หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 6
บริเวณสนามหญ้าหน้าที่ทำการพรรคสยามพัฒนา ศิวัชซึ่งอยู่ในการดูแลความปลอดภัยของบอดี้การ์ด มองไปรอบๆ เห็นคนที่มาร่วมงานนอนจมกองเลือดอยู่สามสี่ราย ส่วนคนอื่นๆ พอตั้งหลักได้ก็วิ่งเอาตัวรอดกันอลหม่าน
ศิวัชค่อยๆ ตั้งสติได้รีบเข้าไปประคองปฏิพรที่ยังรู้สึกตะลึงงันกับเรื่องที่เกิดขึ้น ปฏิพรร้องไห้โผเข้ากอดศิวัชแน่น
“น้องตี้เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“พี่ศิวัช”
ศิวัชรีบหันไปอีกทางเห็นเนติมาพยายามขยับร่างออกจากระบิลที่นอนคว่ำหน้าทับอยู่ ศิวัชรีบส่งปฏิพรให้บอดี้การ์ดคนหนึ่งทันที แล้ววิ่งไปหาเนติมา
“เนติ์ ! … ฝากคุณปฏิพรด้วย”
“พี่ศิวัช..พี่ศิวัชจะไปไหนคะ”
ศิวัชวิ่งมาจับมือเนติมาด้วยความเป็นห่วง
“เนติ์..เนติ์เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ”
“ไม่เป็นอะไรค่ะ แต่คุณระบิลสิคะ...โอ๊ย..ลุกได้แล้วฉันหนักนะ”
เนติมาพยายามดันระบิลออกแต่ไม่สามารถทำได้ ศิวัชรีบเข้าไปช่วยเนติมา
“คุณระบิล..คุณระบิลครับ”
ศิวัชพยายามเรียกพลางเอื้อมไปพลิกตัวของระบิล
เนติมากับศิวัชตกใจเมื่อเห็นระบิลหมดสติ มีเลือดไหลออกมาจากศีรษะ
“คุณระบิล !”
เนติมาตะลึงด้วยความตกใจกับภาพตรงหน้าเป็นอย่างมาก
ภายในห้องพักคนไข้พิเศษในเวลาต่อมา เนติมานั่งมองระบิลซึ่งมีผ้าพันแผลบนศีรษะนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความเป็นห่วง
ศิวัชเปิดประตูเดินเข้ามายืนข้างๆเนติมา เนติมาหันไปมองศิวัชด้วยความไม่สบายใจนัก
“คุณตี้เป็นยังไงบ้างคะ”
“แค่ช็อกไปน่ะ คุณหมอให้พักอีกนิดก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ”
เนติมาพยักหน้ารับรู้อย่างเศร้าๆ ในใจยังรู้สึกผิดอยู่
“เขาเจ็บเพราะเนติ์แท้ๆเลย”
“เขาทำตามหน้าที่น่ะเนติ์ แต่ก็โชคดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก”
ศิวัชเอื้อมมือไปโอบไหล่เนติมาอย่างเข้าใจ
“พี่เป็นห่วงเนติ์แทบแย่ กลัวว่าเนติ์จะเป็นอะไรไป”
“เนติ์ก็เป็นห่วงพี่ศิวัชนะคะ ไม่น่าเชื่อว่าผลประโยชน์ในการเมือง จะมากถึงขนาดเอาชีวิตกันได้” เนติมาพูดพลางถอนใจ
“เนติ์...”
เนติมาคิดอะไรอยู่นิดหนึ่ง ก่อนฉายสายตาที่มุ่งมั่นงออกมา
“แต่พี่ศิวัชไม่ต้องห่วงเนติ์นะคะ ทำงานให้เต็มที่เรามาถึงขั้นนี้แล้ว เราต้องมองข้ามความกลัวให้ได้นะคะ”
ศิวัชสบตากับเนติมาอย่างเข้าใจกันก่อนดึงเนติมาเข้ามากอด สองคนชะงักเมื่อได้ยินเสียงระบิลกระแอมขึ้นมา เนติมากับศิวัชหันไปเห็นระบิลนอนยิ้มอยู่บนเตียง
“คุณระบิล !”
“นายเป็นไงบ้าง !”
“สบายมากคุณ ป่วยนานได้ที่ไหน เดี๋ยวคุณก็หักเงินเดือนเฉือนเบี้ยเลี้ยงผมน่ะสิ”
ระบิลพูดด้วยสีหน้าที่ยังอ่อนเพลียอยู่บ้าง เนติมาค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้ ก่อนหันไปพูดกับศิวัช
“นี่..ฉันไม่โหดร้ายขนาดนั้นหรอกน่า...ปากเสียได้ขนาดนี้ ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะพี่ศิวัช” เนติมาบอก
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว... โชคดีนะครับ ที่สะเก็ดแค่เฉียดไป ส่วนแผลอื่นๆก็แค่เศษหินเท่านั้นเอง”
“ไม่ต้องห่วงครับ หน้าที่อย่างผม ห้ามเจ็บ..ห้ามป่วย..ห้ามลา..ห้ามตาย ไปครับ กลับบ้านกัน”
“อะไรนะ นี่นาย...”
“เรามีอะไรทำอีกตั้งเยอะนะคุณ อีกอย่างผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“แต่ผมว่าน่าจะนอนพักอีกสักวันนะครับ” ศิวัชบอก
“แผลพวกนี้ไกลหัวใจครับ”
ระบิลพูดอย่างไม่คิดมาก ก่อนเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะหัวเตียงกดโทรออก
“สวัสดีครับคุณพยาบาล”
เนติมากับศิวัชมองหน้ากันด้วยความเป็นห่วงระบิล แต่เนติมาจะอดหงุดหงิดในความรั้นของระบิลไม่ได้
ภายในห้องนั่งเล่น บ้านกันต์เวลาต่อมา ระบิลทรุดตัวลงนั่งพลางยิ้มให้กันต์กับเจือจันทร์ที่มองมาอย่างเป็นห่วง
“ทำไมไม่นอนที่โรงพยาบาลให้หายดีก่อนล่ะคุณระบิล” กันต์ถาม
“ทุกคนก็ถามอย่างนี้แหละค่ะ แต่คนเจ็บดื้อขนาดหมอยังรั้งไม่อยู่ ทีฉันไม่สบายฉันยังเชื่อนายเลย”
เนติมาพูดพลางค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้ ระบิลลอยหน้าลอยตาพูดอย่างอารมณ์ดี
“โธ่..นั่นมันคุณ นี่มันผม อีกอย่างแผลก็อยู่ที่ผมไม่ได้อยู่ที่หมอนี่ครับ เพราะฉะนั้น ไหวหรือไม่ไหวผมรู้น่า”
“เห็นมั้ยคะ อวดเก่งที่สุด...”
เนติมาพูดอย่างหัวเสีย จังหวะนั้น ขวัญชนกเดินเข้ามายืนมองระบิลด้วยความเป็นห่วง ระบิลหันไปยิ้มให้ขวัญชนก
“อ้าว..คุณขวัญ ลงมาเดินเล่นเหรอครับ”
“คุณระบิลเจ็บมากมั้ยคะ” ขวัญชนกถาม
“ไกลหัวใจครับ เรื่องบาดเจ็บล้มตายมันวนเวียนอยู่กับอาชีพผมอยู่แล้ว เหมือนหมองูน่ะครับ ถ้าโชคร้ายก็โดนงูกัดตาย”
ระบิลพูดอย่างเข้าใจชีวิตยิ่งทำให้ขวัญชนกรู้สึกสงสารระบิลมากขึ้น เจือจันทร์ถอนหายใจ
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกไหนเป็นคนทำ” เจือจันทร์หันไปพูดกับกันต์
“นี่มันชักถี่มากขึ้นแล้วนะคุณ คราวก่อนหนูเนติ์ก็โดนไล่ยิง นี่ถ้าเมื่อไหร่มันคิดจะทำอะไรกับบ้านหลังนี้ ก็คง...”
เจือจันทร์พูดด้วยความไม่สบายใจ ขวัญชนกรู้สึกกลัวขึ้นมาเอื้อมมือไปกุมมือเจือจันทร์ กันต์เอื้อมมือไปจับมือภรรยาและลูกสาวอย่างปลอบโยน
ระบิลกับเนติมานิ่งคิดตามด้วยความไม่สบายใจนัก
ที่สนามไดร์ฟกอล์ฟ พงษ์เลิศหวดลูกกอล์ฟออกไปอย่างหัวเสีย สมาธิไม่ได้อยู่ที่กอล์ฟแต่อย่างใดพลางถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
“เกมกำลังจะเดิน ดันมาเตะตัดขากันเองซะอีก...ติดต่อได้มั้ย”
พงษ์เลิศพูดเสียงแข็ง ชลกรพยายามโทรติดต่ออิทธิหาญ แต่หันมาพูดอย่างอ่อนใจ
“ไม่ยอมรับสายค่ะ คงรู้ตัวว่าจะโดนคุณต่อว่า”
“เพิ่งแพ้มาหยกๆ แล้วยังมาเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีก ดูสิข่าวแต่ละสำนักเสนอข่าวด่าเราทั้งนั้น นี่ถ้าไอ้ศิวัชมันเกิดจะเล่นงานเร่งขุดคุ้ยเราขึ้นมามีหวังแย่แน่”
พงษ์เลิศพูดอย่างร้อนตัว ชลกรเดินยิ้มเข้ามากอดพงษ์เลิศจากทางด้านหลัง
“ใจเย็นๆสิคะ มีฉันอยู่ทั้งคน คุณจะกลัวอะไร”
“ตอนนี้จะทำอะไรได้ วันนั้นคุณเองก็ยังหน้าซีดออกมาเลยไม่ใช่เหรอ”
“วันนั้นทุกคนก็ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งนั้น”
ชลกรซบลงที่ไหล่ของพงษ์เลิศพลางกระซิบเบาๆที่ข้างหูพูดด้วยน้ำเสียงเซ็กซี่
“แต่คุณก็รู้นี่คะว่า ฝีปากฉันกล่อมคนมานักต่อนักแล้ว”
“โดยเฉพาะผู้ชาย”
พงษ์เลิศอมยิ้มอย่างเข้าใจความหมาย ชลกรเอื้อมมือไปไล้หลังมือของพงษ์เลิศอย่างแผ่วเบา
“แค่ฉันสบตา สัมผัสตัวคุณธำรงเขาแค่นิดเดียว ฉันก็รู้แล้วว่าเขาต้องการอะไร”
ชลกรอมยิ้มอย่างมีเลศนัย ขณะที่พงษ์เลิศยิ้มออกมาอย่างมีความหวังมากขึ้น
เวลากลางวันของวันใหม่ ดล คำเที่ยงและอนงค์นั่งอยู่ที่หน้าสถูป ที่มีรูปของวิเชียรกับพรรณศรีติดอยู่ หน้ารูปมีกระถางธูปซึ่งยังมีธูปปักอยู่สามดอก ในแจกันมีดอกไม้สดและพวงมาลัยที่เพิ่งนำมาเปลี่ยนใหม่
ดลมองรูปพ่อกับแม่ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
“คุณพ่อคุณแม่ คุ้มครองพี่เนติ์ด้วยนะครับ”
“ครั้งนี้ยังโชคดีที่มีบอดี้การ์ดมาช่วยไว้ นี่ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรอีกบ้าง คนที่กำลังจะสูญเสียอำนาจ มันทำได้ทุกอย่างจริงๆ” คำเที่ยงพูดขึ้น
“ผมอยากพบพี่เนติ์เร็วๆครับพ่อ”
ดลหันไปพูดกับคำเที่ยงเป็นเชิงปรึกษา คำเที่ยงเอื้อมมือไปแตะไหล่ดลอย่างเข้าใจ
“ยังไงก็ระวังหน่อยนะ ถ้าพวกมันรู้ว่าดลเป็นใคร มันไม่เอาไว้แน่”
“แล้วยิ่งเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ อ้อว่าเรายิ่งเข้าถึงตัวพี่เนติ์ลำบากขึ้นแน่ๆ”
อนงค์ออกความเห็นด้วยความเป็นห่วง ดลถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ คำเที่ยงหันไปมองรูปวิเชียรกับพรรณศรีก่อนพูดออกมาด้วยความหนักแน่น
“คุณวิเชียรไม่ต้องห่วงนะครับ สัญญาที่ผมให้ไว้กับคุณจะต้องสำเร็จ เด็กสองคนโตขึ้นอย่างเข้มแข็ง ผมมั่นใจว่าเขาจะเป็นคนดีอย่างที่คุณอยากให้เป็น”
คำเที่ยงอดสะเทือนใจไม่ได้จนน้ำตาคลอเบ้า อนงค์เอื้อมมือไปแตะที่มือพ่ออย่างเข้าใจ
“พ่อ...”
“คุณวิเชียรมีบุญคุณกับพ่อมาก ถ้าวันนั้นพ่อไม่ได้คุณวิเชียร ชีวิตพ่อวันนี้ก็ไม่รู้จะเป็นยังไง”
คำเที่ยงพูดขึ้นมาอย่างเศร้าๆพลางมองดูรูปวิเชียรแล้วอดนึกถึงความหลังไม่ได้
บริเวณสวนหย่อมที่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง วิเชียรที่แต่งตัวภูมิฐานเดินมายังรถที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้และกำลังจะเปิดประตูรถเข้าไป แต่ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นคำเที่ยงนั่งเหม่อสีหน้าเครียดอยู่ที่ม้าหินใกล้ๆ
วิเชียรมองด้วยความสงสัยก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“คำเที่ยง”
“คุณวิเชียร”
คำเที่ยงสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ รีบลุกขึ้นจากม้าหินอย่างเจียมตัว ขณะที่วิเชียรยิ้มอย่างเป็นกันเอง
“นั่งตามสบายเถอะ ฉันไม่ใช่คนถือตัวขนาดนั้น”
คำเที่ยงยังยืนเกร็งทำอะไรไม่ถูก วิเชียรต้องพูดเน้นเสียงย้ำขึ้นอีก
“นั่งเถอะ”
“เออ..ครับๆ”
คำเที่ยงนั่งลงที่เดิมอย่างนอบน้อม วิเชียรลงนั่งที่ม้าหินอีกตัว พลางถอดสูทคลายปมเนคไทดูผ่อนคลายและเป็นกันเอง
“เป็นอะไรคำเที่ยง ทำไมหน้าตาอมทุกข์อย่างนั้นล่ะ”
คำเที่ยงพูดอะไรไม่ออกได้แต่ก้มหน้าด้วยสีหน้าเครียด วิเชียรพูดอย่างใจดี
“พูดมาเถอะ เผื่อฉันจะช่วยอะไรได้บ้าง หรืออย่างน้อยนายก็ได้ระบายความอัดอั้นออกมาบ้าง หรือถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ฉันไม่สมควรจะยุ่ง ฉันก็ขอโทษด้วยก็แล้วกันนะ”
วิเชียรพูดพลางขยับจะลุกขึ้น คำเที่ยงรีบพูดทันทีด้วยความเกรงใจ
“เออ..ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณวิเชียร เออ..คือลูกชายผมไม่สบายน่ะครับ”
วิเชียรชะงักขยับลงนั่งอีกครั้งมองคำเที่ยงอย่างให้ความสนใจ
“ลูกชายผมอยู่ห้องไอซียูมาหลายวันแล้วครับ”
คำเที่ยงพูดเสียงสั่นด้วยความไม่สบายใจเป็นอย่างมาก วิเชียรมองคำเที่ยงด้วยความเห็นใจ
ภายในร้านอาหารที่ดูดีแห่งหนึ่ง วิเชียรยื่นซองให้คำเที่ยงซึ่งนั่งอย่างเจียมตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ คำเที่ยงมองซองที่วิเชียรยื่นมาให้อย่างลังเล
“รับไปสิคำเที่ยง”
คำเที่ยงถอนใจออกมานิดหนึ่งก่อนยกมือไหว้วิเชียรแล้วรับซองไปเปิดดู เห็นเงินสดปึกหนึ่งอยู่ด้านใน สีหน้าของคำเที่ยงดูตกใจและรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
“เออ..ผมรับไม่ได้หรอกครับคุณวิเชียร”
“รับไปเถอะ นายจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้”
คำเที่ยงมีสีหน้าลำบากใจ วิเชียรพูดย้ำอย่างมีเมตตา
“มีเมื่อไหร่ค่อยคืน ตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไรมาก อ้อ..แล้วก็ไม่ต้องบอกคุณพงษ์เลิศนะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าฉันวุ่นวายกับคนของเขา มันไม่ดี”
“คุณวิเชียร”
“ก็ไม่ต้องกลัวว่า เรื่องนี้จะเป็นบุญคุณที่ติดตัวนายไปตลอดชีวิต ถึงฉันจะเป็นนักธุรกิจ แต่การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มันไม่ใช่การค้า”
วิเชียรพูดอย่างหนักแน่น คำเที่ยงรู้สึกซึ้งในพระคุณมากขยับจะลงกราบที่พื้น แต่วิเชียรรีบรั้งไว้
“อย่า..อายคนอื่นเขา อีกอย่างฉันไม่ใช่ผู้วิเศษที่ไหน ขอแค่นายเอาไปรักษาลูก เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี แล้วนายก็รักษาความดีในตัวนายไว้ เหมือนที่ฉันเคยได้ยินคนเขาชมนายก็พอ”
วิเชียรพูดอย่างมีเมตตา คำเที่ยงรู้สึกซึ้งใจจนน้ำตาคลอเบ้า
บริเวณทางร่มรื่นในวัด ดล อนงค์และคำเที่ยงเดินคุยกันมา คำเที่ยงถอนใจแล้วพูดอย่างเศร้าๆ
“พ่อรู้สึกว่า ชีวิตเล็กๆของพ่อ ชดใช้อีกกี่ครั้งก็คงไม่เท่ากับความเมตตาที่คุณวิเชียรมีให้”
“แต่พ่อก็ทำทุกอย่างดีที่สุดแล้วนี่ครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณพ่อ ถ้าไม่ได้พ่อ ผมคง...” ดลพูดขึ้นน้ำเสียงสลด
คำเที่ยงเอื้อมมือไปโอบไหล่ดลอย่างเอ็นดู
“พ่อภูมิใจที่สุดที่พ่อมีส่วนทำให้ลูกโตขึ้นมาเป็นคนดี เออ..วันครบรอบวันเสียชีวิตคุณวิเชียรกับคุณพรรณศรีปีนี้ พ่อคงไม่ได้มา ดลจัดการเองได้นะลูก”
“ได้ครับพ่อ สบายมากครับ”
ดลพูดยิ้มๆ ขณะที่อนงค์แกล้งมองคำเที่ยงกับดลอย่างงอนๆ
“แหม..คุยกันอยู่สองคน ลืมแล้วเหรอจ๊ะ ว่ามีอ้ออยู่ด้วย”
“อ้าว..ลืมไป มัวแต่คุยกับลูกรัก ลืมว่ามีลูกชังอยู่ตรงนี้ด้วยอีกคน”
“พ่ออ่ะ...”
คำเที่ยงแกล้งพูดหยอกจนอนงค์หน้าง้ำ คำเที่ยงเอามืออีกข้างโอบไหล่ลูกสาวอย่างเอาใจ
“โอ๋ๆล้อเล่นน่า ใครจะลืมไอ้แสบของพ่อได้ล่ะ ขืนลืมมันอาละวาดบ้านแตกแน่ ฮ่าๆ”
คำเที่ยงหัวเราะ อนงค์ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีพลางเอียงคอซบพ่ออย่างประจบ ดลกับอนงค์หันมายิ้มกันให้ก่อนพากันเดินออกไป
ทางเดินภายในบ้านกันต์ เวลากลางคืน รอบๆบริเวณเหลือแต่ไฟดวงเล็กๆที่เปิดไว้ให้แสงสว่างเพียงเล็กน้อย เนติมาเดินคุยโทรศัพท์อยู่
“พี่ศิวัชรีบฟอร์มทีมทำงานเถอะนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วงเนติ์นะ ทางนี้เรียบร้อยดี เนติ์ก็รักพี่ศิวัชค่ะ”
เนติมาวางสายโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม ก่อนต้องชะงักเมื่อเห็นห้องหนังสือยังเปิดประตูค้างไว้ ในห้อง
มีแสงสว่างลอดออกมาด้วย เนติมามองเข้าไปด้วยความสงสัย
ภายในห้องหนังสือ ระบิลกำลังทำแผลที่ศีรษะและปิดแผลอย่างทุลักทุเลเพราะไม่ถนัด
“โธ่เว้ย..ทำไมไม่ได้ซะทีนะ”
ระบิลพยายามจะปิดแผลแต่พลาดทำผ้าก๊อซหลุดมือตกลงพื้น “เฮ้ย” ระบิลถอนใจอย่างหงุดหงิดก่อนก้มลงจะหยิบ แต่หัวก็ไปโขกกับโต๊ะเข้าอีก
“โอ๊ย...อะไรวะเนี่ย อูยเจ็บ”
ระบิลกุมหัวป้อยก้มลงเก็บผ้าก๊อซซึ่งตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใช้ปากเป่าทำความสะอาดอย่างง่ายๆ แต่ต้องชะงักเมื่อเนติมาปรี่เข้ามาแย่งผ้าก๊อซจากมือระบิล
“นายจะทำอะไรน่ะ”
“อ้าว..ถามได้ ก็ทำแผลสิคุณ มานี่..เอาคืนมา”
“แต่นี่มันหล่นพื้นแล้ว สกปรก”
“สกปรกที่ไหน ผมเป่าแล้ว” ระบิลพูด
เนติมาจ้องหน้าระบิลอย่างตำหนิ ระบิลลอยหน้าลอยตาพูดแถไปเรื่อย
“ก็..แหมคุณ ดึกป่านนี้เชื้อโรคมันหลับหมดแล้ว บางตัวออกเที่ยวกลางคืนยังไม่กลับมาเลยมั้ง”
“นี่..อย่าแถ เอากล่องยามานี่”
เนติมาแบมือพลางมองไปที่กล่องยาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ระบิลมองตามก่อนถามด้วยความสงสัย
“จะเอาไปทำไม คุณเป็นแผลเหรอ”
“เอามา...” เนติมาพูดเสียงดุ
ระบิลยิ้มกวนมองเนติมาด้วยความสงสัย
มุมหนึ่งในห้องหนังสือ ระบิลในสภาพเปลือยท่อนบน นั่งบนเก้าอี้ให้เนติมาที่กำลังปิดแผลที่สีข้างให้อยู่ ระบิลสะดุ้งเล็กน้อยจนเนติมาต้องใช้มือตีอย่างหงุดหงิด
“อยู่นิ่งๆได้มั้ย”
“โธ่..ก็มันจั๊กจี้นี่คุณ”
เนติมาชำเลืองตาขึ้นมองระบิล ระบิลสะดุ้งรีบยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกแกล้งทำเป็นอายอย่างตลกๆ
จนเนติมาอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“นี่..นายจะบ้าเหรอ เอามือปิดหน้าอกทำไม”
ระบิลก้มมองหน้าอกตัวเองแล้วแกล้งทำเป็นอาย
“อ้าว..ผมก็อายเป็นนะ เกิดมาไม่เคยให้ผู้หญิงมาถูกเนื้อถูกตัว มามอง เออ..ผู้ชายก็ต้องรักนวลสงวนตัวเหมือนกันนะคุณ”
ระบิลพูดลอยหน้าลอยตาพูดจนเนติมามองค้อน เงื้อมือตีต้นแขนระบิลด้วยความหมั่นไส้
“โอ๊ย..เจ็บนะ ตีผมทำไมเนี่ยเจ้านาย”
“หมั่นไส้ เลิกโอเว่อร์แล้วก็นั่งนิ่งๆได้แล้ว มานี่ !”
เนติมาพูดพลางขยับไปนั่งประจันหน้ากับระบิล แล้วเอามือจับหน้าระบิลให้อยู่นิ่งๆ ขณะระบิลได้แต่ถอนหายใจเพราะรู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกฝืนใจ
เนติมากำลังทำแผลให้ระบิลอย่างเอาใจใส่ เนติมายื่นหน้าใกล้ๆ จนระบิลนั่งเกร็งอย่างอึดอัด
“ถ้าไม่ได้นาย คนที่ต้องเจ็บตัวคงเป็นฉัน”
“มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องปกป้องคุณอยู่แล้ว การที่ผมเจ็บแล้วคุณไม่เจ็บเนี่ย ถือว่าผมทำงานสำเร็จนะ”
“แต่ถ้าฉันไม่เจ็บ นายไม่เจ็บจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ ความจริง ความรู้ความสามารถนาย ไม่จำเป็นต้องมาเป็นบอดี้การ์ดก็ได้นะ ถ้านายกลับเข้ารับราชการฉันว่านายต้องได้เป็น...”
ยังไม่ทันที่เนติมาจะพูดอะไรต่อ ระบิลก็เบี่ยงหน้าหลบไปทันทีเพราะไม่อยากได้ยินอะไรที่มาสะกิดให้นึกถึงคนรักเก่าที่เสียชีวิตไป
“ยังไงผมก็ไม่มีวันกลับไปรับราชการ”
“อะไร...ฉันแค่พูดลอยๆ ไม่เห็นต้องหงุดหงิดเลย มีอะไรเหรอ ทำไมนายถึงไม่อยากกลับไปรับราชการ ก็ในเมื่อ...”
ระบิลขยับจะลุกจากเก้าอี้ แต่เนติมารีบรั้งไว้ทันที
“โอ๊ยๆ โอเคๆ ไม่ถามแล้วก็ได้ อะไรเนี่ยจู่ๆ ของก็ขึ้น มานี่ๆ มาทำแผลต่อเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
เนติมาเอามือจับหน้าระบิลให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะทำแผลต่อด้วยความตั้งใจ พลางพูดเปลี่ยนเรื่องอย่างอารมณ์ดี
“นี่..ในหนังสืออาหารของฉัน นายยังทำให้ชิมไม่ครบเลยนะ”
“คุณอยากทานอะไรก็บอกผมมาก็แล้วกัน”
“คิดไปคิดมานายไม่ต้องไปทำงานอย่างอื่นน่ะดีแล้ว เพราะฉันจ้างนายคนเดียวเหมือนได้ตั้งหลายคน ทั้งคนสวน ช่างไฟฟ้า พ่อบ้าน พ่อครัว คนขับรถ คน...”
“โอ๊ย..เบาๆสิคุณ..เจ็บ”
“อุ๊ย..ขอโทษ”
ระบิลร้องด้วยความเจ็บพลางคว้ามือเนติมาข้างที่กำลังทายาไว้ทันที ทั้งสองหันมาสบตากันก็ต้องชะงักอย่างไม่รู้ตัว
ระบิลกับเนติมาสบตากันนิ่งค้างรู้สึกไหวหวั่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ระบิลตั้งสติได้รีบปล่อยมือเนติมาทันที ทั้งสองคนรู้สึกอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เออ..ขอโทษครับ”
“เออ..ฉันมือหนักไปหน่อย นายไม่เป็นอะไรนะ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมทำต่อเอง”
“แล้วนายจะปิดแผลถูกมั้ยล่ะ มาฉันทำให้เอง อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”
เนติมาหันไปหยิบผ้าก๊อซที่เตรียมไว้ขึ้นมาปิดแผลให้ ระบิลซึ่งนั่งนิ่งอยู่อย่างหวั่นไหว ขณะที่เนติมาก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก
เช้าวันใหม่ บริเวณสวนหย่อมภายในบ้านกันต์ ระบิลเดินมองหาเนติมาไปรอบๆสวน
“ไปไหนไม่บอก น่าตีชะมัด”
“กล้าตีฉันเหรอ”
ระบิลชะงักเมื่อได้ยินเสียงเนติมาดังมาจากด้านหลัง ระบิลหันขวับไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเนติมาเอาปืนจ่ออยู่ด้านหลัง “เฮ้ย !” ระบิลรีบปัดบิดมือของเนติมาข้างที่ถือปืนทันทีจนเนติมาร้องลั่น
“โอ๊ย ! ปล่อยนะ เจ็บ !”
เนติมารีบปล่อยมือจนปืนตกไปที่พื้น ขวัญชนกเดินมาเห็นพอดีต้องตกใจที่เห็นปืน
“เนติ์เป็นอะไร...ปืน !”
ระบิลปล่อยมือเนติมาทันที และมองเนติมาอย่างตำหนิ ระบิลหันไปพูดกับขวัญชนก
“คุณขวัญไม่ต้องกลัวครับ...คุณเล่นอะไรของคุณเนี่ย”
เนติมากุมมือด้วยความเจ็บพลางมองขวัญชนกอย่างรู้สึกผิด ก่อนหันไปค้อนระบิลด้วยความหงุดหงิด
ระบิลเอาปืนวางบนโต๊ะพลางมองเนติมาที่นั่งกุมมือโดยมีขวัญชนกนั่งอยู่ข้างๆด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บมากมั้ยจ๊ะเนติ์”
“เจ็บสิถามได้ คนอะไรมือหนักชะมัดเลย แค่ล้อเล่นแค่นี้เอง”
เนติมาพูดงอนๆ แต่ระบิลพูดสอนด้วยน้ำเสียงดุ
“ปืนไม่ใช่ของเล่นนะคุณ กระสุนมันไม่เข้าใครออกใครรู้มั้ย”
“รู้น่า ฉันก็เอาซองกระสุนออกแล้วไม่เห็นเหรอ”
“แล้วคุณรู้ได้ไงว่าจะไม่มีกระสุนค้างในตัวปืน”
ระบิลพูดดักคอทำเอาเนติมาชะงักหน้าเจื่อนไป ระบิลยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆเนติมาแล้วพูดเสียงเข้ม
“ไปเอาปืนที่ไหนมาครับ”
“ก็..ฉันอยากยิงปืนเป็น จะได้เอาไว้ป้องกันตัว ก็เลยยืมเพื่อนมา”
“แต่คุณมีผมเป็นบอดี้การ์ดอยู่แล้ว”
ระบิลพยายามอธิบาย แต่เนติมาไม่ยอมเถียงตอบทันที
“แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์แบบวันนั้นอีกล่ะ นายสลบไปหรือจังหวะที่นายไม่อยู่กับฉัน แล้วใครจะดูฉัน นะขอฉันฝึกยิงปืน เนี่ยเห็นมั้ยฉันให้เพื่อนสมัครสมาชิกให้แล้ว”
เนติมายื่นบัตรสมาชิกให้ ระบิลหยิบไปดูแล้วยิ้มอย่างขำๆ
“อืม..มีทั้งยิงปืน สอนศิลปะป้องกันตัว เยอะดีนี่ครับ”
“จะดีเหรอเนติ์ น่ากลัวออกจะตาย”
ขวัญชนกพูดด้วยความเป็นห่วง ขณะที่ระบิลเก็บทั้งปืนและบัตรสมาชิกของเนติมาใส่กระเป๋าดื้อๆซะอย่างงั้น
“ใช่ครับ..น่ากลัวมาก ปืนนี่ผมริบไว้ก่อน ส่วนสมาชิกของคุณผมยกเลิกให้เอง”
“อะไรนะ !”
“รุ่นพี่ผมเป็นเจ้าของโรงเรียนที่คุณจะไปเรียนพอดี”
“เฮ้ย..อย่านะ”
เนติมาโวยวายขึ้น ขณะที่ระบิลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางถอนใจ
“ถ้าคนที่ผมปกป้องต้องมาฝึกอาวุธคุ้มครองตัวเอง ผมเลิกเป็นบอดี้การ์ดดีกว่า ผมจะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำอันตรายคุณเด็ดขาด แล้วถ้าถึงเวลาที่คุณจะต้องใช้ปืน ผมจะเป็นคนสอนคุณด้วยมือผมเอง”
เนติมาครุ่นคิดตามที่ระบิลพูดพลางถอนหายใจอย่างเซ็งก่อนหันไปสบตากับขวัญชนกที่พยักหน้าช้าๆเป็นเชิงเห็นด้วยกับระบิล
เนติมายอมจำนนในเหตุผลของระบิล
ระบิลขับรถมาจอดที่หน้าคฤหาสน์หรูของธำรง ทั้งระบิลและเนติมาเปิดประตูลงมาจากรถ ขณะนั้นศิวัชกับผู้กำกับวิเชษฐ์เดินออกมาจากตัวบ้านพอดี
“พี่ศิวัช”
เนติมาเดินเข้าไปหาศิวัช ทั้งสองคนจับมือแสดงออกถึงความรักที่มีให้กัน ขณะที่ระบิลเข้าไปทักทาย
ผู้กำกับวิเชษฐ์อย่างคุ้นเคย
“ไม่นึกว่าจะเจอพี่เชษฐ์ที่นี่”
“มาคุยงานกับคุณศิวัชน่ะ โทษทีนะไม่ได้ไปเยี่ยมเลยงานยุ่งๆน่ะ แผลเป็นไงบ้าง”
“โอ๊ย..สบายมากครับพี่ ผมน่ะแก่ยาก แต่ตายยากกว่า”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี เรียกรอยยิ้มให้ทุกคน
“อย่างอื่นยาก แต่โม้เนี่ยง่ายถึงง่ายที่สุดเลยล่ะ”
เนติมาแซวอย่างอารมณ์ดี ก่อนหันไปพูดกับศิวัช
“แล้วคุณอาล่ะคะพี่ศิวัช”
“คุณพ่อไปธุระข้างนอกน่ะจ้ะ ท่านบอกไม่ต้องรอ ให้พวกเราทานไปก่อนได้เลย ไปทานข้าวกันเถอะครับ แม่บ้านตั้งโต๊ะไว้พร้อมแล้ว”
ระบิลกับผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มรับคำก่อนขยับจะเดินเข้าไปด้านใน แต่เนติมารั้งศิวัชไว้อย่างเป็นกังวล
“พี่ศิวัชคะ แล้ว...”
“วันนี้ไม่มีตี้จ้ะ ตี้เขาไปธุระกับที่บ้านเขาน่ะ”
ศิวัชตอบอย่างรู้ทัน เนติมาถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะที่ระบิลหันมาแซวยิ้มๆแล้วก็เดินเข้าไปด้านใน
“แหม..กลัวก้างมาขวางคอตอนทานข้าวเหรอคุณ ฮ่าๆ”
เนติมาค้อนระบิลอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ศิวัช ศิวัชจูงมือเนติมาเข้าไปด้านใน
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 6 (ต่อ)
ภายในคอนโดของชลกรยามนั้น ธำรงนอนหงายอยู่บนเตียง ขณะที่ชลกรพลิกตัวขึ้นมาทับบนอกพูดทอดเสียงอ้อน
“ฉันดีใจนะคะที่เราได้รู้จักกันมากขึ้น”
ชลกรก้มลงหอมแก้มธำรงก่อนนอนซบด้วยรอยยิ้ม ขณะธำรงอมยิ้มอย่างใจเย็น ทั้งสองคนนอนอยู่
ใต้ผ้าห่มอย่างมีความสุข
“รู้จักกันมากขึ้น แล้วคงคุยกันง่ายขึ้นด้วยใช่มั้ยครับ”
“เรื่องนี้ คงต้องแล้วแต่ความกรุณาของคุณมากกว่าค่ะ หนูในกรงเล็บราชสีห์อย่างฉัน...ยอมทุกอย่างอยู่แล้ว”
ชลกรพูดอ้อนพลางก้มลงจูบหน้าอกเปลือยเปล่าของธำรง ธำรงเอื้อมมือขึ้นลูบไล้เส้นผมของชลกรเบาๆ
“หนูตัวนี้กำลังจะบอกราชสีห์ด้วยใช่มั้ยว่าวันหนึ่งจะเข้ามาช่วยราชสีห์เวลาติดบ่วงนายพราน”
“เรื่องนี้ก็แล้วแต่ราชสีห์ว่าจะให้หนูตัวนี้ช่วยหรือจะให้พลีกายแทนนะคะ”
ชลกรตอบด้วยรอยยิ้มและก้มจูบอย่างเอาใจ ธำรงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
อิทธิหาญว่ายน้ำเข้ามาที่ขอบสระ ภายในบ้านพงษ์เลิศ แล้วเงยหน้ามองพงษ์เลิศที่กำลังนั่งเช็กข่าวจากหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างใจเย็น อิทธิหาญมองผู้เป็นพ่ออย่างขัดใจ
“พ่อแน่ใจเหรอว่าจะเข้าไปเป็นขี้ข้ารองมือรองเท้าให้ไอ้ศิวัชมัน”
“เขาเรียกว่าร่วมรัฐบาล”
พงษ์เลิศพูดอย่างใจเย็น แต่อิทธิหาญยังคงหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ
“ก็นั่นแหละพ่อ เราเคยเป็นใหญ่มาตั้งหลายปี จู่ๆทำไมจะต้องทำตัวเป็นกาฝากเกาะต้นมันกินด้วย”
“เพราะนี่คือการเมือง” พงษ์เลิศพูดเสียงหนักแน่นขึ้น
พงษ์เลิศวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินไปหาอิทธิหาญที่ขอบสระ
“ก็แล้วไง เราก็ไม่เห็นจำเป็นต้องง้อมันนี่พ่อ”
“แกลืมไปแล้วเหรอว่า เราทำอะไรไว้บ้าง แล้วถ้ามันขุดคุ้ยเล่นงานเราขึ้นมาแถมแกเพิ่งวางระเบิดถล่มพวกมันไปอีก อย่าลืม อำนาจอยู่ที่ใคร คำพิพากษาก็อยู่ในมือคนนั้นนั่นแหละ”
อิทธิหาญนิ่งฟังพงษ์เลิศพูดด้วยความอึดอัด เอามือฟาดน้ำเพื่อระบายอารมณ์อย่างแรง
“แล้วส่งใครไปเจรจาไม่ส่งดันส่งโสเภณีการเมืองไป”
“อิทธิหาญ !”
“ก็มันจริงมั้ยล่ะพ่อ จากแม่ค้าอาวุธ พอเราขึ้นมันก็โผมาเกาะเรา พอพวกไอ้ศิวัชขึ้น พ่อยังจะส่งมันไป ระวังเถอะ มันจะสมคบกันตลบหลังเรา”
“อย่ามองฉันในแง่ร้ายอย่างนั้นสิคะ”
อิทธิหาญกับพงษ์เลิศหันไปเห็นชลกรเดินยิ้มเข้ามาอย่างใจเย็น อิทธิหาญมองชลกรอย่างดูถูก ขณะที่พงษ์เลิศมองลุ้น
“เป็นไงบ้าง..ยอมมั้ย”
ชลกรไม่ตอบอะไรแต่ยิ้มให้พงษ์เลิศอย่างอารมณ์ดี
ห้องทำงานภายใน คฤหาสน์หรูของธำรงเนติมากับศิวัชชักสีหน้าด้วยความตกใจ ธำรงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานและพูดอย่างใจเย็น
“อะไรนะครับคุณพ่อ !”
“จะคุมไหวเหรอคะคุณอา”
“วัวสันหลังหวะอย่างนั้น มันมีแผลที่ให้เราคอยจี้อยู่แล้ว”
“แต่ผมกลัวว่าจะเป็นการเลี้ยงเสือมากกว่านะครับ ลำพังผมไม่เท่าไหร่ แต่เนติ์สิครับคุณพ่อ”
ศิวัชพูดด้วยความเป็นห่วงเนติมา ธำรงยิ้มอย่างใจเย็นก่อนหันไปถามเนติมา
“ว่าไงหนูเนติ์ กลัวมั้ย”
เนติมาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
“ไม่กลัวค่ะ”
“เนติ์ !”
“ถ้าเลี้ยงเสือไว้ในบ้านแล้วขังมันให้ดี ก็ยังดีกว่าปล่อยให้มันเพ่นพ่าน รอให้มันดักล่าเราไม่ใช่เหรอคะ”
ศิวัชเริ่มเป็นกังวล
“แต่จะทำให้คะแนนนิยมเราตกนะครับคุณพ่อ”
“บทบาทเขาจะมากหรือน้อยอยู่ที่เราไม่ใช่เหรอลูก”
ธำรงยิ้มพูดอย่างใจเย็น สีหน้ามีเลศนัย เนติมาครุ่นคิดตามแผนของธำรงแล้วอมยิ้มออกมาอย่างชอบใจ ขณะที่ศิวัชรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักเพราะเป็นห่วงเนติมามาก
เนติมากับศิวัชเดินออกมาจากด้านในเข้ามาหาระบิลกับผู้กำกับวิเชษฐ์ที่ยืนคุยกันอยู่
“พี่ศิวัชไม่ต้องห่วงนะคะ เนติ์เอาตัวรอดได้”
“มีอะไรรึเปล่าครับ ทำไมคุณศิวัชดูไม่ค่อยสบายใจเลย”ระบิลถาม
เนติมายิ้ม
“กลับไปบ้านแล้วจะเล่าให้ฟัง”
เนติมาพูดกับผู้กำกับวิเชษฐ์
“มื้อกลางวันทานข้าวที่บ้านนี้ มื้อเย็นเชิญที่บ้านโน้นนะคะผู้กำกับ”
“ยินดีครับคุณเนติ์”
“เดี๋ยวให้คุณระบิลทำอาหารให้ทาน”
ผู้กำกับวิเชษฐ์รับคำอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ระบิลชะงักเหล่มองเนติมาอย่างเซ็งๆเล็กน้อย
“แหม..เคยตัว เริ่มสั่งเป็นร้านอาหารตามสั่งเลยนะคุณ”
“สั่งแล้วทำมั้ยล่ะ”
“ขัดได้เหรอ ผมก็กลัวตกงานนะคุณ ตามไปชิมด้วยกันมั้ยครับคุณศิวัช เดี๋ยวผมทำเมนู ผู้นำขำกระจายให้ทาน จะได้อารมณ์ดีขึ้น”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี แต่ศิวัชยิ้มเจื่อน
“เดี๋ยวคุณพ่อนัดผมคุยเรื่องจัดตั้งรัฐบาลกับท่านทวีน่ะครับ ฝากเนติ์ด้วยนะครับคุณระบิล”
ศิวัชพูดพลางเอื้อมมือไปกุมมือเนติมาด้วยความเป็นห่วง
ระบิลกับผู้กำกับวิเชษฐ์มองหน้ากันด้วยความสงสัยในท่าทีของศิวัช
ภายในห้องนั่งเล่น เจือจันทร์ถือถ้วยกาแฟมาให้กันต์ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือกฏหมายอยู่ ก่อนลงนั่งข้างๆแล้วถอนใจด้วยความไม่สบายใจนัก กันต์ชำเลืองตามอง
“กาแฟค่ะคุณ”
“อย่ากังวลไปเลยคุณ ผมว่าคุณธำรงเขาคงไม่ยอมให้นายพงษ์เลิศมามีอิทธิพลเหนือเขาหรอก”
“ฉันก็พยายามคิดอย่างที่คุณพูด แต่คนอย่างพวกนั้นมันเลี้ยงไม่เชื่อง มันต้องจ้องหาจังหวะเล่นงานเราแน่ๆ”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้วล่ะคุณ เราก็ตั้งรับให้ดี ส่วนเรื่องรุกน่ะโน่น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหนุ่มๆสาวๆเขา”
กันต์มองออกไปยังสวนหย่อมหน้าบ้าน เจือจันทร์มองตามไป
“รวมถึงลูกเราด้วยเหรอคุณ”
“วันนี้เขากล้าออกมาจากโลกส่วนตัวที่เขาขังตัวเองมาร่วมสิบปีแล้วนะ วันข้างหน้า เขาจะต้องกล้าที่จะกลับออกไปสู่โลกกว้างอีกครั้ง ผมเชื่อว่าลูกต้องทำได้”
เจือจันทร์มองอย่างไม่แน่ใจ กันต์ยิ้มเอื้อมมือไปกุมมือเจือจันทร์อย่างให้กำลังใจ
“ดูผมสิ ผมยังเอาหนังสือกฏหมายมาอ่านทบทวน ผมจะกลับไปทำงานด้านกฎหมายที่ผมรักอีกครั้ง อย่างน้อยก็สู้เพื่อความยุติธรรมของคนในบ้าน ให้ผมรู้สึกว่าผมได้สู้เพื่อลูกเมียที่ผมรักบ้าง”
เจือจันทร์นิ่งฟังอย่างครุ่นคิดพลางกระชับมือตอบกันต์อย่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน กันต์ยิ้มอย่างมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ในเวลากลางคืน โคมไฟในสวนดับสนิท ระบิล เนติมา ขวัญชนก ผู้กำกับวิเชษฐ์ นั่งอยู่ที่เก้าอี้สนาม ทุกคนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นพระจันทร์ทอส่องแสงสว่างสวยงาม
“สวยจังเลย ฉันไม่ได้เห็นพระจันทร์สวยอย่างนี้มานานแล้ว”
“นั่นสิ ฉันเองก็มัวแต่เรียน มัวแต่ทำงานจนแทบไม่ได้แหงนหน้ามองท้องฟ้าเหมือนกัน อยู่ที่โน่นอย่างมากก็แหงนมองหอไอเฟล”
“งานนี้ต้องขอบคุณนายระบิลเขานะครับ ที่ชวนพวกเราออกมาดับไฟชมพระจันทร์ย่อยอาหารอย่างนี้”
“ขอบคุณนะคะคุณระบิล” ขวัญชนกบอก
ขวัญชนกยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ระบิลยิ้มรับอย่างอารมณ์ดี
“เด็กบ้านสวนอย่างผม ไม่มีสิ่งบันเทิงอะไรมากไปกว่าธรรมชาติรอบตัวหรอกครับ”
“บ้านสวนของนาย เมื่อไหร่จะพาพวกเราไปเที่ยวซะทีล่ะ” เนติมาถาม
“ว่างๆพาขวัญกับเนติ์ไปเที่ยวหน่อยนะคะ”
ขวัญชนกพูดอย่างมีความสุขจนลืมตัว ระบิล เนติมา ผู้กำกับวิเชษฐ์ถึงกับชะงักมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
“ไกลนะครับคุณขวัญ”
“ไม่กลัวเหรอขวัญ”
ขวัญชนกชะงักก่อนยิ้มเจื่อนอย่างกล้าๆกลัวๆ
“เออ..ก็ถ้าไปกับคุณระบิลกับเนติ์ ก็..คงไม่เป็นไรมั้งคะ”
ระบิล เนติมา ผู้กำกับวิเชษฐ์ ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ระบิลรีบรับปากทันที
“บ้านสวนผมไม่ได้กลับมานาน ป่านนี้ต้นไม้คงขึ้นรกหมดแล้ว เอาไว้ให้ผมไปทำความสะอาดให้เรียบร้อย แล้วจะพาคุณขวัญไปเที่ยวนะครับ”
“ค่ะ...”
ขวัญชนกยิ้มรับพลางชำเลืองมองระบิลอย่างอายๆ เนติมาหันไปเห็นพอดีจึงมองขวัญชนกอย่างสังเกต จังหวะเดียวกันเนติมาก็หันไปเห็นผู้กำกับวิเชษฐ์นั่งมองขวัญชนกด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
ภายในห้องหนังสือในเวลากลางคืน เนติมากำลังปิดพลาสเตอร์ที่ศีรษะระบิลอย่างที่เคยทำ
“อ่ะ..เรียบร้อย”
“ขอบคุณนะครับ”
“แผลจะแห้งแล้วล่ะ อีกหน่อยก็หล่อแล้ว”
เนติมายิ้มพลางเก็บอุปกรณ์ทำแผลลงกล่อง ระบิลยิ้มมองเนติมาด้วยความสงสัย
“พูดอย่างกับที่ผ่านมาหน้าตาผมมันแย่มากนักแน่ะคุณ”
“แหม..ก็ไม่ได้แย่หรอกน่า อย่างน้อยก็มีคนแอบชอบก็แล้วกัน”
เนติมาพูดแล้วยิ้มชอบใจ ขณะที่ระบิลชะงักมองเนติมาด้วยความสงสัย
“ใครคุณ ใครแอบชอบใคร...ผมเหรอ”
เนติมาพยักหน้ายิ้มบอก
“อืม...”
“เอาอะไรมาพูดคุณ วันๆผมเจอใครที่ไหน ก็เจอแต่คุณ”
ระบิลแกล้งตกใจแล้วบอก
“เฮ้ย..หรือว่าคุณ ไม่นะ คุณจะมาหลงเสน่ห์ ความเท่ ความหล่อล้ำค้ำฟ้า ผมไม่ได้นะ”
เนติมาตกใจ ตีระบิลด้วยความรู้สึกทั้งเขินทั้งอาย
“จะบ้าเหรอ คิดอะไรบ้าๆ ฉันไม่น่าพูดให้นายหลงตัวเองเลยจริงๆ”
“ฮ่าๆล้อเล่นน่าคุณ นี่..แล้วที่คุณพูดเมื่อกี้ หมายความถึงใครล่ะครับ”
เนติมาคิดนิดหนึ่งก่อนตอบเป็นเรื่องเป็นราว
“เอาไว้ให้ฉันแน่ใจอีกนิด แล้วจะเฉลย”
“อ้าว...”
“แต่ที่แน่ๆ ฉันว่าผู้กำกับวิเชษฐ์ชอบขวัญแน่ๆ”
เนติมาพูดยิ้มอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ระบิลชะงักด้วยความแปลกใจ
ระบิลกับเนติมาเดินลงมานั่งที่เก้าอี้สนาม ภายในสวนหย่อม
“คิดมากรึเปล่าคุณ คนมองกันไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย”
“ไม่แปลกหรอก แต่แววตาที่มองไม่เหมือนกัน”
เนติมาหันมาพูดกับระบิลอย่างออกรส จนระบิลอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ฉันเห็นสายตาที่ผู้กำกับมองขวัญมันพราววิบวับๆ มองแว๊บเดียวก็รู้ว่าเขารู้สึกยังไง สงสัยโรงเรียนนายร้อยคงลืมสอนวิชาซ่อนความรู้สึกของหัวใจ”
“แล้วคุณจะทำยังไง จะแปลงกายเป็นกามเทพจับคู่ให้เขารึไงครับ”
“ก็ยังไม่รู้...แต่มันก็ดีไม่ใช่เหรอ ผู้กำกับวิเชษฐ์เองก็ยังโสด เป็นผู้ใหญ่น่าจะดูแลขวัญได้ดี”
“อยู่ที่คุณขวัญจะชอบพี่เชษฐ์รึเปล่าด้วยนะครับ”
“นั่นแหละปัญหา...เฮ้อ”
เนติมาถอนใจออกมาอย่างเซ็งๆ ระบิลยิ้มพลางเงยหน้ามองดูพระจันทร์แจ่มบนฟ้า แล้วพูดอย่างใจเย็นแต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเศร้า จนเนติมาหันมามองด้วยความสงสัย
“ปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตเถอะคุณ ถ้าคนเราเกิดมาเป็นของกันและกัน ยังไงก็หนีกันไม่พ้น แต่ถ้าไม่ใช่ ต่อให้รักกันแทบตาย เขาก็พรากเอาคนที่เรารักไปอยู่ดี”
“นายคิดถึงแฟนนายเหรอ”
ระบิลนิ่งไม่ยอมตอบได้แต่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ในใจคิดถึงคนรักเก่าของตัวเองขึ้นมา เนติมาคิดอย่างชั่งใจก่อนตัดสินใจถาม
“นายไม่เห็นเคยพูดถึงคนรักให้ฟังบ้างเลย ถามทีไรก็บ่ายเบี่ยงอยู่เรื่อย”
“แฟนผมเป็นนางฟ้า”
“โห..ตอบได้สาระมาก นางฟ้า..แฟนนายเป็นแอร์โฮสเตสเหรอ”
“นี่..เรื่องของผมมันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกคุณ ว่าแต่คุณเถอะตอนทานข้าวบอกว่าจะให้ผมพาไปทำบุญให้คุณพ่อคุณแม่ เมื่อไหร่ครับผมจะได้วางแผนถูก”
ระบิลพูดตัดบท เนติมาชะงักฟังสิ่งที่ระบิลพูดแล้วรู้สึกคิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมาทันที
แผงขายดอกไม้บริเวณตลาด มีดอกไม้มากมายหลายชนิดหลากสีสัน เนติมากำลังเลือกดอกไม้อย่างตั้งใจ ขณะที่ระบิลกำลังคุยอะไรบางอย่างกับแม่ค้าแผงใกล้ๆ ก่อนจะเดินกลับมาหาเนติมา
“เจ๊ร้านนั้นเขาบอกว่า มีร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์อยู่ข้างตลาดน่ะคุณ”
“งั้นฉันฝากนายซื้อหน่อยนะ ของพวกนี้ฉันไม่ค่อยถนัดเลย”
“แต่ผมว่าไปด้วยกันดีกว่านะคุณ”
ระบิลพูดด้วยความเป็นห่วง แต่เนติมายิ้มอย่างไม่คิดอะไรมาก
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า ที่นี่คนตั้งเยอะแยะ ไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก นายซื้อของทางโน้นเสร็จ ก็พอดีกับฉันเลือกดอกไม้เสร็จนั่นแหละ”
“แต่...”
“เชื่อฉันสิจะได้ไม่เสียเวลา เดี๋ยวฉันรอนายอยู่ตรงนี้แหละ”
เนติมาพูดด้วยความสบายใจ ขณะที่ระบิลถอนหายใจอย่างขัดใจ
ระบิลเดินผ่านตึกแถวมองหาร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์อยู่ ก่อนมาหยุดที่หน้าตรอกแคบๆ
ซอยหนึ่ง
“ไหนวะ ไม่เห็นมีสักร้าน...เฮ้ย !”
ระบิลยังไม่ทันระวังตัวถูกล็อกตัวหายเข้าไปในตรอกแคบๆอย่างรวดเร็ว
ระบิลถูกเหวี่ยงมากระแทกผนังปูนอย่างแรง แต่ระบิลตั้งหลักอย่างรวดเร็ว รีบชักปืนพกออกมาเล็งทันที แต่ต้องชะงักเมื่อพบว่าคนที่ลากเขาเข้ามาคือปาน ที่ยืนจังก้ามองมาด้วยสีหน้าจริงจัง ระบิลลดปืนลงเก็บทันที ระบิลมองไปรอบๆ
“พี่ปาน ! พี่มาทำอะไรแถวนี้”
“ฉันมาเตือนแก”
“พี่เคยเตือนผมแล้ว ผมก็เคยเตือนพี่แล้วเหมือนกัน”
ระบิลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นบ้างเหมือนกัน ปานฉุนขาดเข้าไปกระชากคอเสื้อระบิลทันที
“แกไม่ต้องมาเล่นสำนวนกับฉัน โดนระเบิดเฉียดตายมาไม่เข็ดรึไง”
“ในที่สุด ผู้ร้ายก็สารภาพโดยไม่ต้องสอบสวน”
ระบิลพูดกวนอย่างรู้ทัน ปานชะงักนิดหนึ่งก่อนปล่อยมือจากคอเสื้อระบิล สีหน้าของปานรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“ชัยชนะที่พรรคสยามพัฒนาได้ มันไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะสงบ ยังไงนายของฉันก็ต้องทำทุกอย่าง เพื่อเอาของๆเขาคืน”
“ของเขางั้นเหรอ ! นี่เจ้านายพี่ปานเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า แผ่นดินนี้ ประเทศนี้เป็นของคนไทยทุกคนนะพี่ ประเทศนี้ไม่ใช่ขนมที่ใครจะมากอดหวงเก็บไว้กิน”
“ไอ้ระบิล !”
ปานหันมาหาระบิลด้วยความโมโห ขณะที่ระบิลมองหน้าปานอย่างไม่เกรงกลัว ปานชะงักถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ
“ถ้าแกไม่ใช่น้องไอ้ก้อง ฉันเอาแกตายแน่”
“ผมก็ไม่ยอมให้พี่ปานทำอะไรที่ผิดต่อแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเองเหมือนกัน พี่ปาน...”
“แกไม่ต้องมาสอนฉัน แล้วก็ระวังเงาหัวตัวเองไว้ด้วย เพราะเกมนี้ไม่เลิกก็ตาย”
ปานหันหลังเดินกลับออกไปทางปากตรอก
“สิบปีแล้วนะพี่ปาน !”
ปานชะงักนิ่งเมื่อระบิลพูดขึ้น ก่อนระบิลจะพูดต่อด้วยความอัดอั้นเพราะคิดถึงพี่ชายตัวเองที่หายสาปสูญไป
“พี่ก้องจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้”
ปานนิ่งฟังโดยไม่หันไปหาระบิล แต่สีหน้าของปานเครียดขึ้นมาทันที
“พี่ปานไม่เป็นห่วงพี่ก้องบ้างเหรอ”
ปานรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนโยนก้องเพื่อนรักของตัวและเป็นพี่ชายของระบิลลงทะเลไปกับมือ ปานยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิด ตัดสินใจเดินออกไปทันทีโดยไม่สนใจเสียงเรียกของระบิล
“พี่ปาน..พี่ปานเดี๋ยว”
ระบิลมองตามปานก่อนจะคิดอะไรอยู่นิดหนึ่งแล้วก็กังวลขึ้นมาทันที
“พี่ปานอยู่แถวนี้ แล้วถ้าไอ้อิทธิหาญมัน..คุณเนติ์!”
ระบิลรีบวิ่งออกไปทันทีด้วยความเป็นห่วงเนติมาเป็นอย่างมาก
ระบิลวิ่งเลี้ยวเข้ามามองไปที่แผงขายดอกไม้ตรงหน้าแต่ไม่เห็นเนติมาอยู่ตรงนั้นแล้ว ระบิลตกใจรีบวิ่งเข้าไปถามเจ้าของร้านทันที
“ป้าครับป้า ผู้หญิงคนเมื่อกี้อยู่ไหน”
“คนไหนจ๊ะ”
“ก็คนที่มาซื้อดอกไม้เมื่อกี้ไงครับ”
ระบิลพูดด้วยความร้อนใจ เจ้าของร้านนิ่วหน้าด้วยความสงสัย
“คนไหน ฉันขายตั้งหลายคน”
“ก็…”
“คุณระบิล”
ระบิลชะงักหันไปเห็นเนติมายืนยิ้มอยู่ข้างหลัง ในมือถือถุงดอกไม้และผลไม้มาเต็มสองมือ
ระบิลถือถุงของเดินคุยกับเนติมาในบริเวณทางเดินในตลาด
“โธ่เอ๊ย..นายนอยด์มากไปแล้ว ฉันแค่เดินไปซื้อผลไม้เท่านั้นเอง”
“ก็ผมเป็นห่วงคุณ”
ระบิลพูดจากใจ เนติมายิ้มมองระบิลอย่างชื่นชม
“ก็เลยต้องเดินย้อนไปร้านสังฆภัณฑ์อีกรอบ”
“ผมว่าเราไปซื้อที่อื่นกันเถอะครับ”
“อ้าว..ทำไมล่ะ ไหนนายบอกว่ามีร้านสังฆภัณฑ์อยู่แถวนี้ไม่ใช่เหรอ”
“ก็..หาไม่เจอน่ะคุณ ผมว่าไปหาเอาข้างหน้าดีกว่า ยังไงใกล้ๆวัดก็ต้องมีบ้างแหละน่า”
“แต่ฉันว่า…”
“ไป…”
“โอ๊ย..เดี๋ยวสิ”
ระบิลมองไปรอบๆอย่างระวังภัย ก่อนดันหลังเนติมาออกไปทางหนึ่ง เนติมาพยายามรั้งไว้ด้วยความสงสัย
ระบิลกับเนติมาเดินถือของที่จะเอามาทำบุญหลายอย่าง เนติมายังบ่นไม่เลิก
“ดื้อจริงๆ เห็นมั้ยเลยต้องขับรถวนหาตั้งนาน”
“น่า..อย่างน้อยก็ได้ครบแหละคุณ เดี๋ยวไหว้คุณพ่อคุณแม่คุณเสร็จแล้วค่อยไปทำบังสุกุลนะ”
ระบิลชูถุงใส่ของขี้นมาให้เนติมาดู เนติมายิ้มรับคำ ก่อนคิดอะไรอยู่นิดหนึ่งแล้วถอนใจออกมา
“สิบปีแล้ว เร็วจัง”
“สิบปี…”
ระบิลชะงักไปนิดหนึ่งแล้วอดนึกถึงพี่ชายตัวเองขึ้นมาอีกไม่ได้
สิบปีที่แล้ว ก้องพี่ชายของระบิลเคยถูกอิทธิหาญบังคับให้ฆ่าพ่อแม่ของเนติมา แต่ก้องไม่ยอมทำ อิทธิหาญจึงบังคับปานให้ฆ่าเพื่อนตัวเองอีกต่อหนึ่ง พี่ชายของระบิลตายวันเดียวกับวิเชียรและพรรณศรี
“อืม..เร็วจนไม่อยากเชื่อว่า ฉันมีชีวิตอยู่มาได้ยังไง”
เนติมาพูดด้วยน้ำเสียงสลดลงนิดหนึ่ง ระบิลคิดอะไรอยู่นิดหนึ่งก่อนยิ้มมองเนติมาอย่างชื่นชม
“เพราะคุณเข้มแข็งไงครับ”
“เข้มแข็งเหรอ ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าฉันต้องอยู่ให้ได้”
“นั่นแหละครับเขาเรียกว่าเข้มแข็ง ถ้าเป็นคนอื่นเขาเรื่องร้ายๆอย่างคุณ เขาจะทนได้รึเปล่าก็ไม่รู้”
“แหม..พูดให้กำลังใจอย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย ไป..ป่านนี้คุณพ่อคุณแม่ฉันรอแย่แล้ว”
เนติมายิ้มพูดอย่างขอบคุณก่อนเดินนำระบิลไป ขณะที่ระบิลยืนนิ่งมองไปที่สถูปไว้อัฐิที่เรียงรายอยู่ไม่ห่างนัก พลางครุ่นคิดอดที่จะรู้สึกไม่สบายใจเรื่องพี่ชายขึ้นมาไม่ได้
เนติมาหันกลับมามองระบิลด้วยความสงสัย
“นายเป็นอะไรน่ะ”
“เออ..ไม่เป็นอะไรครับ ไป รีบไปกันดีกว่า”
ระบิลยิ้มกลบเกลื่อนก่อนรีบเดินเข้าไปหาเนติมาแล้วเดินนำต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ้าว..อะไรของนายเนี่ย”
เนติมามองและเดินตามระบิลไปด้วยความสงสัย
เนติมาพนมมือถือธูปไหว้สถูปเก็บอัฐิพ่อกับแม่แล้วมองรูปของวิเชียรกับพรรณศรีด้วยความคิดถึง ก่อนปักธูปลงบนกระถาง
“หนูอยากกอดคุณพ่อคุณแม่อีกสักครั้ง แต่คงเป็นไปไม่ได้แล้ว”
ระบิลนั่งคุกเข่าเยื้องไปด้านหลังเนติมา มองเนติมาอย่างเข้าใจ เนติมาเอื้อมมือไปสัมผัสรูปวิเชียรกับพรรณศรีด้วยสีหน้าสลดลงนิดหนึ่ง
“หนูคงใกล้คุณพ่อคุณแม่ที่สุดได้เท่านี้ใช่มั้ยคะ”
เนติมาพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อออกมาคลอเบ้า จนระบิลอดเป็นห่วงไม่ได้
“คุณ...”
“ฉันไม่เป็นไรและฉันจะไม่ยอมเป็นอะไรเด็ดขาด จนกว่าคนชั่วจะได้รับกรรมที่ก่อไว้”
เนติมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น จังหวะนั้น...ระบิลได้ยินเสียงคนเดินผ่านมาใกล้ๆ ระบิลหันขวับไปดูต้องตกใจเมื่อเห็นปานถือถุงใบโตเดินผ่านใกล้เข้ามา
ระบิลรีบคว้าแขนเนติมาอย่างรวดเร็วเพื่อจะดึงตัวไปหลบ
“คุณมานี่ !”
“อะไร..อุ๊บ !”
“ตามผมมานี่ !”
เนติมาพยายามร้องถาม แต่โดนระบิลเอามือปิดปากแล้วดึงตัวไปหลบด้านหลังสถูปทันที ก่อนที่เนติมาจะดึงมือระบิลออกจากปากด้วยความสงสัย
“มีอะไร”
ระบิลไม่ตอบอะไร แต่ชี้ไปยังทางเดินที่อยู่ใกล้ๆ เนติมามองตามไปก็ตะลึงเมื่อเห็นปานเดินผ่านมา
เนติมาเผลอตัวขยับตัวออกไปจากที่ซ่อนจนระบิลต้องดึงตัวเนติมาหลบเข้ามาอีกครั้ง ระบิลพูดเบาๆ
“ระวังคุณ”
“คนของอิทธิหาญ มาทำอะไรที่นี่”
เนติมามองตามปานไปด้วยความสงสัย ระบิลมองไปรอบๆอย่างระวังภัยด้วยสีหน้าไม่สบายใจขึ้นมาทันที
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 6 (ต่อ)
บนศาลาวัด ปานกำลังถวายสังฆทานให้พระสงฆ์ ก่อนจะกรวดน้ำอย่างสงบนิ่ง เนติมาย่องมาแอบดูปานอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ด้านข้างศาลาด้วยความสงสัย โดยมีระบิลปรี่ตามเข้ามาและดึงเนติมาให้หลบหลังต้นไม้อย่างแนบเนียนขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“กลับเถอะคุณ มันอันตรายนะ”
“ก็ฉันอยากรู้นี่นาว่านายนั่นมาทำอะไร”
“ก็เห็นแล้วนี่ครับว่า เขามาทำบุญ ไป..วันหลังค่อยมาใหม่”
“แต่ฉันยังทำบุญให้คุณพ่อคุณแม่ไม่เสร็จ”
“คุณ..จะมาดื้ออะไรตอนนี้เนี่ย เกิดพวกมัน..เฮ้ย !”
ระบิลชำเลืองไปเห็นลูกน้องอิทธิหาญอีกคนเดินผ่านมา ระบิลรีบรวบตัวเนติมาเข้ามาแอบหลังพุ่มไม้ทันทีทำให้ร่างของทั้งสองคนแนบชิดติดกันจนเนติมาชะงักเกร็งทำอะไรไม่ถูก
ระบิลเอื้อมมือไปกระชับปืนที่พกอยู่ใต้เสื้อแน่นพร้อมป้องกันตัว
“นี่นายพกปืนเข้าวัดเหรอ”
“ไม่ต้องห่วง ไม่จวนตัวผมไม่ใช้มันแน่”
ระบิลพูดอย่างจริงจังก่อนกระชับตัวเนติมาแน่น มองลูกน้องอิทธิหาญเดินผ่านไปที่บันไดศาลาวัดอย่างไม่วางตา ลูกน้องอิทธิหาญยืนที่เชิงบันไดศาลา ก่อนเรียกเบาๆ
“พี่ปาน..พี่ปาน”
ปานกรวดน้ำเสร็จก้มลงกราบลาพระสงฆ์เรียบร้อย ก่อนหยิบน้ำที่กรวดลุกเดินไปหาลูกน้องอิทธิหาญอย่างขัดใจเล็กน้อย
“เรียกทำไมวะ คนจะทำบุญ”
ปานก้มลงเทน้ำที่กรวดลงไปยังโคนต้นไม้ใหญ่เชิงบันไดศาลา พลางพูดพึมพำเบาๆ สีหน้าของปานบ่งบอกถึงความทุกข์ที่อยู่ในใจ
“ข้ามาทำบุญให้เอ็งนะเพื่อน”
ระบิลกับเนติมาแอบมองออกมาจากพุ่มไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ ก่อนจะรีบหลบเข้าไปเมื่อปานลุกขึ้น แล้วส่งขันน้ำให้ลูกน้อง
“เอาไปคืนบนศาลาให้ที”
“จ้ะพี่”
ลูกน้องอิทธิหาญรับขันน้ำมาแล้ววิ่งขึ้นไปบนศาลาก่อนจะลงมาอย่างรวดเร็ว ปานจะเดินนำลูกน้อง
อิทธิหาญผ่านตรงที่ระบิลกับเนติมาหลบอยู่อย่างไม่ทันสังเกต
ระบิลกับเนติมาถอนใจอย่างโล่งอก ระบิลปล่อยมือจากปืนทันที เนติมาตีมือระบิลที่ยังรวบเอวเธอไว้
“นี่..ปล่อยได้แล้ว”
“เออ..ขอโทษครับ”
ระบิลยิ้มเจื่อนรีบปล่อยมือจากเนติมาทันที ระบิลกับเนติมามองหน้ากัน
“อืม..พวกนั้นกลับไปแล้ว จะกลับไปไหว้คุณพ่อคุณแม่ต่อก็ได้นะครับ” ระบิลจะพูดตัดบทขึ้นมา
ระบิลกับเนติมาเดินคุยกันมาตามทางเดินใกล้สถูปอัฐิของวิเชียรกับพรรณศรี
“เป็นเรื่องบังเอิญที่พวกนั้นมาวัดนี้มากกว่า มันคงไม่รู้หรอกครับว่าอัฐิคุณพ่อคุณแม่คุณอยู่ที่นี่”
“ไม่รู้ก็ดีแล้ว ไม่งั้นฉันคง...”
“เดี๋ยวคุณ !”
ระบิลรีบดึงเนติมาเข้ามาหลบที่กำบังใกล้ๆทันที เนติมามองระบิลด้วยความสงสัย
“อะไรอีก !”
“เงียบๆ มีคนมา”
ระบิลรีบจุ๊ปากให้เนติมาเงียบเสียง เสียงพูดของดลกับอนงค์ดังเข้ามาพอดี
“พี่ดล นี่ของๆใครอ่ะจ๊ะ”
“นั่นสิอ้อ ไหว้ผิดที่รึเปล่า”
“ไม่น่าผิดนะจ๊ะ ทั้งรูป ทั้งชื่อคุณพ่อคุณแม่พี่ดลก็ติดอยู่เนี่ย”
ระบิลกับเนติมาชะงักหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ เนติมารีบออกจากที่ซ่อนตัวออกไปหาดลทันที จนระบิลห้ามไม่ทัน
“เดี๋ยวคุณ !”
เนติมาเดินเข้าไปหาดลด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ดลกับอ้อสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาพบเนติมายืนมองมา โดยมีระบิลตามมายืนข้างๆเนติมาด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
“พี่ดล..นั่น”
เนติมากับกับดลมองหน้ากันนิ่งตะลึงงัน ไม่คาดฝันว่าจะมาพบกันวันนี้
ภาพในอดีตผุดขึ้นในความทรงจำของทั้งสองทันที
ภายในบ้านอิสราวัชร เนติมาในวัย 10 ขวบกับยศวีร์ในวัย 5 ขวบกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน วิเชียรกับพรรณศรีนั่งดูลูกสองคนอย่างมีความสุข ก่อนทั้งเนติมากับยศวีร์จะวิ่งแข่งกันมากอดพ่อกับแม่
“ไงเหนื่อยมั้ยลูก” พรรณศรีถาม
“เหนื่อยค่ะ”
“หิวด้วยครับ” ยศวีร์ว่า
“งั้นเดี๋ยวพ่อทำของอร่อยๆให้ทานเอามั้ย”
“เอาค่ะ / เอาครับคุณพ่อ” เนติมากับยศวีร์พูดขึ้นพร้อมกัน
“เนติ์รักคุณพ่อคุณแม่ที่สุดในโลกเลย”
“วีร์ก็รักคุณพ่อคุณแม่ที่สุดในโลกเหมือนพี่เนติ์ครับ”
วิเชียร์กับพรรณศรียิ้มด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ ดึงลูกทั้งสองคนเข้ามากอดด้วยความรัก
… วันหนึ่ง เมื่อเนติมาอายุ 15 ปีถือเค้กที่เทียนจุดมาเรียบร้อย ร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้ยศวีร์ในวัย 10 ขวบพร้อมด้วยวิเชียรและพรรณศรี ก่อนเนติมาจะยื่นขนมเค้กมาให้
“สุขสันต์วันเกิดจ้ะน้องรัก”
พรรณศรียิ้มแล้วบอก
“เป่าเทียนสิลูก”
ยศวีร์ยิ้มก่อนเป่าเทียนวันเกิดแล้วก้มมองหน้าเค้กที่ตกแต่งสวยงามเป็นรูปโลโก้ “S” ของซุปเปอร์แมน มีข้อความเขียนไว้ว่า “สุขสันต์วันเกิดน้องรักของพี่ จาก..พี่เนติ์”
“พี่เนติ์เขาอุตส่าห์ไปหัดแต่งหน้าเค้กเพื่อวันเกิดของวีร์เลยนะลูก”
“ถูกใจมั้ยจ๊ะ”
“ถูกใจที่สุดเลยครับพี่เนติ์ พี่เนติ์เก่งที่สุดเลย ขอบคุณนะครับ”
ยศวีร์โผเข้ากอดพี่สาวด้วยความรัก เนติมากอดตอบน้องชายด้วยความรักเช่นกัน
วิเชียรกับพรรณศรีหันมามองหน้ากันอย่างมีความสุขที่เห็นลูกๆรักกัน วิเชียรก้มลงไปพูดกับลูกทั้งสองคนอย่างอ่อนโยน
“เนติ์ต้องรักน้องให้มากๆนะลูก”
“แน่นอนค่ะคุณพ่อ ก็เรามีกันอยู่สองคนพี่น้องนี่คะ”
เนติมาพูดอย่างอารมณ์ดี ยศวีร์พูดตามบ้างพร้อมทำท่าขึงขังเหมือนตัวเองเป็นซุปเปอร์แมน
“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยววีร์โตขึ้นจะปกป้องพี่เนติ์เอง”
“เก่งมากลูก พี่น้องกันต้องดูแลกันไม่ทิ้งกันรู้มั้ยจ๊ะ” พรรณศรีบอก
“ค่ะคุณแม่ เราสัญญาว่าจะไม่ทิ้งกัน”
“วีร์ก็สัญญาครับผม”
เนติมากับยศวีร์ยิ้มรับคำอย่างขันแข็ง วิเชียรกับพรรณศรียิ้มอย่างมีความสุข
เนติมากับดลยืนมองหน้ากันด้วยความดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า
“วีร์”
“พี่เนติ์”
เนติมากับดลโผเข้ากอดกันแน่น ร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกทั้งดีใจและคิดถึงอย่างที่สุด เนติมาประคองหน้าดลขึ้นมามองอย่างไม่เชื่อสายตา
“พี่นึกว่าจะไม่ได้เจอวีร์อีกแล้ว”
“ผมคิดถึงพี่เนติ์นะครับ ผมรอเวลานี้มาทั้งชีวิตครับพี่เนติ์”
“จะไม่มีอะไรพรากเราสองคนพี่น้องอีกแล้ว”
อนงค์มองภาพตรงหน้าอดน้ำตาไหลตามออกมาไม่ได้ด้วยความตื้นตันใจ ระบิลอมยิ้มออกมาด้วยความอิ่มใจพลางมองไปยังรูปของวิเชียรกับพรรณศรีที่สถูป
“คุณพ่อคุณแม่ของคุณคงอยากให้คุณสองคนพบกันซะทีนะครับ”
เนติมากับดลหันมองรูปพ่อกับแม่ด้วยความคิดถึง
เนติมากับดลนั่งคุกเข่าอยู่หน้าสถูปอัฐิวิเชียรกับพรรณศรี ไหว้และปักธูปลงในกระถาง ก่อนหันมายิ้มให้กันอย่างมีความสุขจนน้ำตาคลอเบ้า เนติมาจะดึงดลเข้ามากอดด้วยความรักและผูกพัน ระบิลกับอนงค์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆมองภาพตรงหน้าด้วยความอิ่มใจ
บนศาลาวัด เนติมากับดลถวายสังฆทานให้พระอย่างมีความสุขโดยมีระบิลกับอนงค์นั่งอยู่ใกล้ๆ
ดลกับอนงค์กรวดน้ำต่อหน้าพระสงฆ์ที่กำลังสวดอยู่
บริเวณศาลาริมน้ำภายในวัด ระบิล เนติมา ดล อนงค์กำลังปล่อยปลาลงในแม่น้ำเสร็จเรียบร้อยพอดี ทั้งหมดสีหน้าเต็มไปด้วยความสุข ระบิลสายตาทอดไกลมองไปที่แม่น้ำเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วถอนใจด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ..วันนี้เมื่อสิบปีที่แล้วเป็นวันแห่งความพลัดพราก แต่วันนี้โลกหมุนพาสิ่งที่พรากจากให้มาพบกันจนได้นะครับ”
“ต่อไป จะไม่มีอะไรพรากเราสองคนได้อีกแล้วล่ะ”
เนติมายิ้มอย่างมีความสุขเอื้อมมือไปโอบไหล่ดลอย่างอารมณ์ดี ดลยิ้มอย่างมีความสุข
“วันนี้ดูพี่ดลมีความสุขที่สุดเลยนะจ๊ะ” อนงค์ว่า
“ก็วันนี้เป็นวันที่พี่รอมาตลอดชีวิตของพี่แล้วนี่อ้อ”
ระบิลยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“มาครับ วันนี้ผมเป็นเจ้ามือเอง”
“เจ้ามือ”
เนติมานิ่วหน้าด้วยความสงสัย ระบิลยิ้มชอบใจ
ภายในร้านอาหารริมน้ำ บนโต๊ะเรียงรายไปด้วยอาหารหลายอย่าง เนติมา ดล อนงค์นั่งคุยกันอย่างออกรส
“โธ่เอ๊ย..ตามดูพี่อยู่ตั้งนาน ทำไมไม่เข้ามาหาล่ะวี”
“พยายามเข้าไปเหมือนกันครับ แต่เข้าไม่ถึงตัว”
“เคยไปหาที่พรรคน่ะจ้ะ...แต่เขาไม่ให้เข้า” อนงค์พูดพลางยิ้มเจื่อน
“เขาคงเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยน่ะ...แต่ไม่เป็นไร ต่อไปนี้เราก็ได้อยู่ด้วยกันแล้ว อืม..น้องอ้อ”
“คะพี่เนติ์”
“พาพี่ไปกราบคุณพ่อของอ้อหน่อยนะจ๊ะ ท่านมีพระคุณกับเราสองคนมาก”
“ได้เลยจ้ะพี่เนติ์”
อนงค์ตอบด้วยรอยยิ้ม เนติมามองไปรอบๆเพื่อหาระบิล
“เอ๊ะ..แล้วเจ้ามือมื้อนี้อยู่ไหนเนี่ย สั่งอาหารเสร็จก็ลุกหายไปเลย”
ดลเห็นก่อน
“อยู่นั่นครับพี่เนติ์”
ดลชี้ให้เนติมาดูที่ระเบียง เนติมามองตามด้วยความสงสัย ระบิลยืนกอดอกเหม่อมองออกไปยังแม่น้ำตรงหน้า
เนติมาได้พบกับน้องชายทำให้ระบิลอดคิดถึงพี่ชายที่หายสาบสูญไม่ได้ ระบิลยืนเหม่อมองออกไปในแม่น้ำด้วยความรู้สึกนั้น แต่จังหวะเดียวกันระบิลต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงเนติมาเรียก
“คุณระบิล”
เสียงเนติมาทำให้ระบิลสะดุ้ง และยิ้มกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว
“อ้าว.. อิ่มแล้วเหรอครับ”
“อิ่มที่ไหน เจ้ามือไม่ไปนั่งเป็นประธาน ใครจะทานลงล่ะจ๊ะ”
เนติมาพูดพลางมองระบิลอย่างสังเกต
“นายเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย”
“เป็นอะไร ผมก็เป็นบอดี้การส่วนตัวว่าที่ผู้หญิงหมายเลขหนึ่งของประเทศน่ะสิคร้าบ ฮะฮ่า แหม..แค่นึกก็เท่แล้ว”
ระบิลแกล้งทำเฉไฉ วางมาดหล่ออย่างขำๆ แต่เนติมามองอย่างรู้ทัน
“ฉันไม่ใช่เด็กอมมือนะ ไหนบอกมาสิว่ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ เมื่อกี้ถึงทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบขนาดนั้น”
“ถ้าผมยิ้มทั้งวัน ผมก็บ้าแล้วคุณ”
“แต่เมื่อกี้ฉันเห็น...”
“สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่คุณคิดก็ได้นะ”
เนติมามองระบิลด้วยความหมั่นไส้ แต่ระบิลยังคงลอยหน้าลอยตายิ้มอย่างไม่รู้ไม่ชี้
“แต่...”
“ไม่เห็นอะไรแล้วคุณ หิวจะเป็นลมอยู่แล้วเนี่ย โอย..เร็วคุณ”
ระบิลแกล้งเฉไฉทำเหมือนจะเป็นลมแล้วเดินเลี่ยงออกไปทันที โดยไม่สนใจเสียงเรียกของเนติมา
“นี่นาย..เดี๋ยวสิ ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ”
เนติมามองค้อนและเดินตามระบิลไปด้วยความหมั่นไส้
รถของเนติมาวิ่งมายังเส้นทางถนนราดยางที่ว่างเปล่าไร้ยวดยาน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น ภายในรถระบิลกำลังขับรถอยู่ เนติมาที่กำลังคุยโทรศัพท์นั่งอยู่ข้างๆ ส่วนดลกับอนงค์นั่งอยู่ทางเบาะหลัง
“ไม่ต้องห่วงนะคะพี่ศิวัช ค่ำๆเนติ์ก็กลับแล้ว...เนติ์ก็คิดถึงพี่ศิวัชนะคะ”
เนติมากดวางสาย ระบิล ดลและอนงค์ยิ้มมองมายังเนติมาอย่างชอบใจ
“มองอะไรกันอ่ะ”
“มองว่ามีมดขึ้นรถรึเปล่าน่ะคุณ”
เนติมามองหามดไปรอบๆ ระบิลยิ้มลอยหน้าลอยตาพูดอย่างชอบใจ
“จิ๊จ๊ะจี๋จ๋ากันตั้งแต่หลุดเขตกรุงเทพฯ จนจะถึงสวนน้องอ้ออยู่แล้วนะคุณ แหม..หวานจนชาวบ้านแถวนี้เขานึกว่ารถคันนี้เป็นรถบรรทุกอ้อยแล้วมั้งเนี่ย”
“นี่ๆเว่อร์อีกแล้ว หยุดพูดแล้วขับรถไปเลย เดี๋ยวก็หลงทางหรอก”
“อย่าบอกนะครับพี่เนติ์ ว่าพี่ศิวัชที่พี่เนติ์คุยด้วยคือคุณศิวัช กิตติธร”
ดลยิ้มถามด้วยความอยากรู้ อนงค์ยิ้มอย่างอยากรู้เหมือนกับดล
“ใช่จ้ะ ไว้พี่จะพาวีร์ไปรู้จักนะ”
“ตื่นเต้นมั้ยครับ จะมีพี่เขยเป็นนายกฯเชียวนะ”
ระบิลพูดอย่างไม่คิดอะไรมาก เมื่อมองผ่านกระจกหลังเห็นดลกับอนงค์มองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ..แล้วคนที่ชอบควงคุณศิวัชออกงานนั่นล่ะครับพี่เนติ์”
“เห็นสื่อชอบแซวว่าเป็นแฟนกันบ่อยมากเลยนะจ๊ะ” อนงค์ว่า
ดลกับอนงค์ถามด้วยความสงสัย เนติมาหน้าเจื่อนลงนิดหนึ่ง ระบิลสังเกตเห็นเลยรีบพูดไม่ให้เนติมาคิดมาก
“โอ๊ย..นั่นน่ะตัวปลอมครับ เขาไว้ควงออกงานเล่นๆ ส่วนตัวจริง นี่..นั่งผ่องเป็นหลอดนีออนอยู่เนี่ยครับ ฮ่าๆ”
“นี่..ขำอะไร ฉันไม่ขำกับนายด้วยนะ เดี๋ยวฉันก็....”
เนติมาค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้ แต่ระบิลยังยิ้มกวนก่อนพูดตัดบททันที
“เออ..เลี้ยวซ้ายข้างหน้าใช่มั้ยครับน้องอ้อ”
คำเที่ยงกำลังคัดเลือกผลไม้เรียงใส่เข่งอยู่ที่ใต้ถุนบ้านอย่างใจเย็น
“พ่อจ๋า”
คำเที่ยงสะดุ้งนิดหนึ่งก่อนหันไปเห็นอนงค์ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ คำเที่ยงมองด้วยความแปลกใจ
“อ้อ ! กลับมายังไงลูก”
“แหม..หนูก็นั่งรถกลับมาสิจ๊ะ”
“ถามดีๆตอบกวนซะอย่างนั้น เดี๋ยวหัวแตก”
คำเที่ยงแกล้งเงื้อไม้ที่อยู่ในมือขึ้น อนงค์โผเข้าไปกอดอ้อนเอาใจ
“แหม..รักดอกจึงหยอกเล่นนะจ๊ะพ่อจ๋า”
“แล้วทำไมมาคนเดียว พี่ดลไม่ได้กลับมาด้วยเหรอลูก”
คำเที่ยงถามด้วยความสงสัย อนงค์จับมือพ่อด้วยรอยยิ้ม
“มาสิจ๊ะพ่อ...พี่ดลพาคนมาเยี่ยมพ่อด้วยนะจ๊ะ”
“ใคร...”
คำเที่ยงนิ่วหน้าด้วยความสงสัย ขณะที่อนงค์ได้แต่ยิ้มไม่ยอมตอบ แต่หันออกไปทางด้านหลัง คำเที่ยงมองตามสายตาลูกสาวก็เห็นดลเดินออกมาจากหลังแนวไม้ที่อยู่ใกล้ๆ โดยมีเนติมาและระบิลตามออกมาด้วย คำเที่ยงตะลึง
“คุณหนู !”
คำเที่ยงตั้งสติได้รีบวางงานก่อนขยับจะย่อตัวลงนั่งพร้อมยกมือไหว้เนติมาอย่างนอบน้อม แต่เนติมารีบเข้ามาประคองคำเที่ยงไว้ทันทีด้วยความเกรงใจ
“อย่าค่ะคุณลุง”
“คุณหนูเป็นลูกของคุณวิเชียร คุณวิเชียรมีพระคุณกับผม...”
“แต่คุณลุงก็มีพระคุณกับเราสองคนพี่น้องมากนะคะ”
เนติมาพูดจากใจจริง คำเที่ยงยังรู้สึกเกรงใจจนดลกับอนงค์ต้องไปประคอง
“พ่อลุกขึ้นเถอะครับ เราคนกันเองทั้งนั้น”
“เดี๋ยวพี่เนติ์เขาอึดอัดนะจ๊ะพ่อ”
คำเที่ยงมองดลกับลูกสาวอย่างชั่งใจนิดหนึ่งก่อนจะลุกขึ้น เนติมาหันไปยิ้มกับระบิลอย่างโล่งใจ
บริเวณพรรคสยามพัฒนา ปฏิพรขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถพลางก้าวลงจากรถมาอย่างอารมณ์ดี ปฏิพรเดินอ้อมมาทางหลังรถเพื่อจะเดินเข้าไปยังตัวอาคาร แต่ต้องชะงักด้วยความตกใจ เมื่อรถของอิทธิหาญขับปราดเข้ามาขวางไว้
“ว้าย !”
อิทธิหาญเปิดประตูลงมาอย่างใจเย็น มองปฏิพรอย่างกวนๆ ปฏิพรเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“นึกว่าใคร จะมาก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ”
“โธ่..น้องตี้ เห็นพี่เป็นพวกชอบหาเรื่องไปได้”
“รึไม่จริง ใครๆเขาก็รู้ แต่เขาไม่กล้าพูดมากกว่า เอ..แต่หมดอำนาจแล้วนี่ ระวังนะคะ จะมีคนเขาตามแฉรายวัน..ฮ่าๆ” ปฏิพรลอยหน้าลอยตาพูดพลางหัวเราะชอบใจ
อิทธิหาญฉุน คว้าแขนปฏิพรทันที ปฏิพรตกใจด้วยความกลัว
“โอ๊ย..เจ็บนะ !”
“ปากดีอย่างนี้ อยากมีผัวกลางวันแสกๆเหรอจ๊ะน้องตี้”
“อย่านะ ! ไม่งั้นฉันฟ้องคุณลุงจริงๆด้วย ปล่อย !”
ปานเปิดประตูลงมาจากรถมาพูดกับอิทธิหาญด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เสี่ยครับ”
ปานพยักเพยิดให้อิทธิหาญมองไปรอบๆ เห็น รปภ. และคนสามสี่คนที่อยู่ห่างออกไปหันมามอง อิทธิหาญปล่อยมือปฏิพรอย่างขัดใจ ขณะที่ปฏิพรยิ้มเยาะ
“ให้มันรู้ซะบ้าง ว่าที่นี่ถิ่นใคร..ว้าย !”
อิทธิหาญขยับจะเข้ามาหาอีก ปฏิพรตกใจรีบเดินเลี่ยงเข้าไปในตัวอาคารทันที ขณะที่อิทธิหาญมองตามไปด้วยความเจ็บใจ
“เสี่ยจะเข้าไปข้างในมั้ยครับ”
ปานถามอย่างใจเย็น อิทธิหาญนิ่งคิดแต่สีหน้าหงุดหงิด
ปฏิพรเดินมาตามทางเดินหน้าห้องประชุมพรรคสยามพัฒนาอย่างหงุดหงิดที่เจอกับอิทธิหาญ
“ขยะแขยง ไม่เคยเจอผู้ชายเถื่อนขนาดนี้มาก่อนเลย” ปฏิพรบ่นฮุบ
ปฏิพรกำลังจะเอื้อมมือขึ้นเคาะประตูห้องประชุม แต่ต้องชะงักเมื่อพงษ์เลิศกับชลกรเปิดประตูห้องออกมาพอดี
“อุ๊ย !”
ชลกรมองปฏิพรอย่างไม่ยินดียินร้าย ขณะที่พงษ์เลิศอดมองปฏิพรด้วยสายตาเจ้าชู้ไม่ได้จนปฏิพรต้องหลบตา จังหวะนั้น ศิวัชเดินตามออกมาพอดี
“พี่ศิวัช”
“อ้าว..น้องตี้ พวกเราคุยงานเสร็จพอดีเลย”
ศิวัชพูดกับพงษ์เลิศ
“ยินดีนะครับที่มีโอกาสร่วมงานกัน”
ปฏิพรยิ้มดีใจปรี่เข้าไปเกาะแขนศิวัชทันที ขณะที่พงษ์เลิศกับชลกรหันกลับไปแสร้งยิ้มกับศิวัช ธำรงกับนายพลทวีเดินตามออกมาพอดี
“เล็กน้อยหลานชาย หลานก็รู้นี่ว่าอาไม่คิดต่อรองตำแหน่งอยู่แล้ว” พงษ์เลิศบอก
“ความจริงเราน่าไปฉลองต่อกันหน่อยนะครับ” ธำรงว่า
“บังเอิญเรามีธุระนิดหน่อยน่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” ชลกรว่า
ศิวัช ธำรง นายพลทวีหันมามองหน้าอย่างรู้กัน ศิวัชหันไปพูดกับพงษ์เลิศกับชลกรอย่างยิ้มๆ
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง”
ศิวัช พงษ์เลิศ ชลกร ขยับจะเดินออกไป ขณะนั้น เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งเดินหน้าตาตื่นเข้ามาหาธำรงอย่างรวดเร็ว
“ท่านคะ...”
“มีอะไร”
ยังไม่ทันที่เจ้าหน้าที่หญิงจะพูดอะไร เสียงอิทธิหาญก็โวยวายดังแว่วมาจากด้านนอกเข้ามา
“ทำไมวะ ทำไมกูจะเข้าไม่ได้ !”
ทั้งหมดชะงัก ปฏิพรถอนใจด้วยความเซ็ง
“ตายจริง กล้าตามเข้ามาอาละวาดถึงในนี้เลยเหรอเนี่ย”
พงษ์เลิศกับชลกรหันมามองหน้ากันด้วยความไม่สบายใจ
บริเวณล็อบบี้ที่ทำการพรรคสยามพัฒนาอิทธิหาญยืนจังก้าวางท่านักเลงกับเจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่งที่ยืนหน้าเจื่อนอยู่
“มึงเป็นใครถึงจะให้กูนั่งรอตรงนี้”
“เออ...แต่มันเป็นระเบียบ...”
“กูไม่สน พากูไปห้องประชุมเดี๋ยวนี้” อิทธิหาญพูดเสียงดุพลางเงื้อหมัดจะชกเจ้าหน้าที่
“หยุดนะ !”
เสียงพงษ์เลิศดังออกมาจากด้านในก่อนเดินออกมาด้วยสีหน้าเข้ม พร้อมกับชลกร โดยมีศิวัช ธำรง ปฎิพร นายพลทวี เดินตามออกมาด้วย
“พ่อ...”
“ไปคุยที่บ้าน”
“แต่พ่อ...”
“ไปคุยที่บ้าน !”
พงษ์เลิศพูดเสียงเข้มขึ้นพลางเดินออกไปทันที อิทธิหาญมองไปรอบๆด้วยความเจ็บใจ สายตาจับจ้องไปที่กลุ่มของศิวัช ปฏิพร ธำรง นายพลทวีที่ยืนอมยิ้มอย่างสบายใจ อิทธิหาญฉุนกึก
“มึง !”
อิทธิหาญขยับหยิบปืนที่พกอยู่ออกมาขู่ เจ้าหน้าที่ของพรรคต่างตกใจร้องเสียงหลง กรูกันหนีไปหลบอยู่มุมหนึ่ง ขณะที่ปฏิพรรีบหลบเข้าไปด้านหลังศิวัชด้วยความตกใจ
“พี่ศิวัช ตี้กลัว !”
ศิวัช ธำรง นายพลทวี นิ่งอย่างสงวนท่าที
อิทธิหาญแสยะยิ้มอย่างชอบใจ ปานรู้สึกไม่สบายใจเข้าไปพูดเตือนสติ
“เสียเปรียบนะครับเสี่ย !”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่โง่พอที่จะยื่นคอไปให้มันสับง่ายๆหรอก แค่อยากเห็นพวกมัน”
อิทธิหาญหัวเราะด้วยความสะใจ ก่อนจะเก็บปืนแล้วเดินออกไปพร้อมกับปาน ขณะเจ้าหน้าที่ของพรรคต่างถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ปฏิพรหน้าเจื่อนถอนใจอย่างโล่งอกเพราะความกลัว ศิวัช ธำรง นายพลทวี ต่างถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจนัก
ภายในห้องนั่งเล่นบ้านพงษ์เลิศในเวลาต่อมา อิทธิหาญพูดด้วยความโมโห
“พ่อยอมได้ไง กระทรวงกระจอกๆอย่างนี้ ไม่มีใครเขาเอากันหรอก”
“มันเอาเราเป็นพวก แต่กันไม่ให้เรามีบทบาทในการบริหารเพื่อรักษาคะแนนนิยมของมัน”
พงษ์เลิศพูดด้วยความอึดอัด ชลกรเอื้อมมือไปแตะมือพงษ์เลิศอย่างใจเย็น
“ตอนนี้เรายังไม่มีอำนาจต่อรอง ยังไงก็ต้องยอมไปก่อนนะคะ” ชลกรว่า
“ยอม..มีแต่ยอมๆๆ ระวังด้วยนะพ่อ พวกมันจะสาวเรื่องที่เราทำไว้มาเล่นงาน”
“เรื่องนั้นฉันระวังอยู่แล้ว แกก็ต้องระวังด้วย ทำอะไรคิดให้รอบด้าน คิดถึงผลสะท้อนที่จะกลับมาบ้างนะลูก”
“กลัวอะไรล่ะพ่อ ทำคนให้เป็นศพทุกอย่างก็จบ ถ้าพ่อจัดการให้เด็ดขาดตั้งแต่แรก เรื่องก็ไม่เป็นอย่างนี้หรอก”
อิทธิหาญพูดอย่างหงุดหงิด พงษ์เลิศเดินเข้าไปพูดกับอิทธิหาญใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ศพมันพูดไม่ได้ก็จริง แต่ความจริงมันไม่ตายไปตามศพนะลูก”
อิทธิหาญนิ่งคิดตามที่พงษ์เลิศพูด สีหน้ายิ่งหงุดหงิดมายิ่งขึ้น
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 6 (ต่อ)
ภายในบ้านสวนคำเที่ยง กรอบรูปของดลตัวจริงในวัย 7 ขวบตั้งอยู่บนหิ้ง มีกระถางธูปและโกศใส่อัฐิวางอยู่ด้วย ข้างๆมีรูปแม่ของดลวางอยู่เคียงกัน ระบิล เนติมากำลังมองรูปนั้น โดยมีดล อนงค์และคำเที่ยงอยู่ใกล้ๆ
“ช่วงที่ลูกชายผมป่วยหนัก ก็ได้คุณวิเชียรนี่แหละครับคอยช่วยเหลือเรื่องเงินทองมาตลอด แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรยื้อสิ่งที่ฟ้ากำหนดมาไว้ได้”
คำเที่ยงมีสีหน้าสลดลงนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงอดีต ยศวีร์กับอนงค์เอามือไปจับมือคำเที่ยงอย่างให้กำลังใจ
“คุณลุงเลยช่วยคุณวิเชียรเป็นการตอบแทนใช่มั้ยครับ”
“คุณวิเชียรเป็นคนดีครับ”
คำเที่ยงพูดพลางระลึกอดีตที่ผ่านมา
บริเวณลานหน้าเมรุเผาศพ ปล่องเมรุของวัดเล็กๆโทรมๆมีควันลอยขึ้นไปเบื้องบน
คำเที่ยงกำลังจะทิ้งตัวลงไหว้วิเชียรกับพื้น แต่วิเชียรรีบประคองคำเที่ยงขึ้นมาอย่างมีเมตตา
“ไม่เอาคำเที่ยง ลุกขึ้นๆ”
“ลูกชายผมป่วย คุณก็ให้เงินรักษา พอเขาจากไปคุณยังมาทำศพให้อีก ผมไม่รู้จะตอบแทนพระคุณครั้งนี้ยังไงแล้วครับ”
“เฮ้อ..ไม่ต้องตอบแทนอะไรทั้งนั้น ตั้งสติดีๆ ครอบครัวนายยังมีชีวิตให้นายรับผิดชอบอีกตั้งสองชีวิตนะ”
วิเชียรมองไปที่แม่ของดลที่กำลังร้องไห้กอดอนงค์ในวัยเด็กไว้แน่นด้วยความเสียใจที่ต้องสูญเสียลูกชายคนโต คำเที่ยงมองภาพตรงหน้าด้วยความสะเทือนใจ
วิเชียรหยิบซองกระดาษออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ คำเที่ยงมองด้วยความสงสัย
“อะไรครับ”
“เงินนี่ไม่ได้มากมายอะไร แต่คงพอให้นายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้”
“คุณวิเชียร...”
คำเที่ยงตะลึงในสิ่งที่วิเชียรกำลังจะหยิบยื่นให้ วิเชียรอธิบายอย่างใจเย็น
“นายก็รู้ว่า คุณพงษ์เลิศเขามีเบื้องหลังยังไง ถ้านายยังทำงานให้เขาต่อไป วันหนึ่งครอบครัวของนายจะเดือดร้อน”
“แต่ผม...”
“ฉันไม่อยากให้คนดีๆอย่างนายต้องมาแปดเปื้อนมลทิน มีโอกาสออกก็ออกมาซะ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินกว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลงได้”
คำเที่ยงชะงักคิดทบทวนถึงคำพูดของวิเชียรด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ทุกคนเดินคุยกันมาตามทางเดินร่มรื่นที่เต็มไปต้นไม้ฟังคำเที่ยงเล่าเรื่องด้วยความตั้งใจ
“จากนั้นผมก็ลาออกจากการเป็นคนขับรถให้คุณพงษ์เลิศ แล้วเอาเงินส่วนนั้นมาซื้อที่เล็กๆผืนนี้”
คำเที่ยงหยุดมองไปรอบๆบริเวณ ก่อนหันไปพูดกับเนติมาด้วยความซึ้งในบุญคุณของวิเชียร
“ถ้าวันนั้นคุณพ่อของคุณหนูไม่ช่วยผมไว้ ผมอาจไม่มีชีวิตมาอยู่ถึงวันนี้ก็ได้”
“คุณพ่อช่วยคนไม่ผิดจริงๆ”
เนติมาพูดด้วยความซึ้งในน้ำใจของคำเที่ยง ขณะที่ระบิลถามคำเที่ยงต่อด้วยความสงสัย
“แล้วคุณลุงไปช่วยคุณยศวีร์ออกมาได้ยังไงเหรอครับ”
คำเที่ยงมองไกลออกไป คิดทบทวนถึงอดีตที่เกิดขึ้น
บริเวณสวนสาธารณะริมน้ำ วิเชียรยืนทอดสายตาเครียดออกไปที่แม่น้ำกว้าง คำเที่ยงขยับเข้ามาพูดด้วยความตกใจ
“อะไรนะครับ คุณถอนตัวจากการสนับสนุนกลุ่มของคุณพงษ์เลิศ”
วิเชียรถอนหายใจเฮือกแล้วบอก
“เขาไม่ได้ทำเพื่อประเทศ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะไปสนับสนุนเขาอีก ถ้าฉันไม่ถอนตัวตอนนี้ ก็เท่ากับว่าฉันร่วมมือในการทำร้ายบ้านเกิดเมืองนอน”
วิเชียรพูดอย่างจริงจัง แต่คำเที่ยงรู้สึกหนักใจมากขึ้น
“คุณเป็นท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ของพวกเขา แล้วจู่ๆถอนตัวออกมาอย่างนี้จะไม่มีปัญหาเหรอครับ”
“มี...”
วิเชียรพูดตรงๆ คำเที่ยงยิ่งอดเป็นห่วงมากขึ้นไม่ได้
“แต่ถ้าฉันไม่ถอนตัวออกมาตอนนี้ ฉันก็จะยิ่งถลำลึก ถ้าฉันต้องมีส่วนในการโกงกินบ้านเมือง ฉันทำไม่ได้”
เนติมาพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีต
“คุณอาธำรงเคยเล่าว่า คุณพ่อเข้ามาสนับสนุนกลุ่มของนายพงษ์เลิศเพราะคิดว่านายพงษ์เลิศมีอุดมการณ์เดียวกัน คือต้องการเห็นประเทศชาติรุ่งเรือง”
“แต่สุดท้ายแล้วนายพงษ์เลิศก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพ่อคุณคิด”
ระบิลพูดด้วยความเห็นใจเนติมา เนติมารู้สึกสลดลงจนยศวีร์ต้องเอื้อมมือไปจับมือพี่สาวอย่างให้กำลังใจ สองคนพี่น้องกระชับมือกันอย่างเข้าใจ ระบิลหันไปหาคำเที่ยงที่ถอนใจด้วยความเศร้า ก่อนเล่าต่อ
“คุณวิเชียรเหมือนรู้ ว่าจะเกิดเหตุร้ายกับครอบครัว เลยขอร้องให้ผมไปรับครอบครัวของเขาออกมา”
คำเที่ยงหันไปมองเนติมากับยศวีร์ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา
วิเชียรวางสาย หันมาพูดกับพรรณศรีด้วยความไม่สบายใจ
“คุณกับวีร์ต้องไปแล้วนะ เนติ์กลับมาไม่ทันแน่”
“แต่...”
พรรณศรีจะร้องไห้ออกมา วิเชียรรีบขยับไปพูดใกล้ๆเมื่อเห็นยศวีร์มองมา
“อย่าร้องไห้ให้ลูกเห็น ลูกจะใจเสีย...ไปได้แล้วลูก พี่เนติ์กลับมาไม่ทันแล้ว”
“แต่วีร์อยากไปพร้อม...”
“ไปได้แล้ววีร์ อย่าดื้อสิลูก ไปกับคุณลุงนะเดี๋ยวพ่อกับแม่ตามไป”
พรรณศรีตัดใจหันมาพูด ทุกคนตกใจกับคำพูดของพรรณศรีที่จะไม่ไปกับยศวีร์
“คุณ !”
“เราเคยสัญญาว่าจะไม่ทิ้งกัน ฉันปล่อยให้คุณเผชิญชะตากรรมคนเดียวไม่ได้ค่ะ”
“คุณแม่พูดอะไร วีร์ไม่รู้เรื่อง แล้วคุณแม่ร้องไห้ทำไมครับ”
ยศวีร์เริ่มสับสนเมื่อเห็นพรรณศรีร้องไห้ พรรณศรีตัดใจจูงมือยศวีร์ไปให้คำเที่ยงทันที
“ฉันฝากลูกฉันด้วย ฝากลูกฉันด้วยนะคะ”
“เออ..ครับ”
“คุณแม่ ทำไมคุณแม่ไม่ไปกับวีร์ล่ะครับ”
ยศวีร์หน้าเสียทันที วิเชียรตัดสินใจส่งกล่องไม้สองกล่องให้คำเที่ยงทันที
“คำเที่ยง กล่องนี้มีของที่ฉันต้องการให้ลูกทั้งสองคน นี่ของวีร์ ส่วนใบนี้ของเนติ์ ฉันเขียนชื่อกำกับไว้ใต้กล่อง แล้วนี่นามบัตรคุณธำรง เมื่อเรื่องทุกอย่างสงบติดต่อเขาทันที”
“ครับ”
คำเที่ยงรับคำหนักแน่น วิเชียรมองหน้าคำเที่ยงพร้อมพูดอย่างจริงจัง
“ฉันฝากเลือดเนื้อเชื้อไขของฉันด้วยนะคำเที่ยง”
“คุณวิเชียรมีพระคุณกับผมท่วมหัว ผมจะดูแลเขายิ่งกว่าชีวิตครับ”
คำเที่ยงรับคำด้วยความสะเทือนใจ ขณะพรรณศรีโผเข้ากอดยศวีร์ทั้งน้ำตา
“เป็นคนดีนะลูก แม่รักลูกนะวีร์”
“คุณแม่..คุณแม่ร้องไห้ทำไมครับ”
ยศวีร์ร้องไห้ตามพรรณศรีออกมา วิเชียรยืนมองด้วยความเจ็บปวดหัวใจ ก่อนตัดใจอุ้มยศวีร์ออกจากอ้อมกอดของพรรณศรีทันที
“ไปได้แล้วลูก !”
“วีร์ไม่ไปครับคุณพ่อ วีร์ไม่อยากไปเที่ยวแล้ว วีร์จะอยู่กับคุณแม่ อยู่รอพี่เนติ์ ปล่อยสิครับคุณพ่อ..ปล่อย !”
“คำเที่ยง !”
คำเที่ยงสะดุ้งเมื่อได้ยินวิเชียรเรียกเสียงดัง คำเที่ยงรีบวิ่งขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับบนรถตัวเองทันที
ขณะวิเชียรอุ้มยศวีร์ไปนั่งในรถพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัยให้ มองลูกชายด้วยความเศร้า
“พ่อรักลูกนะวีร์”
ยศวีร์ร้องไห้เรียก
“คุณพ่อ..คุณแม่”
“วีร์ลูกแม่”
พรรณศรีร้องไห้อย่างหนักโผเข้ามาจะหาลูก แต่วิเชียรรั้งไว้พร้อมตะโกนบอกคำเที่ยงทันที
“ออกรถ..คำเที่ยงออกรถเดี๋ยวนี้..เร็ว !”
คำเที่ยงตัดใจด้วยความยากลำบาก ก่อนสตาร์ทรถแล้วขับออกไปทันที
“คุณแม่...คุณแม่ช่วยวีร์ด้วย วีร์ไม่อยากไปแล้ว คุณแม่...”
ยศวีร์ร้องไห้โฮ ทำได้แค่เกาะกระจกมองพ่อกับแม่ด้วยความเศร้า
“วีร์..วีร์ลูกแม่”
พรรณศรีมองตามรถคำเที่ยงไปแล้วร้องไห้ปานจะขาดใจ แต่วิเชียรรวบตัวไว้ในอ้อมกอดแน่น ขณะที่วิเชียรพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อออกมาคลอเบ้า ทั้งๆที่รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน
เนติมาเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาที่ไหลออกมา คำเที่ยงถอนใจออกมาด้วยความสลดใจ
“หลังจากนั้นผมเลยพาคุณยศวีร์มาไว้ที่นี่ เพื่อความปลอดภัย ผมเลยเปลี่ยนชื่อให้เป็นดลสวมแทนลูกชายของผมที่เสียไป”
“แต่ทุกคนก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ ว่าลูกชายของลุง...”
“ผมตัวคนเดียว ญาติพี่น้องก็ไม่มี ไม่มีใครสนใจชีวิตคนขับรถอย่างผมหรอกครับ”
“แต่มีพี่ดลมาอยู่กับเราก็ทำให้ครอบครัวเราเติมเต็มขึ้นอีกครั้งนะจ๊ะ ไม่งั้นอ้อคงเหงาแย่ พี่ดลตัวจริงก็เสีย อีกไม่กี่ปีแม่ก็เสียไปอีกคน”
อนงค์พูดอย่างเศร้าๆ ยศวีร์เอื้อมมือไปจับหัวอ้อเล่นอย่างเอ็นดู
“ผมพยายามติดต่อคุณธำรงตามเบอร์ที่คุณวิเชียรให้ แต่ติดต่อไม่ได้”
“หลังจากคุณอาธำรงรับตัวเนติ์ไปจากบ้าน ก็พาเนติ์พาฝรั่งเศสคืนนั้นเลยค่ะ”
คำเที่ยงพยักหน้ารับรู้ ระบิลคิดอะไรอยู่นิดหนึ่งก่อนพูดขึ้นมา
“เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองคน ช่วงนี้ผมว่าคุณเรียกคุณยศวีร์ว่าดลไปก่อนดีกว่านะครับ”
“อ้าว..ทำไมล่ะ”
“เพราะถ้าคนพวกนั้นมันรู้ ว่าคุณกับน้องชายพบกันแล้ว ผมว่าจะเป็นโฟกัสให้มันมาเล่นงานชัดขึ้นน่ะสิครับ แค่ชื่อน่ะคุณ มันไม่ได้เปลี่ยนสายใยระหว่างพี่กับน้องนะครับ”
“ก็เรียกกันเฉพาะกลุ่มพวกเราไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้คุณ เกิดไปหลุดปากที่อื่นทำไงล่ะครับ ชีวิตเลยนะคุณ”
เนติมากับยศวีร์มองหน้ากันอย่างครุ่นคิด ก่อนเนติมาจะยิ้มให้ระบิลอย่างเข้าใจแล้วหันไปพูดกับยศวีร์
“ก็ได้...พี่จะรอดลกลับมาเป็นยศวีร์ของพี่อีกครั้งนะจ๊ะ”
“ครับพี่เนติ์”
เนติมายิ้มหันไปพูดกับคำเที่ยง
“เออ..หนูขอเดินเล่นดูต้นไม้แถวนี้หน่อยนะคะ”
“เอาสิครับคุณหนู ที่นี่ปลูกหลายอย่างนะ ทั้งชมพู่ กระท้อน...”
ยังไม่ทันที่คำเที่ยงจะพูดอะไรต่อ ทุกคนก็ต้องชะงักกับเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา ระบิลแหงนหน้าดูท้องฟ้า
“สงสัยจะไม่ได้เดินเล่นแล้วล่ะคุณ”
ทุกคนวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักมาที่บันไดบ้านและขึ้นไปหลบฝนที่ระเบียงบ้าน
“โอ๊ย...เปียกหมดเลย” เนติมาว่า
“เดี๋ยวอ้อไปเอาผ้าขนหนูมาให้นะจ๊ะ”
อนงค์เดินเลี่ยงเข้าไปในบ้าน ระบิลมองสายฝนที่ตกหนักแล้วบอก
“ตกอย่างกับฟ้ารั่ว อย่างนี้ไม่หยุดง่ายๆนะครับเนี่ย”
“อืม..ฉ่ำฟ้าขนาดนี้ ท่าจะตกทั้งคืน”
“อะไรนะคะ”
เนติมาพูดด้วยความกังวล ก่อนหันไปถามระบิล
“แล้วจะกลับยังไงล่ะ”
“ดูไปก่อนสิคุณ ถ้าไม่หยุดจริงๆค่อยว่ากัน”
“ถ้าไม่หยุดจริงๆ ก็ค้างที่นี่สักคืนสิครับพี่เนติ์” ยศวีร์บอก
“ถ้าคุณหนูไม่รังเกียจ ที่นี่กว้างขวาง นอนได้ตั้งหลายคน”
คำเที่ยงพูดอย่างเกรงใจ เนติมาพูดอย่างไม่คิดมาก
“ไม่รังเกียจหรอกค่ะคุณลุง แต่หนูไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนน่ะสิคะ”
เนติมามองเสื้อผ้าของตัวเองที่เปียกฝนจนโชกโดยไม่รู้จะจัดการอย่างไร
ในเวลาต่อมา ระบิลเปลี่ยนมาใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาก๊วยยืนกอดอกมองสายฝนที่ยังตกหนักไม่ขาดสายอยู่อย่างครุ่นคิด
“แอ่นแอ๊น..ยินดีต้อนรับ นางงามบ้านสวนจ้า” เสียงอนงค์ดังขึ้น
ระบิลชะงักเล็กน้อยก่อนหันไปมองด้านหลัง เห็นอนงค์ยิ้มเดินออกมาจากห้องด้านใน โดยมีเนติมาซึ่งเปลี่ยนเป็นเสื้อคอกระเช้า นุ่งผ้าถุงเดินตามออกมาอย่างอายๆเพราะไม่คุ้นกับชุดที่สวมอยู่
ระบิลมองเนติมาด้วยความตะลึง ก่อนแกล้งพูดอย่างโอเว่อร์
“โอ้โห..คุณ !”
“อะไร ทำไมต้องทำเสียงตกใจด้วยล่ะ”
“โธ่..ไม่ให้ตกใจได้ไงล่ะคุณ จู่ๆก็โผล่มา นึกว่าผีบ้านผีเรือน”
ระบิลยิ้มทะเล้นพูดพลางกวาดสายตามอง เนติมารู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาทันที
“ผีบ้านผีเรือนบ้านนายสิ นี่..ฉันใส่แล้วเป็นไงบ้าง ไม่เคยใส่ชุดแบบนี้มันไม่ค่อยมั่นใจยังไงก็ไม่รู้”
“ก็...”
ระบิลแกล้งมองสำรวจชุดเนติมาอีกครั้งแล้วปิดปากหัวเราะ เนติมาเงื้อมือหงิกต้นแขนระบิลด้วยความหมั่นไส้
“จะขำอีกนานมั้ยเนี่ย !”
“โอ๊ยๆ ไม่ขำแล้วคุณไม่ขำแล้ว ปล่อยก่อนๆ”
ระบิลร้องลั่น เนติมาค้อนระบิลขวับใหญ่ก่อนปล่อยมือ จนอนงค์อดยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้
“อูย..ล้อเล่นนิดเดียว หยิกเนื้อแทบหลุด คุณใส่ชุดแบบนี้ผมว่าเป็นธรรมชาติดีออก” ระบิลบ่นฮุบก่อนพูดต่อ
“ชุดพี่เนติ์แห้งแล้วค่อยเปลี่ยนกลับนะจ๊ะ” อนงค์พูดอย่างอารมณ์ดี
เนติมาหันไปยิ้มให้อนงค์อย่างขอบคุณ ก่อนมองไปรอบๆหาดลกับคำเที่ยง
”ขอบคุณจ้ะ เอ๊ะ..แล้ววีร์ เอ๊ย..ดลกับคุณลุงไปไหนล่ะ”
มุมหนึ่งในบ้านคำเที่ยง สำรับกับข้าวอาหารพื้นบ้านจำพวกน้ำพริก ปลาทอด ผักลวก แกงตั้งอยู่บนพื้น ระบิล เนติมา ยศวีร์ อนงค์และคำเที่ยง นั่งล้อมวงทานข้าวกันอยู่
“ฝีมือพ่อกับผมเอง อร่อยนะพี่เนติ์” ยศวีร์บอก
คำเที่ยงหันไปถามเนติมา
“กินไหวมั้ยครับคุณหนู”
“ไหวค่ะคุณลุง งั้น..หนูทานเลยนะคะ”
เนติมายิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหยิบช้อนจะตักปลาทอด แต่ระบิลรั้งไว้
“เดี๋ยวคุณ”
“อะไรเหรอ”
“ปลาน้ำจืดก้างมันเยอะ ใช้ช้อนไม่รอดหรอกคุณ มาผมทำให้”
ระบิลพูดยิ้มๆ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบเนื้อปลาด้วยความชำนาญ
“ใช้มือเนี่ย เลือกก้างได้หมดกว่าใช้ช้อนนะครับ..อ่ะ”
ระบิลเอาปลาวางบนจานข้าวของเนติมา ก่อนหันไปหยิบผักบุ้งลวกขึ้นมาม้วนเป็นคำเรียบร้อย วางไว้ในจานเนติมาอีก
“ขอบใจนะ”
เนติมาตักปลาใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย แล้วหันไปบอกกับคำเที่ยง
“อืม..อร่อยจังเลยค่ะคุณลุง”
“ลองน้ำพริกกะปิสิจ๊ะพี่เนติ์ ทานกับผักลวกอร่อยนะจ๊ะ” อนงค์บอก
เนติมายิ้มชอบใจ ตักน้ำพริกกะปิใส่ลงในผักลวกที่ระบิลมาวางไว้ให้ ระบิลชะงักมองก่อนปราม
“ระวังเผ็ดนะคุณ”
“ฉันทานเผ็ดเป็นน่า”
เนติมายิ้มพูดอย่างมั่นใจ พร้อมตักข้าวกับผักลวกเข้าปากเคี้ยว ก่อนจะชะงักเพราะรู้สึกเผ็ดขึ้นมา
“อูย..เผ็ด..เผ็ดมากเลยอ่ะ !”
“ฮ่าๆ ไหนว่าทานเป็นไงคุณ โดนลูกโดดเข้าไปสะใจล่ะซี๊ ฮ่าๆ”
“โอ๊ย..ตลกตรงไหนเนี่ย ขอน้ำฉันหน่อยเร็ว..เผ็ด !”
เนติมาเอื้อมมือตีเร่งระบิลด้วยความเผ็ด ขณะที่ยศวีร์ อนงค์ คำเที่ยง มองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มๆ อย่างไม่คิดอะไรมาก ระบิลรีบรินน้ำจากขวดที่อยู่ใกล้ๆยื่นให้เนติมาทันที เนติมารับน้ำมาดื่มอั่กๆ
“ใจเย็นคุณ เดี๋ยวก็จุกน้ำตายหรอก”
“ก็มันเผ็ดนี่ อูย...”
เนติมายกน้ำขึ้นดื่มอีก ระบิลมองเนติมาที่เก็บอาการเผ็ดไม่อยู่อย่างรู้สึกขำ
เนติมามองสายฝนที่ยังตกหนักอยู่
“สงสัยตกทั้งคืนแน่” ระบิลพูดขึ้นแล้วเดินตามเข้ามายืนมองสายฝนอย่างครุ่นคิด เนติมารู้สึกกังวลใจขึ้นมา
“แล้วอย่างนี้จะกลับบ้านยังไงล่ะ”
“นอนที่นี่สักคืนเถอะคุณหนู”
ระบิลกับเนติมาหันไปเห็นคำเที่ยงเดินออกมาจากในบ้านแล้วพูดอย่างใจเย็น
“ถนนแถวนี้มืด ยิ่งฝนตกๆอย่างนี้ยิ่งขับยาก ผมว่าคุณหนูอย่าเสี่ยงดีกว่านะครับ”
เนติมาหันไปมองระบิลอย่างปรึกษา ระบิลยิ้มให้เนติมาสบายใจ
“แล้วแต่คุณครับ ผมยังไงก็ได้”
“นายเป็นคนขับ ฉันต้องแล้วแต่นายมากกว่า ชีวิตฉันฝากไว้กับนายนะ”
เนติมาพูดเสียงหนักแน่นขึ้น ระบิลครุ่นคิดตามที่เนติมาพูดพลางมองสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย
เนติมากำลังคุยโทรศัพท์มือถือด้วยรอยยิ้มและพูดให้ศิวัชสบายใจ
“เนติ์กลัวหลงทางแล้วก็กลัวอุบัติเหตุด้วยน่ะค่ะ แต่พี่ศิวัชไม่ต้องเป็นห่วงเนติ์นะคะ”
ศิวัชเดินคุยโทรศัพท์เข้ามายังบริเวณริมสระน้ำ สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ให้พี่ห่วงได้ยังไงจ๊ะ เนติ์ไม่เคยไปค้างที่ไหนไกลๆโดยไม่มีพี่ไปด้วยเลยนะ”
“สิงห์บุรีเองค่ะ ไม่ไกลซะหน่อย อีกอย่างที่นี่เป็นบ้านน้องชายเนติ์นะคะ”
ศิวัชนิ่งฟัง พลางถอนใจอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้
“แล้วที่นั่นมีที่นอนสบายรึเปล่าจ๊ะ”
“สบายค่ะ พี่ศิวัชไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
เนติมาพูดพลางหันไปมองยศวีร์กับอนงค์ที่กำลังช่วยกันกางมุ้งอยู่ในห้องด้านใน
ศิวัชคุยโทรศัพท์มือถือพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ฝันดีนะจ๊ะ ยังไงพรุ่งนี้พี่โทรหา พี่รักเนติ์นะจ๊ะ”
ศิวัชวางสายหันไปด้านหลังเห็นปฏิพรเดินยิ้มเข้ามาหาพอดี
“อ้าว..น้องตี้”
“คุณอาธำรงให้ตามพี่ศิวัชไปทานข้าวน่ะค่ะ..ไปค่ะตี้หิวไส้จะขาดแล้วน้า”
ปฏิพรเดินเข้ามาจับมือศิวัชอย่างออดอ้อน ก่อนจูงมือศิวัชเข้าไปด้านในโดยที่ศิวัชไม่ทันตั้งตัว
ทางระเบียงบ้านสวนคำเที่ยง ระบิลกำลังคุยโทรศัพท์กับผู้กำกับวิเชษฐ์อยู่
“ครับพี่ ขอบคุณมากนะครับ”
ระบิลกดวางสายโทรศัพท์พลางถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อจะหันกลับเดินเข้าไปในบ้าน แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่เนติมาเดินเข้ามาหาพอดี ระบิลกับเนติมาชนกันจนหน้าเกือบจะแนบกัน จึงร้องขึ้นด้วยความตกใจขึ้นพร้อมกัน “อุ๊ย !”
ทั้งสองคนชะงักมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูกแล้วพูด “เออ...” ขึ้นพร้อมกัน
ระบิลกับเนติมามองหน้ากันยิ้มๆ ก่อนพูดพร้อมกันอีกอย่างไม่ตั้งใจ “เรียบร้อย”
ระบิลกับเนติมายิ้มออกมาอย่างขำๆ ก่อนระบิลจะชิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณกำลังจะพูดว่า โทรบอกคุณศิวัชเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ”
“นายก็โทรบอกผู้กำกับวิเชษฐ์แล้วใช่มั้ย”
เนติมาพูดยิ้มอย่างรู้กันระบิล ระบิลพยักหน้ายิ้มอารมณ์ดี
“เรียบร้อยครับ”
เนติมายิ้มรับก่อนหันออกไปมองสายฝนที่ยังคงพรำอยู่ไม่ขาดสาย เนติมาสูดหายใจลึกด้วยความสดชื่น
“ที่นี่อากาศสดชื่นจังเนอะ...บ้านนายที่ต่างจังหวัด เหมือนที่นี่รึเปล่า”
เนติมาถามด้วยความอยากรู้ ระบิลมองฝ่าสายฝนออกไปในความมืด นึกถึงบ้านของตัวเองแล้วอมยิ้มออกมา
“ถ้าคุณชอบที่นี่ คุณก็คงชอบบ้านผมล่ะครับ สำหรับผม...แสงสีจากเทคโนโลยี ยังไงมันก็สวยสู้แสงสีที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไมนายคิดอย่างนั้นล่ะ แสงสีจากเทคโนโลยีบางอย่างธรรมชาติก็สร้างไม่ได้นะ”
“อันนั้นก็ใช่ เพียงแต่ผมไม่ชอบอะไรที่มันปลอมๆเท่านั้นแหละครับ”
เนติมามองระบิลแล้วยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี
ภายในห้องหนังสือที่บ้านกันต์ ขวัญชนกที่กำลังหาหนังสือบนชั้นหนังสือที่มีหนังสือวางอยู่เต็ม ขวัญชนกหยิบเล่มนั้น เล่มนี้มาดูก็ยังไม่ได้เล่มที่ต้องการ จนต้องนิ่วหน้าอย่างสับสน
“เล่มไหนนะ”
“หาอะไรอยู่เหรอครับ” เสียงผู้กำกับวิเชษฐ์ดังขึ้นทางด้านหลัง
“อุ๊ย !”
ขวัญชนกสะดุ้งด้วยความตกใจก่อนหันขวับไปเห็นผู้กับกับวิเชษฐ์ยืนยิ้มอยู่ที่ประตูห้อง ขวัญชนกตั้งสติก่อนถอนใจอย่างโล่งอก
ผู้กำกับวิเชษฐ์ยกถ้วยกาแฟมาวางบนโต๊ะตรงหน้าขวัญชนกที่นั่งรออยู่แล้ว
“โกโก้ร้อนครับจะได้มีแรงอ่านหนังสือ”
“ขอบคุณค่ะ”
ขวัญชนกพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่มั่นใจในตัวเองนักเพราะยังรู้สึกประหม่ากับผู้กำกับวิเชษฐ์ ผู้กำกับวิเชษฐ์มองขวัญชนกแล้วพูดอย่างอบอุ่น
“ขอโทษนะครับที่พี่ทำให้น้องขวัญตกใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ อืม..แล้วเนติ์กับคุณระบิลเขาพักที่ไหนเหรอคะ”
“เห็นว่าบ้านน้องชายคุณเนติ์น่ะครับ”
“น้องชาย” ขวัญชนกพึมพำด้วยความแปลกใจ
“อ้อ..คุณเนติ์เขาพบน้องชายแล้วนะครับ”
“ยศวีร์ !”
ขวัญชนกรู้สึกตื่นเต้นกับข่าวที่ได้รับ ผู้กำกับวิเชษฐ์ยิ้มพลางหันไปดูจอคอมพิวเตอร์ที่มีภาพจากกล้องวงจรปิดในมุมต่างๆของบ้าน
“ระบิลเขาเป็นห่วงที่นี่น่ะครับ เลยวานให้พี่มาช่วยอยู่เป็นเพื่อน”
“ความจริงไม่ต้องรบกวนผู้กำกับก็ได้นะคะ แค่ส่งลูกน้องมา...”
“ก็พี่อยากมา...”
ผู้กำกับวิเชษฐ์หลุดปากพูดแทรกขึ้นมา แต่ต้องชะงักเมื่อขวัญชนกมองมาด้วยสายตาแปลกๆ ผู้กำกับวิเชษฐ์รีบพูดแก้เก้อทันที
“เออ..หมายถึงพี่อยากมาดูแลด้วยตัวเองน่ะครับ ระบิลเขาจะได้สบายใจ เขาเป็นห่วงที่นี่มากนะครับ”
“คุณระบิลนี่น่ารักจังเลยนะคะ”
ขวัญชนกพูดยิ้มๆ เพราะรู้สึกแอบชอบระบิลอยู่ในใจ ขณะที่ผู้กำกับวิเชษฐ์แอบมองหน้าขวัญชนกแล้วยิ้มออกมาอย่างชอบใจ
“ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้วนะครับ รวมถึงชีวิตของน้องขวัญด้วย”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ กลัวแต่ว่า...”
ขวัญชนกพูดพลางหันออกไปทางบ้านอิสราวัชรอย่างรู้สึกหวั่นใจ ผู้กำกับวิเชษฐ์มองอย่างเข้าใจ
ทางเดินหน้าห้องนอนของอิทธิหาญในบ้านอิสราวัชร ประตูห้องเปิดผลัวะออกมา หญิงสาววัยรุ่นพยายามวิ่งหนีออกมาจากด้านในห้อง ก่อนจะเสียหลักหกล้มลงหน้าประตู
“โอ๊ย !”
“คิดว่าจะหนีฉันรอดเหรอ”
อิทธิหาญเดินตามออกมาอย่างใจเย็น สาววัยรุ่นพยายามตะเกียกตะกายจะลุกหนี แต่ก็ล้มลงไปซบกับเท้าปานที่เดินเข้ามาพอดี สาววัยรุ่นหันไปมองอิทธิหาญด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะหันไปกอดขาปานอย่างน่าสงสาร
“น้าช่วยหนูด้วย..หนูกลัว”
“เสี่ยครับ”
ปานจะหันไปถามอิทธิหาญประมาณว่าเกิดอะไรขึ้น สาววัยรุ่นรีบปล่อยมือจากขาปานทันที อิทธิหาญพูดอย่างขัดใจ
“อีนี่วอน ตอนอยู่ในผับระริกระรี้ตามมา แต่พอให้มาดันจะร้องกลับบ้าน แต่เสียใจคนอย่างฉันอยากได้อะไร...ต้องได้ !”
“แต่เสี่ยครับ ช้ำขนาดนี้แล้ว...”
“คืนนี้ต้องรับคนไปที่ไร่ใช่มั้ย”
“เสี่ย !”
ปานพูดด้วยความไม่สบายใจนัก อดไม่ได้ที่จะมองไปที่สาววัยรุ่นซึ่งมีอาการกลัวอย่างเห็นได้ชัด
ในเวลาต่อมา ลูกน้องอิทธิหาญกำลังช่วยกันอุ้มสาววัยรุ่นที่หมดสติขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ ก่อนขับออกไปทันที ปานยืนมองตามไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อิทธิหาญเดินตามออกมาจากตัวบ้าน มองตามรถตู้ไปด้วยความสะใจ
“ยอมซะดีๆไม่ชอบ ก็ต้องส่งไปให้หมาหิวในไร่มันทึ้ง ฮ่าๆ”
อิทธิหาญหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ ขณะที่ปานชำเลืองมองอิทธิหาญนิดหนึ่งแล้วถอนใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
โปรดติดตาม "หงส์สะบัดลาย" ตอนต่อไป