xs
xsm
sm
md
lg

หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 1

เมื่อ 10 ปีก่อน
รถของวิเชียรเลี้ยวจากถนนใหญ่เข้ามายังถนนหน้าหมู่บ้าน ในเวลากลางวันด้วยความรวดเร็ว เสียงล้อบดกับพื้นถนนดังลั่น ภายในรถวิเชียรกุมพวงมาลัยขับรถด้วยสีหน้าเครียดแล้วเหยียบคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็ว เข็มวัดรอบเครื่องยนต์ขึ้นอย่างรวดเร็วจนทะลุ 120 กิโลเมตร / ชั่วโมง

วิเชียรขับรถเข้ามาจอดที่หน้าตัวบ้านอิสราวัชรหลังใหญ่โตหรูหราอย่างรวดเร็ว วิเชียรรีบลงมาจากรถ เป็นจังหวะเดียวกับที่พรรณศรีจูงมือยศวีร์ที่มีอายุเพียง 10 ขวบออกมาจากบ้านด้วยสีหน้าร้อนใจ
“นี่มันเรี่องอะไรกันคะคุณ ทำไมคุณให้ลูกจ้างกลับบ้านหมด” พรรณศรีถาม
“เรื่องมันยาว คุณเก็บเสื้อผ้าแล้วใช่มั้ย” วิเชียรบอก
พรรณศรี อิสราวัชรผู้เป็นภรรยาพยักหน้ารับสามีอย่างงงๆ จังหวะเดียวกันคำเที่ยงก็ขับรถกระบะคันเก่าๆตามเข้ามาจอดแล้วรีบลงมาหาวิเชียรอย่างรวดเร็ว
“คำเที่ยงรอเดี๋ยวนะ ฉันไปเอาของก่อน”
“เออ..ครับ”
คำเที่ยงรับคำด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก วิเชียรขยับจะเข้าไปในบ้านอย่างเร่งรีบ
“คุณพ่อ เราจะไปเที่ยวไหนกันเหรอครับ” ยศวีร์ถาม
วิเชียรไม่หันมาตอบคำถามลูกชายคนเล็กในวัย 10 ขวบ ยศวีร์จึงหันไปถามพรรณศรี ผู้เป็นแม่ด้วยความสงสัย
“คุณแม่ เราจะไปเที่ยวไหนกันเหรอครับ”
พรรณศรีไม่รู้จะตอบลูกยังไง ได้แต่มองตามวิเชียรไปด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจอย่างมาก

ภายในห้องทำงาน วิเชียรเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน หยิบกล่องไม้ 2 กล่องขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วรีบวิ่งออกไปนอกห้อง เป็นจังหวะที่พรรณศรีวิ่งสวนเข้ามาพอดี พรรณศรีถามด้วยความสับสน
“นี่มันอะไรกันคะคุณ ฉันงงไปหมดแล้วนะ”
“วีร์ยังเล็ก คุณไปอยู่กับวีร์นะ ส่วนลูกเนติ์ผมจะฝากไปกับคุณธำรง”
“คุณพูดอะไรของคุณ บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะคะเราจะไปไหน ทำไมเราต้องแยกกันด้วย”
พรรณศรีพูดด้วยความสงสัยที่มีอยู่ในใจ หางเสียงนั้นรับรู้ได้ถึงความกลัว วิเชียรถอนใจออกมาด้วยความอึดอัดก่อนตัดสินใจพูด
“ผมขอโทษ ผมผิดเองที่ไปสนับสนุนกลุ่มทุนของนายพงษ์เลิศ เข้าเล่นการเมือง ผมคิดว่าเขาจะทำเพื่อประเทศชาติ..แต่ไม่ใช่”
“ฉันเคยเตือนคุณแล้ว”
วิเชียรมองหน้าภรรยาด้วยความรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
“ผมประกาศถอนตัวจากการให้ความสนับสนุนแล้ว”
“แล้วทำไมเรายังต้อง..”
พรรณศรีพูดค้างไว้ วิเชียรถอนใจแล้วตอบ
“ผมรู้ความลับมากเกินไป”
พรรณศรีตะลึง ใจเสียขึ้นมาทันที ก่อนจะสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อโทรศัพท์มือถือของวิเชียรดังขึ้น
วิเชียรดูเบอร์แล้วรีบรับสายทันที
“คุณธำรง!”

ธำรงแต่งตัวภูมิฐานนั่งอยู่เบาะหลังรถยนต์คันหรู กำลังพูดโทรศัพท์อยู่กับวิเชียรด้วยสีหน้าจริงจัง
“อีกไม่เกินสิบนาทีผมคงถึงบ้านคุณ เตรียมพร้อมไว้นะครับ”
ธำรงกดวางสาย ก่อนมองออกไปยังถนนด้านนอกเห็นรถราวิ่งกันอยู่หลายคัน ธำรงยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาอย่างความร้อนใจ

วิเชียรถือกล่องไม้เล็กๆสองกล่องและลากกระเป๋าเดินทางสองใบมาตามทางเดินภายในบ้าน โดยมีพรรณศรีเดินตามมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“แล้วทำไมคุณไม่ไปพร้อมฉันกับลูก”
“ผมจะเป็นตัวแม่เหล็กนำความเดือดร้อนมาให้ทุกคน”
“แต่...”
“ตอนนี้พวกนั้นกำลังเรืองอำนาจ ถึงผมจะหนีไปสุดขอบโลก ยังไงพวกนั้นก็ต้องตามล่าผมจนได้ สิ่งที่ผมห่วงที่สุดในชีวิตก็คือคุณกับลูก ยังไงคุณกับลูกก็ต้องรอด”
วิเชียรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง พรรณศรีนิ่งฟังน้ำตาไหลด้วยความเศร้า วิเชียรเอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้พรรณศรีด้วยความสะเทือนใจ ก่อนพยายามจะอธิบายอย่างใจเย็น
“ผมจะอยู่ถ่วงเวลาพวกนั้นที่นี่ คุณกับลูกรีบหนีไป ถ้าทุกอย่างไม่เลวร้ายอย่างที่คิด ผมจะรีบตามไปหาคุณกับลูกๆทันที”
“แล้วถ้า...”
“เมื่อทุกอย่างสงบลง คุณรีบติดต่อคุณธำรง เขาเป็นคนที่ผมไว้ใจที่สุด เขาจะสร้างชีวิตใหม่ให้คุณกับลูกๆเอง แต่ตอนนี้เนติ์กับวีร์ต้องแยกกันเพื่อความปลอดภัยก่อน”
พรรณศรีได้ฟังแล้วก็ร้องไห้ออกมาอีก วิเชียรยกนาฬิกาขึ้นดู ก่อนหันไปพูดกับพรรณศรีด้วยความร้อนใจ
“ไปเถอะคุณ เราไม่มีเวลาแล้ว!”

วิเชียรย่อตัวลงพูดกับยศวีร์ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฝืนยิ้มทั้งๆในใจเศร้ามากที่ตนเป็นต้นเหตุให้ครอบครัวแตกกระสานซ่านเซ็นเช่นนี้
“วีร์ไปกับคุณแม่ก่อนนะลูก พ่อรอพี่เนติ์แป๊บหนึ่งแล้วจะรีบตามไป”
“แป๊บหนึ่งก็เดี๋ยวเดียว ไม่เห็นต้องให้วีร์กับคุณแม่ไปก่อนเลย เราไปพร้อมกันเหมือนทุกครั้งก็ได้นี่ครับ สนุกดีออก...ใช่มั๊ยครับคุณแม่” ยศวีร์พูด
ยศวีร์พูดอย่างไร้เดียงสาจนวิเชียรพูดอะไรไม่ออก ขณะที่พรรณศรีพยายามกลั้นน้ำตาอย่างที่สุด ก่อนหันไปพูดกับวิเชียรอย่างน่าสงสาร
“ขอฉันเจอเนติ์สักหน่อยนะคะคุณ”
วิเชียรดูนาฬิกาข้อมือ พลางมองเลยออกไปด้านนอกตัวบ้านด้วยความร้อนใจ

“ไม่มีเวลาแล้วคุณ … แต่ปกติป่านนี้ก็มาถึงแล้วนี่”

โทรศัพท์มือของกันต์ดังขึ้น กันต์ขณะกำลังขับรถอยู่รับสาย ภายในรถของจากกันต์แล้ว ยังมี เนติมา ลูกสาวคนโตของวิเชียรในวัย 15 ปี และขวัญชนก ลูกสาวของกันต์กับเจือจันทร์ในวัยเดียวกัน

“ครับคุณวิเชียร ใกล้ถึงแล้วล่ะครับ แต่วันนี้รถติดน่าดู” กันต์บอก
กันต์มองออกไปยังถนนด้านนอก เห็นการจราจรด้านนอกติดไม่ขยับ กันต์มองกระจกมองหลังเห็นเนติมากับขวัญชนกนั่งอ่านหนังสืออ่านเล่นเล่มเดียวกัน แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะชอบใจ กันต์ยิ้มเล็กน้อย
“สองสาวกำลังอ่านหนังสืออ่านเล่นกันอยู่น่ะ คุณวิเชียรไม่ต้องห่วงนะครับ อีกเดี๋ยวก็คงถึง สวัสดีครับ”
กันต์พูดแล้วยิ้มกดวางสาย ไม่รู้ถึงเหตุที่เกิดในบ้านวิเชียรแม้แต่น้อย

วิเชียรวางสาย แล้วหันมาพูดกับพรรณศรีด้วยความไม่สบายใจ
“คุณกับวีร์ต้องไปแล้วนะ เนติ์กลับมาไม่ทันแน่”
“แต่...”
พรรณศรีทำท่าจะร้องไห้ออกมาอีกแต่วิเชียรรีบขยับไปพูดใกล้ๆเมื่อเห็นยศวีร์มองมา
“อย่าร้องไห้ให้ลูกเห็น ลูกจะใจเสีย”
วิเชียรบอกกับยศวีร์
“ไปได้แล้วลูก พี่เนติ์กลับมาไม่ทันแล้ว”
“แต่วีร์อยากไปพร้อม...”
“ไปได้แล้ววีร์ อย่าดื้อสิลูก ไปกับคุณลุงนะเดี๋ยวพ่อกับแม่ตามไป” พรรณศรีว่า
ทุกคนตกใจกับคำพูดของพรรณศรีที่จะไม่ไปกับยศวีร์
“คุณ !”
“เราเคยสัญญาว่าจะไม่ทิ้งกัน ฉันปล่อยให้คุณเผชิญชะตากรรมคนเดียวไม่ได้ค่ะ”
“คุณแม่พูดอะไร วีร์ไม่รู้เรื่อง แล้วคุณแม่ร้องไห้ทำไมครับ”
ยศวีร์เริ่มสับสนเมื่อเห็นพรรณศรีร้องไห้ พรรณศรีตัดใจจูงมือยศวีร์ไปให้คำเที่ยงทันที
“ฉันฝากลูกฉันด้วย ฝากลูกฉันด้วยนะคะ”
“เออ..ครับ”
“คุณแม่ ทำไมคุณแม่ไม่ไปกับวีร์ล่ะครับ”
ยศวีร์หน้าเสียทันที วิเชียรตัดสินใจส่งกล่องไม้สองกล่องให้คำเที่ยงทันที
“คำเที่ยง กล่องนี้มีของที่ฉันต้องการให้ลูกทั้งสองคน นี่ของวีร์ ส่วนใบนี้ของเนติ์ ฉันเขียนชื่อกำกับไว้ใต้กล่อง แล้วนี่นามบัตรคุณธำรง เมื่อเรื่องทุกอย่างสงบติดต่อเขาทันที”
“ครับ”
คำเที่ยงรับคำหนักแน่น วิเชียรมองหน้าคำเที่ยงพร้อมพูดอย่างจริงจัง
“ฉันฝากเลือดเนื้อเชื้อไขของฉันด้วยนะคำเที่ยง”
“คุณวิเชียรมีพระคุณกับผมท่วมหัว ผมจะดูแลเขายิ่งกว่าชีวิตครับ”
คำเที่ยงรับคำด้วยความสะเทือนใจ พรรณศรีโผเข้ากอดยศวีร์ทั้งน้ำตา
“เป็นคนดีนะลูก แม่รักลูกนะวีร์”
“คุณแม่..คุณแม่ร้องไห้ทำไมครับ”
ยศวีร์ร้องไห้ตามพรรณศรี วิเชียรยืนมองด้วยความเจ็บปวดหัวใจ ก่อนตัดใจอุ้มยศวีร์ออกจาก
อ้อมกอดของพรรณศรีทันที
“ไปได้แล้วลูก !”
“วีร์ไม่ไปครับคุณพ่อ วีร์ไม่อยากไปเที่ยวแล้ว วีร์จะอยู่กับคุณแม่ อยู่รอพี่เนติ์ ปล่อยสิครับคุณพ่อ..ปล่อย !”
“คำเที่ยง !”
คำเที่ยงสะดุ้งเมื่อได้ยินวิเชียรเรียกเสียงดัง คำเที่ยงรีบวิ่งขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับบนรถตัวเองทันที
ขณะวิเชียรอุ้มยศวีร์ไปนั่งในรถพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัยให้ และมองลูกชายด้วยความเศร้า
“พ่อรักลูกนะวีร์”
ยศวีร์ร้องไห้เรียก
“คุณพ่อ..คุณแม่”
“วีร์ลูกแม่”
พรรณศรีที่ร้องไห้อย่างหนักโผเข้ามาจะหาลูก แต่วิเชียรรั้งไว้พร้อมตะโกนบอกคำเที่ยงทันที
“ออกรถ..คำเที่ยงออกรถเดี๋ยวนี้..เร็ว !”
คำเที่ยงตัดใจด้วยความยากลำบาก ก่อนสตาร์ทรถแล้วขับออกไปทันที
“คุณแม่..คุณแม่ช่วยวีร์ด้วย วีร์ไม่อยากไปแล้ว คุณแม่”
ยศวีร์ร้องไห้โฮ ทำได้แค่เกาะกระจกรถมองพ่อกับแม่ด้วยความเศร้า
“วีร์..วีร์ลูกแม่”
พรรณศรีร้องไห้ปานจะขาดใจมองตามรถคำเที่ยงไป วิเชียรรวบตัวพรรณศรีไว้ในอ้อมกอดแน่น ขณะที่วิเชียรพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อออกมาคลอเบ้า ทั้งๆที่รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน

ภายในรถ คำเที่ยงขับรถด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ชำเลืองมองยศวีร์ที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร
“คุณหนูไม่ต้องกลัวนะครับ เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ก็ตามมา”
“วีร์ไม่เชื่อ วีร์จะกลับไปหาคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ วีร์ไม่อยากไป วีร์ไม่อยากไป ฮือ...”
ยศวีร์ปลดเข็มขัดนิรภัยปีนเบาะมองผ่านกระจกหลัง เห็นวิเชียรกับพรรณศรีกอดกันร้องไห้ ภาพของพ่อแม่ค่อยๆห่างออกไปเรื่อยๆ ยศวีร์ร้องไห้มองพ่อกับแม่ด้วยความเศร้าเป็นอย่างมาก

รถของคำเที่ยงวิ่งลับสายตาไปแล้ว วิเชียรพูดกับพรรณศรี
“คุณควรจะไปกับลูก”
“ฉันเชื่อว่าคุณเลือกทางที่ดีที่สุดให้ลูกแล้ว แต่จะให้ฉันทิ้งคุณ ฉันทำไม่ได้จริงๆ เราเคยสัญญาว่าเราจะไม่ทอดทิ้งกัน ฉันจะไม่มีวันผิดสัญญากับคุณค่ะวิเชียร”
พรรณศรีพูดทั้งน้ำตา วิเชียรกระชับกอดพรรณศรีด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนวิเชียรจะชะงักด้วยความตกใจ
“แย่แล้ว !”
“อะไรคะ”
“ผมมีของสำคัญอย่างหนึ่งที่จะต้องฝากคำเที่ยงไป แต่เมื่อกี้รีบๆผมเลย..โธ่เอ๊ย”
“คุณรีบโทรหาคำเที่ยง ของคุณเก็บไว้ไหน เดี๋ยวฉันจะรีบไปเอามาให้”
พรรณศรีพูดด้วยความร้อนใจ แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะทำอะไร พรรณศรีก็ได้ยินเสียงรถอีกคันดังเข้ามา
“ลูกเนติ์กลับมาแล้ว !” พรรณศรีพูดด้วยความดีใจ
“ไม่ใช่...” วิเชียรบอก
วิเชียรมองออกไป เห็นรถตู้คันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดอย่างรวดเร็ว พรรณศรีมองด้วยความตกใจ วิเชียรดึงพรรณศรีเข้าไปกอดแน่น
ทนง โปรยและชูศักดิ์ ลงมาจากรถ แต่ละคนสีหน้าเหี้ยมเกรียม ก่อนที่ปานจะตามลงมาอย่างเยือกเย็น สุดท้ายพงษ์เลิศจะตามลงมาเป็นคนสุดท้ายแล้วมองวิเชียรกับพรรณศรีอย่างใจเย็น
วิเชียรสูดหายใจลึก มองหน้าพงษ์เลิศอย่างไม่เกรงกลัว

ภายในรถ ธำรงพยายามต่อสายโทรศัพท์ถึงวิเชียรแต่ไม่มีคนรับสาย
“ทำไมไม่รับสายนะ”
ธำรงถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจ ก่อนมองออกไปยังนอกรถเห็นการจราจรหนาแน่น รถเคลื่อนตัวได้ช้า ธำรงพูดกับคนขับรถด้วยความร้อนใจ
“มีทางลัดที่ไปได้เร็วกว่านี้มั้ย”

บริเวณหน้าประตูรั้วบ้านอิสราวัชร เนติมาลงมาจากรถด้วยรอยยิ้มพลางยกมือไหว้ขอบคุณกันต์
“ขอบคุณอากันต์มากนะคะ”
ขวัญชนกกดกระจกหน้าต่างลงมาพูดอย่างอารมณ์ดี
“พรุ่งนี้เจอกันนะจ๊ะเนติ์”
“เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้ว ชะโงกหน้าคุยกันยังได้เลยขวัญ บ๊ายบาย...”
เนติมาพูดหยอกก่อนโบกมือให้ขวัญชนกที่โบกมือตอบ กันต์จะขับรถออกไปแล้วเลี้ยวเข้าบ้านหลังที่อยู่ติดกัน
เนติมายิ้มอารมณ์ดีก่อนจะขยับเดินเข้าบ้าน แต่เมื่อเห็นประตูรั้วบ้านเปิดค้างอยู่ก็ชะงัก เนติมามองเข้าไปในบ้านด้วยความสงสัย

“ทำไมวันนี้ประตูบ้านเปิดทิ้งไว้นะ”

บริเวณโถงบ้านอิสราวัชร พงษ์เลิศนั่งบนโซฟาหรูอย่างใจเย็น แล้วมองวิเชียรกับพรรณศรีที่ถูกมัดมือไพล่หลังและมัดปากไว้อยู่ที่พื้น ใบหน้าของวิเชียรมีร่องรอยถูกซ้อม โดยมีปานยืนคุมอยู่ไม่ห่าง รอบๆห้องถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย

ทนง ชูศักดิ์ โปรย ลงมาจากบันไดชั้นบน รีบเข้ามารายงานพงษ์เลิศทันที
“หาจนทั่วแล้วไม่พบเลยครับนาย” ทนงบอก
พงษ์เลิศหันมามองวิเชียรอย่างหงุดหงิด ลุกเดินเข้ามาหาพร้อมพยักหน้าบอกปานอย่างรู้กัน ปานกระตุกผ้าที่ปิดปากวิเชียรออก พงษ์เลิศถามเสียงเข้ม
“ฉันไม่อยากเสียเวลากับแกมากนักนะ...ของอยู่ไหน !”
วิเชียรมองพงษ์เลิศอย่างไม่เกรงกลัว
“ของที่แกอยากได้ ฉันโยนลงไปในนรกแล้ว ถ้าแกอยากได้ ก็ตามลงไปเอาสิ”
พงษ์เลิศชะงักไปนิดหนึ่งก่อนยิ้มออกมาอย่างใจเย็น หันหน้าไปพยักหน้าให้โปรยอย่างรู้กัน
โปรยพยักหน้ารับคำ ก่อนปรี่เข้าไปดึงกระชากผมพรรณศรีขึ้นมา พรรณศรีพยายามดิ้นด้วยความเจ็บปวด
“มานี่ !”
“คุณ..โอ๊ย !”
วิเชียรทะลึ่งพรวดจะลุกขึ้น แต่โดนปานเตะเข้าที่ท้องจนจุกล้มลงไปกองกับพื้น ปานเอาผ้าผูกปากวิเชียรอีกครั้ง
ทนงปรี่เข้าตบหน้าพรรณศรีจนเลือดกลบปาก แล้วชกเข้าที่ท้องอย่างจัง ก่อนโปรยจะปล่อยมือจาก
พรรณศรี ร่างของพรรณศรีร่วงลงกองกับพื้นด้วยความเจ็บปวด วิเชียรมองพรรณศรีด้วยความสงสารจับใจ พงษ์เลิศเข้าไปพูดกับวิเชียรอย่างเลือดเย็น
“ทำกับแก อย่างมากแกก็เจ็บตัว แต่ทำกับคนที่แกรัก แกเจ็บไปถึงข้างใน มันสะใจฉันกว่า ฮ่าๆ ในเมื่อแกไม่ยอมบอกว่าของที่ฉันต้องการอยู่ที่ไหน ฉันก็ไม่บังคับอะไรแกล่ะ ฉันรู้ว่าความลับไม่มีวันตายแต่คนที่กุมความลับ มันตายเป็น !”
พรรณศรีพยายามกระเสือกกระสนพลิกตัวกลับขึ้นมาต้องชะงักด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อเห็นเนติมายืนช็อคด้วยความตกใจอยู่ที่มุมหนึ่งของสวนหย่อมหน้าบ้าน พรรณศรีพยายามส่งสายตาบอกลูกสาวประมาณว่าอย่าเข้ามา
พงษ์เลิศหันไปสั่งปานน้ำเสียงเด็ดขาด
“ปาน !”
“ครับนาย”
ปานรับคำอย่างรู้งานพลางหยิบปืนขึ้นมาแล้วจัดการสวมลำกล้องเก็บเสียงด้วยความชำนาญ

สวนหย่อมบริเวณบ้านอิสราวัชรเนติมามองเข้าไปด้านในบ้านตะลึงตกใจสุดขีด กำลังจะร้องออกมา แต่จังหวะเดียวกันก็มีมือมาปิดปาก แล้วดึงตัวเนติมาออกไปทันที
“ไม่..อุ๊บ !”
พงษ์เลิศเดินออกมาจากตัวบ้าน โดยมีปานเดินตามออกมาด้วย
“แล้วลูกของมันอีกสองคน นายจะทำยังไงครับ”
“ไอ้วิเชียรมันรู้ตัว ว่าจุดจบของมันจะเป็นยังไง ป่านนี้มันคงเอาลูกไปซ่อนที่ไหนสักแห่ง ตามไปจัดการเด็กสองคนนั่นให้ได้ ฉันไม่อยากให้มันกลับมาเป็นหอกข้างแคร่ฉันในอนาคต”
พงษ์เลิศพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ปานถอนใจนิดหนึ่งแล้วเดินตามพงษ์เลิศออกไป

บริเวณหลังพุ่มไม้ ธำรงเอนราบไปกับพื้น มือของธำรงข้างหนึ่งรวบตัวเนติมาที่พยายามดิ้นไว้ มืออีกข้างปิดปากเนติมาแน่น
ธำรง กิตติธรพูดเบาๆบอก
“นิ่งไว้นะหนูเนติ์ แล้วหนูจะปลอดภัย”
เนติมาร้องไห้น้ำตาไหลพรากทั้งตกใจและเสียใจ พยายามมองผ่านพุ่มไม้เข้าไปในบ้านด้วยความเป็นห่วงพ่อกับแม่

บริเวณห้องนอนชั้นบนบ้านกันต์เจือจันทร์กำลังจัดของในห้องให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะขยับไปรูดม่านที่หน้าต่างให้เปิดออก แต่ต้องชะงักเมื่อสายตามองผ่านหน้าต่างไปที่ชั้นล่างบ้านอิสราวัชร เห็นขาของพรรณศรีนอนราบอยู่ที่พื้น ก่อนจะเลื่อนหายไป
เจือจันทร์สะดุ้งด้วยความตกใจ รีบปล่อยผ้าม่านทันที
“ว๊าย !”
เจือจันทร์พยายามตั้งสติ ก่อนขยับไปแง้มผ้าม่านมองลงไปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นชูศักดิ์ยืนอยู่ที่หน้าต่าง แล้วชำเลืองมองสวนขึ้นมาทางเจือจันทร์ด้วยสายตาดุ
เจือจันทร์ตกใจรีบปิดม่าน ยืนตะลึงด้วยความตื่นเต้น รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เวลากลางคืน ถนนในกรุงเทพฯ มีรถราวิ่งไปมาขวักไขว่ ภายในรถ ธำรงนั่งอยู่ที่เบาะหลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนหันมองไปข้างๆเห็นเนติมานั่งเหม่อมองออกไปด้านนอก น้ำตาไหลริน ยังไม่หายจากอาการช็อก ธำรงมองด้วยความสงสาร
“อาจะไม่บอกให้หนูพยายามลืมนะหนูเนติ์ เพราะในความเป็นจริงมันลืมไม่ได้แน่นอน”
เนติมาเหม่อลอยไม่ยอมพูดยอมจา ธำรงพยายามพูดอย่างใจเย็น
“แต่หนูต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นเนติมาคนใหม่ที่จะไม่ทำให้พ่อแม่ของหนูผิดหวัง”
“แล้วน้องของหนูอยู่ไหนคะคุณอา” เนติมาพูดอย่างอ่อนแรง
“อยู่ในที่ๆปลอดภัย แต่ตอนนี้ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน”
เนติมาร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ธำรงเอื้อมมือไปลูบหัวเนติมาด้วยความสงสาร
“เปลี่ยนความทรงจำร้ายๆให้เป็นอนาคตที่สดใสให้ได้ อารู้ว่ามันยาก แต่หนูต้องทำให้ได้ คมของมีดดาบมันยังต้องผ่านการตีตอนที่มันร้อนๆ คมของคนมันก็ลับคมด้วยความเดือดร้อนของชีวิตเหมือนกัน โตขึ้น หนูจะเข้าใจ”
เนติมากำมือแน่นพยายามกลั้นน้ำตาอย่างที่สุด ก่อนถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เราจะไปไหนกันคะคุณอา”
ธำรงอมยิ้มอย่างอบอุ่น ก่อนตอบอย่างใจเย็น

“สนามบิน...”

10 ปีผ่านไป…
เมืองปารีส ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและผู้คนหลากหลาย
บริเวณกลางจัตุรัสชาร์ล เดอ โกล ซี่งเป็นที่ตั้งของอาร์กเดอทรียงฟ์เดอเลตวล หรือ “ประตูชัยกรุงปารีส” อันเลื่องชื่อของประเทศฝรั่งเศส มีรถราวิ่งผ่านไปมาขวักไขว่ พร้อมกับเสียงเพลงฝรั่งเศสที่ดูฟังสบายๆ

เสียงเพลงนั้นยังคงดังต่อเนื่องที่มหาวิหารน็อทร์-ดามอันสวยงาม, บริเวณพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์, โอเปราเฮ้าส์ และพระราชวังแวร์ซายที่สวยงาม

เวลาเย็นใกล้ค่ำ บริเวณบันไดทางขึ้นหอไอเฟล ศิวัช กิตติธร กับเนติมา อิสราวัชร วิ่งขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีของทั้งสองคน
“ไหวมั้ยเนติ์”
เนติมาวิ่งเลี้ยวมาด้วยรอยยิ้ม
“สบายอยู่แล้ว เฮ้อ..ดึงเนติ์ขึ้นไปที”
เนติมายืนหอบทั้งรอยยิ้มพลางยื่นมือไปด้านหน้า เป็นจังหวะเดียวกับมือของศิวัชยื่นมาดึงร่างเนติมาให้ก้าวมายืนบนขั้นบันไดเดียวกัน ศิวัชดึงร่างเนติมาเข้ามากระชับโอบไว้ด้วยความรัก
“อวดเก่งนะเรา เขามีลิ๊ฟท์ให้ขึ้นก็ไม่ขึ้น”
“ขึ้นลิฟท์กันหมด บันไดก็เหงาแย่สิคะ”
เนติมามองท้องฟ้าที่เริ่มใกล้มืดแล้วบอก
“เร็วพี่ศิวัช เดี๋ยวไม่ทัน”
เนติมารีบจับมือศิวัชแล้วจูงกันวิ่งขึ้นไปด้านบนทันที
บริเวณบันไดทางขึ้นหอไอเฟลอีกมุมหนึ่ง ศิวัชกับเนติมาจูงมือกันวิ่งเลี้ยวเข้า เนติมารั้งมือศิวัชให้หยุดวิ่งนิดหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“เดี๋ยวค่ะพี่ศิวัช”
“พี่อุ้มมั้ยเนติ์”
ศิวัชขยับทำท่าจะอุ้มเนติมาที่หัวเราะเบี่ยงตัวหลบอย่างอายๆ
“เรื่องอะไร เสียประวัติหมดสิคะ ขึ้นมาตั้งหลายครั้งไม่เคยให้ใครอุ้มซะที เดี๋ยวนะ..ขอเนติ์ตั้งหลักก่อน”
เนติมาตั้งสติหายใจลึกๆสามสี่ครั้ง ก่อนหันไปยิ้มให้ศิวัช
“โอเค..พร้อม !”
เนติมาพูดอย่างมั่นใจแล้วออกตัววิ่งนำขึ้นบันไดไป ศิวัชยิ้มมองตามไปด้วยสายตาของความรัก ก่อนจะวิ่งตามขึ้นไป

บนจุดชมวิวชั้นบนของหอไอเฟล มีนักท่องเที่ยวยืนดูวิวกรุงปารีสและถ่ายรูปกันอย่างมีความสุข ศิวัชกับเนติมาเดินเข้ามายืนที่รั้วมองวิวเบื้องหน้าอย่างมีความสุข เนติมาสูดลมหายใจลึกด้วยความสดชื่น
“เฮ้อ..หายเหนื่อย”
ศิวัชมองเนติมาอย่างมีความสุขพลางเอื้อมมือไปกุมมือเนติมาไว้ ทั้งสองคนสบตากันด้วยความรัก
“พี่ศิวัชเบื่อมั๊ยคะ ที่ต้องตามเนติ์ขึ้นมาที่นี่บ่อยๆ”
“ให้ขึ้นมาทั้งชีวิตพี่ก็ไม่เบื่อ”
ศิวัชพูดด้วยความจริงใจ ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข เนติมานึกอะไรขึ้นมาได้รีบหันไปมองบรรยากาศรอบๆที่เริ่มมืด เนติมายกนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วยิ้ม
“ได้เวลาแล้ว ห้า..สี่..สาม..สอง..หนึ่ง...”
เนติมาพูดจบ ไฟที่ประดับหอไอเฟลและบริเวณโดยรอบก็สว่างพรึ่บขึ้นมาทันทีด้วยความสวยงาม เรียกเสียงฮือฮาจากนักท่องเที่ยว หลายคนถ่ายรูปกันอย่างมีความสุข
เนติมากับศิวัชมองไฟที่ประดับตกแต่งด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“เปลี่ยนไฟสีใหม่ด้วยสวยจังเลย...ถ่ายรูปกันเถอะค่ะ”
เนติมากับศิวัชขยับเข้าไปยืนชิดกัน เนติมาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปคู่ของทั้งสองคนอย่างมีความสุข 3-4 รูป บางรูปเอาหน้าแนบกัน บ่งบอกถึงความรักที่ทั้งคู่มีให้กัน

อีกมุมหนึ่งของจุดชมวิวบนหอไอเฟล เนติมาแหงนมองไฟที่ประดับอยู่รอบตัวอย่างมีความสุข ศิวัชเดินตามเข้ามายืนข้างๆด้วยรอยยิ้ม
“อิ่มใจรึยังจ๊ะคนเก่ง”
“อิ่มแล้วค่ะ มีพลังขึ้นอีกเยอะเลย”
เนติมาหันมาพูดกับศิวัชด้วยรอยยิ้ม
“นั่งเรือเล่นกันมั๊ยจ๊ะเนติ์”
“ไปสิค่ะ”
ศิวัชยื่นมือออก เนติมาเอื้อมมือไปกุมมือศิวัชไว้อย่างเต็มใจ ทั้งสองคนพากันเดินออกจากไป
ตรงกลุ่มนักท่องเที่ยวอีกมุมหนึ่ง ระบิลยืนทอดสายตามองวิวออกไปสุดสายตา ในมือถือรูปถ่ายใบหนึ่งอยู่ด้วย ระบิลอมยิ้มก้มมองรูปในมือด้วยความคิดถึง
“ทายสิ วันนี้พี่พาหนูมาเที่ยวที่ไหน ทายไม่ถูกใช่มั๊ยล่ะ แอ่นแอ๊น...”
ระบิลค่อยๆพลิกรูปให้หันออกไปยังวิวด้านนอก รูปใบนั้นเป็นรูปคู่ของระบิลกับเอม คนรักเก่าที่เสียชีวิตไปแล้ว รูปใบนั้น...เอมอยู่ในอ้อมแขนของระบิลอย่างอบอุ่น ทั้งคู่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
“หอไอเฟล สวยมั้ยคะเอม อึ้งๆ ชอบอ่ะดิ”
ระบิลหันรูปกลับมามองตัวเองแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสรูปเอมมิกาอย่างทนุถนอม
“พี่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเอมแล้วนะคะ เราสองคนจะไปด้วยกันทุกที่ เราจะไม่มีวันพรากจากกัน”
ระบิลอมยิ้มแต่แววตากลับสลดลงนิดหนึ่งแล้วถอนหายใจ ระบิลพยายามตัดใจแต่ยังไม่ทำใจไม่ได้

ระบิลเก็บรูปใบนั้นเข้าไปในเสื้อแจ็คเก็ต มองไปรอบๆแล้วก่อนจะก้าวเดินออกไป

หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 1 (ต่อ)

เรือสำราญที่ล่องแม่น้ำแซนน์ กำลังแล่นผ่านทิวทัศน์สองข้างทางอย่างช้าๆ ด้านหลังเห็นหอไอเฟลตั้งตระหง่านอยู่ บริเวณดาดฟ้าบนเรือ นักท่องเที่ยวหลายคนนั่งดินเนอร์พร้อมชมวิวสองข้างทางที่สวยงามอย่างมีความสุข

ศิวัชกับเนติมา นั่งดินเนอร์อยู่ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก ศิวัชตักอาหารให้เนติมาอย่างเอาใจใส่ เนติมายิ้มอย่างมีความสุขก่อนมองออกไปดูวิวด้วยสายตาครุ่นคิด
“เนติ์ชอบชีวิตที่ปารีสมากเลย”
“เนติ์ไม่อยากกลับเมืองไทยเหรอจ๊ะ” ศิวัชถามด้วยความเป็นห่วง
เนติมาถอนใจออกมาแล้วพยายามตัดความกังวลถึงเรื่องราวในเมืองไทยที่ต้องไปพบเจออีกครั้ง แล้วฝืนยิ้มให้ศิวัช
“อยากสิคะ ที่นั่นบ้านของเนติ์ เนติ์มีเรื่องต้องกลับไปสะสางที่นั่น”
“พี่สัญญา..ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พี่จะอยู่ข้างๆเนติ์ตลอดไป”
ศิวัชเอื้อมมือไปกุมมือเนติมาด้วยความรัก เนติมากุมมือตอบเพื่อรับความรู้สึกนั้น ศิวัชหยิบกล่องแหวนขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดกล่องออก... แหวนเรียบๆมีเพชรรูปหัวใจประดับอยู่ เนติมารู้สึกอายขึ้นมาทันที
“แต่งงานกับพี่นะเนติ์” ศิวัชพูดอย่างอ่อนโยน
“พี่ศิวัช...”
ศิวัชขยับลุกจากเก้าอี้ลงมานั่งคุกเข่าที่พื้นพร้อมยื่นแหวนให้เนติมาที่นั่งตะลึงอยู่ ท่ามกลางนักท่องเที่ยวคนอื่นที่หันมามองเป็นจุดเดียว นักท่องเที่ยวที่อยู่บนเรือจะค่อยๆปรบมือเชียร์กันอย่างชอบอกชอบใจ
เนติมามองไปรอบๆก็ยิ่งเขินอาย ก่อนหันไปสบตาศิวัชที่จ้องมาอย่างอ้อนวอน เนติมายิ้มมองศิวัชด้วยความรัก
“มองตาเนติ์สิคะ พี่ศิวัชน่ารู้คำตอบดีอยู่แล้วนี่คะ”
ศิวัชดีใจมาก เอื้อมมือหยิบแหวนสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายของเนติมาอย่างนุ่มนวล นักท่องเที่ยวรายรอบต่างปรบมือยินดีไปด้วย
เนติมาลุกขึ้นยืนพร้อมดึงศิวัชให้ลุกขึ้นตามมาด้วย เนติมามองศิวัชด้วยน้ำตาคลอเบ้าด้วยความดีใจ
“ขอบคุณนะคะ”
“พี่รักเนติ์นะจ๊ะ”
ศิวัชพูดจากใจจริงพร้อมดึงเนติมาเข้ามาสวมกอด ทั้งสองคนกอดกันด้วยความรักอย่างมีความสุขอย่างมาก

กรุงเทพฯ ยามเย็น
รถโฟร์วีลคันงามสองคันวิ่งเลี้ยวมาจากด้านนอกด้วยความรวดเร็วเข้ามาจอดที่โกดังริมน้ำ เมื่อประตูรถด้านหลังเปิดออก ปานในชุดสีดำเนี๊ยบแต่ดูดุดันก้าวลงมายืนที่นอกรถเพื่อมองอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านหน้า ก่อนหันไปพูดกับคนที่อยู่ในรถด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ไม่ผิดตัวครับเสี่ย”
ลูกน้องที่นั่งอยู่เบาะหน้ารีบวิ่งลงไปเปิดประตูเบาะหลังอีกด้านหนึ่ง อิทธิหาญก้าวลงมาจากรถด้วยสีหน้าดุดันก่อนเดินไปยังด้านหน้ารถที่มีชายคนหนึ่งอายุราว 30ปี ในสภาพใบหน้าบอบช้ำจากการถูกซ้อม และถูกจับมัดมือมัดเท้า มัดปาก นั่งอยู่โดยมีลูกน้องของอิทธิหาญยืนคุมอยู่
อิทธิหาญพยักหน้าเป็นเชิงสั่งลูกน้อง ลูกน้องกระชากผ้าที่ปิดปากออก ชายคนนั้นรีบพูดด้วยความกลัว
“เสี่ย..ปล่อยผมไปเถอะ ผม..ผมไม่ทำอีกแล้ว”
“แต่เอ็งทำไปแล้ว” อิทธิหาญบอก
“ผม..ผมไม่กล้าแล้วเสี่ย ปล่อยผมไปเถอะ”
ชายคนนั้นพูดเสียงสั่นด้วยความกลัว ขณะที่อิทธิหาญยิ้มมองอย่างเลือดเย็นก่อนหันไปสั่ง
“ปาน !”
“ครับเสี่ย” ปานรับคำอย่างรู้ใจ
ปานหันไปสั่งลูกน้อง
“เฮ้ย !”
ลูกน้องอีกสองคนเปิดประตูรถอีกคันกระชากหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่ถูกมัดปากลงมาจากรถ ชาย ผู้นั้นเห็นแล้วถึงกับตกใจทันที
“ปูเป้ !”
ชายคนนั้นหันมาพูดกับอิทธิหาญ
“เสี่ยจับแฟนผมมาทำไม”
“หนึ่งในบทลงโทษที่เอ็งโกงเงินในบ่อน”
อิทธิหาญหันไปหาสาวสวยที่เพิ่งถูกลากลงมา ลูกน้องที่จับตัวสาวสวยอยู่รู้งานรีบกดร่างเธอที่พยายามดิ้นลงไปกับกองกระสอบทันที ก่อนอิทธิหาญจะเดินเข้าไปหาอย่างย่ามใจพร้อมขยับปลดเข็มขัดกางเกงปรี่เข้าปล้ำสาวสวยทันทีด้วยความหื่นกระหาย
“อย่า! อย่าทำอะไรแฟนผม เสี่ยอย่า !”
ชายคนนั้นตะลึงด้วยความตกใจ แหกปากร้องพยายามดิ้นรนแต่ถูกลูกน้องของอิทธิหาญจับไว้แน่น เสื้อผ้าของสาวสวยถูกฉีกโยนมาตรงหน้าของชายคนนั้นอย่างไร้ความเมตตา


เสียงหัวเราะชอบใจของอิทธิหาญดังมาจากด้านในออกมายังด้านนอกของโกดังสินค้าริมน้ำที่ร้างผู้คน
“ฮ่าๆ สะใจที่สุดเลยโว้ย ฮ่าๆ”
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด พร้อมกับเสียงตะโกนก้องของชายคนนั้น
“ไม่ !”

ภายในโกดัง สภาพศพของปูเป้นอนตายตาค้างในสภาพเสื้อผ้าถูกฉีกขาดวิ่น เลือดชุ่มไปทั้งร่างอย่างน่าสยดสยอง
อิทธิหาญที่กำลังจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่เข้าทางด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนหันไปหาชายคนนั้นด้วยความสะใจ
“นังนี่เด็ดจริงๆ แต่โชคร้ายที่ดันเป็นแฟนเอ็ง”
“ไอ้ชาติชั่ว มึงมันไม่ใช่คน กูจะฆ่ามึง กูจะฆ่ามึง!”
ชายคนนั้นพยายามดิ้นเข้าหาอิทธิหาญ แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่อิทธิหาญหยิบปืนขึ้นมายิงแสกหน้าชายคนนั้นอย่างแม่นยำจนสิ้นใจคาที่
“กูต่างหากที่ฆ่ามึง คนที่ตุกติกกับกู โทษสถานเดียวคือตายเท่านั้น … กลับ !”
อิทธิหาญเดินกลับไปขึ้นรถอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ปานและลูกน้องที่เหลือจะตามขึ้นรถก่อนที่รถจะขับกลับออกไป

อิทธิหาญและปานเดินเข้ามาบ้านพงษ์เลิศในเวลาต่อมาและผ่านไปยังโถงของบ้าน
“ปาน” อิทธิหาญเรียก
“ครับเสี่ย”
“เดี๋ยวฉันขึ้นไปเอาของแป๊บหนึ่งแล้วจะไปนอนบ้านโน้น”
เสียงหนึ่งดังขึ้น
“อยู่ไม่ติดบ้านเลยนะแก”
อิทธิหาญกับปานชะงัก หันไปทางต้นเสียงก็เห็นพงษ์เลิศนั่งซุ่มอยู่มุมหนึ่งของห้องโถง

บริเวณริมสระวายน้ำ ภายในบ้านของพงษ์เลิศในเวลากลางคืน อิทธิหาญเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายและพยายามจะอธิบาย

“โธ่..พ่อ ก็พ่อให้บ้านนั้นผมแล้วก็ต้องใช้ประโยชน์หน่อยสิ ใช้เป็นคลังเก็บอีหนูเนี่ยสุดยอด”
“วันนี้ทำไมต้องทำโหดเหี้ยมขนาดนั้นด้วย”
พงษ์เลิศหันมาพูดกับลูกชายอย่างใจเย็นเพราะรู้ทันถึงพฤติกรรมลูกชายทุกอย่าง อิทธิหาญถอนหายใจด้วยความเซ็ง
“นี่พ่อส่งคนตามผมอีกแล้วเหรอ”
“ทำอะไรอย่างให้โจ่งแจ้งนัก พ่อไม่อยากมีปัญหา”
พงษ์เลิศพูดด้วยความไม่สบายใจนัก แต่อิทธิหาญหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
“โธ่พ่อ..แล้วที่ผ่านมามันมีปัญหารึเปล่าล่ะครับ ผมเป็นใคร พ่อเป็นใคร คนที่หนุนหลังพ่ออยู่เป็นใคร เขาก็รู้กันทั้งประเทศ”
“ใกล้เลือกตั้งแล้ว พ่อไม่อยากให้คนซุบซิบนินทาในทางไม่ดี จะทำให้เสียคะแนน ช่วงนี้แกทำอะไรก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน”
“พ่อกลัวเหรอ”
“พ่อมีลางสังหรณ์ว่าพวกมันจะกลับมา”
อิทธิหาญมองผู้เป็นพ่อที่มีความกังวลใจด้วยความสงสัย
“ใคร !”
“ก็ไอ้เจ้าของบ้านที่แกเอาไปทำคลังเก็บอีหนูนั่นไง จำไว้..พวกมันเหมือนงูพิษที่เราตีไม่ตาย วันหนึ่งมันต้องกลับมาแว้งกัดเราแน่”
พงษ์เลิศหันไปพูดกับอิทธิหาญด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะถอนหายใจด้วยความไม่สบายใจ อิทธิหาญครุ่นคิดตามที่พงษ์เลิศพูด แล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

บริเวณสนามฝึกซ้อมการต่อสู้ในเวลากลางวัน ชาวยุโรปร่างสูงใหญ่ในชุดฝึกของทหาร 5 คน ยืนตั้งแถวหน้ากระดาน แต่ละคนตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับต่อสู้มือเปล่า
ระบิลในชุดฝึกอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะฝ่าวงล้อมออกไป ระบิลปรี่เข้าต่อสู้กับชายฝรั่งร่างใหญ่อย่างไม่กลัวเกรง
“อ๊าก !”
ระบิลเข้าจัดการกับคู่ต่อกรจนล้มระเนระนาดด้วยหมัดและเข่าอย่างไม่กลัวเกรง ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง ระบิลฝ่าด่านเพื่อนต่างชาติไปได้ ก่อนพุ่งไปคว้าปืนสั้นซึ่งวางไว้อยู่ที่โต๊ะ แล้วลั่นกระสุนไปที่เป้าซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปราว 5-7 เป้าอย่างแม่นยำ
ระบิลยิ้มอย่างพอใจพร้อมกับเสียงปรบมือจากคู่ต่อกรที่ดังมาจากด้านหลังด้วยความชื่นชม
“เยี่ยม! พวกเราไม่เคยสู้นายได้เลย” ชาวยุโรปคนแรกพูดชม
“นายเก่งที่สุดในรุ่นแล้วระบิล” อีกคนบอก
“พวกนายก็ใช่ย่อย เล่นเอาฉันเกือบแบน” ระบิลบอก
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดีพลางจับมือกับเพื่อนๆ ขณะที่ครูฝึกวัย 50 ปีซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปเดินเข้ามาพูดกับระบิลอย่างชื่นชม
“ฉันไม่เคยเห็นคนเอเชียคนไหน เก่งเท่านาย นายเยี่ยมมากระบิล”
“ขอบคุณครูเหมือนกันครับ ที่นี่สอนให้ผมเป็นบอดี้การ์ดที่ดี ที่สำคัญผมได้มิตรภาพดีๆที่นี่ครับ”
ระบิลพูดยิ้มมองไปทางเพื่อนๆอย่างอารมณ์ดี เพื่อนๆต่างชาติของระบิลต่างเข้ามาโอบไหล่ ตบหลังระบิลด้วยมิตรภาพที่มีให้กัน

ในเวลาต่อมา ระบิลกับครูฝึกเดินคุยกันมาอย่างอารมณ์ดีในบริเวณทางเดินเท้าในกรุงปารีส รอบๆบริเวณดังกล่าวมีร้านอาหารและร้านกาแฟน่ารักๆตั้งเรียงรายอยู่และมีนักท่องเที่ยวนั่งพูดคุยกันอยู่หลายคน
“โปรไฟล์นายดีมาก สนใจเป็นการ์ดส่วนตัวผู้นำประเทศแถวยุโรปนี้มั้ย”
“ขอบคุณครับครู แต่ผมอยากกลับเมืองไทยมากกว่า”
ระบิลพูดยิ้มๆ ขณะที่ครูฝึกมองระบิลด้วยความสงสัย
“ทำไม โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆนะระบิล” ครูฝึกถาม
“เมืองไทยเป็นบ้านผม ผมอยากกลับบ้านครับครู”
ระบิลพูดอย่างตรงไปตรงมา ครูฝึกยิ้มอย่างเข้าใจ
“โอเค..ผมเข้าใจ งั้น..เดี๋ยวพรุ่งนี้พบกัน”
“ครับครู”
ระบิลกับครูฝึกร่ำลากัน ก่อนครูฝึกจะเดินแยกออกไปอีกทาง ระบิลยิ้มอย่างอารมณ์ดีและเริ่มรู้สึกหิวจึงหันไปมองหาร้านอาหารในย่านนั้น
“ออกแรงไปเยอะ ชักหิวแฮะ ระบิลเอ๊ย..จับอะไรใส่ท้องหน่อยดีกว่า”
ระบิลเอามือลูบท้องอย่างอารมณ์ดี ก่อนเดินเลี่ยงออกไป

ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านนั้น ระบิลนั่งอยู่ที่โต๊ะกำลังยกเมนูสั่งอาหาร โดยมีบริกรจดรับออเดอร์ก่อนเดินออกไป ระบิลยิ้มอย่างอารมณ์ดี ทันทีที่เขาวางเมนูอาหารก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเนติมานั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะข้างๆ ระบิลมองอย่างชั่งใจ ก่อนตัดสินใจถาม
“เออ..คนไทยรึเปล่าครับ”
เนติมาชะงักมองระบิลที่ส่งยิ้มมิตรภาพมาให้ เนติมาชะงักหันมามองระบิลนิดหนึ่งก่อนยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะ”
“สุดยอด ไม่ได้คุยกับคนไทยมาเป็นเดือน จนจะเฉาตายอยู่แล้ว”
“มาเที่ยวหรือมาทำงานคะ”
“ฮ่าๆ ผิดทุกข้อ ผมมาเรียนครับ...แล้วคุณล่ะครับ”
“ฉันมาเรียนที่นี่หลายปีแล้วล่ะค่ะ”
“โห..เจอรุ่นเก๋าซะแล้วเรา แล้วนี่มาคนเดียว...”
“เนติ์” เสียงศิวัชดังเข้ามา
ระบิลกับเนติมาชะงักหันไป เห็นศิวัชเดินยิ้มเข้ามาหาเนติมา
“พี่ศิวัช”
“ใครเหรอเนติ์”
ศิวัชถามด้วยความสงสัยที่เห็นระบิลนั่งคุยอยู่กับเนติมา
“คนไทยเหมือนกันค่ะ เขามาเรียนที่นี่เหมือนกัน”
“สวัสดีครับ” ระบิลยิ้มทักทาย
ศิวัชทักทายตอบก่อนจะหันไปบอกเนติมา
“สวัสดีครับ...ไปเนติ์”
“อ้าว..แล้วไม่ทาน...” เนติมาถาม
“ไปเร็ว เดี๋ยวไม่ทัน...ขอตัวก่อนนะครับ”
ศิวัชตอบก่อนจะหันไปพูดกับระบิล
เนติมารีบหันไปพูดกับระบิลอย่างรีบๆก่อนเดินออกไปพร้อมกับศิวัช
“ขอตัวก่อนนะคะ”
“เออ..เดี๋ยวคุณ ยังไม่รู้ชื่อ ว้า..ไปซะแล้ว”
ระบิลพูดอย่างเสียดายมองตามศิวัชกับเนติมาที่เดินจูงมือกันไปด้วยความรักแล้วอดยิ้มตามออกมาไม่ได้ ระบิลจะนึกอะไรขึ้นมาได้ หยิบรูปคนรักเก่าออกมาดูด้วยรอยยิ้ม
“หนูไม่ต้องอิจฉาเขานะคะ หนูก็รู้ว่าพี่หวานกว่านั้นได้อีกสามพันเท่า”
ระบิลยิ้มมองรูปนั้นด้วยความรัก เป็นจังหวะเดียวกันกับสายตาที่ชำเลืองมองไปเห็นหนังสือของเนติมาที่ถืออ่านอยู่เมื่อครู่และลืมวางอยู่บนโต๊ะ ระบิลว่า
“อ้าว..คุณลืม”
ระบิลมองไปทางที่เนติมาเดินไป สายตาพบแต่กลุ่มคนที่เดินผ่านไปมากันขวักไขว่เท่านั้น ส่วนศิวัชกับเนติมาเดินหายไปแล้ว
“เอ้า..หายไปไหนแล้ว”

ระบิลมองหนังสือเกี่ยวกับอาหารไทยเล่มโตของเนติมา พลางถอนใจออกมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับหนังสือเล่มนั้นดี

บริเวณที่จอดรถภายในคฤหาสน์หรูของธำรงในฝรั่งเศสยามค่ำคืน ศิวัชกับเนติมาเดินลงมาจากรถคันหรู เนติมาบ่นอย่างงอนๆก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
“ดูสิ เร่งเนติ์จนลืมหนังสือไว้ที่ร้าน กว่าจะหาซื้อได้ เนติ์เดินจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก”
“น่า..เดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่”
ทั้งสองคนเดินคุยผ่านเข้ามาในห้องโถงที่หรูหราสวยงาม ศิวัชยิ้มอย่างอารมณ์ดี ขณะที่เนติมานิ่วหน้าด้วยความสงสัย
“แต่เนติ์ว่าเนติ์จำไม่ผิดนะคะ วันนี้เรามีมีตติ้งที่บ้านแพ็ททริค”
“แคนเซิ่ลไปตั้งนานแล้วจ้ะเนติ์ ป่ะ..ป่านนี้คุณพ่อรอทานข้าวแย่แล้ว”
ศิวัชยิ้มอารมณ์ดีก่อนขยับจะเดินต่อ แต่เนติมารั้งไว้
“แต่วันนี้คุณอาไปดินเนอร์กับลูกค้านี่คะ”
เนติมาถามด้วยความสงสัย แต่ศิวัชไม่ตอบอะไรกลับเดินอมยิ้มไปยังประตูห้องที่อยู่ใกล้ๆทันที เนติมามองตามไปด้วยความสงสัยแล้วเดินตามไป

ศิวัชกับเนติมาเดินเข้ามาในห้องที่ภายในห้องที่ยังปิดไฟมืด
“เห็นมั๊ยคะ บอกแล้วว่าคุณอาไม่อยู่”
เนติมาเดินไปเปิดสวิทช์ไฟที่อยู่ใกล้มือ แต่ปรากฏว่าไฟไม่ติด
“เอ๊ะ..ทำไมไฟไม่ติดล่ะคะ ...อ้าว..พี่ศิวัช พี่ศิวัชอยู่ไหนคะ”
เนติมาพยายามมองหาศิวัชที่จู่ๆก็หายไปในความมืด เนติมาคลำทางพลางเรียกหา
“พี่ศิวัชอยู่ไหนคะ พี่ศิวัชอย่าเล่นอย่างนี้สิ เนติ์กลัวนะ อุ๊ย !”
เนติมาเดินสะดุดขาเสียหลักนิดหนึ่ง ก่อนนึกฉุนเสียงแข็งขึ้นมา
“พี่ศิวัช เนติ์โมโหแล้วนะ พี่...”
เนติมายังไม่ทันพูดอะไรต่อก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆแสงไฟก็สว่างขึ้น เนติมาตกใจ ศิวัชเดินออกมาจากห้องด้านในพร้อมกับถือเค้กวันเกิดและร้องเพลงอวยพรออกมาพร้อมกับธำรงและเพื่อนๆ
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทูยู...”
เนติมาค่อยๆตั้งสตินึกขึ้นได้ ก่อนยิ้มออกมาด้วยความตื้นตันใจ จนศิวัชเดินมาถึงตรงหน้าพร้อมกับทุกคนที่ร้องเพลงจบพอดี
ศิวัชยิ้มให้เนติมาด้วยความรัก เนติมายิ้มออกมาอย่างมีความสุข ก่อนเป่าเทียนวันเกิดทันที

ภายในห้องโถง เพื่อนชาวต่างชาติของศิวัชและเนติมา กำลังดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน ศิวัชป้อนขนมเค้กใส่ปากให้เนติมาซึ่งยืนอยู่ที่ระเบียงอย่างมีความสุข
“ทำงานจนลืมวันเกิดตัวเองแล้วรู้มั้ย”
“ก็มีพี่ศิวัชช่วยจำให้แล้วไงคะ”
เนติมาพูดอย่างอายๆ ศิวัชเอื้อมมือไปจับมือเนติมาขึ้นมา มองแหวนที่ตนสวมให้เนติมาอย่างมีความสุข ทั้งสองคนสบตากันด้วยความรักอย่างมีความสุขอย่างที่สุด
“กลับเมืองไทยเมื่อไหร่ เราจะแต่งงานกันทันที”
ธำรงยืนมองอยู่ด้านในผ่านบานกระจกประตู เห็นแหวนที่สวมบนนิ้วมือของเนติมาด้วยความไม่สบายใจนัก

เนติมานอนกระสับกระส่ายอยู่ในห้องนอน ภายในคฤหาสน์ของธำรงในกรุงปารีส
ในฝันของเนติมา ภาพแห่งความฝันร้ายในวัยเด็กภายในบ้านอิสราวัชรได้ปรากฏขึ้น...
เนติมาในวัย 15 ปีแอบมองผ่านพุ่มไม้ในบริเวณบ้าน เห็นวิเชียรกับพรรณศรี ผู้เป็นพ่อแม่ที่ถูกจับมัด และ ถูกพวกของพงษ์เลิศ ซ้อมจนร่วงลงกับพื้น พงษ์เลิศเข้าไปพูดอะไรบางอย่างกับวิเชียร ก่อนหันไปสั่งปาน ปานจะหยิบปืนขึ้นมาอย่างน่ากลัว...
แม้ภาพฝันนั้นจะไม่กระจ่างชัด ดูวูบไหว แต่ก็ทำให้เนติมารู้สึกสะพรึงจนต้องร้องไห้ออกมาก่อนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
“คุณพ่อ..คุณแม่ ไม่..กรี๊ด !!!”
ศิวัชกับธำรงเปิดประตูเข้ามาด้วยความตกใจ ศิวัชรีบเข้าไปเขย่าร่างปลุกเนติขึ้นมาทันที
“เนติ์..เนติ์ !”
“เป็นอะไรรึเปล่าลูก” ธำรงถาม
เนติมาสะดุ้งรู้สึกตัวตื่นทั้งน้ำตา ศิวัชเอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้เนติมาด้วยความสงสาร
“เนติ์ฝันร้ายอีกแล้วใช่มั้ย”
“เนติ์..เนติ์ฝันเห็นพวกมันอีกแล้ว พวกมันฆ่า...”
ยังไม่ทันที่เนติมาจะพูดอะไรต่อ ศิวัชก็เอื้อมมือไปแตะริมฝีปากของเนติมาเป็นเชิงไม่ให้พูด
“เรื่องมันผ่านไปแล้วนะจ๊ะเนติ์ เรากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้แล้ว”
“แต่เมื่อไหร่ที่คนชั่วพวกนั้นยังลอยนวล ฝันร้ายของเนติ์คงไม่จบลงแน่”
เนติมาหันไปพูดกับธำรง
“คุณอาคะ เนติ์อยากกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด”
เนติมาพูดอย่างร้อนใจ ขณะที่ธำรงยิ้มอย่างให้กำลังใจเข้าใจความรู้สึกของเนติมา ก่อนเอื้อมมือไปลูกหัวด้วยความเอ็นดู

ประเทศไทย … บริเวณถนนที่กำลังก่อสร้าง ในเวลากลางวัน
เครื่องมือหนักไม่ว่าจะเป็นรถแทรกเตอร์ รถเครน พร้อมคนงานหลายคนกำลังทำงานกันอย่างขมักเขม้น รถของพงษ์เลิศและผู้ติดตามวิ่งเข้ามาจอด ลูกน้องคนหนึ่งรีบลงมาเปิดประตูให้พงษ์เลิศ ขณะที่ชลกรซึ่งนั่งรถมาคันเดียวกันลงมาแล้วเข้าไปยืนข้างๆพงษ์เลิศทันที
พงษ์เลิศกับชลกรมองงานก่อสร้างข้างหน้าด้วยสีหน้าชอบใจ
“เร็วดีนี่”
“ขอบคุณ คุณพงษ์เลิศมากนะคะที่ชงให้ท่านเขมชาติอนุมัติให้บริษัทญาติฉันได้รับเหมาก่อสร้างโครงการนี้ ด้วยงบที่งามมาก” ชลกรพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คนกันเองน่าชลกร เราต่างได้ประโยชน์กันทั้งนั้น”
พงษ์เลิศพูดอย่างอารมณ์ดี ก่อนชี้ไปที่ด้านหนึ่งของโครงการที่กำลังสร้างอยู่
“เลยไปอีกสี่กิโลมีแยกสองแยก ผมสั่งให้ทำวงเวียนไว้กลางแยก ก็ดูสวยดีนะ”
พงษ์เลิศยิ้มกริ่มก่อนพูดออกมาอย่างมีเลศนัย
“แต่อีกสักสองปี พอรถวิ่งมากขึ้นการจราจรก็ติด เราก็จะทำอุโมงค์ลอดทางแยก มีงบมาให้เราใช้เล่นอีกหลายร้อยล้าน”
“คุณฉลาดมากค่ะ เงินภาษีนี่ดีนะคะ ใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีหมด”
ชลกรพูดอย่างชอบใจ พงษ์เลิศหันมองไปที่คนงานซึ่งทำงานอยู่ไม่ห่างด้วยสายตาดูถูก
“ต้องขอบคุณไอ้พวกนั้นไง จำไว้นะชลกร คนรากหญ้าพวกนี้เราต้องเลี้ยงไว้ เพราะตราบใดที่มีพวกมันอยู่ คนรากแก้วอย่างเรายิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น”
พงษ์เลิศสูดหายใจลึกด้วยความโล่งใจและสบายใจอย่างที่สุด
“เฮ้อ..สิบปีที่พวกเราผูกขาดบริหารประเทศมานี่ ผมมีความสุขที่สุดเลยรู้มั้ย เหมือนเล่นหมากรุกอยู่ข้างเดียว จะเดินเกมให้ใครเป็นใครตายก็ได้ตามใจชอบ สะใจจริงๆ”
ชลกรคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“แล้วคุณไม่ห่วงเหรอคะ ว่าวันหนึ่งใครนะคะ จะกลับมา...”
“แล้วคุณคิดว่าผมจะให้มันกลับมาง่ายๆเหรอ”
พงษ์เลิศพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะพูดออกมาอย่างเลือดเย็น

“ถ้ามันอยากกลับมา ก็ต้องนอนมาในโลงกลับมาเท่านั้น”

ที่กรุงปารีส… ภายในร้านกาแฟที่ร้านเปิดโล่งเห็นบรรยากาศเบื้องนอกที่คนเดินผ่านไปมาอย่างมีชีวิตชีวา ธำรงยกกาแฟขึ้นจิบอย่างครุ่นคิด ก่อนพูดกับเนติมาและศิวัชที่นั่งอยู่ด้วย

“พรรคการเมืองของอา พร้อมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว”
เนติมายิ้มอย่างมุ่งมั่น
“ได้เวลาทวงความยุติธรรมคืนมาแล้วสินะคะ”
“ก่อนเริ่มงานการเมือง ผมขอทำอะไรอย่างหนึ่งได้มั้ยครับคุณพ่อ” ศิวัชบอก
ศิวัชยิ้มๆและตัดสินใจพูด ธำรงพอจะเดาใจลูกชายออกจึงแกล้งถามศิวัชอย่างใจเย็น
“แกยังต้องทำอะไรอีกวะ ทุกอย่างพ่อก็จัดแจงให้หมดแล้วไม่ใช่เหรอ”
ศิวัชหันไปยิ้มกับเนติมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนตัดสินใจพูดกับธำรง
“กลับไปเมืองไทย เราสองคนขอแต่งงานกันก่อนได้มั้ยครับ”
“ได้...”
ธำรงตอบยิ้มๆอย่างใจเย็น ศิวัชเอื้อมมือไปจับมือเนติมาก่อนยิ้มให้กันด้วยความดีใจ แต่ทั้งสองคนต้องชะงักเมื่อธำรงพูดดักคอขึ้น
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“อ้าว..ทำไมล่ะครับคุณพ่อ ในเมื่อเราสองคนรักกัน อีกอย่าง...”
“พ่อไม่ได้ห้าม เพียงแต่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม อย่าลืม..เรามีภารกิจสำคัญอีกมากที่ต้องกลับไปทำ...ใช่มั๊ยหนูเนติ์”
ธำรงพูดหยั่งเชิงกับเนติมาอย่างใจเย็น เนติมานิ่งคิดตาม เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวแล้วก็ถอนใจตอบเสียงอ่อย
“ค่ะคุณอา”
“ให้ทุกอย่างลงตัวตามแผนที่เราวางไว้ แล้วค่อยแต่งก็ยังไม่สายนี่”
“แต่...”
“สนามเลือกตั้ง ไม่ใช่สนามเด็กเล่น พ่อหรือแกอาจเป็นเป้านิ่งให้กับฝ่ายตรงข้ามเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วแกจะเร่งเอาหนูเนติ์มาเสี่ยงทำไม”
“เรื่องนี้คุณอาไม่ต้องห่วงนะคะ เนติ์ไม่กลัวค่ะ”
“แต่พี่กลัว”
“พี่ศิวัช”
ศิวัชรู้สึกกังวลขึ้นมาทันทีเมื่อคิดตามที่ธำรงพูด เนติมามองศิวัชด้วยความไม่เข้าใจ ศิวัชถอนใจแล้ว เอื้อมมือไปกุมมือเนติมาก่อนพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“เนติ์คือดวงใจของพี่ พี่ยอมให้ดวงใจของพี่ดวงนี้มาเสี่ยงไม่ได้หรอกนะ”
“แต่ยังไงเราก็ต้องทำงานร่วมกันอยู่แล้ว”
“เสี่ยงในฐานะผู้ร่วมงาน กับในฐานะภรรยามันต่างกันนะหนูเนติ์ แค่พวกมันรู้ว่าหนูเป็นใครมาจากไหน นั่นก็เสี่ยงเกินไปสำหรับหนูแล้ว”
ธำรงพูดอย่างใจเย็นพยายามโน้มน้าวเพื่อระงับการแต่งงาน ศิวัชกับเนติมาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“เอาน่า เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ฉันจะจัดงานแต่งงานให้ยิ่งใหญ่สมกับที่อดทนรอคอย ผลไม้สุกมันหอมหวานกว่าผลดิบเปรี้ยวไม่ใช่เหรอ”
ธำรงพูดอย่างอารมณ์ดี ศิวัชกับเนติมาถอนใจแล้วพยักหน้ายอมรับในเหตุผล ก่อนศิวัชจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“แต่ถึงยังไง ผมก็ยังอดเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเนติ์ไม่ได้ครับคุณพ่อ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง พ่อมีแผนไว้หมดแล้ว”
ธำรงพูดด้วยความสบายใจ ขณะที่ศิวัชกับเนติมาชักสีหน้าด้วยความสงสัย

ภายในระเบียงห้องพักของระบิลในกรุงปารีส ระบิลนั่งจิบกาแฟ พร้อมอ่านหนังสือของเนติมาอยู่ด้วยความสบายใจ จังหวะเดียวกันโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ระบิลรีบรับสาย
“สวัสดีครับครู”
“มีงานที่เหมาะกับนายเข้ามานะระบิล”
“การ์ดส่วนตัวผู้นำประเทศแถบยุโรปน่ะเหรอครับ โธ่...ครูครับ ยังไงก็ไม่สน ผมน่ะคิดถึงส้มตำปลาร้าจะแย่อยู่แล้ว”
“เปล่า..ไม่ได้ทำที่นี่ ทำที่ประเทศไทย”
ครูฝึกพูดสั้นๆ ระบิลชะงักด้วยความตกใจ
“ครูว่าอะไรนะครับ”

วันรุ่งขึ้น เวลากลางวัน บริเวณทางเดินริมแม่น้ำแซนน์ ระบิลกับธำรงเดินคุยกันมาท่ามกลางทิวทัศน์ที่สวยงาม
“ผมดีใจที่ได้คนมีฝีมืออย่างคุณมาร่วมงานด้วย”
“คุณธำรงเห็นฝีมือผมจริงๆ คุณอาจน้ำตาตกในก็ได้นะครับ”
ระบิลยิ้มพูดอย่างอารมณ์ดี ธำรงยิ้มอย่างใจเย็น
“จะใช้งานคนให้เป็นก็ต้องรู้ศักยภาพของคนๆนั้นก่อนไม่ใช่เหรอ จะทดสอบมั๊ยล่ะว่าผมรู้ประวัติคุณดีแค่ไหน”
“โอ๊ยๆๆ ไม่ต้องครับๆ จริงจังซะขนาดนี้ สงสัยรู้ถึงชื่อปู่ผมแน่ๆ เอาเป็นว่า ผมทำงานให้คุณธำรงคุ้มเม็ดเงินแน่ๆ แต่ขออย่างเดียวอย่าให้ผมทำงานผิดกฏหมายก็พอ”
ระบิลยิ้มพูดอย่างตรงไปตรงมา ธำรงยิ้มชอบใจ
“งานนี้นอกจากไม่ใช่งานผิดกฏหมายแล้ว คุณยังจะมีส่วนร่วมทำให้แผ่นดินไทยสูงขึ้นด้วย”
ระบิลยิ้มบอก
“แหม..ยังไม่ทันเริ่มงาน ก็รู้สึกเหมือนอยู่ในหนังซุปเปอร์ฮีโร่แล้วนะครับเนี่ย...อ้อ..แล้วจะให้ผมเริ่มงานคุ้มครองท่านเมื่อไหร่ครับ”
“ทันทีที่เท้าเราสัมผัสแผ่นดินไทย อ้อ..ผมลืมบอกไปว่าคุณไม่ต้องมาคุ้มครองอะไรผมหรอกนะ”
ระบิลชะงักมองธำรงด้วยความสงสัย
“อ้าว..ไม่คุ้มครองคุณธำรง แล้ว...”
ธำรงหันไปมอง
“คนที่คุณจะต้องคุ้มครองมาโน่นแล้ว”
ระบิลนิ่วหน้าด้วยความสงสัย หันมองตามสายตาธำรงไปก็เห็นเนติมาเดินมากับศิวัช ระบิลตกใจเพราะจำเนติมาได้ เช่นเดียวกับเนติมาและศิวัชที่จำระบิลได้เช่นกัน
“เฮ้ย..คุณ !”
“คุณ !”
“อ้าว..รู้จักกันด้วยเหรอ” ธำรงถาม
“เราเคยเจอคุณคนนี้ที่ร้านอาหารแว๊บหนึ่งน่ะครับคุณพ่อ” ศิวัชบอก
ธำรงอมยิ้มอย่างชอบใจ พร้อมหันไปพูดกับเนติมา
“งั้นวันนี้รู้จักอย่างเป็นทางการซะหน่อยก็แล้วกัน หนูเนติ์นี่คุณระบิลบอดี้การ์ดส่วนตัวของหนู”
ระบิลกับเนติมาต่างชะงัก หันมามองหน้ากันด้วยความแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าจะต้องมาพบกันอีก
ในแบบที่ใกล้ชิดกันขนาดนี้

ภายในร้านกาแฟในกรุงปารีสเมื่อเวลาเย็น ระบิลยื่นหนังสืออาหารไทยของเนติมาคืนให้ เนติมารับหนังสือคืนมาจากระบิลด้วยความดีใจ
“ขอบคุณมากนะคะ โชคดีจังเลยที่คุณเป็นคนเก็บไว้ให้”
“ต้องเรียกว่าโชคสองชั้นมากกว่าครับ ที่ผมได้มาพบคุณอีก” ระบิลบอก
“โชคดีอีกชั้นเลยด้วยที่ผมไม่ต้องตระเวนหาซื้อมาคืนให้เนติ์” ศิวัชบอก
ศิวัชพูดด้วยรอยยิ้มพลางเอื้อมมือไปลูบผมเนติมาอย่างอ่อนโยน จนระบิลอดแซวไม่ได้
“ท่าทางงานนี้ผมทำงานไป ตาคงร้อนผ่าวๆไปแน่ๆ”
เนติมากับศิวัชมองระบิลด้วยความสงสัย ระบิลหัวเราะชอบใจ
“ฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเป็นโรคขี้อิจฉาเวลาคนมาสาดความหวานกันตรงหน้าน่ะ อย่าคิดมากๆเดี๋ยวผมปิดตาก็ได้”
ระบิลยกมือขึ้นมาปิดตาเป็นเชิงล้อเล่นจนศิวัชอดยิ้มออกมาไม่ได้ ขณะที่เนติมาขำจนต้องกลั้นหัวเราะ เนติมานึกอะไรขึ้นมาได้ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาแล้วรีบหันไปบอกศิวัชทันที
“พี่ศิวัช ไปกันเถอะค่ะ”
ระบิลมองอย่างงงๆ ศิวัชยิ้มพูดอย่างอารมณ์ดี
“เนติ์เขาชอบขึ้นไปดูวิวกับไฟบนหอไอเฟลน่ะครับ”
“กลับเมืองไทยแล้ว ไม่รู้จะมีโอกาสมาอีกเมื่อไหร่ เลยต้องสะสมภาพความทรงจำนิดหนึ่งค่ะ ไปด้วยกันมั้ยคะ”
“อุ้ย..จะดีเหรอครับ ผมน่ะก้างขวางคอชิ้นโตเลยนะครับ”
ระบิลพูดหยอก ศิวัชกับเนติมายิ้มอย่างไม่คิดอะไรมาก
“คิดมากน่าคุณ เดี๋ยวก็ต้องกลับเมืองไทยแล้ว รีบไปเที่ยวกันดีกว่าป่ะ”
ระบิลคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“โอเค..งั้นผมรับคำเชิญครับ”
ทั้งสามคนยิ้มให้กันพลางขยับจะลุกจากโต๊ะ แต่เป็นจังหวะที่โทรศัพท์มือถือของศิวัชก็ดังขึ้น ศิวัชดูเบอร์แล้วรีบรับสายทันที
“ครับคุณพ่อ”
ศิวัชนิ่งฟังปลายสายด้วยสีหน้าจริงจัง
“ครับ เดี๋ยวผมจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้ครับ”
ศิวัชวางสาย หันไปพูดกับเนติมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เนติ์...คุณพ่อเรียกพี่เข้าไปคุยเรื่องงานด่วน”
“ว้า...เสียดายจัง แต่ไม่เป็นไรค่ะ เอาเรื่องงานไว้ก่อนเนอะ”

เนติมายิ้มอย่างเข้าใจ ขณะที่ศิวัชนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอางี้...”

หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 1 (ต่อ)

บริเวณลานหน้าหอไอเฟล ซึ่งมีนักท่องเที่ยวกันเดินไปมาบนลานด้านหน้าอย่างขวักไขว่ ระบิลกับเนติมาเดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี

“ทริปพาแฟนเจ้านายเที่ยวนี่ไม่ใช่หน้าที่บอดี้การ์ด แต่ผมถือว่าเป็นโปรโมชั่นเสริมแถมให้ก็แล้วกันนะคุณ”
“เอ..นี่คือการบ่นทางอ้อมรึเปล่าคะ”
เนติมาถามอย่างไม่จริงจังนัก ระบิลหัวเราะชอบใจรีบโบกมือปฏิเสธ
“เฮ้ย..เปล่าบ่นครับ อย่าตีความผิดสิคุณ แค่ล้อเล่นขำๆเอง แหม..ยังไม่ทันเริ่มก็จะหาเรื่องปลดกันซะแล้ว”
“เอาน่าเสร็จธุระพี่ศิวัชก็ตามมาแล้ว คุณนี่เก่งเหมือนกันนะคะ เก่งจนถ้าไม่บอกก็ดูไม่ออกเลยว่าคุณเป็นบอดี้การ์ด”
เนติมาจ้องระบิลอย่างสังเกต จนระบิลหัวเราะชอบใจ
“อีกหน่อยคุณต้องเฉาเพราะปากผมแน่ รู้มั้ยกว่าผมจะโต นกขุนทองที่บ้านผมเฉาตายไปเป็นสิบๆตัวเลยนะคุณ รอนี่นะครับเดี๋ยวผมไปซื้อตั๋วขึ้นลิฟท์ก่อน”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี พลางขยับจะเดินไปที่ช่องขายตั๋ว แต่เนติมารีบรั้งไว้
“เดี๋ยว ! ใครว่าเราจะขึ้นลิฟท์”
ระบิลนิ่วหน้ามองเนติมาด้วยความสงสัย

เนติมาวิ่งขึ้นบันไดเลี้ยวเข้ามา ก่อนมาหยุดหอบตรงที่พักบันได ระบิลเดินตามเนติมาขึ้นมาอย่างใจเย็น มองเนติมาอย่างขำๆ

“ไหวมั๊ยคุณ นี่แหละน้า มีเครื่องอำนวยความสะดวกให้ใช้ไม่ใช้ กว่าจะถึงข้างบน ผมว่าเป็นลมอีกหลายยกแน่ๆ เปลี่ยนใจเดินลงไปขึ้นลิฟท์ ยังทันนะครับ” ระบิลพูดพลางยื่นหน้าทะเล้นนิดๆเข้ามาใกล้
“แหม..ดูถูกกันมากเกินไป ฉันน่ะขึ้นแบบนี้มาหลายรอบแล้ว ไปคุณ..เดี๋ยวไม่ทัน”
เนติมาตั้งหลักสูดหายใจลึกๆแล้วเร่งฝีเท้าขึ้นบันไดต่อไปทันที ระบิลยิ้มมองตามอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดตามไป

เนติมาพยายามเร่งฝีเท้าขึ้นมาทั้งๆที่รู้สึกอ่อนแรง จังหวะเดียวกันระบิลวิ่งเหยาะๆตามมาอย่างสบายใจ ก่อนวิ่งแซงเนติมาขึ้นไป ระบิลหันมาพูดแซวอย่างอารมณ์ดี
“เร็วคุณ เดี๋ยวไม่ทัน”
เนติมาค้อนขวับด้วยความหมั่นไส้
“เดี๋ยวสิ ขอตั้งหลักก่อน”
“โธ่..แล้วบอกขึ้นมาบ่อยๆ”
“บ่อย..แต่ไม่ได้หมายความว่าขึ้นทุกวันนี่คุณ ใครจะฟิตวิ่งตัวปลิวเหมือนคุณล่ะ”
“ อ้าว..ก็ผมขึ้นบ่อยๆ”
“ที่หอไอเฟลเนี่ยเหรอคะ” เนติมาถามด้วยความแปลกใจ
ระบิลยิ้มอย่างขำๆก่อนตอบอย่างอารมณ์ดี
“ภูเขาทองครับ”
“คุณว่าอะไรนะคะ !”
“ก็ภูเขาทองบ้านเราไง ผมน่ะขึ้นบ่อยๆ วิวข้างบนสวยนะคุณ แหม..ทำมึน มาอยู่ปารีสจนนึกหน้าภูเขาทองไม่ออกล่ะสิ ฮ่าๆ”
ระบิลหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ขณะที่เนติมาถอนหายใจชำเลืองมองระบิลที่ยิงมุขมาอย่างเซ็งๆ ก่อนเนติมาจะเดินขึ้นบันไดต่อไป
“อ้าว..คุณ เดี๋ยวสิ ฟังเล่าเรื่องภูเขาทองก่อน..คุณ..คุณ”
ระบิลพยายามเรียก แต่เนติมาไม่สนใจยังคงเดินขึ้นบันไดต่อไป ระบิลยิ้มมองตามไปอย่างไม่คิดอะไรมาก ก่อนมองออกไปที่วิวด้านนอกพลางครุ่นคิดถึงอดีตของตน

เวลากลางวันในอดีต บริเวณทางขึ้นภูเขาทอง
ระบิลหันกลับไปด้านหลังด้วยรอยยิ้ม พร้อมยื่นมือออกมาดึงเอมมิกาที่เดินตามหลังขึ้นมายืนบนบันไดขั้นเดียวกัน ทั้งสองคนยิ้มให้กันด้วยความรักอย่างมีความสุข เบื้องหน้าเป็นเห็นวิวเกาะรัตนโกสินทร์อันสวยงาม
“เหนื่อยมั๊ยคะเอม”
“เหนื่อย..แต่ยังไหวค่ะ ขืนไม่ไหวก็เสียชื่อตำรวจหญิงหมดสิคะ”
เอมมิกาตอบอย่างอารมณ์ดี ระบิลหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อให้คนรักอย่างอ่อนโยน
“เดี๋ยวไหว้พระเสร็จแล้ว...”
“พี่จะพาไปทานข้าว แถวเสาชิงช้าเนี่ยของอร่อยเพียบเลยนะคะเอม”
เอมมิกาพูดล้อเลียนดักคอระบิลอย่างรู้ทัน ระบิลยิ้มอย่างขำๆ
“รู้ทันจังเลยนะคะ”
“เรียกว่ารู้ใจดีกว่าค่ะ ไม่งั้นจะเป็นแฟนพี่ระบิลได้ยังไงล่ะคะ” เอมมิกาพูดพลางยิ้มอาย
“ก็น่ารักอย่างนี้ แล้วจะให้พี่รักใครได้อีกล่ะคะ”
ระบิลกับเอมมิกายิ้มให้กันอย่างมีความสุข ก่อนระบิลจะจูงมือเอมมิกาเดินขึ้นบันไดต่อไป

เวลาต่อมา ระบิลกับเอมมิกากำลังสักการะพระบรมสารีริกธาตุบนภูเขาทอง ทั้งสองคนก้มกราบก่อนหันมายิ้มให้กันด้วยความสบายใจ จากนั้นทั้งคู่เดินเคาะระฆังที่แขวนเรียงรายอยู่รอบๆหลายใบอย่างมีความสุข

บริเวณมุมหนึ่งบนเจดีย์ภูเขาทองที่เห็นทิวทัศน์ด้านบนของเกาะรัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนินกลางทอดยาวและวัดพระแก้วซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ทั้งคู่ยืนมองทิวทัศน์ตรงหน้าอย่างมีความสุข เอมมิกาสูดหายใจลึกด้วยความสดชื่น
“เฮ้อ..อากาศดีจัง อย่างนี้ไม่ต้องไปถึงต่างประเทศก็ได้นะคะ”
“เอ..งั้นเราก็ไม่ต้องเก็บตังค์ไปฝรั่งเศสแล้วสิคะ”
“อุ๊ย..เก็บสิคะ ครั้งหนึ่งในชีวิตเอมอยากไปที่นั่นจริงๆ เก็บเงินไปเที่ยวกันต่อนะคะๆ”
เอมมิกาพูดอ้อน ระบิลยิ้มชอบใจเอื้อมมือไปลูบหัวเอมมิกาอย่างอ่อนโยน
“จ้ะ..แล้วเราจะไปด้วยกัน”
ระบิลยิ้มพูดอย่างหนักแน่น ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข

ระบิลยืนอมยิ้มมองวิวของกรุงปารีสอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงอดีต แต่จู่ๆ ระบิลก็ต้องชะงัก
รอยยิ้มเจื่อนลงเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

แล้ววันหนึ่งในเวลากลางวัน บริเวณลานจอดรถชั้นบน
เอมมิกาวิ่งเข้ามาก็ต้องตะลึงที่เห็นคนร้าย 2 คนกำลังจะเหนี่ยวไกปืนพอดี เอมมิการ้องลั่นด้วยความตกใจ
“พี่ระบิล ระวัง !”
เอมมิกาวิ่งไปหาระบิลทันที ระบิลหันขวับมาเห็นเอมมิกาวิ่งเข้ามาหาซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คนร้าย 2 คนลั่นกระสุนปืนออกมา เอมมิกาเข้ามาบังระบิลไว้ กระสุนเจาะเข้าที่ร่างของเอมมิกาสองนัดซ้อนแทนที่จะโดนระบิล
ระบิลรีบเข้าไปประคองร่างของเอมมิกาที่กำลังจะล้มลงทันที “เอม..เอม!”

ด้านบนของหอไอเฟล เวลาเย็นใกล้ค่ำ ระบิลยืนมองทิวทัศน์ของกรุงปารีสด้วยสีหน้าสลดลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเอมมิกา คนรักเก่า เนติมาชะโงกหน้าเข้ามามองระบิลด้วยความสงสัย

“เป็นอะไรน่ะคุณ..คุณระบิล..คุณ !”
ระบิลสะดุ้ง
“เออ..ครับ”
“คิดอะไรอยู่คะ..ไม่สบายรึเปล่าคะ”
“อ๋อ..เปล่าครับ แค่ส่งกระแสจิตให้คนที่เขาอยากมาที่นี่ แต่มาไม่ได้น่ะครับ”
“แฟนเหรอคะ”
ระบิลพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก ขณะที่เนติมาพูดอย่างรู้ทัน ระบิลฝืนยิ้มแต่ยังไม่ทันตอบอะไรไฟที่ประดับบริเวณหอไอเฟลก็สว่างพรึ่บขึ้นมาทันที ท่ามกลางเสียงปรบมือของนักท่องเที่ยวที่อยู่รายรอบ
เนติมาหันไปมองแล้วยิ้มออกมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“สวยจังเลย...”
“ใช่ครับ..สวยมาก”
ระบิลมองไฟที่ประดับอยู่รอบๆอย่างมีความสุข ก่อนหันไปมองเนติมาที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน
“รับบริการถ่ายรูปมั๊ยครับเพ่”
ระบิลหยิบกล้องถ่ายรูปคอมแพ็คขึ้นมาให้ดู เนติมายิ้มชอบใจตอบรับด้วยสายตาเป็นเชิงตกลง

เนติมาโพสท่าด้วยรอยยิ้มในมุมต่างๆ เสียงลั่นชัตเตอร์ดัง ระบิลดูภาพที่ถ่ายในกล้องด้วยความพอใจ เนติมาชะโงกหน้ามามองอย่างอารมณ์ดี ทำให้ทั้งสองคนได้ใกล้ชิดกันอย่างไม่รู้ตัว
“ไงครับ ฝีมือพอได้มั้ย”
“อืม..สวยดีค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างอารมณ์ดี จังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือของเนติมาดังขึ้น
“พี่ศิวัชโทรมาแล้ว” เนติมาบอก
เนติมายิ้มดีใจรีบรับสายทันที
“มาถึงแล้วเหรอคะ”
เนติมาชะงักฟังปลายสาย ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเข้าใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเนติ์กลับเองได้ พี่ไม่ต้องห่วงเนติ์นะคะ เจอกันค่ะ”
เนติมาวางสายก่อนหันไปพูดกับระบิล
“พี่ศิวัชยังคุยธุระไม่เสร็จเลยค่ะ”
“อ้าว..อดเลย” ระบิลพูดแล้วคิดนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ
“เอางี้มั๊ย..เดี๋ยวผมถ่ายรูปคุณเดี่ยวๆไว้อีกรูป แล้วเผื่อที่ข้างๆไว้ แล้วเดี๋ยวผมไปถ่ายรูปเดี่ยวคุณศิวัช เอามาทำโฟโต้ชอปแปะไว้ข้างๆคุณเนียนแอ๊บหวานนิดหนึ่งก็ได้รูปคู่แล้ว”
“โอ๊ย..วุ่นวายไปรึเปล่าคะ”
เนติมาอดขำไม่ได้ที่ระบิลเสนอความคิดพลางออกท่าทางประกอบด้วย
“ไม่วุ่นคุณ ผมทำบ่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราสองคนถ่ายคู่กันมาเยอะแล้ว แต่ตอนนี้ฉันว่าลงไปหาอะไรทานกันเถอะ ใช้พลังงานวิ่งขึ้นมาตั้งเยอะ ชักเริ่มหิวแล้วล่ะ”

บริเวณลานเห็นหอไอเฟลที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้แสงไฟที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ระบิลกับเนติมาเดินมาด้วยกัน ในมือของทั้งสองคนมีขนมปังและน้ำถือทานมาด้วย
“บอกไม่ต้องเลี้ยงๆก็ไม่เชื่อ” เนติมาบอก
“เล็กน้อย ถือว่าเป็นโปรโมชั่นเสริมน่าเจ้านาย”
“เจ้านาย !”
“ก็เรียกคุณๆผมๆครับๆ มันดูสุภาพ ดูเป็นทางการยังไงก็ไม่รู้ เรียกเจ้านายคล่องปากกว่าเยอะ ที่สำคัญเจ้านายก็เป็นเจ้านายผมจริงๆนี่”
ระบิลยิ้มพูดอย่างอารมณ์ดี เนติมาครุ่นคิดตามนิดหนึ่งก่อนพยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่ต้องเลย เรียกธรรมดาอย่างนี้ดีแล้ว ฉันไม่ชอบเป็นเจ้านายของใคร ถือซะว่า เราเป็นเพื่อนร่วมงานกันดีกว่า”
“แต่เจ้านายครับ”
“นี่เป็นคำสั่ง”
เนติมาพูดเสียงหนักแน่นขึ้น ระบิลพยักหน้าอย่างจำยอม
“โอเคๆ เพื่อความสบายใจของเจ้านาย”
เนติมาหันขวับมามองอย่างหงุดหงิด ระบิลหัวเราะอารมณ์ดี
“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่ะคุณ เพื่อความสบายใจของคุณ”
ระบิลยิ้มพลางเคี้ยวขนมปังอย่างเอร็ดอร่อย เนติมามองระบิลอย่างสังเกต
“บุคลิกนายนี่ไม่เหมือนบอดี้การ์ดเลยจริงๆนะ แล้วยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่ที่นายจะเคยเป็นหน่วยคอมมานโดมือดีของเมืองไทย”
“สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่ใช่ก็ได้นี่คุณ ของพรรณนี้พูดแล้วจะหาว่าคุย ทั้งสามโลกเนี่ย ใครจะเก่งเกินนายระบิลคนนี้..ยากส์ !”
ระบิลลอยหน้าลอยตาพูด จนเนติมาอดหมั่นไส้ไม่ได้
“แหม..สงสัยนิดเดียวโม้ซะเว่อร์เลยนะ เอาเป็นว่าดูกันนานๆดีกว่า เดี๋ยวก็รู้ ว่านายจริงหรือปลอม”
ระบิลยิ้มแล้วบอก
ได้อยู่แล้ว ฮะฮ่า แต่ผมก็อุ่นใจได้อย่าง เพราะคุณบอกให้ดูกันนานๆ แสดงว่าโอกาสตกงานในระยะอันใกล้ของผมเท่ากับศูนย์ ขอบคุณนะคร๊าบ ฮ่าๆ”
ระบิลลอยหน้าลอยตาพูดเองเออเอง พร้อมหัวเราะร่วนแล้วเดินออกไปทันที
 
เนติมามองตามพลางถอนใจในความทะเล้นของระบิลก่อนจะเดินตามไป

ภายในโถงกลางคฤหาสน์หรูของธำรง ระบิลกับเนติมาเดินเข้ามา เป็นจังหวะเดียวกับที่ศิวัชเดินยิ้มออกมาพอดี

“เนติ์กลับมาแล้วค่ะ”
ศิวัชยิ้มรับ ก่อนมองเลยไปด้านหลังเนติมาเห็นระบิลยืนยิ้มอยู่
“พี่กำลังจะออกไปรับเนติ์อยู่พอดี”
“คุณระบิลเขาอาสามาส่งน่ะค่ะ”
“ถือเป็น...”
“โปรโมชั่นเสริม”
เนติมาพูดแทรกอย่างรู้ทันก่อนเดินเข้ามาด้านใน ระบิลยิ้มชอบใจ
“โห..พูดดักมุขอย่างนี้ ผมก็เดี้ยงสิครับ”
“ดี จะได้หยุดพูด”
ธำรงเดินออกมาจากด้านใน เห็นระบิลก็ทักทายอย่างอารมณ์ดี
“อ้าว คุณระบิล เข้ามานั่งเล่นข้างในก่อนสิ”
“นะครับ” ศิวัชบอก
“ขอบคุณมากครับ แต่ผมขอตัวก่อนดีกว่าจะกลับเมืองไทยอยู่แล้ว ต้องรีบเก็บข้าวของ สมบัติบ้าผมเยอะไปนิด”
“โอเค งั้นตามสะดวกคุณก็แล้วกัน ยังไงพรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน”
“ครับ งั้นผมลาล่ะครับ”
ระบิลยกมือไหว้ธำรง ก่อนหันไปยิ้มให้ศิวัชกับเนติมา
“ไปนะครับเจ้านาย”
ระบิลแกล้งพูด เนติมาค้อนขวับด้วยความหมั่นไส้ ระบิลเดินออกไป ศิวัชกับเนติมาหันมายิ้มให้กันอย่างอารมณ์ดี

ภายในห้องพัก เวลาต่อมา ระบิลกำลังทยอยเก็บข้าวของลงในกระเป๋าเดินทาง ระบิลหันไปเห็นรูปของเอมมิกาที่ใส่กรอบตั้งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ ระบิลหยิบขึ้นมามองด้วยรอยยิ้ม ใช้มือสัมผัสไปบนรูปอย่างอ่อนโยน
“กลับเมืองไทยด้วยกันนะคะเอม”
ระบิลค่อยๆวางรูปเอมมิกาลงในกระเป๋าเดินทาง ก่อนจะหันไปเห็นกล้องถ่ายรูปที่วางอยู่ ระบิลหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเปิดดูรูปที่ถ่ายไว้ ระบิลเลื่อนดูรูปไปเรื่อย จนเจอรูปของเนติมาที่ตนเป็นคนถ่ายให้ ระบิลมองรูปเนติมาด้วยรอยยิ้มอย่างไม่คิดอะไรมาก
“ถ้าจ้างผมครบหนึ่งปี ผมจะอัดรูปนี้ใส่กรอบทองให้เป็นโปรโมชั่นเสริมนะเจ้านาย”

ดลสะพายเป้เดินทางและแบกถุงข้าวสารเข้ามาพร้อมกับอนงค์ ทั้งสองคนมองไปรอบๆโถงกลางของคอนโดฯขนาดกระทัดรัดในกรุงเทพฯ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“โอ้โห..ดีเกินไปรึเปล่าครับพ่อ” ดลถาม
“นั่นสิพี่ดล”
อนงค์หันไปด้านหลังถามคำเที่ยงด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
“แพงมั๊ยจ๊ะพ่อ”
คำเที่ยงเดินตามเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“เพิ่มเงินนิดหน่อย ลูกสองคนจะได้อยู่เป็นสัดเป็นส่วน โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว จะให้นอนรวมกันได้ยังไง”
คำเที่ยงเดินเข้าไปโอบไหล่ดลกับอนงค์ด้วยความรักความอบอุ่น ดลกับอนงค์ยิ้มรับอย่างมีความสุข
“ขยันทำสวนเพิ่มขึ้นอีกนิด พ่อสบายมากลูก”
“พ่อน่ารักที่สุดเลย สัญญาจ้ะว่าอ้อจะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง แล้วห้องอ้อ ห้องไหนเหรอจ๊ะ”
“เลือกก่อนเลยอ้อ พี่นอนห้องไหนก็ได้” ดลบอก
“งั้น...”
อนงค์ชูนิ้วขึ้นมาชี้ไปที่ประตูห้องซ้าย - ขวาอย่างลังเล แล้วตัดสินใจชี้ไปห้องด้านขวา
“อ้อเอาห้องนี้”
ดลกับคำเที่ยงพยักหน้ายิ้มๆ อนงค์รับคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าวิ่งเข้าไปในห้องที่ตัวเองเลือกไปอย่างรวดเร็ว ดลกับคำเที่ยง ยิ้มมองตามอนงค์ไปอย่างมีความสุข

ภายในห้องนอน ดลวางเป้เสื้อผ้าลงบนเตียง มองไปรอบๆห้องอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็เดินไปเปิดผ้าม่านมองผ่านออกไปยังวิวด้านนอก
“ดล...”
“ครับพ่อ...”
ดลหันกลับไปด้านหลังเห็นคำเที่ยงเดินตามเข้ามาหา คำเที่ยงเอื้อมมือไปจับบ่าของดล ดลมองหน้าคำเที่ยงอย่างเข้าใจความหมาย
“พ่อฝากน้องด้วยนะดล”
“ครับพ่อ ผมสัญญาว่าจะดูแลอ้อให้ดีที่สุดครับ”
“พ่อเชื่อว่าดลทำได้ ขอบคุณมากนะลูก ขอบคุณจริงๆ”
“ผมต่างหากครับ ที่ต้องขอบคุณพ่อ ถ้าไม่ได้พ่อ ป่านนี้ชีวิตผมคง...”
“ที่ผ่านมาดลก็ทำหน้าที่ลูกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องอยู่แล้ว ดลเป็นคนดี พ่อเชื่อว่าดลต้องได้สิ่งดีๆกลับคืนมา”
คำเที่ยงพูดอย่างใจเย็น ขณะที่ดลอมยิ้มรู้สึกอบอุ่นและมีความหวังขึ้นมาอีกมาก ก่อนดลจะหยิบกล่องไม้ที่วิเชียรมอบให้ขึ้นมาเปิดดู ภายในเป็นรูปครอบครัวที่ถ่ายพร้อมหน้า ทั้งวิเชียร พรรณศรี เนติมา ยศวีร์
“สิ่งดีๆจะกลับคืนมา”
ดลมองรูปตรงหน้าอย่างมีความหวัง ขณะที่คำเที่ยงเข้ามาโอบไหล่อย่างให้กำลังใจ
“สิ่งดีๆที่ลูกรออยู่ร่วมสิบปี ลูกจะได้กลับไปเป็นยศวีร์ อย่างที่ลูกเคยเป็นซะที”
“ขอบคุณครับพ่อ”
ดลมองคำเที่ยงอย่างขอบคุณ พร้อมโผเข้ากอดด้วยความผูกพันที่คำเที่ยงเลี้ยงดูมา คำเที่ยงกระชับกอดดลด้วยความรักไม่ต่างกับลูกที่แท้จริง

ภายในห้องนอนเนติมา ในคฤหาสน์หรูของธำรง เนติมากำลังจัดของลงกระเป๋าเดินทางก่อนจะชะงักเพราะนึกอะไรขึ้นมาได้
“ตายจริง ไม่น่าลืมเลย”
เนติมาเดินออกมายังห้องโถงพลางส่งสายตามองไปรอบๆปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย
“พี่ศิวัชคะ...อ้าว ไปไหนกันหมดนะ”
เป็นจังหวะเดียวกันแม่บ้านหญิงชาวต่างชาติก็เดินผ่านมาพอดี
“คุณอาธำรงกับพี่ศิวัชอยู่ไหนจ๊ะ” เนติมาถาม
“อยู่ที่ห้องทำงานค่ะ”
แม่บ้านพูดยิ้มๆ เนติมายิ้มตอบก่อนมองไปทางด้านหนึ่งด้วยความสงสัย

เนติมาเดินมาที่ห้องทำงานของธำรงซึ่งแง้มประตูทิ้งไว้นิดหนึ่ง ภายในห้องเนติมาเห็นศิวัช ธำรง กำลังนั่งคุยกับชาวยุโรป 2 คนอยู่อย่างจริงจัง เนติมาอมยิ้มเมื่อเห็นศิวัช แต่จังหวะเดียวกันศิวัชก็หันมาเห็นพอดี ศิวัชรีบโบกมือเป็นเชิงบอกให้เนติมาอย่าเพิ่งกวน เนติมายิ้มพยักหน้าด้วยความเข้าใจ แล้วรีบกลับออกไปทันที

หน้าคฤหาสน์หรูของธำรง เนติมาเดินมาเดินมายังรถที่จอดไว้และกำลังจะเปิดประตูรถแต่ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อเห็นเงาของระบิลอยู่ที่กระจกรถ
“อุ๊ย !”
เนติมาหันขวับมาเจอระบิลยืนยิ้มแฉ่ง พร้อมชูถุงใส่ขนมมาสามสี่ถุง
“สวัสดีวันใหม่ครับ”

เนติมาตั้งสติได้พลางถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วมองระบิลด้วยความหมั่นไส้

ในเวลาต่อมา เนติมากับระบิลเดินคุยกันเข้ามาในคฤหาสน์

“นายนี่เล่นเป็นเด็กๆ เมื่อกี้ฉันตกใจหมดเลยรู้มั๊ย”
“เอ้า..ก็ผมยังเด็กอยู่นี่..ผมวางตรงนี้นะครับ”
ระบิลยิ้มพลางวางถุงของกินลงบนโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ เนติมามองถุงขนมหลายถุงที่อยู่บนโต๊ะอย่างเกรงใจ
“นี่..แล้ววันหลังไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากหรอกรู้มั๊ย มันเปลืองเงินนาย”
“แล้วใครว่าผมซื้อมาฝากล่ะครับ เนี่ยซื้อมาขาย จะแยกบิลหรือรวมบิลจ่ายพร้อมเงินเดือนดีละครับ”
ระบิลทำเป็นพูดจริงจังจนเนติมาชะงักหันมามอง ประมาณว่าจะเอาจริงเหรอ ระบิลมองเนติมาอย่างขำๆ ก่อนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีและมองเนติมานิดนึง
“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่าคุณ เห็นว่าน่ากินก็เลยซื้อมาฝากน่ะครับ...แล้วนี่ เมื่อกี้คุณจะออกไปไหนเหรอครับ”

ในเวลาต่อมา รถของเนติมาวิ่งอยู่บนถนนในกรุงปารีสที่มีรถราวิ่งกันขวักไขว่ ภายในรถระบิลทำตัวไม่ค่อยถูก หันไปมองเนติมาที่กำลังทำหน้าที่ขับรถอยู่ข้างๆ
“เออ..ผมว่าหน้าที่ขับรถนี่ควรเป็นของผมไม่ใช่เหรอครับ”
“แต่ที่ปารีสนี่ฉันชำนาญทางมากกว่านาย รึนายไม่เชื่อมือผู้หญิง”
“โอ๊ยๆๆ เปล่าครับเปล่า มั่นซะขนาดนี้ขืนไม่เชื่อมือ ผมได้ตกงานกันพอดี งั้นคุณขับไปเลยนะครับ ผมจะนั่งชูคอเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้เอง”
ระบิลยิ้มขยับตัววางท่านั่งยิ้มอย่างสบายใจ เนติมาชำเลืองมองท่าทางสบายๆอย่างโอเว่อร์ของระบิล
แล้วส่ายหน้ายิ้มอย่างรู้สึกว่า ระบิลช่างไร้สาระเก่งเหลือเกิน

ภายในร้านขายของแบรนด์เนมในปารีส เนติมากำลังเลือกของอยู่อย่างเพลิดเพลิน ระบิลตามเข้ามามองถุงใส่ของแบรนด์เนมที่เนติมาถือมา 3-4 ถุง แล้วยิ้มๆ
“โอ้โห นี่คุณจะซื้อไปขายเหรอครับ”
“เพื่อนฝากซื้อน่ะ อีกอย่างไม่รู้ฉันจะมีโอกาสกลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เลยอยากออกมาเดินเล่นส่งท้ายซะหน่อย”
“ว้า..เสียดาย คุณศิวัชติดงาน ไม่งั้นเจ้านายคงเดินสนุกกว่านี้”
ระบิลพูดยิ้มอย่างอารมณ์ดี ขณะเนติมายิ้มให้อย่างไม่คิดอะไรมาก
“ทำไงได้ ก็พี่ศิวัชติดงานจริงๆนี่นา อีกอย่าง...”
ยังไม่ทันที่เนติมาจะพูดอะไรต่อ โทรศัพท์มือถือของเนติมาก็ดังขึ้นมา เนติมาดูเบอร์แล้วยิ้มด้วยความดีใจ ก่อนรับสายก็รีบวางของที่ดูอยู่ แล้วเดินเลี่ยงออกไปทันที
“ค่ะพี่ศิวัช”
“แหม..พูดถึงปุ๊บก็โทรมาปั๊บ แฟนโทรมาล่ะเดินตัวปลิวเลยนะคุณ เอ้า..แล้วไม่เอาไอ้นี่แล้วเหรอครับ ...คุณ..คุณ”
ระบิลพยายามเรียกเนติมาแต่ไร้ผล ระบิลยิ้มอย่างขำๆก่อนรีบเดินตามออกไป

เนติมาเดินคุยโทรศัพท์ออกมาจากร้านแบรนด์เนมด้วยรอยยิ้ม โดยมีระบิลเดินตามออกมาด้วย
“บังเอิญเนติ์เจอคุณระบิลพอดี เลยชวนเขาออกมาเป็นเพื่อนน่ะค่ะ”
เนติมาหันไปทำมือบอกระบิลประมาณว่าให้รอสักครู่ ระบิลยิ้มอย่างเข้าใจความหมาย ก่อนเนติมาจะหันกลับไปคุยโทรศัพท์ต่อ
“แล้วพี่ศิวัชคุยงานเสร็จแล้วเหรอคะ”
ศิวัชเดินคุยโทรศัพท์อยู่ในคฤหาสน์ สายตามองไปยังวิวด้านนอก
“ยังเลยจ้ะเนติ์ คุณพ่อกำลังทาบทาบผู้ชำนาญด้านเศรษฐกิจของที่นี่มาเป็นที่ปรึกษาพรรคน่ะ”
“ว้า..เสียดาย เนติ์อยากอยู่ด้วยจัง”
เนติมาพูดด้วยความเสียดายเพราะชอบการทำงานมาก ศิวัชฟังแล้วยิ้มอย่างรู้ใจคนรัก
“ไม่ต้องห่วง กลับไปเมืองไทยมีอะไรให้คนเก่งของพี่ทำอีกเยอะเลย”
ศิวัชยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วรีบพูด
“เออ..เนติ์จ๊ะ เดี๋ยวพี่ต้องเข้าไปคุยงานต่อแล้วล่ะ”
“ค่ะพี่ศิวัช ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวเนติ์ก็กลับแล้วล่ะค่ะ”
“ยังไงพี่ฝากชวนคุณระบิล มาดินเนอร์ที่บ้านเราด้วยนะจ๊ะเนติ์”

ภายในรถ ระบิลที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ เอามือลูบท้องอย่างอารมณ์ดี
“ฮะฮ่า..ในที่สุดนายระบิลก็สบายไปอีกหนึ่งมื้อ อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ”
เนติมายิ้มแล้วบอก
“ แต่ก่อนอิ่ม แบกกระเพาะไปซื้อของกับฉันอีกสักสองที่นะ”
“เซอร์เยสเซ่อร์ !”
ระบิลตะเบ๊ะทำท่าขึงขังจนเนติมาสะดุ้งด้วยความตกใจ ตั้งสติได้เนติมาก็ถอนใจมองค้อนระบิลอย่างเซ็งๆ แล้วขับรถต่อไป ระบิลมองยิ้มอย่างชอบใจ ก่อนจะเอนตัวพิงเบาะอย่างสบายใจ แต่จังหวะเดียวกันระบิลต้องชะงักเมื่อมองไปยังกระจกมองข้าง ระบิลพูดเสียงเข้มทันที
“เจ้านายครับ !”
“บอกแล้วไงว่าไม่ให้เรียกเจ้านาย นี่..แล้วจะเล่นอะไรของนายอีก ไม่เอาแล้วนะ ฉันจะขับรถ”
เนติมาพูดจริงจังขึ้นเพราะเห็นระบิลชอบพูดเล่นอยู่ตลอดเวลา แต่น้ำเสียงระบิลยังจริงจัง
“มีคนตามเรามา”
“อะไรนะ !” เนติมาพูดด้วยความตกใจ
เนติมาหันไปมองกระจกมองหลัง เห็นรถคันหนึ่งขับตามมาทิ้งระยะไม่ห่างกันนัก
“นายแน่ใจเหรอว่าเขาตามเรา”
“ไม่ใช่ ให้ผมเอาหัวเดินแทนเท้าเลย”
“แล้ว..เราจะทำยังไงดีล่ะ”
เนติมาพูดอย่างใจเสีย ระบิลมองไปรอบๆอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้
ระบิลชี้แล้วบอก
“เลี้ยวเข้าซอยข้างหน้าเลยคุณ”
“นายจะพาฉันไปไหน”
“อย่าเพิ่งสงสัยตอนนี้ได้มั๊ยครับเจ้านาย ทำตามที่ผมบอกเถอะ..เร็ว !”

ระบิลเร่งเร้าเนติมา เนติมารีบหักพวงมาลัยรถเลี้ยวไปตามที่ระบิลบอกทันที

หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 1 (ต่อ)

ระบิลพาเนติมาวิ่งหนีเข้ามาในซอยแคบๆ เนติมาหยุดยืนพิงผนังตึกหอบด้วยความเหนื่อย

“โอ๊ย..เดี๋ยว หยุดก่อน”
“เหนื่อยเหรอคุณ”
“เหนื่อยสิ นี่..ฉันวิ่งไม่ไหวแล้วนะ ทำไมเราไม่ไปถามพวกนั้นล่ะว่าตามเรามาทำไม”
“โธ่..คุณ เชื่อผมสิพวกนั้นมันไม่อยากคุยกับคุณหรอก”
“อ้าว แล้วงั้นเขาจะตามเรามาเพื่อ...”
ยังไม่ทันที่เนติมาจะพูดอะไรต่อ ชายร่างใหญ่สองคนก็วิ่งเลี้ยวตามเข้ามา ทั้งระบิลกับเนติมามองด้วยความตกใจ
“มาโน่นแล้วไง อยากถามอีกมั้ยล่ะคุณ”
“ไม่อ่ะ”
“ไม่ก็ไป เร็ว !”
ระบิลรีบคว้ามือเนติมาวิ่งเข้าไปด้านในซอยอย่างรวดเร็ว โดยมีชายร่างใหญ่ 2 คน วิ่งตามไปอย่างไม่ลดละ
ระบิลพาเนติมาวิ่งเลี้ยวมา เนติมาหยุดวิ่งหันกลับไปมองด้านหลังไม่เห็นมีใครตามมา ระบิลชะงักหันไปถามด้วยความร้อนใจ
“หยุดทำไมคุณ”
เนติมายืนหอบแล้วว่า
“มันไม่ตามมาแล้ว”
สิ้นคำเนติมา ชายร่างใหญ่ 2 คนก็วิ่งเลี้ยวตามมาทันที ระบิลรีบดึงแขนเนติมาจะวิ่งต่อไป แต่จังหวะเดียวกันเนติมาเกิดสะดุดหกล้ม
“วิ่ง !”
“โอ๊ย !”
ระบิลจะดึงเนติมาขึ้นมาแต่จังหวะเดียวกันชายร่างใหญ่ 2 คนก็ปรี่เข้าถึงตัว แต่ระบิลไวกว่าประเคนแม่ไม้มวยไทยทั้งหมัดและเท้าเข้าใส่ จนชายร่างใหญ่ทั้งสองคนเสียหลักลงไปกองกับพื้น
“เผ่นเร็ว !”
ระบิลรีบพาเนติมาขยับจะวิ่งหนีต่อไป แต่จังหวะเดียวกันกระสุนปืนสามสี่นัด ก็ยิงลงมาจากที่สูงเฉียด
เนติมาไปนิดเดียว ระบิลรีบดึงเนติมาหลบหลังกองสิ่งของบริเวณนั้นทันที
“ระวังคุณ !”
“อะไรกันเนี่ย !”
ระบิลมองวิถีกระสุนแล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบนเห็นชาย 3 คนที่สวมหมวกไหมพรมพรางใบหน้า อยู่บนหลังคาของอาคาร ทั้งสามคนถือปืนยาวเก็บเสียงเล็งมาที่ระบิลกับเนติมา
“ซวยแล้ว !”

ระบิลพูดด้วยความตกใจ พร้อมรวบตัวเนติมาหมอบลงกันพื้นทันที พร้อมๆ กับกระสุนปืนอีกสามสี่นัดเฉี่ยวร่างทั้งสองคนไปอย่างเฉียดฉิว

บนดาดฟ้า เพื่อนสองคนทุบผนังปูนด้วยความเจ็บใจ ขณะที่ครูฝึกรีบยกปืนขึ้นเล็งยิงทันที ระบิลกับเนติมากลิ้งหลบกระสุนปืนที่ถูกยิงมาอีกชุดไปบนพื้นอย่างเฉียดฉิว ก่อนระบิลจะดึงเนติมาเข้าหลบด้านหลัง หลังลังผลไม้หลายลังที่วางซ้อนสูงอยู่แถวนั้น

“พวกนั้นเป็นใคร”
“อย่าเพิ่งถามตอนนี้เลยคุณ ไหวรึเปล่า”
ระบิลถามด้วยความเป็นห่วง เนติมาที่มีอาการเหนื่อยหอบ แต่ยังตอบอย่างมีกำลังใจ
“ฉันจำเป็นต้องไหวไม่ใช่เหรอ”
ระบิลยิ้มอย่างชื่นชมในความใจสู้ของเนติมา ก่อนมองลอดช่องว่างของลังผลไม้ไป เห็นชายร่างใหญ่
ทั้งสองคนลุกขึ้นมาเดินปรี่เข้ามาหาอย่างเอาจริง ระบิลชักสีหน้าเครียดขึ้นมานิดหนึ่ง
“ไอ้ยักษ์มันมาแล้ว”
ระบิลเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนอย่างระวังตัวเห็นครูฝึกและเพื่อนของระบิล กำลังวิ่งมาบนดาดฟ้าเพื่อหาตำแหน่งยิงใหม่
ระบิลมองสลับไปมาระหว่างชายร่างใหญ่ที่อยู่บนพื้นกับคนที่อยู่บนดาดฟ้าอย่างหาจังหวะ ก่อนหันมองไปทางด้านหลัง เห็นซอยเล็กๆซอยหนึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก
“เตรียมใส่เกียร์ห้า แล้วโกยสุดชีวิตเลยนะคุณ”
“นายจะทำอะไรน่ะ”
เนติมาถามด้วยความสงสัย ระบิลไม่ตอบแต่ออกแรงดันลังผลไม้ให้ล้มลง เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายร่างใหญ่ 2 คนวิ่งมาพอดีโดนลังผลไม้ล้มเข้าใส่จนเสียหลักล้มลง ผลไม้หลากหลายชนิดในลังตกลงมาเกลื่อนพื้น
“วิ่ง !”
ระบิลพูดเด็ดขาด พลางคว้าแขนเนติมาออกวิ่งทันที
ครูฝึกและเพื่อนของระบิลที่อยู่บนดาดฟ้ายังไม่ทันตั้งตัว รีบยกปืนขึ้นระดมยิงใส่ทันที ระบิลพาเนติมาวิ่งหนีสุดชีวิต ขณะที่กระสุนปืนหลายนัดยิงไล่หลังตามมา แต่โดนผลไม้ที่หล่นกระจายอยู่ที่พื้นและกำแพงระบิลวิ่งพาเนติมาเลี้ยวหลบเข้าไปในซอยแคบๆได้อย่างเฉียดฉิว
บนดาดฟ้าครูฝึกและเพื่อนทั้งสองคนของระบิล เห็นระบิลกับเนติมาวิ่งหายลับไปในซอยแคบ
จนหามุมยิงไม่ได้
ครูฝึกกระชากหมวกไหมพรมที่พรางใบหน้าอยู่ออกมาด้วยความหงุดหงิด ขณะที่เพื่อนทั้งสองคนของระบิลก็กระชากหมวกไหมพรมที่พรางใบหน้าออกมาด้วยความหงุดหงิดเช่นกัน
ชายร่างใหญ่ 2 คนลุกขึ้นมาจากกองลังผลไม้อย่างทุลักทุเล ทั้งสองคนมองตามระบิลกับเนติมาไปด้วยความโมโห

ระบิลจับมือเนติมาวิ่งเลี้ยวเข้ามาในซอยที่แวดล้อมไปด้วยตึกและอาคารไม่หรูหรานักอย่างรวดเร็ว เนติมาเหนื่อยแทบจะขาดใจรีบดึงแขนระบิลไว้ทันที
“ฉันไม่ไหวแล้ว”
“อ้าว..ไหนเมื่อกี้ยังไหวอยู่แหม่บๆ”
“ใจไหว แต่ขาก้าวไม่ไหวแล้ว ขอฉันพักแป๊บนะ”
“ไม่ได้ ! เดี๋ยวตามมามันเอาเราตายแน่”
“แต่ฉัน...”
“น่าคุณ..อีกนิดเดียว มานี่...”
ระบิลดึงแขนเนติมาวิ่งไปเปิดประตูหลังตึกบานหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆเข้าไปทันที เนติมาถามด้วยความสงสัย
“ที่นี่ที่ไหนน่ะ”

บริเวณบันไดหนีไฟ ที่พักระบิลระบิลพาเนติมาวิ่งขึ้นบันไดมา
“เดี๋ยว..นายจะพาฉันไปไหนน่ะ”
“ไปที่ๆปลอดภัยสิคุณ”
“บ้านเพื่อนนายเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วบ้านใคร นี่..อย่าบอกนะว่าไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน แล้วพาฉันเข้ามา ฉันไม่เอาด้วยนะ”
เนติมาขืนตัวไว้ทันที ระบิลหยุดหันมามองอย่างเซ็งๆ
“โห..จะเรื่องมากอะไรตอนนี้เนี่ยเจ้านาย เนี่ย..ทางขึ้นห้องพักผมเอง ไป !”

ระบิลดึงเนติมาเดินขึ้นบันไดไปทันที โดยไม่ฟังเสียงเนติมา “โอ๊ย..เดี๋ยว !”

ระบิลเดินจูงมือเนติมานำเข้ามาในห้อง เนติมามองไปรอบๆห้องที่ไม่ใหญ่โตนัก ข้าวของถูกเก็บลงกระเป๋าพร้อมเดินทางแล้ว

“หลบที่นี่ก่อนนะคุณ พวกนั้นไม่รู้จักห้องพักผมแน่ ให้พวกมันกลับไปก่อน แล้วเราค่อยออกไป”
“แต่ก่อนอื่น นายปล่อยมือฉันก่อนได้มั้ยล่ะ”
เนติมาพูดอย่างหมั่นไส้ ระบิลสะดุ้งเมื่อรู้ว่ามือของตัวยังจับมือเนติมาค้างอยู่ ระบิลรีบปล่อยมือเนติมาทันทีแล้วยิ้มเจื่อน
“อุ้ย..ขอโทษครับ ติดมือมาไม่ได้ตั้งใจ”
เนติมาคิดนิดหนึ่ง
“แล้ว..ถ้าพวกนั้นมันไปรอที่รถล่ะ”
“เรายังไม่กลับไปที่รถ ผมจะพาคุณกลับบ้านก่อน ส่วนเรื่องรถค่อยว่ากันอีกที”
ระบิลพูดอย่างมั่นใจพลางมองออกไปทางหน้าต่างเมื่อดูความเรียบร้อย จังหวะเดียวกันเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น เนติมาหันขวับไปมองด้วยความตกใจ แต่ระบิลยิ้มอย่างไม่คิดอะไรมาก
“ไม่มีอะไรครับ เพื่อนผมคงมาเอาของน่ะ “
ระบิลเดินไปที่ประตูห้องพัก มองผ่านตาแมวออกไปแล้วต้องตกใจ
“เฮ้ย !”
ประตูห้องถูกถีบเข้ามาจากด้านนอกอย่างแรง กระแทกระบิลจนเสียหลักล้มลง ชายร่างใหญ่สองคนปรี่
เข้ามาในห้อง ชายคนหนึ่งปรี่เข้ามาเตะระบิลจนตัวงอ ส่วนชายอีกคนปรี่เข้าไปหาเนติมาทันที
“ว๊าย !”
ระบิลหันขวับไปคว้าขวดน้ำที่อยู่ใกล้มือขว้างใส่กลางหลังชายคนที่สองอย่างแม่นยำจนชะงัก
“โอ๊ว !”
ชายคนแรกหันขวับมาหาระบิลเพื่อจะเล่นงาน แต่โดนระบิลตวัดขาเตะรวบอย่างแรง จนสียหลักล้ม
ทั้งยืน
“คุณมานี่ !”
เนติมาชิงจังหวะจะวิ่งมาหาระบิล แต่ชายคนที่สองหันไปจิกผมเนติมาไว้แน่น พลางหยิบมีดพกออกมา
“โอ๊ย..เจ็บ !”
“เล่นมีดเหรอไอ้ยักษ์ !”
ระบิลไวกว่าปรี่เข้าไปเตะมืออย่างแรงจนมีดกระเด็นจากมือ ก่อนระบิลจะระดมทั้งหมัดทั้งเตะชายคนนั้นจนต้องปล่อยมือจากเนติมา
“เข้าไปหลบในห้องก่อนคุณ”
“แต่...”
“เร็ว..อย่าเกะกะ !”
ระบิลผลักเนติมาเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว ก่อนหันไปต่อสู้กับชายร่างยักษ์ทั้งสองคนที่พยายามตามเข้าไปหาเนติมาอย่างสูสี

ระบิลใช้วิชามวยไทยประเคนทั้งหมัดทั้งเท้าเข้าใส่คู่ต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัว

เนติมาแง้มประตูออกมองการต่อสู้ด้วยความหวาดเสียว ระบิลสบโอกาสเตะจระเข้ฟาดหางเข้าก้านคอชายคนที่สองอย่างจังจนร่วงลงกับพื้น ก่อนชำเลืองเห็นชายคนแรกที่หยิบมีดที่หล่นจากพื้นขึ้นมา ระบิลรีบคว้า “โมเดลหอไอเฟล” กระชับในมือ แล้วฟาดกระหน่ำลงไปที่หัวชายคนนั้นจน โมเดลหอไอเฟลแตกกระจาย

ชายคนนั้น ร่วงลงไปกองกับพื้นหมดสติทันที ระบิลยืนมองชายร่างใหญ่ทั้งสองคนที่นอนหมดสติอยู่กับพื้น ก่อนถอนใจอย่างโล่งอก
เนติมาเปิดประตูห้องออกมาดูผลงานของระบิลด้วยความทึ่ง
“โอ้โห..นายทำได้ไงเนี่ย”
ระบิลได้ทียิ้มกอดอกยืดด้วยความภูมิใจ วางมาดหล่ออย่างโอเว่อร์
“พระเอกก็งี้แหละคุณ”
เนติมามองระบิลด้วยความหมั่นไส้ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาจิ้มไปที่ปากของระบิลที่แตกเลือดซิบ ระบิลสะดุ้งทันทีด้วยความเจ็บ
“เจ็บมั๊ยอ่ะ”
“โอ๊ย..เจ็บสิคุณ อูย..จิ้มซะแรงเลย ปากคนนะคุณไม่ใช่ก้นลิง อูยยยย”
ระบิลกุมปากป้อยๆ เนติมาอดขำออกมาไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางของระบิลที่หมดฟอร์มเก็ก เนติมามองไปที่ชายร่างใหญ่ทั้งสองคน รอยยิ้มเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นครุ่นคิดด้วยความไม่สบายใจทันที

ภายในคฤหาน์หรู ธำรงเดินไปส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คนที่ประตู ทั้งสองฝ่ายคุยอะไรกันเล็กน้อย ก่อนจะเช็คแฮนด์ร่ำลากัน ธำรงถอนใจออกมาอย่างไม่สบายใจนิดหนึ่ง ก่อนเดินมาหาศิวัชที่นั่งกุมมือเนติมาอยู่อย่างปลอบใจ โดยมีระบิลยืนอยู่ใกล้ๆ

“ทางนี้เขาจะช่วยสืบให้อีกทาง ว่าพวกมันเป็นใคร” ธำรงบอก
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าอยู่ที่นี่คุณธำรงมีศัตรูที่ไหนรึเปล่า” ระบิลถาม
“ไม่..อยู่ที่นี่เรามีแต่เพื่อน ที่สำคัญพวกเราทำธุรกิจถูกกฏหมาย”
ธำรงตอบอย่างหนักแน่น ระบิลพยักหน้ารับคำ แต่สีหน้ายังคงครุ่นคิดกับเหตุที่เกิดขึ้น
“แต่ยังไงผมก็ต้องขอบคุณ คุณด้วยนะระบิล ถ้าไม่ได้คุณเนติ์คงแย่”
“โอ๊ย..ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องคิดมาก ถือว่าเป็นการทดสอบงานผมก็แล้วกัน”
“ผมเลือกคนไม่ผิดจริงๆ”
ธำรงยิ้มเอื้อมมือไปจับบ่าระบิลเป็นการขอบคุณ ขณะที่เนติมานิ่งคิดอะไรอยู่นิดหนึ่ง ก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้
“จะเป็นไปได้มั๊ยคะ ถ้าคนพวกนั้น เป็นคนของ...”
เนติมาพูดอย่างเดาเหตุการณ์ออกมาได้เท่านั้น พลางเงยหน้าขึ้นมามองธำรงกับศิวัชที่มีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาทันที ระบิลดูสีหน้าของเนติมา ศิวัชและธำรงด้วยความสงสัย

ภายในห้องทำงาน ธำรงลงนั่งที่โต๊ะทำงานด้วยสีหน้าครุ่นคิดอย่างไม่สบายใจเมื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมา
บริเวณห้องประชุมของบริษัทพงษ์เลิศ วิเชียรมองออกไปยังวิวด้านนอกมีสีหน้าหนักใจ
“ผมว่าเรากลับไปให้ท่านนายกฯพิจารณาใหม่อีกครั้งดีมั้ยครับ”
วิเชียรหันกลับมาเห็นธำรงกับพงษ์เลิศที่นั่งอยู่ที่โต๊ะประชุม
“โครงการนี้ประโยชน์สูงสุดควรตกอยู่กับเกษตรกรนะครับ”
“ก็ใครว่าเกษตรกรไม่ได้ประโยชน์ล่ะคุณวิเชียร เพียงแต่ผลผลิตมันต้องอาศัยบริษัทของคุณ แล้วก็อาศัยเรือเดินสมุทรของคุณธำรงเพื่อส่งออก คุณก็รู้ว่ามันมีค่าใช้จ่าย” พงษ์เลิศบอก
พงษ์เลิศพูดยิ้มๆเพราะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ขณะที่วิเชียรมองหน้ากับธำรงนิดหนึ่งด้วยความไม่สบายใจ ก่อนวิเชียรจะพูดกับพงษ์เลิศด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น
“ผมชวนคุณธำรงมาสนับสนุนพรรคของท่านเขมชาติ ก็เพราะอยากช่วยกันสร้างความเจริญให้ประเทศ ไม่ใช่...”
“มันเป็นค่าดำเนินการ สัดส่วนว่าใครจะได้กี่เปอร์เซ็นต์เดี๋ยวเราค่อยว่ากัน ไม่ต้องคิดมากน่าคุณ ใครๆเขาก็ทำกัน ฮ่าๆ”
พงษ์เลิศลุกขึ้นเดินเข้ามาโอบไหล่วิเชียรพลางหัวเราะด้วยความชอบใจ ธำรงมองภาพตรงหน้าด้วยความอึดอัด ขณะที่วิเชียรมีสีหน้าที่เครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

บริเวณริมแม่น้ำกว้าง ฝั่งตรงข้ามเป็นหมู่ตึกสูงย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ ธำรงเดินเข้ามายืนมองวิวตึกสูงด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“ในที่สุดประเทศเราก็ไม่พ้นวงจรอุบาทว์นี้ซะที”
ธำรงหันไปมองวิเชียรที่ยืนพิงรถอยู่ด้วยสีหน้าเครียด
“ทีแรกผมคิดว่าท่านเขมชาติกับคุณพงษ์เลิศจะจริงใจในการบริหารประเทศแต่ที่แท้ก็...”
ธำรงคิดนิดนึงแล้วบอก
“สมคบกันหากิน ...ผมว่าคุณรีบถอนตัวออกมาจากการสนับสนุนรัฐบาลท่านเขมชาติดีกว่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคุณกำลังสนับสนุนคนที่กำลังทำร้ายประเทศอยู่นะครับ”
ธำรงพูดด้วยความจริงจังและเป็นห่วงวิเชียร ขณะที่วิเชียรครุ่นคิดอย่างหนัก
“ผมไม่มีวันปล่อยให้พวกนั้นทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเราแน่”
“คุณจะทำอะไร”
ธำรงชะงักมองวิเชียรด้วยความสงสัย วิเชียรถอนใจออกมาก่อนตัดสินใจพูด
“ผมกับคุณคบกันมานาน ผมไว้ใจคุณมากที่สุด ผมมีเรื่องขอร้องอะไรคุณอย่างหนึ่ง”
วิเชียรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ธำรงมองวิเชียรด้วยความสงสัยว่าวิเชียรคิดจะทำอะไรกันแน่

ธำรงยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานพลางถอนใจออกมาเมื่อนึกถึงอดีต

“คุณวิเชียร คุณทำในสิ่งที่กล้าหาญที่สุดแล้ว ผมจะทำสานต่อเจตนารมณ์ของคุณเอง ประเทศไทยต้องมีนักการเมืองมือสะอาดเพื่อยกระดับแผ่นดินให้สูงกว่าที่เป็นอยู่ให้ได้”

ธำรงพูดอย่างมั่นใจ ในสิ่งที่ตนกำลังคิดทำอยู่

ริมสระว่ายน้ำบ้านพงษ์เลิศในเย็นวันเดียวกัน พงษ์เลิศกำลังฟังปลายสายจากโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ไหนว่าไอ้พวกนั้นฝีมือระดับอินเตอร์ แล้วทำไมพลาดง่ายๆอย่างนั้นวะ เออ..แล้วอย่าให้สาวถึงฉันก็แล้วกัน”
พงษ์เลิศวางสายอย่างหงุดหงิด อิทธิหาญที่ยืนฟังอยู่ใกล้ๆด้วยความหงุดหงิดเช่นกัน
“ผมบอกพ่อแล้วว่าให้ผมไปจัดการเอง”
“ฉันส่งแกไปก็ไม่ต่างอะไรกับส่งแกไปติดคุกเมืองนอก”
“โธ่..นี่พ่อไม่เชื่อมือผมเหรอ”
อิทธิหาญพูดอย่างหัวเสีย พงษ์เลิศเดินเข้ามาพูดกับลูกชายใกล้ๆอย่างใจเย็น
“ไอ้ธำรงกับครอบครัว ไม่ใช่เหยื่อกระจอกๆที่จะให้แกถือได้ง่ายๆ มันมีเครือข่ายในประเทศนอกประเทศตั้งเยอะแยะ”
“แต่กว่าเราจะรู้ที่ซุกหัวมัน ป่านนี้เตลิดไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
อิทธิหาญทุบโต๊ะด้วยความโมโห พงษ์เลิศนิ่งฟังอย่างใช้ความคิด ก่อนบ่นด้วยความหงุดหงิด
“อุตส่าห์ตามหาที่อยู่พวกมันตั้งหลายปี เจ็บใจจริงๆ !”
พงษ์เลิศกำหมัดแน่นด้วยความโมโห

โถงกลาง ภายในคอนโดฯของดลในเวลากลางคืน
ดลกำลังเทแกงจากถุงลงใส่ชามเสร็จพอดี จากนั้นดลจึงยกชามแกงไปยังโต๊ะเล็กๆที่อนงค์นั่งรออยู่แล้ว บนโต๊ะมีกับข้าววางอยู่แล้วสองอย่าง
“มาแล้วจ้า แกงคั่วสับปะรดของโปรดอ้อ กินกับข้าวถุงไปก่อนนะ เอาไว้มีเวลาพี่ค่อยทำให้กินเหมือนที่บ้าน”
“มากรุงเทพฯไม่อดตาย ก็เพราะมีพี่ดลมาด้วยเนี่ยแหละ”
“ระวัง จะอ้วนเป็นตุ่ม จนต้องกลิ้งกลับไปหาพ่อล่ะ”
“เป็นตุ่ม แบบนี้รึเปล่าจ๊ะพี่ดล”
อนงค์แกล้งทำแก้มป่องทั้งสองข้างเหมือนคนอ้วนลอยหน้าลอยตาล้อ ดลหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนเอามือตีหน้าผากอนงค์เบาๆเป็นเชิงหยอกล้อ
“ทำเป็นเล่นไป เดี๋ยวก็แช่งให้อ้วนจริงๆเลยนี่ ไป๊..กินข้าว เดี๋ยวจะได้รีบนอน พรุ่งนี้ต้องไปมอบตัวที่โรงเรียนรู้มั้ย”
“จ้ะ..ท่านผู้ปกครองจอมเฮี๊ยบ”
อนงค์ยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ดลตักกับข้าวให้อ้ออย่างเอาใจใส่ ทั้งสองคนทานข้าวด้วยกันอย่าง
มีความสุข

ที่หน้าคฤหาสน์หรู ศิวัชกับเนติมาเดินมาส่งระบิลโดยมีรถจอดรออยู่แล้ว
“ผมให้รถไปส่งคุณนะครับ คุณจะได้รีบกลับไปพักผ่อน” ศิวัชบอก
“ขอบคุณนายอีกครั้งนะ ทั้งๆที่ความจริงยังไม่ถึงสัญญาที่นายจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยซ้ำ”
“คงเป็นสัญชาตญาณของบอดี้การ์ดมั้งครับ อีกอย่างบอกแล้วไงสำหรับคุณ ถือเป็นโปรโมชั่นเสริม”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี ศิวัชกับเนติมายิ้มออกมาได้
“นี่ไม่เบื่อเหรอ เล่นมุขเนี้ย”
“จะเบื่อยังไงล่ะครับ ก็พูดทีไรลูกค้าได้ยิ้มออกทุกที เขาเรียกขายความเสี่ยวอย่างตั้งใจ”
ทั้งหมดหัวเราะชอบใจ เนติมาจะมองไปที่แผลปากแตกของระบิลอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้
เนติมาชี้ไปที่แผลแล้วถาม
“แน่ใจนะว่านายจะไม่ไปหาหมอ”
“โอ๊ย..ไกลหัวใจครับ ฟัดกับหมาแถวบ้านยังเจ็บกว่านี้อีก”
“นี่นายกัดกับ เออ..หมาด้วยเหรอ”
เนติมาพูดด้วยความตกใจ ระบิลถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“โธ่..คุณ ผมไม่ใช่หมานะ ผมหมายถึงผมฟัดเล่นกับหมาที่บ้านน่ะครับ เฮ้อ..ผมว่าผมเผ่นก่อนดีกว่าครับคุณศิวัช อยู่แถวนี้เดี๋ยวชักไม่ค่อยดีแล้ว มีคนจะเสกผมเป็นหมาซะงั้น แล้วเจอกันครับ”
“โชคดีครับคุณระบิล”
“ขอบคุณอีกครั้งนะ”
ระบิลยิ้มก่อนเดินเข้าไปนั่งในรถแล้วโบกมือให้เนติมากับศิวัชอย่างอารมณ์ดี คนขับรถขับออกไป ศิวัชกับเนติมาหันมามองหน้ากัน ศิวัชเอื้อมมือไปลูบผมเนติมาอย่างอ่อนโยน
“ขอโทษนะจ๊ะเนติ์ ที่วันนี้พี่ไม่ได้ไปด้วย ถ้าพี่ไปเรื่องคงไม่...”
เนติมาเอื้อมมือไปเตะริมฝีปากศิวัช
“คิดมากอีกแล้ว เรื่องมันผ่านมาแล้วค่ะ แค่เนติ์รู้ว่าพี่ศิวัชห่วงเนติ์มากขนาดนี้ เนติ์ก็ดีใจที่สุดแล้วนะคะ”
“คุณพ่อบอกว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับเราแล้ว คุณพ่อจะเร่งเวลากลับเมืองไทยเร็วขึ้น... ก็ดีเหมือนกันนะ เรื่องทุกอย่างจะได้สำเร็จเร็วขึ้น จากนั้นเราสองคน...”
ศิวัชเอื้อมมือไปจับมือซ้ายของเนติมา ข้างที่สวมแหวนวงที่ศิวัชซื้อให้ขึ้นมาดูด้วยความรัก
“จะได้แต่งงานกัน”

ศิวัชพูดอย่างอ่อนโยน เนติมายิ้มอย่างมีความสุข ก่อนทั้งคู่จะสวมกอดกันด้วยความรัก ด้านบนของคฤหาสน์ ธำรงมองศิวัชกับเนติมาอย่างครุ่นคิด

โปรดติดตาม "หงส์สะบัดลาย" ตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น