ชิงนาง ตอนที่ 2
รถไฟเพิ่งแล่นเข้าจอดเทียบชานชลาสถานีรถไฟเชียงรายในตอนเช้า บรรยากาศรายรอบ ดูวุ่นวายไปหมด ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ ทั้งผู้โดยสาร คนที่มาคอยรับญาติ พ่อค้า แม่ขาย ส่งเสียงเซ็งแซ่
ภูผาก้าวลงจากรถไฟ กวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นแต่ความวุ่นวาย ชายหนุ่มเดินสะพายเป้ใบโตเบียดฝูงคนออกมา จังหวะหนึ่งถูกพ่อค้าแม่ค้าเบียดมาชนจนเซไปข้างหลัง และกระแทกเข้ากับใครบางคนอย่างแรง
ยินเสียงร้องอย่างตกใจ “โอ๊ย”
ภูผารีบหันขวับกลับมาดู...ที่แท้เป็นหนูนาที่ถูกเขาชนจนล้มก้นจ้ำเบ้าไป หญิงสาวมองมาหน้าตาเอาเรื่อง
“ขอ...”
ภูผาจะเข้าไปช่วยดึงขึ้นแต่ถูกปัดมือทิ้งอย่างแรง....หนูนารีบลุกขึ้นมาด่าภูผาเสียงดัง
“ไม่ต้องมาช่วย! ระวังหน่อยสิ พ่อสร้างสถานีรถไฟไว้รึไง!”
ภูผาอ้าปากจะขอโทษแต่พอได้ยินคำด่าเลยชะงัก หันหลังกลับทันที
หนูนาด่าไล่หลัง “นี่ไม่คิดจะขอโทษเหรอไง”
ภูผาจะเดินไป หนูนาไม่พอใจ
หนูนาฉุนกึก พูดกับตัวเอง “มากไปแล้ว”
หนูนากระชากไหล่ภูผาให้หันกลับมา
“หัดเห็นหัวคนอื่นเขาบ้าง” กำหมัดแน่นแล้วต่อยออกไปทันที
ภูผาไวกว่า คว้าข้อมือหนูนาไว้แล้วบิดจนหนูนาร้องลั่น
“โอ๊ย”
ภูผาปล่อยมือหนูนาอย่างแรง จนร่างเซถลาไป หนูนาหันกลับมา
“แก!”
หนูนาโกรธจัดถลาเข้าไปจะต่อยอีก
ภูผาชี้หน้าหนูนา ตวาดเสียงดัง “ฉันไม่รังแกผู้หญิง! อย่าหาเรื่อง!”
หนูนาชะงักที่เจอคนจริงอย่างภูผา
ภูผามองจ้องหนูนาที่นิ่งงันไป แล้วกลับหลังหันเดินไป...หนูนาใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก เจอคนจริงมันโดนใจอย่างจัง!!!
แต่เมื่อหนูนามองไปรอบๆ ก็เห็นทุกสายตากำลังมองมาที่ตัวเอง รู้สึกเสียหน้านิด ๆ
หนูนาแก้เก้อตะโกนตามหลังไป “ฉันไม่ได้หาเรื่องนายนะ! นี่!”
ภูผาเดินไปไม่สนใจหันกลับมา หนูนาฮึดฮัดฟึดฟัด ดึงกระดาษที่เหน็บอยู่ด้านหลังออกมา
ภูผาเดินมาอีกด้านของสถานี วางเป้ลงข้างตัว สอดส่ายสายตามองหา ยินเสียงย่าศรีเรือนดังก้องในหัว
“ไปถึงที่นั่นจะมีคนมารับ ชื่อนายสว่าง”
ท่ามกลางฝูงคนวุ่นวายขวักไขว่ ภูผามองไปรอบๆ จนภูผาเห็นป้ายชื่อตัวเอง ภูผายิ้มโล่งใจก่อนจะเดินฝ่าคนเข้าไปหา ผู้คนเริ่มบางตาจนเห็นว่าเป็นหนูนาที่ยืนชูป้ายที่เขียนว่า ‘ภูผา’ อยู่
หนูนาหันมาเจอภูผาที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก และกำลังจ้องมาแน่วนิ่ง ก็ตกใจเช่นกัน
ต่างคนต่างอึ้ง ตะลึงงัน
เวลาเดียวกัน เดือนวางโหลปลาการ์ตูนไว้บนโต๊ะมุมหนึ่งในห้องอรุณ ก่อนที่จะผละไปจัดยาให้ อรุณนั่งมองจ้องมาที่ปลาด้วยความสงสัย
“พี่พฤกษ์ให้มางั้นเหรอ?”
วงเดือนส่งยาให้อรุณ ยิ้มตอบ
“ค่ะ คุณพฤกษ์บอกว่ามันหลงทางมาติดอวน ก็เลยยกให้น่ะค่ะ”
อรุณรู้ทันทีว่าวงเดือนไปทำไม ชักใจไม่ดี ถามขึ้นเบาๆ
“แล้วทำไมเดือนต้องไปหาพี่พฤกษ์ด้วย...ปกติก็ไม่เห็นเคยไป”
เห็นวงเดือนนิ่งไปไม่ตอบ…อรุณยิ่งรู้สึกแปลกใจ
“คุณอรุณรีบทานยาเถอะค่ะ”
อรุณโพล่งขึ้น “พี่พฤกษ์รักพี่ผามาก...เขารู้รึเปล่าว่าพี่ผาไปไหน พี่พฤกษ์บอกเดือนรึเปล่า?!”
วงเดือนอึ้งไปที่อรุณคาดคั้นเหมือนไม่อยากให้เธอรู้ว่าภูผาไปไหน
อรุณใจหายวาบ นึกได้รีบแก้ตัว “ก็....ฉันเป็นห่วงพี่ผา...”
วงเดือนหน้าเศร้า ใจหล่นวูบไปเหมือนกัน “คุณพฤกษ์ก็ไม่ทราบค่ะว่าไปที่ไหน”
อรุณมีท่าทีโล่งใจ
“ทานยาเถอะค่ะ” วงเดือนบอก
อรุณรับยามากิน สีหน้าสับสน..รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำ
ขณะที่วงเดือนเข้าใจว่าอรุณเสียใจที่ภูผาจากไป จึงพูดปลอบ
“ดูเจ้าปลาตัวนี้สิคะ ....เดือนว่ามันเหมือนคุณภูผา” อรุณไม่เข้าใจ “เหมือนยังไง?”
“ปกติปลาพวกนี้ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่เจ้านี่พลัดมาตัวเดียว ต้องผจญภัยตามลำพัง ต่อสู้ตามลำพัง …เหมือนคุณภูผาตอนนี้ไม่มีผิด”
อรุณหน้าหมอง ในใจยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น
“ตอนเด็กๆ ถึงคุณภูผาจะเกเร แต่เวลามีเรื่องก็คอยปกป้องคุณอรุณทุกครั้ง...มีเจ้าปลานี่มาอยู่ด้วย คุณอรุณจะได้รู้สึกเหมือนมีคุณภูผาอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลายังไงล่ะคะ” วงเดือนพูดพาซื่อ
อรุณอึ้งไป เหลือบตามองปลาแล้วต้องหลบตาไปทางอื่น ไม่กล้ามองเพราะความรู้สึกผิดในใจเหลือเกิน
ภูผาอยู่ในรถที่หนูนาเป็นคนขับ รถแล่นมาตามถนนมุ่งหน้าไปทางไร่ ภูผาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา สองข้างทาง เห็นวิวทิวทัศน์สวยงามเคลื่อนตัวผ่านไปมาอย่างรวด
จังหวะหนึ่งหนูนาเหลือบตามองอย่างไม่ถูกชะตา เปรยขึ้นลอยๆ
“ที่นี่ไม่มีทะเล มีแต่ภูเขา จะอยู่ได้เร้อ....”
ภูผานิ่ง ไม่โต้ตอบอะไร
หนูนาไม่หยุดพ่นพูดต่อ “น้ำทะเลทางใต้มันคงเย็นมากสินะ คนถึงได้เย็นชาซะขนาดนี้”
ภูผายังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น
หนูนาชักทนไม่ไหว “นี่คุณจะเป็นใบ้อีกนานไหม ตั้งแต่ขึ้นรถมาก็ปล่อยให้ฉันพูดคนเดียวอยู่ได้ เหนื่อยนะ!”
“ก็หุบปากสิ จะได้ไม่เหนื่อย”
หนูนาหันขวับไปมองภูผาสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ภูผาหน้าตาเฉยเมยเหมือนไม่มีความรู้สึก
“นี่ถามจริงเหอะ ทำตัวเป็นผีดิบอย่างงี้..มีหัวใจรึเปล่าเนี่ย”
ภูผาตอบนิ่งๆ “เคยมี!”
หนูนาสะอึกเงียบไป บรรยากาศอึดอัด
วงเดือนอยู่ในห้องพัก สวมชุดพยาบาลเตรียมตัวไปคลินิก หญิงสาวหยิบกระเป๋าถือ แต่สายตาของไปชะงักหยุดที่ช่อดอกผักบุ้งแห้งที่ใส่แจกันอยู่หัวเตียง ภาพจำของเธอกับภูผาที่ทะเลวันนั้นผุดพรายขึ้นมา
ตอนนั้นทั้งสองดำดิ่งลงในน้ำ วงเดือนตกใจแต่สักพักก็ตั้งสติได้ ภูผายื่นดอกผักบุ้งในมือให้ วงเดือนยิ้มๆเอือมในความระห่ำของชายหนุ่ม ภูผายัดดอกไม้ใส่มือ วงเดือนจำใจรับไว้ก่อนว่ายขึ้นไปเหนือน้ำ รอยยิ้มของภูผาผุดขึ้นบนใบหน้า
มือของวงเดือนเอื้อมหยิบดอกผักบุ้งแห้งช่อนั้น จ้องมองด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“คุณภูผา..คุณอยู่ที่ไหน...”
เวลาเดียวกันพฤกษ์ยืนอยู่ที่หน้าห้องภูผา ทายาทคนโตของแสนสมุทรยืนมองวงเดือนที่ร้องไห้อยู่ด้วยความสะเทือนใจ
“ฉันสัญญา..ฉันจะดูแลหัวใจของแก..จนถึงวันที่แกกลับมาทวงมันคืน ภูผา”
วงเดือนหยืบเอาช่อดอกผักบุ้งทะเลขึ้นมาแนบอกร่ำไห้ เหมือนจะส่งผ่านความรู้สึกไปถึงภูผา
เวลาเดียวกันภายในรถกระบะระหว่างทางไปไร่ ภูผาสังหรณ์ใจแว่บขึ้นมา
มือภูผาล้วงหยิบดอกผักบุ้งแห้งดอกหนึ่งออกมาจากเป้ เพ่งมองและอดคิดถึงวงเดือนไม่ได้ ภูผาหน้าหมองเศร้า
หนูนาขับรถไปก็แอบเหลือบตาสังเกตภูผา
“อกหักมาเหรอ?”
ภูผาหันมอง สายตาบ่งบอกว่าอย่ายุ่ง! หนูนาหุบปากหมับ! ชายตามองอึ้งๆ ไม่กล้าตอแย
ภูผามองดอกผักบุ้งอีกครั้งเหมือนตัดใจได้ ชายหนุ่มยื่นมือออกไปนอกรถ ปล่อยดอกผักบุ้งแห้งทิ้งให้ลอยลิ่วไปตามลม
ดอกผักบุ้งทะเลถูกทิ้งอยู่บนถนน ขณะที่รถแล่นทะยานขึ้นภูเขา ห่างออกไป ไกลออกไป...ทุกที
บ้านไม้หลังใหญ่ ต้นไม้หนาครึ้ม….นายสว่างกับดอย เด็กหญิงวัย 8-9 ขวบ ท่าทางแก่นกวน มายืนรอรับภูผาอย่างตื่นเต้น
“เขาเป็นคนใต้ เราเป็นคนเหนือ จะพูดกันรู้เรื่องไหมเนี่ย” ดอยบ่นอุบ
“เขาว่ายังไงเราก็ว่าตามเขา เพราะเขามาอยู่ในฐานะเจ้านาย” สว่างบอก
“ขี้ข้ารับทราบ”
รถกระบะเลี้ยวเข้ามา
สว่างหันไปเห็นเอ่ยขึ้น “นั่นไง มากันแล้ว”
รถจอดสนิท สว่างกับดอยยืนรอด้วยความตื่นเต้น หนูนากับภูผาลงจากรถ
สว่างรีบเข้าไปหาภูผาอาการพินอบพิเทา ยกมือไหว้ ดอยยกมือไหว้ตาม
“ผมสว่างครับ”
“หนูมืด เอ๊ย หนูดอยจ้ะ”
“ได้รับโทรเลขจากคุณศรีเรือนว่านายภูผาจะมาถึงวันนี้ ผมเลยส่งหลานสาวไปรับ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปรับเอง มัวแต่ทำความสะอาดบ้านไว้ต้อนรับคุณ นายนั่งรถไฟมาทั้งคืนคงจะเหนื่อย เชิญเข้าบ้านไปพักผ่อนก่อนครับ ผมช่วย” สว่างกุลีกุจอจะแย่งหิ้วกระเป๋าเป้ให้
ภูผาเอ่ยออกมา “ไม่เป็นไร ผมยังไม่อยากพัก” ชายหนุ่มมองไปรอบๆ “ที่นี่สวยมาก ทั้งธรรมชาติ แล้วก็...” ภูผาไล่สายตามองมาเจอหนูนาพอดี
หนูนาใจเต้นตึกตัก คิดว่าภูผาจะพูดชมแบบมีนัย
ภูผากลับมองเลยไปและว่า “อากาศ”
หนูนาอึ้งไป
ก่อนได้เวลาเปิดคลินิก....วงเดือนกำลังเขียนจดหมายตรงโต๊ะทำงาน
“คุณภูผา เดือนเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงคุณทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะต้องส่งไปที่ไหน ถึงตอนนี้คุณอาจจะเกลียดเดือนไปแล้วก็ตาม เดือนแค่อยากให้คุณรู้ว่าทำไมถึงไม่ได้ไปพบคุณที่สถานีรถไฟ...ทำไมถึงต้องผิดนัด...”
เวลาเดียวกันเมฆาจอดรถหน้าคลินิก วงเดือนเห็นเข้ารีบเก็บจดหมายปาดน้ำตา พยายามทำตัวปกติ
เมฆาเดินเข้ามาเห็นวงเดือนตาแดงใบหน้าบวม รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับวงเดือน เมฆาหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองออกมาแล้วส่งให้
วงเดือนมองผ้าเช็ดหน้าของเมฆาอึ้งไปชั่วขณะ
“เดี๋ยวคนไข้เข้ามาจะตกใจ เห็นพยาบาลร้องไห้ขนาดนี้ จะพาลเข้าใจว่าหมอเมฆาดุมาก ไม่มีใครกล้ามารักษากันพอดี”
วงเดือนยอมรับมาเช็ดน้ำตา
เมฆายิ้มให้น้อยๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ฉันมีเคสผ่าตัดที่โรงพยาบาล เลยแวะมาบอกก่อน กลัวคนไข้จะรอ อาจจะมาถึงช้าหน่อย แต่จะรีบมา”
“ค่ะ”
เมฆาออกไป
วงเดือนเก็บเอกสารเสร็จ เดินไปดึงประตูหน้าปิด ทันใดนั้นผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น วงเดือนไม่ทันมองคิดว่าเป็นเมฆา
“คุณเมฆาลืมอะไรเหรอคะ?”
พอวงเดือนเงยหน้ามองแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นโฉมไฉไลยืนก๋าอยู่ตรงหน้า
โฉมไฉไลมองหน้าวงเดือนเหยียดๆ แล้วผลักประตูออกอย่างแรงจนวงเดือนเซไป…วงเดือนอึกอักๆ งุนงง….โฉมไฉไลเดินพรวดเข้ามายังด้านใน มองไปไม่เจอใคร
“ถ้าคุณมาพบคุณหมอ ตอนนี้ไม่อยู่นะคะ เย็นๆ ถึงจะเข้ามา” วงเดือนถามต่ออย่างไม่แน่ใจ “เอ่อ..ไม่ทราบว่าจะรอไหมคะ ดิฉันจะได้เตรียมทำประวัติไว้ให้”
โฉมไฉไลเหยียดยิ้ม “อยากรู้ประวัติฉันเหรอ ได้ เอาสิ”
วงเดือนหยิบแฟ้มประวัติมาเตรียมไว้รอ
“ขอทราบชื่อด้วยค่ะ”
“โฉมไฉไล”
“นามสกุลล่ะคะ”
“ไม่จำเป็น เพราะฉันกับเมฆาเราสนิทกันมาก” โฉมไฉไลเน้นเสียงตรงท้ายประโยค
วงเดือนเริ่มตระหนักว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เป็นมิตรแน่นอน “เอ่อ...ค่ะ...ไม่ทราบว่าวันนี้มีอาการยังไงบ้างคะ”
โฉมไฉไลมองเดือนแล้วยิ้มเยาะ ก้าวเข้ามาหาใกล้ๆ แล้วจ้องวงเดือนตั้งแต่หัวจรดเท้า พูดใส่หน้า
“คลื่นไส้ ขยะแขยง เห็นแล้วจะอ้วก!”
วงเดือนอึ้ง ตะลึงงัน ตกใจมาก หน้าชาไปหมด
“ไม่จดลงไปล่ะ อยากรู้นักไม่ใช่เหรอ”
วงเดือนก้มหน้านิ่ง ไม่ตอบโต้….โฉมไฉไลยิ้มสะใจ
“ผู้หญิงจืดชืดอย่างเธอ คิดจะจับเมฆาของฉัน มันไม่ง่ายหรอกนะ”
วงเดือนมองโฉมไฉไลในกิริยาอึ้งๆ และยังไม่ทันจะพูดอะไร โฉมไฉไลดึงแฟ้มมาเขียนตัวโตๆ ทับลงไป....วงเดือนจะห้ามแต่ไม่ทัน โฉมไฉไลเขียนเสร็จผลักแฟ้มคืนให้
“ส่งให้ถึงมือเขาด้วย ถ้าคืนนี้เขาไม่ไปตามนัดล่ะก็ เธอต้องรับผิดชอบ!”
“แต่ดิฉันไม่เกี่ยวนี่คะ”
“แต่ฉันรู้ว่าเธออยากเกี่ยว แล้วก็รอจะเกี่ยว ยากหน่อยนะ ถ้าต้องสู้กับคนอย่างฉัน!”
โฉมไฉไลสะบัดตัวเดินออกไป วงเดือนใจคอไม่ดี มองบนแฟ้ม โฉมไฉไลเขียนไว้ว่า
คืนนี้ ที่เดิม รัก โฉม
ตรงบริเวณทางเข้าไร่ มีประตูไม้กั้นเขตไว้ หนูนาขี่ม้าพาภูผามาหยุดที่หน้าไร่
ภูผากระโดดลงจากม้ามองไปทั่วบริเวณ เห็นสภาพทั้งไร่ที่แสนจะรกร้าง หนูนาลงม้าเดินตามมา
“แย่หน่อยนะ ที่มันไม่สวยงามอย่างที่คุณคิด”
ภูผาไม่ตอบเดินเข้าไปกลางไร่ ทรุดตัวนั่งลงยองๆ ใช้มือลูบสัมผัสผืนดิน ที่แห้งและแตกระแหง
“ที่ผืนนี้ถูกทิ้งมานาน ตั้งแต่เจ้าของเก่าขายให้ย่าของคุณ ก็ยังไม่มีใครมาบุกเบิก มันก็เลยรกร้างแล้วก็ว่างเปล่า”
ภูผามองไปรอบๆ ถอนหายใจอย่างหดหู่
“แต่จะว่าไปที่ผืนนี้มันก็เหมือนคุณนั่นล่ะนะ รกร้าง...ว่างเปล่า” หนูนาแขวะ
ภูผาตวัดตามองหนูนาที่จ้องหน้าตนสีหน้าเยาะเย้ย
ภูผายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ “เธอชอบฉันเหรอ?”
เจอคำพูดแทงใจเข้า หนูนาด่าออกไป “บ้า” แล้วลุกพรวด “ผู้ชายไม่มีหัวใจอย่างคุณเนี่ยนะ ไม่มีทาง!”
ภูผายิ้มน้อยๆ “ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน..หนูน้อย”
ภูผาลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าไปในไร่ หนูนายืนตัวสั่นด้วยความโกรธพูดปากคอสั่น
“อีตาบ้า! หนูนาเว๊ย หนูน้อยที่ไหนล่ะ” หนูนาทั้งโกรธทั้งอาย นึกหาคำด่า “นึกว่าหล่อนักเหรอ?! บ้า”
หนูนาหน้าแดงแจ๊ด
บรรยากาศด้านในคลับเฟื่องนครกำลังคึกคักได้ที่ เสียงเปียโนดังพริ้วหวานกังวาน ที่กลางฟลอร์ โฉมไฉไลกำลังเต้นพลิ้วไปกับเสียงเปียโน บริหารเสน่ห์ไปรอบๆ ตกเป็นจุดสนใจของบรรดาชายหนุ่ม และเป็นที่หมั่นไส้ของหญิงสาวอื่นๆ
เสียงเปียโนจบลงพร้อมกับท่าจบอันงามสง่าของโฉมไฉไล ยินเสียงปรบมือ เป่าปากดังลั่นคลับไปหมด
โฉมไฉไลเดินกลับมานั่งที่โต๊ะกลุ่มเพื่อน สาวๆ กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่
“หมั่นไส้ ทำอะไรก็เด่น ทำอะไรก็มีแต่คนสนใจ” เพื่อนสาวนางหนึ่งพูดในอาการหมั่นไส้
“เสน่ห์แรงขนาดนี้ จะกลับไปยุ่งกับแฟนเก่าทำไม ในนี้มีแต่ผู้ชายที่อยากจะเริ่มต้นใหม่กับเธอทั้งนั้น” อีกคนว่า
“ใช่ ถามจริงๆ เถอะ เธอแน่ใจแล้วเหรอที่จะกลับไปหาเมฆา”
“แต่เขาจะเอาด้วยรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย” เพื่อนๆพากันหัวเราะคิกคัก
โฉมไฉไลปรี๊ดขึ้นมาทันที “คนอย่างฉันไม่มีผู้ชายคนไหนโง่พอที่จะปฏิเสธหรอก ไม่เชื่อก็ดูเอาเองแล้วกัน”
โฉมไฉไลปรายตาไปรอบๆ...เพื่อนสาวมองตาม...เห็นว่าผู้ชายโต๊ะอื่นๆ จ้องมาที่โฉมไฉไลกันทั้งนั้น
“ฉันอาจจะเคยพลาด แต่ครั้งนี้..ฉันไม่โง่ที่จะพลาดซ้ำสองเป็นอันขาด!”
โฉมไฉไลนึกถึงเรื่องราวในอดีต
เมฆายืนจับมือโฉมไฉไลอยู่ตรงชายหาด ทีท่ากำลังง้องอนอยู่ แต่โฉมไฉไลดึงมือออก..เมฆาผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“โฉมต้องการอิสระ ความรักของคุณมันทำให้โฉมอึดอัด”
“เราก็เลยต้องเลิกกันงั้นเหรอ”
“คุณเลิกรักโฉมไม่ได้หรอกค่ะ โฉมรู้....” โฉมไฉไลมองหน้าเมฆานิ่ง อย่างเป็นต่อ “โฉมจะเลิกกับคุณเอง!”
เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น “คิดอะไรอยู่ไม่ทราบครับ”
โฉมไฉไลดึงตัวเองกลับมาหันไปมอง...เห็นชายหนุ่มท่าทางโก้ มาดเพล์บอย กำลังจ้องมาที่ตัวเอง
“ผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณไม่ต้องใช้สมองคิดมากหรอกครับ แค่ความสวยก็กินขาดแล้ว” ชายคนนั้นบอก
โฉมไฉไลยิ้ม “งั้นคุณก็คงเป็นผู้ชายที่ต้องคิดมากเป็นพิเศษสินะคะ เพราะความหล่อของคุณมันไม่มีเอาซะเลย”
ชายหนุ่มหน้าแตกดังเพล้ง
เพื่อนๆ โฉมไฉไลต่างตกใจ อึกๆ อักๆ กันไปหมด...บรรยากาศดูตึงเครียดขึ้นมาทันที
เพื่อนคนหนึ่งกระซิบบอก “โฉม ขอโทษเขาซะ ลูกเจ้าพ่อเชียวนะ เดี๋ยวก็มีปัญหาหรอก”
“แล้วไง” โฉมไฉไลไม่แยแส มองหน้าอย่างท้าทาย “เก่งยังไงก็แพ้ฉันอยู่ดี ไม่งั้นจะมายืน
อยู่ตรงนี้เหรอ”
ชายหนุ่มกลับชอบใจยิ่งนัก “มันต้องอย่างนี้สิ ผู้หญิงของผม”
โดยที่ไม่มีใครคิด โฉมไฉไลยกแก้วน้ำขึ้นสาดเข้าใบหน้าชายคนนั้นเต็มๆ ทุกคนพากันตกใจ
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงของใคร!!” โฉมไฉไลตะคอกใส่หน้าชายนิรนามลูกเจ้าพ่อ
เสียงดนตรีดังขึ้นอีกครั้ง จังหวะเต้นรำ
“แต่ถ้าอยากเป็นผู้ชายของฉัน ฉันก็จะให้โอกาสลอง”
ว่าแล้วโฉมไฉไลก็เดินนำหน้าเข้าฟลอร์เต้นรำปะปนกับคนอื่นๆ ที่ออกมาเต้นรำเช่นกัน...ชายมองตามไปอย่างถูกใจ
“ลองแน่ ไม่ต้องท้า”
ชายหนุ่มยิ้มกริ่มเดินตามเข้าฟลอร์ไป เต้นรำกับโฉมไฉไลในจังหวะแทงโก้ โฉมไฉไลวาดลีลายั่ว หยิ่งเชิด แต่เซ็กซี่เย้ายวน
ค่ำคืนเดียวกัน ภูผายืนนิ่งคิดบางอย่างอยู่ที่ระเบียง หนูนาเดินออกมาจากในบ้าน ไม่กล้าพูดอะไรเหมือนตอนแรก
“ที่นี่กลางคืนอากาศหนาว” ชี้ไปที่ฟืนกองโต “ถ้าอยากจะยืนสูดอากาศ อยู่ตรงนี้ก็ก่อไฟเอา แต่ถ้าทนไม่ไหว..ฉันก็เตรียมผ้าห่มไว้ให้หลายผืนแล้ว” หนูนาพูดเหมือนไม่ใส่ใจ แต่จัดแจงให้ทุกอย่าง
ภูผาพยักหน้ารับรู้ ก่อนเอ่ยถามขึ้น
“ถ้าจะส่งจดหมาย ต้องทำยังไง”
“ก็เขียนสิ” หนูนาอดกวนไม่ได้
ภูผาทนความกวนไม่ไหว หันกลับมามองหน้า
“ชั้นหนีมาไกลมากแล้ว ไม่อยากทะเลาะกับใครอีก เหนื่อย!” ชายหนุ่มเน้นสียงคำท้าย
หนูนางง
ภูผาหัวเสียเดินหนีไปทางอื่น หนูนารู้สึกผิด รีบเดินตามไป
“ก็ต้องเข้าไปส่งในตลาด มีตู้จดหมายอยู่ แต่ถ้าอยากให้ถึงไวๆ ก็ฝากรถไฟไป…” หนูนาง้อแต่ยังอดปากเสียไม่ได้ “ถามทำไม จะเขียนจดหมายหาแฟนเหรอ”
ภูผาเหลียวขวับมองจ้องหน้า
หนูนาสะดุ้งโหยง ถอยออกมาโดยอัติโนมัติ ส่วนภูผาเดินหนีไป
“พูดถึงแฟนแค่นี้..ต้องทำหน้าโหดใส่ด้วย” หนูนาแอบจ๋อยบ่นพึมพำ “โดนทิ้งมาแน่ๆ”
ได้เวลาปิดคลินิก…วงเดือนปิดสวิชท์ไฟ แล้วออกมาดึงประตูด้านหน้าปิด แต่ประตูดันฝืด ดึงไม่มา
ทันใดนั้น มือของเมฆาเอื้อมอ้อมตัววงเดือนเข้ามา จังหวะที่ใกล้กันนั่น วงเดือนตกใจรีบเบี่ยงตัวออกมามองหน้าเมฆา
“ตกใจอะไร? ฉันแค่จะช่วยปิดประตู”
วงเดือนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ด้วยความโล่งอก เมฆากระชากบานประตูที่ติดอยู่ให้หลุดได้แล้วจัดการปิดให้เสร็จ
“ไปกันได้แล้ว ทิ้งจักรยานไว้ที่นี่แหละ ไปรถฉัน”
“แต่ว่าคุณต้องไปที่อื่นต่อไม่ใช่เหรอคะ?”
“ฉันจะกลับบ้าน”
“แต่...คุณโฉม”
เมฆาตัดบท “ไปกันได้แล้ว”
เมฆาตรงไปที่รถเปิดประตูเข้าไปนั่ง วงเดือนจำต้องเดินไปขึ้นรถอย่างอึดอัดใจ
ครั้นพอเมฆาสตาร์ทรถ แต่ปรากฏว่าสตาร์ทไม่ติด ลองหลายครั้งก็ออกมาเหมือนเดิม เมฆากับเดือนหันมามองหน้ากันเหวอๆ
ที่สุดเมฆาต้องขี่จักรยานโดยมีวงเดือนซ้อนท้าย เมฆาขับขี่มาตามถนนทางกลับบ้าน บรรยากาศสวยงาม วงเดือนหน้าตาเหม่อลอย เมฆาดูออกตัดสินใจหยุดรถ
“เป็นอะไรรึเปล่า เห็นนั่งเหม่อตั้งแต่ที่คลีนิคแล้ว”
“เปล่าค่ะ เดือนไม่ได้เป็นอะไร”
“คิดถึงพี่ผาเหรอ”
วงเดือน “คุณเมฆา..เดือน...เดือนจะไปกล้าคิดถึงคุณภูผาได้ยังไงกันคะ”
เมฆาบอกหน้าตาเฉย “แต่ฉันว่าเขาคิดถึงเธอนะ”
วงเดือนมองเมฆาอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจถาม
“คุณเมฆาทราบหรือเปล่าคะว่าคุณภูผาอยู่ที่ไหน?”
เมฆาหยั่งเชิง “ถ้าฉันรู้แล้วยังไง เธอจะไปหาเขาเหรอ”
วงเดือนอ้ำอึ้ง อึกอัก “เอ่อ...”จากก็พูดอะไรไม่ออก
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ อรุณคงแย่...หมอนั่นไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ หรอก”
วงเดือนทำท่าเหมือนจะร้องไห้
อรุณเดินมาเปิดม่านหน้าต่างในห้องหนังสือบานหนึ่งออก มองลงไปเบื้องล่างแล้วชะงักกึก!
เห็นที่ประตูรั้ว เมฆาขี่จักรยานโดยมีวงเดือนซ้อนท้ายเข้ามาถึงพอดี
อรุณเครียด ใจไม่ดี
เมฆาขึ้นบันไดมา มองไปเห็นไฟห้องหนังสือเปิดอยู่ จึงเดินไปดู
เมฆาเดินเข้ามาในห้องหนังสือ เห็นอรุณเปิดโคมไฟนั่งอ่านหนังสืออยู่
“ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“อยากอ่านหนังสือให้จบครับ” อรุณเสมองไปทางอื่น ไม่สบตากับเมฆา
เมฆายิ้มไม่ได้สงสัยก่อนที่สายตาจะมองไปเห็นม่านหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้แค่บานเดียว....เมฆาเดินไปที่หน้าต่าง
อรุณก้มหน้าหวั่นใจ กลัวโดนจับได้ เมฆาทอดสายตามองผ่านหน้าต่างลงไป รู้ทันทีว่าอรุณรอวงเดือนและเห็นอะไรบ้าง
เมฆานิ่งทำไม่สนใจ จะเดินออกจากห้อง แต่อรุณร้อนใจโพล่งขึ้นมาเสียเอง
“รถพี่ไปไหน ทำไมพี่ต้องกลับมาพร้อมเดือนด้วย”
เมฆาจ้องน้องชายคนเล็กนิ่งๆ “อรุณ..นายกำลังทำให้แสนสมุทร” เน้นคำท้าย “ไม่เหมือนเดิม!”
“ผมยอมรับว่าผมทำผิด แต่ผมไม่มีทางเลือก! พี่ลองมารักเดือนแบบผมสิ..แล้วพี่จะเข้าใจ!”
อรุณผลุนผลันออกไป เมฆาหน้าเครียด
เมฆาพึมพำถามตัวเอง “วงเดือน..เธอมีดีอะไร? ทำไมพี่น้องของฉันถึงรุมรักเธอหมดทุกคน?”
ในที่สุดเมฆา ก็เริ่มหันสนใจในตัววงเดือนอีกคนแล้ว!!
ไฟที่หน้าคลับเริ่มปิดลงทีละดวง บอกให้รู้ว่าคลับกำลังปิดแล้ว นักท่องราตรีเริ่มทยอยกลับ เดินผ่านโฉมไฉไลที่ออกมายืนรอเมฆา ด้วยสีหน้าท่าทางดูออกว่าอารมณ์เสียมาก
โฉมไฉไลผุดยิ้มร้ายออกมา “ใจแข็งนักใช่ไหมเมฆา! โฉมจะทำให้คุณกลับมาหาโฉมให้ได้!!”
จังหวะนั้นรถยนต์ของชายหนุ่มลูกเจ้าพ่อแล่นเอี๊ยดเข้ามาจอดเทียบ...ส่งสายตาเพลย์บอยมองโฉมไฉไลอย่างมีความหมาย
“จะกลับด้วยกันไหมครับ ผมไปส่งเอง” ชายหนุ่มเน้นคำเป็นนัย “ส่งให้ถึงสวรรค์เลยก็ยังได้”
โฉมไฉไลมองอย่างครุ่นคิด ชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจ
“รอเทวดาแต่ได้ควายมาแทน” โฉมไฉไลพูดเบาๆ กับตัวเอง ก่อนจะหันไปยิ้มหวานหยดให้ชาย “แต่ถ้าส่งได้ถึงสวรรค์แน่ ก็น่าสนใจ”
โฉมไฉไลก้าวขึ้นรถชายคนนั้น เขายิ้มอย่างสมใจ ขับรถทะยานออกไปในความมืดมิดของราตรีนั้น
ชิงนาง ตอนที่ 2 (ต่อ)
วงเดือนนั่งจดปากกาเขียนจดหมายอยู่ตรงโต๊ะริมระเบียงหน้าห้องพัก
“ต่อให้เดือนสารภาพผิดอย่างไร มันก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะคุณจากไปแล้ว เดือนได้แต่หวังว่าวันนึง จดหมายฉบับนี้จะเดินทางไปถึงมือคุณ ให้คุณได้รู้ว่า ทำไมคุณต้องจากไปโดยลำพัง”
วงเดือนเงยหน้าขึ้น เช็ดน้ำตา เพ่งมองจันทร์เสี้ยวที่เปล่งแสงสลัวหม่นอยู่บนท้องฟ้า เหมือนใจของเธอในยามนี้
กองไฟลุกโชติช่วงอยู่ริมระเบียง ภูผานั่งมองพระจันทร์ดวงเดียวกันกับวงเดือน...ด้วยหัวใจที่หม่นหมอง และอ้างว้าง
“เสี้ยวนึงของหัวใจเธอ..เคยแบ่งให้ฉันบ้างไหม?”
ดวงจันทร์ถูกเมฆดำลอยเลื่อนเคลื่อนมาบดบังจนมิดมืด
วันต่อมาวงเดือนขี่จักรยานมาถึงหน้าคลินิก เห็นรถของโฉมไฉไลจอดอยู่ก็ตกใจ
“คุณโฉม”
วงเดือนจอดรถแล้วตัดสินใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่.....ในที่สุดหญิงสาวตัดสินใจยังไม่เข้าไป
ด้านในคลินิกเวลานั้น โฉมไฉไลกำลังทะเลาะกับเมฆา
“ที่นั่นมันไม่ใช่ที่ของหมอ”
“เนี่ยเหรอเหตุผลที่คุณไม่ยอมไปพบโฉมเมื่อคืน มันฟังไม่ขึ้นเลยนะคะ” โฉมไฉไลขึ้นเสียง
เมฆาไม่ตอบแต่พูดต่อ “ยังมีอีกข้อ...”
“อะไร?”
เมฆาเน้นคำ “เราเลิกกันนานแล้ว อย่าลืมสิ!”
โฉมไฉไลอึ้ง
“คลินิกใกล้จะเปิดแล้ว คุณกลับไปเถอะ..เพราะที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ของคุณเหมือนกัน”
เมฆาพูดจริงจังหน้าตาซีเรียสมาก...โฉมไฉไลตัดสินใจถอยก่อน สะบัดหน้าเดินออกมาเจอวงเดือนที่รีๆ รอๆ อยู่ด้านหน้าพอดี โฉมไฉไลเห็นเข้าก็ปี๊ด หันกลับไปหาเมฆา
“อ๋อ ที่นี่มันเป็นที่ของคุณกับนังนี่ใช่ไหมคะ โฉมถึงอยู่ไม่ได้”
เมฆาถอนหายใจเอือมระอานัก “ผมขอตัว”
เมฆาตัดบทด้วยการเดินเข้าไปด้านใน….วงเดือนก้มหน้างุดๆ จะตามเข้าไป แต่โฉมไฉไลขวางไว้
“เมฆาเป็นของฉัน ฉันจะไม่ยอมเสียเขาให้ใคร จำไว้!”
พูดจบโฉมไฉไลก็เดินปึงปังออกไป วงเดือนใจหายใจคว่ำ
เมฆายืนฟังอยู่ที่ในห้องตรวจ ได้ยินหมด ชายหนุ่มยิ่งระอาใจหนัก
ที่ภัตตาคารจีนมีระดับค่อนข้างหรู แต่เงียบเหงา ไม่มีลูกค้า โฉมไฉไลเดินกระแทกเท้าดังปึงปังเข้ามา เจออนงค์ผู้เป็นแม่
“เบื่อๆๆๆ เบื่อที่สุดเลย ทำไมโฉมต้องกลับมาอยู่ที่นี่ด้วยก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย เงียบยังกะเมืองร้าง!”
“ไปโกรธใครมา ถึงได้พาลใส่บ้านใส่เมืองซะขนาดนี้” อนงค์เงยหน้ามองลูกสาว
“โฉมไม่รู้หรอกค่ะว่านังผู้หญิงคนนั้นมันเป็นใคร แต่แค่เห็นหน้าก็เกลียดแล้ว”
“ฉันก็เห็นแกเกลียดคนไปทั่วนั่นแหละ เกิดมาแกเคยรักเคยชอบใครบ้างไหม” อนงค์เหน็บ
“ก็คุณหมอเมฆา..ลูกชายมหาเศรษฐีของเมืองนี้ไงคะ”
อนงค์มองหน้าลูกสาว “คนรักเก่าของแกน่ะเหรอ เลิกกันไปแล้ว ยังจะคร่ำคราญหาอะไรอีก”
“เลิกได้ก็เริ่มได้นี่คะ”
“เรื่องรักน่ะเก็บไว้คิดทีหลังเถอะ ตอนนี้แกควรช่วยฉันคิดถึงเรื่องเงินก่อน! หนี้สินท่วมหัวไปหมดแล้วเนี่ย ไอ้ภัตตาคารที่คุ้มหัวแกอยู่ ทุกวันนี้..จะโดนยึดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันเรียกแกกลับมาจากกรุงเทพก็เพื่อให้มาช่วยกอบกู้กิจการ ไม่ใช่ให้มาวิ่งไล่จับผู้ชาย”
โฉมไฉไลปี๊ด “โฉมก็กำลังกอบกู้อยู่นี่ไงคะ! ถ้าโฉมได้แต่งงานกับเมฆา อย่าว่าแต่กอบกู้กิจการเลย โฉมจะทำให้หม่าม้าไม่ต้องทำงานไปอีกจนตายก็ยังได้ ไม่เชื่อก็คอยดูฝีมือโฉมแล้วกัน!”
อนงค์มองลูกสาวเจ้าอารมณ์อย่างระอา แต่สีหน้าโฉมไฉไลมั่นใจมาก
อีกฟากหนึ่ง ภูผา สว่าง หนูนา และดอย ทั้งสี่เดินสำรวจต้นชาในไร่ สว่างคอยอธิบายให้ภูผาฟัง
“ต้นชาพวกนี้ปลูกมาเป็นสิบๆ ปี ทั้งแก่ ทั้งโรค ทั้งแมลงรุมเร้า เรียกว่าหาดีแทบไม่ได้แล้วล่ะครับ”
“เรียกว่าเลวกันไปเลยดีกว่า” ดอยขัดขึ้น พร้อมกับชี้ไปรอบๆ “เลวทั้งทุ่งนี่แหละ”
สว่างเขกหัวดอยแล้วรีบพูดต่อ
“ก็แล้วแต่ว่าคุณจะอยากปลูกอะไรแทนนะครับ จะพืชผัก หรือว่าดอกไม้ก็ได้ทั้งนั้น”
“ถ้าปลูกอย่างอื่น แล้วชาพวกนี้ล่ะ” ภูผาสงสัย
“ก็ไถทิ้งให้เรียบ อาจถึงกับต้องจุดไฟเผาสักครั้ง ฆ่าโรค ฆ่าเชื้อรา เอาให้สิ้นซากกันไปเลย ยังไงก็ไม่มีใครต้องการมันอยู่แล้วนี่ครับ”
ภูผาสะกิดใจ หยุดมองไปรอบๆ
หนูนาเอ่ยขัดขึ้น “จะเอายังไงก็รีบว่ามา จะได้ลงมือกันซะที”
สว่างกระทุ้งศอกใส่ “ฮึ่ย แกก็ไปเร่งคุณเขา เขาเป็นเจ้านายนะไม่ใช่เพื่อนเล่น”
หนูนาทำหน้าเบื่อหน่าย
ภูผาครุ่นคิดตัดสินใจได้ หันกลับมาบอก
“ต้นชาเลวๆ ที่ไม่มีใครต้องการพวกนี้ ผมจะเก็บไว้เอง”
ทุกคนตะลึง “ฮ้า!!”
สว่างถามย้ำ “แน่ใจเหรอครับนายภูผา”
“นั่นสิ นี่มันไม่ใช่การตัดสินใจเล่นๆ นะคุณ” หนูนาก็คาใจ
“ผมแน่ใจ ใครไม่เอา...ผมเอา!”
“ถ้าคุณจะเอาไว้จริงๆ เราก็มีงานหนักรออยู่แล้วล่ะครับ” สว่างว่า
เวลาต่อมาที่ร้านขายใบชาในตลาดเมืองเชียงราย หนูนากับภูผากำลังเลือกชากันอยู่ เป็นใบชาแห้ง ภูผาหยิบใบชากำหนึ่งขึ้นมาดม แล้ววางคืน หยิบอันใหม่ขึ้นมาดมต่อ
“ถ้าชาที่ไร่ก็อันนี้” หนูนาชี้ให้ดู แอบโม้ “ถามสิ จะได้ไม่เสียเวลา”
“ฉันอยากรู้จักคู่แข่ง”
ภูผาชี้ไปรอบๆ บอกคนขาย “เอาหมดนี้เลยครับ”
หนูนาถอนหายใจเฮือกอย่างเอือมระอา “ซื้อไปทำไมตั้งเยอะแยะ”
ภูผาบอกเฉยๆ “จะปลูกชาได้ยังไง ถ้าไม่รู้จักรสชาติ”
หนูนางง “นี่ คุณไม่ดื่มชาเหรอ?”
ภูผาส่ายหน้า
“เฮ้อ ! งั้นฉันว่าคุณอย่าปลูกชาเลยปลูกกล้วยดีกว่า เชื่อฉันเหอะ”
หนูนาเดินออกไปอาการเซ็งๆ
ภูผารับถุงใส่ชาหลายแบบ หลายประเภทมาจากคนขาย
“นี่จ้ะ แยกไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
“ขอบคุณครับ”
ภูผาหันกลับมา หนูนาเดินกลับเข้ามาพอดี ยื่นบางสิ่งในห่อกระดาษให้
“เอาไป”
“อะไร”
ภูผาแกะออกดู เห็นว่าเป็นกาน้ำชา
“คนไม่ดื่มชา คงไม่หิ้วกาน้ำชามาด้วยหรอก”
ภูผางง “สองกาเลยเหรอ”
“ใช้กาเดียวกว่าคุณจะชิมครบหมด คงจะเป็นปีน่ะสิ”
ภูผายิ้มนิดๆ “ขอบใจนะ”
“ไม่ต้องขอบใจ ฉันทำในฐานะลูกน้อง ไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษ”
หนูนาแย่งถุงของจากภูผาเดินออกไป
ภูผามองตามหนูนาไปแล้วยิ้มหึๆ รู้สึกว่าหนูนาแปลกดี ภูผาหันกลับไปเลือกดูชาแบบอื่นๆ อย่างสนใจ
เหตุการณ์ที่บ้านแสนสมุทร วงเดือนส่งถ้วยเล็กๆ ใส่ยาให้อรุณ ตามด้วยแก้วน้ำ อรุณรับไปแล้วกินยา
วงเดือนเตรียมจะตรวจวัดชีพจร
อรุณแปลกใจ “ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ”
“ตั้งแต่วันก่อนที่คุณอรุณหอบ เดือนก็เลยเป็นห่วงน่ะค่ะ วันนั้นคุณหอบแรงมาก มากจนเดือนตกใจ”
วงเดือนจับชีพจรที่ข้อมืออรุณ
อรุณถามขึ้นเบาๆ น้ำเสียงฟังแล้วน่าสงสาร
“ที่วันนั้นเดือนร้องไห้ ก็เพราะกลัวฉันจะตายงั้นเหรอ”
วงเดือนชะงักไปนิดหนึ่ง เพราะแท้จริงวันนั้นที่ร้องไห้เพราะผิดนัดกับภูผา
วงเดือนไม่ตอบอะไร เงยหน้ายิ้มให้อรุณ ก่อนจะนับจังหวะชีพจร อรุณลอบมองวงเดือนอย่างรักใคร่
ระหว่างนั้นศรีเรือนผ่านมาเห็นท่าทางและสายตาของอรุณที่กำลังมองวงเดือนอยู่ก็ชะงักกึก พัดในมือหญิงชราร่วงลงพื้น เสียงดัง
อรุณสะดุ้งหันขวับมามอง รีบทำสีหน้าปกติ วงเดือนวัดชีพจรเสร็จพอดี
“ปกติดีนะคะ”
วงเดือนหันมาเห็นศรีเรือนเข้าก็รีบก้มหัว รีบออกจากห้องไป ศรีเรือนมองตามอย่างไม่ค่อยพอใจ
“มองอะไรเหรอครับคุณย่า”
“ย่าควรจะถามแกมากกว่า ว่าเมื่อกี้แกมองอะไร”
อรุณพูดไม่ออก
ภูผายังยืนดูของอยู่ที่ร้านต่อ ขณะที่หนูนากำลังเก็บของอยู่ที่รถ
ระหว่างนั้นรถจี๊ปคันโตแล่นเข้ามาจอดขวางหน้าหนูนา เอี๊ยด!! ข้าวของของหนูนากระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
“ขับรถภาษาอะไรวะ!” หนูนาตวาดแว้ด
เสียงเหนือฟ้าดังขึ้น “อย่าหัวเสียสิจ๊ะ หนูนา”
หนูนามองบนรถจี๊ป เห็นเหนือฟ้าลุกขึ้นจากที่นั่งยิ้มให้แบบที่คิดว่าเท่ห์มาก
“ไอ้เหนือฟ้า!”
พลางเหนือฟ้ากระโดดลงจากรถเข้ามาประชิดหนูนา เหนือฟ้าจับเชยคางหนูนาขึ้น
“คิดถึงฉันไหม”
หนูนาปัดมือเหนือฟ้าออกอย่างรังเกียจ
“ฉันไม่เคยคิดถึงแก แต่ถ้าขยะแขยงล่ะก็..ตลอดเวลา!”
เหนือฟ้าหน้าตึงฉุนกึก “พูดจาไม่สวยเหมือนหน้าเลยนะ”
หนูนาชกเปรี้ยง! เข้าที่หน้าเหนือฟ้า
“สำหรับคำพูดทุเรศๆ ของแก! และนี่ก็สำหรับจิตใจสกปรกของแก”
หนูนาพุ่งหมัดไปอีกครั้ง แต่เหนือฟ้าไวกว่าคว้าหมัดไว้ได้ ดึงกระชากตัวหนูนาเข้ามารวบไว้ในอ้อมแขน
“ไม่รักฉันไม่ยอมขนาดนี้นะ!”
“ปล่อยฉันนะโว้ย!”
หนูนาสะบัดสุดตัว ทั้งเตะทั้งถีบ เหนือฟ้าจับหนูนาหมุนแล้วกอดจากด้านหลัง จนหนูนาโดนล็อค ได้แต่เตะลมเตะแล้งเปะปะ
เหนือฟ้าก้มลงหอมที่แก้มหนูนา หนึ่งฟอด!!
“สำหรับความดื้อของเธอ!”
หนูนาดิ้นสุดฤทธิ์ “ไอ้เลว ปล่อยฉันนะ!”
เหนือฟ้าไม่ปล่อยหัวเราะอย่างสะใจ
“ปล่อยเดี๋ยวนี้!” เสียงภูผาดังขึ้น เล่นเอาเหนือฟ้าต้องหันไปมองตามเสียง
ภูผาเดินเข้ามาประจันหน้า เหนือฟ้ามองแปลกใจว่าภูผาเป็นใคร
“คุณภูผา!”
เหนือฟ้าทวนคำ “ภูผา..คิดจะแส่กับเรื่องของพ่อเลี้ยงเหนือฟ้า คงอยากตายศพไม่สวย!”
“จำเป็นต้องแส่! เพราะหนูนาเป็นคนของฉัน!”
หนูนาได้จังหวะ ถองศอกไปที่ท้องเหนือฟ้าเต็มรัก
เหนือฟ้าจุกร้องลั่น “โอ๊ย”
หนูนาหลุดรอดจากเหนือฟ้า
เป็นจังหวะที่ลูกน้องเหนือฟ้าจะพุ่งเข้าชาร์ตภูผา แต่ภูผาที่ระวังตัวอยู่แล้วเตะสวนแล้วจัดการกับลูกน้องทั้ง 3 คนของเหนือฟ้าจนหมอบสลบไปตามๆ กัน อย่างรวดเร็ว โดยหนูนาช่วยภูผาบู๊ไปอีกดอกสองดอก
เหนือฟ้าได้จังหวะกระชากหนูนากลับมา แต่ภูผาเข้าสวนเปรี้ยง!! ถีบไปที่ยอดอกเหนือฟ้าจนกระเด็นไป
หนูนายิ้มปลื้มมาก “เจ๋งสุดๆ!”
ภูผาสั่งหนูนา “กลับ”
เหนือฟ้าสุดแค้น ไม่ปล่อยจังหวะให้ภูผาจากไป เหนือฟ้าชักปืนออกมาอย่างไว แต่ยังช้ากว่าภูผาที่เตะกาน้ำชาสวนไปโดนมือเหนือฟ้าจังๆ จนปืนกระเด็น!
เหนือฟ้าพุ่งเข้าหาภูผา แต่ถูกเบรคด้วยกาน้ำอีกอันที่เหวี่ยงเข้าหน้าเหนือฟ้าจนหงายไป ดังปึ๊ก!! ผลงานหนูนา
ภูผายักคิ้วให้หนูนา “ไม่เลวนี่”
หนูนา ยักคิ้วตอบ
จากนั้นภูผาขึ้นรถ หนูนาขึ้นที่นั่งคนขับ ออกรถไป
หนูนาขับรถผ่านเหนือฟ้าที่ยังกุมท้องกุมหน้าด้วยความเจ็บปวดอยู่ หนูนาจอดรถลงไปเก็บกาน้ำชาขึ้นมา พูดตอกหน้าเหนือฟ้าอย่างสะใจ
“เหนือฟ้ายังมีฟ้า จำไว้!”
หนูนาขึ้นรถเร่งความเร็วอย่างสะใจ เหนือฟ้ามองตามแค้นภูผา
เย็นนั้น ที่หน้าเรือนพักของวงเดือน หญิงสาวยืนนิ่งก้มหน้าฟังศรีเรือนอย่างนอบน้อม
“ภูผาไปจากที่นี่ได้เพราะเขาแกร่งพอ มีหัวใจที่เข้มแข็ง มีเลือดของนักสู้ แต่เธอก็รู้ว่าอรุณไม่ใช่!”
แววตาวงเดือนงุนงงสงสัย ก้มหน้าไม่กล้าสบตา ไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
“บ้านนี้รับเลี้ยงเธอเพราะหวังให้เธอดูแลอรุณ ไม่ใช่ทำลาย!”
“แต่เดือนไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะคะ เดือนสาบานได้”
“ที่เธอกล้าสาบานเพราะไม่รู้ตัวต่างหากว่ากำลังทำอะไรอยู่”
“เดือนทำอะไรผิดเหรอคะ”
“ผิดที่ทำให้อรุณหลงรัก ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้รักอรุณ ใจเธอรักใคร ฉันรู้ดี!”
วงเดือนอึ้ง
ศรีเรือนพูดต่อ เสียงดังขึ้น “ภูผาก็คนหนึ่งแล้ว นี่ยังจะอรุณอีก ใจคอหล่อนจะรวบหลานชายฉัน ให้หมดทั้งตระกูลเลยรึไง!”
วงเดือนอึ้ง งงหนัก
ศรีเรือนจ้องหน้าเดือนด้วยความเจ็บใจ
“หล่อนจะใช้มารยาหลอกใครก็เชิญ แต่ต้องไม่ใช่อรุณ!”
วงเดือนน้ำตาร่วงสะเทือนใจที่โดนศรีเรือนด่ารุนแรง
เสียงเมฆาดังขัดขึ้น “ไปห้ามอรุณเถอะครับคุณย่า”
วงเดือนกับศรีเรือนเหลียวไปมอง เห็นเมฆาเดินเข้ามาหน้าตาเครียด
“เดือนไม่ได้ทำอะไรผิด อรุณต่างหากที่ทำตัวเป็นโจรในร่างนักบุญ”
ศรีเรือนบันดาลโทสะ ตบหน้าเมฆาฉาดใหญ่
วงเดือนตกตะลึง “คุณเมฆา!!”
“อีกคนแล้วใช่ไหม แกเองก็เป็นไปด้วยอีกคนแล้วใช่ไหม” ศรีเรือนชี้หน้าวงเดือน “เห็นรึยังว่าแกทำอะไรลงไป เห็นกับตารึยัง ฉันไม่น่ายอมให้แกเหยียบ เข้าบ้านเลย! ไม่น่าเลยจริงๆ”
ศรีเรือนจ้องหน้าเดือนด้วยสายตาที่เกลียดชัง
“ไปให้พ้นหน้าฉัน นังกาลกิณี! ไป!”
วงเดือนวิ่งออกไปด้วยความเสียใจ ศรีเรือนหันมองเมฆา เมฆาไม่พูดอะไร เดินออกไปจากตรงนั้น
ศรีเรือนโกรธตัวสั่น หวั่นใจเมื่อคำทำนายของหลวงพ่อกำลังจะเป็นจริง!!
วงเดือนวิ่งร้องไห้มาในสวนหลังเรือนใหญ่ เกือบชนเข้ากับพฤกษ์ วงเดือนเสียหลักจะล้ม พฤกษ์จับตัวไว้ได้ทัน
พฤกษ์ชะงัก “เดือน” เห็นว่าร้องไห้ก็ยิ่งตกใจ “เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไม”
วงเดือนมองมือพฤกษ์ที่จับแขนไว้แล้วตกใจรับสะบัดออกแล้วถอยหนีทันที ท่าทางตื่นๆ กลัวๆ
“อะไรกัน เดี๋ยวนี้รังเกียจฉันซะแล้วเหรอ ดูทำหน้าเข้าสิ กลัวอะไร”
“คุณพฤกษ์ไม่ต้องสนใจเดือนหรอกค่ะ”
“ทำไมพูดแบบนี้ เกิดอะไรขึ้น”
วงเดือนมองหน้าพฤกษ์วูบหนึ่งแล้วรีบหลบสายตา
“อย่ามายุ่งกับเดือน ต่อไปนี้ เดือนจะไม่ยุ่งกับใครอีกแล้ว”
วงเดือนวิ่งหนีไป พฤกษ์มองตามไป ด้วยความตกใจและสงสัย
ศรีเรือนไม่พอใจมาก เมื่อถูกพฤกษ์ถามเรื่องราว
“แกจะไปสนใจมันทำไม มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมันสิ อย่าบอกนะว่าแกก็เป็นไปด้วยอีกคน”
“นี่คุณย่ากำลังพูดเรื่องอะไรครับ ผมไม่เข้าใจ”
“แกมันก็เป็นซะอย่างนี้ หัวทึบหัวตัน ตามมันไม่ทันล่ะสิ แค่มันบีบน้ำตาเข้าหน่อย ถึงกับต้องแจ้นมาถามว่ามันเป็นอะไร”
“ขอโทษที่ผมโง่ครับคุณย่า แต่จะให้ผมใจดำกับเดือน ผมทำไม่ลง”
“จนได้! เป็นอย่างนี้จนได้! อยากจะรู้นักว่าผู้หญิงคนนี้มันมีอะไรดี หลานชายฉันกี่คนๆ ถึงได้หลงมันหมด แม้แต่แก!” หญิงชราโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
พฤกษ์งงวงย
“พอกันที ฉันจะไม่เก็บมันไว้อีกแล้ว ฉันจะไล่มันไปให้พ้นจากแสนสมุทร ไปให้พ้นจากสายเลือดของฉันทุกคน”
พฤกษ์ท้วงขึ้นทันที “ไม่ต้องไล่เดือนหรอกครับ ไม่รักก็ขอให้สงสารเธอบ้าง...”
ศรีเรือนตวาด “พฤกษ์!!”
“ยังไงฝั่งก็ไม่ใช่บ้านของชาวประมงอยู่แล้ว...ถ้ามีคนต้องไป ผมไปเอง”
พฤกษ์เดินออกไป ศรีเรือนน้ำตาไหลด้วยความเจ็บใจ
“เลือดจะแตกสายเพราะผู้หญิงคนเดียว เป็นตายยังไงฉันก็ไม่ยอม ฉันไม่มีวันยอม!”
ประมุขแสนสมุทรประกาศกร้าว
หนูนาขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านพัก ภูผาลงจากรถหยิบของ หนูนารีบลงจากรถมายืนเก้ๆ กังๆ ภูผาหันกลับมาชะงักมองว่ามีอะไร
“เอ่อ..ขอบคุณนะที่ช่วย”
“บอกแล้วไง...เธอเป็นคนของฉัน”
หนูนาอมยิ้ม แอบวาบหวามกับคำว่า “คนของฉัน”
ภูผาพูดต่อ “เหมือนกับทุก ๆ คนในไร่นี้”
หนูนา หน้าเสีย “นั่นสิเนอะ”
ภูผาจะเข้าบ้าน
“แต่คุณต้องระวังตัวหน่อยนะ ไอ้เหนือฟ้ามันเป็นหมาบ้า มันโดนขนาดนั้น มันกัดคุณไม่ปล่อยแน่”
ภูผารับฟังไม่ตอบโต้ เดินเข้าบ้านไป หนูนาเหวอ
"อ้าว"
หนูนาฉุนตะโกนไล่หลัง “ได้ยินที่พูดไหมเนี่ย?” ชักหงุดหงิด “ไม่มีหัวใจแล้วยังหูตึงอีกเหรอเนี่ย”
ที่บ้านไร่เหนือฟ้าเวลาเดียวกัน เหนือฟ้าถีบลูกน้องจนหน้าคว่ำอย่างอารมณ์เสีย
“ไม่ได้เรื่อง! ปล่อยให้มันหักหน้าข้าต่อหน้าคนทั้งตลาด”
ลูกน้องดันสะเออะเถียง “พ่อเลี้ยงก็เห็นนี่ครับว่ามันไม่ธรรมดา แม้แต่พ่อเลี้ยงก็ยัง..เอ่อ..สู้มันไม่ได้”
เหนือฟ้าโมโหปรี๊ดกำลังจะถีบลูกน้อง แต่เสียงปืนดังปัง! ลูกกระสุนเจาะเข้าที่ต้นขาของลูกน้อง
ลูกน้องร้องลั่น!!
เหนือฟ้ากับลูกน้องที่เหลือชักปืนอย่างระแวง
“ใคร”
วันชัยเดินถือปืนจากระเบียงบ้านเข้ามา
“พี่วันชัย!”
วันชัยเดินลงมาหยุดตรงหน้าลูกน้องที่โดนยิง ลูกน้องคนอื่นๆ ถอยหลังไปคนละก้าวสองก้าวโดยอัตโนมัติ
“พ่อเลี้ยงเหนือฟ้าเป็นเจ้าของแผ่นดินที่นี่ ไม่ใช่คนที่พวกเอ็งจะลามปามได้!”
วันชัยยกปืนขวับ เล็งปลายกระบอกปืนไปที่ลูกน้อง
“ผมขอโทษครับนาย อย่ายิงผม”
วันชัยสีหน้าเหี้ยม เตรียมลั่นไก ลูกน้องกลัวตัวสั่น
เหนือฟ้าใจยังไม่เหี้ยมพอ ร้องบอก “พอแล้ว!”
วันชัยลั่นกระสุนใส่ลูกน้อง แต่กระสุนยิงลงพื้นใกล้ตัวลูกน้องที่นั่งตัวเกร็งสะดุ้งตามจำนวนกระสุน
“ถ้ามีครั้งหน้า ข้าไม่เอาไว้แน่!”
“ขอบคุณครับนาย”
“ออกไป!!” วันชัยตวาดลั่น
ลูกน้องที่เหลือรีบเข้ามาช่วยลากเพื่อนที่โดนยิงออกไป
วันชัยหันมาพูดกับเหนือฟ้า “แค่ผู้หญิงคนเดียว ทำไมพ่อเลี้ยงถึงจัดการไม่ได้”
เหนือฟ้าบอก “ครั้งนี้ไม่ใช่หนูนา มันชื่อภูผา”
วันชัยคำราม “ภูผา...” เสียงเหี้ยม “มันทำกับพ่อเลี้ยงก็เหมือนทำกับพี่!”
เหนือฟ้ามองวันชัยอย่างพอใจว่างานนี้ ภูผาไม่รอดแน่
คืนนั้นสว่างวางปืนสั้นลงบนโต๊ะต่อหน้าภูผา สองคนอยู่ที่บ้านพักภูผา
“หนูนาบอกว่านายไปเจอกับพ่อเลี้ยงเหนือฟ้า”
“ก็แค่ทักทายกันนิดหน่อย”
“พ่อเลี้ยงเหนือฟ้าเป็นผู้มีอิทธิพลในแถบนี้ นายเก็บปืนนี่ไว้ป้องกันตัวนะครับ”
ภูผาดันปืนคืน “ฉันไม่จำเป็นต้องใช้หรอก บ้านเมืองมีกฎหมาย”
“แต่แผ่นดินหลังเขาอย่างที่นี่ บางครั้งก็ใช้กฎหมู่เป็นเครื่องตัดสินนะครับ”
ภูผาตวัดตามองสว่าง
“ตัวพ่อเลี้ยงเหนือฟ้าน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้วันชัย ลูกพี่ลูกน้องของมันน่ะสิครับ..นรกส่งมาเกิดแท้ๆ งานนี้..ผมว่านายไม่ปลอดภัยแล้วล่ะครับ” สว่างว่า
ภูผาเดินไปที่ระเบียงมองทอดสายตาไกลออกไป “ไม่มีหัวใจ..มันก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่
แล้ว”
โมงยามนั้นภูผาอดคิดถึงวงเดือนขึ้นมาไม่ได้
คลินิกปิดแล้ว เมฆาออกมาด้านนอก วงเดือนรีบทำเป็นจัดโน่นนี่ ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองหน้าเมฆา
“ดึกแล้ว กลับบ้านเถอะ ไว้ทำต่อพรุ่งนี้”
“เอ่อ...คุณเมฆากลับไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวเดือนปิดประตูให้เอง”
เมฆารู้ทัน “จะเลี่ยงไม่ยอมอยู่ใกล้ฉันใช่ไหม”
วงเดือนก้มหน้าก้มตางุดๆ ไม่มอง ไม่ตอบ เมฆาเข้าไปดึงมือออกมา
วงเดือนยื้อไว้ “ปล่อยเดือนเถอะค่ะ เดือนไม่อยากให้คุณเดือดร้อนอีก”
“ฉันเต็มใจเดือดร้อน” เมฆาดึงแขน “ไป กลับบ้าน”
วงเดือนถูกเมฆาดึงออกไป
ภูผานั่งเขียนจดหมายถึงย่า
“กราบเท้าคุณย่าที่เคารพ ผมมาถึงแล้วครับ เหมือนที่คุณย่าพูดไว้ไม่มีผิด ที่นี่ไกลเกินกว่าที่แสนสมุทรจะแผ่มาถึงจริงๆ แต่ถึงยังไง ผมก็จะทำให้สำเร็จ จะไม่ยอมแพ้ ถึงแม้ว่า...ผมจะแพ้ตั้งแต่ออกเดินทางแล้วก็ตาม”
ภูผาวางปากกาลง ถอนหายใจ ก่อนจะประหวัดคิดถึงวงเดือนขึ้นมา ชายหนุ่มหยิบปากกาขึ้นมาเขียนกระดาษแผ่นใหม่…เขียนถึงวงเดือน
“วงเดือน...ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ในที่ที่ห่างไกลจากเธอเหลือเกิน...”
ภูผาชะงัก เปลี่ยนใจขีดฆ่าทิ้ง ฉีกกระดาษ ขยำและขว้างทิ้งไปด้วยความโมโห
“เขาไม่เอาแล้วยังจะหน้าด้านตื้ออยู่ได้ ไอ้บ้าเอ๊ย!”
ไม่นานหลังจากนั้น ภูผาควบม้าอย่างเร็วตามทางในไร่ เพื่อระบายอารมณ์
เมฆาเดินมาที่ถนนหน้าคลินิก วงเดือนพยายามเดินให้ช้า และทิ้งระยะห่าง
“แค่โดนตบหน้า ฉันไม่เจ็บหรอก”
ต่างฝ่ายต่างเงียบไปกันไปครู่หนึ่ง เมฆาถามขึ้น
“เธอรู้สึกยังไงกับอรุณ”
“เดือนสงสารคุณอรุณค่ะ ถึงจะผูกพันกันมานาน แต่เดือนก็รู้ตัวเสมอว่าเดือนเป็นใคร มีหน้าที่อะไร”
เมฆาโพล่งขึ้นมา “แล้วเธอรู้สึกยังไงกับฉัน”
วงเดือนชะงักกึก หันไปมองหน้าเมฆางงๆ เมฆามองนิ่ง รอฟังคำตอบ
“ตอบสิ เธอรู้สึกยังไงกับฉัน”
ทันใดนั้นแสงไฟหน้ารถคันหนึ่งก็สาดเข้ามา ทั้งสองผงะ หันไปมองสู้ไฟ เห็นรถคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามา
อย่างแรงและเร็ว รถคันนั้นหักพวงมาลัยตั้งใจพุ่งเข้าชนวงเดือน!!
“เดือน ระวัง!”
เมฆาตะโกนก้อง พุ่งเข้ากระชากตัววงเดือนออกมาได้อย่างฉิวเฉียด ทั้งสองล้มลงไปกับพื้น
ริมฝีปากของเมฆาและวงเดือนสัมผัสกันโดยไม่ได้ตั้งใจ!!
ภูผาที่กำลังขี่ม้าอยู่ในไร่ ม้าเกิดพยศ ภูผาเสียหลักตกกระเด็นจากหลังม้าลงสู่พื้นดิน!!
รถลึกลับกำลังแล่นด้วยความเร็ว โฉมไฉไลเป็นคนขับ!!
โฉมไฉไลแค้นสุดๆ “นี่แค่เตือนนะ ยังไม่ได้เอาจริง!”
ที่ถนนหน้าคลินิก
เมฆายังกอดวงเดือนไว้แน่น เมฆาเพิ่งรู้สึกว่าหน้าของวงเดือนแนบชิดอยู่กับใบหน้าของเขา
วงเดือนค่อยๆ ลืมตามองหน้าเมฆา ทั้งสองจ้องตากัน
วินาทีนั้นความรู้สึกของเมฆาที่มีต่อวงเดือนเริ่มเปลี่ยนไป! วงเดือนรู้สึกตัวรีบผละออกจากเมฆา
“ขอบคุณค่ะ”
เมฆาตกใจ “เดือน..เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไรค่ะ เรากลับกันเถอะค่ะ”
วงเดือนรีบเดินไปที่รถ
เมฆาหันไปมองตามรถ แต่ไม่เห็นเสียแล้ว หมอหนุ่มมาดนิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจว่านี่อาจไม่ใช่อุบัติเหตุ!!
ภูผาล้มกลิ้ง เจ็บไปทั้งตัว สติสัมปชัญญะใกล้ดับวูบสุดท้ายพูดขึ้นลอยๆ ว่า
“วงเดือน...”
ก่อนที่ภูผาจะค่อยๆ หมดสติไป
ในห้องนอนอรุณเวลาเดียวกัน ชอุ่มส่งยาให้อรุณอย่างเก้อๆ เก้ๆ กังๆ
“ยาก่อนนอนค่ะ”
“เดือนไปไหน” อรุณถามหา
“ไม่ทราบค่ะ แต่คุณย่าท่านสั่งให้ชอุ่มเอายาขึ้นมาให้ และต่อไปนี้ก็ให้เอามาให้ทุกมื้อเลยค่ะ”
อรุณโกรธขึ้นมาเป็นริ้วๆ
ชอุ่มบอก “ทานยาก่อนนะคะ”
“ไม่กิน!”
อรุณตวาด ปัดยาทิ้ง ชอุ่มตกอกตกใจ
ขณะที่วงเดือนวางกระเป๋าลง เพิ่งกลับมาถึงห้องพัก อรุณเดินปึงปังเปิดประตูพรวดเข้ามา
“อ้าว..คุณอรุณ เดือนกำลังจะไปจัดยาก่อนนอนให้อยู่พอดี”
อรุณโวยทันทีด้วยน้ำเสียงน้อยใจ มากกว่าจะโกรธ วงเดือนตกใจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เธอไม่ห่วงฉันแล้วเหรอ ไม่อยากดูแลฉันแล้วใช่ไหม”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คุณกำลังเข้าใจเดือนผิด”
“ไม่ผิดหรอก” อรุณเสียงเครือ “เธอคงอยากให้ฉันตายไวๆ สินะ มันจะได้หมดหน้าที่ของเธอ เธอจะได้ไปจากที่นี่ซะทีใช่ไหม?”
“คุณอรุณ อย่าพูดแบบนั้นนะคะ”
อรุณไม่ยอมหยุด “ฉันรู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่ อยากไปนักไม่ใช่เหรอ นัดกันไว้ซะดิบดีแล้วไม่ใช่เหรอ!
“คุณอรุณ…” วงเดือนตกใจที่อรุณรู้เรื่อง
“ใช่สิ อยู่กับฉันมันน่าเบื่อ น่ารำคาญ คนขี้โรคอย่างฉัน มันไม่มีใครต้องการใช่ไหม แม้แต่เธอ ยังคิดจะทิ้งฉันได้ลงคอ”
วงเดือนพยายามปลอบ “เดือนไม่ได้ทิ้ง คุณก็เห็นว่าเดือนยังยืนอยู่ตรงนี้”
“แล้วถ้าวันนั้นฉันไม่หอบ เธอจะยังยืนอยู่ตรงนี้ไหม?”
วงเดือนอึ้ง นิ่งงัน
เสียงเมฆาดังแทรกเข้ามา “พอได้แล้วอรุณ”
อรุณกับวงเดือนหันไปมอง...เมฆาก้าวเข้ามา สีหน้าดุ
เมฆาจ้องน้องชายตาดุบอกเป็นนัย “ในเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ก็ควรจะรู้จักพอ”
อรุณชะงักกึก
วงเดือน ไม่เข้าใจ “นี่คุณเมฆาพูดเรื่องอะไรคะ?”
อรุณหันขวับมองหน้าเมฆา กลัวว่าเมฆาจะบอกความจริงวงเดือน
วงเดือนจ้องมองอรุณ คิดสงสัยครามครันว่าอรุณมีอะไรที่ปิดบังเธออยู่?
ชิงนาง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ขณะที่วงเดือนจดจ้องมองอรุณ สงสัยว่าอรุณมีอะไรที่ปิดบังเธออยู่ เมฆาหันไปบอกอรุณ
“กลับไปได้แล้ว” จ้องตานิ่ง ขู่ในน้ำเสียง “กลับไปกินยาของนายซะ” เมฆาเน้นคำ “จะได้ไม่ป่วยขึ้นมาอีก”
อรุณใจหายวาบ กลัวสายตาพิฆาตของเมฆา ตัดสินใจถอยออกไป
“นี่มันอะไรกันคะ พูดเรื่องอะไรกัน”
“เธอไม่ต้องรู้ไปหมดทุกเรื่องหรอก แค่รู้ให้ทันคนอื่นบ้าง...ก็พอ”
พูดเท่านั้นเมฆาก็เดินออกไป...วงเดือนมองตามไปงงๆ ไม่เข้าใจว่าสองพี่น้องพูดอะไรกัน?
วงเดือนกลับเข้ามาในห้องพักด้วยอาการสับสน...สบสนในกิริยาและคำพูดเป็นนัยของอรุณกับเมฆา ในวันนี้
“ฉันรู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่ อยากไปนักไม่ใช่เหรอ นัดกันไว้ซะดิบดีแล้วไม่ใช่เหรอ!”
“คุณอรุณ…” วงเดือนตกใจที่อรุณรู้เรื่อง
เมฆาพุ่งเข้ากระชากตัวเดือนออกมาได้อย่างฉิวเฉียด ทั้งสองล้มลงไปกับพื้น ริมฝีปากของเมฆาและวงเดือนสัมผัสกันโดยไม่ได้ตั้งใจ!!
ที่เมฆาคาดคั้นถามเธอ “ตอบสิ เธอรู้สึกยังไงกับฉัน”
วงเดือนสับสนหนัก ยกมือปิดหน้าร้องไห้”
“คุณภูผา..เดือนรักคุณคนเดียว..คนเดียวเท่านั้น
เสียงสะอื้นของวงเดือนลอยล่องไปตามสายลม
ภูผาสะดุ้งตื่น! ในวันต่อมา เหมือนได้ยินเสียงสะอื้นของวงเดือนแว่วมาในภวังค์ ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตา มองไปรอบๆ เห็นว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง ภูผาถอนหายใจเมื่อรู้ว่าเป็นแค่ความฝัน
จังหวะนั้นสว่างกับดอยเปิดประตูเข้ามาพอดี
“ฟื้นแล้วเหรอครับคุณภูผา โห...ผมใจหายใจคว่ำหมด”
ดอยถอนหายใจเฮือก “เฮ้อ..นึกว่าตาย!!”
สว่างดุ “ไอ้ดอย!” ดีดปากดอยดังเปรี๊ยะ
ดอยร้อง “โอ๊ย” ค้อนตาคว่ำ “ลุงหว่างขาอ่ะ...”
สว่างจ้องหน้า “ยังอีก! ประเดี๋ยวได้โดนขาลุงหว่างหรอกไอ้นี่” ยกขาขู่เหมือนจะเตะ ดอยสะดุ้งโหยง “นายฟื้นแล้ว ไปยกข้าวยกน้ำมาเร็วๆ ให้ไว”
ดอยฟึดฟัดออกไป
“เป็นยังไงบ้างครับ เมื่อคืนผมพาหมอมาดูอาการแล้ว หมอบอกว่าไม่มีอะไรแตกหัก หรือจะให้ผมพาไปหาหมอในเมืองอีกที” สว่างดูยังเป็นกังวล
ภูผารีบบอก “ก็หมอบอกว่าฉันไม่เป็นอะไรไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ...”สว่างหัวเราะแหะๆ หน้าเจื่อน “คือเขาเป็นหมอรักษาม้านะครับไม่ใช่หมอรักษาคน”
ภูผาสะอึก “หือ?”
สว่างหัวเราะแหะๆ “คนทำไร่แถวนี้ใครๆ ก็ขี่ม้ากันทั้งนั้น ก็เลยมีหมอม้าแวะมาบ่อยๆ น่ะครับ ผมเลยจัดให้ไปตามสภาพก่อน อย่าว่ากันนะครับ”
ภูผาหัวเราะหึๆ กับสภาพของตัวเอง
“ดีนะครับที่หนูนามันไปเจอเข้า ไม่อย่างนั้นคุณได้นอนตากน้ำค้างทั้งคืนแน่ ไม่ได้ตายเพราะตกม้า แต่จะตายเพราะปอดบวมแทน”
ภูผาอึ้ง ถามอยากไม่เชื่อ “หนูนาพาฉันกลับมางั้นเหรอ?!”
“ครับ แทนที่มันจะไปตามพวกผู้ชายให้มาแบกคุณ มันดันแบกคุณมาเองซะงั้น ตัวคุณก็ออกเบ้อเร่อ ไม่รู้มันทำเข้าไปได้ยังไง สงสัยมันจะตกใจเอามากน่ะครับ”
ภูผาอึ้งไปอีก “แล้วตอนนี้หนูนาอยู่ไหน?”
หนูนากำลังเช็ดล้างทำความสะอาดไอ้หมอกม้าตัวที่ภูผาขี่เมื่อคืน
“ฟังนะไอ้หมอก แกจะเกเรใส่ใครฉันไม่ว่า แต่กับคนนี้ฉันห้าม” เน้นคำ “คนนี้ห้าม! เข้าใจมั้ย”
ภูผาเข้ามาเงียบๆ หนูนาเหลือบตามาเห็น ทำเป็นไม่สนใจ
“มันบาดเจ็บรึเปล่า”
“ไม่ ไอ้หมอกมันขี้โมโห ถ้าไม่อยากวิ่ง ใครมาบังคับก็ต้องโดนดีทั้งนั้น”
หนูนาลูบม้าด้วยความรัก
ภูผาพูดลอยๆ “ดื้อเหมือนคนเลี้ยง”
หนูนาได้ยินปรายตามองแล้วทำเป็นไม่สนใจ ประชดส่ง “ถ้าไม่ได้จะมาขอบใจ ก็กลับไปเถอะ อ้อ ลืมไป คนอย่างคุณ จะขอบใจใครเป็น”
“ขอบใจนะ” ภูผาโพล่งขึ้น
หนูนาอึ้ง คาดไม่ถึง
“ไม่เชื่อเหรอ ได้ ฟังอีกรอบ ขอบ...” ภูผาพูดไม่ทันจบ
หนูนาพูดสวนคำออกมา “พอเลย ไม่ต้องซ้ำ ได้ยินแล้ว”
ภูผามองหน้านิ่งๆ หนูนาใจสั่น รีบกลบเกลื่อน
“ก็แค่ช่วยคนขี่ม้าไม่เอาไหน ช่วยแล้วก็แล้วกัน ไม่ได้สนใจอะไรหรอก”
หนูนาลุกขึ้นเดินกระแทกไหล่ภูผาออกไป
ภูผาถอนหายใจ เกิดความกังวลเพราะรู้เท่าทันหัวใจของหนูนา
ตอนสายวันนั้น บรรยากาศท่าเรือเริ่มวายแล้ว พฤกษ์อยู่ในเรือลำหนึ่ง เอนหลังลงด้วยความเหนื่อยล้า...หลับตาลง
ลูกเรือคนสนิทมาเห็นเข้า
“เอ้า..นายพฤกษ์ ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอครับ”
“อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องออกเรืออีกอยู่ดี ฉันจะนอนที่นี่”
“แต่ปกตินายพฤกษ์จะกลับไปนอนบ้านนี่ครับ”
พฤกษ์พูดเบาๆ กับตัวเอง “ก็ตอนนี้มันไม่ปกติ”
เห็นลูกเรือยังอยู่ พฤกษ์โบกมือไล่ให้ไป “ไปๆๆ อย่าถามมาก ไม่งั้นโดนเตะแน่”
“เฮะๆๆ ไปครับไป”
ลูกเรือวิ่งออกไป พฤกษ์ถอนหายใจ ในหัวนึกถึงสิ่งที่พูดกับศรีเรือนไว้
“ไม่ต้องไล่เดือนหรอกครับ ไม่รักก็ขอให้สงสารเธอบ้าง...ถ้ามีคนต้องไป ผมไปเอง”
พฤกษ์ถอนใจอย่างเหนื่อยล้า หลับตาลง
ที่ห้องศรีเรือน ในบ้านแสนสมุทรเวลานั้น เสียงศรีเรือนดังลั่นขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“แค่ลูกคนเดียวจะดูแลเองไม่ได้รึไง ตัวแกเองก็เป็นหมอ แล้วไปไว้ใจคนอื่นทำไม!”
อนุตหน้าเครียด ศรีดารารีบแก้ต่างให้สามี
“แต่เราก็ไว้ใจให้เดือนดูแลอรุณมาตั้งนานแล้วนะคะคุณแม่ เดือนก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอด อยู่ๆ ทำไมคุณแม่ถึงจะมาเปลี่ยนใจเอาซะล่ะคะ”
“ก็เพราะมันโตเป็นสาวแล้วไง!”
ศรีดาราอึ้งๆ ยังไม่เข้าใจอนุตถอนหายใจอีก ไม่เห็นด้วยกับมารดา
“ฉันเตือนแต่แรกแล้วว่าไม่ให้เลี้ยง นังเด็กคนนี้มันมีแต่จะสร้างความวิบัติให้กับครอบครัวเรา!”
“คุณแม่เลิกอคติต่อเดือนเถอะครับ เด็กคนนี้ ผมเลี้ยงมากับมือ สอนมากับมือ จะมีผิดบ้าง พลาดบ้าง แต่รับรองว่าไม่มีชั่วแน่นอน” อนุตท้วง
ศรีเรือนสวนออกมาทันควัน “ภูผาต้องไปจากที่นี่เพราะมัน! นี่ยังไม่ชั่วอีกเหรอ ต้องให้ลูกหลานหายไปหมดบ้าน ต้องให้คำทำนายมันเป็นจริงแกถึงจะเชื่อแม่งั้นเหรอ”
อนุตไม่พอใจ “เลิกเชื่อเรื่องงมงายได้แล้วครับคุณแม่ ผมฟังมาเป็นสิบปีแล้ว ผมเบื่อที่จะฟัง!”
“ฉันก็อยากให้มันเป็นแค่เรื่องงมงาย ไม่เคยคิดอยากให้มันเป็นจริง” ศรีเรือนน้ำตาคลอด้วยความคับแค้นระคนเจ็บใจ “ถ้าชะตากรรมมันเปลี่ยนกันไม่ได้ ฉันก็จะฝืนเอาไว้ให้นานที่สุด!”
อนุตลุกออกไปทันที ศรีเรือนโกรธมาก ศรีดาราได้แต่ลูบแขนหญิงชราให้ใจเย็นๆ
อนุตออกมาจากห้องศรีเรือนแล้วต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นวงเดือนยืนน้ำตาคลอถือถาดยาของอรุณอยู่
วงเดือนได้ยินทุกอย่าง!
“ทำหน้าที่ของเธอต่อไป...” อนุตพูด
วงเดือนใจชื้นขึ้นมาหน่อย คิดว่าอย่างน้อยอนุตก็ยังมีความยุติธรรม เป็นที่พึ่งของเธอได้
อนุตพูดต่อ “...เท่าที่จะทำได้!”
อนุตดึงถาดยาออกจากมือวงเดือนแล้วเดินไปทางห้องอรุณ เป็นการบอกนัยๆ ว่าอย่างไรเสีย..ก็ไม่มีใครขัดคำสั่งของย่าศรีเรือนได้
วงเดือนใจหายวูบ ยืนนิ่งตัวชาอยู่ตรงนั้น
ภูผาขี่ม้ามาหยุดที่หน้าไร่ เห็นหนูนากับสว่างเพิ่งนำคนงานสิบคนเข้ามาถึงที่หน้าไร่ หนูนาเชิดหน้ามามองภูผา
สว่างร้องสั่งคนงาน
“เห็นไหม นายเขามาก่อนพวกแกแล้ว” สั่งลูกน้อง “เอ้า! ทำให้เสร็จให้เร็วที่สุด ใครช้า ใครอู้ เจอดีแน่! พร้อมแล้วก็ไป ลงมือได้!”
คนงานแยกย้ายกันไป ดอยได้ทีวางมาดเจ้านาย
“ให้ไว ให้ไว อย่าได้ช้า”
สว่างเขกกบาลดังโป๊ก “ไม่ต้องไปสั่งเขา เอ็งก็ต้องทำเหมือนกัน ไป” ผลักหัวดอยให้ไป
ดอยค้อนตาคว่ำ “ลุงหว่างขา.. เอะอะอะไรก็เขกหัว เขกมากๆ เดี๋ยวฉี่รดที่นอนกันพอดี”
หนูนาทั้งขำทั้งหมั่นไส้ “ฉี่รดที่นอนจริงหรอ? คืนนี้จะคอยดู!! นี่แน่ะๆๆๆ” ว่าแล้วก็เขกหัวดอยดังโป๊กๆๆ ติดๆ กัน
“โอ๊ย !! นี่ลูกพี่ก็เอากะเขาด้วยเหรอ”
ดอยวิ่งหนีงอนเข้าไร่ไป หนูนาหัวเราะ ภูผามองความสดใสในตัวหนูนา พอหนูนาเหลือบตามาเห็น แล้วทำหน้าดูถูก พูดแดกดัน
“ถ้าทำอะไรไม่เป็นก็ยืนดูเฉยๆ นะ อย่าทำตัวเกะกะ”
สว่างปราม “ไอ้หนูนา”
หนูนาทำหน้าไม่สนใจ วิ่งเข้าไปในไร่
สว่างหันมาหาภูผา
“ผมพร้อมแล้ว!” ชายหนุ่มบอกน้ำเสียงมุ่งมั่น
ภูผาเริ่มแผนพลิกฟื้นไร่ชา เริ่มต้นรีโนเวทใหม่หมดทุกกระบวนการ
เริ่มจาก...คนงานระดมฉีดยาไปทั่วไร่ชา ทุกคนคาดผ้าปิดจมูกด้วย จากนั้นคนงานบางส่วนแยกย้ายกันพรวนดินไปทั่วทั้งไร่ มีหนูนาคอยคุม
อีกทาง สว่างเดินนำ ภูผาขี่ม้ามาหยุดดูการทำปุ๋ยหมัก ภูผากระโดดลงจากหลังม้าไป หนูนาหันมองตกใจว่าจะไปไหน ภูผาลงไปร่วมทำปุ๋ยกับคนงานท่าทีแข็งขัน หนูนามองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
แถมในขั้นตอนการใส่ปุ๋ยทั้งไร่ชา ภูผาลงมือทำอย่างตั้งใจ หนูนามองตามยิ่งรู้สึกประทับใจ
ในห้องตรวจ ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด พยาบาลเข้ามาวางแฟ้มลงตรงหน้าเมฆา เอ่ยขึ้น
“คนไข้สุดท้ายของวันนี้ค่ะ”
เมฆาก้มลงอ่านแฟ้มคร่าวๆ ยินเสียงรองเท้าส้นสูงดังมา เมฆาบอกโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
“เชิญนั่งครับ”
เสียงโฉมไฉไลเจ้าของรองเท้าส้นสูงดังขึ้น “นั่งตักได้ไหมคะ”
เมฆาเงยหน้าขึ้นมามอง
โฉมไฉไลเดินเข้ามาอย่างมาดมั่น ยิ้มให้หว่านเสน่ห์
“ขอโทษนะครับ ที่นี่โรงพยาบาล เชิญออกไปเถอะครับ”
โฉมไฉไลไม่ใส่ใจนั่งลงไขว่ห้าง โน้มตัวลงทำนมหก ใส่จริตกรี๊ดกร๊าด “ต๊าย..คุณหมอไล่คนไข้” เคาะนิ้วที่แฟ้ม “ลืมอ่านชื่อคนไข้ไปรึเปล่าคะ
เมฆาเหลือบตามองแฟ้มแล้วถอนใจ พยายามข่มอารมณ์ให้ปกติ
“มีอาการยังไงบ้างครับ”
“เจ็บบริเวณหน้าอกค่ะ”
โฉมไฉไลพยายามจ้องหน้าเมฆา ขยับหน้าอก ท้าทายให้ตรวจ
“จะไม่ตรวจดูหน่อยเหรอคะ”
เมฆาปิดแฟ้ม “ฟังนะโฉม ผมไม่รู้ และจะไม่ถาม ว่าคุณทำแบบนี้ทำไม แต่ขอบอกว่ากรุณาอย่าทำอีก แล้วก็เชิญคุณออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”
โฉมไฉไลสวนทันควัน “ไม่”
เมฆาบอกอีกทันที “ผมบอกให้ออกไป!”
“คุณจะไล่โฉมไปถึงไหน! แค้นมากนักใช่ไหมที่โฉมเคยทิ้งคุณแต่โฉมก็กลับมาหาคุณแล้ว ต้องให้โฉมกราบเท้าอ้อนวอนเหรอ คุณถึงจะหายโกรธ”
เมฆาหน่าย “ผมว่าเชิญที่แผนกจิตเวชดีกว่า เขาคงช่วยคุณได้”
โฉมไฉไลลุกพรวด “มากไปแล้วนะ! นี่คุณด่าโฉมว่าบ้างั้นเหรอ?”
“ผมไม่ได้ด่า แค่วินิจฉัยและแนะนำ”
เมฆาเตรียมตัวออกจากห้อง เก็บของ
“เดี๋ยวสิคะ” โฉมไฉไลคว้าแขนไว้ ถามคาดคั้น “เพราะนังนั่นใช่ไหม คุณคบหากับมันอยู่ใช่ไหม”
เมฆานิ่งงัน
“มันก็แค่คนใช้ในบ้าน คุณจะใฝ่ต่ำไปยุ่งกับมันทำไม”
“ฟังนะ...ถึงผมจะกลับไปรักคุณไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะเกลียดคุณ” เมฆาจ้องหน้า พูดนิ่งๆ “อย่าทำให้ผมต้องเกลียด”
เมฆาออกไป โฉมไฉไลร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ด้วยความโกรธ และอาฆาตไปถึงวงเดือน!
ภูผา สว่าง และหนูนาเข้ามานั่งพักใต้ร่มไม้ในไร่ชา
สว่างส่งน้ำให้ “เหนื่อยหน่อยนะครับ”
ภูผาเงียบดื่มน้ำไปไม่ตอบ
หนูนาส่ายหน้า “แค่นี้ก็คิดจะถอยซะแล้ว”
“คนอย่างฉันเดินหน้าแล้วไม่เคยถอย” น้ำเสียงขื่นขม “ไม่รู้จะถอยกลับไปหาอะไร” ภูผาหันไปเห็นสว่างกับหนูนาจ้องมองอยู่ “ฉันจะไปดูทางด้านโน้น...”
ภูผาขึ้นม้าควบออกไป หวังหลบจากสายตาสองลุงหลาน
สว่างเขกกะโหลกหนูนา “ผีเจาะปากมาให้พูดหรือไง ไม่พูดมั่งก็ได้นะเว๊ย”
“ก็มันหมั่นไส้นี่ เก๊กเหลือเกิน”
“แน่ใจนะว่าที่ไปวุ่นวายกับเขาเนี่ยแค่หมั่นไส้” สว่างเหล่หลานอย่างพินิจพิเคราะห์
หนูนากลบเกลื่อน “ก็แน่สิลุง”
สว่างยังจ้องหนูนาไม่วางตา หนูนาร้อนตัว
“ลุงจ้องอะไรเนี่ย”
“จ้องคนร้อนตัว” สว่างแซว
“ลุงหว่างขา...ดมปุ๋ยหมักมากไปป่ะเนี่ย..เริ่มเพี้ยนแล้วนะ”
หนูนาเดินไปดูไร่แก้เก้อ สว่างยังเหล่ไม่เลิก
ภูผาควบม้าห้อทะยานมาด้วยความเร็ว คำพูดที่นัดแนะกับวงเดือนก้องในหัว
“พรุ่งนี้รถไฟออก 7 โมงเช้า ฉันจะรอที่สถานี ถ้าเธอไม่มา ฉันก็คงไปแต่ตัว..หัวใจพังๆไม่รู้จะเอาไปด้วยทำไม
ยิ่งนึกภูผายิ่งเจ็บช้ำในใจ ชายหนุ่มควบม้าเร็วขึ้น เร็วมากขึ้น
ที่มุมหนึ่ง ปลายกระบอกปืนยาวหันลำกล้องเล็งตามภูผาไปตลอดเวลา รอจังหวะ
คำพูดแสนขมขื่นที่บอกสองลุงหลานดังก้องในหัวภูผาอีกครั้ง
“คนอย่างฉันเดินหน้าแล้วไม่เคยถอย...ไม่รู้จะถอยกลับไปหาอะไร”
เสียงดังเปรี้ยงขึ้น พร้อมกับที่ลูกกระสุนปืนพุ่งเข้าใส่ภูผาอย่างเจาะจง จังหวะนั้นทั้งม้าทั้งคนล้มกลิ้งไปกับพื้นดิน
ม้าแน่นิ่งอยู่กับที่ ขณะที่ร่างภูผากลิ้งหลุนๆ หัวไปกระแทกหิน ปึง!!
สว่างและหนูนาหันขวับไปตามเสียงปืน!!
อุทานพร้อมกัน “นาย” / “คุณภูผา”
ทั้งสองรีบกระโดดขึ้นรถ แล้วขับรถออกไปทันควัน
ร่างภูผานอนอยู่กับพื้น สว่างขับรถเข้ามาจอดพรืด!!
หนูนาและนายสว่างพุ่งตรงไปหาภูผา สองคนประสานเสียง “นาย” / “คุณภูผา”
สว่างสำรวจภูผาแต่ไม่พบบาดแผลใดๆ
“นายไม่ได้โดนยิง!”
หนูนาได้สติกวาดตาไปมองรอบๆ พบร่างม้านอนนิ่งจมกองเลือดอยู่
“ไอ้หมอก!”
หนูนาร้องไห้วิ่งไปหาศพม้า
เสียงหนูนาปล่อยโฮ ร้องไห้คร่ำครวญ “ไอ้หมอก แกตายไม่ได้นะ ฟื้นสิ”
สว่างมองดูอย่างสลดใจ ก่อนหันกลับมาดูสภาพของภูผา
เห็นภูผานอนนิ่งไม่ไหวติง
วงเดือนนึกรู้ ใจหายวาบมือไม้อ่อน จนถาดอุปกรณ์ทำแผลหล่นลงพื้นกระจาย เมฆาหันมามอง
“ขอโทษค่ะ”
วงเดือนรีบก้มลงเก็บ เมฆาเข้าช่วย
“ฉันช่วย”
จังหวะนั้นเมฆาและวงเดือนหยิบอุปกรณ์ชิ้นเดียวกัน มือทั้งสองสัมผัสกัน! โดยไม่ตั้งใจ
วงเดือนชะงักจะชักมือออก แต่เมฆายื้อไว้แล้วมองจ้องหน้าเดือน
“คุณเมฆาคะ...” วงเดือนดึงออกอย่างแรงจนที่คีบที่ติดมืออยู่บาดครูดกับมือของเมฆา
“โอ้ย...” เมฆาร้องนิดเดียวไม่ดังมาก
วงเดือนตกใจ “ขอโทษค่ะ เดือนไม่ได้ตั้งใจ” หยิบสำลีมาเช็ดทำความสะอาดแผล
ในขณะที่วงเดือนเช็ดแผลอยู่นั้น ก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาของเมฆามองมาอย่างมีความหมาย วงเดือนหลบตาปล่อยมือจากเมฆา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” วงเดือนทำท่าจะไป
เมฆาเรียกไว้ “อย่าเพิ่ง”
วงเดือนชะงัก เมฆาเดินอ้อมไปยืนตรงหน้า วงเดือนนิ่งไม่กล้าหนี
“เรื่องที่ฉันเคยถามไว้ เดือนไม่ต้องตอบฉันก็ได้”
วงเดือนรู้สึกผิดขึ้นมา “เดือนขอโทษค่ะ”
“ไม่ต้องขอโทษ ไม่รัก ไม่ใช่เรื่องผิด...” มองหน้าแน่วนิ่ง “วันนี้ไม่รัก แต่วันหน้าใครจะไปรู้”
วงเดือนอึ้ง มองหน้าเมฆา เจอสายตาพิฆาตใจ หญิงสาวต้องรีบหลบสายตาวูบ
จู่ๆ มีชายคนหนึ่งวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาขัดจังหวะ ท่าทีร้อนใจ
“คุณหมอ คุณหมอ!”
“มีอะไร”
ชายคนนั้นรีบเข้ามาคว้าแขนเมฆา “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว คุณหมอไปกับผมเร็ว!”
พร้อมกับฉุดกระชากเอาตัวออกไปอย่างร้อนรน เมฆารีบหันกลับมาเรียกวงเดือน
“เดือน!”
วงเดือนรู้เรื่องเลย “ค่ะๆ”
วงเดือนรีบคว้ากระเป๋าใส่เครื่องมือและอุปกรณ์ออกมาจากชั้นวาง แล้ววิ่งตามออกไปด้วยความตกใจ
ที่ไร่บนดอย เปลวไฟลุกโชติช่วงกำลังเผาร่างของเจ้าหมอก..ม้าคู่ใจที่เพิ่งตายไป คนงานกำลังช่วยสุมไฟอยู่ หนูนายืนร้องไห้ มีดอยยืนหน้าจ๋อยอยู่ใกล้ๆ
สว่างเดินออกมาสมทบ หนูนารีบเข้าไปหา
สว่างสั่งคนงาน “ไปตามทุกคนมารวมตัวกันให้เร็วที่สุด ข้าจะจัดเวรเฝ้าไร่ของเราตั้งแต่คืนนี้”
คนงานส่วนหนึ่งวิ่งออกไป
ดอยถามขึ้น “นายภูผาเป็นยังไงบ้างจ๊ะลุงหว่าง”
“หัวกระแทกหินตอนหล่นจากม้าก็เลยสลบไป”
ดอยพนมมือท่วมหัว “คุณพระคุ้มครอง อู๊ย..นี่คนหรือแมวเนี่ย เหมือนมี 9 ชีวิต”
สว่างดีดปากดอยดังเปรี๊ยะ “ใช่เวลาเล่นไหมไอ้ดอย” ดอยหัวหด “นี่ยังโชคดีนะที่มันยิงพลาดเป้า ไอ้หมอกก็เลยรับเคราะห์แทนไป” สว่างมองไปที่กองไฟ “ไม่งั้นงานนี้ได้เผาศพคนแทนศพม้าแน่”
หนูนาหันขวับ “ลุงหมายความว่ามันตั้งใจยิงคุณภูผา?”
สว่างพยักหน้า
“ใครอ่ะ” ดอยอยากรู้
“จะมีใครนอกจากไอ้เหนือฟ้า!”
พูดจบหนูนาพุ่งไปคว้าปืนยาวกะลุยทันที สว่างฉุดยื้อเอาไว้
คนงานเข้ามามุงดูเหตุการณ์ บางคนก็เข้ามาช่วยจับหนูนา แต่ก็ต้องพ่ายฤทธิ์ออกไปด้วยเสียงปืนลั่นโป้งป้าง!
ดอยช่วยยื้อแต่ถูกเหวี่ยงกระเด็นจุกไป “อ๋อย”
สว่างจับหนูนาคุมตัวให้นิ่ง “เอ็งจะทำอะไร?”
“ล้างแค้นให้คุณภูผากับไอ้หมอก!”
สว่างเสียงดัง “ข้าไม่ให้เอ็งไป”
“ขอโทษนะลุง..วันนี้ใครก็ห้ามฉันไม่ได้” สะบัดหลุดจากสว่าง หนูนาตรงไปที่รถ แต่ต้องหยุดชะงัก เมื่อภูผาส่งเสียงขึ้น
“แล้วถ้าฉันห้ามล่ะ?”
หนูนาหันไปมองตามเสียง ภูผาเดินเข้ามาจ้องหน้า หนูนาจ้องกลับไม่กลัว
“ยังไม่ใช่เวลานี้!” ภูผาเสียงเข้ม
“แล้วต้องรอเวลาไหน? รอจนมันบุกมายิงหัวคุณก่อนงั้นเหรอ?” หนูนาขึ้นเสียง
สว่างปราม “หนูนา”
“เธอรู้ใช่ไหมว่าเหนือฟ้ามันส่งคนมาดักยิงฉันเพราะใคร?”
หนูนาอึ้งพูดไม่ออก ทุกคนมองหนูนาเป็นตาเดียว
“ก็เพราะฉันเป็นต้นเหตุไง..ฉันถึงต้องไป”
หนูนาไม่ฟังเสียงใคร ผลุนผลันไป
ภูผาคว้ามือไว้แน่น “ไปไม่ได้! ถ้าเธอเป็นอะไรไปฉันจะทำยังไง”
หนูนาหยุดกึก!
ภูผาพูดต่อ “ลุงของเธอ..รวมถึงทุกคนที่นี่จะรู้สึกยังไงถ้าฉันปกป้องเธอไม่ได้!”
หนูนาแอบวูบวาบ นึกว่าภูผาแฝงความนัยบางอย่าง
สว่างพูดสำทับกับหนูนา “นายเขาพูดถูกนะไอ้หนูนา ข้าเข้าใจว่าเอ็งโกรธ แต่เอ็งจะบุกเดี่ยวไปอย่างงี้..พวกข้าจะช่วยอะไรเอ็งได้ อาวุธอะไรก็ไม่มี...”
ดอยพูดขึ้นเบาๆ “มีแต่จอบกับเสียม...”
“ถ้าเธอไปแล้วรอดกลับมา..ฉันนับถือว่าเธอแน่ แต่ถ้าไปแล้วสร้างความลำบากให้กับตัวเองและคนอื่น เขาเรียกว่า...อวดเก่งทั้งที่ไม่มีดีจะอวด!”
หนูนาชะงัก ภูผาพูดแทงใจดำ “คุณ!”
ภูผาบอกทุกคน “ฉัน..ในฐานะเจ้าของไร่นี้ ฉันสั่งห้ามทุกคนยุ่งกับเรื่องครั้งนี้ ใครขัดคำสั่ง...ก็ออกไปจากดอยนี้ได้เลย! รวมถึงเธอด้วย”
หนูนามองจ้องภูผาอย่างถือดี เห็นแววรั้นในดวงตา
ภูผาจ้องกลับเอาจริง ทุกคนเงียบไปชั่วขณะ สุดท้ายหนูนาโยนปืนคืนภูผาก่อนที่จะเดินฉับๆ ออกไป ทุกคนโล่งใจ
สว่างหันไปพูดกับคนงาน “เอ้า ได้ยินที่นายสั่งแล้วใช่ไหม แยกย้ายกันไปทำงาน!”
ดอยยกนิ้วให้ “นายภูผาสุดยอด! เล่นซะลูกพี่จ๋อยเลย ลุงหว่างขายังทำไม่ได้เลยนะเนี่ย”
เสียงหนูนาเรียกดังเข้ามา “ไอ้ดอย”
ดอยสะดุ้งรีบวิ่งหน้าตั้งออกไปทำงานทันที
ภูผาถอนใจเฮือกเมื่อคิดถึงอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้า
ชิงนาง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ชายคนที่ไปตามตัวเมเฆที่คลินิก วิ่งนำหน้าเข้ามาตรงบริเวณอู่ซ่อมเรือที่ท่าเรือ พร้อมกับชี้มือไปที่เรือลำหนึ่ง
“อยู่ตรงนั้นครับ!”
เมฆารีบเข้ามา วงเดือนหอบกระเป๋ายาและเครื่องมือตามติด
ที่ด้านหน้าเรือแสนสมุทรลำหนึ่งซึ่งอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม ลูกเรือชาย 3-4 คนกำลังมุงร่างของชายคนหนึ่ง เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เมฆาแหวกฝูงคนเข้าไปถึง เห็นผู้บาดเจ็บเข้าก็ตกใจ
“พี่พฤกษ์!”
พฤกษ์เหลือบตาขึ้นมองเมฆา ไหล่และแขนข้างหนึ่งโชกไปด้วยเลือด
“นายพฤกษ์ลงซ่อมเรือเอง โดนใบพัดฟาดเข้าอย่างจัง ผมห้ามเลือดไว้แล้ว แต่ไม่รู้จะแน่นพอรึเปล่า คุณหมอดูเองเถอะครับ” ลูกเรือรายงานสีหน้าหวาดหวั่น
วงเดือนตามเข้ามาถึง เห็นคนเจ็บเป็นพฤกษ์ก็ตกใจ
“คุณพฤกษ์!”
พฤกษ์ที่กำลังจะหมดสติ กิริยาหลับๆ ตื่นๆ ลืมตาขึ้นมองหน้าวงเดือน
“เดือน....” น้ำเสียงพฤกษ์แผ่วๆ “..เดือน”
เมฆาชะงักมือไปนิดหนึ่ง สะกิดใจที่พฤกษ์เอ่ยชื่อวงเดือนในสภาวะนาทีชีวิตเป็นตายแบบนี้!
เมฆามองหน้าพฤกษ์ที่มีรอยยิ้มดีใจที่รู้ว่าวงเดือนมา ก่อนจะค่อยๆ หมดสติหลับพับไป
เมฆาตั้งสติ สั่งการไปยังลูกเรือที่ลุ้นอยู่ “ขอน้ำร้อน แล้วก็ไฟ”
“ครับๆ ผมจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยครับ” คนที่รายงานอาการพฤกษ์หันไปตะโกนบอกพวกพ้อง
“เฮ้ย อย่ามามุง ไปต้มน้ำ แล้วเอาตะเกียงแก๊สมาให้หมอ เร็วๆ”
พวกลูกเรือแยกย้ายกันไปทำให้วุ่นไปหมด
เมฆาบอกวงเดือน
“เตรียมผ่าตัด!”
การผ่าตัดพฤกษ์ที่อู่ซ่อมเรือ ยิ่งฉายชัดให้เห็นฝีมือทางการแพทย์อันเก่งกาจของเมฆา ในท่าทีแน่วนิ่ง แม่นยำ และว่องไว
เหงื่อบนหน้าผากเมฆาไหลย้อย ผ้าในมือเรียวสวยถูกยื่นเข้ามาซับให้อย่างนุ่มนวล เมฆาเหลือบตาขึ้นมอง เห็นว่าเป็นวงเดือนที่กำลังซับเหงื่อให้ หมอหนุ่มยิ้มให้ ภายในใจรู้สึกดีเอามากๆ
เวลาผ่านไปการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง พฤกษ์หลับอยู่ วงเดือนกำลังเก็บเครื่องมืออยู่อีกมุมหนึ่ง เมฆาเข้ามาช่วย
“ฉันช่วย”
“อย่าเลยค่ะ มันไม่ใช่งานของคุณหมอ”
“ฉันไม่ได้ทำให้ฐานะหมอ” เมฆาสบตาวงเดือนแบบมีนัย
วงเดือนเข้าใจว่าเมฆาคิดอะไรอยู่ รีบบ่ายเบี่ยงไปทางอื่น
“เดือนลืมไปว่าคนไข้เป็นพี่ชายคุณหมอ”
ฟังแล้วเมฆายิ้มหึๆ กับตัวเอง รู้ว่าวงเดือนพยายามเลี่ยง “ฉันไม่ได้หมายถึงฉันกับพี่พฤกษ์ แต่หมายถึงฉัน..กับเธอ”
วงเดือนช้อนสายตาขึ้นมองเมฆาอึ้งๆ เมฆาสบตา ใบหน้าของสองคนอยู่ใกล้กันมาก
วงเดือนหาจังหวะเดินเลี่ยงจากไป เมฆาทอดสายตามองตามแต่ไม่ยอมหมดหวัง
ที่ไร่ฟ้าเหนือฟ้า วันเดียวกัน
เหนือฟ้าอยู่ในอาการฉุนเฉียวเขวี้ยงแก้วดังเปรี้ยง! ระเบิดอารมณ์ใส่ลูกน้อง
“ไอ้โง่”
ลูกน้องสองคนยืนคอตก หัวหดหน้าสลด
“แค่นี้ก็พลาด! ฉันต้องทนเห็นไอ้ภูผามันหัวเราะใส่หน้าฉันอีกนานแค่ไหน”
วันชัยเดินเข้ามาพูดเสียงเข้ม “ไม่นานหรอกครับพ่อเลี้ยง”
“พี่วันชัย ไหนพี่ว่าจะเด็ดหัวมันไง!” เหนือฟ้าอารมณ์ยังกรุ่นๆ
“ในเมื่อดวงมันแข็ง เราก็ต้องใช้วิธีอื่นบีบให้มันหมดหนทาง และระเห็จออกไปจากที่นี่เอง” วันชัยว่า
“เมื่อไหร่?!” เหนือฟ้าคาดคั้น
“อีกไม่นาน” วันชัยมองเหนือฟ้าอย่างมีอำนาจมากกว่าเห็นๆ “พ่อเลี้ยงไม่เชื่อมือพี่แล้วเหรอครับ”
เหนือฟ้าอ่อนลง ลดท่าทีระห่ำ วันชัยมองอย่างพอใจ แววตาครุ่นคิดวางแผนจัดการภูผาขั้นต่อไป
คืนนั้นภูผานั่งหลับอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน หนูนาเดินเข้ามาพร้อมกาน้ำชา เห็นภูผาหลับก็อมยิ้ม เมื่อเห็นภูผาสวมชุดกันหนาวเต็มที่
หนูนารินน้ำชาใส่ถ้วย เดินเข้าไปจะปลุกภูผา เห็นภูผานอนกอดอกแน่นด้วยความหนาว
หนูนาชะงัก...ครุ่นคิดนิดหนึ่ง วางถ้วยชาลง แล้วถอดเสื้อกันหนาวตัวใหญ่หนาของตัวเองออก เรียกความกล้าอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจเอาเสื้อห่มให้ภูผา แต่ยังไม่ทันได้ห่ม เสียงภูผาก็ดังขึ้น ทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
“อย่า!”
หนูนาสะดุ้งเฮือก
ภูผาพูดพร่ำต่อไม่ลืมตา
“อย่าให้หัวใจของเธอกับฉัน เพราะฉันไม่มีให้คืน”
หนูนาร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า ก่อนจะลุกพรวดขึ้น วิ่งออกไป ภูผารู้สึกตัวค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองตามไป
หนูนาวิ่งหนีออกมาอย่างสับสน ทั้งโกรธ ทั้งอาย ทั้งเสียใจ น้ำตาไหลพราก มือปาดเช็ดน้ำตาที่หน้าอย่างแรง
“จะร้องไห้ทำไมนะไอ้หนูนาบ้า จะเสียใจทำไม! หยุดร้องเดี๋ยวนี้นะ หยุดร้อง!”
ยิ่งพูดยิ่งห้าม หนูหนากลับยิ่งร้อง ดูเหมือนหัวใจจะไม่ยอมฟัง
เวลาเดียวกันนั้นภายในตัวเรือถูกจัดเป็นห้องพยาบาลชั่วคราว เปิดไฟสลัว พฤกษ์หลับอยู่ที่มุมหนึ่ง
วงเดือนเดินถือกระเป๋ายาเข้ามา เห็นพฤกษ์นอนหันหลังให้ตัวสั่นกึกๆ
“คุณพฤกษ์”
วงเดือนรีบหาผ้ามาห่มให้ อังตัวดู “ตัวร้อนจี๋เลย”
วงเดือนปลุกพฤกษ์
“คุณพฤกษ์ คุณพฤกษ์ทานยาก่อนนะคะ”
พฤกษ์พลิกตัวกลับมา สติสัมปชัญญะเลือนลาง ตาพร่าเห็นภาพวงเดือนไม่ชัด
วงเดือนประคองตัวพฤกษ์ขึ้นมา พฤกษ์รับรู้ได้ว่าวงเดือนอยู่ใกล้ๆ จิตใต้สำนึกทำงานทันที
“เดือน...เดือน”
พฤกษ์ดึงตัววงเดือนเข้ามากอด
“คุณพฤกษ์!” วงเดือนพยายามดันตัวออก
แต่พฤกษ์พยายามไขว่าคว้า “เดือน...”
พฤกษ์พยายามกอดไว้ วงเดือนตกใจทำอะไรไม่ถูก
“คุณพฤกษ์ ปล่อยเดือนเถอะค่ะ คุณพฤกษ์”
พฤกษ์ได้สติ ชะงัก มองเห็นหน้าวงเดือนชัดขึ้น และเห็นว่าสีหน้าวงเดือนตกอกตกใจมาก
“ขอโทษนะเดือน..ฉัน...”
เดือนตัดบทเปลี่ยนเรื่อง “ทานยาก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวเดือนล้างแผลให้”
วงเดือนซ่อนหน้าหันไปจัดการยาต่อ พฤกษ์มองวงเดือนด้วยความรักท่วมท้นล้นใจ
วงเดือนทำแผลให้พฤกษ์ พันผ้าให้ในอาการใกล้ชิด จังหวะหนึ่งต้องโอบพฤกษ์ไว้ วงเดือนใจสั่นๆ พฤกษ์เริ่มรู้สึกละอายใจ
“ภูผาส่งข่าวมาบ้างหรือเปล่า”
วงเดือนหยุดกึก ก่อนจะส่ายหน้า น้ำตาเริ่มร่วง
พฤกษ์ใช้สองมือประคองใบหน้าของวงเดือนแล้วใช้มือปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
ทายาทคนโตแห่งแสนสมุทรค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้วงเดือนอย่างอดใจไม่ได้
วงเดือนรู้สึกตัวรีบใช้มือดันพฤกษ์เอาไว้
พฤกษ์เองก็ชะงักรู้สึกตัวรีบปล่อยเดือน “ฉันขอโทษ...ฉัน”
พฤกษ์จะหันมาขอโทษแต่วงเดือนชิงพูดตัดบทซะก่อน
“เดือนขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“เดือน...” พฤกษ์คราง พยายามจะพูดขอโทษ
วงเดือนไม่ฟังเสียง หยิบของกับกระเป๋าแล้วรีบออกไป พฤกษ์มองตามอย่างเจ็บปวด
ที่หน้าไร่บนดอยเช้าวันต่อมา ภูผากับคนงานกำลังช่วยกันสร้างรั้วกั้นอาณาเขตไร่ ภูผาตอกๆๆๆๆ คนงานเชียร์ตามจังหวะ สุดท้ายตอกสำเร็จ
สว่างร้องขึ้น “เสร็จแล้วเว้ย” ทุกคนเฮลั่น
ภูผาเงยหน้าขึ้นยิ้ม ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้า ลุกขึ้นมองไปที่ไร่ด้วยความพอใจ
“งานเสร็จแล้ว...ก็ต้องฉลองกันหน่อย”
สว่างหันมองภูผา ภูผาพยักหน้าเชิงอนุญาต ทุกคนเฮ บรรยากาศชื่นมื่น ภูผาเดินเข้าไปด้านในไร่
ดอยกระโดดโลดเต้นดีใจ แล้วเท้าสะเอวมองไปที่ไร่ชา
“โอ้โฮๆๆๆ ไม่น่าเชื่อว่า เลวทั้งทุ่งจะกลับมาดีได้ ดีนะเนี่ยที่ไม่เปลี่ยนใจไปปลูกสตอเบอรี่เสียก่อน เนอะ..ลุงหว่างขา.....”
สว่างเขกหัวดอยดังโป๊ก! ดอยสะดุ้ง “เอ็งคิดว่าคนอย่างนายภูผาจะปลูกสตอเบอรี่เหรอ” เขกอีกโป๊ก
“อ้าว! ลุงนี่ไม่รู้อะไรเล๊ย”ดอยทำเป็นกระซิบกระซาบ “เห็นเก๊กๆ อย่างนี้ ข้างในอาจจะหวานแหววสตอเบอรี่ก็ด้าย....” เด็กหญิงจอมแก่นลากเสียงตาเยิ้ม
สว่างปราม “ไอ้ดอยๆๆ” เขกหัวโป๊กๆๆ
เวลาเดียวกันชอุ่มวิ่งเข้ามาที่ท่าเรือ มองหาพฤกษ์แต่ไม่เห็น จึงถามหาเอากับลูกเรือ
“นายพฤกษ์ล่ะ เข้าฝั่งรึยัง?”
“เข้าฝั่งอะไร นายพฤกษ์โดนใบพัดบาดนอนป่วยอยู่บนอู่เรือโน่น”
ชอุ่มตาค้าง “ห๊า”
พฤกษ์สั่งชอุ่มอย่างชัดเจน
“กลับไปบอกคุณพ่อว่าฉันยังกลับบ้านไม่ได้”
ชอุ่มเป็นห่วงไม่หาย “เอ้า ได้ไงล่ะคะ แล้วถ้าคุณท่านรู้ว่าคุณพฤกษ์เจ็บแบบนี้ยิ่งต้องสั่งให้คุณพฤกษ์กลับแน่ๆ”
“อย่าบอกเรื่องที่ฉันเจ็บกับที่บ้านเด็ดขาด” พฤกษ์กำชับ
ชอุ่มบ่นอุบ “ก็คุณท่านให้ชอุ่มมาตาม แต่ชอุ่มต้องกลับไปโกหกอีกเหรอเนี่ย”
พฤกษ์บอกเสียงเข้ม “เข้าใจไหม”
ชอุ่มสะดุ้ง “เข้าใจค่ะ ชอุ่มจะเรียนคุณท่านตามที่คุณพฤกษ์สั่งทู๊กคำเลยค่ะ”
ชอุ่มถอยกลับไป พฤกษ์เอนหลังด้วยความเหนื่อยล้า
พฤกษ์บอกเตือนตัวเองด้วยน้ำเสียงขื่นขม “จะกลับไปให้มันเป็นเรื่องทำไม ทะเลคือบ้านของแก..จำไว้ ไอ้พฤกษ์!”
ในขณะที่วงเดือนกำลังเดินออกจากบ้านไปที่คลินิก จังหวะที่เดินผ่านด้านนอกของห้องโถง ได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน เดือนชะงัก
เสียงอนุตดังขึ้น “ทำไมพฤกษ์ถึงกลับบ้านไม่ได้”
ชอุ่มอ้ำอึ้ง “ไม่ทราบเจ้าค่ะ คุณพฤกษ์ให้ชอุ่มเรียนคุณท่านแค่นี้”
ชอุ่มนั่งที่พื้น อนุตกับศรีดารานั่งซักถามสีหน้าแปลกใจ
อนุตจับจ้องมองท่าทีชอุ่มที่มีพิรุธ “มีอะไรหรือเปล่า”
ชอุ่มสะดุ้ง “มะ..ไม่มีเจ้าค่ะ” อยู่ไม่ได้แล้ว “ชอุ่มขอไปทำงานก่อนนะคะ”
ชอุ่มรีบก้มหน้างุดๆ ออกไป
อนุตบ่นกับศรีดารา “หมู่นี้บ้านเรามันเป็นอะไร คนนั้นโผล่ คนนี้หาย ไม่เคยอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาซักที”
น้ำเสียงและสีหน้าอนุตกังวลใจ
“คนอยู่ใกล้ได้เห็นหน้าก็หมดห่วง แต่คนอยู่ไกลนี่สิ..ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”
อนุตหันไปมองศรีดารา รู้ว่าหมายถึงภูผา ศรีดาราก้มหน้าน้ำตาคลอก่อนลุกเดินออกไป
อนุตถอนหายใจ หน้าเครียดเคร่งหันไปมองรูปถ่ายของครอบครัว
มองจ้องที่ใบหน้าภูผา อนุตสีเป็นห่วงนึกถึงภูผาขึ้นมา
วงเดือนเองก็มีสีหน้ากังวลใจไม่แพ้กัน
ภูผาหยุดยืนมองไร่ชาที่ดูอุดมสมบูรณ์ด้วยความรู้สึกภูมิใจ
“ผมทำได้แล้วครับคุณย่า”
หนูนาโผล่เข้ามามือไขว้หลัง พูดลอยๆ “ชาเย็น”
ภูผาหันมามองแบบ คิดในใจจะเอาไงกะกรูอีก ?!
“ไม่ได้ว่าคุณ” หนูนายื่นชาเย็นให้ “แต่ชั้นชงชาเย็นมาเผื่อ”
“ขอบใจ” ภูผารับมา
“คุณจะตั้งชื่อไร่ว่าอะไร?” หนูนาถาม
“ต้องมีด้วยเหรอ” ภูผาไม่ทันคิดเรื่องนี้
“ไร่ที่ไหนเขาก็มีกันทั้งนั้นแหละ ยิ่งคุณปลูกชา ชื่อไร่มันก็จะเป็นชื่อยี่ห้อชาของคุณด้วย เพราะฉะนั้น คุณต้องคิดให้ดีๆ”
ภูผาเงียบไป
หนูนาพยายามจะโยนหินถามทาง เพราะอยากรู้ว่าแฟนภูผาชื่ออะไร
“เอาชื่อที่คุณชอบ ชื่อที่คุณอยากได้ยินบ่อยๆ ก็ได้…อย่างชื่อตระกูล หรือว่าชื่อแฟน” หนูนาแอบเหล่
ภูผาถูกแทงใจดำจนอึ้ง
หนูนาย้ำถาม “ตกลงไร่นี้จะชื่ออะไร”
ภูผาตัดใจ “ไม่มีชื่อ!”
ภูผาพูดอย่างไม่แคร์แล้วเดินหนีไป....หนูนามองตามไป แผนโยนหินพังยับ
“หัวใจทำด้วยน้ำแข็งแน่ๆ”
หนูนารู้สึกโหวง ๆ ตัดสินใจเดินตามภูผาไป
หนูนาเดินตามหาเห็นภูผายืนหันหลังให้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พอจะเข้าไปหา แต่ทันใดนั้นเสียงภูผาก็ดังขึ้น
“เดือน!!”
หนูนาชะงักกึก
“ไกลขนาดนี้แล้ว ทำไมฉันต้องคิดถึงเธอ! บ้าเอ้ย!” ชกต้นไม้โครม “ฉันมันเลวเกินกว่าที่เธอจะรักได้งั้นเหรอ” ภูผาแหกปากตะโกนลั่น “ไอ้สารเลว! ไอ้ภูผา แกมันสารเลว ไอ้เลว”
หนูนาแอบดูด้วยสีหน้าตื่น ตกใจ ระคนแปลกใจ และสุดท้ายใจเสียเมื่อได้ยินภูผาหลุดปากพูดถึงผู้หญิงอื่น
คืนนั้นขณะที่วงเดือนขี่จักรยานกลับจากคลินิกมาตามทาง มุ่งหน้ากลับบ้าน…รถของโฉมไฉไลแล่นสวนมาอย่างเร็ว วงเดือนชะลอรถ ขี่ชิดขอบทาง
โฉมไฉไลที่อยู่ในรถตวัดตามอง จับพวงมาลัยแน่น
“ในเมื่อเตือนแล้วไม่ฟัง มันก็ต้องเจอแบบนี้!”
โฉมไฉไลจงใจขับรถพุ่งเข้าใส่วงเดือน ทำเหมือนจะชนแต่ไม่ได้ชน หักพวงมาลัยออกทันควัน
วงเดือนหักหลบ เสียหลัก รถจักรยานล้มลง
โฉมไฉไลจอดรถแล้วเดินลงมาหา เข้ามากระชากตัวเดือนที่กองอยู่ที่พื้นให้ลุกขึ้นมา
“เลิกอ่อยเมฆาได้แล้ว ถ้าแกไม่อยากตาย!”
ขาดคำโฉมไฉไลตบวงเดือนฉาดใหญ่ จนหน้าคว่ำไป ก่อนจะเดินฉับๆ กลับไปที่รถ ขับรถออกไป
วงเดือนตกใจตัวสั่น อกสั่นขวัญแขวน ตื่นตระหนกไปหมด
ที่ไร่บนดอยกองไฟคุโชนสว่างโชติช่วง เปลวเพิงวูบไหวไปตามแรงลม เสียงเพลงดังลั่น หมู่คนงานกำลังเฮฮาได้ที่ เป็นบรรยากาศงานฉลองสไตล์คาวบอย
ดอยขยับเขย่าเครื่องดนตรีเพอร์คัชชั่น ดัดแปลงจากของพื้นบ้านนั่นเอง พลางเต้นไปกับจังหวะเพลง คนงานตีกลองอย่างสนุกสนาน สว่างเซิ้งเฉิบๆ
อีกมุมหนึ่ง ไม่ไกลมากนัก ภูผากำลังหยิบถ่านใส่เตาไฟช่วยย่างไก่ หนูนาเดินเข้ามา
“ทำเป็นไหมเนี่ย ไก่ย่างนะไม่ใช่ไก่ไหม้”
“นี่ ยัยหนูน้อย”
หนูนาฉุนกึก “ฉันชื่อหนูนา!”
“ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเห็นเด็กที่ไหนพูดมากเท่าเธอเลย” ภูผาเอ็ด
หนูนาโมโห “ฉันไม่ใช่เด็กนะ! แล้วต่อไปนี้ก็อย่ามาเรียกชั้นว่าหนูน้อยอีก...เข้าใจมั้ย?”
หนูนาค้อนขวับ ภูผาทำเป็นไม่สนใจ ใช้มือปาดเหงื่อที่หน้า แต่กลายเป็นรอยเปื้อนดำ หนูนาหันไปเห็นแก้มภูผาเปื้อนถ่านเป็นคราบ จึงหยิบผ้าส่งให้
“ฮื้อ...”
ภูผาไม่เข้าใจ “อะไร...”
หนูนาพยักเพยิดแต่ไม่พูด “ฮื้อออ...”
“ก็อะไรเล่า”
หนูนาหงุดหงิด ขัดใจ “ก็มันเลอะเนี่ย” พูดปุ๊บมือก็เอื้อมไปเช็ดที่แก้มภูผาปั๊บ
ภูผาชะงักมองหนูนา นึกถึงเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ ระหว่างเขากับวงเดือน
ยามเย็นวันนั้น ตรงถนนริมหาดทรายสวยๆ วงเดือนใช้ผ้าซับรอยเลอะที่ใบหน้าภูผา ซึ่งนั่งพิงมอเตอร์ไซค์อยู่
ตรงมุมปากภูผามีรอยแตกเลือดซึมนิดๆ สภาพภูผาดูออกว่าผ่านการคลุกฝุ่นต่อยตีมาอีก
“คุณไม่น่าไปมีเรื่องกับพวกนั้นเลย”
ภูผาเสียงดุ “พวกมันต่างหากที่ไม่ควรมาหาเรื่องฉัน”
วงเดือนน้อยใจ “น่าจะปล่อยให้ตายไปเลย” ปากบ่นแต่มือเช็ดไม่หยุด
ภูผายิ้มปลื้ม “ห่วงฉันเหรอ...”
วงเดือนเขิน รีบเปลี่ยนเรื่อง “พูดมาก..เลือดไหลไม่หยุดแล้ว”
ภูผาจับตัววงเดือนดึงเข้ามาหาอย่างช้าๆ จนหน้าแทบจะชิดกัน ถามคาดคั้นจะเอาคำตอบ
“ตอบฉันก่อน ห่วงฉันใช่ไหม”
วงเดือนเขินหนัก ทำหน้าไม่ถูก แล้วแกล้งใช้ผ้ากดที่มุมปากภูผา
ภูผาร้อง “โอ๊ย!” พร้อมกับดึงวงเดือนเข้ามาใกล้แล้วกอดไว้ มองจ้องบังคับให้ตอบ
“ว่าไง?! ไม่ตอบจะกอดไม่ปล่อยเลย”
วงเดือนยิ้มตอบเสียงเบา “ค่ะ เดือนห่วงคุณ”
ภูผามองวงเดือนแล้วค่อยๆ ขยับเข้าไปหมายจะจูบ...แสงอาทิตย์ระยิบระยับอยู่ด้านหลัง
ภูผาค่อยๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้หนูนา จนหนูนาตกใจแต่ไม่หนี กลับคอยด้วยใจลุ้นระทึก
ภูผาพูดเสียงเบาหวิว “เดือน”
หนูนาได้สติยกไก่ขึ้นมาบังขวางไว้ ภูผาสะดุ้งรู้สึกตัว
“เฮ้ย อะไรเนี่ย!”
“คุณน่ะสิเป็นบ้าอะไร ชั้นชื่อหนูนาย่ะ ไม่ใช่เดือน”
ภูผาเหวอ รู้ทันทีว่าตัวเองเผลอไป
หนูนาโมโหแต่ยังอยากรู้ “แฟนเหรอ เดือนน่ะ?”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!”
หนูนาสวนทันที “อยากรู้ตายล่ะ”
หนูนาเชิดใส่จะเดินหนี ภูผาคว้าแขนให้หันกลับมา
ภูผาถามนิ่ง “เธอชอบฉันเหรอ?”
“บ้า พูดบ้าๆ” สาวชาวดอยเน้นคำชัดความ “เป็นไปไม่ได้”
หนูนาสะบัดมือหลุดจะเดินหนี ภูผาพูดขึ้น
ภูผาบอก “ดีแล้วที่รู้”
หนูนาโกรธทำปึงปังใส่ หันกลับมาจ้องหน้าภูผา
“มากไปแล้วนะ มันมากไปแล้ว” ชกเปรี้ยงเข้าที่หน้า
ภูผาหน้าหงาย เสียหลัก เซไปชนโต๊ะจนข้าวของหล่นเสียงดัง….คนอื่นๆ หันมามองเป็นตาเดียว
“คิดว่าแน่นักเหรอ ถ้าแน่จริงทำไมถึงโดนทิ้งมาล่ะ!..กระจอก”
หนูนาวิ่งหนีไปด้วยความโกรธ ภูผามองตามไป สว่างรีบเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นครับ ไอ้หนูนามันทำบ้าอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“จะไม่มีได้ยังไง ก็…”
สว่างพูดยังไม่ทันจบคำ ภูผาก็ฉีกตัวเดินฉับๆ ตามหนูนาไป เล่นเอาสว่างเหวอ ทำอะไรไม่ถูก
“อ้าว...”
ดอยตะโกนเสียงดัง โบกไม้โบกมือฝ่าความเงียบมา
“ยู้ฮูๆ ทางโน้นเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
สว่างตัดใจ ตะโกนเสียงดังลั่น “ไม่มีอะไรโว้ย สนุกกันต่อ เต็มที่เลย จัดมา!”
สว่างกลบเกลื่อนด้วยการเข้าไปร่วมเฮร้องเต้นกับดอย คนอื่นๆ เห็นว่าสว่างยังโอเค เลยเฮฮากันต่อไป
อีกมุมหนึ่งในไร่บนดอยสูง หนูนาหลบมาอยู่ตรงนั้น ร้องไห้สะอึกสะอื้น ด้วยความเจ็บใจ แต่พยายามจะหยุดตัวเอง ปาดน้ำตาทิ้ง
ภูผาตามมาเจอ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายร้องไห้อยู่จึงเดินเข้าไปหา ถามเสียงเข้ม
“เธอรู้อะไร...เรื่องผู้หญิงคนนั้น”
หนูนาสะดุ้ง หันมามอง พอเห็นภูผาเข้า ก็รีบหันกลับไปเช็ดน้ำตาใหญ่
“ฉันถามว่าเธอรู้อะไร”
ภูผาอ้อมมาด้านหน้า จับตัวหนูนาไว้
“ตอบสิ!”
หนูนาตกใจ พยายามกลั้นน้ำตาไว้แต่กลั้นไม่อยู่ น้ำตาไหลรินอาบแก้ม
ภูผาตกใจ “ร้องไห้ทำไม”
หนูนาบิดตัวหนี แต่ภูผาไม่ยอมปล่อย
หนูนาดันภูผาออกสุดแรง
“จะมาสนใจฉันทำไม? ไปรักษาตัวเองให้หายก่อนเถอะ เจ็บมาไม่ใช่เหรอ!”
ภูผาโกรธจัด ดึงหนูนาเข้ามาใกล้ๆ หน้าแทบติดกัน
“ฟังให้ดี อย่ามาสนใจฉัน เพราะฉันไม่มีหัวใจไว้รักใครได้อีกแล้ว”
ภูผาเดินจากไป
หนูนาตะโกนใส่ภูผา “ฉันไม่เชื่อ!”
ภูผาชะงักหันมา หนูนาเข้ามาจ้องหน้าใกล้ๆ พูดเสียงดังใส่หน้าภูผา
“คนไม่มีหัวใจ ก็ต้องตายไปแล้วสิ! คุณมีหัวใจ แต่คุณซ่อนมันไว้ต่างหาก คอยดูนะ ฉันจะหามันให้เจอให้ได้ คอยดู!”
หนูนาชกเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายของภูผา ก่อนจะวิ่งหนีไป
ปล่อยให้ภูผาอึ้งกับคำพูดประโยคแทงใจ “คุณมีหัวใจแต่คุณซ่อนมันไว้ต่างหาก” อยู่ตรงนั้น
วงเดือนยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิม ชุดรุ่ยร่ายไม่สวยเนี้ยบ หญิงสาวนั่งอยู่หน้ากระจกในห้องพัก ลูบใบหน้าตัวเองที่ถูกโฉมไฉไลตบเมื่อครู่ ยินเสียงสาวไฮไซก้องในหัว
“เลิกอ่อยเมฆาได้แล้ว ถ้าแกไม่อยากตาย!”
วงเดือนส่ายหน้าดิก
“ฉันไม่เคยคิดอะไรกับคุณเมฆา”
แต่ในเสี้ยวนาทีหนึ่ง หญิงสาวประหวัดถึงเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมา
วันนั้นเมฆาคว้ามือวงเดือน พาวิ่งไปที่สนามหญ้าในสวนบ้านแสนสมุทร
“คุณเมฆาจะพาเดือนไปไหนคะ” วงเดือนงวยงง
“มาเถอะน่า”
เมฆาดึงวงเดือนเข้ามาที่มุมหนึ่งของสวน มีภูผา พฤกษ์ และอรุณยืนรออยู่แล้ว
อรุณเดินยิ้มมาพาเดือนเข้าไปรวมกลุ่ม
“มายืนตรงนี้สิเดือน พี่เมฆาได้กล้องมาใหม่ ก็เลยอยากให้เราถ่ายรูปหมู่” อรุณว่า
เมฆาไปจัดการง่วนอยู่ที่กล้อง อรุณลากวงเดือนไปยืนอยู่หน้ากล้อง
วงเดือนสบตากับภูผาแว่บหนึ่ง ภูผายิ้มแล้วตีเนียนเข้าไปยืนชิดวงเดือน พฤกษ์ยืนซ้อนกับภูผาเยื้องๆ ไปทางขวา ส่วนอรุณยืนซ้อนที่ด้านหลัง ด้านซ้ายมือของวงเดือน โดยหมายมั่นว่ารูปออกมาเหมือนยืนเคียงคู่กัน
เมฆาร้องบอก “ทั้งหมดยืนชิดกันอีกหน่อย เดี๋ยวตกเฟรม”
ทุกคนขยับ รวมทั้งภูผากับวงเดือนที่ขยับชิดกัน...มากขึ้น
โดยไม่มีใครสังเกต มือข้างซ้ายของภูผาอยู่ชิดติดกับมือข้างขวาของวงเดือนโดยบังเอิญ จังหวะนั้นภูผาใช้นิ้วก้อยมือข้างซ้ายเกี่ยวกับนิ้วก้อยข้างขวาของวงเดือน
วงเดือนรู้สึกตัว เงยหน้าสบตาภูผา สองคนสบตาซึ้งๆ
เมฆาตั้งกล้องเสร็จวิ่งเข้ามายืนตรงกลางด้านหลังของภูผากับวงเดือน
พร้อมกับนับ “หนึ่ง..สอง..สาม”
หนุ่มสาวในกรอบภาพทั้งห้ายิ้มนิดๆ สวยหล่อกันทุกคน
รูปถ่ายใบนั้นใส่อยู่ในกรอบ วางไว้ในตู้เสื้อผ้าของวงเดือน หญิงสาวหยิบกรอบรูปขึ้นมากิริยาทะนุถนอม ใช้นิ้วก้อยข้างที่เคยเกี่ยวกับนิ้วก้อยภูผาลูบไล้ไปที่ภาพภูผาด้วยความรัก
จังหวะนั้น ชอุ่มเดินเอาผ้าขนหนูคลุมตัวผ่านมา ร้องทักทาย
“ยังไม่นอนอีกเหรอเดือน”
วงเดือนสะดุ้งรีบเอากรอบรูปซ่อนไว้ “เพิ่งกลับมาถึงจ้ะ นี่พี่ชอุ่มอาบน้ำแล้วเหรอ”
“อือ..น้ำเย็นเฉียบเชียว ที่ใต้เริ่มเย็นแบบนี้แสดงว่าทางเหนือคงหนาวแล้วล่ะ”
วงเดือนนึกขึ้นได้ “จริงสิ บ้านพี่อยู่เหนือนี่”
“ใช่...มาอยู่ใต้เป็นสิบปีไม่เคยได้กลับไปเหยียบดอยเล๊ย นี่อีกไม่กี่วันคงหนาวจับใจแล้วล่ะ” ชอุ่มหาวคำโต “พี่ไปนอนก่อนนะ จะรีบไปฝันว่ากอดผู้ชายอยู่บนยอดดอย” ชอุ่มหัวเราะแล้วเดินออกไป
วงเดือนหยิบรูปออกมาดูอีกครั้ง คิดถึงภูผาจับใจ
ภูผาเอามืออังกองไฟรับไออุ่นแก้หนาว ดอยร้องเพลงอยู่ ส่งยิ้มไปรอบๆ สว่างกำลังย่างไก่อยู่ที่มุมหนึ่ง มีขยับตามจังหวะเพลง
ดอยนำทีมร้องรำเฮฮา ทำให้ทุกคนสนุกสนาน....ทันใดนั้นดอยก็ชะงักกึก ตาโต
“ไฟ! ลุงหว่าง..ไฟไหม้!”
ทุกคนเหลียวขวับ
สว่างย่างไก่เฉยอยู่ “จะเอาให้เกรียมๆ หนังกรอบๆ มันก็ต้องเร่งไฟกันหน่อย ไม่ต้องตกใจ
“ไม่ใช่ไฟไหม้ไก่” ดอยชี้ไป “แต่ไหม้โน่น…”
ทุกคนมองตามมือดอยที่ชี้ไป เห็นว่าไฟกำลังโหมไหม้บริเวณไร่ชา และไหม้ลามไปที่กระท่อมหลังใหญ่
ทุกคนตะโกนก้อง “เฮ้ย ไฟไหม้ไร่”
สว่างดีดตัวรีบผละออกจากเตาไก่ย่าง ตะโกนสั่ง “ดับไฟโว้ย รีบดับไฟ!”
ทุกคนอลหม่านกันไปหมด
ภูผารีบเข้าไปที่ไร่ทันที
คนงานทุกคนช่วยกันอย่างขันแข็ง พยายามดับไฟเร็วรี่ ภูผามุ่งมั่นมาดราวกับฮีโร่ ภูผากับคนงานช่วยกันตักน้ำจากลำธาร ถังแล้วถังเล่า ช่วยกันสาดน้ำไปที่กระท่อม สว่างสั่งการไปรอบๆ
จังหวะหนึ่งภูผาเสี่ยงตายเข้าไปลากม้าออกมาจากคอก ที่ไฟเริ่มลามไปถึง พวกผู้หญิงช่วยกันหิ้วถังใส่น้ำเข้าไปสาดไฟไม่ลดละย่อท้อ
จังหวะต่อมาดอยหิ้วถังใส่น้ำหน้าตาตื่นเข้ามาหลับหูหลับตาแล้วสาดโครม! โดนสว่างที่หันกลับมาเต็มๆ
ภูผาสาดน้ำจนหมดถัง คนงานลุกลี้ลุกลนจนชนภูผาเซคว่ำลงไปกับพื้น จังหวะนั้นมือของหนูนาก็เข้ามาจับมือภูผา ฉุดให้เขาลุกขึ้นยืน ภูผาหันไปสบตากับหนูนา เห็นหนูนาหน้าเอาจริงเอาจังมาก
ทั้งภูผาและหนูนาต่างช่วยกันดับไฟแข็งขัน ทันใดนั้นเกิดลมพัดแรง เปลวไฟสะบัดวูบเข้ามา!!
ภูผาตะโกน “ระวัง”
ภูผารีบเอาตัวเองบังไฟให้หนูนา เหนูนาเงยขึ้นมองภูผา ใบหน้าใกล้กันจนเกือบแนบชิด
เวลานั้น จู่ๆ กรอบรูปที่ตั้งอยู่ที่หัวเตียงของวงเดือน ก็หล่นลงมากระแทกพื้น ดังเพล้ง!!!
วงเดือนซึ่งอยู่ในชุดนอน เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เปิดประตูเข้าห้องเห็นด้วยอาการงงๆ ว่าตกลงมาได้ยังไง
หญิงสาวหยิบรูปขึ้นมาดูอีกครั้ง เห็นรอยแตกร้าวในกระจกเป็นช่วงระหว่างภาพของวงเดือนกับภูผาพอดิบพอดี
วงเดือนแตะที่รอยร้าวนั้นใจหล่นวูบ
เวลานั้นวันชัยโยนเงินปึกหนึ่งให้ลูกน้อง ก่อนจะหันคุยฟุ้งอวดกับเหนือฟ้า
“นับถอยหลังได้เลยพ่อเลี้ยง รับรองว่าไอ้ภูผาต้องเผ่นลงดอยแทบไม่ทันแน่!”
เหนือฟ้าสะใจ ส่วนวันชัยก็กระหยิ่มยิ้มย่องไม่แพ้กัน
เวลาผ่านไปดอยในสภาพตัวดำเมี่ยมเพราะเขม่าไฟ นั่งลิ้นห้อยหอบเหนื่อยอยู่ ภารกิจดับไฟจบลงแล้ว ทุกคนทั้งเหนื่อยทั้งท้อแท้ใจ
สว่างบอกรายงานกับภูผา
“เสียหายไม่ใช่น้อยครับนาย ทางด้านหน้านี่ยังพอไหว แต่ด้านในเข้าไปโน่น ดับไม่ถึง ช่วยไม่ทันจริงๆ ครับ”
ดอยเงยหน้าชี้มาทางภูผา พูดประสาซื่อ “เดี๋ยวม้าตาย เดี๋ยวไร่โดนย่าง นายเขาดวงตกนะเนี่ย”
สว่างกดหัวให้ดอยหยุดพูด
“ฝีมือไอ้พวกนั้นแน่ๆ!” ภูผามั่นใจ
“นายครับ ศัตรูของเรามันเดินหมากที่สองแล้ว ผมว่าทางที่ดี นายอย่าอยู่ที่นี่เลย มันไม่ปลอดภัย” สว่างรู้สึกกังวล
หนูนาเหลียวขวับมองภูผาอย่างลุ้นระทึก รอฟัง
“ผมจะอยู่ที่นี่ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
สมใจหนูนาตาเป็นประกายวิบวับ
สว่างท้วง “แต่ว่า...”
ภูผาบอกประกาศกร้าวอย่างมุ่งมั่น ท่าทีแน่วนิ่ง
“ผมจะทำไร่ต่อไปใครอยากจะลุยต่อกับผม พรุ่งนี้เจอกัน”
คนงานทั้งหมดเฮ! ชื่นชมหัวใจนักสู้ของภูผา หนูนายิ้มกว้าง
“แล้วเรื่องพ่อเลี้ยงเหนือฟ้า...” สว่างกังวลไม่หาย
ภูผาบอกด้วยเสียงดุดัน “ในเมื่อมันทำอะไรผมไม่ได้..มันก็โชคร้ายแล้ว!”
ภูผาเดินกลับ ผ่านหนูนาที่ยืนอยู่ ภูผาตบไหล่เบาๆ
“สบายใจได้..ฉันไม่ไปไหนหรอก”
หนูนาอายแทบแทรกไร่ชาหนี ที่ถูกจับได้
ภูผาเดินผ่านไป
สว่างมองตามภูผาไปสายตาทึ่งและชื่นชม “ไม่ธรรมดา!ไม่ธรรมดา”
ดอยร้องเป็นเพลงต่อให้ “อ๊ะอ๊าว!! ไม่ธรรมดา”
หนูนาแอบยิ้มชื่นชมภูผาจนออกนอกหน้า
ที่บ้านแสนสมุทร เช้าวันนั้นอรุณยังคงหลับอยู่ วงเดือนเปิดประตูเข้ามาอย่างแผ่วเบาแล้วเดินมาวางถาดยากับน้ำอย่างเบามือ
อรุณหายใจแรงฟืดฟาด และไอออกมาทั้งที่ยังหลับอยู่
วงเดือนเป็นห่วง เอื้อมมือจะไปจับชีพจรด้วยสัญชาตญาณ แต่ต้องชะงักอยู่เพียงเท่านั้น
ยินเสียงคำพูดอนุตก้องในหัว “ทำหน้าที่ของเธอต่อไป...เท่าที่จะทำได้!”
วงเดือนค่อยๆ ชักมือกลับ อรุณเริ่มหายใจอย่างสม่ำเสมอ วงเดือนเดินกลับออกไปอย่างเงียบๆ
โดยไม่รู้ว่าอรุณแกล้งหลับแล้วลืมตาตื่น มองตามวงเดือนตาละห้อย
พึมพำอย่างน้อยใจ “เธอไม่สนใจฉันแล้วจริงๆ...เดือน”
โปรดติดตาม "ชิงนาง" ตอนต่อไป