หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 7
เนติมากำลังนอนหลับอยู่ในมุ้งภายในห้องนอนของอนงค์ที่บ้านสวน เนติมากำลังกระสับกระส่ายจากฝันร้าย
“คุณพ่อ..คุณแม่..ไม่..ไม่ !”
เนติมาสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่งทั้งน้ำตาก่อนตั้งสติแล้วหันไปมองอนงค์ที่นอนอยู่ข้างๆขยับกายเล็กน้อย เนติมาปาดน้ำตาก่อนหันมองออกไปนอกหน้าต่างด้านนอกซึ่งยังมีฝนพรำอยู่ พลางขยับออกจากมุ้งไปอย่างเงียบๆ
ส่วนระบิลนั่งเหม่อมองฝ่าสายฝน ครุ่นคิดถึงชีวิตของตัวเองในอดีตอยู่ที่บันไดบ้านสวนคำเที่ยงก่อนชำเลืองหางตาไปที่ด้านหลังนิดหนึ่งก่อนพูดอย่างรู้ทัน
“ยังไม่นอนอีกเหรอคุณ”
เนติมามองระบิลอย่างเซ็งๆ ก่อนลงนั่งข้างๆ
“อุตส่าห์เดินเบาแล้วเชียว”
“จังหวะการเดินของคุณผมจำได้แล้ว”
ระบิลตอบนิ่งๆ เนติมาอมยิ้มมองระบิลอย่างหมั่นไส้นิดๆ
“แหม..จะอวดว่าประสาทสัมผัสดีก็บอกเถอะ...แล้วนายมานั่งทำอะไรตรงนี้ หน้าตาดูไม่ค่อยสบายใจเลย มีอะไรรึเปล่า”
“คุณจำตอนที่ผมยืนเหม่ออยู่ที่ริมแม่น้ำได้มั้ยครับ”
เนติมาคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“อ๋อ..ที่นายไม่ยอมตอบฉันน่ะเหรอ เห็นมั้ย ฉันเดาไม่ผิดจริงๆด้วยว่านายต้องมีอะไรในใจ นายมีอะไรไม่สบายใจบอกฉันได้มั้ย”
ระบิลยิ้มเศร้าๆก่อนตัดสินใจพูดออกมา
“เห็นคุณพบน้องชาย ผมก็อดคิดถึงพี่ชายผมไม่ได้”
“พี่ชาย”
“ครับ..เรามีกันอยู่สองคนพี่น้อง”
“แล้ว..ตอนนี้พี่ชายนายอยู่ไหนเหรอ”
ระบิลถอนใจออกมา ก่อนพูดด้วยความไม่สบายใจ
“หายสาปสูญครับ ไม่รู้ตอนนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง”
เนติมาอึ้งกับสิ่งที่ระบิลพูด ระบิลมองฝ่าความมืดออกไปคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต
ที่บ้านสวนระบิล ก้องในชุดเครื่องแบบทหารภาคสนามกำลังยกเป้เดินทางขึ้นสะพาย หันไปพูดกับระบิลในวัย 17 ปีที่มายืนส่งอย่างสนิทสนม
“เที่ยวนี้พี่ไปหลายวัน ยังไงดูแลบ้านดีๆนะระบิล”
“ไม่ต้องห่วงครับพี่ก้อง พี่ก้องนั่นแหละอยู่ชายแดนก็ระวังตัวนะครับ”
ก้องยิ้มพลางตบบ่าระบิลอย่างเป็นกันเอง ก่อนเอื้อมมือไปกุมมือจิ๊กที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ดูแลตัวเองดีๆนะจิ๊ก เสร็จภารกิจแล้วพี่จะรีบกลับมาทันที”
จิ๊กพูดอะไรไม่ออกรู้สึกใจเสียจนน้ำตาคลอเบ้า ก้องเอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้ ก่อนหันไปหาปานที่ยืนยิ้มให้อยู่
“ฝากน้องกับแฟนกูด้วยนะปาน”
“เออ..มึงไม่ต้องห่วง แต่กูไม่รับฝากตลอดชีวิตนะโว้ย ยังไงมึงต้องกลับมาเอาน้องกับแฟนมึงคืนไป สองคนกินจุตายชัก โดยเฉพาะไอ้ระบิล กินจุอย่างกับช้าง ขืนฝากไว้นานมีหวังกูกินแกลบ”
ปานพูดขำๆเรียกรอยยิ้มให้ทุกคน ก้องหันไปมองระบิลและพูดด้วยความภูมิใจ
“แน่ใจนะ ว่าแกไม่อยากสวมเครื่องแบบทหารเหมือนพี่”
“ผมอยากเป็นตำรวจครับพี่ก้อง ผมอยากจับผู้ร้าย”
ระบิลพูดยิ้มอย่างมีชีวิตชีวาขึ้นทันทีที่พูดถึงการเรียนตำรวจ ก้องมองระบิลด้วยความเข้าใจ ก่อนดึงน้องชายเข้ามากอดด้วยความสนิทสนม
“พี่จะรอวันที่แกสวมชุดนักเรียนนายร้อยตำรวจ”
ระบิลกระชับกอดพี่ชาย แววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ได้รับจนเกิดความมั่นใจอย่างที่สุด
ผ่านเวลาไป... ระบิลในชุดเครื่องแบบนักเรียนนายร้อยตำรวจเดินเข้ามาหยุดมองประตูบ้านตัวเองที่เปิดค้างไว้ ระบิลยิ้มจัดเครื่องแบบของตัวเองให้เข้าที่เข้าทางด้วยความภูมิใจ ก่อนจะเดินดิ่งขึ้นไปที่บ้าน
ระบิลเดินขึ้นมาบนบ้านเพื่ออวดเครื่องแบบให้พี่ชายดู
“ทหารอยู่ไหน ตำรวจมาแล้วจ้า...พี่ก้อง อ้าว...”
ระบิลต้องชะงักเมื่อเห็นภายในไม่มีใครอยู่สักคนเดียว ระบิลมองไปรอบๆเห็นข้าวของหล่นระเกะระกะกระจัดกระจาย ระบิลรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันที
“พี่ก้อง..พี่ก้อง !”
ระบิลตะโกนเสียงดังพร้อมวิ่งไปดูตามห้องต่างๆแต่ไม่พบใครสักคนเดียว ก่อนจะกลับมายืนมองรอบๆบริเวณที่ข้าวของหล่นกระจายด้วยความรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมาทันที
สายฝนยังคงพรำต่อเนื่อง ระบิลถอนใจก่อนพูดบอกเนติมาอย่างเศร้าๆ
“จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็สิบปีแล้วล่ะครับ ผมก็ไม่ได้พบพี่ก้องอีกเลย”
เนติมาคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“สิบปีเท่ากับบ้านฉันมีเรื่องเลยนะ”
ระบิลถอนใจแล้วบอก
“ตอนคุณเจอกับน้องคุณ ผมถึงสะท้อนใจไงครับ”
เนติมาเอื้อมมือไปจับมือระบิลให้กำลังใจ
“ฉันเชื่อ ว่าสายใยของพี่น้องจะพานายกับพี่ชายกลับมาพบกัน อืม..แล้วแฟนพี่นายกับเพื่อนสนิทพี่นายล่ะ เขาน่าจะรู้อะไรบ้างนะ”
“พี่จิ๊กย้ายบ้านแล้วติดต่อไม่ได้อีกเลย ส่วนพี่ปาน... คุณเคยเจอแล้ว”
เนติมานิ่วหน้าด้วยความสงสัย ระบิลตัดสินใจพูด
“พี่ปานไปทำงานกับนายอิทธิหาญ”
“อะไรนะ !”
“พี่ปานเป็นนักเลง แต่ก็ไม่เคยทำอะไรผิดกฎหมายถึงขนาดไปทำงานให้คนชั่วๆอย่างนั้น ที่สำคัญพี่ปานไม่ยอมพูดถึงเรื่องพี่ก้องอีกเลย ได้แต่เตือนให้ผมถอนตัวจากการทำงานให้คุณซะ”
“คำเตือนนี้คงยืนยันได้ ว่าพวกมันไม่ปล่อยฉันกับน้องชายไว้แน่”
เนติมาประเมินสถานการณ์ด้วยความแน่ใจ ระบิลเอื้อมมือไปจับมือเนติมาข้างที่ยังจับมือระบิลค้างอยู่ กระชับอย่างให้กำลังใจ
“คุณไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะไม่มีวันยอมให้ใครทำอะไรคุณเด็ดขาด”
“ขอบคุณนะ ถึงนายจะพูดจายียวนกวนประสาทฉันบ่อยๆ แต่ฉันก็อุ่นใจที่มีนายอยู่ใกล้ๆนะ”
เนติมายิ้มให้ระบิลอย่างขอบคุณ ทั้งสองคนสบตากันอย่างลืมตัว และยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ก่อนที่ทั้งสองคนจะชะงักและรีบปล่อยมือออกจากกันทันที “อุ๊ย”
ทั้งระบิลกับเนติมาต่างยิ้มเจื่อนและรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก
วันใหม่ในเวลากลางวัน รถคันหนึ่งผ่านแนวเขาเขียวขจีเข้ามาจอดที่ไร่อิทธิหาญ
อิทธิหาญ ปานและลูกน้องอีก 2 คนลงมาจากรถ โดยมีทนง โปรย และลูกน้องอีกจำนวนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว อิทธิหาญมองไปรอบๆบริเวณไร่ของตนที่กว้างขวาง สวยงาม มีพื้นที่ติดเขาสูง ซึ่งมีบ้านใหญ่หลังงามของตนตั้งตระหง่านอยู่ด้วยความพอใจ
“ทุกอย่างเรียบร้อยใช่มั้ย”
“เรียบร้อยครับเสี่ย” ทนงบอก
ปานเหมือนมองหาใครแล้วถาม
“ไอ้ชูอยู่ไหน”
“อยู่นี่”
ชูศักดิ์กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาจากตัวบ้านพัก พลางรีบจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองที่หลุดลุ่ยอย่างลวกๆ ลูกน้องที่ยืนรออยู่หันมามองหน้ากันขำๆอย่างรู้กัน ขณะที่ปานมองอย่างระอา
“มูมมามเหมือนเดิมนะมึง”
“แหม..ก็เด็กที่เสี่ยเอามาให้มันเด็ดนี่หว่า ใช่มั้ยวะพวกเรา”
ชูศักดิ์หันไปพูดกับทนง โปรยและลูกน้องที่อยู่ในไร่ แต่ละคนหัวเราะชอบใจอย่างรู้กัน อิทธิหาญยิ้มอย่างสะใจมองเลยไปยังบ้านพักคนงานหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
สาววัยรุ่นคนเดิมอยู่ในสภาพสะบักสะบอม นอนตาลอยตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่ใต้ผ้าห่ม อิทธิหาญยืนมองสาววัยรุ่นคนนั้นด้วยความสะใจ ก่อนหันไปสั่งทนง ชูศักดิ์ โปรย อย่างอารมณ์ดี
“แล้วแต่พวกแกว่าจะเก็บไว้สนุกต่อหรือจะเอาไปทำปุ๋ย”
“เสี่ยครับ ผมว่า...”
ปานพยายามห้ามด้วยความสมเพชสาววัยรุ่นคนนั้น อิทธิหาญหันมาตอบอย่างหัวเสีย
“เฮ้ย..ทำไมแกชอบขัดฉันนักวะ สภาพอย่างนี้ขายต่อก็เสียราคา เอาไว้ให้ไอ้พวกเปลี่ยวที่นี่แก้เหงา หรือเอาไปเป็นปุ๋ยยังมีประโยชน์กว่า ช่วยไม่ได้..ใจแตก ก็ต้องแหลกอย่างนี้ล่ะวะ ฮ่าๆๆ”
อิทธิหาญหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ ทนง โปรย ชูศักดิ์ยิ้มอย่างชอบใจ จังหวะเดียวกันลูกน้องอิทธิหาญคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน
“เสี่ยครับ !”
“มีอะไร”
“นายมาครับ !”
อิทธิหาญกับปานหันมามองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
พงษ์เลิศยืนมองวิวสวยงามของธรรมชาติเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนหันมาพูดกับอิทธิหาญอย่างจริงจัง
“ช่วงนี้เรื่องแรงงานต่างด้าวระวังๆหน่อยก็แล้วกัน” พงษ์เลิศว่า
“เสียจังหวะชะมัด ออเดอร์ยิ่งเยอะๆอยู่ด้วย”
“ยังไงก็ต้องระวังค่ะ นโยบายของนายกฯศิวัชเข้มงวดมาก” ชลกรบอก
“ยิ่งเข้มเท่าไหร่ หายนะก็ยิ่งใกล้ตัวมันมากขึ้นเท่านั้น อย่าเผลอนะมึงจะถีบลงไปคุยกับรากมะม่วงให้ดู”
อิทธิหาญพูดอย่างหงุดหงิด ขณะที่พงษ์เลิศมองไปยังภูเขาที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปอย่างครุ่นคิด
“ปาน...”
“ครับนาย”
“ที่ตรงเชิงเขาลูกนั้นไปถึงไหนแล้ว”
“อีกสองวันคนงานจะเข้าไปถางแล้วครับนาย ส่วนอีกด้านที่ถางไปแล้ว คนงานเตรียมกล้ายางไว้แล้วครับ” ปานบอก
“แล้วอย่างนี้พ่อไม่กลัวพวกไอ้ศิวัชมันเล่นงานเอาเหรอ”
อิทธิหาญถามด้วยความสงสัย พงษ์เลิศยิ้มอย่างใจเย็น
“เราค่อยๆขยายแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ใครจะไปสังเกต อีกอย่างมองจากข้างนอกมาก็ยังเห็นเป็นป่าสมบูรณ์ ใครจะรู้ว่าด้านในมันโบ๋เป็นเขาหัวโล้น”
“คุณก็รู้นี่คะคุณอิทธิหาญว่า เจ้าหน้าที่ที่ดินแถวนี้ก็คนของเราทั้งนั้น อยากได้ตรงไหนก็จิ้มเอา เดี๋ยวโฉนดก็ลอยมาอยู่ในมือ”
ชลกรยิ้มพูดอย่างใจเย็น อิทธิหาญคิดตามแล้วยิ้มออกมาอย่างได้ใจ ก่อนหันไปมองชลกรยิ้มๆ
“รวมทั้งเสน่ห์ของเธอด้วยใช่มั้ย ที่มั่นใจว่าจะกุมบังเหียนไอ้ธำรงมันได้”
ชลกรไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มอย่างมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองว่าจะมัดใจธำรงได้ตามแผน
ภายในห้องประชุม ที่ทำการพรรคสยามพัฒนา ธำรงลงนั่งที่เก้าอี้พลางหันมองนักการเมืองที่ใส่สูทดูภูมิฐานนั่งเรียงกันอยู่ที่โต๊ะประชุมอย่างพร้อมเพรียง ธำรงยิ้มอย่างชอบใจ
“ขอบคุณทุกพรรคมากนะครับที่มาประชุมนอกรอบวันนี้”
นักการเมืองคนหนึ่งพูดขึ้น
“แต่แปลก ไม่ยักมีคุณพงษ์เลิศ”
นักการเมืองต่างมองกันด้วยความสงสัย ธำรงยิ้มพูดอย่างใจเย็น
“เรื่องนี้ผมคงตอบไม่ได้เพราะเป็นความต้องการของท่านนายกฯ”
ธำรงยิ้มหันไปที่หัวโต๊ะซึ่งมีศิวัชนั่งเป็นประธานอยู่ ศิวัชยิ้มเล็กน้อยก่อนพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
“เพราะผมต้องการพูดในสิ่งที่คุณพงษ์เลิศไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะวันนี้เราจะไม่พูดกันเรื่องผลประโยชน์ทางการเมือง แต่เราจะพูดถึงสิ่งที่พวกเราจะทำให้ประเทศชาติ และผมก็เลือกแล้วว่าทุกท่านที่ผมเชิญมาวันนี้มองไปในทิศทางเดียวกับผม”
ศิวัชคิดอะไรอยู่นิดหนึ่ง ก่อนพูดออกมาอย่างหนักแน่น
“ประเทศถูกย่ำยีมามากแล้ว เราต้องช่วยกันนะครับ ก่อนลูกหลานจะตำหนิคนรุ่นเราได้ว่า ทิ้งมรดกเฮงซวยไว้ให้พวกเขา”
นักการเมืองที่นั่งฟังอยู่ต่างพยักหน้ารับ เข้าใจในสิ่งที่ศิวัชพูด
ศิวัชลุกขึ้นยืนเดินไปรอบๆพลางอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างคล่องแคล่ว นักการเมืองคนหนึ่งถามศิวัชด้วยความสงสัย ศิวัชตอบคำถามอย่างฉะฉานฉายภาพความเป็นผู้นำออกมาอย่างชัดเจน
ธำรงมองการทำงานของลูกชายแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ด้วยความชื่นชมและมั่นใจ
บนโต๊ะอาหารบ้านกันต์ ผู้กำกับวิเชียรกับเจือจันทร์ช่วยกันยกจานกับข้าวมาวางบนโต๊ะอาหาร โดยมีกันต์นั่งรออยู่แล้ว ขวัญชนกเดินเข้ามามองอาหารบนโต๊ะด้วยความแปลกใจ
“ทำไมวันนี้คุณแม่ทำอาหารเยอะจังคะ”
“ไม่ใช่แม่ทำหรอกลูก ทั้งหมดเนี่ยของผู้กำกับเขาทั้งนั้น” เจือจันทร์บอก
“บอกไม่ต้องๆก็ไม่เชื่อ ดูสิเต็มโต๊ะเลย” กันต์พูดอย่างอารมณ์ดี
ขวัญชนกมองผู้กำกับวิเชษฐ์ที่ยิ้มอารมณ์ดีด้วยความแปลกใจ
“ไม่ต้องตกใจครับน้องขวัญ พี่ไม่ใช่เชฟกระทะทองอย่างเจ้าระบิลเขา พี่เป็นพ่อบ้านร้านข้าวแกง ฝากลูกน้องซื้อมาทั้งนั้น แต่ร้านนี้เขาอร่อยนะครับ มาครับมาลองชิมดู”
ผู้กำกับวิเชษฐ์เดินไปขยับเก้าอี้ให้ขวัญชนกนั่งอย่างเอาใจ ขวัญชนกรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะนั่งลง ผู้กำกับวิเชษฐ์รีบเดินไปขยับเก้าอี้ให้เจือจันทร์นั่งอย่างเอาใจ
“เชิญครับ”
ภายในสวนหย่อม ผูกำกับวิเชษฐ์ยื่นหนังสือตำราวิชาการเล่มหนาสองเล่มให้ขวัญชนก
“สองเล่มนี้ใช่มั้ยครับ ที่น้องขวัญหาอยู่”
ขวัญชนกรับหนังสือมาดูนิดหนึ่งอย่างรู้สึกเกรงใจ
“ขอบคุณมากนะคะผู้กำกับ บ้านขวัญรบกวนผู้กำกับตั้งหลายอย่าง ไหนจะมาดูแลความปลอดภัย ไหนจะอาหาร แล้วนี่ยัง...”
“พี่เต็มใจน่ะครับ”
ผู้กำกับวิเชษฐ์ชิงพูดออกมาด้วยความจริงใจพลางสบตาจนขวัญชนกต้องหลบตา ทำอะไรไม่ถูก
ผู้กำกับวิเชษฐ์กับขวัญชนกกำลังเดินคุยกันอยู่ในแปลงดอกไม้ที่ระบิลปลูกไว้ ผู้กำกับวิเชษฐ์ช่วยขวัญชนกรดน้ำต้นไม้อยู่ไม่ห่าง เจือจันทร์ที่มองภาพตรงหน้าผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นออกไปด้วยความไม่สบายใจ
“ผู้กำกับวิเชษฐ์นี่ชักยังไงๆแล้วนะคะคุณ”
“ก็ไม่เห็นยังไงนี่คุณ คนรู้จักกันเขาก็ยืนคุยกัน เรื่องปกติ”
กันต์พูดทั้งๆที่ยังอ่านทบทวนหนังสือประมวลกฎหมายอยู่อย่างไม่คิดอะไรมาก แต่เจือจันทร์ยังคงร้อนใจรีบดึงหนังสือออกจากมือกันต์
“โธ่..คุณ สนใจหน่อยสิคะ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ”
“แต่มันเป็นเรื่องธรรมชาตินะคุณ”
“เรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา เป็นธรรมชาติเหรอคะ”
เจือจันทร์พูดด้วยน้ำเสียงเครียด นึกถึงอดีตที่เลวร้าย
ภายในห้องนอนบ้านกันต์ เจือจันทร์นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าตื่นกลัวเป็นอย่างมาก
“ไม่ ! อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
เจือจันทร์เห็นโปรยกับชูศักดิ์ มองมาด้วยสีหน้าหื่นกระหาย ทั้งสองคนยิ้มสะใจ
“เสียเวลาน่า ยังไงพวกข้าก็ไม่ใจอ่อนหรอกโว้ย ฮ่าๆ” โปรยบอก
“อยู่เฉยๆจะได้ไม่เจ็บตัว ฮ่าๆ … เฮ้ย..รายนี้ข้าให้เอ็งก่อนเลยโว้ย ฮ่าๆ” ชูศักดิ์บอก
“ได้เลยเพื่อน ฮ่าๆ”
โปรยกับชูศักดิ์หัวเราะชอบใจ ก่อนที่โปรยจะเข้ามาหาเจือจันทร์อย่างหื่นกระหาย ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเจือจันทร์ที่เต็มไม่ด้วยความกลัว
ภายในห้องนั่งเล่น เจือจันทร์ร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น เมื่อนึกถึงอดีตอีกครั้ง
“ฉันจะไปเอาลูกเข้าบ้าน”
เจือจันทร์ขยับจะลุกออกไป แต่กันต์รีบรั้งไว้ทันที
“อย่าให้อดีต ไปปิดประตูที่ลูกจะกลับออกไปสู่โลกกว้างเลยนะคุณ”
“แต่...”
“ผมก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าคุณเหมือนกันนะ แต่เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่า เราจะเข้มแข็ง เราต้องหลุดจากความทรงจำร้ายๆนี้ให้ได้นะ”
กันต์พยายามพูดอย่างใจเย็น เจือจันทร์นิ่งฟังพลางมองขวัญชนกกับผู้กำกับวิเชษฐ์อยู่ด้วยสายตาที่อดเป็นห่วงไม่ได้ กันต์เอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้เจือจันทร์
“เราสองคนคอยเป็นผู้ดูที่ดี ดีกว่านะ ลูกของเรากำลังจะเข้มแข็งขึ้นเห็นมั้ย”
“แต่...”
“ผู้กำกับวิเชษฐ์ก็ไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสียนี่ เขาก็ดูเป็นสุภาพบุรุษดีนะ อย่างน้อยทุกอย่างก็อยู่ในสายตาเรานะคุณ”
กันต์พูดยิ้มๆ เจือจันทร์ดูจะโล่งใจขึ้นบ้างแต่ก็ยังอดเป็นห่วงขวัญชนกอยู่ไม่ได้
ที่บ้านสวนในเวลากลางวัน คำเที่ยงยื่นกล่องไม้เล็กๆให้เนติมา
“นี่ครับกล่องที่คุณวิเชียรให้ผมเก็บไว้ให้คุณหนูครับ”
เนติมามองกล่องในมือแล้วรู้สึกสลดลงเล็กน้อยก่อนหันไปยกมือไหว้คำเที่ยง
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะคุณลุง”
“แล้วแวะมาเที่ยวใหม่กันใหม่นะ … ดลกับอ้อก็ขยันเรียนนะลูก แล้วก็ระวังตัวด้วยล่ะ” คำเที่ยงบอก
“ไม่ต้องห่วงจ้ะพ่อ”
“ผมดูแลน้องเองครับพ่อ” ยศวีร์บอก
ยศวีร์และอนงค์เข้าไปกอดคำเที่ยงด้วยความรักพลางหันมายิ้มให้กันอย่างอบอุ่น ระบิลกับเนติมาอดยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้
ระบิลกับเนติมาเดินเข้ามามองสภาพรอบๆห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายในคอนโดฯของยศวีร์
“อืม..เล็กกะทัดรัดน่าอยู่ดีนะครับ” ระบิลบอก
“แต่สำหรับชาวสวนอย่างพ่อก็ถือว่าราคาแพงอยู่เหมือนกันครับ ผมถึงต้องทำงานพิเศษช่วยพ่อประหยัด” ยศวีร์บอก
“ใครว่าพี่ดลทำคนเดียว อ้อก็ช่วยทำงานพิเศษเหมือนกันนะคะ” อนงค์พูดพลางยกมือนำเสนอด้วยความภูมิใจ
ยศวีร์ยิ้มชอบใจเอื้อมมือไปลูบหัวอนงค์ด้วยความเอ็นดู เนติมาที่เดินดูรอบๆแล้วหันไปพูดกับน้องชายด้วยความไม่สบายใจนัก
“พี่ว่าไปอยู่ด้วยกันดีกว่านะ ดลกับอ้อจะได้เรียนอย่างเดียว ไม่ต้องทำงานลำบากอย่างนี้”
“แต่ผมว่าแยกกันอยู่อย่างนี้ดีแล้วนะครับ” ระบิลพูดแทรกขึ้นมา
เนติมามองหน้าระบิลแล้วถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“เฮ้อ..เรียกชื่อวีร์ไม่ได้ แล้วยังต้องแยกกันอยู่อีก”
“เพื่อความปลอดภัยน่ะครับ”
ระบิลพูดอย่างใจเย็น เนติมาพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่มีทางเลือก
“ก็แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ พี่เนติ์คิดถึงพี่ดลเมื่อไหร่ อ้อจะพาพี่ดลไปหาทันทีเลยจ้ะ” อนงค์บอก
เนติมายิ้มให้อนงค์อย่างขอบคุณ พร้อมดึงยศวีร์เข้ามากอด
“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน พี่เอาความสุขกลับคืนมาให้ครอบครัวของเราให้ได้”
“ครับพี่เนติ์”
ยศวีร์ยิ้มตอบอย่างมีกำลังใจพลางกอดพี่สาวด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความผูกพัน
ภายในรถ เวลาต่อมา เนติมานั่งถอนใจด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ระบิลมองแล้วยิ้มๆ
“หงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจเหรอคุณ”
“นิดหน่อยน่ะ แล้วนี่ดูสิให้เงินก็ไม่ยอมรับอีก”
“คุณน่าจะดีใจนะครับ ที่น้องชายคุณเก่งเอาตัวรอดได้ขนาดนี้”
“แต่ฉันก็อยากทำหน้าที่พี่ที่ดีบ้างนี่ ฉันไปอยู่ต่างประเทศกินอยู่สบายมาตลอด แต่ดูวีร์...”
ระบิลพูดแทรกทันที
“ดลครับ เรียกให้ชินสิคุณ”
“เฮ้อ..ดล แต่ดูดลสิ โตมากับความลำบาก ฉันเหมือนเอาเปรียบน้องยังไงก็ไม่รู้”
เนติมาถอนใจออกมาด้วยความไม่สบายใจ ระบิลยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“คิดมากน่าคุณ อืม..ไม่เอากล่องที่คุณพ่อคุณให้มาเปิดหน่อยเหรอครับ เผื่อท่านจะฝากอะไรไว้ให้ผมบ้าง” ระบิลแกล้งพูดยียวน
“เพ้อแล้ว นายไปรู้จักคุณพ่อคุณแม่ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”
เนติมามองระบิลอย่างขำๆ ก่อนหันไปหยิบกล่องไม้ที่คำเที่ยงให้ออกมาแล้วเอากุญแจดอกเล็กๆที่ติดมาด้วยไขเปิด แต่ปรากฏว่าไขเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก
“เอ๊ะ..ทำไมเปิดไม่ออกนะ”
“สงสัยไม่ได้เปิดนานมั้งคุณ ล็อกมันเลยติดน่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมเปิดให้”
เนติมาพยักหน้ารับคำก่อนจะเก็บกล่องไม้ จังหวะเดียวกัน...โทรศัพท์มือถือของเนติมาก็ดังขึ้น เนติมาดูเบอร์แล้วยิ้มรีบกดรับสายทันที
“ค่ะพี่ศิวัช ขอโทษนะคะมัวแต่ยุ่งๆเรื่องน้องเลยลืมโทรบอกพี่ศิวัชเลย ตอนนี้เนติ์กลับถึงกรุงเทพฯแล้วนะคะ”
เนติมานิ่งฟังปลายสายนิดหนึ่ง ก่อนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“พี่ศิวัชว่างเหรอคะ ได้ค่ะแล้วเจอกันนะคะ เนติ์ก็คิดถึงพี่ศิวัชค่ะ”
เนติมากดวางสายยิ้มอย่างมีความสุข ระบิลมองเนติมาแล้วอดยิ้มออกมาด้วยไม่ได้
ท่ามกลางทิวทัศน์ของตึกสูงกรุงเทพฯยามค่ำคืน เนติมากับศิวัชกำลังดินเนอร์กันใต้แสงเทียนท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก ทั้งสองคนสบตากันด้วยความรักอย่างมีความสุข
“เราไม่ได้ดินเนอร์กันอย่างนี้มานานแล้วนะ”
“ก็พี่ศิวัชยุ่งนี่คะ”
เนติมาชำเลืองไปรอบๆแล้วถาม
“แล้วนี่พี่ศิวัชไม่กลัวเป็นข่าวเหรอคะ”
“ไม่เห็นแปลกนี่จ๊ะ ก็พี่มาทานอาหารกับเลขาส่วนตัว”
ศิวัชเอื้อมมือไปจับมือเนติมาด้วยความอ่อนโยน
“แต่อีกไม่นาน ทุกคนในสังคมจะได้รู้จักเนติ์ในฐานะคนรักไม่ใช่แค่เลขาส่วนตัวอย่างที่ทุกคนเข้าใจ”
“แต่คุณพ่อพี่ศิวัชยังเป็นห่วงว่า...”
“เราเข้ามาบริหารประเทศได้แล้ว พี่ว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก”
ศิวัชขยับมือไปจับแหวนวงที่ให้เนติมาสวมติดนิ้วไว้พร้อมพูดอย่างหนักแน่น
“สัญญาเรื่องงานแต่งงานของเราจะได้เริ่มนับหนึ่งซะที”
เนติมายิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินคำพูดของศิวัช เนติมากุมมือศิวัชตอบด้วยความรัก จังหวะเดียวกันเนติมาก็หันไปมองระบิลที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะที่ห่างออกไปแล้วอดรู้สึกเห็นใจไม่ได้
“เกรงใจคุณระบิลเขาจังเลยนะคะ”
ศิวัชมองตามแล้วบอก
“ชวนเขามานั่งด้วยกันมั้ยล่ะจ๊ะ”
“พี่ศิวัชไม่ว่าอะไรนะคะ”
“จะว่าอะไรล่ะจ๊ะ คนกันเองทั้งนั้น”
ศิวัชยิ้มอย่างจริงใจ เนติมายิ้มรับแล้วรีบกดโทรศัพท์ไปหาทันที ระบิลชะงักนิดหนึ่งเมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น ระบิลมองดูชื่อที่ขึ้นมาก็หันมามองเนติมาด้วยความสงสัย เนติมารีบทำท่าทางบอกให้ระบิลรับสาย ระบิลรับสายอย่างงงๆ
“มีอะไรคุณ อยู่กันแค่นี้ทำไมต้องโทรหาด้วย นั่นแน่ ทะเลาะกันอ่ะดิ แล้วจะให้ผมไปเคลียร์ เสียใจนะครับผมรับจ้างเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวไม่ได้รับจ้างเคลียร์ปัญหาหัวใจ”
“นี่..พูดมากจริงๆเลย ฉันแค่จะชวนนายมานั่งด้วยเท่านั้นแหละ”
เนติมาพูดอย่างหมั่นไส้ที่โดนระบิลแกล้ง ระบิลตอบอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ได้หรอกคุณ ผมกำลังปฏิบัติหน้าที่ อย่าลืมนะคุณ ว่าคุณศิวัชไม่ได้เอาทีมบอดี้การ์ดมาด้วยนะครับ”
“นั่งตรงนี้ก็ปฏิบัติหน้าที่ได้นี่นา นั่งคนเดียวไม่เหงาเหรอไง”
เนติมาพูดด้วยความเป็นห่วง ระบิลมองไปเห็นศิวัชยิ้มมาให้อย่างเชิญชวน ระบิลยิ้มอย่างเกรงใจก่อนพูดสายต่อ
“ผมอยู่คนเดียวจนความเหงาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของผมแล้วล่ะครับ คุณกับคุณศิวัชใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้คุ้มค่าเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ อีกอย่างมุมที่ผมนั่งตรงนี้ ใครไปใครมาผมเห็นได้หมดดูแลความปลอดภัยให้คุณได้ดีที่สุดครับ”
ระบิลพูดด้วยรอยยิ้มแล้วตัดวางสาย เนติมานิ่วหน้ามองระบิลด้วยความหมั่นไส้ ก่อนหันไปบอกศิวัช
“ไม่ยอมมาค่ะดื้อชะมัดเลย”
“คุณระบิลคงเกรงใจน่ะจ้ะ แต่ก็ทำให้เราสองคนอยู่ด้วยกันมากขึ้นไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
ศิวัชยิ้มกระชับมือเนติมาที่ยิ้มสบตาศิวัชอย่างมีความสุข ระบิลชำเลืองแล้วอดที่จะสลดลงไม่ได้ เอื้อมมือไปหยิบรูปของเอมมิกาคนรักเก่าที่อยู่ในกระเป๋าเงินขึ้นมาดูด้วยความคิดถึง
“เอม..พี่คิดถึงหนูนะคะ”
ระบิลพยายามตัดใจเรียกสติคืนมาก่อนจะเก็บรูปคนรักเก่าแล้วมองออกไปรอบๆแล้วต้องชะงักด้วยความตกใจเมื่อเห็น...
“ซวยแล้วไง !”
เนติมากับศิวัชกำลังสบตากันอย่างมีความสุข
“พี่ศิวัชคะ”
เนติมากับศิวัชชะงักด้วยความตกใจ รอยยิ้มเจื่อนลงพร้อมกับความสุขที่มีอยู่หายวับไปทันที เมื่อหันไปเห็นปฏิพรแต่งตัวสุดเปรี้ยวเข้ามายืนยิ้มอยู่
ศิวัชเดินคุยโทรศัพท์บริเวณทางเดินในร้านอาหารด้วยสีหน้าจริงจัง โดยมีปฏิพรคล้องแขนเดินประกบคู่มาด้วย ส่วนระบิลกับเนติมาเดินตามหลังคู่กันมา เนติมาพยายามเก็บความรู้สึกอย่างที่สุด
“ครับคุณพ่อ อีกไม่เกินชั่วโมงผมไปถึงครับ”
ศิวัชวางสายแล้วถอนใจด้วยความอึดอัด ก่อนหันมายิ้มเจื่อนกับเนติมา
“คุณพ่อให้พี่ตามไปงานบ้านท่านกฤษณ์ ไปกับพี่...”
ปฏิพรรีบพูดแทรกขึ้นทันที
“ท่าทางคุณเนติ์เหนื่อยๆนะคะ เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอคะ”
“แต่...”
“งานที่บ้านท่านกฤษณ์เป็นงานภายใน พี่ศิวัชเองก็ต้องคุยธุระกับท่านทูตตั้งหลายชาติกว่าจะเลิกก็ดึกนะคะ จะเอาเวลาที่ไหนไปเทคแคร์คุณเนติ์ล่ะคะ”
ปฏิพรแกล้งพูดโน้มน้าวด้วยรอยยิ้ม เนติมาถอนใจก่อนฝืนยิ้มพูดกับศิวัชเพื่อความสบายใจ
“พี่ศิวัชไปเถอะ เนติ์เองก็เหนื่อยๆเหมือนกัน อีกอย่างอยากกลับไปเคลียร์งานให้พี่ศิวัชด้วย”
“โชคดีนะคะที่ตี้แวะมาหาเพื่อนแล้วเจอพี่ศิวัชที่นี่พอดี พี่ศิวัชจะได้ไปรถตี้ด้วยกันเลย”
ปฏิพรพูดอย่างชอบใจ ศิวัชยิ้มให้ปฏิพรอย่างปฏิเสธไม่ได้ ก่อนหันไปจับมือเนติมาพูดด้วยความรู้สึกผิด
“พี่ขอโทษนะเนติ์”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะเนติ์เข้าใจ พี่ศิวัชมีหน้าที่ที่ต้องทำนี่คะ สู้ๆนะคะ”
เนติมายิ้มกลบเกลื่อนให้กำลังใจศิวัช ศิวัชยิ้มอย่างโล่งใจหันไปบอกกับระบิล
“ฝากเนติ์ด้วยนะครับคุณระบิล”
“ไม่ต้องห่วงครับ”
ระบิลยิ้มรับปากอย่างหนักแน่น ศิวัชยิ้มตอบอย่างขอบคุณก่อนหันไปสบตาเนติมานิดหนึ่งก่อนเดินออกไปพร้อมปฏิพร ขณะที่ปฏิพรชำเลืองสายตาหันมามองเนติมาอย่างมีชัย เนติมามองตามศิวัชไปด้วยรอยยิ้มที่ค่อยๆเจื่อนลง
ระบิลมองเนติมาด้วยความสงสาร
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 7 (ต่อ)
ภายในรถ เนติมานั่งเหม่อมองออกไปนอกรถด้วยความเศร้าจนระบิลอึดอัดก่อนตัดสินใจพูด
“คุณปฏิพรไม่ได้มาหาเพื่อน”
“นายรู้ได้ไง”
เนติมาถามทั้งที่ยังคงมองออกไปนอกรถอย่างไม่อยากรับรู้อะไรมากมายนัก
“ก็ตรงที่ผมนั่งมองเห็นได้ทั่ว แล้วผมก็เห็นว่าคุณปฏิพรเข้ามาแล้วก็เดินตรงไปที่โต๊ะคุณทันที เธอจงใจมาหาคุณศิวัชนะครับ”
เนติมานิ่งครุ่นคิดแล้วก็ถอนใจ ระบิลมองอย่างสังเกต
“ผมไม่อยากจะยุ่งหรอกนะ แต่เท่าที่ผมเฝ้าดูมันไม่ใช่แค่การจับคู่โปรโมทเพื่อหวังผลทางการเมืองหรอกนะครับ ผมว่าคุณปฏิพรเธอต้องการแย่งตัวคุณศิวัชไปจากคุณจริงๆ”
“แต่ฉันเชื่อใจพี่ศิวัช”
“ผมก็เชื่อใจคุณศิวัช แต่อย่างที่ผมบอก คุณต้องแสดงความเป็นเจ้าของบ้างนะครับ ปล่อยให้เขารุกฝ่ายเดียวอยู่อย่างนี้ ระวัง...”
เนติมาน้ำตาคลอเบ้าก่อนจะพูดเสียงสั่นเครือ
“ฉันอยากหาที่นั่งเล่นแล้วก็อยากเปิดกล่องของคุณพ่อด้วย”
หมู่ตึกสูงยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ ไฟระยิบระยับสวยงาม ตั้งตระหง่านอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ ระบิลกับเนติมานั่งอยู่คู่กัน ระบิลพยายามเอากุญแจไขกล่องไม้แต่ไม่สำเร็จ
“สงสัยล็อกเสียแล้วล่ะคุณ”
“ทำไงดีล่ะ ฉันอยากรู้จริงๆว่าข้างในมีอะไร”
ระบิลคิดอะไรนิดหนึ่งก่อนนึกขึ้นมาได้
“มันมีวิธี แต่กล่องนี้จะเสียเลยนะคุณ”
เนติมาคิดอยู่นิดหนึ่งก่อนพยักหน้ารับคำเป็นเชิงอนุญาต ระบิลใช้ไขควงออกแรงงัดกุญแจออกอย่างง่ายดาย
“เรียบร้อย คราวนี้ได้รู้แล้วล่ะคุณว่าในนี้มีอะไรบ้าง”
ระบิลเอากล่องไม้คืนให้เนติมา เนติมาค่อยๆเปิดกล่องไม้ออกช้าๆ ภายในนั้นมีรูปครอบครัวที่
ถ่ายอยู่ด้วยกันสามสี่ใบที่แสดงถึงความอบอุ่นในครอบครัว เนติมาดูรูปแล้วน้ำตาคลอเบ้าออกมา ระบิลมองด้วยความสงสาร
“ไหวมั้ยคุณ”
เนติมาพยักหน้าพยายามกลั้นน้ำตาก่อนเปิดใต้อัลบั้มรูปขึ้นดู เห็นมีโบว์ผูกผมม้วนวางอยู่อย่างเรียบร้อย เนติมาหยิบขึ้นมามองยิ้มอย่างเศร้าๆ
“ตอนฉันเด็กๆ คุณพ่อจะถักเปียแล้วก็เอาโบว์นี่ผูกผมให้ฉันเสมอ นายคงคิดไม่ถึงใช่มั้ยว่า ผู้ชายจะหัดทำอย่างนี้ให้ใครได้”
“ถ้าไม่ใช่ลูกหรือคนที่เขารัก”
ระบิลจะเห็นซองจดหมายเก่าๆที่วางอยู่ด้านล่างสุดของกล่อง
“มีจดหมายด้วยคุณ”
เนติมารีบหยิบซองจดหมายขึ้นมาเปิดอ่านทันที สีหน้าของเนติมาเครียดขึ้นมาทันที ระบิลถามด้วยความอยากรู้
“มีอะไรรึเปล่าคุณ”
เนติมาอ่านข้อความนั้น
“เนติ์ลูกรัก ในนี้มีเทปที่พ่อบันทึกข้อมูลทุกอย่างที่จะเป็นหลักฐาน เอาผิดนายพงษ์เลิศกับพวกได้ จัดการทุกอย่างแทนพ่อด้วย อย่าปล่อยให้คนชั่วสูบเลือดกินเนื้อคนไทยในแผ่นดินนี้อีกต่อไป”
ระบิลกับเนติมาหันมามองหน้ากันนิดหนึ่ง ก่อนระบิลจะรับรูปและจดหมายมาจากเนติมา ทั้งสองคนช่วยกันหาเทปที่ว่าในกล่องและไล่หาตามซอกมุมของรูปและจดหมายอีกครั้ง แต่ไม่พบ
“ทำไมไม่มี ไหนคุณพ่อบอกว่าอยู่ในกล่องนี้ไง”
ระบิลคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“โทร.หาคุณดล”
เนติมารีบหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วกดโทร.ออกทันที “ดล...”
ในเวลาต่อมา ระบิลกับเนติมาลงจากรถ สีหน้ายังเต็มไปด้วยความสงสัย
“ที่ดลก็ไม่มี ลุงคำเที่ยงก็ยืนยันว่าไม่เคยเปิดกล่องนี้เลย แล้วมันจะหายไปไหน”
“ต้องหาให้ได้ เทปนั่นอาจเป็นทางลัดให้พวกเราจัดการกับไอ้พวกชั่วนั่นง่ายขึ้นก็ได้นะครับ”
ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะพูดอะไร เสียงบีบแตรจากบ้านอิสราวัชรก็ดังขึ้น พร้อมเสียงของอิทธิหาญที่แผดลั่นออกมาด้วยความโมโห
“พวกที่อยู่หน้าบ้านหายไปไหนหมดวะ !”
ระบิลกับเนติมาหันขวับไปมองทันที เนติมาชักสีหน้าด้วยความสงสัยก่อนวิ่งออกไปทันที
“เดี๋ยวคุณ...จะไปไหน โธ่เว้ย”
ระบิลถอนใจด้วยความหงุดหงิดรีบวิ่งตามเนติมาไปทันที
เนติมาวิ่งมาที่ริมกำแพง ขณะที่ระบิลรีบวิ่งตามมารั้งไว้ทันที
“จะทำอะไรน่ะคุณ”
“ก็...”
ยังไม่ทันที่เนติมาจะพูดอะไร ระบิลก็รีบเอามือปิดปากเนติมาทันทีเพราะมีเสียงอิทธิหาญดังข้ามมาอีก
“เฮ้ย..เอกสารอยู่ไหน เอาลงมาจากรถด้วยสิวะ”
ระบิลกับเนติมาหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย เนติมาเอามือจับมือระบิลที่ปิดปากเธอออกพร้อมพูดเสียงเบาๆ
“คราวนี้นายอยากรู้แล้วใช่มั้ยว่า พวกมันทำอะไรกัน”
“เดี๋ยวนะ ผมหาบันไดก่อน”
ระบิลมองไปรอบๆเพื่อหาบันไดมาพาดกำแพง แต่เนติมารั้งไว้พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ต้อง..นายนั่นแหละบันได”
“อะไรนะ !”
ระบิลที่ให้เนติมาขี่คอแล้วค่อยๆดันตัวขึ้นยืนอย่างช้าๆ เนติมาค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากแนวกำแพงบ้านกันต์ทีละนิดเพื่อแอบดูอิทธิหาญ
“อึ๊บ ! ได้รึยังคุณ”
เนติมาพูดตอบเสียงเบาๆ
“ได้แล้วๆโอเค”
เนติมามองข้ามไปยังบ้านอิสราวัชรเห็นอิทธิหาญยืนอยู่กับปานและลูกน้อง ลูกน้องคนหนึ่งรีบเอาแฟ้มเอกสารปึกใหญ่มาส่งให้ปาน
“เก็บในเซฟให้ดีนะปาน”
“ครับเสี่ย”
“เที่ยวนี้ได้มาอีกสิบแปลง เที่ยวหน้าอีกสิบ แค่นี้เขาทั้งลูกก็อยู่ในมือเราอย่างถูกกฎหมายแล้ว ฮ่าๆ”
อิทธิหาญหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ เนติมาตะลึงกับสิ่งที่เห็น ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อที่จะถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐาน แต่จังหวะเดียวกันปานรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดสังเกตรีบมองหามาทางกำแพงทันที
“ใครวะ !”
เนติมาร้อง “ว๊าย !” เบาๆด้วยความตกใจ
เนติมารีบหลบลงไปทันทีจนเสียหลักจะหล่นลงมา แต่ระบิลรวบตัวไว้ในอ้อมกอดได้ทัน พร้อมกับเอามือปิดปากเนติมาไว้
“เฮ้ย..ไปดูสิ !” อิทธิหาญสั่งลูกน้องทันที
ลูกน้องอิทธิหาญปรี่มาที่กำแพงพร้อมควักปืนออกมาพร้อมใช้ ระบิลกอดเนติมาแน่นอยู่ที่พุ่มไม้ข้างกำแพงอย่างลุ้นๆ ลูกน้องหันไปเห็นแมวตัวหนึ่งเดินมาตามสันกำแพง รีบชี้ให้อิทธิหาญดูทันที
“แมวครับเสี่ย”
“แล้วไป...พวกมึงระวังกันด้วยนะ ถ้าไอ้บ้านโน้นมันสอดรู้สอดเห็นเมื่อไหร่ เป่าลูกตามันได้เลย กูรับผิดชอบเอง”
อิทธิหาญพูดอย่างเอาจริง ก่อนเดินเข้าไปในบ้าน
ระบิลกับเนติมาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ระบิลถามเนติมาด้วยความเป็นห่วง
“คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“เออ..ไม่ ขอบใจนะ”
เนติมาตอบอย่างอายๆ ทั้งสองคนรีบผละออกจากกันทันที
“เออ..ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วไงพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”
“เออ..ครับ”
เนติมารีบเดินเลี่ยงออกไปด้วยความอาย ขณะที่ระบิลได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
เช้าวันใหม่ เนติมาแต่งตัวภูมิฐานเพื่อเตรียมออกไปทำงานและเดินไปกระเป๋าที่วางอยู่ใกล้หน้าต่าง
พลางแง้มผ้าม่านออกดูด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นอิทธิหาญ และปานที่ถือกระเป๋าเอกสาร เดินออกมาจากตัวบ้านมายังรถที่จอดอยู่ โดยมีลูกน้องอีกสองคนรออยู่แล้ว ทั้งหมดกำลังยืนคุยอะไรกันอยู่ด้วยสีหน้าจริงจัง เนติมามองด้วยความอยากรู้ ค่อยๆเปิดหน้าต่างออกไปฟัง
“เตรียมคนทางโน้นพร้อมนะโว้ย ไม่ใช่ไปแล้วเสียเที่ยวนะ”
“ไม่เสียเที่ยวแน่ครับเสี่ย” ลูกน้องคนหนึ่งบอก
อิทธิหาญหันไปพูดกับลูกน้องอีกสองคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“กูไม่อยู่สองวัน พวกมึงเฝ้าบ้านให้ดีเข้าใจมั้ย”
“ครับเสี่ย”
เนติมามองอิทธิหาญกับพวก คิดอะไรอยู่นิดหนึ่งด้วยความสงสัยแล้วรีบออกจากห้องไปทันที
เนติมาเดินรี่มาที่หน้าห้องหนังสือเป็นจังหวะเดียวกับที่ระบิลที่แต่งตัวเสร็จและเดินออกมาจากห้องพอดี เนติมาพูดกับระบิลด้วยความเร่งรีบ
“ไปเร็ว !”
“จะรีบไปไหนครับ ประชุมกับคุณศิวัชอีกตั้งสองชั่วโมงไม่ใช่เหรอครับ”
“อย่าเพิ่งถามตอนนี้ได้มั้ย..เร็ว!”
“เดี๋ยว!”
ระบิลรั้งเนติมาที่กำลังจะเดินนำออกไป เนติมาหันขวับมาอย่างหงุดหงิด
“อะไรของนายอีกเนี่ย คนยิ่งรีบๆ”
“จะไปกันแล้วเหรอคะ”
ระบิลกับเนติมาหันไปเห็นขวัญชนกที่แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมออกไปข้างนอก เดินมาพร้อมเจือจันทร์และกันต์ เนติมามองด้วยความสงสัย ระบิลหันมาพูดยิ้มๆ
“ผมชวนคุณขวัญออกไปเปิดหูเปิดตาด้วยน่ะครับ”
“อะไรนะ!”
เนติมาพูดด้วยความตกใจ เพราะไม่ได้ตั้งตัวมาก่อนว่าขวัญชนกจะออกไปนอกบ้านวันนี้
เนติมาเดินนำมาที่รถด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก ระบิล ขวัญชนก และเจือจันทร์ซึ่งเข็นรถเข็นกันต์ตามมาด้วยความเป็นห่วงลูกสาว
“เนติ์มีอะไรรึเปล่าจ๊ะ ถ้าไม่สะดวกขวัญไม่ไปก็ได้นะ ขวัญเองก็ยัง...”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะขวัญ ฉันแค่คิดเรื่องงานน่ะ”
เนติมาพยายามยิ้มกลบเกลื่อนความกังวลเรื่องพวกอิทธิหาญ
ระบิลยิ้มกับขวัญชนก
“กว่าจะพูดให้คุณอายอมให้คุณขวัญออกจากบ้านได้ก็แทบแย่ เรื่องอะไรจะล้มเลิกโปรแกรมง่ายๆล่ะครับ...ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลคุณขวัญให้ดีที่สุด เดี๋ยวเย็นๆก็กลับมาแล้วล่ะครับ”
ระบิลพูดให้ความมั่นใจกับเจือจันทร์ที่สีหน้ายังเป็นกังวล กันต์หันไปพูดกับระบิลอย่างใจดี
“ฝากลูกผมด้วยนะคุณระบิล”
“ครับผม”
ขวัญชนกหันไปจับมือพ่อกับแม่ด้วยความรู้สึกที่ยังกล้าๆกลัวๆ ไม่มั่นใจนัก
“แน่ใจนะลูก”
ขวัญชนกสูดลมหายใจลึกบอก
“ค่ะ...”
“ลูกพ่อเคยเป็นคนเก่ง แล้วก็จะกลับเป็นคนเก่งเหมือนที่เคยเป็นในวันนี้แหละ สู้ๆนะลูก”
กันต์พูดยิ้มให้ ขวัญชนกมีกำลังใจมากขึ้น เนติมาอดยิ้มให้กับภาพตรงหน้าไม่ได้ ก่อนหันไปเห็นรถของอิทธิหาญวิ่งผ่านหน้าบ้านไป เนติมามองตามไปด้วยความร้อนใจก่อนหันมาพูดกับระบิลและขวัญชนก
“เออ..เรารีบไปกันเถอะนะ”
รถของเนติมาขับมาอย่างช้าๆ ผ่านถนนสายเล็กๆที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ ภายในรถ ระบิลขับรถพลางมองผ่านกระจกมองหลังอย่างอารมณ์ดี
“เปลี่ยนแปลงไปเยอะมั้ยครับคุณขวัญ”
ขวัญชนกอมยิ้มนั่งมองวิวสองข้างทางอย่างมีชีวิตชีวาขึ้น
“ต้นไม้โตขึ้นเยอะเลยค่ะ”
ระบิลยิ้มเมื่อเห็นขวัญชนกมีความสุข ส่วนเนติมาที่นั่งอยู่ข้างๆกระสับกระส่ายมองออกไปนอกรถเหมือนหาอะไรอยู่
“มองหาอะไรอยู่เหรอคุณ”
“เออ...”
เนติมาอึกอักรู้สึกสับสนเหลียวไปมองขวัญชนกนิดหนึ่งเพราะห่วงความรู้สึกของเพื่อน เลยพูดกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไร”
ระบิลมองเนติมาด้วยความสงสัยในท่าทางที่ดูร้อนรน
เนติมาถอนใจด้วยอารมณ์เซ็งๆกับการจราจรที่ติดขัดอยู่ด้านนอก พลางพูดออกมาเบาๆ
“ป่านนี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้”
“ใครเหรอคุณ ใครไปไหน”
ระบิลถามด้วยความสงสัย เนติมาค้อนระบิลอย่างหงุดหงิด
“เพราะนายนั่นแหละ ทำอะไรไม่ปรึกษาฉัน”
“อ้าว..เรื่องอะไรคุณ” ระบิลพูดอย่างงงๆ
เนติมาไม่ตอบกลับหันไปพูดกับขวัญชนก
“รถติดเหมือนสิบปีก่อนมั้ยจ๊ะขวัญ”
“ฉันว่าติดมากกว่าสิบปีก่อนมากกว่า แต่ตึกใหม่ๆขึ้นเต็มเลยนะเนติ์”
ขวัญชนกพูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก พลางมองออกไปด้านนอกอย่างเพลิดเพลิน แต่ขวัญชนกต้องตกใจเมื่อเห็นบางอย่างแล้วรีบทิ้งตัวลงพิงเบาะทันที ระบิลกับเนติมามองขวัญชนกด้วยความสงสัย
“มีอะไรครับคุณขวัญ”
“เห็นอะไรเหรอขวัญ”
ขวัญชนกไม่กล้ามองออกไปด้านนอกได้แต่ชี้มือออกไป ระบิลกับเนติมามองตามไปแล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นอิทธิหาญนั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถที่จอดติดเหลื่อมกันอยู่ มีเพียงรถอีกหนึ่งคันคั่นอยู่เท่านั้นเอง รถคันนั้นมีปานนั่งคู่อยู่กับอิทธิหาญและลูกน้องอีกสองคนนั่งอยู่ด้านหน้า
เนติมามองด้วยสายตาที่มุ่งมั่นกลับขึ้นมาทันที ขณะที่ระบิลสีหน้าไม่สบายใจนัก เมื่อสัญญาณไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว ระบิลก็ยิ้มแล้วหันไปพูดปลอบขวัญชนกทันที
“ไม่ต้องกลัวนะครับคุณขวัญ ไฟเขียวแล้ว เดี๋ยวก็ทางใครทางมันแล้วล่ะ”
“ตาม !”
เนติมาตัดสินใจพูดอย่างหนักแน่น ขวัญชนกมองเนติมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“เนติ์ !”
“คุณพูดอะไรของคุณน่ะ” ระบิลถาม
“เมื่อเช้าฉันแอบฟังพวกนั้นคุยกัน ฉันอยากรู้ว่ามันไปทำอะไรที่ไหน”
ระบิลคิดนิดหนึ่งแล้วว่า
“มิน่า..คุณถึงเร่งให้ผมออกมาเร็วๆ แล้วเมื่อกี้ที่คุณมองหาก็...ทำไมคุณไม่บอกผมก่อนล่ะครับ”
“นายก็ไม่บอกฉันก่อนเหมือนกัน ว่า...”
เนติมาหันไปมองขวัญชนกที่นั่งหน้าเสียอยู่ เนติมาพยายามอธิบาย
“ขวัญ..ฉันไม่ได้อยากเอาเธอมาเสี่ยงนะ ฉันแค่อยากตามดูพฤติกรรมพวกมัน”
“แล้วถ้าพวกมันไปซื้อโจ๊ก กินก๋วยเตี๋ยวเฉยๆล่ะคุณ”
“ไม่ใช่แน่”
เนติมาพูดกับขวัญชนก
“ขวัญ ฉันแค่อยากได้หลักฐานไปเล่นงานพวกนั้น เธอไม่อยากให้คนชั่วพวกนั้นชดใช้กรรมเหรอขวัญ”
เนติมาพูดด้วยความร้อนใจ เมื่อเห็นรถของอิทธิหาญ วิ่งห่างออกไปทุกที ขณะที่ขวัญชนกมีสีหน้ากลัวและไม่มั่นใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนัก
“ผมว่ามันเสี่ยงเกินไป อีกอย่างคุณขวัญยังไม่พร้อมที่จะไปโลดโผนอย่างนี้ด้วย เอาไว้วันหลังเถอะครับคุณเนติ์”
“แต่วันนี้พวกนั้นมีพิรุธ”
“ถ้าคุณไม่ห่วงตัวเอง คุณก็ควรห่วงเพื่อนคุณนะครับคุณเนติ์”
ระบิลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เนติมาชะงักมองขวัญชนกอย่างครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนถอนใจออกมาอย่างตัดใจ พร้อมพูดเสียงอ่อย
“ก็ได้...”
ขวัญชนกไม่สบายใจนักพลางมองเนติมาทีหนึ่งก่อนหันมองรถของอิทธิหาญอีกที แล้วรวบรวมความกล้าตัดสินใจพูดทั้งที่ยังรู้สึกกลัว
“ตามไปเถอะค่ะ”
ระบิลกับเนติมารู้สึกตกใจกับสิ่งที่ขวัญชนกพูดออกมา
“ขวัญ !”
“ตามไปเถอะจ้ะเนติ์ อย่าให้ขวัญทำให้เสียจังหวะเลยนะ”
เนติมาเอื้อมมือไปจับมือขวัญอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกขวัญ เอาไว้ฉันหาโอกาสใหม่ก็ได้ ขอโทษนะเมื่อกี้ฉันเห็นแก่ความรู้สึกส่วนตัวมากไปหน่อย”
“ไม่หรอกเนติ์ อย่าปล่อยโอกาสดีๆอย่างนี้หลุดไปเลยนะ”
“ขวัญ...”
“ถ้ามันทำให้คนชั่วได้รับโทษ ขวัญจะต้องกล้าไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
ขวัญชนกพยายามพูดให้กำลังใจตัวเอง เนติมาหันไปมองระบิลอย่างขอคำปรึกษา ระบิลนิ่งคิดตัดสินใจ
ภายในบ้าน เจือจันทร์เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจเพราะความเป็นห่วงขวัญชนก เจือจันทร์หันไปจะหยิบโทรศัพท์แต่กันต์มาคว้ามือเจือจันทร์ไว้ทันที
“คุณ...”
“ลูกเพิ่งออกไปเมื่อกี้เองนะคุณ”
“แต่ฉันเป็นห่วง...”
“ผมก็ห่วง แต่เราต้องมั่นใจในตัวลูกนะคุณ”
กันต์พูดอย่างใจเย็นก่อนดึงมือเจือจันทร์ลงมานั่งที่โซฟาข้างๆ แล้วหยิบหนังสือหลายเล่มยื่นให้เจือจันทร์
“มีหนูเนติ์กับคุณระบิลไปด้วยไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกน่า คุณมาช่วยผมหาข้อมูลเรื่องหมอกระดูกกับผมดีกว่า”
“หมอกระดูก ทำไมเหรอคะ” เจือจันทร์ถามด้วยความสงสัย
“ผมก็อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่เหมือนกันนะคุณ ผมนั่งรถเข็นนี่มานานเกินไปแล้ว”
กันต์ยิ้มพูดอย่างมีความหวัง เจือจันทร์ชักสีหน้าหนักใจ
“แต่มันนานมาจน...”
“สายไปรึเปล่าไม่รู้ แต่ผมจะสู้ ลูกขวัญยังสู้เลยนะคุณจะให้ผมยอมแพ้ลูกได้ยังไง
กันต์พูดอย่างอารมณ์ดี เจือจันทร์คิดอะไรอยู่นิดหนึ่งก่อนยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางเอื้อมมือไปกุมมือกันต์อย่างให้กำลังใจ
ถนนที่มีรถวิ่งไปมาขวักไขว่ รถของอิทธิหาญวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ระบิลขับรถมุดซ้ายปาดขวาอย่างชำนาญ เพื่อให้ทันรถอิทธิหาญ ภายในรถ เนติมานั่งลุ้นด้วยความตื่นเต้น
“ระวังด้วยนะ”
“มือชั้นนี้แล้ว ไม่ต้องห่วงน่าคุณ”
“ขวัญเป็นไงบ้าง”
“เออ..ไม่เป็นไร ขวัญไหวจ้ะเนติ์”
ขวัญชนกยิ้มเจื่อนแต่ในใจรู้สึกตื่นเต้นมาก ขวัญชนกเอื้อมมือไปหยิบเข็มขัดนิรภัยขึ้นมาคาดทันที
ศิวัชเดินคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องประชุม พรรคสยามพัฒนา พลางมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก
“อะไรนะเนติ์ เนติ์ว่าเนติ์อยู่ไหนนะ”
ศิวัชนิ่งฟังด้วยความไม่สบายใจ เมื่อชำเลืองมองไปด้านหลังเห็นธำรง พงษ์เลิศ ชลกร นายพลทวี และนักการเมืองจำนวนหนึ่งนั่งมองมาแ ศิวัชยิ้มแก้เก้อนิดหนึ่งก่อนหันกลับไป
เนติมานั่งอยู่ในรถ พยายามอธิบายให้ศิวัชเข้าใจ
“พี่ศิวัชไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คุณระบิลก็มาด้วย”
“แต่พี่ว่าเนติ์กลับมาก่อนดีกว่านะ หรือไม่ก็รออยู่ตรงนั้นเดี๋ยวพี่ส่งคนไปช่วย”
“อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลยค่ะพี่ศิวัช ไปกันแค่นี้คล่องตัวกว่า ได้เรื่องยังไงเนติ์จะรีบติดต่อกลับไปนะคะ”
เนติมากดวางสายทันที ขณะที่ศิวัชพยายามเรียกแต่ไม่เป็นผล
“เนติ์..เดี๋ยวสิเนติ์”
ศิวัชถอนหายใจด้วยความไม่สบายใจ ก่อนหันไปเห็นทุกคนที่รออยู่บนโต๊ะประชุมส่งสายตามองมาด้วยความสงสัย
“ทำไมเหรอลูก หนูเนติ์เป็นอะไรรึเปล่า” ธำรงถาม
“ไม่สบายนิดหน่อยครับคุณพ่อ วันนี้เลยขอลาครับ”
“อ่ะ..งั้นเราเริ่มคุยกันเลยก็แล้วกัน”
ธำรงที่ยังคงนั่งอยู่หัวโต๊ะบอกกับทุกคนด้วยท่าทางสบายๆ ศิวัชมีท่าทางกังวล นั่งข้างๆธำรง สายตามองไปที่พงษ์เลิศที่ประสานตามาเหมือนกัน พงษ์เลิศยิ้มให้อย่างใจเย็น ขณะที่ศิวัชมองพงษ์เลิศอย่างไม่ไว้ใจนัก
ถนนลาดยางเล็กๆในต่างจังหวัด ระบิลขับรถอยู่ดีๆก็หักรถหลบเข้ามาจอดที่ไหล่ทางใต้ต้นไม้ใหญ่
เนติมากำลังจะเก็บโทรศัพท์และขวัญชนกต่างมองด้วยความสงสัย
“จอดทำไมเหรอคะคุณระบิล” ขวัญชนกถาม
“นั่นสิ คลาดกันเหรอ หรือหลงทาง”
ระบิลนิ่งไม่ยอมตอบอะไร เนติมากับขวัญชนกยิ่งสงสัย เนติมามองไปรอบๆอย่างไม่คุ้นตา
ปานนั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในรถก็รู้สึกแปลกๆ ก่อนจะหยิบปืนขึ้นมากระชับพร้อมใช้ ออกคำสั่งบอกลูกน้องที่กำลังขับรถอยู่ทันที
“เฮ้ย..จอดก่อน !”
ลูกน้องที่ขับรถอยู่ จอดรถทันที อิทธิหาญมองปานด้วยความสงสัย
“อะไรวะปาน”
“รู้สึกเหมือนมีคนตามมาครับเสี่ย”
อิทธิหาญกับลูกน้องทั้งสองคนหยิบปืนขึ้นมามาทันที ปานกับอิทธิหาญหันขวับมองไปทางด้านหลัง พบแต่ถนนว่างเปล่า สองข้างทางมีต้นไม้หนา ไม่มีรถผ่านไปมาสักคันเดียว
“ไหนวะ ไม่เห็นมีใครเลย”
ปานถอนใจ
“สงสัยผมระแวงไปเองครับเสี่ย”
“โอเค...เฮ้ย..ออกรถ” อิทธิหาญสั่ง
ปานเก็บปืนแต่รู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ รถของอิทธิหาญวิ่งออกไป ด้านหลังไกลๆ รถของเนติมาหักหัวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ทันที
ระบิลขับรถอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มชอบใจ เนติมายิ้มอารมณ์ดี
“แหม..มีแผนอย่างนี้ก็ไม่บอก ตกใจหมดเลยรู้มั้ย”
“จะล่าเสือ ขืนโผล่ไปให้เสือเห็นก็โดนเสือจับกินพอดีสิครับคุณ”
ขวัญชนกมองระบิลอย่างชื่นชม
“คุณระบิลนี่เก่งจังเลยนะคะ”
ระบิลยิ้มให้ขวัญชนกผ่านกระจกหลัง ก่อนขับรถต่อไป
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 7 (ต่อ)
รถของอิทธิหาญวิ่งเลี้ยวเข้าไปในทางดินเล็กๆที่ซ่อนอยู่หลังแนวป่า ด้านหลังห่างออกไปพอสมควร รถเนติมาวิ่งตามเข้ามาช้าๆ ภายในรถ ระบิลมองทางที่รถของอิทธิหาญเข้าไปอย่างครุ่นคิด เนติมาพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“พวกนั้นเข้าไปทำไมในป่า”
“ถามผมตอนนี้ผมไม่รู้ แต่ไม่ใช่เรื่องดีแน่ครับ”
“แล้ว..เราจะทำยังไงดีล่ะคะ”
ขวัญชนกถามด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ ระบิลมองไปรอบๆบริเวณอย่างใช้ความคิด
หลังแนวป่าทึบ ระบิลเอากิ่งไม้ใบไม้ มาสุมคลุมรถเพื่อพรางสายตาเสร็จพอดี โดยมีเนติมากับขวัญชนกยืนมองอยู่ใกล้ๆ
“เรียบร้อย แค่นี้ก็ไม่มีใครเห็นแล้วครับ”
“แล้วนายจะทำยังไงต่อ”
ระบิลยิ้มพลางคว้าแขนเนติมากับขวัญชนก เดินอ้อมมาที่หลังพุ่มไม้อีกด้านหนึ่ง
“คุณสองคนก็รอผมอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวผมกลับมา”
“อะไร มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันสิ”
“ไปได้ แต่อาจไม่รอดกลับออกมา เรายังไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร แต่ผมมั่นใจว่ายังมีพวกของมันมากกว่าที่เราเห็นอีก”
“แต่...”
ระบิลพูดแทรก
“ซ่อนตัวตรงนี้ปลอดภัย อีกอย่างผมไปคนเดียวคล่องตัวกว่า”
ระบิลหยิบปืนขึ้นมากระบอกหนึ่งแล้วยื่นให้เนติมาถือไว้ เนติมาไม่ยอมรับ ระบิลเลยเอาปืนจับใส่มือเนติมาทันทีพร้อมพูดจริงจัง
“ติดไว้เผื่อจำเป็น ถ้าจะยิง ปลดเซฟตรงนี้ก่อนนะคุณ ส่วนจะยิงให้แม่นยังไงไว้ผมจะสอนอีกที” ระบิลหันมาพูดกับขวัญชนก
“คุณขวัญไม่ต้องกลัวนะครับ ผมได้เบาะแสแล้วจะรีบกลับมา”
“คุณระบิลระวังตัวนะคะ”
ขวัญชนกพูดด้วยความเป็นห่วงระบิล ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้สึกกลัวอยู่มาก ระบิลยิ้มให้ขวัญชนกและเนติมาก่อนจะเดินเข้าไปในป่าทันที
เนติมากับขวัญชนกมองตามระบิลไปด้วยความเป็นห่วง ขวัญชนกเอื้อมมือไปจับมือเนติมาด้วยความกลัว เนติมากระชับมือขวัญชนให้กำลังใจ เสียงรถดังเข้ามาจากถนนด้านนอกพอดี
“รถใคร” เนติมาพูดด้วยความสงสัย
“เนติ์ระวัง !”
เนติมารีบเดินไปยังพงไม้ที่บังสายตาอยู่ริมถนน โดยมีขวัญชนกตามไปยืนเกาะแขนเนติมาด้วยความตื่นเต้น รถปิคอัพใหม่เอี่ยมวิ่งผ่านมาไม่เร็วนัก ภายในรถมีเจ้าหน้าที่ที่ดินใส่ชุดข้าราชการ 2 คนนั่งมาด้วย เนติมาสงสัย
“มาทำอะไรแถวนี้”
ระบิลเดินมาตามทางเดินเล็กๆในป่าอีกด้านหนึ่งอย่างทุลักทุเลพลางมองไปข้างหน้าด้วยความสงสัย
“ทำไมยิ่งเข้ามาลึก ป่าด้านโน้นถึงยิ่งสว่างนะ”
“เฮ้ย...พรุ่งนี้รีบเอากล้ายางมาลงเลยนะโว้ย”
ระบิลได้ยินเสียงอิทธิหาญแว่วมาพลางจะเดินขยับไปทางต้นเสียง แต่รู้สึกมีอะไรอยู่ด้านหลังจึงหันขวับทันที แต่ไม่พบใคร ระบิลถอนใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วเดินต่อไปทันที
ระบิลเดินออกมาจนถึงชายป่า ระบิลรีบหลบหลังต้นไม้ใหญ่เมื่อเห็นอิทธิหาญและปานกำลังยืนคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ดินอยู่ บนที่ดินโล่งกลางป่าที่ถูกตัดเตียน รอบๆบริเวณยังเห็นซากไม้ ท่อนซุงมากมายวางเกลื่อน
ทางด้านหนึ่งลูกน้องของอิทธิหาญยืนคุมเชิงอยู่พร้อมกับคนงานที่กำลังใช้รถลากไม้เตรียมขนส่ง
อิทธิหาญชี้แล้วถาม
“แล้วด้านในนั่นจะตัดได้เมื่อไหร่”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอก
“อาทิตย์หน้าเสี่ยก็จัดการได้เลยครับ ถึงตอนนั้นเอกสารสิทธิ์คงเสร็จพอดี”
“แล้วเอกสารสิทธิ์ของผืนนี้ได้รึยัง”
“อ๋อ..ได้แล้วครับเสี่ย”
เจ้าหน้าที่คนแรกพูดกับเจ้าหน้าที่อีกคน
“เฮ้ย..เอามาสิ”
เจ้าหน้าที่อีกคนยื่นซองเอกสารให้เจ้าหน้าที่คนแรกก่อนจะนำซองนั้นยื่นให้อิทธิหาญอย่างนอบน้อม
“นี่ครับเสี่ย”
อิทธิหาญจะพยักหน้าให้ปานอย่างรู้กัน ปานรับซองเอกสารไปถือไว้ก่อนหยิบซองใส่เงินสดยื่นให้เจ้าหน้าที่ซึ่งรับเงินมานับอย่างชอบใจ เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 คนยกมือไหว้อิทธิหาญอย่างนอบน้อม
ระบิลใช้โทรศัพท์มือถือแอบถ่ายอิทธิหาญกับพวกอยู่ จังหวะเดียวกันระบิลก็ได้ยินเสียงใครเดินมาทางด้านหลัง ระบิลรีบชักปืนแล้ววาดปืนไปทันที ทั้งระบิล เนติมา ขวัญชนก ต่างตกใจ
“ว้าย ! / เฮ้ย !”
ระบิลรีบใช้มือทั้งสองข้างปิดปากเนติมากับขวัญชนกแล้วดึงให้นั่งลงหลังที่กำบังทันที
ระบิลถามเบาๆ
“ตามมาทำไมคุณ”
เนติมารีบดึงมือระบิลออกจากปาก แล้วพูดออกมาด้วยความร้อนใจ
“ก็ฉันกับขวัญเป็นห่วงนาย เมื่อกี้คนแต่งชุดข้าราชการขับรถเข้ามาด้วย”
“นั่นไงครับ พวกไม่รักศักดิ์ศรีเครื่องแบบของตัวเอง”
ระบิลชี้ให้เนติมากับขวัญชนกดู เจ้าหน้าที่ที่ดินกำลังเดินคุยกับอิทธิหาญ ดูพื้นที่รอบๆบริเวณอย่างชอบใจ
“มันเหลือแนวป่าด้านนอกไว้หลอกตาคน แล้วแอบมาเจาะไข่แดงกินอยู่ด้านใน จากนั้นก็ออกเอกสารสิทธิ์ตามมา เท่านี้พวกมันก็เป็นเจ้าของอดีตป่าอย่างถูกกฎหมายแล้ว”
“น่ากลัวจังเลยนะคะ” ขวัญชนกบอก
“น่าขยะแขยงมากกว่า คนพวกนี้มีที่สองที่เท่านั้นที่ควรอยู่ ไม่ในคุก ก็ในนรก”
เนติมาพูดอย่างไม่เกรงกลัวพลางหยิบกล้องขึ้นมาจากกระเป๋า แต่ระบิลรั้งไว้
“ไม่ต้องแล้วคุณ ผมถ่ายไว้หมดแล้ว เรารีบกลับกันดีกว่า ผมไม่อยากให้คุณสองคนอยู่ที่นี่นาน..ไปครับ”
ระบิลพาเนติมากับขวัญชนกย่องกลับออกไปจากบริเวณนั้น
ตรงทางเดินภายในพรรคสยามพัฒนา ศิวัชเดินเลี้ยวเข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่พรรค ศิวัชสั่งงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เดี๋ยวผมจะเข้าไปที่ทำเนียบ ยังไงคุณช่วยเตรียมรายละเอียดของคนที่เราจะส่งลงเลือกตั้งท้องถิ่นให้ผมด้วย พรุ่งนี้ผมจะเข้ามาดู”
“ค่ะท่าน”
“โอเค..ไม่มีอะไรแล้ว คุณไปทำงานต่อเถอะ”
ศิวัชยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนเจ้าหน้าที่หญิงจะเดินเลี้ยวออกไปอีกทาง ศิวัชยกนาฬิกาขึ้นดู แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกด้วยความเป็นห่วงเนติมา
ระบิล เนติมา ขวัญชนกกำลังเดินอยู่ในป่าร่มครึ้ม ระบิลเดินประกบหลังเนติมากับขวัญชนกคอยระวังภัย จังหวะเดียวกันเสียงโทรศัพท์ของเนติมาก็ดังขึ้น
“อุ๊ย..ใครโทรมาตอนนี้เนี่ย”
“รับเร็วคุณ”
“รู้แล้ว กำลังหา อยู่ไหนเนี่ย”
เนติมากำลังควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าด้วยความร้อนใจ โดยมีขวัญชนกคอยช่วย ระบิลหันขวับไปด้านหลังด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
อิทธิหาญ ปานและพวกชะงักได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังแว่วออกมาจากในป่า ทั้งหมดหันขวับไปมองทันที
“มือถือใครวะ”
“เฮ้ย..พวกเราใครอยู่ในป่าวะ” ปานถามคนงาน
คนงานของอิทธิหาญแต่ละคนหันมามองหน้ากันอย่างงงๆ พลางส่ายหน้าไม่รู้ไม่เห็น
“ไม่มีนี่พี่ อยู่นี่กันครบทุกคน”
ปานหันขวับไปมองหน้ากับอิทธิหาญทันทีด้วยความไม่สบายใจ
เนติมาเดินคุยโทรศัพท์โดยมีขวัญชนกที่มองไปรอบๆอย่างไม่ไว้ใจ ระบิลคอยเดินระวังหลังให้
“เนติ์กำลังกลับแล้วค่ะพี่ศิวัช”
ศิวัชถอนใจอย่างโล่งอกที่รู้ว่าเนติมาปลอดภัย
“ค่อยสบายใจหน่อย วันหลังอย่างทำอะไรเสี่ยงอย่างนี้อีกนะจ๊ะ”
“ค่ะจะพยายามนะคะ...นี่เนติ์มีหลักฐานเด็ดที่คุณระบิลเขาถ่ายไว้ให้ด้วยนะคะ..ค่ะแล้วเจอกันค่ะพี่ศิวัช”
เนติมาวางสายพลางมองไปรอบๆเมื่อไม่เห็นมีใครตามมาก็ถอนใจอย่างโล่งอก เนติมาจับมือและยิ้มให้ขวัญชนก
“โชคดีที่พวกนั้นไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์...ขากลับแวะเที่ยวแถวนี้สักแป๊บมั้ย ต้อนรับเธอกลับสู่โลกกว้างอีกครั้งไง”
“อืม..ไปสิจ๊ะ” ขวัญชนกพูดยิ้มๆ
เสียงลูกน้องของอิทธิหาญดังมาจากด้านหลัง
“มีคนอยู่ทางโน้นครับเสี่ย”
“พวกมึงตามไป ! ไม่ว่ามันเป็นใคร สิ่งที่มันจะได้รับคือความตายเท่านั้น เร็ว !”
ระบิลมองไปทางด้านหลังด้วยสีหน้าเครียด ขณะที่เนติมาหน้าเจื่อนและขวัญชนกหน้าเสียด้วยความรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
“เนติ์ !”
ระบิลพาเนติมากับขวัญชนกวิ่งหนีมาตามทางรกๆที่เต็มไปด้วยต้นไม้ทึบ
“ทางนี้ครับ เร็ว !”
“เดี๋ยว ! ทางที่เราจอดรถไม่ได้มาทางนี้นี่”
เนติมารั้งระบิลไว้ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ ระบิลพยายามอธิบาย
“ขืนวิ่งตรงไปที่รถแล้วเกิดไม่ทัน ก็ไม่ต่างอะไรกับวิ่งไปหาทางตันสิ คุณล่อมันมาทางนี้ก่อน แล้วค่อยอ้อมกลับไปที่รถดีกว่า”
“แต่ขวัญจะไม่ไหวนะ”
เนติมามองขวัญชนกที่ยืนหอบอยู่ ระบิลขยับเข้าไปพูดให้กำลังใจขวัญชนกใกล้ๆ พร้อมพูดอย่างอบอุ่น
“สู้ๆนะครับคุณขวัญ”
“ขวัญกลัว”
“ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วครับ คุณขวัญมาถึงขนาดนี้ ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วแข็งใจอีกนิด เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้วนะครับ”
ขวัญชนกรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งพลางยิ้มให้ระบิล
“ค่ะ..คุณระบิล ขวัญจะสู้ค่ะ”
ทั้งสามคนยิ้มให้กันก่อนจะเดินไปต่อแต่จังหวะเดียวกันเสียงปืนสองนัดก็ดังขึ้น
“ระวัง !”
ระบิลรีบโอบร่างของเนติมากับขวัญชนกให้ก้มต่ำแล้วดึงเข้าหลบหลังแนวไม้ทันที กระสุนเฉียดร่างทั้งสามคนไปนิดเดียว
“พวกนั้นตามมาแล้ว” เนติมาบอก
ระบิลแอบมองออกไปเห็นลูกน้องของอิทธิหาญ 2 คนพร้อมคนงาน 4 คนมีอาวุธครบมือวิ่งตามมาหยุดเล็งมองหาอย่างไม่แน่ใจเพราะมีต้นไม้ใบไม้บังอยู่
“เฮ้ย..ใครวะ”
เนติมาคิดอะไรอยู่นิดหนึ่ง ก่อนหยิบปืนที่ระบิลให้จากในกระเป๋าขึ้นมา แต่ระบิลรั้งไว้
“จะทำอะไรคุณ”
“ก็นายบอกให้ใช้ตอนจำเป็น นี่ยังไม่จำเป็นอีกเหรอ”
“เสียงปืน ก็ไม่ต่างกับเสียงโทรศัพท์คุณเมื่อกี้หรอก เสียงเรียกแขกชัดๆ”
ระบิลพูดเป็นเชิงประชด เนติมาอดค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ ขณะที่ระบิลแอบมองจากที่กำบังออกไป เห็นลูกน้องอิทธิหาญกับพวกเดินเข้ามาหาใกล้เข้ามาทุกที
“เฮ้ย..มันหนีเราไม่พ้นแล้ว ลากคอไปให้เสี่ยโว้ย”
ลูกน้องคนหนึ่งบอกแล้วสั่งคนงานที่ตามมาให้กระจายกันเข้าโอบล้อมดงไม้ที่ระบิล เนติมา ขวัญชนก ซ่อนตัวอยู่เมื่อครู่ ก่อนปรี่เข้าชาร์จทันที แต่ทั้งหมดต้องตกใจเมื่อไม่พบใครซ่อนอยู่เลย
ทุกคนหันมามองหน้ากันอย่างงงๆ
ระบิล พาเนติมากับขวัญชนกเดินลุยน้ำในลำธารอย่างทุลักทุเล
“เลี่ยงมาเดินทางที่คนเขาไม่เดินกัน รับรองพวกนั้นหาเราไม่เจอแน่ครับ”
“แต่ฉันว่าเราจะหลงป่านะ ดูสิเขียวเหมือนกันหมดเลย เหนือใต้ออกตก อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้”
เนติมาพูดพลางมองไปรอบๆที่เต็มไปด้วยป่ารกด้วยความกังวล ระบิลยิ้มแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาให้เนติมากับขวัญชนกดูพร้อมอธิบาย
“ไม่ต้องห่วงน่าคุณ ผมมีนี่”
“เข็มทิศนี่คะ”
ระบิลยิ้มแล้วบอก
“เมื่อกี้ตอนเดินอยู่ผมเช็คไปครั้งหนึ่งแล้วว่ารถเราอยู่ทิศไหน”
ระบิลอธิบายพร้อมดูเข็มทิศที่นาฬิกาสลับกับมองไปไปรอบๆบริเวณเพื่อดูทิศทาง เนติมากับขวัญชนกนิ่งฟังด้วยความสนใจ
“นี่ทิศตะวันตก นั่นไงครับ แสงแดดเข้าตรงนั้นพอดี ผมว่าเราเดินไปอีกหน่อย แล้วปีนตลิ่งขึ้นไปอีกนิดก็ถึงที่เราซ่อนรถไว้แล้วล่ะครับ..ไหวมั้ยครับคุณเนติ์”
ระบิลถามเนติมาด้วยความเป็นห่วง เนติมายิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างไม่คิดอะไรมาก
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีอะไรไม่ไหวแล้วล่ะ”
“ขวัญพร้อมแล้วค่ะคุณระบิล”
ขวัญชนกยิ้มพร้อมสูดหายใจลึกเรียกความมั่นใจ ระบิลกับเนติมายิ้มชอบใจที่เห็นขวัญชนกมีกำลังใจที่ดีขึ้น
“ไปครับ”
ระบิลยังมองไปรอบๆอย่างระวังภัยก่อนเดินนำเนติมากับขวัญชนกเดินต่อไป จังหวะเดียวนั้น ขวัญชนกเดินเหยียบก้อนหินเสียหลักจนเท้าพลิกและร้องด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย !”
“ขวัญ !”
“เจ็บมากมั้ยครับ”
ระบิลรีบเข้าไปประคองขวัญชนกลงนั่งที่โขดหินแล้วรีบก้มลงดูข้อเท้าของขวัญชนกทันที ขวัญชนกร้อง “โอ๊ย !” ออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อระบิลขยับข้อเท้าเพียงเล็กน้อย
ระบิลถอนใจแล้วบอก
“สงสัยเดินต่อไม่ไหวแล้วล่ะครับ”
เนติมากับขวัญชนกรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
“แล้วทำไงดีล่ะ”
ระบิลคิดอะไรอยู่นิดหนึ่งก่อนมองเนติมากับขวัญชนกอย่างยิ้มๆ
ขวัญชนกขึ้นขี่หลังระบิลทั้งเนติมากับระบิลก้าวเดินลุยน้ำข้ามลำธารอีกมุมหนึ่งอย่างช้าๆ ขวัญชนกรู้สึกเกรงใจระบิลมาก
“ขอโทษนะคะ ขวัญมาเป็นภาระให้ทุกคนจริงๆ”
“คุณขวัญไม่ได้เป็นภาระอะไรเลยครับมันเป็นอุบัติเหตุ อย่าคิดมากครับ”
“แต่...”
“อีกอย่างตัวคุณขวัญเบาจะตาย แค่นี้สบายมาก คิดว่าเล่นขี่ม้าส่งเมืองก็แล้วกันนะครับ”
ระบิลพูดยิ้มอย่างอารมณ์ดีจนขวัญชนกยิ้มออกมา เนติมายิ้มมองขวัญชนกที่มองระบิลอย่างรู้ถึงความรู้สึกที่ขวัญชนกมีต่อระบิล
“ขี่ม้าส่งเมือง ! เก่ามาก”
“เก่าแล้วไง การละเล่นไทยๆนะคุณ อ๋อ..ลืมไป โตเมืองนอกเมืองนา คงไม่เคยเล่น คงเคยแต่กดลิฟท์ขึ้นลงหอไอเฟล วืดๆ”
ระบิลลอยหน้าลอยตาพูดกวนเนติมาเล่นๆ
“เว่อร์ๆ นายนี่ไม่พูดกวนประสาทฉันสักวันจะท้องอืดตายรึไง นี่แน่ะ ว้าย !”
เนติมาเสียหลักลื่นเกือบจะล้ม ระบิลเอื้อมมือไปคว้าไว้ได้ทัน ระบิลกับเนติมามองหน้ากันค้างนิ่งอย่างไม่รู้ตัว ขวัญชนกที่ยิ้มมองอยู่ต้องชะงักกับภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆ เนติมากับระบิลรีบหลบตากันอย่างอายๆ
“เออ..ขอบคุณนะ”
“อืม..ทางมันลื่น ระวังหน่อยนะคุณ”
ระบิลพูดด้วยความเป็นห่วง ขณะเนติมาพยักหน้ารับคำ
“เจ็บตรงไหนรึเปล่าจ๊ะเนติ์” ขวัญชนกถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่จ้ะขวัญ สบายมาก”
เนติมาพูดยิ้มๆก่อนจะขยับเดินต่อ แต่เนติมาก็เกือบจะลื่นอีก ระบิลรีบดึงตัวไว้ได้ทัน
“ผมว่าคุณจับแขนผมไว้ดีกว่าครับ”
“แล้ว..นายจะเดินสะดวกเหรอ”
“อย่าลืมสิครับ ความปลอดภัยของคุณเป็นหน้าที่ของผมนะครับ”
ระบิลตอบยิ้มๆ เนติมาฟังน้ำเสียงของระบิลแล้วรู้สึกอบอุ่น ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปจับแขนระบิล และเดินลุยน้ำต่อไปอย่างช้าๆ สายใยของความรักเกิดขึ้นอย่างโดยไม่รู้ตัว
ขวัญชนกมองระบิลกับเนติมาอย่างสังเกตในท่าทีของทั้งสองคน
ในเวลาต่อมา เนติมาค่อยๆเดินขึ้นมาจากริมธารที่สูงชัน รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้หนาตา ระบิลยังให้ขวัญชนกขี่หลังอยู่
“ไหวมั้ยคุณ”
“ไหวสิ”
เนติมาเหนี่ยวแขนระบิลขึ้นมายืนหอบอยู่ที่ตลิ่ง ขวัญชนกมองเนติมาด้วยความสงสาร
“เนติ์เหนื่อยแย่เลย...ให้ขวัญเดินเองก็ได้นะคะคุณระบิล ขวัญพอไหว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณขวัญ อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว...ผมจำดงไม้ตรงนั้นได้ ไปกันเถอะครับ”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี ก่อนขยับจะเดินขึ้นไปบน แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงอิทธิหาญดังขึ้น
“เฮ้ย ! เมื่อกี้ใครยิงปืนวะ”
ระบิลชักสีหน้าด้วยความจริงจังขึ้นมาทันที พลางส่งสัญญาณให้เนติมากับขวัญชนกอย่าส่งเสียงดัง ระบิลขยับเข้าหลังพุ่มไม้ ค่อยๆวางขวัญชนกลงโดยมีเนติมาช่วยประคองอยู่ ทั้งหมดค่อยๆแหวกพุ่มไม้แอบดูเห็นลูกน้อง 2 คนของอิทธิหาญพร้อมคนงานเดินเข้ามาสมทบกับอิทธิหาญ ปานและคนงานอีกจำนวนหนึ่ง
“ฉันเองจ้ะเสี่ย” ลูกน้องคนหนึ่งบอก
“ยิงอะไรวะ แล้วเจอใครบ้างรึเปล่า”
“ทีแรกก็คิดว่าเป็นคนจ้ะพี่ปาน แต่ไปดูแล้วไม่มี สงสัยหมา”
อิทธิหาญถีบลูกน้องด้วยความโมโห ก่อนบ่นด้วยความหงุดหงิด
หมาเหรอ นี่แน่ะมึง ทำไมไม่ดูให้แน่ใจก่อนวะ ทำเอากูตกใจหมด”
“แล้วไอ้เสียงโทรศัพท์นั่นมันของใครวะ”
ปานเดินมองไปรอบๆ ผ่านพุ่มไม้ข้างทางเห็นระบิล เนติมาและขวัญชนกซ่อนตัวอยู่ ปานจ้องมองอย่างหัวเสียที่ระบิลตามมาถึงที่นี่
ที่หลังพุ่มไม้เนติมากับขวัญชนกตกใจที่เห็นปานมองมา ขวัญชนกอ้าปากจะร้องแต่เนติมารีบเอื้อมมือไปปิดปากขวัญชนกได้ทัน ขณะระบิลรีบชักปืนเล็งขู่ปานทันที
“เฮ้ย ! เป็นอะไรวะปาน”
ปานรีบพูดกลบเกลื่อนทันที
“เออ..เปล่าครับเสี่ย”
“มองอะไรอยู่วะ”
“ก็..มองหาไอ้เจ้าของเสียงโทรศัพท์น่ะครับเสี่ย แต่ผมคิดดูแล้วอาจเป็นชาวบ้านแถวนี้มาหาของป่าก็ได้นะครับ”
ปานพยายามพูดไม่ให้มีพิรุธพลางขยับตัวบังสายตาอิทธิหาญไม่ให้มองไปที่พุ่มไม้ที่ระบิลซ่อนตัวอยู่อย่างแนบเนียน
“แล้วถ้ามันไม่ใช่ชาวบ้านล่ะ”
“ที่นี่ลึกขนาดนี้ ไม่มีใครเข้ามาหรอกครับ ชาวบ้านแถวนี้ก็คนของเราทั้งนั้น ผมว่าเรารีบไปธุระที่อื่นต่อดีกว่าครับเสี่ย”
อิทธิหาญครุ่นคิดตามที่ปานพูดแล้วถอนใจออกมาอย่างตัดใจ
“ไปโว้ย”
อิทธิหาญจะเดินนำกลับไป แต่จังหวะเดียวกันเนติมาก็เหยียบก้อนหินที่อยู่ใกล้ๆจนเกิดเสียงดัง เนติมา ขวัญชนกสะดุ้งด้วยความตกใจ ขณะที่ระบิลรีบยกมือเป็นเชิงส่งสัญญาณไม่ให้ส่งเสียงดังพร้อมกระชับปืนในมือเล็งไปข้างหน้าพร้อมใช้
อิทธิหาญชะงักหันขวับกลับมาทางต้นเสียงทันทีด้วยความสงสัย
“เสียงอะไรวะ !”
“เออ..บังเอิญผมเดินเตะหินน่ะครับเสี่ย”
ปานพยายามตอบกลบเกลื่อน อิทธิหาญมองเท้าของปานที่เขี่ยหินก้อนเล็กๆแถวนั้นแล้วถอนใจ
นิดหนึ่งก่อนเดินนำลูกน้องทั้งหมดออกไป ปานถอนใจออกมาอย่างโล่งอกหันกลับไปมองยังพุ่มไม้ที่ระบิลซ่อนตัวอยู่ด้วยความหงุดหงิด
เนติมากับขวัญชนกถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ..เกือบไปแล้ว”
“น่ากลัวจังเลย”
เนติมาดึงขวัญชนกเข้ามากอดปลอบขวัญ ระบิลลดปืนลงด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ทำไมคนนั้นเขาถึงช่วย...อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนเมื่อกี้คือพี่ปาน ที่เป็นเพื่อนพี่ชายนาย”
“นั่นแหละครับพี่ปาน”
เนติมารู้สึกตกใจขึ้นมาทันที
“ก็ผู้ชายคนนี้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่คุณพ่อคุณแม่ฉันถูกฆ่า”
“อะไรนะ !” ขวัญชนกพูดด้วยความตกใจ
ระบิลมองหน้าเนติมาด้วยความไม่สบายใจมากขึ้น
“นึกไม่ถึงเลย ว่าเพื่อนพี่ชายนาย จะเป็นคนๆเดียวกับที่...”
ขวัญชนกเอื้อมมือไปจับมือเนติมาอย่างให้กำลังใจ เนติมายิ้มให้ขวัญชนกอย่างเข้มแข็ง
“ไม่เป็นไรจ้ะขวัญ ฉันเข้มแข็งพอที่จะอยู่กับความทรงจำร้ายๆแล้ว”
“ดีครับในเมื่อลืมมันไม่ได้ก็ต้องอยู่กับมันอย่างเข้มแข็งครับ ผมว่าเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะครับ เดี๋ยวพวกนั้นเกิดเปลี่ยนใจกลับมาจะยุ่ง”
ระบิลยิ้มพูดอย่างใจเย็นก่อนช่วยเนติมาประคองขวัญชนกให้ลุกขึ้น
ภายในห้องนั่งเล่นบ้านกันต์ในเวลากลางคืน เนติมากับเจือจันทร์ค่อยๆประคองขวัญชนกนั่งบนโซฟา เจือจันทร์มองลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ก่อนหันไปตำหนิระบิลกับเนติมา
“ทำไมต้องดั้นด้นพาออกไปถึงต่างจังหวัดด้วย ดูสิกลับมาแล้วก็เป็นอย่างนี้”
“ขวัญขอโทษนะคะคุณแม่ ขวัญขอให้คุณระบิลกับเนติ์พาไปเองแหละค่ะ ก็ขวัญไม่ได้เห็นภูเขาตั้งนานแล้วนี่คะ” ขวัญชนกพูดเสียงอ่อนให้แม่เห็นใจ
เจือจันทร์ได้แต่มองลูกสาวอย่างอ่อนใจ ขณะที่ขวัญชนกแอบไปยิ้มให้ระบิลกับเนติมาเป็นเชิงบอกว่าไม่ถูกต่อว่าแล้ว กันต์ยิ้มแล้วเอื้อมมือไปลูบผมขวัญชนกด้วยความเอ็นดู
“เอาน่าคุณ น่าดีใจไม่ใช่เหรอที่ลูกกล้าออกไปตั้งไกลขนาดนี้ อีกอย่างหมอก็บอกไม่ใช่เหรอว่าขาลูกไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“พลิกนิดหน่อยเองครับ เป่าเพี๊ยงเดียวก็หาย”
ระบิลพูดยิ้มอย่างอารมณ์ดี เนติมายิ้มมองขวัญชนกและรู้สึกว่า เพื่อนรักกำลังแอบชอบระบิลอยู่
เนติมาเงยหน้ามองขึ้นไปบนบ้านที่ไฟเพิ่งดับลงแล้วแกล้งหาวรีบพูดตัดสายโทรศัพท์ที่คุยอยู่ทันที
“นะคะ ไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้เนติ์เอาหลักฐานเด็ดไปให้ดูแต่เช้าเลย วันนี้เหนื่อยจัง เนติ์ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ เนติ์รักพี่ศิวัชนะคะ ฝันดีค่ะ”
หลังวางสาย เนติมาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าระบิลยืนประชิดตัวอยู่ด้านหลังเมื่อไหร่ไม่รู้
“อุ๊ย ! นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ฉันตกใจหมดเลยรู้มั้ย”
“ก็มาทันคุณโกหกคุณศิวัชนั่นแหละครับ”
ระบิลลอยหน้าลอยตาพูดกวนๆ เนติมาสะดุ้งนิดหนึ่งและพยายามพูดแก้ตัวแต่อึกอักไม่แนบเนียน
“ใคร..ใครโกหกใคร เมื่อไหร่ ฉันไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ก็ตั้งแต่คุณมองเห็นคนในบ้านนอนหมด คุณก็เร่งตัดสายคุณศิวัชเพื่อที่จะแอบไปหาหลักฐานที่บ้านเก่าคุณ”
“จะบ้าเหรอ ฉันคนเดียวจะกล้าข้ามไปคนเดียวได้ไง”
“คุณกล้ามาตั้งแต่คุณตัดสินใจกลับมาทวงคืนความยุติธรรมให้ครอบครัวคุณแล้ว แล้วคุณก็จะขอให้ผมพาคุณข้ามไปถูกต้องมั้ยครับ”
ระบิลยิ้มอย่างรู้ทัน เนติมาถอนใจอย่างเซ็งๆแล้วพูดอ้อน
“รู้ทันชะมัด นะ..พาฉันข้ามไปหน่อย ฉันอยากรู้ว่าเทปที่คุณพ่อบอกว่าเป็นหลักที่จะเอาผิดพวกของนายพงษ์เลิศได้อยู่ที่ไหน”
“แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่า ของที่คุณต้องการจะยังอยู่ในบ้านหลังนั้น เวลามันผ่านมาตั้งสิบปีแล้วนะคุณ ป่านนี้พวกนั้นมันอาจจะทำลายทิ้งไปแล้วก็ได้”
“แต่ถ้าเราไม่เข้าไปดู เราก็ไม่รู้ว่ามันอยู่หรือไม่อยู่กันแน่ วันนี้นายอิทธิหาญไม่อยู่บ้าน มันเป็นโอกาสเหมาะสำหรับเราแล้วนะ”
เนติมาพูดอย่างเอาจริง ระบิลถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ เนติมามองระบิลอย่างรู้ทัน
“ฉันรู้นะว่า จริงๆนายก็อยากเข้าไปพิสูจน์เหมือนกัน แต่นายกลัวฉันได้รับอันตรายใช่มั้ย”
“ผมมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้คุณนี่ครับ ถ้าคุณเป็นอะไรไปผมคง...”
“นายกลัวตกงานเหรอไง”
“ไม่ใช่เรื่องงาน ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่มันเป็นเรื่องของ...”
ระบิลพูดอะไรไม่ออก รู้สึกทำตัวไม่ถูกเหมือนสับสนอะไรบางอย่าง ขณะที่เนติมามองระบิลด้วยความสงสัย
“เรื่องอะไรเหรอ”
ระบิลอึกอักเล็กน้อย ก่อนหาเหตุผลพูดต่อ
“ก็...ก็..ก็เรื่องความปลอดภัยของคุณนั่นแหละ เอาเป็นว่าคุณรอผมอยู่ที่นี่ เดี๋ยวผมจะเข้าไปเอง บ้านนั้นถึงเจ้าอิทธิหาญไม่อยู่ก็ยังมีลูกน้องมันเฝ้าอยู่ ผมไปคนเดียวคล่องตัวกว่า”
“เอาอีกแล้ว ไปคนเดียวคล่องตัวกว่าอีกแล้ว ตกลงฉันเป็นตัวถ่วงนายมากนักใช่มั้ย”
เนติมาเถียงด้วยความหมั่นไส้ ระบิลถอนใจด้วยความอ่อนใจ
“โอ๊ย..ไม่ใช่อย่างนั้นครับเจ้านาย ผมก็แค่...”
ยังไม่ทันที่ระบิลจะพูดอะไรต่อ สายตาของระบิลก็มองเห็นใครบางคนมาด้อมๆมองๆอยู่ที่ริมรั้ว ระบิลรีบดึงเนติมาหลบด้านหลังตัวเองทันที
“โอ๊ย..อะไรเนี่ย !”
“มีใครอยู่ข้างนอกก็ไม่รู้”
ระบิลสีหน้าจริงจังพยายามมองฝ่าความมืดออกไปที่นอกรั้วบ้าน
หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 7 (ต่อ)
ระบิลย่องมาตามเงามืดอย่างระวังตัว พลางหยิบปืนขึ้นมากระชับพร้อมใช้ เนติมาย่องตาม
จากด้านหลังเข้ามารั้งระบิลไว้ เนติมาบอกเบาๆ
“รอด้วยสิ”
ระบิลสะดุ้งนิดหนึ่งแล้วพูดเบาๆตอบ
“โธ่คุณ..ตามมาทำไม”
“ก็ฉันอยากรู้นี่”
“งั้นอยู่ข้างหลังผมไว้นะครับ”
เนติมาพยักหน้าเป็นเชิงรับคำ ฃระบิลยกปืนขึ้นมาพร้อมใช้งาน เนติมามองตามระบิลไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นจนต้องเอื้อมมือไปจับชายเสื้อของระบิลแน่น ระบิลย่องเข้าไปยืนชิดกำแพงข้างประตูรั้ว จังหวะนั้น ระบิลเห็นมือของคนที่อยู่ด้านนอกจับลูกกรงรั้วพอดี ระบิลค่อยๆจับมือเนติมาซึ่งจับปลายเสื้อที่ด้านหลังออก ก่อนปราดไปที่ลูกกรงรั้วเอาปืนจ่อไปที่คนซึ่งอยู่ด้านนอกทันที !
“เฮ้ย !”
ยศวีร์รีบยกมือขึ้น ขณะที่อนงค์ผวาไปหลบหลังยศวีร์ด้วยความตกใจทันที
“ว้าย พี่ดล !”
“เฮ้ย ! ใจเย็นครับคุณระบิล นี่ผมเองครับ”
“อ้าว..คุณดล !”
ระบิลรีบลดปืนลงทันที ขณะที่เนติมารีบออกมาจากหลังกำแพง
“ดล !”
เนติมาเดินจูงมือยศวีร์มายังบริเวณสวนหย่อมในบ้านกันต์ด้วยรอยยิ้ม
“บังเอิญเพิ่งทำงานพิเศษเสร็จน่ะครับ แต่โทรหาพี่เนติ์ไม่ติดก็เลยเสี่ยงดวงมาหาที่นี่เลย”
“แต่ดวงเกือบกุด โดนคุณระบิลส่องเข้าให้แล้ว” อนงค์พูดแล้วยิ้มอย่างไม่คิดอะไรมาก
ระบิลยิ้มบอก
“โจรอยู่ข้างบ้านน่ะครับเลยต้องระวังตัวหน่อย”
“เป็นไง ทำงานเหนื่อยมากมั้ยจ๊ะ”
“เหนื่อยจนชินแล้วล่ะครับพี่เนติ์ ที่มาวันนี้นอกจากอยากเจอพี่เนติ์แล้ว ผมยังมาเพราะเรื่องหลักฐานที่คุณพ่อฝากไว้ให้พี่ด้วยน่ะครับ”
ระบิลเดินบ่นเข้ามาก่อนหันไปปฏิเสธเสียงแข็งกับเนติมาและยศวีร์ที่เดินตามมา
“ไม่ได้นะครับ คุณเนติ์เข้าไปคนเดียวผมยังลำบากใจ นี่คุณดลจะขอเข้าไปอีกคน ยังไงผมก็ไม่เห็นด้วยครับ”
“จริงด้วยจ้ะ ก่อนจะมาพี่ดลบอกจะมาคุยเฉยๆนี่จ๊ะ” อนงค์บอก
“แหม..ก็เห็นพี่เนติ์บอกว่า ไอ้ตัวแสบบ้านนั้นมันไม่อยู่ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าบ้านเราเนอะพี่เนติ์เนอะ”
ยศวีร์พยักเพยิดกับเนติมาที่มองยิ้มอย่างเห็นด้วย ขณะนั้น … กันต์ก็เลื่อนรถเข็นออกมาจากในบ้านถาม
“วีร์ใช่มั้ยลูก”
ภายในห้องนั่งเล่น ยศวีร์นั่งลงไหว้กันต์อย่างนอบน้อม กันต์ลูบหัวอย่างเอ็นดู
“เผลอแป๊บเดียวโตเป็นหนุ่มแล้ว อาเห็นเราครั้งสุดท้ายยังตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย”
“สิบปีแล้วนี่ครับอา อากันต์สบายดีนะครับ”
ยศวีร์พูดยิ้มๆ สีหน้าสลดลงด้วยความรู้สึกผิดที่ครอบครัวมีส่วนทำให้กันต์ต้องอยู่ในสภาพที่ต้องนั่งรถเข็น
“เออ..ขอโทษครับอา สิบปีที่ผ่านมาอาคงลำบากมาก”
“มันเป็นชะตากรรมที่ผ่านเข้ามาทักทายน่ะ มันอาจจะอยู่กับเรานานหน่อย แต่เดี๋ยวมันก็ไป”
“ใช่ครับ..ไม่มีความทุกข์ไหนอยู่กับเราไปตลอดชีวิตหรอกครับ”
ระบิลพูดอย่างเข้าใจชีวิต ยศวีร์ยิ้มออกมาได้ เนติมาพูดอย่างมั่นใจ
“แล้วพร้อมที่จะไปไล่ความทุกข์ออกจากชีวิตพวกเรารึยังล่ะคะ”
“อะไรคุณ นี่ยังไม่ลืมอีกเหรอ”
“ลืมได้ไง คืนนี้โอกาสทองของเราแล้วนะ”
“ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็อดได้ลูกเสือนะครับ”
ระบิลหันไปมองกันต์ประมาณอย่างขอความเห็น กันต์ยิ้มอย่างรู้ทันแล้วชิงพูด
“ถ้าแข้งขาผมดี ผมก็จะเข้าไปเหมือนกัน รีบไปรีบมาเถอะ เดี๋ยวอาจันทร์เขาตื่นขึ้นมาเห็นเรื่องจะยาว”
“พี่ดล” อนงค์เรียกด้วยความเป็นห่วง ยศวีร์ยิ้มอย่างมั่นใจ
“ไม่ต้องห่วงน่าอ้อ พี่เข้าไปแป๊บเดียวเอง”
“ใครว่าดลจะเข้าไปเหรอ”
เนติมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันมาถามยศวีร์ที่มองเนติมาด้วยความสงสัย
ยศวีร์เดินตามเนติมาออกมาจากบ้านกันต์แล้วถามอย่างสงสัย
“ทำไมล่ะพี่เนติ์ ผมจะได้ไปช่วยหาไงครับ”
“พี่ไปกับคุณระบิล คล่องตัวกว่า” เนติมาบอก
ระบิลเดินตามหลังออกมาพร้อมกับอนงค์ก็อดขำในคำพูดของเนติมาไม่ได้ เนติมามองค้อนให้ขวับใหญ่
“หัวเราะอะไร”
“ฮ่าๆ คล่องตัวกว่า เลียนแบบกันเห็นๆ”
เนติมานึกขึ้นได้ก็พยายามกลบเกลื่อนอย่างรักษาฟอร์ม ก่อนหันไปพูดกับยศวีร์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่เหลือน้องชายอยู่คนเดียวนะ พี่ไม่ยอมให้น้องชายพี่ไปเสี่ยงเด็ดขาด”
“แต่...”
“ถ้าไม่เจอ พี่จะรีบกลับออกมา”
“อ้อว่าเชื่อพี่เนติ์ดีกว่านะจ๊ะ”
อ้อเอื้อมมือไปจับมือยศวีร์ด้วยความเป็นห่วง ยศวีร์ถอนใจอย่างจำนน
“แล้ว..พี่เนติ์จะเข้าไปยังไงครับ”
บริเวณกำแพงบ้านกันต์ ระบิลค่อยๆโผล่ขึ้นมามองบริเวณหลังบ้านอิสราวัชรด้วยความระมัดระวัง ลูกน้อง 3 คนของอิทธิหาญเดินไปยังประตูรั้วอย่างสบายอารมณ์
ระบิลหันไปพูดกับเนติมาที่ยืนรออยู่เชิงบันไดที่พาดรั้วพร้อมกับยศวีร์และอนงค์
“ตามผมมาเร็ว”
ระบิลรีบข้ามกำแพงแล้วกระโดดลงไปยังบ้านอิสราวัชรแล้วแอบอยู่หลังพุ่มไม้ เนติมาหันมายิ้มกับยศวีร์ก่อนปีนขึ้นบันไดและข้ามกำแพงไปทันที
ระบิลมองไปรอบๆอย่างระมัดระวังพลางเอื้อมมือไปรับเนติมาที่กำลังพยายามจะไต่กำแพงลงมา ระบิลพูดเบาๆ
“โดดลงมาเลยคุณ..เร็ว”
เนติมาพูดตอบเสียงเบาเช่นกัน
“เดี๋ยวสิ ใจเย็นๆ”
“เย็นอะไรล่ะคุณ เดี๋ยวไอ้ถึกนั่นหันมาเห็นก็เป็นเรื่องหรอก”
“อย่าเร่งได้มั้ย”
“โดดมา เดี๋ยวผมรับคุณเอง เร็ว !”
ระบิลพยายามเร่ง เนติมายังกล้าๆกลัวๆ พลางมองไปที่ลูกน้องอิทธิหาญอย่างระวังตัว
“เร็ว !”
เนติมาสูดหายใจลึกเรียกความมั่นใจ ก่อนตัดสินใจโดดลงมาทันที
ระบิลอ้าแขนรับแต่เสียหลัก เนติมาในอ้อมกอดระบิลล้มลงกับพื้นดินทั้งคู่
“โอ๊ย !”
เนติมาเผลอร้องออกมาแม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่ลูกน้องทั้ง 3 คนของอิทธิหาญชะงักเหมือนได้ยินเสียง ระบิลเร็วกว่ารีบพลิกตัวพาเนติมาหลบไปหลังพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว
“โอ๊ย ! อะไรของนายเนี่ย”
เนติมาโวยอย่างหัวเสียแต่ระบิลรีบเอามือปิดปากเนติมาแล้วกดหัวเนติมาให้แนบกับหน้าของระบิลเพื่อไม่ให้ลูกน้องทั้ง 3 คนเห็น เนติมาตะลึงงันอย่างทำอะไรไม่ถูก ระบิลมองกลุ่มลูกน้องอย่างไม่ไว้ใจ ลูกสามทั้ง 3 คนดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตรงประตูรั้ว
ระบิลถอนใจอย่างโล่งอกปล่อยมือจากเนติมาแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ”
“เออ..ไม่”
เนติมาตั้งสติได้รีบพูดตัดบททันที
“เออ..ฉันว่ารีบเข้าไปข้างในกันเถอะ”
ระบิลจูงมือเนติมาย่องมาหลบอยู่ที่ประตูหลัง ระบิลรีบหยิบพวงกุญแจขึ้นมาพวงหนึ่ง เนติมามองด้วยความสงสัย
“นายมีกุญแจด้วยเหรอ”
ระบิลพูดอวดทันที
“ไม่ใช่กุญแจธรรมดานะคุณ ดึกๆอย่างนี้ต้องกุญแจผี”
“นายนี่สุดยอดจริงๆ”
เนติมาพูดนิ่งๆ ระบิลยิ้มยืดด้วยความภูมิใจ
“เหมือนเจมส์ บอนด์ ใช่มั้ยคุณ”
“เหมือนโจรมากกว่า คนดีๆที่ไหนมีกุญแจผีด้วย น่ากลัวจริงๆ”
“แหม..คุณเล่นแรงนะเนี่ย ผมเคยเป็นตำรวจ ไล่จับโจรก็ต้องฝึกวิชาโจรไว้บ้างสิคุณ พูดจาไม่เข้าหูเดี๋ยวก็ทิ้งให้อยู่คนเดียวซะเลยนี่”
ระบิลบ่นไปเรื่อยพลางเอากุญแจผีที่เตรียมมาไขประตูทันที เนติมามองระบิลด้วยความชื่นชม
ทางเดินภายในบ้านอิสราวัชร มีเพียงไฟดวงเล็กๆที่เปิดไว้เท่านั้น
“ในบ้านดูเหมือนไม่มีใครอยู่”
“อย่าประมาทครับ เคยได้ยินมั้ย ว่าความชั่วมันซ่อนอยู่ในความมืด”
ระบิลหยิบปืนขึ้นมาถือไว้อย่างเตรียมพร้อม เนติมาหยุดมองไปรอบๆด้วยความผูกพัน
“ฉันจากที่นี่ไปสิบปี ทุกอย่างยังดูเหมือนเดิม ยกเว้น...”
“ความสุข ความอบอุ่นใช่มั้ยครับ”
เนติมาพยักหน้าแล้วยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึกก่อนสูดหายใจเรียกความมั่นใจ
“ฉันจะเอาความสุข ความอบอุ่น กลับคืนมาให้บ้านหลังนี้”
“ผมเชื่อว่าคุณทำได้ ผมจะช่วยคุณเอง”
ระบิลพูดอย่างหนักแน่น เนติมายิ้มให้อย่างขอบคุณ
“เราจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดีครับ”
เนติมาคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“ห้องทำงานคุณพ่อ”
ภายในห้องหนังสือบ้านกันต์ ยศวีร์กำลังคลิกดึงภาพจากมุมต่างๆของกล้องวงจรปิดขึ้นมาดู โดยมีอนงค์นั่งอยู่ข้างๆ ทั้งสองคนดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“โอ้โห..ติดรอบบ้านเลยนะครับ”
“คุณระบิลเขามืออาชีพมาก ได้เขามาช่วยทำให้บ้านได้ทั้งความปลอดภัย ได้ทั้งความมีชีวิตชีวาคืนมาตั้งเยอะ”
“คุณระบิลเก่งอย่างนี้ พี่ดลก็ไม่ต้องเป็นห่วงพี่เนติ์แล้วนะจ๊ะ”
“ยังไงพี่ก็ห่วง พี่น่ะอยากตามพี่เนติ์เข้าไปที่บ้านจริงๆนะอ้อ อย่างน้อยจะได้ช่วยพี่เนติ์หา”
“รออยู่นี่แหละดีแล้ว ตามไปให้พี่เนติ์เป็นห่วงเปล่าๆ อีกอย่าง อ้อก็เป็นห่วงพี่ดลเหมือนกันนะจ๊ะ”
เจือจันทร์เดินเข้ามาในห้อง
“คุณยังไม่นอนอีกเหรอคะ”
เจือจันทร์ตะลึงตกใจเมื่อเห็นยศวีร์กับอนงค์นั่งอยู่กับกันต์ เจือจันทร์รีบถามกันต์ทันที
“ใครคะ !”
ภายในห้องทำงานของวิเชียร ในบ้านอิสราวัชร ระบิลใช้พวงกุญแจผีที่ติดมาไขลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือออกมาแล้วใช้ไฟฉายส่อง แต่พบความว่างเปล่า
“ไม่มีเอกสารเหลืออยู่เลย ทางคุณพบอะไรบ้างมั้ยครับ”
เนติมากำลังรื้อตู้หนังสือด้วยสีหน้ายุ่ง
“ที่นี่ก็ไม่มี ตู้เซฟของคุณพ่อก็หายไป สงสัยพวกนั้นเก็บเอาไปทิ้งแล้วแน่ๆ”
ระบิลคิดอะไรอยู่นิดหนึ่งก่อนก้มลงมองพลางเอามือลูบควานหาไปตามที่ต่างๆใต้โต๊ะทำงาน
“นายทำอะไรน่ะ”
“ผมว่าพ่อคุณน่าจะรอบคอบพอที่จะไม่เก็บของสำคัญให้คนหาพบง่ายๆนะครับ...ไม่มี”
เนติมาคิดนิดหนึ่งแล้วบอก
“ไปดูที่ห้องนอนคุณพ่อกันเถอะ”
เมื่อเจือจันทร์ทราบเรื่องว่าระบิลกับเนติมาข้ามไปยังรั้วบ้านอิสราวัชรก็ถอนใจออกมาด้วยความหงุดหงิด
“โอ๊ย..ทำไมชอบหาเรื่องกันอย่างนี้”
“หลานแค่เข้าไปเอาความจริงมาจัดการกับคนชั่วเท่านั้นน่ะคุณ” กันต์พูดอย่างใจเย็น
“แล้วถ้าโดนจับได้ล่ะคุณ ฉันไม่อยากคิดเลยว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน บ้านนั้นทางกฎหมายก็ไม่ใช่บ้านตัวเองแล้ว แล้วถ้ามันเล่นกฎหมู่ล่ะคุณ คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอคะว่า เจ้าอิทธิหาญมันโหดเหี้ยมขนาดไหน”
ยศวีร์กับอนงค์มองหน้ากันด้วยความไม่สบายใจ
“อาจันทร์ใจเย็นๆนะครับ พี่เนิต์มีคุณระบิลดูแล อีกอย่างพี่เนติ์บอกว่าจะรีบกลับออกมาครับ”
“พี่น้องได้มาเจอกันคงโชคดีมากไปมั้ง ถึงไปหาเรื่องให้ต้องพลัดพรากกันอีกรอบ” เจือจันทร์พูดด้วยอารมณ์
“มีอะไรกันเหรอคะ เสียงดังไปถึงข้างบนเลย”
ขวัญชนกค่อยๆเดินเข้ามาในห้องหนังสือ เจือจันทร์รีบไปประคองลูกสาวที่ขายังเจ็บอยู่ด้วยความเป็นห่วงใย
“ขายังเจ็บอยู่เลย ลงมาทำไมลูก”
ขวัญชนกชะงักด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นยศวีร์กับอนงค์นั่งอยู่ด้วย
“พี่ขวัญ”
ยศวีร์จำขวัญชนกได้ทันที ขวัญชนกนิ่งมองอยู่นิดหนึ่งอย่างคุ้นหน้าก่อนนึกได้
“วีร์ !”
ภายในห้องนอนของวิเชียร ลิ้นชักหัวเตียงถูกชักออกมา ด้านในมีซองถุงยางอนามัยอยู่หลายชิ้น
“เจอแต่ไอ้นี่เพียบเลยคุณ”
“ของไอ้บ้าอิทธิหาญแน่ คนปกติเขาคงไม่ตุนไว้ใช้ขนาดนี้หรอก”
“คิดแง่บวกก็ยังดีที่ยังรู้จักป้องกันล่ะคุณ”
“เสื่อม ดูสิยึดบ้านฉันมาอย่างโกงๆไม่เท่าไหร่ จากบ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นกลายเป็นบ้านอบายมุขของมึนเมาเต็มบ้านไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ห้องนอน แถมยังมีคอนดอมตุนไว้อีก ส่อชัดๆ”
เนติมาพูดด้วยความรังเกียจ ระบิลยิ้มอย่างใจเย็นพลางเดินไปเปิดประตูห้องออกไปดูด้านนอกอย่างระวังตัว
“คุณนี่ขี้บ่นใช้ได้เลยนะเนี่ย...ไปดูห้องอื่นกันต่อมั้ยครับ”
ระบิลพาเนติมาเดินมาตามทางที่มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย เนติมาเอื้อมมือไปรั้งระบิลไว้เมื่อเดินผ่านห้องๆหนึ่ง
“เดี๋ยว...”
“อะไรคุณ”
ระบิลถามด้วยความสงสัย เนติมามองไปที่ประตูห้องด้วยความผูกพัน
“มีอะไรในห้องนี้เหรอครับ”
เนติมาถอนใจแล้วบอก
“นี่ห้องนอนฉันเอง” เนติมาพูดด้วยความรู้สึกสลด
ภายในห้องนอนเนติมาปิดไฟมืด ระบิลถือปืนเดินนำเข้ามาอย่างระวังตัว ทั้งสองคนฉายไฟไปรอบๆห้อง เห็นสภาพห้องถูกจัดเรียบร้อย ระบิลมองไปรอบๆอย่างสังเกต
“คุณพ่อคุณอาจเอามาซ่อนไว้ในนี้ก็ได้นะครับ”
ระบิลขยับจะไปค้นห้อง แต่เนติมารั้งไว้
“ไม่ต้องหรอก”
“อ้าว..ทำไมล่ะคุณ”
เนติมามองไปรอบๆห้องแล้วพูดออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
“ห้องถูกตกแต่งใหม่ไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว ถึงคุณพ่อจะเอาเทปมาไว้ในนี้ก็คงถูกเอาไปทิ้งแล้ว”
ระบิลพาเนติมาเดินลงบันไดมาจากชั้นบนมาอย่างระมัดระวัง รอบข้างยังมีเพียงไฟดวงเล็กๆเปิดให้แสงสว่างเพียงเล็กน้อยเช่นเดิม
“ห้องนอนคุณ ห้องนอนคุณดลก็ถูกตกแต่งใหม่หมด ยังมีห้องไหนอีกมั้ยครับที่ควรเข้าไปดู”
“ก็...”
เนติมาพยายามใช้ความคิด แต่จังหวะเดียวนั้นทั้งสองคนก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้นมาจากชั้นบน
“มีคนมา !”
เนติมาชักสีหน้าด้วยความตกใจ ระบิลรีบกวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อหาที่หลบ ก่อนคว้ามือเนติมาทันที
“มานี่ !”
ระบิลพาเนติมาหลบตรงมุมห้องโถงที่มีตู้นาฬิกาเรื่อนใหญ่ตั้งบังอยู่
ลูกน้องอีกคนหนึ่งเดินลงมาพอดีก่อนเดินเลี้ยวจะออกไปนอกบ้าน จังหวะนั้น นาฬิกาที่ระบิลกับเนติมาหลบอยู่ด้านหลังก็ตีบอกเวลาพอดี เนติมาสะดุ้งด้วยความตกใจ ระบิลรีบเอามือปิดปากเนติมาไว้ทันที ลูกน้องคนนั้น สะดุ้งหันขวับมามองที่ตู้นาฬิกา พลางเดินเข้ามาอย่างขัดใจ
ระบิลกับเนติมานิ่งลุ้นเมื่อได้ยินเสียงลูกน้องใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ระบิลกระชับปืนแน่นพร้อมใช้
“มึงนี่ทำกูตกใจอีกแล้วนะ เฮ้อ..ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม ระวังเถอะมึงจะแกล้งทุบให้พัง เสี่ยจะได้เอาไปโยนทิ้งซะที”
ลูกน้องอิทธิหาญคนนั้นพูดอย่างหงุดหงิดก่อนหันหลังเดินออกไปนอกบ้าน
ระบิลค่อยๆชะโงกหน้าออกไปมองเพื่อตรวจความปลอดภัยก่อนถอนใจออกมาอย่างโล่งอก รีบปล่อยมือที่ปิดปากเนติมาทันที
“เฮ้อ..นาฬิกาเรือนนี้เกือบเรียกแขกแล้วมั้ยล่ะ”
“นาฬิกาเรือนนี้ของคุณพ่อฉันเองแหละ”
เนติมาพูดพลางเอื้อมมือไปสัมผัสตู้นาฬิกาด้วยความคิดถึงพ่อ
“คุณพ่อรักนาฬิกาเรือนนี้มาก”
เนติมาละสายตาจากตู้นาฬิกามองไปยังกลางห้องโถง เนติมาเจ็บแปลบขึ้นมาในความรู้สึกทันที ขณะที่ระบิลมองเนติมาด้วยความสงสัย
“ผมว่ารีบไปจากตรงนี้เถอะครับ คุณ...”
“คุณพ่อกับคุณแม่ฉันเสียตรงนี้”
“อะไรนะครับ”
ระบิลไม่ทันฟังในสิ่งที่ได้ยินเนติมาพูด เนติมามองไปยังกลางห้องโถงแล้วคิดถึงอดีตที่แสนเจ็บปวด
เหตุการณ์ครั้งนั้น พงษ์เลิศลงนั่งบนโซฟาหรูอย่างใจเย็น มองวิเชียรกับพรรณศรีที่ถูกมัดไม่ไพล่หลังและมัดปากไว้อยู่ที่พื้น ใบหน้าของวิเชียรมีร่องรอยถูกซ้อม โดยมีปานยืนคุมอยู่ไม่ห่าง รอบๆ ห้องถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย
ทนง และชูศักดิ์ ปรี่ลงมาจากบันไดชั้นบน รีบเข้ามารายงานพงษ์เลิศทันที
“หาจนทั่วแล้วไม่พบเลยครับนาย”
พงษ์เลิศหันมามองวิเชียรอย่างหงุดหงิดพลางลุกเดินเข้ามาหาพร้อมพยักหน้าบอกปานอย่างรู้กัน ปานกระตุกผ้าที่ปิดปากวิเชียรออก ก่อนพงษ์เลิศจะถามเสียงเข้ม
“ฉันไม่อยากเสียเวลากับแกมากนักนะ ของอยู่ไหน !”
วิเชียรมองพงษ์เลิศอย่างไม่เกรงกลัว
“ของที่แกอยากได้ ฉันโยนลงไปในนรกแล้ว ถ้าแกอยากได้ ก็ตามลงไปเอาสิ”
พงษ์เลิศชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนยิ้มออกมาอย่างใจเย็น หันไปพยักหน้าให้โปรยอย่างรู้กัน
โปรยพยักหน้ารับคำก่อนปรี่เข้าไปกระชากผมพรรณศรีดึงขึ้นมา พรรณศรีพยายามดิ้นด้วยความเจ็บปวด
“มานี่ !”
“คุณ..โอ๊ย !”
วิเชียรทะลึ่งพรวดจะลุกขึ้น แต่โดนปานเตะเข้าที่ท้องจนจุกล้มลงไปกองกับพื้น ปานเอาผ้าผูกปากวิเชียรอีกครั้ง ทนงปรี่เข้าตบหน้าพรรณศรีจนเลือดกลบปาก แล้วชกเข้าที่ท้องอย่างจัง ก่อนโปรยจะปล่อยมือจากพรรณศรี ร่างของพรรณศรีร่วงลงกองกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
วิเชียรมองพรรณศรีด้วยความสงสารจับใจ พงษ์เลิศเข้าไปพูดกับวิเชียรอย่างเลือดเย็น
“ทำกับแก อย่างมากแกก็เจ็บตัว แต่ทำกับคนที่แกรัก แกเจ็บไปถึงข้างใน มันสะใจ ฉันกว่า ฮ่าๆ ในเมื่อแกไม่ยอมบอก ว่าของที่ฉันต้องการอยู่ที่ไหน ฉันก็ไม่บังคับอะไรแกล่ะ ฉันรู้ว่าความลับไม่มีวันตาย แต่คนที่กุมความลับ มันตายเป็น !”
พรรณศรีที่พยายามกระเสือกกระสนพลิกตัวกลับขึ้นมาต้องชะงักด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อเห็นเนติมายืนช็อกด้วยความตกใจอยู่ที่มุมหนึ่งของสวนหย่อมหน้าบ้าน พรรณศรีพยายามส่งสายตาบอกลูกสาวประมาณว่าอย่าเข้ามา
“ฉันจะไปรอในรถ”
“ครับเสี่ย”
ทนงรับปากขันแข็งพลางหยิบปืนขึ้นมาแล้วจัดการสวมลำกล้องเก็บเสียงด้วยความชำนาญ
เนติมา น้ำตาไหลออกมาด้วยความคิดถึงพ่อและแม่
“ของที่พวกนั้นพยายามเค้นจากคุณพ่ออาจเป็นเทปลับที่เรากำลังตามหาอยู่ก็ได้นะ”
ระบิลมองไปรอบๆอย่างระวังตัว ก่อนขยับเข้าไปหาเนติมาด้วยความเข้าใจ
“คุณ...”
ระบิลมองเนติมาด้วยความสงสารจับใจก่อนจะค่อยๆดึงเนติมาเข้ามากอดปลอบ เนติมากระชับกอดระบิลด้วยความเศร้า
ภายในห้องหนังสือบ้านกันต์ ยศวีร์ อนงค์ และขวัญชนกนั่งนิ่งด้วยความรู้สึกเริ่มไม่ค่อยสบายใจ เจือจันทร์เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจแล้วรีบหันไปพูดกับกันต์ทันที
“หายไปตั้งนานแล้ว ป่านนี้ยังไม่กลับอีก ฉันว่าไม่น่าไว้ใจแล้วนะคะคุณ”
“รออีกนิดน่าคุณ ถ้ามีเรื่องอะไรป่านนี้บ้านโน้นคงเอะอะโวยวายกันแล้ว”
“แย่แล้ว !” ขวัญชนกพูดขึ้นด้วยความตกใจเมื่อมองไปที่ภาพของกล้องวงจรปิด
“อะไรครับพี่ขวัญ”
ทุกคนมองตามขวัญชนกไปที่ภาพกล้องวงจรปิดเห็นรถของอิทธิหาญกำลังจะขับผ่านหน้าบ้านกันต์ไปยังบ้านอิสราวัชร
“ไหนหนูเนติ์ว่าคืนนี้อิทธิหาญไม่กลับบ้านไง”
กันต์พูดด้วยความตกใจ ยศวีร์พยายามรวบรวมสติคิดหาทางออกแล้ววิ่งพรวดออกไปทันทีท่ามกลางความตกใจของทุกคน
“เดี๋ยวผมมา”
“อย่านะจ๊ะพี่ดล !”
โถงบ้านอิสราวัชร ระบิลปาดน้ำตาให้เนติมาอย่างอ่อนโยน
“สบายใจขึ้นบ้างแล้วใช่มั้ยครับ”
เนติมายิ้มอายๆแล้วบอก
“อย่าไปบอกใครนะว่าฉันร้องไห้ขนาดนี้ เสียภาพพจน์แย่”
“อย่าเพิ่งห่วงภาพตอนนี้เลยคุณ รีบหาเทปลับกันดีกว่า จะได้รีบกลับ ที่นี่ถึงจะเป็นบ้านคุณ แต่นาทีนี้อยู่นานๆไม่สนุกแน่”
เนติมาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ทั้งสองคนขยับจะเดินไปแต่ต้องชะงักเมื่อแสงไฟหน้ารถสาดเข้ามาภายในบ้าน ระบิลรีบปรี่ไปแง้มผ้าม่านออกดู สีหน้าของระบิลจริงจังขึ้นมาทันที
“ไม่สนุกจริงๆด้วยคุณ”
“อะไรเหรอ”
เนติมาตามระบิลเข้ามามองแล้วตกใจเมื่อเห็นรถของอิทธิหาญจอดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน และกำลังจอดคุยอะไรบางอย่างอยู่กับลูกน้องคนที่ 3และ 4 อยู่
ระบิลกับเนติมาย่องออกมาจากในตัวบ้านอย่างระมัดระวัง
“ไหนว่ามันไม่กลับมาไง”
“ก็ฉันได้ยินมาอย่างนั้นนี่”
เนติมาจะเดินต่อไปที่กำแพง แต่แสงไฟหน้ารถยังสาดมาอยู่ ระบิลรีบรั้งไว้ทันที
“ระวังคุณ ขืนปีนไปตอนนี้เสร็จมันแน่”
“เอาไงดีล่ะ จะรอให้พวกนั้นเข้ามาถึงตัวบ้านก็เสร็จเหมือนกันนะ”
ระบิลกับเนติมานิ่งคิดพยายามหาทางออก แต่ทั้งสองคนต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงยศวีร์ดังมาจากทางหน้าบ้าน
“เดี๋ยวครับพี่”
ระบิลกับเนติมาแอบมองออกไปหน้าบ้านเห็นยศวีร์ยืนหอบอยู่ก็ตกใจ “ดล!”
โปรดติดตาม "หงส์สะบัดลาย" ตอนต่อไป