xs
xsm
sm
md
lg

หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 2

บนหอไอเฟล ยามเย็น ระบิลยืนมองวิวตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนหยิบรูปของเอมมิกาขึ้นมามองแล้วยิ้มอย่างเศร้าๆ

“พี่พาหนูมาเที่ยวส่งท้ายนะคะเอม ไม่รู้เมื่อไหร่พี่จะมีโอกาสพาหนูมาเที่ยวไกลๆอย่างนี้อีกเมื่อไหร่ แต่พี่คิดว่าหนูคงคิดถึงเมืองไทยแล้วล่ะเนอะ แล้วพี่จะพาหนูไปร้านประจำที่เราชอบไปนั่งเล่นกันนะคะเอม”
ระบิลถอนหายใจก่อนตัดใจเก็บรูปคนรักเก่าเข้าไปในเสื้อ ระบิลมองไปรอบๆเหมือนจะสั่งลาสถานที่
“พร้อมจะกลับไปอยู่บนโลกแห่งความจริงแล้วใช่มั้ยระบิล”


เครื่องบินโดยสารบินอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ จากกรุงปารีสถึงสนามบินสุวรรณภูมิยามรุ่งเช้า และเครื่องบินกำลังร่อนลงสู่รันเวย์ เพื่อพาทุกชีวิตเข้า กรุงเทพมหานคร สู่ประเทศไทย

ภายในคฤหาน์หรูหรา โอ่อ่าของธำรงในประเทศไทย ตัวบ้านหลังใหญ่โตสวยงามสมฐานะนักธุรกิจใหญ่ แม่บ้าน 3-4 คนยืนรอรับอยู่ รถตู้อย่างดีของธำรงวิ่งเข้ามาจอด ประตูรถเลื่อนออก ระบิล เนติมา ศิวัช และธำรง ลงมาจากรถ โดยบรรดาแม่บ้านที่ยืนรออยู่ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
ระบิลมองไปรอบๆบ้านใหญ่โตอย่างสำรวจ ขณะที่ศิวัชกับธำรงมองไปรอบๆบ้านด้วยความพึงพอใจ
“บ้านเรายังเหมือนเดิมนะครับคุณพ่อ”
“เพราะพ่อมั่นใจว่า วันหนึ่งเราต้องกลับมาอยู่ที่นี่ ก็เลยสั่งคนดูแลทุกอย่างให้เหมือนเดิม”
ระบิลหันไปเห็นเนติมากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเศร้า
“คุณไม่สบายรึเปล่าครับ”
“เป็นอะไรไปจ๊ะเนติ์” ศิวัชถาม
เนติมาฝืนยิ้มออกมาอย่างเศร้าๆพลางถอนใจแล้วบอก
“เนติ์แค่คิดถึงบ้าน คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ คิดถึงน้องน่ะค่ะ”
“วันนี้กลับมาที่นี่แล้ว หนูจะได้โอกาสทวงคืนวันที่สวยงามของชีวิตคืนมาแล้วนะหนูเนติ์ แล้วอาก็เชื่อว่าหนูทำได้”
“พี่สัญญาว่าพี่จะอยู่เคียงข้างเนติ์ จนกว่าเนติ์จะได้ทุกอย่างคืนมา”
ศิวัชพูดพลางกระชับกุมมือเนติมาอย่างให้กำลังใจ เนติมาครุ่นคิดอยู่นิดหนึ่งก่อนพูดด้วยความมั่นใจ
“ทุกอย่าง…โดยเฉพาะความยุติธรรม”

แม่บ้านนำกระเป๋าเสื้อผ้าของเนติมาเข้ามาวางในห้อง ศิวัชเดินนำพาเนติมาเข้ามาในห้องที่กว้างขวาง
และถูกตกแต่งอย่างสวยงาม
“เนติ์นอนห้องนี้นะจ๊ะ อยากได้อะไรก็เรียกแม่บ้านได้ตลอดเวลา บ้านนี้ก็เหมือนบ้านของเนติ์นะ”
เนติมามองไปรอบๆห้องอย่างครุ่นคิด ก่อนหันไปพูดกับศิวัชด้วยความไม่สบายใจนัก
“พี่ศิวัชคะ เนติ์...”

ศิวัชเดินออกมาจากในตัวบ้านมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก ระบิลกับเนติมายืนรออยู่ข้างรถที่จอดรออยู่แล้ว เนติมาถามศิวัชด้วยความเกรงใจ
“คุณอาว่ายังไงบ้างคะ”
“คุณพ่ออนุญาตแล้ว แต่พี่ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเนติ์ต้อง...ทั้งๆที่ตอนอยู่ที่ฝรั่งเศสเราก็อยู่บ้านเดียวกันก็ไม่เห็นมีปัญหา” ศิวัชพูดพลางถอนใจ
“แต่ที่นี่เมืองไทยนะคะ”
เนติมาพูดพลางเอื้อมมือไปจับมือศิวัชอย่างใจเย็น
“เนติ์ไม่อยากให้ใครเขาเอาไปพูดได้ว่าเราอยู่ด้วยกันก่อนแต่ง ที่สำคัญพี่ศิวัชกำลังจะลงสนามการเมือง เรื่องพวกนี้อาจเป็นจุดอ่อนให้คู่ต่อสู้โจมตีได้นะคะ”
“แต่เราบริสุทธิ์ใจ”
“แล้วใครเขาจะเชื่อล่ะคะว่าเราแยกห้องนอนกัน ปากคน..ทำลายคนมาเยอะแล้วนะคะ”
ศิวัชคิดแล้วก็ต้องถอนใจพยักหน้าอย่างยอมจำนนในเหตุผล ก่อนจะมองไปรอบๆ
“แล้วคนขับรถยังไม่มาอีกเหรอ”
“มายืนอยู่ตรงนี้ก่อนใครเพื่อนเลยครับผม”
ระบิลยิ้มพลางชูกกุญแจรถให้ดู ศิวัชมองอย่างไม่เข้าใจ
“เฮ้ย..คุณระบิล คุณเป็นบอดี้การ์ดนะ ไม่ใช่คนขับรถ”
“ดื้อมากค่ะ มาถึงก็แย่งกุญแจคนขับรถมาไว้ซะเองเลย”
ระบิลบอกเนติมา
“ผมขับเองคล่องตัวกว่าครับ อย่าลืมสิครับ ถึงเมืองไทยแล้วผมก็รับหน้าที่บอดี้การ์ดให้คุณเต็มตัว มีอะไรจะได้ซิ่งหนีตายได้ดังใจหน่อย ที่สำคัญ ฮะฮ่า..”
ระบิลกระชับชุดสูทสีดำใหม่เอี่ยมดูสมาร์ทอวดอย่างโอเว่อร์ พลางทำเสียงหล่อ
“ขอใส่ชุดประจำตำแหน่งที่คุณธำรงให้มาเนี่ย ออกร่อนโชว์ชาวบ้านหน่อยนะฮ๊าฟ ฮะฮ่า”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี จนเนติมากับศิวัชอดยิ้มออกมาไม่ได้

บริเวณทางเดินเท้าใกล้สี่แยก ดลกับอนงค์เดินคุยกันมา รอบๆมีผู้คนเดินไปมาอย่างขวักไขว่
“ทำไมต้องหางานพิเศษทำมากขนาดนี้ด้วยล่ะพี่ดล”
“ก็จะได้ไม่ต้องรบกวนเงินพ่อมากไงล่ะอ้อ อ้อก็อย่าไปบอกพ่อนะ ว่าพี่หางานพิเศษทำ เดี๋ยวพ่อจะไม่สบายใจ”
“ให้อ้อช่วยทำงานอีกคนนะพี่ดลนะ”
อนงค์ยิ้มพูดด้วยความเต็มใจ แต่ดลตอบอย่างจริงจัง
“ไม่ได้...”
“ทำไมล่ะจ๊ะพี่ดลจะได้ช่วยกันไง ไหนว่าเราสองคนจะไม่ทิ้งกันไง แล้วจะให้อ้อทิ้งพี่ดลให้ทำงานคนเดียวงั้นเหรอ”
“ยังไงอ้อก็ต้องเรียนให้เต็มที่จะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ นั่นแหละของขวัญที่มีค่าที่สุดที่อ้อจะให้พ่อเขาแล้วนะรู้มั๊ย”
อนงค์คิดนิดหนึ่ง แล้วยิ้มออกมาก่อนตอบ
“จ้ะพี่ดล”
“ส่วนเรื่องทำงานพี่เอาเวลาหลังเลิกเรียนที่มหาวิทยาลัยมาทำ รับรองสบายมาก”
ดลมองไปทางหนึ่งและรีบคว้ามืออ้อวิ่งออกไปทันที
“ไป..ไฟแดงแล้ว รีบข้ามถนนเถอะอ้อ”

ระบิลประจำที่นั่งคนขับนั่งฟังเพลงรอสัญญาณไฟเขียวอย่างใจเย็น ระบิลชำเลืองไปที่เบาะหลัง เห็นเนติมากับศิวัชกำลังเลือกแบบบ้านจากโบรชัวร์หลายชุด
“เป็นไงครับ มีถูกใจบ้างมั๊ยครับ”
“ถูกใจพี่ศิวัช แต่ไม่ถูกใจฉันน่ะสิ”
“ก็นี่เนติ์ชอบมันอยู่ไกลบ้านพี่นี่จ๊ะ อีกอย่างที่เนติ์ตระเวนดูมาก็มีแต่บ้านเล็กๆทั้งนั้น”
“แหม..ก็เนติ์อยู่คนเดียวนี่คะ อย่างมากก็เด็กรับใช้อีกแค่คนสองคน แล้วก็..นาย”
เนติมาพยักหน้าไปทางระบิล ระบิลยังไม่ทันตั้งหลัก นิ่วหน้าอย่างงงๆ
“ผม !”
“อ้าว..ถ้านายไม่ไปอยู่กับฉัน แล้วเวลาฉันฉันเกิดเรื่อง นายจะบินไปช่วย ฉันทันเหรอจ๊ะ”
“เออ..จริง รับแซ่บครับเจ้านาย อยู่ไหนอยู่กันครับผม”
ระบิลพูดทีเล่นทีจริงทำเอาเนติมาต้องค้อนขวับด้วยความหมั่นไส้ จังหวะเดียวกันดลกับอนงค์เดินข้ามถนนผ่านหน้ารถมาพอดี เนติมาชะงักมองตามไปทันทีด้วยความคุ้นตา
“มองอะไรเหรอจ๊ะเนติ์”
“เด็กหนุ่มคนนั้นค่ะ คุ้นหน้าจัง”
“ไหน...”
ระบิลกับศิวัชมองตามที่เนติมาชี้ไป แต่เห็นดลไม่ถนัดนักเพราะมีคนข้ามถนนอีกหลายคนมาบังไว้
สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ระบิลสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแตรรถคันหลังบีบไล่จึงรีบออกรถทันที
เนติมาหันมองตามดลไป แต่เห็นเพียงแค่หลังดลกับอนงค์ไวๆก่อนจะหายไปกับฝูงชน

ที่สำนักงานขายหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ระบิลกำลังยืนดูโมเดลบ้านจัดสรรอยู่อย่างไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะหันไปมองเนติมากับศิวัชที่กำลังยืนคุยอยู่กับสาวพนักงานขายอยู่มุมหนึ่งแล้วทั้งสองคนจะเดินกลับมาหาระบิล
เนติมากับศิวัชต่างมีสีหน้าเซ็ง จนระบิลเดาเหตุการณ์ออกจึงพูดยิ้มๆ
“ดูจากโหงวเฮ้งแล้ว สงสัยเรายังต้องสัญจรกันต่อไปใช่มั๊ยครับ”
“ก็เนติ์น่ะสิ ไม่ชอบที่นี่”
“ฉันเกรงใจนายจัง เอาไว้เรามาดูกันวันหลังก็ได้นะ”
“โอ๊ย..ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องเกรงใจ ดูซะให้เสร็จ จะได้ย้ายเข้ามาอยู่ จะได้เอาเวลาไปทำธุระอย่างอื่น เออ..เมื่อกี้ผมเห็นด้านโน้นมีอีกตั้งหลายหมู่บ้าน เราลองไปดูกันมั๊ยครับ”
“อืม..ไปสิครับ”
ศิวัชกับเนติมาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่จังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือของศิวัชก็ดังขึ้น ศิวัชดูเบอร์แล้วรีบรับสายทันที
“ครับคุณพ่อ...”

บริเวณริมถนหน้าหมู่บ้านจัดสรร ระบิลกับเนติมากำลังส่งศิวัชขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่แล้ว ศิวัชหันมาพูดกับเนติมาอย่างรู้สึกผิด
“พี่ขอโทษนะเนติ์ คุณพ่อมีธุระสำคัญจริงๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ศิวัช ไปทำธุระเถอะ เนติ์ดูเองได้ พี่ศิวัชนั่นแหละกลับเองได้แน่เหรอ เนติ์ว่าวนรถไปส่งพี่ก่อนดีกว่านะคะ”
เนติมายิ้มอย่างเข้าใจ ศิวัชรู้สึกสบายใจขึ้นก่อนหันไปพูดกับระบิล
“เกรงใจคุณระบิลเขา แท็กซี่นี่แหละสะดวกที่สุดแล้ว... ฝากเนติ์ด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวจะเอาบ้านสวยๆไปฝากเป็นของแถม”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี ศิวัชยิ้มอย่างขอบคุณ ก่อนขึ้นรถแท็กซี่ไป ระบิลหันมายิ้มให้เนติมาพลางเปิดประตูด้านหลังให้
“เชิญครับ...”

ระบิลขับรถอยู่ขณะชำเลืองไปยังที่นั่งข้างๆ เห็นเนติมานั่งดูโบรชัวร์หมู่บ้านจัดสรรอยู่
“ให้นั่งข้างหลังไม่นั่ง เดี๋ยวใครเขาเห็นจะว่าผมลามปามนายจ้างเอานะครับ”
“ก็นายไม่ใช่คนขับรถฉันนี่ จะให้ฉันไปนั่งข้างหลังได้ยังไง อืม..บ้านหลังนี้ พี่ศิวัชเขา ไม่ชอบ แต่ฉันว่ามันสวยดีออก นี่..นายว่าบ้านหลังนี้เป็นไง”
เนติมายื่นแบบบ้านในโบรชัวร์ให้ระบิลดู รูปบ้านในโบรชัวร์ในมือของเนติมาเป็นบ้านเดี่ยวดูอบอุ่นไม่หรูหราฟู่ฟ่านัก

ภายในห้องนั่งเล่นบ้านตัวอย่าง พนักงานขายกำลังอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับตัวบ้านให้เนติมาฟัง
“บ้านรุ่นนี้เรามีสร้างรอพร้อมอยู่ได้เลย เราออกแบบให้มีหน้าต่างกว้าง เพื่ออากาศจะได้ถ่ายเทสะดวกด้วยนะคะ”
ระบิลเดินออกมาจากห้องอีกด้านหนึ่ง

“ด้านหลังมีพื้นที่เหลือ เราลงชมพู่มะเหมี่ยวซะต้นนะเยี่ยมเลย” ระบิลว่า

ภายในห้องน้ำตัวอย่าง ระบิลกำลังก้มๆมองกระเบื้องปูพื้นห้องน้ำอยู่อย่างตั้งใจ เนติมาเดินมาจากด้านหลัง ชะโงกมองแล้วถามระบิลด้วยความสงสัย

“นายทำอะไรน่ะ”
“ดูกระเบื้องน่ะสิครับ”
“เป็นไง ใช้ได้มั๊ย”
“ก็โอเคนะครับ ไม่ลื่น แห้งง่าย ผมห่วงน่ะเผื่อเวลาคุณกระดูกพรุน แล้วมาลื่นล้มในนี้จะยุ่ง”
ระบิลตอบหน้ากวนๆ เนติมาชะงักนิดหนึ่งพลางมองค้อนระบิลก่อนตีระบิลด้วยความรู้สึกทั้งอายพนักงานขาย ทั้งหมั่นไส้
“โอ๊ย..อะไรเนี่ย”
“ฉันยังไม่แก่ย่ะ กระดูกจะได้พรุน”
เนติมาเดินเลี่ยงออกไปทันที ขณะที่ระบิลอดขำออกมาไม่ได้ พนักงานขายที่ยืนมองอยู่ด้านนอก มองระบิลกับเนติมาด้วยความเอ็นดูคิดว่าทั้งสองคนเป็นคู่รักกัน

ศิวัชเดินคุยโทรศัพท์อย่างเร่งรีบที่บริเวณริมสระน้ำในคฤหาสน์หรูของธำรง
“ผมมาถึงแล้วครับ คุณพ่ออยู่ตรงไหนครับ...ห้องประชุมเหรอครับ ได้ครับผมจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”
ศิวัชกำลังจะเลี้ยวไปทางหนึ่ง แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่ปฏิพรเดินสวนออกมาพอดีทำให้ทั้งสองคนชนกันเข้าอย่างจัง จนต้องร้อง “โอ๊ย” ด้วยกันทั้งคู่
ปฏิพรเสียหลักล้มลงไปในสระว่ายน้ำทันที ศิวัชตั้งหลักได้รีบกระโดดน้ำตามลงไปอย่างรวดเร็ว
“คุณ !”
“ช่วยด้วย !”
ศิวัชว่ายน้ำตรงเข้าไปรวบร่างของปฏิพรไว้ ด้วยความตกใจปฏิพรรีบวาดแขนกอดศิวัชไว้ทันทีเช่นกัน
“คุณ...คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ”

พอปฏิพรตั้งสติได้หันมาเห็นใบหน้าศิวัชชัดๆ ก็รู้สึกหลงเสน่ห์ขึ้นมาทันที ปฏิพรช้อนตาหลบเอียงอายหว่านเสน่ห์ทันควัน

แม่บ้านเปิดประตูห้องเข้ามา ปฏิพรในชุดคลุมอาบน้ำเดินตามเข้ามาในห้องประชุมคฤหาสน์ของธำรงอย่างอายๆ ก่อนลงไปนั่งข้างๆ ศิวัช

“รอแม่บ้านเขาซักรีดชุดหนูแป๊บนะลูก” ธำรงบอก
ปฏิพรยิ้มรับแล้วบอก
“ไม่มีปัญหาค่ะคุณอา”
ศิวัชเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วมองปฏิพรอย่างรู้สึกผิด
“ขอโทษอีกครั้งนะครับ พี่รีบไปหน่อยเลยไม่ทันระวัง”
“ช่างมันเถอะค่ะ ถือว่าเป็นการแนะนำตัวแบบใหม่ก็แล้วกันนะคะพี่ศิวัช”
ปฏิพรตอบอย่างอายๆ ทำให้ศิวัชยิ้มออกมาได้ ขณะที่ธำรงกับนายพลทวีที่นั่งมองอยู่ชำเลืองสายตามามองกันแล้วยิ้มๆอย่างเข้าใจความหมาย เพราะทั้งสองคนอยากจับให้ศิวัชกับปฏิพรคู่กันอยู่แล้ว
“ตี้น่ะเขาเพิ่งเรียนจบกลับมาจากอเมริกา ความจริงเราสองคนเคยเจอกันตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้ว แต่คงจำกันไม่ได้”
“ตี้จำได้ค่ะ ตี้จำตาพี่ศิวัชได้”
ปฏิพรหันไปจ้องสบตาหวานใส่ศิวัชอย่างไม่กลัวสายตา ศิวัชยิ้มแต่ยังไม่คิดอะไรมาก

ทางด้านระบิลกับเนติมายังคงชมห้องนอนตัวอย่าง เตียงเดี่ยวขนาดใหญ่มีเครื่องนอนปูพร้อม พนักงานขายพาระบิลกับเนติมาเข้ามาชม ทั้งสองคนมองรอบๆห้องอย่างพึงพอใจ
“อืม..บ้านนี้ก็สวยดีนะคะ”
“วัสดุดี ทำเลเยี่ยม โอเคมั้ยล่ะคุณ”
เนติมาครุ่นคิดอย่างเห็นด้วยกับระบิล ขณะที่ระบิลตรงเข้าไปนั่งบนเตียงนอน แล้วลองกระเด้งตัวเล่นเบาๆ
“อืม..ที่นอนเขาดีด้วยนะ คุณลองมานั่งดูสิเร็ว”
“นายจะบ้าเหรอ เขาขายบ้าน เขาไม่ได้ขายที่นอนนะ”
เนติมาพูดค้านแต่ระบิลไม่สนใจกลับดึงแขนเนติมามานั่งข้างๆพิสูจน์ความนุ่มของที่นอนจนได้
พนักงานขายหันมาพูดยิ้มๆทันที
“แต่ตอนนี้เรามีโปรโมชั่น ซื้อบ้านแถมเฟอร์นิเจอร์ แถมแอร์ พร้อมอยู่ทันทีเลยนะคะ”
“นั่นไง ! อย่าเสียเวลาคิดคุณ เนี่ยนาทีทองชัดๆ งานนี้ซื้อก่อนได้ก่อน ผ่อนนานแค่ไหนค่อยว่าอีกทีหนึ่งคุณ”
ระบิลพยายามเร่งเร้าเนติมาอย่างสนุกสนานให้ตัดสินใจ ขณะที่พนักงานขายพูดอย่างยิ้มๆ
“โปรโมชั่นนี้ พิเศษสำหรับคู่แต่งงานใหม่อย่างคุณสองคนโดยเฉพาะเลยนะคะW
ระบิลกับเนติมาได้ยินถึงกับชะงักด้วยความตกใจ
“อะ..อะไรนะครับ”
“คู่แต่งงานใหม่” เนติมาทวนคำย้ำ
“ค่ะ..พิเศษสำหรับคู่คุณคู่เดียวเลยนะคะ”
“แต่...”
ขณะที่เนติมากำลังพยายามอธิบายความจริง ระบิลก็พูดแทรกขึ้นมาทันที
“โอเคครับ!”

เนติมาหันขวับมามองระบิลด้วยความตกใจ ขณะระบิลพยายามขยิบตาบอกเนติมาเป็นนัย

เนติมาเดินหน้าง้ำออกมาจากสำนักงานขาย ตรงมายังรถที่จอดอยู่ โดยมีระบิลเร่งฝีเท้าตามออกมาและพยายามอธิบาย

“เฮ้ย..คุณ ทำไมไม่เอาล่ะ ก็ไหนว่าชอบไง”
“จะบ้าเหรอ จู่ๆจะให้ฉันบอกเขาว่าฉันเป็นภรรยานายได้ไง..บ้า !”
“โธ่..แค่อำเนียนๆเอาของแถม คุณไม่เห็นเหรอแถมเยอะซะขนาดนั้น เป็นแสนมั้งนั่น”
“แต่ฉันไม่ชอบโกงใคร”
“โกงที่ไหน มันเป็นโปรโมชั่นครับ”
“แต่มันเป็นโปรโมชั่นของคู่แต่งงาน แล้วฉันก็ไม่ได้แต่งงานกับนาย เข้าใจมั้ย”
เนติมาพูดอย่างหงุดหงิดทำเอาระบิลถอนหายใจด้วยความเซ็ง
“แล้วฉันไม่ใช่คนเห็นแก่ของแถมถึงขนาด…”
เนติมาขวยอายแล้วพูดต่อ
“นายนี่บ้าที่สุดเลย เขาเข้าใจว่าฉันแต่งงานกับนายกันทั้งสำนักงานขายแล้วเห็นมั้ย”
เนติมาชี้ให้ระบิลดูที่สำนักงานขาย เหล่าพนักงานขายหลายคนมายืนออกันที่กระจก มองระบิลกับเนติมาแล้ววิพากษ์วิจารณ์กัน ระบิลพยายามอธิบายอีก
“โธ่..ก็คุณไม่ยอมเนียนกับผม แล้วจู่ๆคุณเดินออกมาอย่างนี้ เขาก็นึกว่าผัว..เออ สามีภรรยาทะเลาะกันสิครับ”
ระบิลคิดนิดนึงแล้วพูดต่อ
“งั้นเอางี้ เดี๋ยวผมไปอธิบายความจริงให้พวกเขารู้เอง”
“ไม่ต้อง ไปได้แล้ว !”
เนติมารั้งแขนของระบิลไว้ ระบิลหันมามองด้วยความสงสัย
“อ้าว..แล้วหมู่บ้านนี้ล่ะครับ”
“ไม่เอาแล้ว..ไป !”
“อ้าว..ไหงงั้นล่ะครับ แล้วจะไปไหนคุณ”
เนติมาเปิดประตูเข้าไปในรถ ขณะที่ระบิลมองตามด้วยความสงสัย ก่อนหันไปโบกมือให้สาวๆ
ในสำนักงานขายแล้วก้าวขึ้นรถไป
บริเวณระเบียงบ้าน พงษ์เลิศกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด
“อะไรนะ ! นี่พวกมันหนีไปแล้วเหรอ ระดมพวกเราตามหามันให้พบ งานนี้ฉันจ่ายไม่อั้น” พงษ์เลิศสั่งเด็ดขาด
“ใครหนีเหรอคะคุณ” เสียงชลกรดังขึ้นถาม
พงษ์เลิศกดตัดสายด้วยความหงุดหงิด ก่อนหันไปหาชลกรที่เดินเข้ามาจากด้านหลัง
“ไอ้ธำรงมันพาครอบครัวแล้วก็ลูกสาวไอ้วิเชียรหนีไปแล้ว”
“โดนไล่ฆ่าขนาดนั้น เป็นฉัน ฉันก็หนีค่ะ สำคัญที่ตอนนี้มันหนีไปอยู่ที่ไหนมากกว่า”
ชลกรพูดด้วยความสงสัย พงษ์เลิศครุ่นคิดด้วยสีหน้าเอาจริง
“อยู่ที่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าวันหนึ่งมันต้องกลับมาแก้แค้นฉันแน่ แต่ฉันไม่มีวันปล่อยให้พวกมันมีวันนั้นเด็ดขาด”

ภายในร้านกาแฟเวลาเย็น ระบิลถือแก้วกาแฟมา 2 แก้ว แก้วหนึ่งให้เนติมา อีกแก้วของตัวเอง
“เห็นมั้ย..บอกแล้วไม่เชื่อ ไปดูอีกตั้งห้าหมู่บ้าน ยังไม่ได้เท่าที่นั่นเลย”
“ไม่ต้องพูดถึงที่นั่นอีกเลยนะ ยังไงฉันก็ไม่มีวันกลับไปเด็ดขาด”
ระบิลมองหน้าเนติมาอย่างขำๆ
“อายล่ะสิ…”
“นี่ !”
เนติมาพูดอย่างหงุดหงิด เพราะรู้สึกอายจริงๆ
“ผมว่าไปซื้อคอนโดฯอยู่ดีกว่ามั้ย ตัวคนเดียวไม่ต้องดูแลมากด้วย”
“ฉันชินกับการอยู่บ้านมาตั้งแต่เกิด จะจับฉันไปใส่ในกล่องสี่เหลี่ยมสูงๆ อย่างนั้น ฉันอึดอัดแย่ ยังไงฉันก็อยากได้บ้าน บ้าน..ของฉัน”
พูดถึงตรงนี้ เนติมาก็รู้สึกสลดขึ้นมาทันทีจนระบิลสังเกตเห็น ระบิลพูดเสียงจริงจังขึ้น
“วันนี้คุณเหนื่อยมากแล้ว ผมว่ากลับไปพักก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที ยังไงคืนนี้ผมจะช่วยหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตให้อีกทาง โอเคมั้ยครับ”
เนติมาคิดนิดหนึ่ง
“นาย...”
“ครับ…”
“ก่อนกลับ นายพาฉันไปที่ๆหนึ่งหน่อยได้มั้ย”
เนติมาพูดอย่างเศร้าๆ ระบิลมองด้วยความสงสัย

ในเวลากลางคืน ศิวัช ธำรง เดินมาส่งปฏิพรกับนายพลทวีที่รถซึ่งจอดรออยู่แล้ว
“ขอบคุณนะคุณธำรง สำหรับอาหารมื้อที่อร่อยที่สุด มื้อหน้าเชิญบ้านผมบ้างนะ”
“ยินดีครับท่าน ผมเองก็ต้องขอบคุณท่านเหมือนกันที่ตอบรับเป็นที่ปรึกษาให้พรรคของผม”
“เพื่อประเทศชาติ ผมอยากเห็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ขึ้นมานำพาประเทศไปสู่ความเจริญจริงๆซะที”
นายพลทวีเอื้อมมือไปตบไหล่ศิวัชอย่างมีเมตตา ศิวัชยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ผมยังต้องเรียนรู้อีกมากครับ”
“คนที่รู้ตัวว่าต้องเรียนรู้นั่นแหละคือคนที่น่าสนับสนุน ไอ้พวกที่ถือดีว่าเก่ง มันก็โตได้แค่คับกะลาที่ครอบมันอยู่เท่านั้นแหละ”
นายพลทวีพูดให้แง่คิด ศิวัชยิ้มและหันไปพูดกับปฏิพร
“แล้วพบกันครับ”
“ค่ะพี่ศิวัช แต่คงไม่พบกันแบบวันนี้นะคะ...เปียกแย่เลย”
ปฏิพรพูดอย่างอารมณ์ดีเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคน ปฏิพรปรายตามองศิวัชอย่างถูกใจ

ในเวลากลางคืน บริเวณซอยหน้าบ้านกันต์ที่อยู่ในความมืด ตัวบ้านเต็มไปด้วยความทรุดโทรมไร้การดูแล สนามหน้าบ้านรกไปด้วยต้นไม้ที่ไม่มีการตกแต่ง ดูหม่นหมองกว่าเดิมมาก ระบิลกับเนติมายังนั่งอยู่ในรถ ระบิลหันมองตามสายตาของเนติมาที่นั่งมองบ้านของกันต์ด้วยความเศร้า จนน้ำตาเอ่อคลอเบ้า
ระบิลหยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นให้ เนติมาพยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างที่สุด
“ขอบใจมาก แต่ไม่เป็นไร ฉันทนได้”
“บ้านใครเหรอคุณ”
“บ้าน..บ้านคนที่ครอบครัวของฉันทำพวกเขา..ตายทั้งเป็น”
เนติมาพูดด้วยความลำบากใจอย่างที่สุด ส่วนระบิลยังคงสงสัยไม่หายก่อนตัดสินใจถาม
“เออ..พอเล่าให้ผมฟังได้มั้ยครับ”

เนติมานิ่งไม่ยอมพูดอะไร แต่สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเศร้า

เนติมาเดินเข้ามาหยุดยืนที่หน้าประตูรั้วบ้านกันต์ที่เปิดแง้มไว้อย่างชั่งใจ โดยมีระบิลเดินตามมาด้วยความเป็นห่วง

“จะทำอะไรน่ะคุณ”
เนติมาไม่ตอบอะไรแต่ขยับไปมองบ้านอิสราวัชรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของตนซึ่งอยู่ติดกับบ้านของกันต์ ดวงตาของเนติมาฉายแววของความเศร้าขึ้นมาทันทีจนระบิลสงสัย
“บ้านใครเหรอครับ”
เนติมาไม่ตอบอะไร แต่กลับเดินไปที่ประตูรั้วบ้านอิสราวัชร ระบิลรีบตามไปด้วยความเป็นห่วงทันที
“จะไปไหนน่ะคุณ !”

เนติมาเดินเข้ามาจับลูกกรงประตูรั้วบ้านอิสราวัชรแล้วมองเข้าไปที่ตัวบ้านด้วยความเศร้า ระบิลตาม
เข้ามามองด้วยความสงสัย
“คุณ...”
เนติมาชะงักเมื่อมองไปที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ความทรงจำในอดีตวัยเด็กผุดเข้ามา ...
พรรณศรีนั่งปลอกผลไม้ใส่จานอยู่บนเสื่อซึ่งปูอยู่ที่สนามหญ้า พลางเงยหน้าดูยศวีร์วิ่งเล่นรถบังคับวิทยุอยู่อย่างมีความสุข
“วีร์พักทานผลไม้ก่อนมั้ยจ๊ะลูก”
“วีร์รอคุณพ่อก่อนครับคุณแม่”
ยศวีร์ตอบด้วยรอยยิ้ม พรรณศรียิ้มอย่างมีความสุข จังหวะเดียวกันที่วิเชียรเดินยิ้มถือถาดของว่างประเภทไส้กรอก - แซนวิสออกมา
“มาแล้วลูก”
“เย้..คุณพ่อมาแล้ว”
“ไม่รู้จะอร่อยเหมือนคุณแม่ทำรึเปล่านะ”
“อร่อยสิครับเพราะคุณพ่อคุณแม่วีร์เก่งที่สุดในโลก งั้นวีร์ทานเลยนะครับ”
วิเชียรกับพรรณศรีหันมายิ้มให้กันอย่างมีความสุข ขณะที่ยศวีร์กำลังหยิบของว่างใส่ปากก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเนติมาดังเข้ามา
“แล้วไม่รอพี่เหรอจ๊ะวีร์”

เนติมาที่อยู่นอกประตูรั้วต้องตะลึง

เมื่อเห็นตัวเองใส่ชุดนักศึกษาเดินเข้ามานั่งข้างๆยศวีร์ ยศวีร์ยิ้มอย่างมีความสุข
“พี่เนติ์”
“พี่ทานด้วยนะจ๊ะ”
ยศวีร์ยิ้มอารมณ์ดี พลางเอาของว่างในมือป้อนให้เนติมา เนติมายิ้มดึงน้องชายเข้ามากอดอย่างมีความสุข วิเชียรกับพรรณศรียิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน ก่อนดึงลูกทั้งสองคนมากอดอย่างอบอุ่น

เนติมายืนยิ้มมองภาพในความนึกคิดของตัวเองอยู่ตรงประตูรั้วอย่างมีความสุข ระบิลที่ยืนอยู่ข้างๆชักสีหน้าด้วยความสงสัย
“คุณ....”
เนติมาไม่ตอบ แต่เอื้อมมือไปผลักบานประตูรั้วออก ปรากฏว่าประตูไม่ได้ล็อคไว้ เนติมาเดินเข้าไปด้านในอย่างลืมตัว ขณะที่ระบิลพูดออกมาด้วยความตกใจ
“อ้าว คุณ...เดี๋ยว !”

ภาพความทรงจำผุดขึ้นอีกครั้ง … เนติมาเห็นวิเชียร พรรณศรี ยศวีร์ กำลังนั่งคุยเล่นกันอย่างมีความสุข พลันชะงักเมื่อภาพความสุขตรงหน้าหายวับไป แสงสว่างของกลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืนในปัจจุบันทันที พร้อมๆกับเสียงของลูกน้องอิทธิหาญที่ดังเข้ามา
“เดี๋ยวเสี่ยมาเห็นประตูหน้าไม่ได้ล็อกก็โดนเล่นหรอกเอ็ง”
เนติมาหันขวับไปทางต้นเสียงเห็นเงาตะคุ่มๆของลูกน้องอิทธิหาญ 2 คน เดินออกมาจากหลังบ้าน เนติมาตะลึงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จังหวะเดียวกับระบิลที่ตามมาจากด้านหลัง ดึงตัวเนติมาออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนลูกน้องอิทธิหาญจะเดินออกมาพบเพียงนิดเดียว
“มานี่ !”
ระบิลพาเนติมาออกมาพิงแอบที่กำแพงบ้าน ระบิลถอนใจอย่างโล่งอกพลางหันมามองเนติมาด้วยสายตาตำหนิ
“เกือบเป็นเรื่องแล้วมั้ยล่ะ อยู่ดีๆ เดินเข้าไปในบ้านคนอื่นซะอย่างนั้น”
ระบิลคิดนิดหนึ่งแล้วถามต่อ
“เมื่อกี้คุณเป็นอะไรเหรอครับ ทำไมจู่ๆถึง...”
เนติมาถอนใจออกมาอย่างเศร้าๆ หันมองไปที่บ้านกันต์ ก่อนเดินออกไปทันที
“อ้าว..คุณ จะไปไหนของคุณอีกเนี่ย คุณ !”
ระบิลถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนเดินตามเนติมาออกไป

ภายในบ้านกันต์ ระบิลเดินนำเนติมาเข้ามาในห้องที่มีแต่ความมืด ระบิลหยิบไฟฉายปากกาขึ้นมาส่องให้แสงสว่าง ห้องนั้น...เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไม้สอยยังคงอยู่ครบ ระบิลมองไปรอบๆ
“อยู่ใกล้ๆผมไว้นะคุณ รู้สึกไม่มีใครใช้งานเลยนะคุณ”
ระบิลชี้ให้เนติมาดูเฟอร์นิเจอร์มุมหนึ่งที่มีผ้าคลุมไว้ พร้อมทั้งใช้นิ้วปาดฝุ่นที่เกาะอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งด้วย
“ไปดูห้องนู๊นกันเถอะ” เนติมาบอก
เนติมาขยับจะเดินนำระบิลเข้าไปอีกห้องหนึ่ง แต่ก็ต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาพอดี เนติมารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์แล้วรับสายทันที
“อุ๊ย ! ค่ะพี่ศิวัช เออ..คือ...เนติ์ยังดูบ้านอยู่เลยค่ะ” เนติมาพูดเสียงอึกอัก
ระบิลจ้องมองเนติมาประมาณว่ากำลังโกหกอยู่นะ แต่เนติมายกมือเป็นเชิงบอกให้ระบิลเงียบๆ

ภายในบริเวณระเบียงบ้านธำรง ศิวัชเดินคุยโทรศัพท์กับเนติมาด้วยความเป็นห่วงใย
“อะไร มืดป่านนี้เนี่ยนะจ๊ะ”
ศิวัชนิ่งฟังปลายสายนิดหนึ่งก่อนสีหน้าจะโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง
“พี่เป็นห่วงเนติ์นะจ๊ะ ยังไงรีบกลับมานะ พี่จะรอ”

เนติมาเดินคุยโทรศัพท์เข้ามาโดยมีระบิลเดินตามประกบอยู่ด้านหลังเพื่อดูแลความปลอดภัย
“ค่ะพี่ศิวัชแล้วเนติ์จะรีบกลับ”
เนติมามาวางสายโทรศัพท์ ระบิลพูดแซวทันที
“โกหกแฟนนะคุณ”
“ฉันก็แค่ไม่อยากให้เขาเป็นห่วงก็แค่นั้นแหละ”
เนติมามองไปรอบๆแล้วพูดต่อ
“ข้าวของทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม แต่ความมีชีวิตชีวาหายไป”
เนติมาเอื้อมมือไปสัมผัสเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ใกล้ๆด้วยความเศร้า ระบิลมองด้วยความสงสัยแล้วพูดขึ้น
“ดูเหมือนคุณคุ้นเคยกับที่นี่มากๆ”
“ก็ฉันวิ่งเข้าวิ่งออกบ้านนี้มาตั้งแต่เล็กๆนี่ แล้วบ้านที่นายเห็นข้างๆนั่น ก็เคยเป็นบ้านของคุณพ่อฉันเอง”
“แล้ว...”
ระบิลกำลังจะถามต่อด้วยความสงสัย แต่เจือจันทร์ที่ซุ่มอยู่ในซอกมืดด้านหนึ่งก็วิ่งปรี่ออกมาพร้อมมีดทำครัวในมือพุ่งเข้าใส่เนติมาอย่างรวดเร็ว
“แกตาย !”
เนติมาหันขวับด้วยความตกใจ ก่อนที่เจือจันทร์จะถึงตัวเนติมา ระบิลก็ปรี่เข้าไปคว้ามือเจือจันทร์ข้างที่ถือมีดได้อย่างรวดเร็วพร้อมบิดจนมีดหล่นจากมือ แล้วกดเจือจันทร์ให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้นอย่างง่ายดาย เจือจันทร์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย เจ็บ !”
“แกป็นใคร !” ระบิลถามเสียงเข้ม
เจือจันทร์ยังไม่ยอมพูด ระบิลขึ้นเสียงอีกครั้งพร้อมหยิบปืนขึ้นมาขู่ ขณะที่เนติมายืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก
“ไม่พูดใช่มั๊ย !”
“ปล่อยภรรยาผมเถอะ”
ทั้งหมดต้องชะงักเมื่อไฟในห้องเปิดขึ้น กันต์นั่งอยู่บนรถเข็นมองมาทางเนติมาด้วยสายตานิ่งซ่อนความรู้สึกปวดร้าวอยู่ภายใน เนติมาตะลึงงันตกใจสุดขีดจำกันต์ได้แม่นยำและต้องตกใจมากขึ้นเมื่อมองลงไปที่พื้นเห็นผู้หญิงคนที่ระบิลจับกดอยู่คือเจือจันทร์ที่กำลังร้องไห้ออกมาด้วยความร้าวราน
“อากันต์...อาจันทร์ ระบิลปล่อย”
เนติมารับสั่งระบิลทันที ระบิลรู้สึกสับสนก่อนปล่อยมือจากเจือจันทร์ เสียงร้องไห้ของเจือจันทร์ดังหนักขึ้นด้วยความรู้สึกเจ็บใจและคับแค้นใจอย่างที่สุด
“กลับมาทำไม เธอกลับมาที่นี่อีกทำไม ออกไป...ออกไป...ออกไป !” เจือจันทร์แผดเสียงดัง
เจือจันทร์ร้องไห้ออกมาอย่างเสียสติ กันต์มองภรรยาด้วยความสงสาร เนติมามองภาพตรงหน้าด้วยความเศร้าและรู้สึกผิดที่มีอยู่ในใจยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณก่อนจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

ระบิลมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัย เพราะยังไม่ทราบรายละเอียดนัก

หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 2 (ต่อ)

ขณะเดียวกัน ที่บ้านอิสราวัชร หลังข้างๆ อิทธิหาญกำลังดูหนังบู๊ล้างผลาญจากชุดโฮมเธียเตอร์ โดยมีสาวสวยแต่งตัวเซ็กซี่คนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนคอยออดอ้อนเอาอกเอาใจ อิทธิหาญยิ้มอารมณ์ดี ปานยืนอยู่ใกล้ๆ

ลูกน้องอิทธิหาญคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ปานหันไปถามทันที
“มีอะไรวะ”
“นังคุณนายบ้านโน้นน่ะพี่ปาน เอะอะโวยวายไล่ใครก็ไม่รู้ลั่นบ้านเลย”
“เรื่องแค่นี้ต้องมารายงาน เอ็งก็พาพวกไปดูสิวะว่ามีใครมันสะเออะเข้าไปในนั้นรึเปล่า”
“จ้ะพี่ !”
ลูกน้องฯรับคำพลางหยิบปืนที่พกอยู่จะขยับออกไป แต่ต้องชะงักเมื่ออิทธิหาญเรียกไว้
“เฮ้ย ! ไม่ต้องไป”
“ทำไมเหรอครับเสี่ย” ปานถาม
“ดูทำไมให้เสียเวลาวะ นังคุณนายบ้านั่นมันกรี๊ดๆได้ตลอดเวลาแหละ เห็นจิ้งจกมันยังกรี๊ดเลยนังนี่ท่าจะเพี๊ยน เรื่องตั้งนานแล้วสงสัยตกใจค้างว่ะ ฮ่าๆ”
อิทธิหาญหัวเราะอย่างสะใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เจือจันทร์โดนลูกน้องของพงษ์เลิศข่มขืน

ในห้องด้านในบ้านกันต์ เนติมาก้มลงกราบที่เท้าของกันต์ด้วยความเสียใจ กันต์ซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นรีบประคองห้ามทันที
“อย่า..อย่าทำอย่างนี้ ลุกขึ้นมาเถอะลูก”
“เพราะครอบครัวของเนติ์ ครอบครัวคุณอาถึง...”
เนติมาพูดอะไรไม่ออกเพราะรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ขณะที่เจือจันทร์ซึ่งนั่งร้องไห้อยู่พูดด้วยเสียงเย็นชาไม่ยอมแม้กระทั่งหันมามองหน้าเนติมา
“เธอกลับไปได้แล้ว แล้วฉันขอร้องอย่ากลับมาที่นี่อีก”
“คุณ...”
กันต์พูดปรามเจือจันทร์อย่างใจเย็น เจือจันทร์พูดออกมาด้วยความอัดอั้น
“แล้วที่เราเป็นอย่างนี้เพราะอะไรคะคุณ ครอบครัวของเราอยู่กับฝันร้ายนี้มากี่ปีแล้ว คุณอาจลืม แต่ฉันไม่มีวันลืม ไม่มี”
“ไม่มีใครลืมหรอกคุณ แต่เนติ์เขาไม่ได้ผิด”
“แต่เธอนำหายนะมาให้บ้านเรา นี่ถ้าไอ้พวกนั้นมันมาเห็น...”
เจือจันทร์พูดอะไรไม่ออก พลางมองไปรอบๆบ้านด้วยความหวาดกลัวจนระบิลมองด้วยความสงสัย
“ไอ้พวกนั้น...ใครเหรอครับ”
เนติมาหันไปพูดกับระบิล
“เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง … คุณอาคะ แล้วขวัญล่ะคะ”
เนติมาถามกันต์เพราะเป็นห่วงขวัญชนกซึ่งเป็นเพื่อนสนิท แต่ยังไม่ทันที่กันต์จะพูดอะไร สายตาของ
เนติมาก็หันไปเห็นขวัญชนกที่แอบมองอยู่ตรงบันไดทางขึ้นชั้นสอง ทั้งสองคนมองกันนิ่งค้างด้วยความตะลึง

ภาพในอดีตของเนติมากับขวัญชนกในวัยเด็กเข้ามาในความทรงจำ

เนติมากับขวัญชนกนั่งอ่านหนังสือกันอยู่ที่ห้องสมุด เนติมาติวหนังสือให้ขวัญชนกอย่างตั้งใจ
ขวัญชนกเอาเค้กวันเกิดชิ้นเล็กๆที่ปักเทียน 1 เล่มมาให้ เนติมายิ้มให้ขวัญชนกอย่างขอบคุณ
เนติมากับขวัญชนกแบ่งขนมทานกันในโรงอาหารของโรงเรียน ทั้งสองคนหยอกล้อกันย่างสนิทสนม
เนติมาลงจากรถของกันต์ที่มาส่งหน้าบ้าน ก่อนที่ขวัญชนกจะกดกระจกลงมาโบกมือให้ เนติมายิ้มโบกมือตอบอย่างสนิทสนม

เนติมากับขวัญชนกยังคงมองหน้ากันด้วยความตะลึง ขวัญชนกตั้งสติได้ก็รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนด้วยความรวดเร็ว
“ขวัญ !”
เนติมารีบวิ่งตามไปทันที ระบิลมองด้วยความตกใจ
“เดี๋ยวคุณ !”
กันต์กับเจือจันทร์พยายามเรียกเนติมาแต่ไม่เป็นผล
“เนติ์ เดี๋ยว !”
“หยุด..หยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่ายุ่งกับลูกสาวฉัน ฉันบอกให้หยุด !”
เจือจันทร์หันขวับมามองกันต์ด้วยความไม่สบายใจ กันต์ถอนใจด้วยความกังวลเช่นกัน

ขวัญชนกวิ่งวิ่งฝ่าความมืดขึ้นตรงไปยังห้องนอนของตัวเองโดยมีเนติมาวิ่งตามขึ้นมาติดๆ
“ขวัญ..นี่ฉันเอง ขวัญ !”
ขวัญชนกไม่สนใจเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วกำลังจะปิด แต่เนติมาปรี่เข้ามาพยายามจะยื้อไม่ให้ขวัญชนกปิดประตู
“ขวัญนี่ฉันเอง เนติ์ไงจำไม่ได้เหรอ ขวัญฟังฉันก่อนสิ”
ขวัญชนกไม่ฟังยังคงออกแรงดันประตูจนเนติมาสู้แรงไม่ได้ประตูใกล้จะปิดเต็มที ระบิลที่วิ่งตามมารีบช่วยเนติมาดันประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย
“โอ๊ย !”
“ขวัญ..ใจเย็นๆนะ”
เนติมาค่อยๆเข้าไปจับมือขวัญชนกและพยายามพูดอย่างใจเย็น ขณะที่ระบิลเอื้อมมือไปเปิดสวิทช์ไฟจนภายในห้องให้สว่างขึ้น ขวัญชนกเห็นระบิลอย่างชัดเจนก็กรีดร้องออกมาด้วยความกลัวอย่างสุดขีด
“กรี๊ด !!!”
“ขวัญ..ขวัญ !”
เนติมาเข้าไปประคองร่างขวัญชนกทันที โดยมีระบิลรีบเข้าไปช่วยเนติมาเช่นกัน
“เป็นลมไปแล้ว เดี๋ยวผมพาเธอขึ้นไปนอนพักบนเตียงก่อนดีกว่านะ”
“ไม่ต้อง !”
ระบิลที่กำลังจะอุ้มร่างของขวัญชนกต้องชะงัก เจือจันทร์เดินตามเข้ามาเบียดระบิลกับเนติมาเข้าไปประคองขวัญชนกแทน
“ลูกฉัน..ฉันจัดการเองได้”
“แต่ผมว่า...”
“เธอกลัวคุณ !”
เจือจันทร์พูดเสียงแข็งใส่ระบิล ระบิลกับเนติมามองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ
“อาจันทร์ว่าอะไรนะคะ”
“ออกไปจากห้องนี้ก่อนที่ขวัญจะตื่นมาร้องโวยวายเพราะเห็นหน้าคุณอีก...ออกไป”

เจือจันทร์พูดเสียงแข็ง พลางกระชับกอดลูกสาวแน่น ระบิลกับเนติมามองหน้ากันด้วยความสงสัย

กันต์นั่งอยู่บนรถเข็นในห้องนั่งเล่น  ถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต
 
“ตั้งแต่เกิดเรื่อง นอกจากอาแล้ว ขวัญก็ไม่เคยไว้ใจผู้ชายคนไหนอีกเลยวันๆหมกตัวอยู่แต่บนห้อง ไม่กล้าไปเรียน ไม่กล้าออกไปไหน จนอากลัวว่าวันหนึ่ง..ลูกจะเป็นบ้า”
“เพราะครอบครัวของหนู”
“ชะตากรรมต่างหากเนติ์ ชะตากรรมทำให้เราสองครอบครัวต้องเป็นอย่างนี้”
“ไม่ค่ะอากันต์ ไม่ใช่เรื่องของชะตากรรม แต่เป็นเรื่องความถูกผิดที่พวกนั้นต้องรับผิดชอบ อากันต์คะ..เนติ์กลับมาที่นี่เพื่อเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่อาต้องเสียไปคืนมา คนพวกนั้นต้องได้รับโทษที่เขาก่อไว้”
เนติมาน้ำตาคลอเบ้าอย่างรู้สึกผิด มองไปรอบๆบริเวณบ้านอย่างครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนตัดสินใจพูดกับกันต์ด้วยความจริงจัง
“หนูขอมาอาศัยบ้านอากันต์อยู่ได้มั้ยคะ”
“อ่ะ..อะไรนะคุณ !” ระบิลว่า
ระบิลตกใจเพราะยังไม่ทันตั้งตัว ขณะที่กันต์ก็ตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
“ขอหนูได้อยู่ดูแลครอบครัวอากันต์นะคะ หนูจะทำทุกอย่างให้บ้านนี้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม..นะคะ”
“ไม่ได้ !”
ทั้งหมดหันไปเห็นเจือจันทร์ที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เธอจะนำความตายมาให้เรามากกว่า เธอรู้มั้ยว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่เธอเสวยสุขอยู่ต่างประเทศ พวกเราต้องเจออะไรบ้าง เธอคิดว่าพวกฉันอยากอยู่ที่นี่เหรอ ที่นี่ไม่ใช่บ้านแล้ว แต่ที่นี่เป็นนรก ทุกวินาทีพวกเราอยากออกไปจากที่นี่ แต่พวกเราไปไม่ได้”
เจือจันทร์ร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้นจนกันต์ต้องเอื้อมมือไปจับมือภรรยาเป็นเชิงปลอบโยน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ระบิลถาม
กันต์คิดนิดหนึ่งแล้วถอนใจบอก
“พวกมันไม่ให้เราไป”
กันต์ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ เมื่อนึกถึงอดีตที่เลวร้าย ระบิลกับเนติมามองกันต์ด้วยความสงสัย

อดีต...วันนั้นกับเรื่องราวฝันร้ายของกันต์ เจือจันทร์ และขวัญชนก...
“วันที่เกิดเรื่องกับบ้านเนติ์ อาจันทร์เขาบังเอิญไปเห็นภาพที่ไม่ควรจะเห็นเข้า” กันต์บอกเล่า
ขณะที่เจือจันทร์กำลังจัดของในห้องให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะขยับไปรูดม่านที่หน้าต่างให้เปิดออก
แต่ต้องชะงักเมื่อสายตามองผ่านหน้าต่างเข้าไปที่ชั้นล่างบ้านอิสราวัชร เห็นขาของพรรณศรีนอนราบอยู่
ที่พื้น ก่อนจะเลื่อนหายไปเจือจันทร์สะดุ้งด้วยความตกใจ รีบปล่อยผ้าม่านทันที
“ว๊าย !”
เจือจันทร์พยายามตั้งสติก่อนขยับไปแง้มผ้าม่านมองลงไปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นชูศักดิ์ยืนอยู่ชำเลืองมองสวนขึ้นมาทางเจือจันทร์ด้วยสายตาดุ เจือจันทร์ตกใจรีบปิดม่าน ยืนตะลึงด้วยความตื่นเต้น รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ภายในบ้าน เจือจันทร์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันต์มีสีหน้าตื่นเต้นไม่หาย
“ไม่มีอะไรมั้งคุณ คนงานบ้านคุณวิเชียรเขารึเปล่า”
“คนงานบ้านนั้นฉันรู้จักทุกคน แต่คนนี้ฉันไม่เคยเห็นนะคะ”
“งั้นเขาอาจจ้างช่างมาซ่อมอะไรก็ได้”
“แล้วขาของคนที่ฉันเห็นถูกลากไปล่ะคะ”
“คุณก็บอกผมเองไม่ใช่เหรอว่าเห็นแว้บๆ ตาฝาดรึเปล่าคุณ แถวบ้านเราไม่เคยมีคดีปล้นจี้นะ”
“ก็ไปดูหน่อยไม่ดีเหรอคะ จะโทรไปก็ได้ ฉันจะได้สบายใจ นะคะคุณ”
เจือจันทร์พูดอย่างขอร้องด้วยสีหน้าไม่สบายใจ กันต์พยักหน้ารับคำ
“โอเค งั้นเราเดินไปบ้านคุณวิเชียรด้วยกัน คุณจะได้สบายใจ”
จังหวะเดียวกัน ทนง ชูศักดิ์ โปรย เดินเข้ามาด้วยท่าทางดุดัน
“พวกแกเป็นใคร เข้ามาได้ยังไง !” กันต์ถาม

ภายในห้องนั่งเล่น กันต์ถูกทนงเหวี่ยงลงมากองที่พื้น ใบหน้าของกันต์ถูกซ้อมจนปากแตกเลือดซิบ
“พวกแกต้องการอะไร”
“ต้องการสั่งสอน พวกแส่หาเรื่องน่ะสิวะ” ทนงว่า
ทนง ชูศักดิ์ โปรย สาวเท้าก้าวเข้ามายืนประชิดตัวกันต์ ทนงใช้เท้ากดร่างกันต์ไว้กับพื้น
“แกพูดอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
“ไม่รู้เรื่องเหรอ ได้ !”
ทนงพยักหน้าให้สัญญาณโปรยกับชูศักดิ์ ทั้งสองคนปรี่เข้ามาซ้อมกันต์อย่างสนุกมือ
ขวัญชนกกับเจือจันทร์วิ่งลงมาจากชั้นบนพอดี ทั้งสองคนปรี่เข้าไปประคองกันต์ทันที
“คุณพ่อ !”
“คุณ ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ...คุณ..คุณเป็นไงบ้าง” เจือจันทร์ว่า
“ผม..ผมไม่เป็นอะไร” กันต์บอก
กันต์หันไปพูดกับทนงและพวก
“ฉันขอร้อง พวกฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแกพูดถึงเรื่องอะไร”
“ไม่รู้งั้นเหรอ เฮ้ย !” ทนงว่า
ทนงพยักหน้าให้สัญญาณกับโปรยและชูศักดิ์อย่างรู้กัน ชูศักดิ์ปราดเข้าไปกระชากร่างของขวัญชนกมาไว้ในอ้อมแขนทันที
“นังหนู มานี่ !” ชูศักดิ์พูด
“ไม่ ! คุณพ่อ คุณแม่ช่วยหนูด้วย ปล่อยๆนะ !”
“ขวัญ !” เจือจันทร์ร้องขึ้น
“ไอ้พวกชั่ว !”
กันต์ฉุนขาดปรี่เข้าไปจะช่วยขวัญชนก แต่ทนงชักปืนขึ้นมายิงไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างจนร่างของกันต์ลงไปนอนกองกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย !”
เจือจันทร์เข้าไปประคองร่างสามีทันที

“คุณ !”
“คุณพ่อ ! ปล่อย..ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ไอ้คนใจร้าย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยหนูด้วย”
ขวัญชนกตะโกนทั้งน้ำตา แต่ทนงกับพวกยิ้มอย่างใจเย็น
“ร้องให้คอแตก ก็ไม่มีใครสนใจหรอกนังหนู ไม่มีใครมันอยากก้าวลงกองเพลิงหรอกรู้มั้ย” ทนงว่า
“แต่หนูน่ะ น้าไม่จับลงกองเพลิงหรอกรู้มั้ย เพราะพวกน้าจะพาหนูขึ้นสวรรค์เอง ฮ่าๆ”
ชูศักดิ์พูดพลางพยายามจะหอมแก้ม ขวัญชนกพยายามขืนตัวด้วยความขยะแขยง
“ไม่..ไม่ !”
“อย่า ! อย่าทำอะไรลูกสาวฉันเลย อย่า...”
“ปล่อยลูกสาวฉันไปเถอะ” กันต์บอก
กันต์กับเจือจันทร์ช่วยกันขอร้องทนงกับพวก ทนงกับพวกยิ้มชอบใจ
“แต่เนื้อลูกสาวเอ็งมันหอมนี่หว่า กำลังแรกรุ่นอย่างนี้ จัดโชว์ให้พ่อแม่มันดูหน่อยเป็นไรไปวะ พ่อแม่มันจะได้ภูมิใจว่าลูกมีของดี ฮ่าๆ” โปรยบอก
“ไม่..ไม่ !”
ขวัญชนกพยายามดิ้นทั้งน้ำตา แต่โดนชูศักดิ์ล็อคแขนไว้แน่น ขณะที่โปรยปรี่เข้าไปจะฉีกเสื้อของขวัญชนก
“อย่า..อย่าทำอะไรลูกฉัน ปล่อย..ปล่อย !” กันต์ว่า
กันต์ทำได้แค่ขอร้องทั้งน้ำตาคลานเข้าไปไหว้ทนงที่ถือปืนยืนคุมเชิงอยู่
“ฉันไหว้ล่ะ แกจะเอาอะไรในบ้านหลังนี้ไปก็ได้ แต่อย่าทำอะไรลูกสาวฉันเลย ฉันจะไม่เอาเรื่องอะไรพวกแกทั้งนั้น ปล่อย..ปล่อยเธอไป”
“สงสารพวกเราเถอะ ลูกสาวฉันยังเด็ก เธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วย อย่าทำอะไรเธอเลย”
เจือจันทร์พูดอ้อนวอนทั้งน้ำตา ทนง โปรย ชูศักดิ์หันมามองหน้ากันอย่างรู้ใจ
 
ก่อนที่ชูศักดิ์กับโปรยจะละมือจากขวัญชนกและเหวี่ยงเธอลงไปกองกับพื้น

ขวัญชนกรีบปรี่เข้าไปกอดพ่อกับแม่ทั้งน้ำตา กันต์รีบหันไปไหว้ขอบคุณทันที

“คุณพ่อ..คุณแม่ หนูกลัว”
“ไม่ต้องกลัวลูก หนูไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ขอบคุณๆพวกแกมาก คุณ ไปเปิดเซฟ พวกเขาอยากได้อะไรให้พวกเขาไปให้หมด”
เจือจันทร์พยายามตั้งสติพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น แต่ต้องชะงักเมื่อทนงเอาปืนจ่อมาอีก
“พวกฉันไม่ต้องการของ !”
กันต์ ขวัญชนก เจือจันทร์ นิ่งงันเริ่มกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าทนงกับพวกต้องการอะไรกันแน่ จังหวะเดียวกันโปรยก็เดินเข้ามาเชยคางเจือจันทร์อย่างใจเย็น
“ลูกสาวแกมันดอกไม้แรกแย้ม แต่แกมันดอกไม้บานสะพรั่งท่าทางจะหอมกว่าเยอะมานี่ !” โปรยว่า“ไม่..ไม่นะ !”
“คุณ..ปล่อย ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้ ...โอ๊ย !”
กันต์ปรี่เข้าดึงขาทนงแน่น แต่กลับโดนทนงเตะจนกระเด็น ขณะที่ขวัญชนกปรี่เข้าไปจะช่วยแม่ก็โดนชูศักดิ์ตบจนลงไปกองกับพื้น
“คุณแม่..โอ๊ย !”
“อย่าแส่ ! เฮ้ย..ลากนังแม่มันขึ้นสวรรค์โว้ย ฮ่าๆ” ชูศักดิ์บอก
“ไม่..ปล่อยฉันนะ ปล่อย !”
เจือจันทร์พยายามดิ้นแต่สู้แรงไม่ได้ โดนโปรยกับชูศักดิ์ลากตัวขึ้นบันไดสู่ชั้นบน โดยมีทะนงเดินคุมเชิงตามขึ้นไป
“คุณแม่ !”
ขวัญชนกแผดเสียงลั่นทำอะไรไม่ถูก กันต์ร้องไห้ด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถปกป้องคนในครอบครัวได้แต่ดึงตัวลูกสาวเข้ามากอดไว้ด้วยความสะเทือนใจ

ที่ห้องนอนชั้นบน เสื้อผ้าของเจือจันทร์ถูกฉีกจนขาดวิ่น มีเพียงผ้าห่มคลุมร่างกองระเกะระกะอยู่บนพื้นห้อง เจือจันทร์ร้องไห้ออกมาอย่างหนักด้วยความเสียใจ
ชูศักดิ์กับโปรยใส่เสื้อผ้าเสร็จพอดีหันมามองเจือจันทร์ด้วยความสะใจ
“ฮ่าๆ แกนี่ไม่ทำให้พวกฉันผิดหวังจริงๆ”
ทนงเปิดประตูห้องเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง
“เฮ้ย..เสร็จธุระก็กลับกันได้แล้ว”
“เป็นอะไรขึ้นมาวะ ของดีๆตรงหน้าไม่ยอมกิน” ชูศักดิ์ว่า
“ข้าไม่มีอารมณ์ ไปกลับ !” ทนงว่า
ทนงปรายตามองเจือจันทร์นิดหนึ่งอดนึกสมเพชขึ้นมาไม่ได้ก่อนเดินออกจากห้องไป โดยชูศักดิ์กับโปรยเดินตามออกไปอย่างใจเย็น
เจือจันทร์นอนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ
ทนง ชูศักดิ์ โปรยเดินลงมาจากชั้นบนอย่างใจเย็น มองขวัญชนกกับกันต์กอดกันทั้งน้ำตา ทนงเอากระบอกปืนเขี่ยปลายคางของกันต์อย่างเลือดเย็น
“นายข้าสั่งว่า ห้ามพวกเอ็งย้ายไปไหนเด็ดขาด พวกเอ็งต้องอยู่ที่นี่ อยู่เป็นสวนสัตว์ให้นายข้าเก็บไว้ดูเล่น ถ้าเอ็งดื้อ ครอบครัวของเอ็งจะพบฝันร้ายอย่างที่เอ็งคาดไม่ถึงยิ่งกว่าวันนี้”
ทนงเดินนำโปรยกับชูกศักดิ์ออกไปอย่างใจเย็น กันต์นิ่งงันอย่างหมดอาลัยตายอยาก ขณะที่ขวัญชนกซุกหน้าร้องไห้ด้วยความกลัวอยู่กับอกพ่อก่อนพยายามตั้งสติอีกครั้ง
“คุณแม่ !”
ขวัญชนกวิ่งมาที่ห้องซึ่งเปิดประตูค้างไว้อยู่ ขวัญชนกต้องชะงักด้วยความตกใจ เมื่อเห็นสภาพของเจือจันทร์ที่นอนร้องไห้อยู่
เจือจันทร์หันมามองลูกสาวทั้งน้ำตา ก่อนขวัญชนกจะวิ่งเข้าไปกอดแม่ แล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนักด้วยความเสียใจ
“คุณแม่...”
ขวัญชนกกับเจือจันทร์ร้องไห้ออกมาอย่างหนักกอดกันแน่น ทั้งเสียใจ เสียขวัญเป็นอย่างมาก

เวลากลางคืน บริเวณระเบียงคฤหาสน์หรูของธำรงในเวลาต่อมา ธำรงถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากเนติมา
“ข่าวที่อาให้คนตามก็คิดว่าแค่ข่มขู่ แต่นี่มันโรคจิตชัดๆ” ธำรงพูดพลางถอนหายใจ
“พวกมันไม่ใช่คน” ระบิลพูดอย่างรู้สึกโมโหแทน
ธำรงพูดต่ออย่างสลดใจ
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณกันต์ก็พยายามใช้ความเป็นอัยการของตัวเองต่อสู้ แต่...”
“อำนาจทางการเมืองตกอยู่ในกำมือของคนชั่ว ขนาดอากันต์ยังหมดทางสู้ ไม่ต้องนึกถึงประชาชนตาดำๆเลยว่าจะโดนความอยุติธรรมข่มเหงขนาดไหน”
เนติมาพูดด้วยความเจ็บใจ ขณะที่ศิวัชพูดด้วยความไม่สบายใจ
“เนติ์..แล้วเนติ์ยังจะเสี่ยงไปอยู่ที่นั่นอีกเหรอจ๊ะ อยู่ที่นี่ด้วยกันเถอะนะ พี่เป็นห่วง” ศิวัชบอก
“แต่เนติ์ต้องรับผิดชอบค่ะพี่ศิวัช ชีวิตพวกเขาต้องเป็นอย่างนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะครอบครัวเนติ์”
“แต่มันมีวิธีที่เนติ์จะแสดงความรับผิดชอบได้ตั้งหลายอย่าง เช่น...”
ศิวัชพูดยังไม่ทันจบ เนติมาก็แทรกขึ้นทันที
“พวกเขาแลกกับเนติ์ด้วยชีวิต เนติ์ก็ต้องแลกกับพวกเขาด้วยชีวิตเหมือนกันค่ะ..พี่ศิวัชเข้าใจเนติ์นะคะ”
เนติมาพูดอย่างหนักแน่น ศิวัชถอนใจเพราะรู้ถึงความมุ่งมั่นของเนติมาดี
ธำรงคิดอะไรอยู่นิดหนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับระบิล
“คุณระบิล”
“ตอนนี้ผมว่าพวกนั้นคงยังไม่กล้าทำอะไรรุนแรงหรอกครับ อีกไม่นานจะมีการเลือกตั้ง ผมว่าเขาฉลาดพอที่จะไม่ทำอะไรให้กระทบฐานเสียงตัวเองแน่”
“คุณนี่มองเกมส์ขาดมาก แต่ยังไงคุณดูแลหนูเนติ์อย่างใกล้ชิดนะ พวกนั้นเหมือนงูพิษ มันจะเล่นงานเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมเชื่อว่าพวกที่เล่นงานเราที่ฝรั่งเศสต้องเกี่ยวข้องกับนายพงษ์เลิศแน่ๆ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ผมจะไม่ยอมให้คุณเนติ์ได้รับอันตรายเด็ดขาด”
ระบิลยิ้มรับคำหนักแน่น ขณะที่ศิวัชหันมาพูดด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“คุณพ่อหมายความว่า...”
“แล้วแกห้ามหนูเนติ์ได้มั้ยล่ะ สมาธิของแกต้องอยู่ที่การเลือกตั้งแล้วนะศิวัช” ธำรงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ศิวัชมองหน้าเนติมาที่ยังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจนได้แต่ถอนใจอย่างยอมจำนน
“หนูเนติ์ต้องการอะไรก็บอกอานะ ไม่ต้องเกรงใจ อ้อ..แล้วนี่จะย้ายเข้าไปที่นั่นเมื่อไหร่”

“เนติ์ต้องรอคำตอบจากอากันต์ก่อนค่ะ อากันต์ขอทำความเข้าใจกับอาจันทร์ก่อน”

ภายในบ้านกันต์ เจือจันทร์หันมาพูดกับกันต์ด้วยความไม่เข้าใจ

“ฉันมองไม่เห็นทางเลยว่า ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเนติ์จะนำความสุขมาให้ครอบครัวเรายังไง เพราะสิ่งที่ฉันเห็น..คือหายนะ”
“เนติ์เขาก็บอกแล้วนี่ว่า ขั้วอำนาจของนายพงษ์เลิศกำลังจะหมดลงแล้ว”
“แล้วถ้ายังไม่หมดล่ะคะ ถ้าขั้วที่นายนายพงษ์เลิศหนุนหลังอยู่ชนะการเลือกตั้งเข้ามาอีก คุณจะว่ายังไง คุณคะ ฉันรับไม่ได้แล้วนะคะ ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเราอีก..ฉันทนไม่ไหวอีกแล้ว”
เจือจันทร์ร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น กันต์มองภรรยาของตนอย่างเข้าใจความรู้สึก ก่อนเอื้อมมือไปกุมมือเจือจันทร์อย่างให้กำลังใจแล้วพูดอย่างใจเย็น
“ผมรู้..ว่าคุณรู้สึกยังไง แต่ทุกวันนี้ เราก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ใช่เหรอ ผมว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะกอบกู้ความสุขคืนมา ไม่ใช่เพื่อเรา..แต่เพื่อลูกของเรา”
เจือจันทร์นิ่งฟังสิ่งที่กันต์พูดพลางหันมองไปทางกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เป็นภาพครอบครัวในอดีตที่แสนมีความสุข ทั้งขวัญชนก กันต์ เจือจันทร์ มีรอยยิ้มกันถ้วนหน้า
“คุณลองคิดดีๆนะถ้าเราไม่สู้วันนี้ เราก็ได้แต่นั่งรอวันตาย แล้วถ้าเราสองคนไม่อยู่แล้ว ลูกของเราจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง”
กันต์พูดอย่างให้สติ เจือจันทร์นิ่งครุ่นคิดตามที่กันต์พูดด้วยความไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

เวลากลางวัน...ทางเดินในคฤหาสน์หรูของธำรง ระบิล เนติมา ศิวัช และธำรงเดินออกมาเพื่อจะไปนอกบ้าน
“การข่าวของพงษ์เลิศนี่มันแย่จริงๆ เรากลับมาเมืองไทยข้ามวันแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” ธำรงบอก
“อย่างนี้น่ามีเซอร์ไพรส์ให้ตื่นเต้นตกใจกันหน่อยนะครับ”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี ธำรงคิดตามอยู่นิดหนึ่งก่อนยิ้มออกมา
“น่าสนุก...”
ทั้งหมดกำลังจะเดินต่อ ทว่าโทรศัพท์มือถือของเนติมาดังขึ้นพอดี เนติมาดูเบอร์แล้วรีบรับสายด้วยความตื่นเต้น
“สวัสดีค่ะอากันต์”
ระบิล ศิวัช ธำรงหยุดมองเนติมาพูดโทรศัพท์ด้วยความสนใจ เนติมานิ่งฟังปลายสายอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา
“ค่ะอา..ขอบคุณมากนะคะที่ไว้ใจเนติ์ งั้นเดี๋ยวเนติ์ขอทำธุระให้เสร็จก่อนแล้วจะรีบเข้าไปนะคะ สวัสดีค่ะ”
เนติมาวางสายพร้อมรอยยิ้มแห่งความหวัง ขณะที่ศิวัชสีหน้าไม่สู้ดีนักด้วยความเป็นห่วงเนติมา
“อากันต์ตกลงแล้วค่ะ”
“งั้นหนูเนติ์ไปจัดการทางนั้นเถอะ เรื่องธุระวันนี้อากับศิวัชจัดการได้”
“คุณอาไม่ได้ล้อเนติ์เล่นนะคะ”
“มีอะไรแล้วโทรหากัน เดี๋ยวอาจะให้เด็กจัดรถให้หนูเนติ์ใช้คันหนึ่งนะ”
เนติมาไหว้ธำรง
“ขอบคุณค่ะคุณอา”
ธำรงพูดยิ้มๆ แต่ส่วนหนึ่งลึกๆแล้ว ธำรงต้องการกันเนติมาให้ห่างจากศิวัชนั่นเอง ศิวัชยังคงมองเนติมาด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก
“เดี๋ยว แล้วเนติ์จะไปตอนนี้เลยเนี่ยนะ”
“ตั้งแต่กลับมา เนติ์ยังไม่ได้รื้อกระเป๋าออกมาเลยนี่คะพี่ศิวัช ขยันทำงานนะคะคนเก่ง แล้วเนติ์จะโทรนะ...ไป คุณระบิล”
“คร้าบบบ เจ้านาย..แหม ใจร้อนจริงๆ”
เนติมาพูดจบก็รีบเดินกลับเข้าไปด้านในทันที โดยมีระบิลตามเข้าไปติดๆ ศิวัชมองตามเนติมาไปด้วยความไม่สบายใจ ขณะที่ธำรงเอื้อมมือไปตบบ่าศิวัชเบาๆเป็นเชิงปลอบใจก่อนพาศิวัชเดินออกไป
เนติมาเดินมาถึงบันไดทางขึ้นชั้นบนกับระบิลพลางสั่งงานไปด้วย
“เดี๋ยวนายเก็บกระเป๋า ส่วนฉันจะไปรอนายที่โรงรถนะ”
“ไม่ต้องรอหรอกครับ เพราะผมก็ยังไม่ได้รื้อกระเป๋าเหมือนกัน”
ระบิลพูดยิ้มๆ เนติมายิ้มชอบใจ
“ดี..งั้นเราจะได้ไปบ้านอากันต์กันเลย”
“แต่ผมว่าก่อนเข้าไป เราควรแวะซื้ออะไรเข้าไปหน่อยนะครับ”
ระบิลพูดอย่างออกความคิด เนติมามองระบิลด้วยความสงสัย

ภายในศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในเวลากลางวัน ที่แผนกเครื่องนอน เนติมากำลังเลือกชุดเครื่องนอนอย่างตัดสินใจ ระบิลหยิบกล่องผ้าปูที่นอนอีกลายหนึ่งมาให้ดูและบรรยายสรรพคุณอย่างน้ำไหลไฟดับ จนเนติมาต้องเดินหนีเพราะรำคาญ
บริเวณทางเดินในศูนย์การค้า ระบิลช่วยเนติมาถือถุงใส่ของที่ซื้อหลายถุง ระบิลจะหันไปเห็นอะไรอย่างหนึ่งรีบสะกิดเรียกเนติมาทันที เนติมาหันมองตามไป ระบิลเดินนำไป เนติมาพยายามเรียกแต่ไร้ผล จนเนติมาต้องเดินตามไป
ระบิลเลือกแจกันดอกไม้,เทียนสีสวยอย่างมีความสุข เนติมาเดินตามเข้ามานิ่วหน้าด้วยความไม่เข้าใจว่าระบิลจะซื้อไปทำไม ระบิลไม่สนใจยังคงเลือกของต่อไปอย่างอารมณ์ดี

ภายในซูเปอร์มาร์เก็ต ระบิลเข็นรถเข็นใส่ของที่มีของซึ่งซื้อไว้เต็มคันรถ ระบิลยังคงเลือกของในชั้นวางของใส่อย่างต่อเนื่อง จนเนติมาดุ
“นี่..นายซื้ออะไรไปตั้งเยอะแยะเนี่ย เราไม่ได้ซื้อไปขายนะ”
“บ้านนั้นน่ะคุณขาดความมีชีวิตชีวาไปซะนาน ของพวกนี้จะทำให้พวกเขามีกิจกรรมทำเข้าใจ๋”
“พูดยังกับเป็นนักจิตวิทยา”
“น่าอย่าบ่นนักเลย เอ๊ะ..หรือว่างก น่าของแค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกเจ้านาย”
ระบิลแกล้งพูดพอให้คนรอบๆได้ยินก่อนที่ระบิลจะเข็นรถเดินเลี่ยงออกไป เนติมารู้สึกอายขึ้นมาเพราะคนเริ่มหันมามองจึงรีบเดินตามระบิลไปทันที

“ตาบ้า! ใครว่าฉันงก แล้วนายจะไปไหนอีกเนี่ย รอฉันด้วย”

หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 2 (ต่อ)

ระบิลกำลังขนของที่ใส่ถุงไว้เรียบร้อยลงรถเข็น ขณะที่เนติมาจ่ายเงินเสร็จพอดี

“ฮ่าๆ พอจ่ายมั้ยคุณ ไม่พอเดี๋ยวผมให้ยืม”
“ไม่พอแล้วจะเดินออกมาได้ยังไง มือเติบนักคอยดูนะของที่ซื้อไปแล้ว ไม่ได้ใช้งานจะฟ้องคุณอาให้หักเงินเดือนนาย”
“ไม่ต้องห่วง ได้ใช้เกินคุ้มแน่นอนครับผม...รีบไปกันเถอะคุณ”
ระบิลรีบเข็นรถพาเนติมาออกไปอีกทาง จังหวะเดียวกันนั้น ดลสวมหมวกแก๊ปที่กำลังทำงานพิเศษก็เข็นรถเข็นที่ต่อเป็นแถวยาวสวนมาพอดี ดลเดินเฉียดเนติมาอย่างไม่ทันสังเกต
“ขอโทษนะครับ ขอทางหน่อยครับพี่”
เนติมาชะงักหยุดเดินทันทีด้วยความสงสัยที่ได้ยินเสียงดล เมื่อหันขวับไปด้านหลัง ดลก็เข็นรถหายไปในกลุ่มลูกค้าที่มาซื้อของ
“อ้าว..มีอะไรคุณ หยุดเดินทำไมครับ” ระบิลถาม
“นายรออยู่นี่นะ เดี๋ยวฉันมา”
“อ้าว..คุณ เดี๋ยวสิ คุณ...อะไรของเขาวะ”

เนติมาออกเดินตามดลไปทันที ขณะที่ระบิลมองตามไปด้วยความสงสัย

ตรงทางเดินบริเวณหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ดลกับเพื่อนอีกสามสี่คนกำลังช่วยกันเข็นรถเข็นของในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ต่อเป็นแถวยาวผ่านผู้คนที่มาซื้อของ ดลร้องขอทางไปเรื่อย ยิ้มแย้มให้ลูกค้าอย่างอารมณ์ดี

“ขอทางหน่อยครับ ขอบคุณมากครับพี่ ขอบคุณนะครับ”
เนติมาเดินฝ่ากลุ่มผู้คนตามมาไม่ห่างกันนัก เนติมาพยายามชะโงกดูให้แน่ใจว่าใช่ดลรึเปล่า แต่ก็ไม่สามารถเห็นได้ชัดนัก เพราะมีคนเดินสวนมาหลายคน จนหลายครั้งเดินชนจนเนติมาเซเกือบล้ม
“เออ..ขอโทษค่ะๆ”

บริเวณมุมเก็บรถเข็น พนักงานเข็นรถเข็น 3-4 คนกำลังจัดเรียงรถเข็นให้เป็นระเบียบเพื่อรอลูกค้ามาใช้ เนติมาเร่งฝีเท้าตามมาถึงพอดี พนักงานคนหนึ่งรีบจะเอารถเข็นให้เนติมา
“เอารถเข็นเหรอครับ เชิญครับ”
“เออ..ไม่ค่ะ”
เนติมาพยายามมองหน้าพนักงานเข็นรถเข็นอย่างสังเกต แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่คุ้นหน้าจนพนักงานเข็นรถมองกันอย่างงงๆ
“อืม..มีอะไรรึเปล่าครับ” พนักงานถาม
“เออ..ไม่มีค่ะ ขอโทษนะคะ”
เนติมายิ้มเจื่อนก่อนจะหันขวับจะเดินกลับไปเกือบชนกับเข็นรถของระบิลที่อยู่ด้านหลัง เนติมาเสียหลักแต่ระบิลรีบประคองไว้ได้ทัน
“อุ๊ย !”
“เป็นอะไรรึเปล่าคุณ”
“เออ..ไม่เป็นไร ขอบคุณมากนะ”
เนติมาพูดอย่างอายนิดๆ ขณะที่ระบิลยังสงสัยไม่หาย
“คุณตามใครมาน่ะ”
“ไว้แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง”
เนติมาพูดแล้วก็เดินนำระบิลที่เข็นรถมองตามอย่างงงๆออกไป
“อ้าว..เดี๋ยวสิคุณ นี่มีอะไรที่ผมยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวคุณอีกบ้างเนี่ย นี่..ผมว่าเราต้อง... เฮ้ย คุณ รอผมด้วยสิ โห..นึกจะมาก็มา จะไปก็ไป ผิดกฏนะรู้มั้ย”

ฝ่ายดลเดินออกมาจากห้องน้ำอีกทางแล้วเดินเข้าไปหาเพื่อนๆอย่างอารมณ์ดี ขณะที่เพื่อนๆ กำลังมองตามเนติมาไปด้วยความสงสัย
“เฮ้อ..เกือบไปห้องน้ำไม่ทัน มีอะไรกันเหรอ” ดลถาม
“เมื่อกี้มีผู้หญิงมามองหน้าพวกฉันว่ะ” เพื่อนพนักงานคนหนึ่งบอก
“สงสัยแมวมองดารา” อีกคนว่า
“โห..แมวมองดารา เว่อร์ๆไป..ไปทำงานต่อกันดีกว่า เร็วรถเข็นด้านโน้นเหลืออีกเพียบเลย” ดลว่า

เพื่อนๆ หัวเราะชอบใจ ดลไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เพื่อนให้ฟังยังคงทำงานต่อด้วยความขยันขันแข็ง

ภายในโถงกลางบ้านกันต์ ข้าวของทั้งหลายถูกนำมากองรวมกันไว้ ระบิลกับเนติกำลังเดินถือถุงอีกหลายใบมาวางกองสมทบอีก ขณะที่กันต์มองอย่างงงๆ

“เฮ้อ..หมดซะที” ระบิลว่า
“นี่ขนซื้ออะไรกันมาเยอะแยะลูก” กันต์ถาม
“ถามคนนี้คนเดียวเลยค่ะอากันต์” เนติมาบอก
เนติมาถอนใจพลางค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้ ระบิลยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ผมจะขออนุญาตกวาดล้างเช็ดถูให้ที่นี่เอี่ยมขึ้นหน่อยนะครับ สบายตาจะได้สบายใจด้วย”
“เอาสิ..อยากทำอะไรก็ทำ ผมอนุญาต”
“แต่อย่าทำให้คนที่นี่เดือดร้อนมากไปกว่านี้ก็แล้วกัน” เสียงเจือจันทร์บอกดังขึ้น
ระบิล เนติมา กันต์ หันไปทางด้านหลังเห็นเจือจันทร์เดินออกมาด้วยสีหน้าที่ยังรู้สึกอึดอัด
“ลำพังฉันเอง ฉันไม่เห็นด้วยกับการที่พวกเธอมาอยู่ที่นี่อยู่แล้ว นี่ถ้าคุณกันต์ไม่ขอไว้ ฉันไม่...”
“คุณจันทร์ไม่เอาน่า”
กันต์พูดปรามเจือจันทร์อย่างใจเย็น ขณะที่เนติมายกมือไหว้เจือจันทร์อย่างนอบน้อม
“เนติ์สัญญานะคะว่าจะนำความสุขมาคืนทุกคนให้ได้”
“ห้องข้างบนมีว่างอยู่สองห้อง เลือกเอาเอาว่าอยากนอนห้องไหน อ้อ...สำหรับคุณ” เจือจันทร์ว่า
ระบิลยิ้มแล้วชิงบอก
“ผมขออนุญาตนอนในห้องหนังสือนี่ก็แล้วกันครับ ผมจะได้ไม่ต้องขึ้นไปให้คุณขวัญเธอตกใจอีก”
ระบิลชี้ไปที่ห้องหนังสือที่เปิดค้างไว้อยู่ เนติมามองระบิลด้วยความไม่เข้าใจ
“นายจะบ้าเหรอ นอนเข้าไปได้ไงในนั้น”
“นั่นสิ ห้องก็ไม่ได้ใหญ่โต ที่จะกางเตียงก็ไม่มี” กันต์บอก
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ผมนอนยังไงก็ได้ อีกอย่างนอนข้างล่างก็เป็นทำเลรักษาความปลอดภัยที่ดีครับ”
ระบิลหันไปพูดกับเนติมา
“ไม่ต้องห่วงนะคุณ เกิดใครย่องเข้ามาตอนดึกๆ ผมจะเห่าให้คุณรู้เอง โฮ่งๆๆ ไงเสียงใช้ได้มั้ย”
ระบิลยิ้มหน้าทะเล้น ทำเอาเนติมานิ่วหน้ามองระบิลด้วยความหมั่นไส้

เวลากลางคืน ดลเลิกงานแล้วกำลังนั่งทานก๋วยเตี๋ยวข้างทางอยู่กับอนงค์ อนงค์เงยหน้าไปมองดลที่กำลังทานก๋วยเตี๋ยวด้วยความหิว ตรงหน้าดลมีชามก๋วยเตี่ยวที่ทานหมดแล้ววางซ้อนอยู่สองชาม
“หิวเหรอจ๊ะพี่ดล”
“อืม..วันนี้ข้าวกลางวันไม่ได้กินเลยอ่ะ”
“แล้วทำไมไม่กินล่ะจ๊ะ”
“ก็ลูกค้าเยอะน่ะอ้อ รถเข็นนี่เดี๋ยวหมดๆ เติมแทบไม่ทัน”
“เหนื่อยแย่เลยใช่มั๊ยจ๊ะ”
อนงค์มองดลด้วยความสงสาร ดลพยักหน้ารับคำแต่ยิ้มอย่างมีความสุข
“เหนื่อย..แต่ได้เงิน แค่นี้พี่ก็หายเหนื่อยแล้ว แต่เดี๋ยวงานที่ซุปเปอร์ก็หมดแล้วล่ะ เขารับพี่ทำชั่วคราวแค่ครึ่งเดือนเอง”
ทางเดินริมถนน ดลกับอนงค์เดินคุยกันมาอย่างมีความสุข
“ลดงานลงบ้างก็ดี พี่ดลทำงานหลายอย่างจนสายตัวจะขาดแล้วรู้มั้ย” อนงค์ว่า
“แหม..ไม่ขาดง่ายๆหรอกน่า พี่ยังหนุ่มยังแน่น ฟิตเปรี๊ยะ”
ดลทำท่าทำทางเบ่งกล้ามชกลมโชว์ความฟิตอย่างขำๆ จนอนงค์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เงื้อมือไปตีดลเบาๆ
“อายเขาน่าพี่ดล”
“อ้ออาย..แต่พี่ไม่อายนี่นา..อุ๊ย !”
ดลสะดุ้งด้วยความเจ็บสะบัดมือเร่าๆ อ้อมองด้วยความสงสัยจะคว้ามือของดลมาดู แต่ดล
“เป็นอะไรจ๊ะพี่ดล ไหน..ขออ้อดูมือหน่อยสิ”
“ไม่มีอะไรหรอกอ้อ พี่ก็ร้องเล่นมุขไปอย่างนั้นแหละ”
“มุขอะไร อ้อไม่เชื่อหรอก เอามือมาดูเดี๋ยวนี้เลยนะ”
อนงค์คว้ามือของดลได้ดึงเอามาดูแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นแผลพองจากการทำงานหลายแผล
“ตายแล้ว นี่พี่ดลทำงานหนักจนเป็นแผลขนาดนี้เลยเหรอจ๊ะ”
“เล็กน้อยน่า เมื่อกี้ยังไม่เห็นเจ็บเลย”
“ไม่เจ็บ..หรือฝืนที่จะไม่เจ็บกันแน่จ๊ะ พี่ดลช่วยพ่อทำสวนที่บ้านยังไม่เคยเป็นอย่างนี้เลยนะ”
อนงค์ถอนใจและรู้สึกสงสารดลขึ้นมาจับใจ

ภายในคอนโดฯ อนงค์กำลังทายาที่มือให้ดลอย่างเอาใจใส่ ปากก็บ่นเรื่องดลทำงานหนักไปเรื่อย
“พรุ่งนี้อ้อว่าหยุดงานซะวันดีกว่านะจ๊ะ”
“หยุดได้ไง รับปากเขาไว้แล้ว ขืนเบี้ยวอีกหน่อยใครเขาจะจ้างพี่ล่ะ”
ดลนั่งเอาคางเกยกับโต๊ะพยายามอธิบายด้วยความเพลียแต่อนงค์ก็พยายามแย้งเตือน
“แต่เราก็ไม่ได้จนถึงขนาดต้องทำงานหนักขนาดนี้นี่จ๊ะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าพี่ไม่อยากรบกวนพ่อ พี่น่ะรบกวนพ่อเขามาเยอะแล้วนะอ้อ”
“คิดมากน่าพี่ดล พ่อเขา...”
ดลพูดแทรกขึ้นทันที
“ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อนะ ไม่งั้นพี่โกรธจริงๆด้วย”
ดลพูดทั้งๆที่ยังงัวเงีย ขณะที่อนงค์หยิบสมุดเล็กๆเล่มหนึ่งที่ดลใช้จดงานขึ้นมาอ่านอย่างเซ็งๆ
“เช้าไปช่วยเพื่อนขายของในตลาด สิบโมงไปมหาวิทยาลัย บ่ายสองไปช่วยส่งเอกสาร สี่โมงเย็นทำงานในซุปเปอร์มาร์เก็ต สามทุ่มครึ่งร้านข้าวต้มหน้าปากซอยให้ไปช่วยงาน อะไร พรุ่งนี้มีทำงานรอบดึกด้วยเหรอจ๊ะ แล้วอย่างนี้จะไหวมั้ย”
อนงค์เงยหน้าขึ้นจะต่อว่าดลที่ทำงานหนัก แต่ปรากฏว่าดลหลับไปแล้ว
“พี่ดล..พี่ดล ดูสิเหนื่อยจนหลับไปแล้ว”
อนงค์ถอนใจอย่างเซ็งก่อนหันมาอ่านสมุดจดงานของดลอีกครั้งก็ต้องชะงักที่ข้อความสุดท้าย
“เลิกงานแล้วอย่าลืมซื้อโจ๊กมาฝากอ้อด้วย”
อนงค์อ่านแล้วใจเย็นลงทันทีรู้สึกตื้นตันใจในความเอาใจใส่ของดลเป็นอย่างมาก อนงค์ค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือดลอย่างอ่อนโยน
“พี่ดลไม่เคยลืมอ้อเลย อ้อสัญญาว่าอ้อจะเป็นเด็กดีของพี่ดลตลอดๆไปเลยนะจ๊ะ”

อนงค์มองดลอย่างยิ้มๆ ความผูกพันที่มีให้กันมาตั้งแต่เด็กๆ กำลังจะพัฒนาเป็นความรัก

เนติมากำลังเดินคุยโทรศัพท์กับศิวัชมาตามทางเดินบริเวณหน้าห้องพักด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“คิดถึงสิคะแต่นี่มันดึกแล้ว อีกอย่างพี่ศิวัชอาจหลงทางได้นะคะ”
เนติมาฟังปลายสายนิดหนึ่ง ก่อนยิ้มออกมา
“ไม่ต้องห่วงค่ะที่นี่เรียบร้อยดี พวกนั้นยังไม่รู้หรอกค่ะว่าเนติ์มาอยู่ที่นี่..พี่ศิวัชก็พักผ่อนมากๆนะคะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน เนติ์ก็รักพี่ศิวัชนะคะ ฝันดีค่ะ”
เนติมาวางสายโทรศัพท์อย่างมีความสุข ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากในห้องพัก เนติมานิ่วหน้าด้วยความสงสัย
เนติมาเปิดประตูห้องเข้ามาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นระบิลกำลังปูเตียงเสร็จเรียบร้อยพอดี
“นาย !”
“อ้าว..มาพอดีเรียบร้อยหมดแล้วนะครับ ทำความสะอาดพื้น ปูเตียง ล้างห้องน้ำ ที่เหลือคุณก็เช็คอินอยู่ได้เลย”
“เรื่องพวกนี้ฉันทำเองได้”
“ขืนรอคุณมาทำ เที่ยงคืนจะได้นอนรึเปล่า แค่คุยโทรศัพท์เติมหวานให้กันก็เป็นชั่วโมงแล้ว”
ระบิลยิ้มเป็นเชิงแซว เนติมาค้อนใส่ด้วยความหมั่นไส้ ก่อนเดินเข้ามาดูรอบๆห้อง เห็นบริเวณห้องสะอาดเอี่ยมอ่องมีระเบียบ เนติมาอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นแจกันดอกไม้ถูกประดับด้วยดอกไม้ที่หาได้ง่ายๆเช่นดอกเฟื่องฟ้า ดอกเล็บมือนาง ดอกแก้ว แต่ถูกจัดอย่างน่ารักบ่งบอกถึงความละเอียดอ่อนของระบิล
ระบิลยิ้มแล้วบอก
“เด็ดจากแถวๆนี้แหละคุณ ดอกแก้ว ดอกเล็บมือนาง ตอนนอนคุณจะได้หอมชื่นใจ”
“อืม..ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรครับถือว่าเป็นบริการเสริม”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี จนเนติมาอดยิ้มออกมาไม่ได้ เนติมาจะเดินไปยังหน้าต่างที่มีม่านปิดอยู่ ก่อนแง้มม่านออกมองไปยังบ้านอิสราวัชร ซึ่งเคยเป็นบ้านของตน แววตาของเนติมารู้สึกหม่นหมองขึ้นทันที
ระบิลตามเนติมาเข้ามามองผ่านผ้าม่านไปด้วย ระบิลเข้าใจความรู้สึกของเนติมา
“คิดถึงบ้านเหรอคุณ”
“อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ แต่เอื้อมไปสัมผัสไม่ได้”
“วันหนึ่งมันจะกลับมาเป็นของคุณ”
ระบิลพยายามพูดให้กำลังใจ เนติมายิ้มเศร้าๆ ก่อนชี้ให้ระบิลดูที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
“ฉันเคยวิ่งเล่นตรงนั้น..กับน้องชาย”
“น้องชาย...”
ระบิลไม่เคยรู้มาก่อนว่าเนติมามีน้องชาย ระบิลและเนติมามองไปที่สนามหญ้าบ้านอิศราวัชร... เสียง
หัวเราะอย่างสนุกสนานของเนติมาและยศวีร์ดังแว่วขึ้นมา
เนติมาในวัย 10 ขวบกับยศวีร์วัย 4 ขวบกำลังวิ่งเล่นกันอย่างมีความสุข โดยมีวิเชียรกับพรรณศรี ผู้เป็นพ่อกับแม่นั่งอยู่บนเสื่อนั่งมองลูกทั้งสองอย่างมีความสุข
“ฉันมีน้องชายอีกคนชื่อยศวีร์ ครอบครัวเรามีสี่คนพ่อแม่ลูก บ้านหลังนั้นคือสวรรค์ของพวกเรา บ้านหลังนั้นมีแต่รอยยิ้ม บ้านหลังนั้นไม่มีน้ำตา”
“แล้วตอนนี้น้องชายคุณอยู่ไหนครับ”
“มีคนๆหนึ่งพาเขาไป หลังจากพ่อแม่ฉัน...”
เนติมาพูดได้เท่านั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาสองสามนัด!!
เนติมาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจกับภาพหลอนที่ติดตามาตั้งแต่เด็ก ระบิลมองด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรรึเปล่าคุณ”
“เออ..ฉันไม่เป็นอะไร”
เนติมาพูดกลบเกลื่อนความรู้สึกเศร้าที่อยู่ในใจ จังหวะเดียวกันนั้นแสงไฟหน้ารถก็สาดเข้ามาที่หน้าต่างพาดไปยังใบหน้าของเนติมาอย่างรวดเร็ว ระบิลรีบดึงตัวเนติมาให้นั่งลงกับพื้นทันที
“หลบ !”
ระบิลกับเนติมาแอบอยู่ที่ผนังชำเลืองมองแสงไฟหน้ารถที่สาดผ่านผ้าม่านไป ก่อนเนติมาจะแอบแง้มผ้าม่านออกมองไปอีกครั้ง
“ระวังนะคุณ”
“พวกนั้นมาแล้ว”
“ใคร !”
ระบิลขยับตามเนติมาขึ้นไปมองลอดผ้าม่านออกไปเห็นอิทธิหาญกำลังลงจากรถ โดยมีลูกน้องหลายคนคอยต้อนรับอยู่ เนติมามองด้วยสายตามุ่งมั่นที่จะแก้แค้นให้ครอบครัวของตนให้ได้
“คนที่เป็นหัวหน้านั่นเป็นลูกชายของนายพงษ์เลิศ พอพ่อเป็นใหญ่ก็ตั้งตัวเป็นมาเฟีย เชื้อชั่วไม่ทิ้งแถวจริงๆ”
“คุณจำหน้าคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นได้บ้างรึเปล่า” ระบิลถาม
เนติมาถอนใจแล้วบอก
“จนตายฉันก็ไม่ลืม แต่ไม่มีคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นอยู่เลยอ่ะ”
เนติมาพูดด้วยความเสียดาย ก่อนจะตะลึงด้วยความตกใจเมื่อเห็นใครคนหนึ่งจึงรีบชี้ให้ระบิลดูทันที
“นั่น !”
“ไหนครับ”
“คนที่เพิ่งลงมาจากรถนั่นไง”
ระบิลมองตามแต่ต้องตกใจเมื่อเห็นปานลงมาจากรถ ระบิลจำได้ทันทีเพราะปานเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายระบิลที่หายสาบสูญไป เนติมาจ้องปานเขม็ง ภาพความเจ็บปวดในอดีตเอามาในความทรงจำอีก
พรรณศรีพยายามกระเสือกกระสนพลิกตัวกลับขึ้นมาต้องชะงักด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อเห็นเนติมายืนช็อกด้วยความตกใจอยู่ที่มุมหนึ่งของสวนหย่อมหน้าบ้าน พรรณศรีพยายามส่งสายตาบอกลูกสาวประมาณว่าอย่าเข้ามา
พงษ์เลิศหันไปสั่งปานเสียงเด็ดขาด
“ปาน !”
“ครับนาย”

ปานรับคำอย่างรู้งานพลางหยิบปืนขึ้นมาแล้วจัดการสวมลำกล้องเก็บเสียงด้วยความชำนาญ

เนติมายังคงจ้องปานด้วยน้ำตาคลอเบ้า มือของเนติมากำผ้าม่านแน่นด้วยความแค้น
 
“นายคนนั้น เป็นคนยิงคุณพ่อคุณแม่ของฉัน”
“อะไรนะครับ !”
ระบิลอุทานขึ้นมาเบาๆด้วยความตกใจด้วยอารมณ์ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ไม่อยากเชื่อว่าปานจะทำเรื่องร้ายแรงขนาดนี้และสงสัยมากว่าว่า ปานมาทำงานให้อิทธิหาญได้อย่างไร

เช้าวันรุ่งขึ้น ภายในห้องพัก เนติมาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เดินออกมาจากห้องน้ำแล้วหันไปมองดอกไม้ในแจกันที่ระบิลเป็นคนจัดไว้ให้ เนติมาอดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะได้กลิ่นหอมของอาหารลอยมา เนติมาชะงักด้วยความสนใจ
“ใครทำอะไร หอมจัง”
เนติมาเดินตามกลิ่นมาที่ห้องครัวเห็นระบิลกำลังทอดไส้กรอกอยู่อย่างคล่องแคล่วและมีความสุข
โดยมีกันต์ซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นมองระบิลทำอาหารด้วยความเพลิดเพลิน ระบิลหันมายิ้มให้เนติมา พลางชี้ให้ดูอาหารที่เตรียมไว้บนโต๊ะอย่างอารมณ์ดี
“ตื่นแล้วเหรอคุณ ต้อนรับมื้อแรกของบ้านหลังนี้ด้วยมัสมั่นไก่นะครับ”
“อืม..ดีจัง ฉันไม่ได้ทานตั้งนานแล้ว”
“เมนูนี้อยู่ในหนังสืออาหารไทยของคุณเลยนะ”
ระบิลพูดอย่างอารมณ์ดี เนติมายิ้มพยักหน้ารับรู้อย่างชอบใจ ก่อนระบิลจะหยิบขนมปังหัวกะโหลกอย่างดีขึ้นมาให้เนติมาดู
“เอาขนมปังหัวกะโหลกปิ้งจิ้มแกงมัสมั่นไก่ รับรองอร่อยถึงชาติหน้าเลยล่ะครับ”
“เว่อร์”
เนติมายิ้มค้อนระบิลด้วยความหมั่นไส้ กันต์หันไปพูดกับเนติมา
“เมื่อคืนหลับสบายมั๊ยลูก”
เนติมายิ้มแล้วบอก
“สบายค่ะอากันต์ ขอบคุณอากันต์อีกครั้งนะคะที่ให้เนติ์อยู่ด้วย”
“เราคนบ้านใกล้เรือนเคียงกันนี่นา”
กันต์ตอบอย่างมีน้ำใจ เนติมาสลดลงนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงบ้านของตัวเอง ก่อนระบิลจะสังเกตเห็นจึงรีบพูดแทรกขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนเรื่องให้เนติมายิ้มได้
“พรุ่งนี้อยากทานเมนูอาหารไทยแบบในหนังสือเมนูไหนก็เลือกมาได้เลยนะครับ เดี๋ยวเชฟจัดให้”
“เมนูไหนก็ได้ ฉันทานได้ทั้งนั้นแหละ”
เนติมาพูดอย่างขอบคุณ เจือจันทร์เดินเข้ามาพอดี สายตามองระบิลทำครัวอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก ระบิลหันไปพูดยิ้มๆ
“ผมเตรียมของคุณขวัญไว้ให้แล้วนะครับ”
เจือจันทร์มองอาหารที่ระบิลจัดเตรียมไว้ในถาดชุดหนึ่งแล้วพยักหน้ารับคำอย่างเสียไม่ได้ เนติมาหันไปยิ้มให้เจือจันทร์
“เดี๋ยวเนติ์เอาไปให้ขวัญเองนะคะ”
“มาผมช่วย”
“คุณไม่ต้องขึ้นไปเลยนะ ฉันไม่อยากเห็นลูกสาวฉันตกใจอีก”
“แต่เราต้องเพิ่มความมั่นใจให้ขวัญนะคะอา ขวัญจะได้กล้าที่จะกลับออกมาสู่โลกภายนอก”
“เราปล่อยให้ลูกเก็บตัวอยู่แต่บนห้องนานเกินไปแล้วนะ” กันต์บอก
“ดูเผินๆ เหมือนคุณขวัญจะมีเกราะป้องกันภัยที่แข็งแรง แต่เอาเข้าจริงแล้ว การทำแบบนี้ยิ่งทำให้คุณขวัญอ่อนแอลงนะครับ”
ระบิลพูดยิ้มอย่างใจเย็น เจือจันทร์ครุ่นคิดด้วยความสับสน
“แต่ขวัญกลัว...”
“วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่คุณขวัญกลัวครับ นับจากวันนี้จะเป็นวันที่คุณขวัญจะกล้าแล้วก็จะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆครับ”
ระบิลพูดให้ความมั่นใจกับเจือจันทร์และกันต์ กันต์เอื้อมมือไปจับมือเจือจันทร์อย่างให้กำลังใจ

ภายในห้อง ขณะที่ขวัญชนกกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเรียก ขวัญชนกรีบลุกแล้วยกเก้าอี้ กล่อง ลังไม้ ไปดันประตูไว้ทันที
“ขวัญ นี่ฉันเอง เนติ์ไงขวัญ เปิดประตูให้ฉันหน่อยนะ”
ขวัญชนกชะงักสีหน้าครุ่นคิดด้วยความไม่สบายใจนัก ประตูเปิดห้องถูกเปิดออกมา ขวัญชนกเห็นเนติมายืนยิ้มอยู่ที่หน้าประตู
“ขวัญ...”
ขวัญชนกขยับจะปิดประตู แต่เนติมารีบจับบานประตูไว้ ก่อนพูดกับขวัญชนกอย่างใจเย็น
“เธอยังไม่หายโกรธฉันอีกเหรอ”
“ฉัน...ฉันไม่ได้โกรธเธอ”
ขวัญชนกพูดด้วยเสียงที่ยังไม่มั่นใจนัก เนติมายิ้มออกมาอย่างเบาใจขึ้น ก่อนค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือ
ขวัญชนกช้าๆด้วยความนุ่มนวล
“ฉันดีใจที่เธอไม่โกรธฉัน ฉันจะทำทุกอย่างให้ครอบครัวของเธอกลับมามีความสุขเหมือนเดิมนะขวัญ”
ขวัญชนกสีหน้าเศร้า หม่นหมองบอก
“ความสุขมันตายไปจากที่นี่นานแล้วเนติ์”
“ความสุขไม่ได้ตาย แต่เธอไม่หยิบมันขึ้นมากอดไว้ต่างหาก แต่ก่อนอื่น เธอต้องกล้าที่จะออกไปยืนบนโลกภายนอกก่อนนะ”
“แต่ฉัน...”
เนติมายิ้มแล้วบอก
“ฉันมีเพื่อนมาแนะนำให้เธอรู้จักอย่างเป็นทางการด้วยนะ”
ขวัญชนกชะงักรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที เนติมายิ้มอย่างใจเย็น
“เธอเคยเห็นเขาแล้ว เขาเป็นคนดี ไว้ใจได้ เขาจะมาช่วยพวกเรา”
“ช่วย...”
ขวัญชนกพูดด้วยความสงสัย เนติมายิ้มหันไปด้านหลังเห็นถาดที่มีอาหารซึ่งระบิลเป็นคนทำวางอยู่ขวัญชนกนิ่วหน้ามองด้วยความสงสัย ระบิลโผล่ออกมายืนด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง ขณะที่ขวัญชนกตกใจด้วยความกลัว ภาพอดีตที่น่ากลัวผุดขึ้นมาทันที

วันนั้นในอดีต... ขวัญชนกกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง แต่ต้องสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย โครมครามมาจากด้านนอก
“อย่านะ อย่าขึ้นไป โอ๊ย !” เสียงกันต์ร้องขึ้น
“คุณ !”
ขวัญชนกลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตกใจ รีบวิ่งไปยกเก้าอี้ กล่องหรือลังที่มีน้ำหนักมากั้นประตูห้องไว้ 3-4 ชิ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงทุบประตูจากด้านนอกดังขึ้นมาอย่างน่ากลัว
“เปิดประตู !” เสียงอิทธิหาญดังขึ้น
ขวัญชนกสะดุ้งเฮือกด้วยความกลัวถอยร่นห่างจากประตูทันที ขณะที่เสียงจากด้านนอกยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“เปิด !”
“หยุดนะ จะทำอะไร โอ๊ย !”
เสียงเจือจันทร์ดังแทรกเข้ามา ก่อนจะตามด้วยเสียงโครมครามที่เจือจันทร์ถูกตบล้มลงกับพื้น ขวัญชนกรู้สึกเป็นห่วงแม่มากจึงลุกพรวดไปที่ประตูแต่ก็ต้องชะงักเมื่อประตูถูกลูกน้องของอิทธิหาญกระแทกเข้ามาอย่างแรง จนของที่ขวัญชนกเอามากันไว้กระจัดกระจาย
 
ขวัญชนกถอยร่นไปสุดมุมห้องตัวสั่นด้วยความกลัว

หงส์สะบัดลาย ตอนที่ 2 (ต่อ)

อิทธิหาญก้าวเข้ามาในห้อง เตะข้าวของที่ขวางทางอยู่อย่างกร้าวร้าว

“คิดว่าของพวกนี้จะขวางฉันได้เหรอ”
อิทธิหาญส่งสายตาให้ลูกน้องคนหนึ่งอย่างรู้กัน ลูกน้องปรี่เข้าไปจับตัวขวัญชนก ขณะที่ขวัญชนกพยายามดิ้นแต่สู้แรงไม่ได้
“ไม่นะไม่ !”
“อย่าทำอะไรลูกฉันนะ โอ๊ย !”
เจือจันทร์วิ่งตามเข้ามาจะช่วยลูกสาว แต่ถูกอิทธิหาญคว้าแขนแล้วเหวี่ยงลงไปกองกับพื้น ลูกน้องอีกคนรวบตัวเจือจันทร์ไว้ทันที ทั้งเจือจันทร์และขวัญชนกร้องไห้อย่างใจเสีย
“คุณแม่ !”
“ขวัญ !”
อิทธิหาญกวาดสายตามองขวัญชนกหัวจรดเท้าด้วยสายตาเจ้าชู้ พลางเอื้อมมือไปลูบไล้แก้มขวัญชนกด้วยความชอบใจ ขวัญชนกพยายามขืนตัวแต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น
“น่ารักอย่างนี้ ไม่น่าเก็บตัวอยู่ในห้องให้เสียของเลยนะ”
“อย่าทำอะไรลูกฉันเลย ฉันขอร้อง”
“แล้วตอนนั้น แกขอร้องสำเร็จมั้ยล่ะ”
อิทธิหาญหันไปพูดกับเจือจันทร์อย่างสะใจ เจือจันทร์พยายามดิ้นเพื่อที่จะไปช่วยลูกสาว แต่ไม่สำเร็จ
ได้แต่ร้องไห้ออกมาด้วยความคับแค้นใจ อิทธิหาญหันขวับไปมองขวัญชนกอย่างได้ใจ ขณะที่ขวัญชนกกลัวจนตัวสั่น ยกมือไหว้ทั้งน้ำตา
“อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้ว”
“กลัวสิดี ฉันชอบ ฮ่าๆ”
“ไม่..ไม่ !”
เจือจันทร์พยายามร้องและดิ้นรนที่จะไปช่วยลูกสาว แต่สู้แรงลูกน้องของอิทธิหาญไม่ได้ เจือจันทร์ร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ
อิทธิหาญหัวเราะด้วยความสะใจ ค่อยๆเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้แก้มขวัญชนก ขวัญชนกหลับตาเกร็งด้วย
ความกลัว แต่จังหวะเดียวกันปานก็เดินตามเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เสี่ยครับ นายให้มาตามครับ”
อิทธิหาญชะงักนิดหนึ่งถอนใจออกมาอย่างขัดใจ ก่อนหันไปพูดกับขวัญชนกด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ พลางเอานิ้วไล้แก้มขวัญชนกนิดหนึ่ง
“เอาไว้ฉันจะกลับมาใหม่ เวลาเห็นพวกแกจนตรอกเนี่ย ฉันมีความสุขที่สุด ฮ่าๆ เฮ้ย..ไป”
อิทธิหาญลุกเดินนำออกไปพร้อมกับปานกับลูกน้องทั้ง 2 คน เจือจันทร์รีบโผเข้าไปกอดขวัญชนกที่นั่งร้องไห้กอดเข่าอยู่ที่มุมห้องด้วยความกลัว เจือจันทร์พยายามกลั้นน้ำตากอดลูกสาวแน่นอย่างน่าสงสาร

ขวัญชนกจ้องหน้าระบิลด้วยความกลัว ขณะที่ระบิลหยิบถาดอาหารขึ้นมายื่นให้ขวัญชนกดูด้วยรอยยิ้ม พลางพูดอย่างอารมณ์ดี
“อาหารเช้าครับคุณขวัญ ฝีมือผม...”

เจือจันทร์กับกันต์ที่รอดูสถานการณ์อยู่บริเวณเชิงบันไดข้างล่างต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงถ้วยจานตกลงที่พื้น ตามมาด้วยเสียงขวัญชนกดังลั่นมาจากชั้นบน
“ออกไป..ออกไป !”
“ลูก !”
เจือจันทร์ขยับจะก้าวขึ้นบันไดไปชั้นบน แต่กันต์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นรีบคว้ามือเจือจันทร์ไว้ทันที เจือจันทร์หันมาพูดอย่างหัวเสีย
“ลูกกำลังตกใจนะคุณ”
“เชื่อผม..ใจแข็งหน่อยนะ”
กันต์พูดอย่างใจเย็น ขณะที่เจือจันทร์ชักสีหน้าด้วยความร้อนใจเพราะเป็นห่วงขวัญชนกมาก

ที่ชั้นบน … อาหารและจานอาหารที่กระจัดกระจายอยู่ที่พื้น เนติมากอดปลอบขวัญชนกที่ซบหน้าตัวสั่นกลัวอยู่
“ใจเย็นๆไม่ต้องกลัวนะขวัญ คุณระบิลเป็นคนใจดี เขาจะมาดูแลความปลอดภัยให้เรานะ”
ระบิลถอนใจแล้วมองขวัญชนกอย่างเข้าใจความรู้สึก ก่อนก้มลงเก็บจานที่แตกอยู่ที่พื้น ขวัญชนกพูดเสียงดังขึ้นมาจนระบิลชะงักไป
“ฉันบอกให้ออกไป ออกไป !”
เนติมารีบกระชับกอดขวัญชนกทันทีที่เห็นเพื่อนรักร้องไห้หนักขึ้น ก่อนหันไปพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ออกไปก่อน ระบิลยิ้มให้เนติมาเล็กน้อยเป็นเชิงเข้าใจพลางมองขวัญชนกด้วยความสงสาร

เนติมาเดินออกมาจากในบ้านพร้อมกับถอนใจออกมาอย่างโล่งอก
“บ่นปวดหัวก็เลยให้นอนไปแล้วล่ะค่ะ” เนติมาบอก
เจือจันทร์พูดกับระบิล
“ฉันบอกคุณแล้วเห็นมั้ย ว่าอย่าขึ้นไป ตกลงจะมาทำให้ทุกอย่างดีขึ้นหรือแย่ลงกันแน่เนี่ย”
“คุณ...”
กันต์พูดเตือนเจือจันทร์อย่างให้กำลังใจ ระบิลยิ้มเจื่อนอย่างรู้สึกผิด
“เออ..ผมขอโทษครับ ยังไงครั้งหน้าผมจะระวังมากกว่านี้”
“ครั้งหน้า นี่...”
เจือจันทร์พูดยังไม่จบประโยค เนติมาก็แทรกขึ้น
“แต่เราเลี่ยงไม่ได้นะคะ ยังไงขวัญก็ต้องออกมาพบโลกภายนอกนะคะอาจันทร์”
“เราจะให้ลูกใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องนอนไปทั้งชีวิตไม่ได้นะคุณ” กันต์ว่า
เนติมาเดินเข้าไปพูดกับเจือจันทร์อย่างใจเย็นโดยมีกันต์ช่วยพูด เจือจันทร์คิดตามแล้วก็ถอนใจด้วยความไม่สบายใจ กันต์เอื้อมมือไปกุมมือเจือจันทร์อย่างให้กำลังใจ ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างเข้าใจความรู้สึก

ภายในห้องหนังสือในอดีต...
กันต์ซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นกำลังพิมพ์เอกสารด้วยคอมพิวเตอร์อย่างเอาจริงเอาจัง ข้างตัวมีหนังสือประมวลกฎหมายและเอกสารมากมายตั้งอยู่หลายเล่ม เจือจันทร์ในสภาพโทรมๆ เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ร้ายกับครอบครัวจึงไม่ได้ดูแลตัวเอง เจือจันทร์เดินเข้ามามองกันต์ด้วยสายตาหมดอาลัยตายอยาก
“นี่คุณยังไม่เลิกพยายามที่จะสู้กับพวกมันอีกเหรอ”
“ยัง ! ให้มันรู้ไปว่าพวกมันจะอยู่เหนือกฎหมาย”
“แล้วที่ครอบครัวเราเหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่ร่วมสองปีนี่มันยังไม่ชัดอีกเหรอคุณ”
เจือจันทร์พูดน้ำตาคลอเบ้าด้วยความคับแค้นใจ ขณะที่กันต์ยังคงพูดออกมาด้วยความมุ่งมั่น
“ผมประสานกับท่านอธิบดีแล้ว ท่านเป็นคนดี ท่านรับปากจะช่วยเราคราวนี้เราจะส่งเรื่องให้สื่อมวลชนด้วยนะคุณ”
“คุณมั่นใจเหรอคะ”
“ผมเป็นอัยการนะคุณ ครั้งนี้ผมรวบรวมหลักฐานพร้อมทุกอย่างที่จะเอาผิดพวกมันได้ ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่มาจากไหน มันต้องได้รับโทษตามกฎหมาย”
กันต์พูดอย่างเอาจริงก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามเจือจันทร์ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงด้วยความเป็นห่วง
“ลูกเป็นยังไงบ้างคุณ”
เจือจันทร์ถอนใจแล้วบอก
“เหมือนเดิม ไม่รู้ชาตินี้ลูกเราจะต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ข้างบนรึเปล่า ฉัน...”
“ไม่นานหรอกคุณ อีกไม่นานลูกเรา ครอบครัวของเราจะกลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ วันนั้นผมปกป้องครอบครัวของผมไม่ได้ แต่วันนี้ผมจะพาความสุขกลับคืนมาให้ครอบครัวผมให้ได้”
กันต์พูดขึ้นด้วยความมั่นใจมาก ขณะที่เจือจันทร์พยักหน้ารับรู้อย่างไม่ยินดียินร้ายอะไรนัก แล้วเลี่ยงตัวเองเดินออกไปอย่างเนือยๆ
“ฉันไปดูลูกก่อนนะคะ”

กันต์ยิ้มให้เจือจันทร์เล็กน้อย ก่อนหันไปจัดการกับเอกสารที่ทำค้างไว้ในคอมพิวเตอร์ต่อไป

กันต์เลื่อนรถเข็นเข้ามาภายในห้องนั่งเล่น พร้อมเอกสารจำนวนหนึ่งที่วางอยู่บนตัก กันต์พูดโทรศัพท์กับท่านอธิบดีอย่างมีความหวัง

“ครับท่าน เอกสารครบถ้วนใช่มั้ยครับ”
อธิบดีวัย 55 ปีนั่งอยู่ที่โต๊ะภายในห้องทำงาน กำลังคุยโทรศัพท์กับกันต์พลางนั่งมองเอกสารในมืออยู่ด้วยสีหน้าเจื่อนและพยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติที่สุด
“เออ..ครบถ้วนดีคุณกันต์”
“ผมคงต้องรบกวนท่านประสานงานกับตำรวจกับสื่อมวลชน ส่วนเรื่องคดี ผม...”
“คุณกันต์...”
อธิบดีพูดด้วยน้ำเสียงอึกอักด้วยความอึดอัดเป็นอย่างมาก จนกันต์รู้สึกผิดสังเกต
“มีอะไรรึเปล่าครับท่าน”
อธิบดีถอนใจก่อนพูดออกมา
“คดีของคุณ ผมว่าลำบากแล้วล่ะ”
“อะไรนะครับ ก็ไหนท่านบอกว่า...”
ภายในห้องทำงานของอธิบดีมีปานยืนประกบอยู่ข้างๆ ปานกระชากโทรศัพท์จากมืออธิบดีมาอย่างไม่เกรงใจ ก่อนยื่นให้พงษ์เลิศที่นั่งประจันหน้าอยู่กับอธิบดี
พงษ์เลิศรับโทรศัพท์มาอย่างใจเย็น ขณะที่อธิบดีนั่งกระสับกระส่ายด้วยความอึดอัด ไม่กล้าสบสายตาของพงษ์เลิศ
“แกคิดจะเอากฎหมายที่เป็นแค่ตัวหนังสือมางัดฉันให้ล้มเลยงั้นเหรอ”
กันต์ตะลึงด้วยความแปลกใจ คิดอะไรอยู่นิดหนึ่งก็รู้ทันทีว่าเป็นเสียงใคร
“แก...”
“แกคิดว่าการเคลื่อนไหวของแก จะไม่อยู่ในสายตาฉันเหรอ ฉันทำงานใหญ่ขนาดนี้ ฉันไม่ปล่อยให้แมลงหวี่ แมลงวันอย่างแกมาตลบหลังฉันง่ายๆหรอก ฮ่าๆ”
“เลวที่สุด โธ่โว้ย !”
กันต์พูดออกมาด้วยความเจ็บใจ ขณะที่พงษ์เลิศมีสีหน้ายิ้มเยาะ ก่อนพูดอย่างเอาจริงก่อนวางสายว่า
“บทเรียนคราวที่แล้วคงไม่สาสมพอ ฉันจะสอนบทเรียนเสริมให้พวกแกอีกที”
“แกจะทำอะไร ฮัลโหล..ฮัลโหล”
กันต์พยายามพูดแต่ไร้ผลเพราะพงษ์เลิศหลังพูดแล้วก็วางสายไป
เสียงโครมครามดังมาจากด้านนอก กันต์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเลื่อนรถออกไปดูทันที

ลูกน้องของพงษ์เลิศเดินอาดๆเข้ามาในบ้านปรี่จะขึ้นไปชั้นบน แต่กันต์รีบปรี่รถเข็นเข้าไปขวางไว้ทันที
“พวกแกเข้ามาทำไม”
“ก็มาเยี่ยมลูกสาวมึงไง หลีกไปไอ้เดี้ยง !” ลูกน้องคนแรกบอก
“ไม่นะ..ไม่ !”
ลูกน้องพยายามผลักกันต์ออก แต่กันต์พยายามคว้าตัวลูกน้องทั้งสองคนไว้อย่างสุดชีวิต จนตัวเองตกจากรถเข็น ลูกน้องทั้งสองคนรุมซ้อมกันต์ไม่ยั้งมือ
“ไม่เหรอ นี่ไง !”
เจือจันทร์วิ่งลงมาจากชั้นบน ปรี่เข้าช่วยกันต์ทันที แต่กลับโดนลูกน้องของพงษ์เลิศซ้อมเข้าด้วยอีกคน
“คุณ ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ หยุด !”
“กูไม่ได้มาหามึง กูมาหาลูกสาวมึง หลีกไป !” ลูกน้องคนแรกบอก
“อย่านะ ฉันขอร้อง อย่า !”
เป็นจังหวะที่เจือจันทร์เห็นลูกสาวแอบมองลงมาจากช่องบันไดด้านบนพอดี เจือจันทร์หันไปตะโกนบอกขวัญชนก
“ขวัญเข้าห้องไป ล็อกประตูห้องด้วยลูก เร็ว..เร็วสิลูก !”
ขวัญชนกรีบวิ่งขึ้นไปทันที จังหวะเดียวกันลูกน้องทั้งสองคนของพงษ์เลิศจะวิ่งตามขึ้นไป แต่โดนกันต์กับเจือจันทร์รวบขาไว้
“อย่านะ ฉันขอร้อง อย่าทำอะไรลูกสาวฉันเลย”
“งั้นกูทำกับมึงสองคนก็ได้” ลูกน้องคนแรกบอก
ลูกน้องทั้งสองคนของพงษ์เลิศกำลังจะลงมือซ้อมกันต์กับเจือจันทร์อีกรอบ แต่โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะพอดี ลูกน้องคนแรกรีบรับสาย
“ครับนาย”
ลูกน้องนิ่งฟังนิดหนึ่งก่อนรับคำและยื่นโทรศัพท์ให้กันต์
“ได้ครับ...นายจะพูดกับมึง”
กันต์ในสภาพบอบช้ำจากการโดนซ้อมค่อยๆรับโทรศัพท์มาฟัง เสียงของพงษ์เลิศเต้มไปด้วยความสะใจ
“วันนี้ฉันจะเว้นลูกสาวแกไว้ก่อน แต่ถ้าแกยังคิดจะเอากฎหมายมาเล่นงานฉัน รับรองลูกสาวแกไม่รอดแน่ แกก็รู้ฉันชอบเห็นคนตายทั้งเป็น ฮ่าๆๆ”
กันต์มือไม้อ่อนด้วยความหมดหวัง ก่อนจะปล่อยโทรศัพท์ตกพื้น ลูกน้องหยิบขึ้นมาพูดต่อ
“ครับนาย จะกลับเดี๋ยวนี้ครับ เฮ้ย..กลับ”
ลูกน้องคนแรกวางสายก่อนนำลูกน้องอีกคนเดินออกไป ทั้งสองคนมองกันต์กับเจือจันทร์ที่ถูกซ้อมจนบอบช้ำอย่างสะใจ
กันต์ร้องไห้ออกมาด้วยความคับแค้นใจ ค่อยๆคลานไปหาเจือจันทร์ที่นั่งร้องไห้อย่างหมดอาลัย
ตายอยากในชีวิต กันต์ค่อยๆกอดเจือจันทร์อย่างรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
“ผมขอโทษ...ผมขอโทษ”

กันต์ถอนใจออกมาก่อนเรียกความมั่นใจ ก่อนหันไปพูดกับเจือจันทร์อย่างใจเย็น
“ไม่มีอะไรทำเราเจ็บปวดไปมากกว่าช่วงเวลานั้นแล้วล่ะคุณ เราต้องกล้าแล้วก็ช่วยกันพาลูกของเรากลับออกมาสู่โลกภายนอกแล้วนะ”
เจือจันทร์คิดตามที่กันต์พูด ก่อนปาดน้ำตาที่คลอเบ้า แล้วหันไปพูดกับระบิลด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณจะทำยังไง”

ระบิลกับเนติมามองหน้ากันนิดหนึ่ง ระบิลคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนยิ้มออกมาอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้

ภายในห้อง ขวัญชนกกำลังหยิบเสื้อจากตู้เสื้อผ้า เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้เธอตกใจอีกครั้ง ขวัญชนกหันขวับไปที่ประตู เห็นกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆสอดเข้ามาที่ช่องว่างใต้บานประตู ขวัญชนกชะงักมองด้วยความสงสัย

ขวัญชนกหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจ เห็นข้อความในกระดาษเขียนไว้ว่า “อาหารเย็นอย่างเหลา เอาใจด้วยน้ำใจมิตรภาพ โดย เชฟระบิล” ขวัญชนกนิ่วหน้าด้วยความสงสัย
ประตูห้องค่อยๆเปิดออก ขวัญชนกค่อยๆโผล่หน้าออกมา มองถาดอาหารที่มีอาหารหน้าตาน่าอร่อย
วางอยู่สองสามอย่าง ขวัญชนกมองถาดอาหาร แล้วมองไปรอบๆอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

ระบิลกับเนติมาแอบมองขวัญชนกอยู่ที่ทางขึ้นบันไดบ้าน ลุ้นว่าขวัญชนกจะยกถาดอาหารเข้า
ไปทานในห้องรึเปล่า
“ นายแน่ใจเหรอว่าจะได้ผล” เนติมาพูดเบาๆถามระบิล
“มื้อเช้ากับมื้อกลางวันผมให้คุณเจือจันทร์จัดอาหารเบาๆมาให้คุณขวัญทั้งนั้น รับรองตอนนี้พยาธิในพุงคุณขวัญกำลังประท้วงเรียกร้องให้คุณขวัญหม่ำอาหารของผมแน่ๆ” ระบิลพูดเบาๆตอบ
ระบิลคุยโวอย่างมั่นใจ แต่เนติมายังสงสัยอยู่
“มั่นใจเหลือเกินนะ”
“อ๊ะ..มั่นใจสิคุณ ยิ่งผมไม่โผล่หน้าไปให้คุณขวัญตกใจด้วยยิ่งมั่นใจ”
ทันทีที่ระบิลพูดจบทั้งระบิลกับเนติมาก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้น ระบิลยิ้มชอบใจเพราะคิดว่าแผนของตัวเองสำเร็จแล้ว
“นั่นไง ! สำเร็จเสร็จตามแผน”
ระบิลกับเนติมาหันขวับไปมองทันทีพบว่าขวัญชนกกลับเข้าห้องไปแล้ว โดยไม่ได้นำอาหารเข้าไปด้วย เนติมาถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“เสร็จ เราน่ะเสร็จ ไหนว่ามั่นใจไง”
“โธ่..มั่นใจสิครับ เราค่อยๆตีเนียนเข้าไปสร้างความอุ่นใจให้คุณขวัญกันนะคุณ”
ระบิลพูดยิ้มอย่างมีกำลังใจ เนติมาคิดตามระบิลแล้วยิ้มออกมาอย่างเห็นด้วย

เวลาต่อมา กระดาษโน้ตอีกแผ่นถูกสอดมาใต้ประตูห้องนอน ขวัญหยิบขึ้นมาดูรูปการ์ตูนยิ้มที่เขียนอยู่บนกระดาษพลางครุ่นคิดอย่างชั่งใจ
ขวัญชนกปิดประตูกลับเข้าไปในห้อง โดยไม่แตะต้องอาหารที่อยู่ในถาดที่วางอยู่หน้าห้องแม้แต่น้อย
ระบิลกับเนติมาที่ซ่อนตัวอยู่มุมหนึ่งมองภาพตรงหน้าด้วยความเสียดาย
ขวัญชนกเปิดประตูห้อง เห็นเนติมายืนยิ้มถือถาดอาหารอยู่หน้าห้อง ขวัญชนกรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเมื่อเห็นเนติมา แต่รอยยิ้มของขวัญชนกเจื่อนลงเป็นรู้สึกกลัว ก่อนจะปิดประตูลงอีกครั้ง
เนติมาที่ยืนอยู่หน้าห้องนิ่วหน้าด้วยความสงสัย ก่อนชำเลืองมองไปด้านหลังพบระบิลตามมายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เนติมามองค้อนระบิลที่โผล่มาผิดจังหวะ ระบิลยิ้มเจื่อนก่อนแก้เก้อเดินออกไปทันที
ภายในห้องนอน ขวัญชนกตักข้าวฝีมือระบิลใส่ปาก สีหน้าของขวัญชนกรู้สึกถึงความชอบใจในรสมือของระบิลขึ้นมาทันที แต่ไม่แสดงออกอะไรออกมามากนัก
เนติมานั่งยิ้มมองขวัญชนกด้วยความชอบใจ
“ไงจ๊ะขวัญ..ฝีมือคุณระบิลอร่อยใช่มั้ย”
ขวัญชนกพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตักข้าวใส่ปากอีก แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงระบิล
“บอกแล้ว ว่าคุณขวัญต้องติดใจ”
ขวัญชนกตกใจหันไปมอง เนติมายื่นคลิปในมือถือให้ดูซึ่งเป็นคลิประบิลในชุดพ่อครัวที่สวมหมวกเชฟ,ผ้ากันเปื้อนควงตะหลิวพูดอย่างอารมณ์ดีอยู่ในครัว
“คุณขวัญฯอยากหม่ำอะไรสั่งมาได้เลยนะครับ อาหารไทย จีน ฝรั่ง ผมทำเป็นหมด ผมมีเด็กเสิร์ฟบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
เนติมาอดค้อนไปที่โทรศัพท์มือถือไม่ได้ด้วยความหมั่นไส้ เพราะรู้ว่าระบิลหมายถึงตน ขวัญชนกยังกล้าๆกลัวๆ ไม่กล้ามองระบิลในคลิปเต็มตานัก
“อาหารอร่อยจะทำให้อารมณ์ดี เมื่ออารมณ์ดีทุกอย่างก็จะดีตามไปด้วย ผมจะทำอาหารอร่อยๆให้คุณขวัญทานทุกวัน คุณขวัญจะได้อารมณ์ดีทุกวันเลยไงครับ ดีมั้ยครับ”

เนติมายิ้มมองขวัญชนกอย่างสังเกต ขวัญชนกนิ่งยังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ อยู่ อย่างบอกไม่ถูก

ระบิลในคลิปพูดต่ออย่างอารมณ์ดี เหมือนรู้ว่าขวัญชนกจะไม่ตอบอะไร
“ไม่ตอบ ผมถือว่าไม่ปฏิเสธ งั้นผมถือโอกาสเดลิเวอรี่ให้ทุกวันเลยนะครับ เรารู้จักกัน แล้วไงผมจะไปแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกที บ๊ายบาย” ระบิลยิ้มโบกมือให้อย่างอารมณ์ดี
เนติมายิ้มมองขวัญชนก ก่อนพูดอย่างใจเย็น
“เห็นมั้ย คุณระบิลเขาไม่น่ากลัวซะหน่อย”
“แต่...”
“ถ้าคุณระบิลมีอันตราย ฉันคงไม่พาเขามาใกล้ครอบครัวเธอหรอกนะ”
ขวัญชนกสีหน้ายังเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจแต่ไม่ตอบอะไร

เช้าวันใหม่...เสียงเคาะประตูดังขึ้น ขวัญชนกเดินไปเปิดประตูเพราะนึกว่าเป็นเนติมา

“เนติ์...”
ทันทีที่ประตูเปิดออกกลับไม่ใช่เนติมา แต่กลายเป็นระบิลที่ยืนถือถาดอาหารยิ้มให้อยู่ที่หน้าประตู
ขวัญชนกตะลึงด้วยความตกใจทันที
“ไม่ ! ออกไปนะ ออกไป !”
ขวัญชนกออกอาการกลัวขึ้นมาทันทีถอยร่นไปติดผนัง ขณะที่ระบิลพยายามพูดอย่างใจเย็น
“ใจเย็นๆครับคุณขวัญ ผมระบิลไงจำผมไม่ได้เหรอครับ”
“ออกไป !”
ขวัญชนกน้ำตาคลอเบ้าเบือนหน้าหนีระบิลไม่กล้าสบตาด้วยความกลัว จังหวะเดียวกันเนติมาก็วิ่งแซงระบิลเข้าไปกอดปลอบขวัญชนกทันที
“ตั้งสติหน่อยนะขวัญ คุณระบิลเขาไม่ทำร้ายเธอหรอก”
“มาทำอาหารอร่อยๆให้ทานด้วยนะครับ ฮะฮ่า..นี่ไงอเมริกันเบรคฟาสต์เลยนะครับ”
ระบิลยิ้มหน้าเป็นพลางยื่นถาดอาหารโชว์ให้ขวัญชนกดู แต่ขวัญชนกยังไม่สนใจ
ระบิลคิดนิดหนึ่งก่อนยิ้มออกมาแล้วหยิบไส้กรอกในจานใส่ปากทันทีด้วยความเอร็ดอร่อย
“อืม..อร่อยจริงๆนะคุณ ไม่ลองหน่อยเหรอ นี่..แล้วจะเสียใจ”
ระบิลจัดการจิ้มทั้งแฮม ไส้กรอก ไข่ดาว ขนมปัง นม น้ำส้ม ใส่ปากอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจนเนติมากับขวัญชนกมองด้วยความตะลึง ระบิลทานของจนหมดอย่างรวดเร็ว
“ว๊าย..นาย !”
“ว๊ายอะไรคุณ”
ระบิลหันไปพูดกับขวัญชนก
“ไงครับคุณ ลองสักคำมั้ย”
ระบิลยื่นถาดที่อาหารหมดเรียบทุกอย่างให้ขวัญชนก ก่อนจะแกล้งสะดุ้งอย่างตลกๆ ขณะที่ขวัญชนกมองระบิลอย่างแปลกๆ
“อุ๊ย ! หมดได้ไงวะ”
“ไม่หมดได้ไง ก็นายเล่นโกยเข้าปากซะขนาดนั้น”
เนติมาพูดอย่างหมั่นไส้ ขณะที่ระบิลลอยหน้าลอยตาพูดอย่างอารมณ์ดี
“แหม..คุณ ก็มันอร่อยนี่นา”
ระบิลยิ้มให้ขวัญชนกแล้วบอก
“สักชุดมั้ยครับคุณ เอิ๊ก !”
ระบิลพูดพลางแกล้งเรอเสียงดัง ก่อนจะยิ้มเจื่อนอย่างอายๆ ขวัญชนกมองท่าทางของระบิลแล้วอดที่จะเผลอตัวขำออกมาไม่ได้ รู้สึกถูกชะตากับระบิลขึ้นมา

ทำเอาเนติมากับระบิลถึงกับชะงักมองขวัญชนกด้วยความแปลกประหลาดใจ

โปรดติดตาม "หงส์สะบัดลาย" ตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น