปากน่ะครับ”
วิเชษฐ์พูดกับระบิล
“ความจริงนายน่ารวบตัวพวกมันไว้ก่อน เราจะได้สาวถึงตัวบงการ”
“โอ๊ย..ไม่ต้องสาวก็รู้ครับพี่ว่าพวกมันเป็นใคร แค่รั้วกั้นแค่นี้แหละครับ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ระบิลหันมาพูดกับเนติมา
“รถคุณที่เอาไปเปลี่ยนกระจก พรุ่งนี้ได้นะครับ”
เนติมาพยักหน้ายิ้มๆ ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกกับเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้
“เออ..พี่เชษฐ์ เรื่องขนมที่พี่จะสั่งเรียบร้อยนะครับ” ระบิลบอก
“เรียบร้อย รับรองไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง” วิเชษฐ์ว่า
ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มอย่างมั่นใจ เจือจันทร์เดินเข้ามาในห้องครัวด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนพูดบ่นไปเรื่อย
“ใครสั่งต้นไม้รึเปล่า เขามาส่งเนี่ยตั้งเยอะแยะ อย่างจะเอาไปขายที่ไหน”
บริเวณสวนหย่อมบ้านกันต์ ต้นไม้ ดอกไม้ประดับหลายต้นตั้งเรียงกันอยู่หลายต้น เนติมาเดินออกมามองต้นไม้ที่เรียงรายกันอยู่ด้วยความสงสัย
“สั่งมาตั้งเยอะแยะ จัดยังไงถูกเนี่ย”
“จัดไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เสร็จคุณ” เสียงระบิลดังเข้ามา
“อุ๊ย !”
เนติมาสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อเห็นระบิลเปลือยท่อนบนเหงื่อท่วมตัว โผล่ขึ้นจากพุ่มไม้ในมุมมืด พร้อมเสียมขุดดินในมือ เนติมาถอนใจอย่างโล่งอก
“โธ่เอ๊ย..ตกใจหมดเลย”
“คุณมีเรื่องอะไรให้ผมทำรึเปล่าครับ”
ระบิลยิ้มเดินเข้ามาหา เนติมารู้สึกแปลกๆ ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที
“เออ..ไม่มีอะไร งั้น..ฉันขึ้นไปนอนก่อนนะ”
ระบิลเรียกไว้ “เออ..เดี๋ยวครับ”
เนติมาจะเดินเข้าไปในบ้าน แต่ต้องชะงักเพราะระบิลเรียกไว้ เนติมาค่อยๆหันกลับมาอย่างลังเล ระบิลอึกอักอยู่นิดหนึ่งก่อนยิ้มเจื่อนตัดสินใจพูดออกมา
“เมื่อกลางวัน ผมขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไร ก็..มันเป็นอุบัติเหตุนี่”
“แต่ผมไม่ค่อยสบายใจ”
“สบายใจเถอะน่า ฉันไม่ได้โกรธอะไรนายซะหน่อย”
“แต่ตั้งแต่กลับมา ผมยังไม่เห็นคุณยิ้มให้ผมเลยนะ” ระบิลพูดอย่างไม่คิดอะไรมาก
เนติมาหันมาพูดด้วยอารมณ์ทั้งฉุนทั้งอาย
“แล้วจะให้ฉันยิ้มดีใจเหรอไงที่โดนนายหอมแก้มเหรอไง..คนบ้า !”
เนติมาตีต้นแขนระบิลเต็มแรงแล้วรีบเดินเข้าบ้านไปทันที
“โอ๊ย..คุณ เจ็บนะ !...อ้าว..เดี๋ยวสิคุณ อะไรเนี่ยบอกไม่โกรธ แต่ฟาดซะเต็มเหนี่ยวเลย คุณ..อูย มือหนักชะมัด”
ระบิลเอามือลูบต้นแขนที่โดนตีด้วยความเจ็บ มองตามเนติมาไปอย่างไม่เข้าใจ
เนติมาเดินเข้ามาในห้องด้วยความหงุดหงิด ปากก็บ่นไปเรื่อย
“คนบ้า..ฉันก็อายเป็นเหมือนกันนะ”
เนติมาหยุดยืนถอนใจเฮือกใหญ่ รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
เหตุการณ์ในรถแว่บเข้ามา
เนติมาเสียหลักเพราะแรงเบรก โดนแรงเหวี่ยงจนตัวของทั้งคู่เข้าไปเบียดชิดกัน แก้มเนติมาเหวี่ยงไปโดนหน้าของระบิลอย่างจัง ระบิลกับเนติมาชะงักด้วยความตกใจ ก่อนทั้งคู่จะขยับตัวออกจากกันอย่างเขินๆจนทำอะไรไม่ถูก
เนติมารีบเอามือถูแก้มที่โดนระบิลหอมอย่างไม่ตั้งใจด้วยความหงุดหงิด
“ตาบ้าเอ๊ย..ขนลุกไปหมดเลย”
เนติมาเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อนจะไปอาบน้ำ แต่อดไม่ได้ที่จะมองผ่านหน้าต่างออกไป เห็นระบิลกำลังขุดดินปลูกต้นไม้อยู่ในความมืดอย่างขยันขันแข็ง เนติมาเริ่มอารมณ์เย็นลง แล้วถอนใจมองระบิลอย่างเข้าใจมากขึ้น
ในเวลาต่อมา ระบิลในสภาพเหงื่อโทรมร่างกำลังขุดดินลงไม้ดอกที่กำลังออกดอกสะพรั่ง เนติมายื่นขวดน้ำดื่มมาให้ พลางพูดอย่างรู้สึกผิด
“หิวน้ำมั้ยอ่ะ”
ระบิลยิ้มก่อนรับน้ำมาเปิดดื่มด้วยความกระหาย
“เฮ้อ..ค่อยยังชั่ว ขอบคุณนะครับ อย่างนี้ค่อยชื่นใจหน่อยแสดงว่าคุณไม่ได้โกรธผม”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดีก่อนหันไปปลูกต้นไม้ต่อ เนติมาลงนั่งที่ม้านั่งใกล้ๆพูดด้วยสีหน้าเจื่อน
“เออ..เมื่อกี้นายเจ็บมั้ยอ่ะ ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ผมไม่ได้ตั้งใจ คุณก็ไม่ได้ตั้งใจ งั้นเราหายกัน โอเค๊”
“อืม..โอเคก็ได้ นี่..ให้ฉันช่วยมั้ย”
“โอ๊ยๆๆ อยู่ตรงนั้นแหละดีแล้วครับ อย่ามาช่วยให้งานผมช้าลงเลย”
เนติมานึกหมั่นไส้
“นี่..หาเรื่องเจ็บตัวอีกแล้วใช่มั้ย”
“ก็จริงๆนี่ครับ ครั้งที่แล้วกวาดใบไม้สองที มือคุณยังพองไปสามวันเลย ผมทำเองได้ครับ ผมว่าคุณขึ้นไปพักผ่อนดีกว่านะ อย่ามานั่งเฝ้าผมเลยยุงกัดเปล่าๆ” ระบิลพูดยิ้มๆ
เนติมามองไปรอบๆบริเวณอย่างรู้สึกเป็นห่วง
“นายทำไหวแน่เหรอ ถ้าไม่ไหวไม่ต้องก็ได้นะ”
“ไหวสิคุณ คุณไปนอนเถอะครับไม่ต้องห่วงผม..นะครับ”
เนติมาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนเดินกลับไปยังอดหันมามองระบิลด้วยความเป็นห่วง ระบิลที่กำลังขุดดินปลูกต้นไม้อยู่เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เนติมา
ระบิลยิ้มมองตามเนติมาอย่างรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
ภายในห้องนอน ขวัญชนกเพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก่อนเดินไปมองที่ปฏิทินตั้งโต๊ะแล้วหน้าสลดลงเล็กน้อยพลางพึมพำว่า
“ก็แค่วันหนึ่งเท่านั้น”
ขวัญชนกพูดด้วยความเศร้าก่อนเดินไปที่หน้าต่างผ้าม่านปิดอยู่ ขวัญชนกกำลังจะเอื้อมมือไปแหวกผ้าม่านมองออกไปด้านนอก เบื้องล่าง... ขวัญชนกเห็นสวนหย่อมหน้าบ้านเต็มไปด้วยแปลงดอกไม้หลากสีสันสวยงามหลายแปลง ขวัญชนกมองภาพงดงามตรงหน้าด้วยความแปลกใจ เสียงเคาะประตูดังเข้ามา ขวัญชนกหันขวับไปมองทันที
“คุณแม่เหรอคะ”
ไม่มีเสียงตอบ ขวัญชนกชักสีหน้าด้วยความสงสัย ก่อนเดินไปที่ประตูห้อง
“เนติ์เหรอจ๊ะ”
ไม่มีเสียงตอบอีก ขวัญชนกนิ่งคิดอยู่นิดหนึ่งแล้วตัดสินใจค่อยๆเปิดประตูแล้วต้องแปลกใจเมื่อพบเจือจันทร์ถือช่อดอกไม้ช่อโต พร้อมด้วยระบิลกับเนติมายืนยิ้มอยู่ข้างๆ ระบิลกับเนติมาพูดพร้อมกัน
“สุขสันต์วันเกิดจ้ะขวัญ / สุขสันต์วันเกิดครับคุณขวัญ”
“นี่อะไรเหรอคะคุณแม่”
“วันนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว แม่ให้กำเนิดเด็กผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งออกมา แล้วเด็กคนนั้นก็โตขึ้นเป็นคนดีของพ่อแม่ ...วันเกิดลูกปีนี้ แม่ขอมอบชีวิตใหม่ให้ลูกอีกครั้งนะขวัญ” เจือจันทร์พูดและยิ้มฝืนความเศร้า
“หมายความว่ายังไงคะคุณแม่”
“ยินดีต้อนรับสู่โลกภายนอกอีกครั้งนะจ๊ะขวัญ” เนติมาบอก
“อะไรนะ !”
ขวัญชนกตกใจ ระบิลกับเนติมายิ้มให้อย่างใจเย็น
“เห็นสวนดอกไม้ข้างนอกแล้วใช่มั้ยครับ”
“คุณระบิลเป็นคนเอามา ปลูกมาจัดเองกับมือทั้งคืนเลยนะ”
“อาจเหมือนผักชีโรยหน้าไปนิด แต่ก็ทำสุดฝีมือนะครับ เออ..คุณขวัญจะไม่ลงไปดูสักหน่อยเหรอครับ” ระบิลถาม
“แต่...”
ขวัญชนกหลบตาระบิลอย่างลังเล ระบิลพูดด้วยความอ่อนโยน
“ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วนะครับ มีแต่พวกเราทั้งนั้น วันนี้วันเกิดคุณขวัญเป็นวันดีที่จะได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆซะทีนะครับ”
“นะลูก”
เจือจันทร์พยายามช่วยกล่อม ขวัญชนกคิดอย่างตัดสินใจจนเกือบขยับเดินไปข้างล่างอยู่แล้ว แต่ผู้กำกับวิเชษฐ์ก็เดินขึ้นมาพอดี
“ขนมเค้กพร้อมแล้ว ขอโทษทีรถติด…”
ขวัญชนกชะงักด้วยความตกใจ ขณะที่ผู้กำกับวิเชษฐ์ก็ตกลึงเมื่อเห็นขวัญชนกอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
“น้องขวัญ…”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พยายามพูดอย่างเป็นมิตร แต่ขวัญชนกสะดุ้งด้วยความกลัวพลางขยับจะเดินกลับเข้าไปในห้อง แต่เนติมารีบรั้งไว้ทันที
“ขวัญไม่ต้องกลัว นี่ผู้กำกับวิเชษฐ์ไง ผู้กำกับเป็นคนดีนะ”
“แต่…”
ระบิลรีบขยับไปพูดอย่างหนักแน่น
“คุณขวัญฟังผมนะครับ ไม่มีอะไรน่ากลัวทั้งนั้น มีแต่พวกเรา ทุกคนหวังดีแล้วก็พร้อมที่จะปกป้องคุณขวัญนะครับ”
ขวัญชนกมองอย่างลังเล เห็นเนติมา ผู้กำกับวิเชษฐ์ เจือจันทร์ ยิ้มอย่างให้กำลังใจ ระบิลพูดด้วยรอยยิ้ม
“ที่สำคัญข้างล่าง ยังมีคนพิเศษอีกคน รอคุณขวัญออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อยู่นะครับ” ระบิลบอก
ขวัญชนกชะงักนิ่งครุ่นคิดตามที่ระบิลพูด
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 5(ต่อ)
ตรงเชิงบันไดชั้นล่างบ้าน กันต์นั่งอยู่บนรถเข็น ชะเง้อมองขึ้นไปที่บันไดชั้นบนอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนจะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นเจือจันทร์เดินลงมา แต่ไม่มีใครตามลงมาด้วย กันต์ถอนใจด้วยความผิดหวัง
“ไม่ยอมลงมาเหรอคุณ” กันต์ถาม
เจือจันทร์ยิ้มไม่ตอบอะไร เอื้อมมือไปแตะมือกันต์เบาๆก่อนหันไปทางชั้นบน กันต์มองตามขึ้นไป เห็นเนติมาเดินจูงมือนำขวัญชนกลงมาจากชั้นบนอย่างช้าๆ โดยมีระบิลกับผู้กำกับวิเชษฐ์เดินตามอยู่ข้างหลัง
“ลูก…”
กันต์น้ำตาคลอเบ้าพูดออกมาเบาๆ สายตาจ้องไปที่ขวัญชนกซึ่งชะงักมองกันต์นิ่ง น้ำตาค่อยๆคลอออกมาเหมือนกัน
“มาสิขวัญ ชีวิตใหม่รอหนูอยู่นะลูก”
ขวัญชนกทรุดตัวลงกอดกันต์แน่น
“คุณพ่อ…”
“ฝันร้ายจบลงแล้วนะลูก มันจบลงแล้ว”
กันต์เอื้อมมือไปลูบผมลูกสาวอย่างอบอุ่น ขณะที่เจือจันทร์น้ำตาไหลออกมาด้วยความรู้สึกดีใจที่ขวัญชนกกล้าออกมาพบผู้คน เจือจันทร์เข้าไปกอดลูกสาวด้วยความรัก กันต์มองสมาชิกของครอบครัวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรัก ก่อนก้มลงสวมกอดทั้งเจือจันทร์และขวัญชนกด้วยความอบอุ่น
ผู้กำกับวิเชษฐ์มองภาพตรงหน้าด้วยความอิ่มใจ ระบิลกับเนติมาหันมายิ้มให้กันอย่างมีความสุข
บนโต๊ะอาหาร ทุกคนร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้ ขวัญชนกเป่าเทียนวันเกิดบนเค้กดับ ท่ามกลางเสียงปรบมือเฮฮา ขวัญชนกหันไปยิ้มบางๆให้กันต์กับเจือจันทร์ที่มองลูกสาวอย่างมีความหวัง ขวัญชนกหันไปพูดกับเนติมาอย่างซึ้งในน้ำใจ
“ขอบคุณมากนะเนติ์”
“เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันนะ ฉันสัญญา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันไม่มีวันทิ้งเธอเด็ดขาด” เนติมาพูดพลางสวมกอดขวัญชนก
ขวัญชนกยังไม่กล้าสบตากับระบิลและผู้กำกับวิเชษฐ์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆนัก บอกแค่ว่า
“เออ..ขอบคุณมากนะคะ”
ระบิลยิ้มแล้วบอก
“เรื่องเล็กนะครับคุณขวัญ... พวกเราออกไปนั่งเล่นข้างนอกกันเลยมั้ยครับ”
“อะ..อะไรนะคะ” ขวัญชนกพูดอย่างไม่แน่ใจ
เนติมาหันมาพูดกับขวัญชนกอย่างอารมณ์ดี
“ไม่อยากดูต้นไม้ที่คุณระบิลเขาปลูกใกล้ๆรึไงขวัญ”
“ไปนะครับ ผมเตรียมสถานที่ไว้หมดแล้ว”
“งั้นผมยกเค้กออกไปเลยนะครับ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์พูดกับขวัญชนกอย่างยิ้มๆแล้วรีบยกเค้กวันเกิดออกไปทันที ขณะที่ขวัญชนกรีบหลบสายตาผู้กำกับวิเชษฐ์ด้วยความรู้สึกกล้าๆกลัวๆเพราะยังไม่คุ้นเคย
ระบิลหันไปพูดกับเนติมา ขวัญชนก กันต์และเจือจันทร์
“ไปครับ”
สวนร่มรื่นในบ้านกันต์ ขวัญชนกยืนมองต้นไม้ ดอกไม้หลากสีที่รายล้อมอยู่เต็มไปหมดพลางสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วยความสดชื่น ขณะที่ระบิล เนติมา ผู้กำกับวิเชษฐ์ อยู่ตรงโต๊ะกำลังช่วยกันตักเค้กและขนมใส่จานและรินน้ำ ทุกคนมองขวัญชนกอย่างมีความสุข
“ดูคุณขวัญมีความสุขมากนะครับ”
“แน่สิ กี่ปีแล้วล่ะที่ไม่ได้ออกมาสัมผัสโลกกว้างแบบนี้ ถ้าครอบครัวฉันไม่...”
เนติมาสลดลงนิดหนึ่งอย่างรู้สึกผิดขึ้นมา ระบิลสะกิดแขนเนติมาเบาๆอย่างเข้าใจ
“เฮ้ย..คุณ ไม่เอาน่า เรื่องมันผ่านไปตั้งนานแล้ว วันนี้วันแห่งรอยยิ้มนะ”
เนติมาหันมายิ้มให้ระบิลอย่างขอบคุณ ขณะที่ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบตักขนมเค้กใส่จานแล้วเดินไปให้ขวัญชนกทันที
“เออ..น้องขวัญครับ”
“อุ๊ย !”
“ไม่ต้องตกใจ พี่เองครับ พี่แค่เอาขนมเค้กมาให้น่ะครับ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มอย่างใจเย็นพลางยื่นจานขนมเค้กให้ ขวัญชนกถอนใจออกมาอย่างโล่งอกหลังตกใจเล็กน้อยก่อนจะรับจานขนมเค้กมา
“เออ..ขอบคุณนะคะ”
“ยินดีครับ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มด้วยความดีใจเพราะรู้สึกชอบขวัญชนก ขณะที่ขวัญชนกก็มองเลยไปทางระบิลที่ยืนอยู่กับเนติมา
“ต้นไม้สวยมากเลยนะคะ คุณระบิลปลูกต้นไม้เก่งจัง”
ขวัญชนกพูดยิ้มๆพลางเดินผ่านผู้กำกับวิเชษฐ์ไปหาระบิลกับเนติมา
ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มเก้อแต่ไม่คิดอะไรมากเดินตามขวัญชนกไปหาระบิลกับเนติมา
ภายในห้องนั่งเล่น เจือจันทร์นั่งมองลูกสาวซึ่งนั่งอยู่ที่สนามด้วยความเป็นห่วง กันต์เลื่อนรถเข็นมานั่งข้างๆ มองตามเจือจันทร์ไป กันต์มองขวัญชนกอย่างมีความสุข
“แน่ใจนะคุณว่า ไม่อยากออกไปนั่งเล่นกับหนุ่มๆสาวๆเขาน่ะ”
“แค่ฉันนั่งมองลูกอยู่ตรงนี้ ฉันก็มีความสุขแล้วล่ะ คุณล่ะคะ”
“ไม่ล่ะ ผมอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณมากกว่า”
กันต์พูดยิ้มอย่างใจเย็นพลางเอื้อมมือมากุมมือเจือจันทร์อย่างอ่อนโยน เจือจันทร์กระชับมือกันต์อย่างเข้าใจความหมาย ก่อนจะถอนใจออกมาด้วยความกังวลไม่ได้
“คุณคะ แต่ฉันยัง…”
“คุณระบิลเขามาสร้างความหวัง กำลังใจให้กับเรา เขากำลังทำให้ทุกอย่างของบ้านที่ไร้ชีวิตชีวานี้เปลี่ยนไป ความทุกข์ของพวกเรากำลังละลายกลายเป็นความสุขอีกครั้ง”
กันต์พูดอย่างอบอุ่นและอยากให้เจือจันทร์รู้สึกมั่นใจ เจือจันทร์ผ่อนลมหายใจออกมาแล้วพยักหน้าอย่างรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง
ระบิล เนติมา ขวัญชนก ผู้กำกับวิเชษฐ์ กำลังนั่งคุยกันอย่างอารมณ์ดีอยู่ในสวน
“ดีจังเลยนะคะ บ้านคุณระบิลมีสวนด้วย”
“น่าไปเที่ยวเหมือนกันนะขวัญ” เนติมาว่า
“ไปวันนี้เดี๋ยวนี้เลยก็ยังได้นะครับ ค้างสักคืนพรุ่งนี้ค่อยกลับ สนมั๊ยครับคุณขวัญ”
ระบิลยิ้มลุกขึ้นอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ขวัญชนกยิ้มเจื่อน
“เออ..เอาไว้วันหลังดีกว่านะคะ วันนี้ฉันยังไม่พร้อม”
“โธ่เอ๊ย..นึกว่าจะหลงกลให้พาออกไปเที่ยวซะแล้ว”
ระบิลแกล้งบ่นด้วยความเสียดาย เนติมายิ้มพูดกับขวัญชนกอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไร พร้อมเมื่อไหร่แล้วค่อยไปเที่ยวกันเนอะ”
วิเชษฐ์นึกได้แล้วพูดขึ้น
“เออ..ถ่ายรูปกันมั้ย คุณเนติ์กับน้องขวัญคงไม่ได้ถ่ายรูปด้วยกันนานแล้ว ไม่ใช่เหรอครับ”
“เออ..จริงด้วย ถ่ายรูปกันนะขวัญ”
ขวัญชนกยิ้มรับอย่างอารมณ์ดี
“ไอเดียนี้เยี่ยมเลยครับพี่เชษฐ์ งั้นเดี๋ยวผมเป็นตากล้องให้เอง”
ระบิลกำลังลั่นชัตเตอร์ถ่ายรูปให้เนติมากับขวัญชนกที่ยิ้มอย่างมีความสุข
“คุณเนติ์ช่วยทำหน้าให้สวยกว่านี้ได้มั้ยครับ”
“นี่..นายจะถ่ายก็ถ่ายไปเถอะน่า ไม่ต้องมาติหน้าฉันหรอก ทำอย่างกับตัวเองหล่อซะมากมาย”
“หล่อไม่หล่อ สาวๆที่อยู่ใกล้ก็ละลายทุกคนแหละคุณ ระวังเถอะ อยู่ใกล้ๆ ผมจะหัวใจละลายเหมือนสาวคนอื่นนะเจ้านาย ฮะฮ่า”
ระบิลแกล้งทำเสียงหล่อเก็กมาดหล่อ จนเนติมาค้อนด้วยความหมั่นไส้ แต่กลับเรียกรอยยิ้มจากขวัญชนกได้ ผู้กำกับวิเชษฐ์เดินเข้าไปจะคว้ากล้องจากระบิล
“นายนี่ชอบยั่วโมโหคุณเนติ์เขาจริงๆ มานี่แกไปยืนกับสาวๆไป๊ เดี๋ยวฉันถ่ายให้”
“โอ๊ยๆๆ ไม่ต้องครับ พี่เชษฐ์นั่นแหละไปเข้ากล้องกับสาวๆ”
ระบิลดันหลังผู้กำกับวิเชษฐ์ให้ไปยืนข้างๆ ขวัญชนก
“เฮ้ย..แต่”
“เอาน่า พี่ถ่ายก่อน เดี๋ยวผมปิดท้าย”
ระบิลถอยออกมายืนเล็งหามุมเตรียมถ่ายรูป พลางสั่งให้ทุกคนจัดตำแหน่ง
“พี่เชษฐ์ขยับเข้าใกล้ๆคุณขวัญอีกนิดสิครับ นี่..คุณเนติ์ทำหน้าให้สวยกว่านี้หน่อยสิครับ พยายามหน่อยๆ”
“นี่นาย !”
“เอาน่าๆคุณ ผมล้อเล่นน่า อย่าเพิ่งโมโหเดี๋ยวความดันขึ้น คุณขวัญอย่าเกร็งครับ อย่าเกร็ง”
ระบิลสั่งเมื่อเห็นขวัญชนกยืนเกร็งเมื่อผู้กำกับวิเชษฐ์ขยับเข้ามายืนใกล้ๆ
“โอเคนะครับ หนึ่ง..สอง…”
ยังไม่ทันที่ระบิลจะกดชัตเตอร์ สายตาของขวัญชนกก็ชำเลืองไปเห็นอะไรอย่างหนึ่ง ขวัญชนกสะดุ้งด้วยความตกใจกลัว ก่อนขยับไปหลบด้านหลังทันที
“เนติ์ !”
“อะไรขวัญ”
ขวัญชนกชี้ไปทางหน้าประตูบ้าน ทุกคนหันตามไปแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นอิทธิหาญยืนจังก้าอยู่หน้าประตูรั้ว โดยมีปานยืนประกบอยู่ไม่ห่าง
“อิทธิหาญ !”
“คุณพาคุณขวัญเข้าไปข้างในก่อนเถอะครับ” ระบิลบอก
“แต่…”
“ผมรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ พาคุณขวัญเข้าไปก่อนนะครับ”
“ไปขวัญ..ไม่ต้องกลัวนะ”
เนติมาพยักหน้ารับคำก่อนประคองขวัญชนกที่อยู่ในอาการกลัวเข้าไปในบ้าน ผู้กำกับวิเชษฐ์มองตามขวัญชนกไปด้วยความเป็นห่วงก่อนหันไปพูดกับระบิลด้วยสัยงจริงจัง
“จะเอาไงก็บอกนะ พี่พร้อมใช้กฎหมายกับไอ้พวกชอบทำตัวใหญ่คับแผ่นดินนี่อยู่แล้ว”
ระบิลครุ่นคิดมองอิทธิหาญอย่างไม่เกรงกลัว
ภายในห้องนั่งเล่น เนติมาเอื้อมมือไปกุมมือขวัญชนกที่นั่งตัวสั่นด้วยความกลัว เจือจันทร์ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ หันไปพูดกับกันต์ด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
“คุณคะ…”
“ใจเย็นๆก่อนนะคุณ ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าที่เราเคยเจอแล้วล่ะ เราต้องเข้มแข็งให้ลูกดูเป็นตัวอย่างนะ”
กันต์เอื้อมมือไปกุมมือเจือจันทร์พร้อมพูดเบาๆเพราะไม่อยากให้ลูกสาวได้ยิน เจือจันทร์ถอนหายใจเบาๆแล้วพยายามข่มใจ
“ฉันอยากกลับไปที่ห้อง” ขวัญชนกว่า
ขวัญชนกขยับจะลุกขึ้น แต่เนติมารั้งไว้
“อย่านะขวัญ”
“เนติ์...ฉัน”
“ขวัญ..ฟังฉันนะ คนบางประเภท ถ้าเขาเห็นว่าเรากลัว เขาก็จะยิ่งข่ม เพราะเขาสนุกที่เห็นความกลัวของเรา แต่ถ้าเราแสดงความกล้าให้เขาเห็นว่า เราไม่กลัวในสิ่งที่เขาพยายามทำ วันหนึ่งความสนุกที่เขาเคยเล่นกับความกลัวของเรา ก็จะไม่สนุกอีกต่อไป”
“แต่เรากำลังจะเล่นกับความตายนะเนติ์”
ขวัญชนกพูดน้ำตาคลอเบ้า กันต์กับเจือจันทร์ที่มองเนติมาเหมือนอยากฟังคำตอบ เนติมาหันมาพูดกับขวัญชนกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าตายเพราะสู้ก็ยังคุ้มค่ากว่าตายทั้งๆที่ยังไม่ได้สู้ไม่ใช่เหรอขวัญ”
ระบิลกับผู้กำกับวิเชษฐ์ขยับเข้ามายืนที่หน้ารั้วด้านในของตัวบ้าน อิทธิหาญยืนจังก้าอยู่ด้านนอกอย่างไม่กลัวเกรง
“มีธุระอะไร” ระยิลถาม
“เปิดประตู !”
“มีธุระอะไรไม่ทราบ”
อิทธิหาญยิ้มเยาะพลางว่า
“ได้ข่าวว่าเลี้ยงวันเกิดกันไม่ใช่เหรอ ท่าทางสนุกดีนี่ กูจะเข้าไปอวยพรวันเกิดซะหน่อย...เปิดเร็ว”
อิทธิหาญสั่งเฉียบขาด แต่ระบิลหัวเราะชอบใจ
“ออกคำสั่งผิดบ้านแล้วมั้ง ที่นี่บ้านส่วนบุคคล ถ้าอยากให้เปิดประตู โน่น..ไปออกคำสั่งกับลูกน้องแกโน่น เอ๊ะ..แต่จริงๆบ้านนั้นแกก็ไม่มีสิทธิ์นะ เพราะมันก็ไม่ใช่บ้านของแก เอาเป็นว่า ถึงเวลาเมื่อไหร่ คุณเนติ์เขาคงไล่แกเอง”
“มึง !”
อิทธิหาญฉุนขาดขยับหยิบปืนออกมาเล็งไปที่ระบิล ผู้กำกับวิเชษฐ์ก็ชักปืนขึ้นมาเล็งขู่ไปที่อิทธิหาญอย่างรวดเร็วเหมือนกัน ปานรีบชักปืนขึ้นมาเล็งไปที่ผู้กำกับวิเชษฐ์ แต่ต้องชะงักเมื่อระบิลชักปืนออกมาเล็งไปที่ปานอย่างรวดเร็วเช่นกัน ปานส่งสายตามองระบิลด้วยความเจ็บใจ
“แกนี่ชอบทำอะไรโง่ๆต่อหน้ากล้องวงจรปิดนะ” ระบิลว่า
“แกก็รู้ว่า คนอย่างฉันกล้าจับแก แต่ที่ยังไม่จับ เพราะฉันรอให้ทุกอย่างพร้อม แล้วเล่นแกชุดใหญ่เลยดีกว่า” วิเชษฐ์บอก
อิทธิหาญเงยหน้ามองกล้องวงจรปิดสองสามตัวที่ติดอยู่ใกล้ประตูและบริเวณรั้วด้วยความเจ็บใจ ระบิลยิ้มออกมาอย่างได้ใจ
“แค่นี้ขั้วการเมืองที่พ่อแกสนับสนุน คะแนนนิยมก็ตกติดดินอยู่แล้ว ก่อนถึงวันเลือกตั้งลูกชายยังมีแรงมาทำอะไรโง่ๆอีก กู่ไม่กลับจริงจิ๊ง” ระบิลว่า
“วันก่อนแกกับนังเนติมารอดได้ เพราะลูกน้องชุดนั้นของฉันอ่อนหัดไปหน่อย ครั้งหน้ารับรองได้เลย ว่าแกสองคนได้ไปเกิดใหม่แน่” อิทธิหาญขยับเข้าไปพูดกับระบิลอย่างเลือดเย็น
ระบิลยิ้มอย่างอารมณ์ดีไม่มีความรู้สึกเกรงกลัวเลยสักนิด
“ครั้งไหน ฉันก็เห็นลูกน้องแกอ่อนทุกชุด จะเก่งก็แต่คนอ่อนแอกว่าเท่านั้นแหละ”
“มึง !”
อิทธิหาญฉุนขาดแต่ต้องชะงักเมื่อมองขึ้นไปที่กล้องวงจรปิดอีกครั้ง
“กูไม่เอาพวกมึงไว้แน่”
อิทธิหาญเก็บปืนด้วยความหงุดหงิด ก่อนเดินกลับไปที่บ้านอิสราวัชร ปานเก็บปืนก่อนเข้าไปพูดกับระบิลด้วยความไม่สบายใจ
“รู้ตัวมั้ยว่า แกกำลังราดน้ำมันบนกองไฟ”
ระบิลยืนนิ่งไม่ตอบอะไร ปานถอนใจออกมาด้วยความหนักใจก่อนเดินตามอิทธิหาญไป ผู้กำกับวิเชษฐ์มองด้วยความสงสัย ก่อนตัดสินใจถามระบิล
“มันพูดเหมือนคุ้นเคยกับนายดีงั้นแหละ”
ระบิลครุ่นคิดอะไรอยู่นิดหนึ่งก่อนหันมามองผู้กำกับวิเชษฐ์แล้วถอนใจออกมา
ระบิลกับผู้กำกับวิเชษฐ์เดินคุยมาในบริเวณทางเดินภายในบ้าน
“โลกกลมจริงๆ”
“ผมมีลางสังหรณ์ว่า พี่ปานน่าจะรู้เบาะแสการหายไปของพี่ก้องบ้าง แต่พี่ปานยังไม่ให้ความร่วมมือ”
“นายจะให้ฉันออกหมายเรียกมันมาสอบสวนมั้ยล่ะ”
“อย่าเลยครับพี่ แค่นี้ผมกับพี่ปานก็มองหน้าแทบไม่ติดอยู่แล้ว อย่าให้กฎหมายมาทำให้มิตรภาพมันร้าวไปกว่านี้เลยครับ แต่เรื่องพี่ก้องยังไงผมก็ต้องทราบให้ได้ว่าพี่ก้องยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า”
ระบิลสลดลงนิดหนึ่งเมื่อพูดถึงพี่ชายของตัวเอง ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“เออ..ผมว่าเราเข้าไปดูข้างในดีกว่านะครับ ไม่รู้ป่านนี้คุณขวัญจะเป็นไงบ้าง”
ภายในห้องนั่งเล่น เนติมาเดินเข้าไปพูดกับระบิลและผู้กำกับวิเชษฐ์
“อาจันทร์พาขึ้นไปพักข้างบนแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วงนะฉันปลอบจนหายกลัวแล้วล่ะ”
“เฮ้อ..ค่อยยังชั่ว นึกว่าต้องไปเริ่มต้นกันใหม่หมดซะแล้ว” วิเชษฐ์ว่า
“ใช่พี่ ผมนึกว่าคุณขวัญจะขวัญกระเจิงหมดแล้ว ... คุณนี่ก็ให้กำลังใจคนเก่งเหมือนกันนะครับ”
ระบิลชม เนติมายิ้มอย่างอารมณ์ดี
“คงเพราะผ่านความทุกข์มาเยอะมั้ง อีกอย่างนายก็คอยให้กำลังใจฉันเสมอๆนี่นา ฉันก็ต้องปันให้คนอื่นเขาบ้าง แบ่งๆกันไป เออ..แล้วเมื่อกี้นายอิทธิหาญนั่นมาหาเรื่องอะไรเหรอ”
“หมาแวะมาเห่าน่ะคุณ คนพาลมันก็จ้องหาเรื่องไปเรื่อย” ระบิลว่า
“แต่อย่าประมาทนะ ไอ้นี่มันบ้าแล้วก็โหดเกินคาดเดา ขนาดพ่อมันยังห้ามไม่ค่อยอยู่เลย” วิเชษฐ์เตือนด้วยความกังวล
เนติมานิ่งคิดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วพูดอย่างไม่เกรงกลัว
“อีกไม่นานมันก็จะไม่มีสิทธิ์ทำอะไรกับใครอย่างนั้นอีกแล้ว ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ใหญ่มาจากไหนแต่ถ้าทำชั่วไว้ก็ต้องรับโทษเหมือนกัน”
เนติมาพูดอย่างมุ่งมั่นที่จะเรียกความยุติธรรมให้กลับคืนมา
ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เสียงของผู้ประกาศข่าวดังแทรกเข้ามา
“การนับคะแนนเลือกตั้งทั่วไปเริ่มขึ้นได้สักพักแล้วนะคะ คะแนนของพรรคสยามพัฒนา ที่มีคุณศิวัช กิตติธร เป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ก็ออกสตาร์ทโกยคะแนนทิ้งคู่แข่งรายอื่นๆเลยนะคะ”
ภายในห้องประชุมพรรคสยามพัฒนา เวลากลางคืน บนจอโทรทัศน์ ผู้ประกาศข่าวกำลังรายงานผลนับคะแนนเลือกตั้ง
“ตอนนี้คะแนนจากส่วนภูมิภาคเริ่มทยอยเข้ามาแล้วนะคะ และแทบจะทุกพื้นที่ พรรคสยามพัฒนาก็ยังมีคะแนนนำค่ะ”
ธำรงหันไปยิ้มกับนายพลทวียิ้มอย่างมั่นใจ
เนติมากับศิวัชซึ่งนั่งอยู่คู่กันหันมายิ้มให้กันอย่างมีความสุข ศิวัชเอื้อมมือไปกุมมือเนติมาแน่น ขณะที่ปฏิพรที่นั่งอยู่อีกข้างหันมามองด้วยความหงุดหงิด ระบิลนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่อีกมุมพลางชูนิ้วโป้งให้ศิวัชเป็นเชิงแสดงความยินดี
ภายในบ้านกันต์ ขวัญชนก กันต์ เจือจันทร์ นั่งดูโทรทัศน์รายงานผลการเลือกตั้งด้วยสีหน้าดีใจ
“ความยุติธรรมกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว”
“ความสุข…”
ขวัญชนกพูดอย่างมีความหวัง กันต์เอื้อมมือไปลูบผมลูกสาวด้วยความรัก
“ใช่ลูก..ความสุขที่เรารอคอยมานาน..นานเหลือเกิน”
กันต์พูดด้วยรอยยิ้มก่อนหันไปเห็นเจือจันทร์นั่งน้ำตาไหลด้วยความดีใจอยู่ข้างๆ กันต์เอื้อมมือไปกุมมือเจือจันทร์อย่างให้กำลังใจและเข้าใจความรู้สึก เจือจันทร์พยักหน้ารับรู้กระชับมือตอบ
ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกเข้ากอดกันแน่นด้วยความหวังที่จะได้รับความยุติธรรมและความสุขคืนมา
ภายในบ้าน พงษ์เลิศ อิทธิหาญ ชลกรกำลังดูรายงานผลการเลือกตั้งด้วยสีหน้าเครียด อิทธิหาญทนไม่ไหวจึงหยิบรีโมทขึ้นมากดปิดโทรทัศน์ด้วยความหงุดหงิด
“อ้าว..ปิดทำไมล่ะลูก”
“โธ่..แล้วจะดูให้มันหงุดหงิดทำไมครับ เห็นๆอยู่ว่าแพ้ยุ่ยขนาดนี้ ผมบอกแล้วให้เป่ามันให้ดิ้นก็สิ้นเรื่องไปตั้งนานแล้ว แล้วคราวนี้เอาไง โดนมันเช็กบิลย้อนหลังแน่ๆ”
“ใจเย็นๆก่อนนะคะ เรายังมีทางเจรจา คุณพ่อคุณท่านคิดไว้แล้ว”
ชลกรพยายามอธิบาย แต่อิทธิหาญไม่ฟัง
“เงียบไปเลย คนอย่างเธอจะรู้อะไร นอกจากใช้ของเก่าแลกผลประโยชน์”
“อิทธิหาญ !” พงษ์เลิศปรามเสียงแข็ง
ชลกรถอนใจด้วยความเซ็ง อิทธิหาญปัดของบนโต๊ะใกล้มืออย่างหงุดหงิด
“คนที่นี่มันโง่ มันไม่รู้ซะแล้วว่าควรจะซุกอยู่ใต้ปีกนกหรือใต้กรงเล็บเสือ ในเมื่อมันเลือกซุกใต้ปีกนก คอยดู..เสืออย่างกูจะอาละวาดให้ราบทั้งป่า”
อิทธิหาญพูดด้วยความโมโห ก่อนลุกพรวดออกจากห้องไปทันที พงษ์เลิศถอนใจแล้วมองตามอย่างระอา ก่อนหันไปพูดกับชลกรอย่างเหนื่อยใจ
“ชลกร”
“คะ”
“สองวันนี้ฉันไม่ให้สัมภาษณ์ใครทั้งนั้นนะ”
โถงกลางห้องพักคอนโดฯ ดลกับอนงค์กำลังดูรายงานผลการเลือกตั้งจากโทรทัศน์ด้วยรอยยิ้ม
“ผ่านเวลามาถึงตอนนี้ การนับคะแนนในหลายจังหวัดเสร็จสิ้นลงแล้วนะคะ รอเพียงการยืนยันจากหน่วยงานรับผิดชอบเท่านั้น”
อนงค์หันไปยิ้มกับดลด้วยความตื่นเต้น
“เย้..พี่ดล..พี่เนติ์ชนะแล้ว”
“ความยุติธรรมจะกลับมามีพลังอีกครั้งแล้ว”
ดลพูดอย่างมั่นใจ อนงค์คิดอะไรอยู่นิดหนึ่งก่อนพูดขึ้นมา
“เอ..ถ้าอีกหน่อยพี่เนติ์เขาดังขึ้นมา เราจะเข้าถึงตัวเขายากขึ้นรึเปล่าจ๊ะพี่ดล”
ดลชะงักคิดตามที่อนงค์พูดอยู่นิดหนึ่ง ก่อนรู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที
นักข่าวหลายคนกำลังรุมล้อมอยู่หน้าทางเข้าอาคารที่ทำการพรรคสยามพัฒนา ดลกับอนงค์เดินมาเห็นก็ตื่นตาตื่นใจ
“โห..นักข่าวเยอะแยะเลยอ่ะพี่ดล”
“ใช่สิ..ข่าวนี้ดังไปทั่วโลกนี่”
“อ้อว่าพี่เนติ์อยู่ในนั้นแน่ เข้าไปหากันมั้ยจ๊ะ”
อนงค์ชักชวน ดลพยักหน้ารับคำ แต่เมื่อทั้งสองคนจะเดินเข้าไปยังตัวตึกก็ต้องชะงัก เพราะโดน รปภ.กั้นไว้
“เดี๋ยวน้อง วันนี้ต้องมีบัตรเชิญนะ ไม่งั้นเข้าไม่ได้”
ดลกับอนงค์หันมามองหน้ากันอย่างเจื่อนๆ
“เห็นมั๊ยพี่ดล อ้อว่าแล้วเชียว”
ดลสีหน้าไม่สบายใจนักเพราะอยากเจอเนติมา ดลถอนใจออกมาอย่างเซ็งๆ
“ไม่เป็นไร วันหลังเราค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน”
อนงค์พยักหน้ารับคำ เอื้อมมือไปจับมือดลและมองหน้า ดลยิ้มให้อย่างขอบคุณก่อนทั้งสองคนจะเดินกลับออกไป
โดยไม่ทันสังเกตรถของเนติมาที่วิ่งสวนเข้ามา
ภายในห้องห้องแถลงข่าว เนติมาเดินถือช่อดอกไม้ช่อโตฝ่ากลุ่มนักข่าวเข้ามา โดยมีระบิลตามประกบมาติดๆ
“รถไม่น่าติดเลย ดูสิมาสายจนได้”
“ไม่เป็นไรคุณยังทัน คราวนี้กล้าๆส่งดอกไม้ต่อหน้าสื่อเลยนะคุณไม่ต้องอาย เชื่อโค้ชแล้วจะรุ่ง”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี เนติมาหันมายิ้มแล้วค้อนระบิลอย่างขำๆ
“ฉันไม่ใช่เด็กๆนะ สอนมาตั้งแต่ในรถแล้ว ฉันจำได้หรอกน่า”
เนติมาเดินฝ่ากลุ่มนักข่าวจนใกล้ถึง ศิวัชให้สัมภาษณ์เสร็จพอดี ศิวัชลุกขึ้นจากเก้าอี้ยกมือไหว้ขอบคุณผู้สื่อข่าวที่รุมล้อมบันทึกภาพกันหลายคน เนติมายิ้มอย่างมีความสุข กระชับช่อดอกไม้ในมือแน่น ก่อนจะขยับเดินเข้าไปหาระบิลที่กำลังจะผละออกจากกลุ่มนักข่าวพอดี แต่เนติมาต้องชะงักเมื่อปฏิพรถือช่อดอกไม้เข้ามามอบให้ศิวัชด้วยรอยยิ้ม
ศิวัชยิ้มรับช่อดอกไม้จากปฏิพร ก่อนทั้งสองคนจะยืนคู่กันให้นักข่าวบันทึกภาพ ปฏิพรชำเลืองสายตามาเห็นเนติมาที่ยืนอยู่หลังนักข่าวพอดี ปฏิพรรีบขยับเข้าไปเบียดศิวัชทำท่าทางออดอ้อนเหมือนตนเป็นแฟนตัวจริงอย่างแนบเนียน เนติมามองภาพตรงหน้าด้วยความเสียใจจนพูดไม่ออก ระบิลรีบสะกิดเตือนทันที
“เข้าไปสิคุณ คุณศิวัชเขาจะได้รู้ ยืนอยู่อย่างนี้เขาไม่เห็นคุณหรอกนะ”
เนติมายังยืนนิ่งไม่สนใจที่ระบิลพูด ระบิลพูดย้ำอีกครั้ง
“คุณ…”
เนติมาหันหลังกลับแล้วเดินออกไปทันที ระบิลถอนใจด้วยความเซ็งแล้วรีบตามออกไป
“อ้าว..คุณ เดี๋ยวสิ เราไม่ได้ตกลงกันแบบนี้นี่ คุณ !”
ปฏิพรเห็นเนติมาออกไปแล้วก็อดยิ้มออกมาอย่างชอบใจไม่ได้ ก่อนหันไปโพสท่าถ่ายรูปคู่กับศิวัชต่อไปอย่างมีความสุข
ทะเลกว้างสุดสายตา เนติมานั่งเหม่อมองไปยังวิวทะเลก่อนถอนใจและหันไปพูดกับระบิลที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ค่อยยังชั่วหน่อย ขอบคุณนายมากนะที่อุตส่าห์พาฉันมาที่นี่ ขืนฉันยังทนอยู่ที่พรรคมีหวังฉันอึดอัดตายแน่ๆ”
“ก็ผมบอกคุณแล้ว ว่า…”
“แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่อยากให้ให้พี่ศิวัชลำบากใจ นายเข้าใจฉันใช่มั้ย”
ระบิลพยักหน้ายิ้มมองเนติมาอย่างเข้าใจ
“เฮ้อ..ไหนๆก็เอาความทุกข์มาทิ้งทะเลแล้ว ผมว่าเราหยุดพูดเรื่องนี้กันดีกว่านะ”
“นั่นสิ..กลับไปค่อยว่ากันใหม่”
เนติมาสูดหายใจลึกแล้วพูดต่อ
“เฮ้อ..ที่นี่อากาศดีจัง นายเก่งเนอะรู้จักที่สวยๆสงบๆแถมโรแมนติกแบบนี้ด้วย นายมาที่นี่บ่อยเหรอ”
เนติมายิ้มถามด้วยความอยากรู้ ระบิลมองไปรอบๆบริเวณร้านกาแฟน่ารักแสนสงบด้วยความคิดถึงคนรักเก่า
“เมื่อก่อนบ่อยครับ...บ่อยมาก”
ระบิลมองไปที่โต๊ะริมทะเลอีกตัวที่อยู่ใกล้ๆ อดคิดถึงอดีตของตัวเองขึ้นมาไม่ได้
โต๊ะอีกมุมในร้านกาแฟริมทะเลเดียวกัน ระบิลเอื้อมมือไปจับมือเอมมิกาขึ้นมากุมด้วยความรัก ทั้งสองคนสบตากันด้วยความหวานซึ้ง
“มือเอมนุ่มจัง”
“นุ่มเหมือนอะไรอีกล่ะคะ”
เอมมิกายิ้มถามอย่างรู้ทัน ระบิลยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดีแล้วยกมือคนรักขึ้นหอม
“นุ่มเหมือนก้นลิง แต่หอมเหมือนก้นเด็ก”
เอมมิกาหัวเราะอย่างอายๆ พลางตีมือระบิลเบาๆ
“บ้า..พูดอย่างกับเคยไปดมมา”
“ไม่เคยแต่อยากดม ดมก้นลูกตัวเอง แต่งงานกันเมื่อไหร่ดีน้า พี่อยากอุ้มลูกของเราใจจะขาดแล้ว”
“แล้วเมื่อไหร่จะมาขอล่ะคะ”
เอมมิกาพูดหยอก ระบิลยิ้มหน้าเป็น
“อืม..จะจุดธูปเชิญพ่อกับแม่มาขอก็กลัวจะวิ่งป่าราบกันหมด งั้นรอให้พี่ก้องว่าง จะให้พี่ก้องเป็นเถ้าแก่ไปขอนะคะ”
“เมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ เอมรอพี่ก้องอยู่แล้ว”
เอมมิกาพูดอย่างอารมณ์ดี ระบิลยิ้มดึงมือเอมมิกาขึ้นมาหอมอย่างมีความสุข
เอมมิกานิ่วหน้ามองระบิลด้วยความสงสัย
“นายเป็นอะไรของนายอ่ะ”
ระบิลอมยิ้มอย่างมีความสุข
“อ้าว..เราก็เป็นแฟนกันไงคะ”
“อะไรนะ ใครเป็นแฟนนาย”
ระบิลสะดุ้งเฮือกมองเห็นเนติมานั่งจ้องหน้า เนติมาเอื้อมมือไปแตะหน้าผากระบิลด้วยความสงสัย
“นายไม่สบายรึเปล่าเนี่ย ฉันเรียกนายตั้งหลายทีแล้ว แต่นายมองอะไรโต๊ะโน้นอยู่ แล้วเมื่อกี้พูดอะไร..ใครแฟนใคร”
ระบิลรีบกลบเกลื่อน
“เออ..ไม่มีอะไรหรอกน่าคุณ ผมก็พูดเรื่อยเปื่อยไปงั้นแหละ”
เนติมาอมยิ้มมองระบิลอย่างจับผิด
“นายคิดถึงแฟนเหรอ แฟนนายเป็นใครน่ะพามารู้จักกันบ้างสิ”
“แฟนที่ไหน ไม่มีหรอกคุณ...คิดเงินครับ”
ระบิลเรียกพนักงานเก็บเงินเพื่อตัดบททันที
ตรงบริเวณริมทะเลใกล้กับร้านกาแฟ เนติมาเดินตามระบิลมาติดๆ
“อะไรเนี่ย ถามเรื่องแฟนแค่นี้ถึงกับเดินหนีกันเลยเหรอ แหม..ทำเป็นดาราไปได้”
“ก็มันไม่มี คุณจะให้ผมไปเสกมาจากไหนล่ะครับ นี่..ถามมากเดี๋ยววันหลังไม่พามาแล้วนะ”
“โห..มีขู่ด้วย นายไม่พามา ฉันก็มากับพี่ศิวัชก็ได้ย่ะ”
เนติมายิ้มลอยหน้าลอยตาพูดอย่างไม่ง้อ จังหวะเดียวกันมือถือของเนติมาก็ดังขึ้น เนติมาดูเบอร์แล้วรีบรับสายทันที
“ค่ะพี่ศิวัช”
ศิวัชในชุดคลุมอาบน้ำกำลังเดินคุยโทรศัพท์ด้วยความเป็นห่วง
“เนติ์อยู่ไหนคะ ทำไมวันนี้ไม่เห็นเนติ์ที่พรรคเลย”
“เออ..พอดีเนติ์เจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะพี่ศิวัช”
“ไม่เป็นไรจ้ะเนติ์ พี่เห็นเนติ์เงียบไปเลยเป็นห่วงน่ะ แล้วตอนนี้เนติ์อยู่ที่ไหนเหรอจ๊ะ”
เนติมามองออกไปที่ทะเล พูดยิ้มๆให้ศิวัชอย่างสบายใจ
“เนติ์อยู่ทะเลน่ะค่ะ ... เนติ์แค่มาทานข้าว เดี๋ยวเนติ์ก็กลับแล้วล่ะค่ะ คุณระบิลเขามาด้วยพี่ศิวัชไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ แล้ว..นี่พี่ศิวัชทำอะไรอยู่เหรอคะ” ศิวัชยิ้มพูดอย่างอบอุ่น
“พี่อยู่ที่บ้านแล้วจ้ะเนติ์ นี่ว่าจะว่ายน้ำซะหน่อย ไม่ได้ออกกำลังกายนานแล้ว งั้นถึงบ้านแล้วเนติ์โทรบอกพี่หน่อยนะจ๊ะ พี่รักเนติ์นะ”
ศิวัชยิ้มก่อนกดวางสายแล้วเอาโทรศัพท์วางบนโต๊ะพลางขยับจะถอดชุดคลุมอาบน้ำ แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงปฏิพรดังมาจากด้านหลัง
“พี่ศิวัชคะ”
ศิวัชตกใจเมื่อเห็นปฏิพรในชุดคลุมอาบน้ำเดินรี่เข้ามาหา
“น้องตี้ ! น้องตี้กลับไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“กำลังจะสตาร์ทรถพอดีเลยค่ะ แต่คุณอาธำรงบอกว่า พี่ศิวัชจะมาว่ายน้ำ พอดีตี้ติดชุดว่ายน้ำมาเหมือนกัน ตี้ก็เลย ... ขอว่ายด้วยคนนะคะพี่ศิวัชW
ปฏิพรยิ้มทำหน้าใสซื่อ ศิวัชพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยิ้มเจื่อนเพื่อรักษามารยาท
ถนนในต่างจังหวัด เวลากลางคืน กำลังขับรถอยู่เห็นเนติมาที่ปรับเบาะเอนนอนอยู่ข้างๆกอดอกด้วยความหนาว จึงเอื้อมมือไปปรับแอร์ ก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบขับรถเข้าจอดข้างทางทันที ระบิลเอื้ยวตัวไปหยิบของที่เบาะหลัง เป็นจังหวะเดียวกับที่เนติมาลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนเพลีย
“จอดทำไม ยังไม่ถึงไม่ใช่เหรอ”
ระบิลหันกลับมาพร้อมกับผ้าผืนหนึ่งพร้อมคลี่ออกห่มให้เนติมาอย่างอ่อนโยน เนติมาอึ้งอย่างยังไม่ทันตั้งตัว
“ผมเห็นคุณหนาวน่ะครับ ก็เลยเอาผ้ามาห่มให้”
ระบิลหันกลับไปขับรถต่อ ขณะที่เนติมาอมยิ้มกระชับผ้าที่ระบิลห่มให้แล้วมองระบิลอย่างขอบคุณ
“ขอบคุณนายมากนะ”
“คุณพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมปลุก”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดีก่อนขับรถต่อไปอย่างตั้งใจ เนติมามองอย่างรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก พลางยิ้มและหลับตาลงอย่างมีความสุข
วันใหม่ เวลากลางวัน บรรยากาศร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้และแม่น้ำที่สบายตาของสวนสาธารณะ อนงค์กับเพื่อนสาวในชุดพริตตี้น่ารักกำลังยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มน้ำผลไม้แบรนด์ดังเพื่อยืนแจกตัวอย่างให้กับคนที่มาออกกำลังกายและผู้ผ่านไปมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมพูดจาเชิญชวนอย่างคล่องแคล่ว
“ผลิตภัณฑ์ใหม่ น้ำสมุนไพรไทยแท้นะคะ ลองชิมดูก่อนได้นะคะ หอมหวานเย็นชื่นใจ อุดมด้วยวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนะคะ อร่อยมั้ยคะ ถ้าสนใจมีจำหน่ายด้านโน้นเลยนะคะ”
อนงค์แจกตัวอย่างให้คนที่มารุมล้อมด้วยรอยยิ้ม หลายคนขอถ่ายรูป อนงค์ยิ้มหวานโพสท่าด้วยความน่ารัก
ดลนั่งอ่านหนังสือเรียนรออนงค์อยู่ด้วยความตั้งใจ ในเวลาต่อมา อนงค์ในชุดพริตตี้กึ่งวิ่งกึ่งเดินมานั่งข้างๆดลอย่างอารมณ์ดี
“เสร็จแล้ว รอนานมั้ยจ๊ะพี่ดล”
“นาน…” ดลแกล้งพูดเสียงแข็ง
อนงค์ถึงกับหน้าเจื่อนไปทันทีเพราะกลัวโดนดุ ก่อนดลจะยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี
“แต่พี่รอได้ อ่านหนังสือเรียนฆ่าเวลาไปได้ตั้งเยอะ”
อนงค์มองค้อนแล้วบอก
“แหม..แกล้งอ้ออีกแล้วนะ ขยันอย่างเนี้ยมิน่า พ่อถึงรักนักรักหนา เออ..นี่จ้ะพี่ดล”
อนงค์ยื่นเงิน 1,500 บาทให้ดล ดลมองด้วยความแปลกใจ
“เงินอะไรน่ะอ้อ โห..ทำแป๊บเดียวได้ขนาดนี้เลยเหรอ”
อนงค์ยิ้มแล้วบอก
“ก็อ้อบอกแล้วว่าพริตตี้เงินดีจะตาย นี่ขนาดหักค่าโมเดลลิ่งแล้วนะจ๊ะ อ่ะ..อ้อให้พี่ดลเก็บไว้นะจ๊ะ”
ดลมองอนงค์ด้วยความภูมิใจ ก่อนเอาเงินใส่มือคืนให้
“น้ำพักน้ำแรงของอ้อ อ้อก็เก็บเอาไว้ใช้สิจ๊ะ”
“แต่ว่า…”
“เชื่อพี่สิ เก็บไว้ อ้อโตแล้วไม่ต้องให้พี่เก็บหรอก”
“ก็ได้จ้ะ แต่เย็นนี้พี่ดลต้องให้อ้อเลี้ยงข้าวนะจ๊ะ”
“ได้ พี่จะกินให้ท้องแตกเลย”
“งั้นพี่ดลรออ้อแป๊บนะจ๊ะ เดี๋ยวอ้อไปเปลี่ยนชุดก่อน”
ดลพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนอนงค์จะเดินออกไป จังหวะเดียวกันผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆดลซึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ลุกเดินไปโดยวางหนังสือพิมพ์ไว้
ดลหันไปเห็นหนังสือพิมพ์วางอยู่ก็รีบเอื้อมมือไปหยิบแล้วหันไปเรียก
“พี่ครับๆลืม..อ้าว ไปซะแล้ว”
ชายกลางคนไม่ได้ยินกลับขี่จักรยานออกไปทันที ดลถอนใจนิดหนึ่งก่อนนั่งลงแล้วคลี่หนังสือพิมพ์ออกดู ดลมองไปที่พาดหัวข่าวด้วยความสนใจ
“ศิวัช กิตติธร ฟอร์มทีมรัฐบาล พร้อมทำงานเต็มสูบ”
ห้องทำงานของศิวัชภายในพรรคสยามพัฒนาเมื่อเวลากลางวัน เนติมากำลังจัดสูทที่ศิวัชสวมอยู่ให้เข้าที่เข้าทางด้วยความเอาใจใส่
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“เนติ์...”
“คะ...”
ศิวัชพูดพลางเอื้อมมือไปกุมมือเนติมาด้วยความรัก
“พี่บริหารประเทศคนเดียวไม่ได้”
“พี่ศิวัชหมายความว่าไงเหรอคะ”
เนติมาถามด้วยความสงสัย ศิวัชพูดอย่างอารมณ์ดี
“ผู้นำประเทศ ก็ต้องมีสตรีหมายเลขหนึ่งไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
“แต่เนติ์ไม่อยากเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งนี่คะ เนติ์อยากเป็นแค่ผู้หญิงคนเดียวของพี่ศิวัชมากกว่า”
เนติมาพูดเป็นเชิงอ้อน ศิวัชยิ้มลูบผมเนติมาอย่างทนุถนอม
“ชีวิตพี่ก็มีผู้หญิงคนนี้คนเดียวมาตั้งนานแล้วนี่จ๊ะ”
“แล้วคุณปฏิพรล่ะคะเห็นว่ามาช่วยงานที่พรรคแล้วไม่ใช่เหรอ”
เนติมาถามอย่างน้อยใจเล็กน้อย ศิวัชรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันทีจนต้องพูดอ้อนเนติมาทันที
“นั่นคุณพ่อเป็นคนจัดการ...เนติ์อย่าพูดอย่างนี้สิจ๊ะ พี่ไม่สบายใจเลยรู้มั้ย พี่ไม่ได้คิดอะไรกับตี้เกินน้องสาวเลยนะ ทุกอย่างเป็นแค่เกมการเมืองเท่านั้น เนติ์อย่าไปฟังข่าวซุบซิบมากนะ ไม่สบายใจเปล่า”
“แหม..เนติ์แค่ล้อเล่นน่ะค่ะ”
เนติมาถอนหายใจนิดหนึ่งก่อนฝืนยิ้มเพราะไม่อยากให้ศิวัชไม่สบายใจ
“ไม่มีอะไร หรือใครจะเปลี่ยนใจพี่ได้หรอกจ้ะเนติ์ แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดไปเนติ์...”
“คะ”
“พี่ยังไม่ลืมสัญญานะ เราจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุด พี่อยากตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหน้าเนติ์เป็นคนแรกทุกวันๆเลยรู้มั้ย แล้วเนติ์ล่ะจ๊ะ”
ทั้งสองคนสบตาด้วยความรัก เนติมายิ้มด้วยความเขินอาย
“พี่ศิวัชก็รู้อยู่แล้วนี่คะว่าเนติ์จะตอบว่าอะไร”
ศิวัชยิ้มแล้วบอก
“แต่พี่อยากได้ยินอีกนี่จ๊ะ...นะ”
“เนติ์ก็อยากตื่นขึ้นมา เห็นหน้าพี่ศิวัชเป็นคนแรกเหมือนกันนะคะ”
ศิวัชยิ้มด้วยความชื่นใจ ทั้งสองคนสบตากันด้วยความรัก ศิวัชกับเนติมาค่อยๆขยับเข้ามาใกล้กันจนจะจูบกันอยู่แล้ว แต่ต้องชะงักเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนปฏิพรจะเปิดประตูเข้ามา เนติมากับศิวัชรีบผละออกจากกันทันที
“โอ้มายก๊อด..ขอโทษนะคะ ตี้ไม่รู้ว่า เออ...”
ปฏิพรยิ้มเจื่อนทำเป็นไร้เดียงสา เนติมากับศิวัชพยายามทำตัวให้เป็นปกติ
“น้องตี้มีอะไรเหรอครับ”
“นักข่าวมารอแล้วนะคะ ว่าที่ผู้นำประเทศยังไม่ออกไปให้สัมภาษณ์อีกเหรอคะ”
ศิวัชซึ่งขนาบข้างด้วยเนติมากับปฏิพรเดินมาตามทางภายในพรรรคสยามพัฒนา
“พี่เห็นว่ายังไม่ถึงเวลานัดน่ะครับ อีกอย่างเนติ์เขาก็ดูความเรียบร้อยให้เสื้อผ้าพี่อยู่ด้วย”
ศิวัชพูดอย่างสบายๆพลางหันไปยิ้มกับเนติมา ทั้งสองคนเอื้อมมือไปจูงมือกันด้วยความรัก ปฏิพรชำเลืองสายตามองอย่างขัดใจ ก่อนยิ้มอย่างมีแผนแล้วรีบหันไปพูดกับศิวัชทันที
“อุ๊ย ! เดี๋ยวค่ะพี่ศิวัช”
ปฏิพรรีบขยับไปดักหน้า ศิวัชกับเนติมาชะงักมองหน้ากันอย่างงงๆ ขณะที่ปฏิพรเอื้อมมือไปจัดเนคไทที่เรียบร้อยดีอยู่แล้วซะใหม่ พลางขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของศิวัชแล้วพูดเสียงอ้อน
“เนี่ยดูสิ เนคไทยังเบี้ยวอยู่เลยนะคะ”
“เออ...แต่”
“อย่าขยับสิค้า เดี๋ยวยิ่งเบี้ยวไม่รู้ด้วยนะคะ”
ปฏิพรแกล้งขยับเนคไทของศิวัชไปมาไม่ยอมเลิก สีหน้าของศิวัชไม่สบายใจนัก หันไปมองเนติมาที่ฝืนยิ้มอยู่ แต่พอศิวัชหันกลับไปสีหน้าของเนติมาก็สลดลงทันที ปฏิพรชำเลืองมองอาการของเนติมานิดหนึ่ง ก่อนอมยิ้มออกมาด้วยความชอบใจ
บริเวณสนามหญ้าหน้าที่ทำการพรรคสยามพัฒนา ศิวัชกำลังยืนตอบคำถามนักข่าวที่รุมล้อมอยู่ราว 15-20 คนบนโพเดียมด้วยความมั่นใจ โดยมีระบิล เนติมา ปฏิพร และเจ้าหน้าที่พรรคกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างไปนัก
นอกจากนี้ยังมีการ์ดของศิวัชอีก 4 คน เนติมานั่งกลางระหว่างระบิลกับปฏิพรท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ
“ประเทศเราบอบช้ำมามากแล้วลำพังผมคนเดียวคงทำไม่ได้ แต่เราต้องร่วมมือร่วมใจกันพาประเทศของเราให้ขับเคลื่อนให้ทันประเทศอื่นครับ” ศิวัชบอก
“ได้เป็นรัฐบาลแล้ว จะไปฉลองที่ไหนดีคะ” ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถามขึ้น
“การทำงานคือการฉลองที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับผมแล้วครับ เราทุกคนจะฉลองพร้อมกัน หลังจากเราฟื้นฟูประเทศเรียบร้อยแล้ว”
ศิวัชตอบด้วยรอยยิ้มสบายๆ ผู้สื่อข่าวอีกคนถามขึ้นอีก
“ได้คะแนนท่วมท้นขนาดนี้ จะเอาพรรคอื่นร่วมรัฐบาลด้วยรึเปล่าคะ”
ภายในห้องทำงานภายในบริษัทเดินเรือ ธำรงกำลังดูศิวัชที่ให้สัมภาษณ์นักข่าวอยู่ในจอโทรทัศน์
“เรื่องนี้ยังไม่ได้อยู่ในแผนที่วางไว้ครับ”
ธำรงนั่งมองลูกชายให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าพึงพอใจ จังหวะเดียวกันโทรศัพท์ภายในก็ดังขึ้น
ธำรงรับสาย
“มีอะไรครับคุณปิ”
“คุณชลกรมาขอพบค่ะท่าน”
ธำรงได้ฟังแล้วก็ชะงักเล็กน้อยพลางครุ่นคิดในการมาของชลกรอย่างใจเย็น
ชลกรนั่งอยู่ตรงโซฟาในมุมรับแขกภายในห้องทำงานของธำรง พลางยกมือไหว้ธำรงอย่างนอบน้อม ธำรงรับไหว้อย่างเป็นมิตร
“ขอบคุณท่านอีกครั้งนะคะที่อนุญาตให้ดิฉันเข้าพบ”
“ไม่ต้องเรียกท่านให้เป็นทางการหรอกครับ เรียกคุณดีกว่า กันเองดี”
ชลกรยิ้ม
“ค่ะคุณธำรง ขอบคุณนะคะที่ให้เกียรติผู้แพ้อย่างดิฉัน”
ชลกรแสร้งพูดอย่างเจียมตัว ยิ้มอย่างใจเย็น ธำรงรู้เกมของชลกรทุกอย่าง
“ผู้แพ้ที่ไหนครับ ประชาชนเขาแค่อยากลองเลือกพรรคใหม่ๆดูบ้างก็เท่านั้น ว่าแต่คุณชลกรมาหาผมถึงที่นี่คงไม่ใช่แค่มานั่งเล่นใช่มั้ยครับ”
ธำรงพูดพลางยิ้มมองตาชลกรอย่างใจเย็น ชลกรยิ้มสบตาเพื่อโปรยเสน่ห์ทันที ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างเข้าใจความหมาย
ทางด้านพรรคสยามพัฒนา บริเวณสนามหญ้า ศิวัชยืนให้สื่อมวลชนถ่ายภาพด้วยรอยยิ้ม แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปรัวถี่ยิบ พร้อมเสียงปรบมือจากผู้คน ระบิล เนติมา ยืนปรบมือมองศิวัชด้วยรอยยิ้ม
“กระแสตอบรับดีมากเลยนะครับ” ระบิลว่า
“พี่ศิวัชจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ฉันรู้จักเขาดี เขาทำได้”
“ส่วนหนึ่งก็เพราะได้กำลังใจที่ดีอย่างคุณด้วยล่ะครับ”
เนติมาหันมายิ้มให้ระบิลอย่างมีความสุข ระบิลหันขวับไปเก้าอี้ข้างๆก็ต้องตกใจ เพราะไร้เงาของปฏิพร
“อ้าว..เฮ้ย”
“อะไร”
“ก็คุณปฏิพรน่ะสิ หายไปไหนแล้ว”
ระบิลจะมองเลยไปเห็นปฏิพรรี่เข้าไปหาศิวัชอย่างรู้งาน
“คุณ..ดูนั่น !”
ระบิลรีบสะกิดให้เนติมามองตามไป ปฏิพรรี่เข้าไปถึงตัวศิวัชพร้อมกับถ่ายรูปคู่กันอย่างสนิทสนม
เนติมามองด้วยความเสียใจ
“นี่..ผมว่าคุณออกไปถ่ายรูปกับคุณศิวัชดีกว่านะครับ”
“ไม่ล่ะ คนจะมองว่าฉันขโมยซีนคุณปฏิพรเขาเปล่าๆ”
“ขโมยที่ไหน นั่นน่ะแฟนคุณนะ คนที่ขโมยน่ะโน่น โธ่..คุณ บอกกี่ครั้งแล้ว ว่าของอย่างนี้บางครั้งต้องแสดงความเป็นเจ้าของบ้างนะคุณ”
“อีกแล้ว ยุฉันอีกแล้ว ก็ฉันบอกแล้วไงว่า ฉันไม่อยากให้พี่ศิวัชลำบากใจ อีกอย่าง...”
ยังไม่ทันที่เนติมาจะพูดอะไรต่อ ระเบิดที่ซุกซ่อนอยู่ในกระถางต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งวางอยู่ใกล้โพเดียมก็ระเบิดขึ้น นักข่าวและผู้คนแถวนั้น บางคนกระเด็น บางคนวิ่งหนี บางคนหมอบกับพื้นด้วยความตกใจ ศิวัชกับปฏิพรเสียหลักล้มลง
“โอ๊ย ! / ว้าย !”
ระบิลโผเข้ารวบตัวเนติมาให้นอนกับพื้นโดยเอาตัวเองเข้าบัง
“ระวัง !”
เนติมาตั้งสติได้รีบหันไปมองศิวัช เห็นบอดี้การ์ดของศิวัชสองคนเข้าไปประคองทั้งศิวัชและปฏิพรอย่างทุลักทุเล
“พี่ศิวัช !”
เนติมาผลักระบิลออก ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อปรี่ไปหาศิวัชด้วยความเป็นห่วง จังหวะนั้น ระเบิดที่ซุกซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ๆระบิลกับเนติมาก็ระเบิดขึ้นมาอีกลูก
“คุณเดี๋ยว !”
ระบิลพุ่งเข้าไปรวบตัวเนติมาให้หมอบลงกับพื้นพร้อมโอบเอาร่างของตัวเองกันเนติมาไว้แน่น
ทางด้านธำรง …ชลกรขยับเข้ามานั่งใกล้ๆธำรงพลางพูดหยอดคำหวานหว่านเสน่ห์
“ทางเราแค่อยากเป็นฟันเฟืองเล็กๆที่จะช่วยทำงานเพื่อประเทศเท่านั้น”
“น่าสนใจนะครับ ความจริงกลุ่มของคุณก็มีคนมีฝีมือหลายคน แต่อย่างที่บอก ผมคงต้องไปหารือกรรมการพรรคก่อน ผมมันแค่ที่ปรึกษาเท่านั้น”
ธำรงพูดอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ชลกรยิ้มอย่างรู้ทัน
“แต่หางเสือของพรรคก็หันตามคำสั่งที่ปรึกษาคนนี้ไม่ใช่เหรอคะ”
ชลกรพูดเสียงอ้อนพลางขยับมือไปแตะมือของธำรงอย่างมีนัย ธำรงชำเลืองมองที่มือแล้วยิ้มออกมาอย่างใจเย็น จังหวะเดียวกันโทรศัพท์มือถือของทั้งสองคนก็ดังขึ้นเกือบพร้อมๆกัน ทั้งคู่ต่างชะงักไป ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดรับสาย
“สวัสดีค่ะ" / "สวัสดีครับ”
ธำรงกับชลกรนิ่งฟังปลายสายครู่หนึ่งก็หันมามองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
โปรดติดตาม "หงส์สะบัดลาย" ตอนต่อไป