xs
xsm
sm
md
lg

ดอกโศก ตอนที่ 20

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดอกโศก ตอนที่ 20

ดอกโศกหัวใจแตกสลายนอนซบหน้าแนบหมอน ร้องไห้เงียบๆ แล้วคิดอะไรบางอย่างได้ ตัดสินใจลุกขึ้นนั่ง

สามคนยังคุยกันอยู่ในห้องวาดรูปต่อ สมใจฉุกคิดถึงคำพูดอัศนัย
“คุณนัยบอกว่ารู้ว่าจะเสียดอกโศก แปลว่าจะปล่อยมันใช่มั้ย”
สมปองคิดไปไกลกว่า “คุณจะกลับไปหาแม่มันเหรอ”
อัศนัยหันขวับมาทางปอง “ปอง อย่าถามฉันอย่างนั้นอีก กลับไปหาปรียากมลไม่ใช่สิ่งสุดท้ายในโลกที่ฉันจะทำแต่ฉันจะไม่มีวันทำเลย...ยาย ผมรู้ว่าผมจะสูญเสียดอกโศก แต่ผมจะไม่ปล่อยดอกโศก เพราะนี่ไม่ใช่ความผิดของผม”
“มันไม่ใช่ความผิดใคร พี่จิตต์เขาก็ไม่ผิดนะ” สมปองว่า
“ใช่...ที่ผ่านมาปรียากมลไม่ผิด แต่ที่เขาจะทำต่อไป ...ฉันไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร ยายครับ”
สมใจมองหน้าอัศนัย “ฮื่อ…”
“ยายรู้จักลูกสาวยาย ยายคิดว่าเขาจะทำอะไรที่ถูกต้องมั้ยครับ”
ยายสมใจอึ้ง....ตอบไม่ถูก
“ก็ต้องคอยดูกันต่อไป คอยดูว่าแม่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไรอีก....กลัวใจจริงเว้ย” สมปองฮึดฮัด
ดอกโศกเดินลงบันไดมา เดินผ่านห้องวาดรูปไป หม่อนเดินตาม สามคนไม่เห็น
หม่อนเรียกขึ้น “คุณนัย”
สามคนลุกพรวด
“โน่น...ไปโน่น....เอ๊อ...ไม่รู้จักมองคุณนัยนี่” หม่อนบุ้ยใบ้ไปทางดอกโศก
สามคนวิ่งออกไป
อัศนัยหันมาถามทุกคนอย่างเร็ว “ดอกโศกได้ยินมั้ย” อัศนัยวิ่งไปด้วยไม่ยอมหยุด
หมื่นที่ยืนแอบๆ อยู่แถวนั้น “ไม่เหลือครับคุณนัย ยืนฟังอยู่ตั้งตะแรกเลย” หมื่นวิ่งตามไปด้วย

อัศนัยฟาดหัวหมื่นเต็มแรง แล้วพุ่งทะยานออกไป

ดอกโศกวิ่งมาจนเกือบถึงประตูแล้ว สมใจกับสมปองวิ่งตาม จังหวะหนึ่งสมใจสะดุดเหมือนจะหกล้ม สมปองประคอง
อัศนัยวิ่งพรวดเหมือนกระโจนผ่านสองแม่ลูกไป จับตัวดอกโศกไว้ได้
ดอกโศก เห็นหน้าอัศนัย ก็กรีดร้องเสียงดัง ดิ้นรนสุดขีด
สมใจ กับสมปองยืนตะลึง
“ยาย...ปอง” อัศนัยพยักหน้าเรียกสองคนให้มาช่วยรับ
อัศนัยส่งดอกโศกให้สองคน
ส่วนตัวเองถอยห่างออกมา ยายกับสมปองปลอบจนดอกโศกเงียบอยู่กับอกยาย
อัศนัย เหมือนหัวใจขาดลอย ยายปลอบจนดอกโศกนิ่ง
“กลับบ้าน ยายพาหนูกลับบ้าน หนูอยากกลับบ้าน” ดอกโศก
“ไป...ยายพาไป ไม่ต้องร้องไห้นะ...นิ่งซะลูก...ปอง ไปเรียกแท็กซี่”
สมปองขยับตัว
หม่อนโมโหตบหลังหมื่นจนคะมำ
หมื่นถามงงๆ “อะไรแม่”
“ไปเอารถออก” หม่อนกระซิบดุ
หมื่นกระโจนแผล็ว
สมปองรีบบอก “ไม่ต้อง...เราจะไปแท็กซี่”
“เอารถไปส่งดีกว่า” หม่อนท้วงด้วยหวังดี
“โศกมันไม่ขึ้นหรอก เดี๋ยวก็กรี๊ดอีก”
เสียงผู้คนยืนพูดกันไปมา

ดอกโศกหันไปมองดูอัศนัย เห็นอัศนัยยืนพิงเสา ก้มหน้าดูปลายเท้าตัวเอง
ดอกโศก สีหน้าผิดหวังเสียใจมาก
เหมือนรู้ว่ามีคนมอง อัศนัย หันไปทางดอกโศก ดอกโศก ส่งสายตาต่อว่าสุดๆ
อัศนัยเสียใจมาก
ทุกคนเห็น ต่างอ้ำอึ้ง
“แท็กซี่มาแล้วมั้ง” สมใจมองประตูบ้าน
อัศนัยใจหายวาบ เดินเข้าไปหาดอกโศก
ทว่าดอกโศกหันหลังให้ลากตัวเองออกไป
“ไปนะคุณนัย” สมปองลา
“ปอง”
“คุณนัย ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ เขาช็อคเห็นป่ะล่ะ เดี๋ยวรอเขารู้สึกตัวก่อน ยังไม่รู้ว่าเขาจะเอาไง” สมปองบอก
อัศนัยพยักหน้าหมดแรงแล้ว
“คุณนัยฮะ” สมปองทำหน้าว่าอย่าห่วง จะดูแลให้
อัศนัยได้แต่ยืนมอง
ประตูใหญ่ช้าๆ เหมือนดวงตาอัศนัยที่มองทะลุผ่านประตู เข้าไปถึงหน้าดอกโศกในรถแท็กซี่สีหน้านิ่งสนิทแต่ช้ำไปทั้งหน้า
อัศนัย จดจ้องเพ่งมองสีหน้าดอกโศก โศกสลด
เศร้าหมองสุดๆ พอกันทั้งคู่

อัศนัยเดินเข้าบ้านอย่างเร็วๆ ด้วยอาการซวนเซนิดๆ
“คุณนัย” หม่อน กับหมื่น เรียกชื่อพร้อมกัน
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นอะไร”

อัศนัยเดินดุ่มไปอย่างร้าวรานใจ

ปรียากมลเปิดประตูคอนโดเข้ามา สภาพเหมือนนกปีกหัก ปิดประตูดังกริ๊ก...ยืนพิงประตูนิ่งอยู่

จากนั้นจึงเดินมานั่งที่โซฟาด้วยท่านั่งไม่ระวังกิริยา ทอดขา กางขา ครู่ต่อมาปรียากมลลุกมายืนมองทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง
ปรียากมลมองไปอย่างเลื่อนลอย และยังอยู่ที่หน้าต่าง เอียงหัวซบขอบหน้าต่าง ตรงนี้ขอเสียงสะอื้นเบาๆ มากๆ แค่แว่วๆ ทั้งห้องเงียบกริบ
สักครู่หนึ่งจึงกลับมานั่งแหมะที่โซฟา ทอดตัวแหงนหน้ามองสูงขึ้นไป พิงพนักเอนๆ ราวกับจะบอกว่าไม่อยากมองอะไรรอบตัวอีกแล้ว อยากหนีไปจากโลกนี้

ค่ำแล้ว ปรียากมล กับตระกูล สองคนนั่งคุยกันในห้องคอนโด
“ตกลงดอกโศกรู้แล้วว่าคุณเป็นแม่”
ปรียากมลพยักหน้าเนือยๆ
“แต่....ลูกก็ไม่รักแม่เหมือนกัน”
ปรียากมลแค่นยิ้ม “รักก็บ้าแล้ว เขาไม่รักฉัน เหมือนฉันไม่รักเขานั่นแหละ”
“ทำไมล่ะ คนเราเป็นแม่เป็นลูกกัน ทำไมไม่รักกัน” ตระกูลอดแปลกใจไม่ได้
“งั้นฉันถามคุณ สมมุติวันหนึ่งมีคนเอาหลักฐานครบเลยนะ มาบอกอุ๊ไม่ใช่ลูกคุณ เขาพาอีกคนมาแล้วบอกคุณว่าลูกคุณคนนี้ต่างหาก คุณจะทำยังไง”
ตระกูลอึ้งนิดๆ “ก็ยากเหมือนกัน”
“คิดสิ”
ตระกูลคิดตาม
“คุณจะรักลูกคนใหม่ แล้วเลิกรักลูกคนเก่าเลยไม๊...เลิกรักอุ๊”
“น่ากลัวจะทำไม่ได้”
“จะทำไง ล่ะคุณ”
“เอาลูกจริงมาเลี้ยง แต่ก็ผมยังรักอุ๊อยู่ยังเลี้ยงอุ๊อยู่”
“คุณจะรักลูกคุณจริงไม๊ เทียบกับอุ๊”
“ไม่เท่าอุ๊”
“ไม่ใช่แค่ไม่เท่า....คุณจะไม่รัก ไม่ผูกพันหรอกกับคนใหม่”
สองคนคุยกันเบาๆ
“น่ากลัวใช่”
“นั่นแหละ คำตอบว่าทำไมชั้นกับดอกโศก ....ถึงไม่รักกัน”
“ผมเคยนึกว่ามันเป็นอัตโนมัติ พอรู้ว่าเป็นลูก.... ก็รักทันที เออ..ไม่ใช่นะ” ตระกูลว่า
“ไม่ใช่หรอก ชั้นไม่เห็นจะอัตโนมัติเลย” ปรียากมลหัวเราะประชดนิดๆ ทั้งๆ ที่นัยน์ตาหมองจัด “ฉันไม่รักลูกหรืออาจจะพูดว่าฉันยังไม่ได้รักเค้า”
“คุณไม่รักเค้าก็เลย ไม่ปล่อยผู้ชายให้เขา” ตระกูลพูดแทงทะลุหัวใจเลยทีเดียว
ปรียาคิดตรึกตรองพยายามจะหาวิธีอธิบายยังไง
“ก็ทำนองนั้น...” นัยน์ตาวาวขึ้น “อัศนัยเป็นแฟนฉันมานาน... นานมากจนฉันทนไม่ได้ที่เขาจะไปเป็นของผู้หญิงคนอื่น”


วันต่อมา คืนนั้นตระกูลเปิดประตูเข้ามาในห้อง ไม่เห็นเมียน้อย เปิดห้องน้ำดู ก็ไม่เห็น ตระกูลกลับมานั่งที่เตียง แล้วหงายหลังลงไปเต็มแรง สีหน้าหมองๆ ตระกูลลืมตามองเพดาน
ยินเสียงปรียากมลแว่วในหัว และเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่คอนโด
“อัศนัยเป็นแฟนฉันมานาน ...นานมากจนฉันทนไม่ได้ที่เขาจะไปเป็นของผู้หญิงคนอื่น”
ตระกูลถามคาดคั้น “แม้แต่ให้ลูกสาว”

ตระกูลพลิกตัวมาอีกทาง นึกถึงคำพูดอีกประโยค
“ใช่ แม้แต่ให้ลูกสาว”
ตระกูลเปลี่ยนอิริยาบถ ลุกพรวด ยืนขึ้น ตั้งท่าจะกลับ
ประตูห้องเปิดออก เมียน้อยหอบของพะรุงพะรังเข้ามา
“พี่...พี่ขา” เมียน้อยลิงโลด ดีใจทิ้งของทั้งหมด โผเข้าหาตระกูลกอดเต็มแรง
“เดี๋ยว...ไปไหนมา”
“กลับบ้านค่ะ”
“กลับบ้าน...ทำไมฉันไม่รู้”
“ก็...พี่ไม่มา”
ตระกูลสงสัยไม่วาย “ทำไมต้องกลับ...กลับทำไม”
“แม่ให้กลับค่ะ”
“ก็นั่นแหละ กลับไปทำไม”
“เค้าคิดถึงหนูค่ะ” เมียน้อยปด
“ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดถึง ทำไมจะมาคิดถึงตอนนี้ ฉันไม่ชอบที่มาแล้วไม่เจอเธอ ฉันเลี้ยงเธอให้เต็มที่ ฉันต้องมาเจอเธอ ไม่มีแบบนี้อีก” ตระกูลสั่ง
“ค่ะ”
ตระกูลถอนใจยาว ความเศร้าเริ่มเข้ามากินใจอีก
“พี่เป็นอะไรหรือคะ”
“กลุ้มใจ”
“หนูจะไปซื้อเบียร์” ไม่ถาม ไม่ซักให้รำคาญ เมียน้อยเอาใจตระกูลเต็มที่

ครู่ต่อมาตระกูลดื่มเบียร์จนถึงหยดสุดท้าย วางแก้วแรงๆ นอนลงไป
เมียน้อยบีบนวดตั้งใจเต็มที่ ตอนนี้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเบาบาง และตัวที่ใส่มาก็แขวนๆ พาดๆ อยู่แถวนั้น
ตระกูลสะท้อนใจ มีเมียคนนี้ อย่างนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว เบื่อเพ็ญพักตร์ก็มาที่นี่
มือของเมียน้อยนวด จับ บีบ ระเรื่อยมาถึงบริเวณต้นขา มือตระกูลจับมือไว้ทันที
เมียน้อยมองหน้ารู้แล้ว
ตระกูลดึงตัวให้มานอนอิงแอบ พึมพำเบาๆ “ขอโทษที่วันนั้นฉันพูดไม่ดีกับเธอ”
“หนูไม่เคยโกรธพี่...หนู...”
“อะไร?”
“ก็หนูเป็นเมียพี่แล้ว” เมียน้อยอ้อน
นัยน์ตาตระกูลเจ็บลึก เพราะตอนนี้ปรียากมลก็เป็นแล้วเหมือนกัน

“ผู้หญิงนี่คิดเหมือนกันทุกคนก็ดี” ตระกูลพึมพำเบาๆ

อัศนัยอยู่ในห้องวาดรูป กำลังจัดวางรูปภาพดอกโศก พิงอยู่ข้างฝาเรียงๆ กัน อย่างเป็นระเบียบ เท่ากันเป๊ะ อัศนัยวางรูปสุดท้ายลง ดูให้เรียงลำดับเท่ากันกับรูปเดิม สีหน้าอัศนัย ไตร่ตรองคิดหนัก

โทรศัพท์มือถือดังขึ้น อัศนัยหยิบเห็นชื่อบนจอเป็นสมปองรีบรับ “ปอง ดอกโศกเป็นไง ”

สมปองถึงบ้านแล้ว
“คุณนัยฉันพาไปนอนแล้วตัวร้อนเหมือนเป็นไข้ แต่ฉันให้กินยาแล้ว ไม่ต้องห่วง พักผ่อนนะคุณนัยเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน โอเค้?” วางหูทันที
สมใจกอดเข่าเจ่าจุก หน้าซีดเซียว
สมปองเดินมานั่งใกล้ๆ “แม่ก็เหมือนกัน”
ยายสมใจก้มหน้าซับน้ำตาเงียบๆ
“หยุดร้องไห้ซะมั่งเหอะแม่”
สมใจกล้ำกลืน เช็ดน้ำตาไปมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างทุกข์ใจ
“ปอง แกนึกถึงใจหลานแกสิต่อไปเนี้ย เรื่องนี้ต้องหลอกหลอนมันจนตายล่ะแกเอ๊ย”
สมหวังหวังกับสมหมายนั่งอีกอีกทาง อยากรู้เรื่องราวมั่ง
“เฮ้ย...มีอะไรกันบอกข้ามั่งสิวะ” สมหวังถาม
สมหมายก็งงไม่แพ้กัน “นั่นสิแม่ ไอ้โศกเป็นอะไร”
“เอาน่าพ่อ..เงียบๆ ก่อน เอ็งด้วยไอ้หมาย” สมปองบอก
“ยายใจ มีอะไรกัน...ทำไมเล่าไม่ได้” สมหวังถามอีก
“เห็นเราเป็นคนนอกเหรอแม่” สมหมายว่า
สมใจถอนหายใจ ไม่รู้จะบอกยังไง “ไอ้โศกมันมีเรื่องเกี่ยวกะแม่นิดหน่อย แล้วฉันจะเล่าให้ฟังแล้วกันตาหวัง”
“ก็ได้...รู้จักเหมือนกันนะเว้ย คำว่าเป็นห่วงน่ะ” สมหวังบอก
ยายมองตาหวัง พยักหน้ารับรู้ ตาหวังลุกไป
“มีเงินอู้ฟู่ รู้จักเป็นห่วงคนขึ้นมาเชียว” สมปองสัพยอก
สมใจนิ่งไม่ตอบ ยกมือเช็ดน้ำตา สมปองหันมาดู
“แม่ แต่ไอ้โศกมันเป็นเด็กที่ไม่เหมือนใคร ตั้งแต่เด็กแล้ว วันนี้มันช็อค เดี๋ยวแม่ลองดูพรุ่งนี้สิ” สมปองปรารภ
สมใจฉงน “ทำไม”
“ชั้นว่า...ชั้นว่านะแม่ มันจะมาอีกแบบ ไม่เหมือนวันนี้เลยล่ะ”

กลางดึกคืนเดียวกัน อัศนัยนั่งเศร้าอยู่ในห้องนอน ทอดสายตามองไปข้างนอก สักครู่ก็ลุกเดินไปมา แล้วหยุดยืนนิ่ง...เศร้า ตรึกตรอง
ก่อนจะมานั่งก้มหน้าอยู่ริมเตียง อยู่ในท่านั้นจนย่ำรุ่ง

อัศนัยแต่งตัวเสร็จ เตรียมออกไปข้างนอก

อัศนัยลงบันไดมาเร็วรี่ หม่อนยืนคอย
“ป้าหม่อนตื่นทำไมเพิ่งตี 5
“คอยเปิดประตูให้คุณนัย”
อัศนัยนิ่งอึ้ง รับรู้จากสีหน้าหม่อนที่มองมาอย่างเห็นใจมากๆ อัศนัยเดินไปหยิบถุงยาที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนซึ่งวางอยู่แถวนั้น
“ขอบใจ” อัศนัยบอกพลางเหลือบมองหมื่น ที่ยืนแอบๆ เสาอยู่
“รถจอดหน้าตึกแล้วฮะคุณนัย”

แสงแรกของพระอาทิตย์ฉายส่องจากโค้งขอบฟ้าไกล
อัศนัยนั่งอยู่เงียบๆ...คอย อยู่ที่หน้าบ้านสมใจ
สมปองเปิดประตูออกมา หาวยาว เห็นอัศนัย กระโดดมาหา
“ปอง...ดอกโศกเป็นไง” อัศนัยถาม
“ยังไม่ตื่น เขานอนไม่หลับเห็นพลิกไปพลิกมา เพิ่งหลับไปตอนใกล้สว่างนี่เอง” สมปองบอก
“ปอง...ขอพบได้มั้ย”
“คุณนัย อยู่ห่างๆ ซักพักดีมั้ย”
อัศนัยนิ่งงัน พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกสบตาสมปอง
“ตอนนี้ถ้าเห็นคุณนัยคงเตลิดเลยล่ะฉันว่า” สมปองว่า
อัศนัยพยักหน้ารับรู้
“คุณนัยคิดยังไงล่ะ”
อัศนัยส่ายหน้า ถอนใจเฮือกใหญ่ “อยากให้เป็นแค่ฝันไป”
“คุณนัยเรื่องนี้ต้องเห็นใจโศกมันนะ”
อัศนัย มองสมปองนิ่งสายตานั้นบ่งบอกว่าใจหาย สิ้นหวัง แต่ก็พยักหน้ารับรู้ ส่งถุงใหญ่ๆ 2 ถุงให้
“อะไร” สมปองฉงน
“ในนี้มียาหลายอย่าง แก้ไข้ แก้หวัด วิตามินซี ก็อย่างที่เคยให้มา พวกอาหารบำรุงสุขภาพ”
สมปองรับไป อัศนัยยืนนิ่งอึดอัดอยู่สักครู่ ก็เดินก้มหน้าออกไป
“มีอะไรจะโทร.บอกนะ” สมปองตะโกนบอก
อัศนัยพยักหน้า ไม่หันมา

อัศนัยตรงเข้าโรงงานแต่เช้าตรู ถึงออฟฟิศหนุ่มใหญ่นั่งนิ่ง สงบใจ แล้วดูเอกสาร เริ่มทำงาน บุรีเข้ามาทีท่าร้อนใจ
“คุณนัย อ่านรายงานเชียงใหม่แล้วใช่มั้ยครับ เรื่องกลิ่นที่ไม่ค่อยดี”
“กำลังจะอ่าน...” อัศนัยละหน้าจากเอกสารมองตาบุรี
“ครับ...ผมตามเรื่องอยู่ท่าจะยุ่ง แต่คุณนัยไม่ต้องห่วงนะครับ เราตามเจอแน่”
“ขอบคุณ” อัศนัยตอบห้วนสั้น จนบุรีแปลกใจ
“คุณนัย เป็นอะไรไม่สบายรึเปล่าครับ”
“เปล่าครับ...ไม่เป็นอะไร”

เวลาเดียวกันดอกโศก แต่งตัวเรียบร้อยจะออกไปเรียน
สมปองเข้ามา “โศก...จะไปไหน”
“ไปเรียน” ดอกโศกตอบเสียงเรียบท่าทีนิ่ง
“เฮ้ย...ยังตัวร้อนอยู่เลย”
“กินยาแล้ว”
“อย่าไปเลย” สมปองขอร้อง
ดอกโศกมองสมปองนิ่งๆ แล้วหยิบหนังสือ หยิบกระเป๋าเดินออกไปไม่พูดไม่จา
สมปองหยิบมือถือโทร.ออก
“คุณนัย เขาไปเรียน แต่...อย่าตามนะคุณนัยฉันขอร้อง”

อัศนัยรับสายอยู่ในห้องทำงาน ฟังสมปองแล้วนิ่งไปอึดใจ
“ไม่...ไม่ตาม ขอบใจนะปอง”

อีกวันหนึ่งอัศนัยวาดรูปดอกโศกวันที่หัวใจสลาย กิริยาซมซานและน้ำตาเต็มหน้า วาดไป พอเริ่มคิดถึงมากเข้าก็วาดไม่ออก อัศนัยพยายามตั้งสติ วาดใหม่
หม่อนเดินเข้ามาหา พูดด้วยสองสามคำ อัศนัยส่ายหน้า หม่อนแตะมือเบาๆ มองขอร้อง

ครู่ต่อมาหมื่นวางถ้วยน้ำชาร้อนๆ ให้ ขณะที่หม่อนหยิบช้อนซุปส่งให้ อัศนัยรับมาตักซุปกิน 1 ช้อน 2 ช้อน พอช้อนที่สาม ชายหนุ่มนิ่ง อยู่สักครู่ วางช้อนเบาๆ แล้วลุกขึ้น เดินไปเลย

หลายวันต่อมา
ดอกโศกเดินออกมา ถือหนังสือจะไปเรียน อัศนัยยืนมองจนดอกโศกเดินไปจนลับตา
สมปองตามออกมา ดอกโศกคอยอยู่
“น้าปอง...ช่วยโทรบอกคุณนัย...”
“จริงเหรอโศก” สมปองดีใจ
“หนูพร้อมจะพูดแล้ว ให้คุณนัยไปที่เดิม”
“โศก...ตกลง...คิดยังไง” เห็นท่าทีของหลานสาว สมปองนึกสงสัยขึ้นมา
“น้าปองคิดว่าหนูจะคิดอะไรได้หลายอย่างเหรอ”
สมปองหน้าเสียมาก
ดอกโศกสำทับก่อนไป “เย็นนี้นะน้าปอง”


เย็นนั้นตรงบริเวณริมน้ำที่สองคนเคยมาประจำ ดอกโศกนั่งสงบนิ่ง รอคอย อัศนัยเดินมาด้านหลัง มองภาพตรงหน้า แล้วใจจะขาดรอนๆ ชายหนุ่มเห็นดอกโศกก้มหน้า เหมือนกำลังเช็ดน้ำตาอยู่

อัศนัยเรียก “ดอกโศก”
ดอกโศกหันมา ยิ้มนิดๆ ไหว้ท่าทีปกติ “สวัสดีค่ะ คุณนัย”
“ดอกโศก...โธ่ ดอกโศก อย่าเป็นอย่างนี้เลยนะ”
“คุณนัย ดอกโศกจะมาพบคุณนัยเป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปเราจะไม่พบกันอีก” ดอกโศกพูดเหมือนผ่านการคิดมาจนตกผลึกแล้ว
อัศนัยจะพูด ดอกโศกรู้ชิงพูดต่อ
“ขอร้องค่ะคุณนัย ถ้ารักดอกโศกจริง ขอให้เป็นอย่างที่ดอกโศกขอ...บอกคุณนัยไว้อย่างหนึ่งว่านอกจากนั้นทุกอย่างจะเหมือนเดิม ดอกโศกรักคุณนัยยังไงก็จะรักอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง จะรักตลอดไป”
ในน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ดวงตานั้นเล่า เจ็บยิ่งกว่าเจ็บ
อัศนัยไม่มีแรงพูดต่อไปแล้ว ยืนนิ่งเหมือนตาย
ดอกโศก ยืนนิ่ง
“ดอกโศก จะฆ่าคุณนัยหรือ”
“ฆ่าคุณนัยเหมือนดอกโศกฆ่าตัวเอง...” ดอกโศกบอก มองตาอัศนัยนิ่ง “เรายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปค่ะ”
อัศนัยสุดปัญญาจะทัดทานแล้ว
สองคนยืนนิ่งอัดอั้นกันทั้งคู่

เวลาผ่านไป
ดอกโศกกลับมาอยู่กับยายแล้ว ดอกโศกนัยน์ตาช้ำนั่งสงบนิ่ง นึกถึงเรื่องเมื่อครู่นี้
อัศนัย ยืนกอดอกหันหลังให้ดอกโศก สองคนพูดกันอยู่นานแล้ว
“คุณนัย”
อัศนัยยังไม่ขยับตัว
“คุณนัยคะ ดอกโศกจะไปช่วยยายขายขนมค่ะ ป่านนี้คงกำลังยุ่งมาก...”
“ดอกโศก” อัศนัยขัดขึ้นมา “คุณนัยเสียดอกโศกไปไม่ได้อย่าทำอย่างนั้นเลยคุณนัยยอมไม่ได้บอกไว้เลย”
ดอกโศกนิ่งสนิท
“ดอกโศก” อัศนัยใจรอนๆ รู้จักดอกโศกดีว่าท่าทางแบบนี้...ยากมาก “ดอกโศกจ๋า....จะให้คุณนัยพูดอีกสักกี่ครั้งว่า....ว่า...”
ดอกโศกต่อให้ด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน “ว่าไม่เป็นไร แม่กับลูก มีผู้ชายคนเดียวกัน ไม่เป็นไร....หรือคะ”
“ดอกโศก...” อัศนัยครางครวญ
“ทำไมคุณนัยถึงอยากให้ดอกโศกขึ้นชื่อว่า...” เงยหน้ามองนัยน์ตาช้ำล้ำลึก พูดถ้อยคำที่ไม่คิดว่าจะได้ใช้ในชีวิตนี้ “มีสามีคนเดียวกับแม่”
อัศนัยนิ่งงันไปชั่วขณะ พยายามรวบรวมกำลังใจเพื่อที่จะพูดนุ่มนวลที่สุด
“คุณนัยรู้ว่าดอกโศกเชื่อคุณนัย ว่าคุณนัยไม่มีอะไรเกินเลยกับปรียากมล ใช่มั้ย ...ดอกโศกเชื่อคุณนัยใช่มั้ย”
“ค่ะ....ดอกโศกเชื่อคุณนัย เพราะคุณนัยไม่เคยหลอก คุณนัยพูดจริงทุกครั้ง”
“เชื่อใช่มั้ย”
“เชื่อค่ะ”
อัศนัยพยายามควบคุมคำพูด เนิบ ช้า หวังจะโน้มน้าวจิตใจ “ถ้าเชื่อ แล้วดอกโศกจะกลัวทำไม มันไม่ใช่อย่างที่ดอกโศกพูดเมื่อกี้ ....มันไม่ใช่นี่ ใช่มั้ย”
ดอกโศกนิ่ง คิดใคร่ครวญ
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่มีใครผิด มันเป็นไปตาม...ตามเหตุการณ์ เราไม่ได้ตั้งใจให้เกิด”
ดอกโศกมองหน้าเป็นคำถาม
“หมายความว่า ไม่ใช่คุณนัยรักอยู่กับแม่แล้วหันมารักลูก มันเกิดขึ้นคนละเวลา คุณนัยกับ...แม่ของดอกโศกเป็นเรื่องอดีต ที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว คุณนัยกับดอกโศกก็เป็นชีวิตของเราสองคนที่ผูกพันกันมานานจนเรารักกัน”
ดอกโศกยังนิ่งฟัง
“แล้วตอนนี้ ....เรื่องของเขาก็ผ่านไปแล้ว เขาจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเราอีก”
“แต่เขาเป็นแม่ของดอกโศก” ดอกโศกยิ้มหยันๆ “ดอกโศกเชื่อว่าเขาจะบอกกับใครๆ อีกมากมายถ้าดอกโศกแต่งงานกับคุณนัย”
อัศนัยอึ้งมาก
“ดอกโศกมองดูแม่...แม่ไม่คิดว่าดอกโศกเป็นลูกหรอกค่ะ คุณนัย”
อัศนัยฟัง
“แต่ก็เหมือน....เหมือนที่ดอกโศกไม่คิดว่าเขาเป็นแม่ หรืออย่างน้อยก็ยังไม่คิดตอนนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ถึงจะ....” น้ำเสียงสั่นแล้ว “คิดได้...”
อัศนัย นิ่งฟัง
“ถ้าถึงวันนั้น ดอกโศก คงไม่มีความสุขเลยถ้าแต่งงานกับคุณนัย”
อัศนัยสิ้นหวัง หน้านิ่งไปอีก พูดอะไรไม่ออก
“ไปช่วยยายขายขนมนะคะ” ดอกโศกขยับตัวจะไป “คุณนัย...” เห็นอีกฝ่ายยังนิ่ง “ดอกโศกไปนะคะ”
อัศนัยถามออกมา “ดอกโศกสงสารคุณนัยบ้างไหม”
ดอกโศกกล้ำกลืนความรู้สึก มองนัยน์ตาช้ำมาก
“คุณนัยไม่ได้ผิดอะไรเลยนะ ทำไมคุณนัยต้องเสียดอกโศกไป”
“คุณนัยกลับบ้านเถอะค่ะ บ่ายมากแล้ว.... ดอกโศกจะไปช่วยยายขายขนม”
อัศนัยพยักหน้า ..แต่ยังไม่ขยับ ดอกโศกจ้องมองอัศนัยสักครู่
ดอกโศกหันหลังหลับ เดินจากมา น้ำตาที่อุตส่าห์สะกดกลั้นรื้นขึ้นเต็มตา
พ้นจากอัศนัยมา ดอกโศกหันกลับไปดู

เห็นอัศนัยนั่งนิ่งงัน กิริยาหมดสิ้นความหวังใดๆ ในหัวใจแล้ว

อีกวันหนึ่ง ปรียากมลอยู่ในห้องที่คอนโด มองโทรศัพท์อย่างรอคอย เวลาเดียวกันนั้นอัศนัยทำงานอยู่ในออฟฟิศ
ปรียากมล ยังคงคอยอยู่อย่างนั้น ขณะที่อัศนัยนั่งอ่านแฟ้มงานที่โต๊ะ พยายามตั้งมั่น มีสมาธิในการทำงาน

บุรีรอฟังอยู่ โทรศัพท์มือถือวางอยู่บนโต๊ะ ...ดัง
อัศนัยเอ่ยขึ้นไม่สนใจเสียงมือถือดัง เพราะรู้ว่าเป็นใครโทร.มา “โอเค พี่บุรี...ผมตรวจทั้งหมดแล้ว คิดว่าน่าจะเสนอราคาเป็นขั้นบันไดถ้าเขาสั่ง 500 ชุด 1,000 ชุด หรือมากกว่านั้น คิดกำไร net แล้วลดไปห้าเปอร์เซ็นต์”
“ครับคุณนัย” บุรีรับคำ ตามองโทรศัพท์ที่ดังอยู่
อัศนัยไม่สน เซ็นเอกสาร แล้วส่งให้บุรี
“คุณนัย” สายตาบุรียังจ้องมองโทรศัพท์มือถือไม่วางตา
“เรียบร้อยแล้ว พี่บุรีส่งไปได้เลย หมดเขตหรือยัง”
“สิ้นเดือนครับ คุณนัยไม่รับโทรศัพท์หรือครับ”
อัศนัยหยิบโทรศัพท์ส่งให้บุรีเฉยเลย “พี่บุรีรับสิ” แล้วเดินออกจากห้องไปทันที
บุรีงวยงง ดูหน้าจอ เห็นเป็นชื่อปรียากมล
อยากรับ แต่ตัดใจไม่รับดีกว่า วางไว้บนโต๊ะอย่างเดิม

ปรียากมล กดปิดโทรศัพท์อย่างแรง ความแค้นพลุ่งขึ้นมาเต็มอก เงื้อสุดแขนแล้วปาไปสุดแรงเกิด ปัดทุกสิ่งอย่างตรงนั้นกระจัดกระจาย

อ่านต่อหน้าที่ 2


ดอกโศก ตอนที่ 20 (ต่อ)

ความมืดคืบคลานเข้ามาทั่วบริเวณ ห้องในคอนโดปรียากมลมืดสนิท

ปรียากมลนอนซบ....เมา มีขวดเหล้ากลิ้งอยู่ข้างๆ
เสียงเคาะประตูห้อง ปรียากมลยังเงียบเฉย ประตูดังขึ้น
แต่ในที่สุดปรียากมลก็ยอมลุกไปเปิด เห็นตระกูลยืนอยู่
ปรียากมลเหวี่ยงประตูปิดสุดแรง ตระกูลยกมือรับดันไว้เดินเข้ามาอย่างเร็ว
“ไปให้พ้น”
“คุณเมามาก...ผมจะพาคุณไปนอน”
ปรียากมลระเบิดอารมณ์ใส่ “ไป๊....ไป อย่ามายุ่งกับชั้น” ปรียากมลสะบัดเต็มแรง “ไปไอ้บ้า ไอ้ทุเรศ...ชั้นไม่สนใจแกเว้ย...แกไอ้คนพูดไม่รู้เรื่อง บอกให้ไป...ไปหาเมียแกไป๊” ทั้งผลักทั้งไส
ยินประโยคสุดท้าย ตระกูลหยุดชะงัก ปล่อยอย่างเร็ว
ปรียากมลฟุบลงไปกองกับพื้นห้อง
ตระกูล ยืนมองสักครู่ นัยน์ตาที่แข็งกร้าวเพราะโกรธก็อ่อนลง ก้มลงจะประคอง
“ไปให้พ้น...พ้นจากชีวิตฉัน” ปรียากลไล่อีก ด้วยเสียงเครียดเข้ม
ตระกูลยืนนิ่งสักครู่ แล้วออกไป ปิดประตูดังปัง!

ตระกูลถึงบ้านไม่นานจากนั้น กำลังเดินขึ้นตึกใหญ่ มือถือกุญแจรถแกว่งกริ๊กๆ สีหน้าเครียดเคร่ง มาหยุดยืนที่บันไดตึก...พยายามสงบสติอารมณ์ แต่แล้วทนไม่ไหว
ยินเสียงตะโกนด่า ปรียากมลตลอดเวลา ทั้งผลักไสไล่ส่ง
ตระกูลเงื้อกุญแจจะปา
เพ็ญพักตร์เดินออกมาเห็นพอดี “เป็นอะไร ตระกูล”
ตระกูลลดมือลง
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก...ฮะ”
“ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณ คุณเพ็ญ เรื่องสำคัญ”

เพ็ญพักตร์เดินนำเข้ามา ตระกูลตาม
“เอ้าว่ามา มีเรื่องสำคัญอะไร” เพ็ญพักตร์เดินนำผ่านห้องโถงใหญ่มา
“ก็งานที่คุณให้ผมทำ” ตระกูลเดินตาม
“งานอะไร”
ตระกูลอารมณ์ยังกรุ่นๆ หลุดแล้ว “โธ่เอ้ยคุณเพ็ญ ความจำเสื่อมขนาดนี้จะทำอะไรได้เนี่ย”
เพ็ญพักตร์หยุดกึก หันมาก้องหน้า “ถ้าจะพูดแค่นี้ออกไปเลย ไปให้พ้น”
“เรื่องลูกน่ะ เรื่องยายอุ๊ ที่คุณให้ผมจัดการให้ยัยอุ๊ชนะเกมนี้ไง”
เพ็ญพักตร์ไม่ตื่นเต้นสักนิด ไม่เชื่อว่าตระกูลจะทำ หรือทำได้ “ชั้นไม่ลืม แต่ชั้นไม่เชื่อว่าคุณจะทำได้”
“ตอนนี้คุณจะเชื่อหรือคุณไม่เชื่อก็ไม่สำคัญแล้ว นั่งตรงนี้ก่อน”
“โอเค...เอ้า บอกมา”
“ก่อนอื่นผมบอกก่อนว่า ที่ผมพูดเป็นความจริงที่สุด คุณไม่ต้องถามผมว่ารู้มาจากใคร...ใครบอกผม” ตระกูลว่า
เพ็ญพักตร์จ้องหน้า “มากเรื่องจริง”
เห็นท่าทีของเพ็ญพักตร์ ตระกูลฉุน ลุกพรวด เดินหนีไปทันที
“โอเค...กลับมาตระกูล...บอกให้กลับมา เอ้า...ชั้นกำลังฟังอยู่”
“ปรียากมล” ตระกูลพูดพร้อมกับหันกลับมา
เพ็ญพักตร์หยุดกึก “อย่าเรียกชื่อมันนะ แค่ชื่อก็ไม่อยากได้ยิน”
ตระกูลพูดตอกหน้า “จะไม่อยากยังไงคุณก็ต้องได้ยิน เพราะว่าเขาคือสุดจิตต์ น้องสาวคุณ”
เพ็ญพักตร์ช็อค อ้าปากค้างจ้องหน้าตระกูล
“เขาเป็นน้องคุณได้ยินมั้ย” ตระกูลสำทับ
“ใครบอกคุณ...คุณเอามาจากไหน” เพ็ญพักตร์เสียงดังขึ้นหน่อย แต่ยังไม่วี๊ด
“บอกแล้วว่าอย่าถาม”
“คุณเอามาจากไหน เรื่องบ้าๆ แบบนี้ใครมันมาหลอกคุณ” เสียงดังขึ้นอีกนิด
“ผมไม่มีวันบอกคุณว่าผมรู้จากไหน”
เพ็ญพักตร์พูดแซงทันที “ไม่ต้องบอกฉันก็รู้ คุณยังติดต่อกับแม่นี่อยู่ใช่มั้ย”
“มันไม่ใช่สาระสำคัญ เขาเป็นน้องสาวคุณ”
“คุณได้มันเป็นเมียรึเปล่า..ฮะ นี่คุณได้ทั้งพี่ทั้งน้องเป็นเมียรึเปล่า บอกมานะตระกูล”
“เชื่อผมคุณเพ็ญ ไม่มีอะไรผมสาบาน” ตระกูลปดเสียงเข้ม
เพ็ญพักตร์ไม่วางใจหรี่ตามอง คาดคั้นอยู่ในที
“ผมสาบาน โธ่ มันจะมีอะไรกันง่ายๆ ขาดนั้นเชียวรึ ผมไม่ใช่คนอย่างนั้นคุณเพ็ญ คุณเคยเชื่อใจผมตลอดมาไม่ใช่เหรอ”

“แต่คุณทำอะไรหลายอย่างน่าสงสัย เอาเถอะฉันเชื่อคุณก่อนก็ได้ว่าคุณไม่มีอะไรกับแม่คนนี้ แต่เรื่องที่เขาเป็นน้องฉัน” สีหน้าเพ็ญพักตร์ตรึกตรอง ก่อนถามดีๆ “คุณบอกฉันว่าคุณเอามาจากไหนฉันถึงจะเชื่อ ฉันต้องรู้ที่มาของเรื่องนี้”
“คุณไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกมาก”
เพ็ญพักตร์ยังคงจ้องหน้าตระกูล
“แต่ถ้าคุณเชื่อผม คุณก็ช่วยอุ๊ได้” ลดเสียงลง
“ช่วยอุ๊”
“บอกดอกโศกว่า...กำลังจะมีผู้ชายคนเดียวกับแม่”
เพ็ญพักตร์ชะงัก มองหน้าตระกูล
“ดอกโศกหลีกอัศนัยแน่นอน ผมเชื่อว่าดอกโศกยังไม่รู้เรื่องนี้” ตระกูลคิดผิด
เพ็ญพักตร์นิ่ง แล้วลุกเดินไป ตระกูลตาม

เพ็ญพักตร์ขึ้นบันไดมาอย่างช้าๆ สีหน้าใช้ความคิดหนัก ตรึกตรองหนัก
ตระกูลตามติดสีหน้าลุ้น
เพ็ญพักตร์หยุด แล้วหันมาเรียก “ตระกูล”
“ครับ”
“แน่ใจได้ยังว่าเรื่องนี้จริง”
“ผมแน่ใจ ข้อมูลผมแม่นมาก แต่ถ้าคุณเพ็ญไม่เชื่อผมก็ไม่รู้จะทำยังไง”
เพ็ญพักตร์เหยียดยิ้ม “แต่ฉันรู้...ว่าจะทำยังไง”

เช้าวันต่อมาเพ็ญพักตร์ แต่งตัวเต็ม รองเท้าสวยงามราคาแพงระยับคู่นั้น พาหล่อนก้าวเดินไปตามทางในซอยเล็กๆ ของชุมชนแห่งนั้น หลีกขยะและน้ำเปียกแฉะที่พื้นอย่างระวัง

เป้าหมายอยู่เบื้องหน้า สถานที่ที่เธอเคยมาซื้อตัวเด็กหญิงดอกโศก เมื่อสิบปีก่อน!

สมหมายวิ่งอ้าว เสียงตึงตังๆ พรวดพราดเข้าบ้านมา ขณะที่สมใจกำลังรีดผ้า ฟังวิทยุธรรมะรับอรุณอยู่

“ไอ้หมาย” สมใจมือรีดผ้าตาจ้อง ไม่มองหน้าลูกชาย
“แม่...มีคนมาบ้านเรา” สมหมายบอก
“ฮะ” สมใจได้ยินไม่ชัด เพราะหูจ่อจดอยู่กับรสพระธรรม
“อู๊ย...” สมหมายปิดวิทยุ “ฟังทำไม๊ไม่รู้เรื่อง”
สมใจฉุน “ไอ้หมาย...เปิดเดี๋ยวนี้ เอ็งเปิดวิทยุของข้าเดี๋ยวนี้...ไอ้คนบาป”
“เอ๊ะแม่ ชั้นอาจเป็นคนบาปที่เป็นวีรบุรุษก็ได้ วีรบุรุษบาปไงแม่” สมหมายอินกับละครทีวีที่กำลังฮิต
“ถุย! เออ เอ็งว่าอะไรนะเมื่อกี้” สองแม่ลูกถามตอบกันไปมา
“มีคนมาบ้านเรา”
“อยู่ไหน”
“เดินอยู่ปากซอย”
“เอ็งถามเค้าเหรอถึงรู้ว่าเค้ามาบ้านเรา”
“ไม่ต้องถามหรอก”
“อ้าว อะไรวะ”
“มาแล้วแม่...นั่นไง”
สมใจมองเหลียวขวับ เห็นเพ็ญพักตร์ยืนเด่นอยู่ที่หน้าประตูบ้าน สมใจมองอย่างตื่นตะลึง
“เฮ้ย...ใครมา...โอ้โฮ..คุณครับ นางฟ้าเหรอครับเนี่ย” สมหวังพรวดเข้ามากวนเล่นๆ
เพ็ญพักตร์ชายตามอง “ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น”
“เอ๊า...ผมก็ไม่ได้ว่าเพื่อนเล่น ผมว่านางฟ้าไง” สมหวังเล่นต่อ
เพ็ญพักตร์มองสมหวังด้วยนัยน์ตาเหยียดมากขึ้น ก่อนจะเหลียวมาอีกทาง “แม่สมใจ”
“มีธุระอะไรพูดกับผมก็ได้นะครับ” สมหวังขยับเข้ามาใกล้อีก
เพ็ญพักตร์พูดเสียงดังขึ้น “นี่...แม่สมใจบอกนายคนนี้ให้ถอยไปไกลๆ ฉันหน่อย”
สมใจเยาะ “อ้าว นี่มันบ้านเขานะคู้น... เขาจะอยู่ตรงไหนก็ได้ คุณจะไปไล่เค้าได้ไง”
“ถ้าอย่างนั้นแม่สมใจออกมาพูดกับฉันข้างนอกนี้”
สมใจไม่สน “ชั้นไม่ว่าง ทำงานอยู่”
เพ็ญพักตร์ก้าวขึ้นบ้านทันที หันไปไล่สมหวังที่ตามมาติดๆ แต่สมหวังไม่ฟัง เพ็ญพักตร์ผลักเต็มแรง
สมหวังกระเด็นไป สมหมายเข้าประคองตา เอะอะๆ กันจะเข้ามาหาเพ็ญพักตร์อย่างเอาเรื่อง
“หยุดเดี๋ยวนี้ สม” เพ็ญพักตร์เรียกเสียงดัง
นายสมที่เมื่อครู่เดินตามห่างๆ เข้ามาทันที “ครับ คุณเพ็ญ”
“แกจัดการให้ฉันได้พูดธุระกับแม่สมใจ อย่าให้ใครมารบกวน”
“เอ้า....สองคนนี้ออกมาก่อน ออกมา...ออกมา”
สมหมายกับตาหวังเตรียมสู้
สมใจวางเตารีดดังเปรี้ยง “นี่คุณเพ็ญพักตร์ อย่ามาทำอำนาจบาตรใหญ่ ที่นี่ มีอะไรก็พูดมา ไอ้คนขับรถถอยไปเว้ย ....ไม่ไป” คว้าเตารีดชูติดปลั๊ก ดึงกระชากอย่างแรง “นาบด้วยเตารีดนี่แหละ”
นายสมถอยกรูด
“เอ้า คุณเพ็ญพักตร์ พูดไปซิ” สมใจจ้องหน้า
“ปรียากมลกับสุดจิตต์ ....คนเดียวกันหรือ”
“ใช่...” สมใจตอบ เพราะนึกไว้แล้วว่าเพ็ญพักตร์จะต้องมาเพื่อถามเรื่องนี้
เพ็ญพักตร์นิ่งไปนิด
“พอใจหรือยัง พอใจแล้วก็เชิญกลับไปได้”
“ทำไมถึงเพิ่งรู้” เพ็ญพักตร์ซัก
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“เขาเป็นน้องฉัน ฉันอยากรู้ ทำไมจะไม่ใช่เรื่องของฉัน”
สมใจหัวเราะหยัน “ฮะ...เป็นน้องเหรอ ยอมรับแล้วเร้อคุณ”
“เขาเป็นน้อง เพราะเป็นลูกของเมียคนใช้ของพ่อ แค่นั้นเป็นได้แค่นั้น ไม่เกี่ยวกับการยอมรับ” เพ็ญพักตร์ก็คือเพ็ญพักตร์
สมใจของขึ้น “คุณไปเลย อย่ามาเหยียบที่นี่อีก ชั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณอีก ชาตินี้ไม่ต้องมาเจอกัน”
“อ้าว ฉันอยากเจอกับแม่สมใจงั้นรึ”
“ไม่อยากเจอ ฮะ...ฮะ...ขำจริงโว๊ย เจ้าข้าเอ๊ย เหยียบอยู่บนบ้านกูแล้วบอกว่าไม่อยากเจอกู งั้นก็ไสหัวไปซะสิ ยืนอยู่ทำไม อู๊ย...แต่งตัวซะเดี๋ยวหมูหมาได้แตกตื่นกันทั้งซอย” มองเพ็ญพักตร์หัวจดเท้า
เพ็ญพักตร์ อดทน คอยจนสมใจพูดจบ “จบแล้วใช่มั้ย...ใช้วาจาหยาบคายพูดจบแล้วใช่มั้ย...สบายปากรึยัง”
สมใจเหวอๆ นิดหน่อย ฟังไม่ค่อยเข้าใจ “ทำไม”
“เสร็จแล้วก็ฟัง” เพ็ญพักตร์จ้องหน้าสมใจเขม็ง “แกจะให้ลูกแกกับหลานแก...ลูกกับแม่มีผู้ชายคนเดียวกันก็ตามใจ...แต่เรื่องนี้แกอย่าเอารัตนชาติพัลลภของฉันไปเกี่ยวข้อง”
สมใจอ้าปากค้าง เพ็ญพักตร์จัดไปอีกดอก...หนักไม่แพ้กัน
“จัดการให้หลานแกพ้นความเป็นรัตนชาติพัลลภ ที่จริงก็ไม่ได้เป็นอยู่แล้ว ให้มันใช้นามสกุลพ่อมัน...เพราะอะไรรู้มั้ย..เพราะมันเรื่องอุบาทว์ไง ผิดศีลธรรมผิดประเพณี พวกชั้นไม่เคยประพฤติ มีแต่คนอย่างพวกแกเท่านั้น”
สมใจตะลึงงัน เถียงไม่ออก
ดอกโศกกับสมปองมาเมื่อไหร่ไม่รู้ยืนอยู่ ได้ยินทั้งคู่
“ได้ยินมั้ยแม่สมใจ หรือว่าฟังไม่รู้เรื่อง ชั้นจะได้พูดใหม่”
สมปองกระโจนเข้าไป ไล่ตะเพิด “ไม่ต้องเลย คุณไม่ต้องพูดแล้ว คุณไปให้พ้นบ้านแม่ชั้นเลย”
เพ็ญพักตร์งง “ใครเนี่ย?”
“ไม่ต้องรู้หรอกว่าใคร รู้แค่เป็นคนที่ไม่ทนฟังคำพูดของคุณ ด่าว่าอุบาทว์นะ ใช้กับตัวเองเถอะ คิดอุบาทว์ พูดอุบาทว์ทั้งตัว”
ดอกโศกห้ามไว้ “น้าปองอย่า...”
“อย่าห้าม โศก ...คนเราเกิดมากก็มีสองมือสองตีน หัวเดียวเหมือนกัน ทำไมต้องเหยียบย่ำกันขนาดนี้ ยืนฟังอยู่นานแล้วว่าเมื่อไหร่จะหยุดเสียที โห...นางฟ้านางสวรรค์เหรอเนี่ย ถึงได้สูงส่งจนไม่เห็นหัวคน .....คนจนก็เป็นคนนะเว้ย...”
เพ็ญพักตร์จ้องมองสมปองนิ่งๆ เต็มตา ดูถูกดูหมิ่นลึกล้ำในสายตาคู่นั้น ใช้สายตามองสมปองเหมือนสมปองเป็นเศษเถ้าธุลี
“เฮ้ย...มองเหมือนชั้นเป็นหมาขี้เรื้อนเลยว่ะ ใหญ่จริงโว้ย”
เพ็ญพักตร์หันมาทางสมใจ “แม่สมใจจัดการเรื่องนามสกุล”
“ไม่ต้องกลัว” สมใจว่า
สมปองรีบบอก “ใช่ ไม่ต้องกลัวแม่เพ็ญพักตร์”
เพ็ญพักตร์มองหมิ่น ไม่พูดอะไร
“อ้าว...มีแม่สมใจได้ทำไมจะมีแม่เพ็ญพักตร์ไม่ได้” สมปองว่า
เพ็ญพักตร์ จะเดินกลับ เจอะดอกโศก บอกเหมือนหวังดีเต็มประดา
“ดอกโศก จะมีสามีคนเดียวกับสามีแม่ ยังไงๆ ก็คิดดูให้ดี ระวังเป็นข่าวหน้าหนึ่ง เพราะวันที่เธอแต่งงานคนอย่างแม่เธอเขาไม่อยู่เฉยหรอก”
ดอกโศกนิ่งงงงัน
สมปองสงสารหลานมาก เดินไปกอด พูดเสียงดังแต่เจือความเจ็บ “ไอ้โศก...แกเกิดมาในโคลนในตม เฮ้ย แต่แกเป็นเพชรเว้ย แกจาระไนตัวเองมาจนขนาดนี้แล้ว จะทำอะไรคนเขารู้ว่าแกไม่ใช่คนเลว” สมปองเน้นคำพูดตรงจาระไนแทนเจียระนัย
“น้าปอง พอแล้ว หนูไม่อยากฟัง” ดอกโศกพูดเสียงเรียบร้อย แต่นัยน์ตามุ่งมั่น
สมปองอึ้ง จะพูดต่อ “ก็น้า...”

ดอกโศก ตอนที่ 20 (ต่อ)

เย็นวันนั้น อัศนัยนั่งทำงานอยู่ที่บ้านด้วยสีหน้านิ่งสนิท เจ็บลึกในใจ อ่านแล้วมีบางแห่งไม่ชอบ จึงขีดฆ่าทิ้งบ้าง เขียนใหม่บ้าง สักครู่หยุด...รู้สึกอัดอั้นใจมาก พยายามรวบรวมสติเขียน แต่ไปไม่รอด พอหยิบถ้วยกาแฟมาจะดื่มอ้าวหมด อัศนัยหงุดหงิด วางถ้วยโครมใหญ่ได้ยินไปทั้งบ้าน

หมื่นถลาเข้ามาเพราะจับตามองอยู่ตลอดเวลา “คุณนัย”
อัศนัยลุกขึ้น
“คุณนัยจะไปไหนครับ”
“ทำไม”
“หมื่นจะเอากาแฟไปให้ครับ”
อัศนัยมองหน้าหมื่นนิ่งๆ อยู่ชั่วอึดใจ สีหน้าขึ้งเครียดจึงโกรธเปลี่ยนเป็นปกติ
“ไปที่สวน” อัศนัยบอก

อัศนัยยืนหันหลังดื่มกาแฟ ทอดสายตามองออกไปบริเวณสวน เสียงหัวเราะของด.ญ.ดอกโศก ดังแว่วๆ มา พร้อมกับภาพเหตุการณ์ในวันนั้นผุดขึ้นมาในห้วงคิด

อัศนัยถามเด็กหญิง “รักคุณนัยมั้ย”
“รักค่ะ” ดอกโศก
อัศนัยลูบหัวด.ญ.ดอกโศกอย่างปราณี
“ถ้ารักคุณนัย...ต้องเข้มแข็งนะ”
“ค่ะ” เด็กหญิงมองหน้าเปื้อนยิ้มปนแววซน “คุณนัยรักดอกโศกมั้ยคะ”
“รักสิ..คุณนัยรักดอกโศกแน่นอนอยู่แล้วววว”
“ถ้ารักดอกโศก... คุณนัยต้อง...” ดอกโศกฉุดมืออัศนัยออกวิ่ง “วิ่งเล่นกับดอกโศก”
ดอกโศกวิ่งไป อัศนัยวิ่งไล่ ดอกโศกหัวเราะร่าเริง

ดอกโศกวิ่งจนออกอาการหอบ รู้สึกเหนื่อยมาก จึงทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาว กางขากางแขน
“สนุกจัง ทีนี้ไม่ง้ออุ๊แล้ว” ดอกโศกว่า
อัศนัยฉงน “ทำไมเหรอ ทำไมต้องง้ออุ๊”
“เค้าไม่ให้ดอกโศกเล่นกะเค้า”
“อยากเล่นกะเค้ามากเหรอ” อัศนัยถามอีก
“อยากค่ะ แต่เค้าเกลียดดอกโศก เค้าไม่ยอมให้เล่นด้วย”
อัศนัยสงสารมาก “มาเล่นที่นี่..คุณนัยเล่นด้วย”
ดอกโศกไหว้ “คุณนัยใจดี...ดอกโศกอยากมาอยู่บ้านคุณนัย”
อัศนัยตบหัวเบาๆ “คุณตาไม่ให้มาหรอก”
“คุณตาไม่รู้ให้หรือเปล่า...คนอื่นน่ะเค้าให้มาแน่ๆ เลย เค้าเกลียดดอกโศกทุกคน” พูดถึงตอนนี้เด็กหญิงผู้อาภัพก้มหน้านิ่ง เงยหน้ามามีน้ำตา “แต่ที่นี่คนรักดอกโศกทุกคน (น้ำตาหยด)
“ใช่...” อัศนัยตบหัวปลอบๆ “รักทุกคนเลยน้า....”
“พี่หมื่นที่สาม ป้าหม่อนที่สอง คุณนัยที่หนึ่ง” ดอกโศกสะอื้นฮักๆ จนตัวโยน

อัศนัยดึงตัวเองกลับมา สีหน้าเศร้าหมอง คิดถึงดอกโศกเหลือเกิน

ส่วนดอกโศก กำลังเทวิตามินจากขวดเม็ดหนึ่งใส่ปาก ดื่มน้ำตาม ยินเสียงแสนอาทรของอัศนัยแว่วมา
“วิตามินซีทานทุกวัน จะได้ไม่เป็นหวัด”
พอดอกโศกหยิบจับข้าวข้องเครื่องใช้เก็บใส่กระเป๋า ก็ยิ่งสะท้อนใจ นึกถึงใบหน้า ยินเสียงอัศนัยตลอดเวลา ของทุกสิ่งอย่างในชีวิตล้วนเกี่ยวข้องกับอัศนัยทั้งสิ้น

หยิบผ้าพันคอ 2-3 ผืน เสียงอัศนัยดังก้องในหัวอีก
“กลางคืนอากาศเย็นพันคอนะ จะได้ไม่เจ็บคอ อย่าเปิดพัดลมให้โดนตัวเดี๋ยวจะไม่สบาย”
ดอกโศกเก็บผ้าพันคอใส่กระเป๋า กระเป๋า overnight bag ที่ใส่ของไปค้างกับคุณย่า
หยิบเสื้อหนาว 2 ตัวใส่กระเป๋า (ให้รู้ว่าของอัศนัยซื้อมาให้)
หยิบเสื้อชุด เสื้อเชิร์ตใส่กระเป๋า
“คุณนัยเห็นเสื้อสวยซื้อมาฝากดอกโศก ลองใส่ซิใส่ได้มั้ยเนี่ย”
พอหยิบกระเป๋าถือใบเล็กๆ
“กระเป๋าสวย...คุณนัยเห็นดอกโศกถือกระเป๋าใบนั้นมานาน เก่าแล้วนะ ใช้ใบนี้ดีกว่า”
ดอกโศกค้นๆ กระเป๋าเก่าตัวเองมา ย้ายของใส่กระเป๋าตัวเอง แล้วเอากระเป๋าถือใส่กระเป๋าใหญ่
พอดอกโศกหยิบรองเท้า
“คุณนัยพาไปซื้อรองเท้า คู่นี้เก่าแล้ว” เสียงอัศนัยแว่วมา
“ไม่ต้องค่ะ ดอกโศกจะซื้อเอง”
อัศนัยเสียงดุ “ดอกโศก ให้เงินไม่เอา ออกค่าเล่าเรียนให้ไม่เอา ถ้าร้องเท้าคู่เดียวยังไม่ยอมให้คุณนัยซื้อให้ คราวนี้เป็นได้โกรธจริงๆ”
ดอกโศกเก็บร้องเท้าใส่ถุงก่อน ปิดห่อเรียบร้อยแล้วเก็บใส่กระเป๋า
รูดซิปกระเป๋านิดหนึ่งก่อน แล้วชะงัก มองกระเป๋านิ่งอยู่
สมปองที่นั่งมองอยู่ตลอดถามออกมา “จำเป็นยังไงที่ต้องทำอย่างนั้น”
ดอกโศกรูดซิปที่เหลืออยู่อย่างแรง “อยากลืมทั้งหมดน้าปอง” น้ำเสียงสั่นมากขึ้น “ไม่อยากมีความจำอะไรแม้แต่อย่างเดียว...แม้แต่อย่างเดียว เข้าใจมั้ยน้าปอง”
“ถามอยู่นี่ไงว่าจำเป็นยังไงต้องทำขนาดนั้น...ถามอยู่นี่ไง้” สมปองมีอารมณ์หน่อยๆ เหมือนกัน
“ถ้าหนูบอกน้าปอง...น้าปองจะเข้าใจมั้ย”
สมปองนิ่งอึ้งไป “เฮ้อ...กลุ้ม”
“อย่ากลุ้มไปเลยน้าปอง ชีวิตหนูมาถึงจุดจุดนี้แล้วเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แล้วไม่เกี่ยวกับ ที่ยายตั้งชื่อดอกโศกด้วย...น้าปองอย่าไปว่ายาย หนูจะชื่ออะไรหนูก็เป็นหนู มียายอย่างยาย มีน้าอย่างน้าปอง มีตา มีน้าหมาย” ดอกโศกพรุ่งพรู แล้วหยุด กลืนก้อนสะอื้นลงไป ก่อนจะพูดต่อ “มีแม่อย่างที่มี”
สมปองนิ่งไป รู้สึกอึดอัดมาก “แล้วคุณนัยล่ะ เขาผิดตรงไหน”
ดอกโศกหันมายิ้มจางๆ ให้น้าสาว แม้น้ำตาจะคลอตา “ถ้าคุณนัยผิดก็ผิดตรงที่มารู้จักหนูมั้ง” พร้อมกับมองลึกเข้าไปในแววตาของสมปอง
สมปองมองตอบ คอยฟังต่อ
“ทั้งๆ ที่รู้จักแม่มาก่อน”

“อยากให้แม่ลูกมีผัวคนเดียวกันเหรอแม่” แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ดอกโศกบอกสมปอง เสียงปรียากมลถามสมใจขึ้น
สองแม่ลูกอยู่ในห้องพักที่ดอนโดปรียากมล
“แม่...ได้ยินมั้ยฉันถามว่าแม่...”
สมใจตอกหน้า “โกหก...คุณนัยเขายังไม่มีอะไรกับแก”
“มีหรือไม่มีแม่มารู้ได้ไง”
“ชั้นเชื่อคุณนัย”
“ทำไมแม่ไม่เชื่อชั้นล่ะ”
“เพราะแกเป็นคนโกหกหลอกลวง แกโกหก” สมใจพูดท่าทีขึงขังและจริงจัง
“หยุดนะแม่ หยุดพูดว่าชั้นโกหกเสียที
“ทำไมจะพูดไม่ได้ ตั้งแต่เล็กแกมันคนขี้โกหก”
“ใครล่ะ ใครทำให้ชั้นต้องโกหกถ้าชั้นพูดความจริงแล้วชั้นไม่โดนด่าไม่โดนตี ชั้นจะโกหกทำไม” ปรียากมลเถียง
“แกอย่าอ้างโน่นอ้างนี่ สันดานแกมันเป็นเอง”
ปรียากมลย้อน “สันดานฉันมาจากใครล่ะ”
ปรียากมลมีอารมณ์จนหยุดไม่ได้ “ฮะแม่...มาจากใคร ใครล่ะเป็นคนทำให้สันดานฉันเป็นยังงี้”
“มึงเป็นของมึงอย่ามาโทษใคร ไม่มีใครเป็นอย่างมึง ไอ้ปองก็ไม่เป็น ไอ้หมายก็ไม่เป็น มีมึงเป็นคนเดียวแต่ไหนแต่ไรมา ไอ้โศกลูกสาวมึงมันยิ่งไม่เป็นมันเป็นเด็กดี กตัญญูรู้คุณคน มันไม่เลวเหมือนมึง ดีแล้วที่มึงเอามันมาทิ้งไว้กะกู ถ้ามันอยู่กะมึง ถ้ามึงเลี้ยงมัน แผ่นดินนี้มันจะหนักเพราะมีคนเลวเพิ่มขึ้นอีกคน”
สมใจพูดพร่ำอย่างที่ใจคิด ปรียากมลนิ่งงัน หายใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลงจนนิ่งสนิท สีหน้าเย็นเฉียบเหมือนหน้ากากไปแล้ว
พริบตาเดียวน้ำตาค่อยๆ เอ่อ..เอ่อขึ้นมาทีละน้อยจนเต็มตา
สมใจเองก็สั่นกับคำพูดของตัวเอง เจ็บปวดไม่แพ้กัน
ปรียากมลหยิบทิชชูจากกล่อง หันหลังให้แม่ ค่อยๆ พับทิชชูในมือให้เป็นสีเหลี่ยมสองทบแล้วเช็ดน้ำตาช้าๆจนแห้ง หันกลับมามองแม่ ประจันหน้า
“ลูกสาวคนดีของชั้นอยากได้เค้าเหมือนกันใช่มั้ย คนเป็นยายเลยต้องออกหน้ามาขอเอง”
ในเนื้อเสียงเรียบท่าทีเฉย มีแววเยาะหยันอยู่ลึกๆ
สมใจสงบลงบ้างเหมือนกัน “ชั้นไม่ต้องมาขอ คุณนัยเขาก็เป็นของไอ้โศกอยู่แล้ว รู้ไว้ด้วยสุดจิตต์ คุณนัยเขารักมันไม่รักแก แกไม่ดีใจเหรอที่ลูกแกพบกับผู้ชายดีๆ แกรู้นี่ว่าเขาเป็นคนดีเขาจะดูแลไอ้โศกไปตลอดชีวิต แกจะได้หมดห่วง คนเป็นแม่ยังไงๆ ลูกได้ดีมีสุขถึงจะรักไม่รักมันก็ต้องดีใจกันทั้งนั้น”
ท้ายประโยคสมใจพูดเสียงอ่อนลงมาก
ปรียากมลนิ่งฟัง
“คนอื่นเรายังดีใจเห็นเขาได้ดี นี่ลูกแกนะ ลูกสาวที่ดีที่งามของแก ใครๆก็รักมัน มันเป็นเด็กดีมาก”
ปรียากมลฟังแล้วหันกลับมา เดินมานั่งเก้าอี้ด้วยท่าที่ปลดปล่อย ความเป็นตัวตนเดิม
“เด็กดีเหรอแม่...เอ้าแม่นั่งลง ฉันจะพูดให้ฟัง เด็กดีของแม่...ทำไมไม่นั่ง ทำไมกลัวจะได้ยินอะไรที่ไม่อยากได้ยินรึไง” ปรียากมลพูดเสียงเหมือนสั่ง “นั่งลง” สมใจยอมนั่ง “เด็กดีของแม่รู้ทั้งรู้ว่าฉันกับอัศนัยเป็นคู่รักกัน...ทำไมยังยั่วเขาจนเขารักมัน”
“อย่าว่ามันยังงั้น ไอ้โศกมันไม่มีวันทำอะไรที่เรียกว่ายั่วผู้ชายอย่างแน่นอนชั้นรับรอง” สมใจย้อนเข้าให้
ปรียากมลเถียงไม่ออกอยู่ชั่วอึดใจ เพราะเมื่อคิดไปก็จริง “มันไม่ทำอะไรที่เรียกว่ายั่ว...” แค่นหัวเราะ นั่นแหละยั่ว” มองสบตาแม่นิ่ง
“โธ่เอ๊ย...โอ๊ย” สมใจอ่อนใจเหลือเกินแล้ว “สุดจิตต์...สงสารลูกเถิดนะ”
“ก็ได้แม่...ให้ฉันทำยังไง”
สมใจนิ่งอึ้ง คาดไม่ถึง
“ว่าไง ให้ทำยังไง ให้เอาตัวเขาไปยกให้ดอกโศกงั้นเหรอ”
“พูดกับลูก พูดอย่างแม่ที่รักลูก”
ปรียากมลย้อนถามขึ้นมา “พูดว่าไง”
“พูดว่าแกหยุดทุกอย่างกับคุณนัยแล้ว ไม่มีอะไรต่อกันอีกเลย...ขาดกันเด็ดขาด”
คำพูดประโยคนั้นทำเอาปรียากมลรู้สึกวาบหวิวในใจ ร่างกายโหวงเหวง แล้วนิ่งไปอีกชั่วครู่
“ฉันไม่ต้องพูด...อัศนัยเขาพูดอยู่แล้ว แต่ถ้าแม่อยากให้ฉันพูดจริงๆ ฝากแม่ไปบอกมันแล้วกันว่าเอาไปเถอะ... ฉันยกให้”
สมใจ..ค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น ความทุกข์กัดกินใจ จนเหมือนแก่ลงไปในพริบตา ทำท่าเดินจะออกจากห้อง
ปรียากมลเช็ดน้ำตา
สมใจหันกลับมาถาม “รักลูกสักนิดมั้ยสุดจิตต์”
คำพูดซื่อและแสนจริงจัง กระแทกเข้าใบหน้าสวยของปรียากมลจังๆ สีหน้านั้นเจ็บปวด ถามย้อนแม่ออกมาอีกคำ “แม่ล่ะ รักชั้นสักนิดมั้ย”
สมใจได้คำตอบที่ถามแล้ว “มิน่า...แกถึงดั้นด้นไปบอกมันว่าแกเป็นแม่มัน”
ปรียากมลนิ่ง
“ทำไมเหรอสุดจิตต์ แกไม่ให้แม่บอกแล้วแกไปบอกมันทำไม”
“จะถามทำไม ชั้นบอกไปแล้ว”
สมใจคาดคั้น “ก็ทำไมล่ะ”
ปรียากมลกรี๊ดทันที
“ถามทำไม แม่จะถามทำไม มันเรียกอะไรคืนได้ล่ะ” สมใจสวนคำ “ก็บอกสิว่า ทำไม..ทำไมต้องบอก” “ชั้นบอกไปแล้วได้ยินมั้ย ชั้นบอกไปแล้ว” สมใจสวนออกมาอีก “ทำไมบอกได้มั้ยล่ะว่าทำไม”
ปรียากมลเดือดดาลสุดขีด “ไม่ต้องมาถามว่าทำไม” เข้าไปจับแม่เขย่าๆ อย่างแรง “หยุด...พูด เดี๋ยวนี้บอกให้หยุด”
สองแม่-ลูก ต่างคนต่างพูดไม่ฟังกัน ใบหน้าสมใจตอนที่โดนเขย่า หายใจหอบแรง

พอกลับมาถึงบ้านสมใจเอนตัวลงนอนในอาการเหนื่อยแสนเหนื่อย หลับตาลงหายใจระรวย

อีกวันหนึ่ง ภายในห้องทำงานอัศนัยเวลานั้น อัศนัยนั่งนิ่ง สงบใจ แล้วพยายามดูเอกสาร...ทำงานต่อ
บุรีเข้ามา “คุณนัย อ่านรายงานเชียงใหม่แล้วใช่มั้ยครับ”
“กำลังอ่าน” อัศนัยเงยหน้ามองบุรี
“ผมให้ส่งเป็นเอกสารลับ”
“ดี...อะไรที่เป็นความลับอย่าใส่อีเมล์...เพราะมันไม่ลับจริงหรอก” อัศนัยว่า
“คุณนัยจะว่าไงครับ...เพราะว่าทางเชียงใหม่รายงานว่าผู้ตรวจบัญชีเขาซัดทอด...”
อัศนัยหันไปเห็นอุ๊พอดี “พี่บุรี” พูดปรามนิดๆ บอกให้หยุด แล้วลุกขึ้น “อุ๊”
เพ็ญตระการแต่งเครื่องแบบนักศึกษาเดินเข้ามา ยิ้มพลางไหว้ “อานัย” หันไปไหว้บุรี “สวัสดีค่ะลุงบุรี”
บุรีรับไหว้ทักทายตอบ “สวัสดีครับ คุณแม่มารึเปล่า”
“เปล่าค่ะ อุ๊มาคนเดียว เดี๋ยวจะไปเรียนค่ะ อานัย...”
“ครับเชิญครับ เดี๋ยวผมจัดเครื่องดื่มมาให้” บุรีขอตัวรีบออกไปเร็วรี่
“อานัย...” อุ๊อึกอักนิดหน่อย
“นั่งสิอุ๊...สบายดีหรือ”
“ค่ะ อานัยอุ๊จะมาถามอานัยว่า....ว่า...”
อัศนัยนึกรู้ทันที “อ๋อ เรื่องนั้นหรือ”
“คุณแม่บอก อุ๊ตกใจมาก เรื่องจริงหรือคะ ทำไมถึงเป็นไปได้ ทำไมเขาไม่รู้มาก่อนหรือคะ” อุ๊พยายามจะจี้จุด
“ไม่.....เขาเพิ่งรู้กัน “ อัศนัยแจง
“แล้วอานัยจะทำยังไงคะ”
“ก็ไม่ทำยังไง...อุ๊ว่าอาควรจะทำยังไง” น้ำเสียงที่ถามตลอดจนสีหน้าอัศนัยปกติมาก
“อานัยจะ...”
“ดอกโศกหรืออุ๊...ก็คงจบ...” อัศนัยถอนใจ แล้วนิ่งไปอีกนิด สีหน้าทุกข์ใจแต่เพียงแวบเดียว “มันต้องจบไม่ใช่หรืออุ๊ อย่างน้อยดอกโศกเขาก็ต้องจบกับอา”
เสียงโทรศัพท์ดังขัด อัศนัยรับ บอกอุ๊ “ขอโทษนะ” แล้วลุกไปยืนพูดที่โต๊ะได้ยินเสียงแว่วๆ
อุ๊มองนิ่งด้านหลัง สายตาทั้งรักทั้งเสียใจจนน้ำตาค่อยๆ ซึม
อัศนัยพูดน้ำเสียงเบา “แน่นอนแล้วหรือว่าเป็น...” นิ่งฟัง “ระบุแต่ชื่อหรือมีหลักฐานอื่น” ฟังต่อ “อ๋อ มีรูปอัดเทปด้วย โอเคอย่าเพิ่งทำอะไรรอก่อน”
อัศนัยปิดโทรศัพท์นิ่งอยู่อย่างนั้นสักครู่
อุ๊มองนิ่งแต่น้ำตาเต็มตาแล้ว
พออัศนัยหันมา อุ๊รีบหันไปทางอื่น “อุ๊...เป็นอะไร”
“เปล่าค่ะ”
อัศนัยรู้เต็มอก และอัดอั้นพอสมควร สงสารก็สงสาร “มีเรื่องอะไรอานัยช่วยได้มั้ย”
อุ๊ส่ายหน้า
“คุณพ่อคุณแม่หรือ”
“อานัย” อุ๊สะอื้นทันที ทำท่าเหมือนจะโผเข้ามา
อัศนัยจับจ้องอยู่ ถดตัวถอยไปนิด ระวังตัว ด้วยกิริยานุ่มนวล
อุ๊พยายามเช็ดน้ำตา “อุ๊ขอโทษอานัย อุ๊ไม่ได้...ไม่ได้จะทำให้อานัยกังวล ไม่มีอะไรค่ะคุณพ่อคุณแม่เขาก็เฉยๆกัน ไม่ทะเลาะกันอีกแล้ว น้าสวยไม่ค่อยสบาย คุณหมอมาดูบ่อยขึ้นเพราะอาการ..รู้สึกจะเป็นมากขึ้น”
อัศนัยพยักหน้ารับรู้
“ตอนนี้บ้านเงียบมาก อ้นกับโอ๋เขาก็อยู่ตึกเขา ถ้าอุ๊ไม่ต้องอยู่บ้านหลังนี้...อุ๊จะอยู่บ้านที่เล็กกว่าบ้านนี้ซักสิบเท่า”
อัศนัยฉงน “จริงเหรอ”
“แต่ให้มีความสุขมากกว่านี้ซัก....สิบเท่าเหมือนกัน” อุ๊บอกต่อ แล้วสะอื้นออกมาจากอกเลย
อัศนัยทำเพียงแค่ แตะไหล่เบาๆ ปลอบใจ
อุ๊หมดความยับยั้งที่พยายามสะกดกลั้น หันกลับมาโผเข้าหาอกอัศนัย ซุกตัวเข้าไปและร้องไห้จนตัวสั่นสะท้าน
อัศนัย นิ่งอยู่สักครู่ จับไหล่สองข้างของอุ๊ให้นั่งลง ส่งทิชชูให้
“อานัย...อุ๊ขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษอานัย เช็ดน้ำตาซะ เดี๋ยวนัยน์ตาช้ำหมด”
“ค่ะ”
“ยังงั้นสิ เป็นเด็กดีนะจ๊ะหลานรักของอานัย”
อัศนัยเน้นเหลือเกินตรงคำว่าหลานรัก
อุ๊นิ่งงัน คำพูดนั้นบอกทุกสิ่ง ใจหาย ร่างกายวูบวาบเพราะความผิดหวัง เขาทำให้รู้แน่แล้ว
“ไปอานัยไปส่งที่รถ”
อัศนัยลุกขึ้น ส่งมือให้ อุ๊วางมือบนมืออัศนัย
อัศนัยยิ้มให้อ่อนโยน “ไปเรียนหนังสือ อานัยจะคอยดูความสำเร็จของอุ๊วันที่รับปริญญาอานัยจะไปนะ”
สีหน้าอุ๊อัดอั้น สะท้อนใจขึ้นมา...เป็นได้เท่านี้จริงๆ สำหรับอัศนัย

เย็นวันนั้น อุ๊กลับจากเรียนก็เอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ในบ้าน อ้นกับโอ๋ ก็อยู่กันแถวนั้น
“พี่อ้น” โอ๋กระซิบแผ่ว “รู้เรื่องดอกโศกมั้ย”
“จะเหลือเหรอ รู้กันทั้งบ้าน”
“อะไรจะเหลือ” โอ๋งงอีก
“โอ๋...” อ้นมองแล้วเอ็นดู เหนี่ยวคอมาจูบฟอด “ชั้นรักแกจริงๆ เด็กโง่”
โอ๋ หัวเราะเต็มเสียง อุ๊ หันมามองแล้วเดินหนีไป

อุ๊จะเดินขึ้นตึกใหญ่ เพ็ญพักตร์กลับจากข้างนอก มีนายสมถือของพะรุงพะรังตามมาส่งให้จิ๋วที่คอยรับ เป็นถุงของกิน
“อะไรเนี้ย เยอะแยะ” จ๋วถามเบาๆ
“ไปมา 3 ห้าง” สมกระซิบตอบ “ซื้อทุกร้าน”
“ใครจะกิน...ไม่มีใครกินเยอะขนาดนี้” จิ๋วว่า
“ไม่ต้องกลัวเหลือ.....พี่มากินเองนะน้อง”
“ออกไปเลยน้าสม”
สมออกไป จิ๋วกลับเข้าข้างใน
เพ็ญพักตร์เรียก “อุ๊”
อุ๊เดินเข้ากอดเพ็ญพักตร์ ไม่มีน้ำตาแล้ว
“ไปหาอานัยอย่างที่แม่บอกรึเปล่า”
อุ๊ พยักหน้า แล้วนิ่งเงียบ
เพ็ญพักตร์มองดู นึกรู้ทันที “อุ๊ อย่าเสียใจไปเลย อายุเท่าไหร่ล่ะลูกแม่”
อุ๊กอดแม่แน่นเข้าไปอีก แม่กิริยาปลอบจนอุ๊ค่อยดีขึ้น ยิ้มผืนๆให้แม่
“เพิ่ง 19 รอจนยี่สิบ...ยี่สิบเอ็ดไปจนถึงสามสิบ หัวกระไดบ้านนี้ไม่แห้งหรอก ทั้งอุ๊ ทั้งโอ๋ นั่นก็สะพรั่งขึ้นมาแล้ว”
สุดสวยเดินช้าๆ ออกมา ไม่ได้แต่งหน้าและแต่งตัวเยอะ อย่างเคยเป็นแล้ว
“ใครตกกะไดเหรอพี่เพ็ญ อุ๊ตกกะไดเหรอ...เจ็บตรงไหน” เข้ามาจับตัวหลาน
เพ็ญพักตร์อ่อนอกอ่อนใจ “เปล่า...ไม่มีใครตก...โธ่เอ้ย...สุดสวยบอกว่าไม่มี” พูดดีๆ กับน้องสาว ไม่กระโชกโฮกฮากอย่างเคย
อุ๊ไปจูงมือน้าสาว “ไปว่ายน้ำกันดีกว่า” จูงพาออกไป
“อุ๊ยว่ายน้ำ ดี...ดี แต่ว่ายไม่เป็นนี่” สุดสวยดี๊ด๊า
“อุ๊สอน”
“สอนได้เหรอ สอนไม่เป็นจมน้ำตายนะ” สุดสวยว่า
สีหน้าเพ็ญพักตร์ สบายใจขึ้น

เวลาเดียวกันนั้นปรียากมลนั่งนิ่ง คิดทวนหวนย้อนถึงคำของแม่ที่เคยถาม
“รักลูกสักนิดมั้ยสุดจิตต์”
ปรียากมลคิดแล้วคิดอีก ตัดสินใจไม่ตก

ส่วนสมใจนอนพังพาบอยู่บนที่นอน เขียนข้อความลงบนกระดาษ พยายามเขียน แต่เขียนไม่ค่อยคล่อง เสร็จแล้วพับซ่อน ซุกเข้าไปตรงไหนซักแห่งใต้ที่นอน
ดอกโศกเดินเข้ามาส่งยาเม็ดให้ยาย สมใจรับไปกินแล้วนอนซม สภาพเหนื่อยอ่อน ไม่ใช่เจ็บหนัก
“ยายจ๋า ยายไม่กินข้าวเลยเมื่อไหร่จะหาย”
สมใจส่ายหน้า “เบื่อ”
“เบื่อก็ต้องกินนะจ๊ะ แข็งใจหน่อยนะยาย”
สมใจจับมือดอกโศก แล้วเอาไปแนบอก มองหน้าหลาน “โศก รักแกนะ ยายรักแก” น้ำตาไหลพราก
ดอกโศกนิ่งเงียบ
“ผิดที่ยาย...ยายผิด” สมใจสะอื้นออกมา
สมหมายเข้ามาบอก “แม่...พี่จิตต์มา”
พอได้ยินดอกโศกกระตุกมือจากยายอย่างรวดเร็ว หันหลังกลับอย่างแรง
เป็นเวลาเดียวกับที่ปรียากมลเข้ามาพอดี สองแม่ลูกสบตากันปังใหญ่ ปรียากมลเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ดอกโศกไม่รอแล้ว พุ่งตัวออกไปจากตรงนั้น
สมใจใจหาย “สุดจ....เอ๊ย ปรียากมล”
“แม่...ทีหลังถ้าจะไปพูดให้ฉันทำอะไรกับหลานแม่ แม่ก็ต้องบอกมันด้วย ไม่ใช่ให้มันมาทำท่ากับแม่ของมันเหมือนกับชั้นเป็นตัวเชื้อโรคที่มันไม่อยากเข้าใกล้” ปรียากมลหันหลังกลับ เดินออกไปทันที
“สุดจิตต์...เดี๋ยว สุดจิตต์” สมใจตะโกนตามไป
สมหมายถาม “เอาไงแม่”
สมใจรีบบอก “แกไปดู อย่าให้แม่ไปทำอะไรลูก เรียกปอง...ปองเอ๊ย”
“เค้าไปโบกธง เอ๊อ ไม่รู้หรือไง”
“หมาย พยุงแม่....แม่จะออกไปตามเอง” สมใจบอกอย่างร้อนใจ

ในซอยเวลานั้น ปรียากมลพุ่งมาเป็นพายุ เดินพรวดๆ มองหา ดอกโศกซุกแอบๆ อยู่ซอกแห่งหนึ่ง ปรียากมลเห็นพอดี พุ่งเข้าหา
“ทำไมเธอต้องหนีชั้น”
“ไม่ค่ะ” ดอกโศก ไม่อยากรับรู้ทำท่าจะหนีอีก
ปรียากมลฉุนขาด จับตัวดอกโศกไว้ “หยุด...นี่หยุด จะบ้าเหรอชั้นไม่ใช่ยักษ์ใช่มารถึงจะต้องทำท่ากลัวขนาดนี้”
“ปล่อยหนูค่ะ...ปล่อย”
“ทำไม”
“หนูไม่อยากพูดกับคุณ ให้หนูไป...”
ปรียากมลถามอีก “ทำไม ชั้นเป็นแม่เธอนะ”
ดอกโศกมอง ด้วยนัยน์ตาเจ็บปวด แล้วลากตัวเองต่อไป “ปล่อยหนู....ปล่อย”
“เป็นบ้าเหรอ...ทำไมจะพูดกันไม่ได้”
“ปล่อย...” ดอกโศกตะโกนขึ้นสุดเสียง “ปล้อย...”
สมใจวิ่งมาถึง เหนื่อยอ่อนโรยแรงเต็มที แต่ต้องวิ่ง สมหมายตามมา
ดอกโศกสะบัดตัวจนหลุด
สมใจพยายามกล่อม “โศก...ไอ้โศก พูดกับแม่เค้าหน่อยลูก แม่เค้ามาหา”
ดอกโศกปฏิเสธ “ไม่...ยายจ๋า”
ปรียากมลสั่ง “หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้”
ดอกโศกสะบัดตัวจนหลุดแล้ววิ่งผ่านยายไป
“ไอ้หมายจับหลานสิวะ”
ระหว่างนั้นป้อมวิ่งสวนเข้ามาทางปากตรอก
“เฮ้ย ไอ้ป้อม เอาไอ้โศกไปกะเอ็งด้วย” สมหมายตะโกนบอก
“โศก...”
“ป้อม” ดอกโศกวิ่งเข้าไปหาป้อม
ป้อมพอเดาออก รีบพาไปอย่างรวดเร็ว

ดอกโศกเดินแกมวิ่งมาตามมือป้อม ภักดิ์ภูมิเดินเข้ามาพอดี ในมือมีของกินใส่ถุงมาฝาก
ภักดิ์ภูมิร้องทัก “แอนเจล่า”
“คุณภักดิ์ภูมิ” ดอกโศกทักตอบแต่ไม่หยุด เดินเร็วๆ ต่อ
“จะไปไหน...ผมไปส่ง” ภักดิ์ภูมิออกตัว
“ไม่เป็นไรครับ เราจะไปกันเอง” ป้อมออกตัว
ภักดิ์ภูมิยังเชื้อชวน “ทำไมล่ะ...ไปกับผมไม่ได้มีอันตรายนี่นะ ผมเป็นเพื่อนของแอนเจล่า”
“ป้อม...ไปกับคุณภักดิ์ภูมิก่อน” ดอกโศกสรุป
สามคนไปด้วยกัน

ทางด้านปรียากมลมองแม่ด้วยนัยน์ตาเข้มจัด “แม่”
สมใจเรียก “สุดจิตต์”
“เห็นแล้วใช่มั้ยฉันทำอย่างที่แม่ให้ทำแล้ว แล้วก็พอกันที ต่อไปนี้อย่าได้มายุ่งกับชีวิตชั้น ชั้นไม่มีลูก...ไม่มีแม่อีกคนจะเป็นอะไรไป”
พูดจบปรียากมลเดินจากไปทันที
สมใจสะท้านไปทั้งตัว ใจหายหวิววับ หัวใจที่เหนื่อยอ่อนล้าอยู่แล้ว ยิ่งอ่อนแอลงแทบจะหยุดเต้น ซวนเซตัวอ่อนลงในอ้อมแขนสมหมาย
“แม่...แม่เป็นอะไร พี่จิตต์...พี่จิตต์” สมหมายตะโกนเรียก
ทว่าปรียากมล เดินไปจนลับตัวแล้ว
สมหมายตะโกนก้อง “แม่....แม่”

ในขณะที่ปรียากมล เดินไป...เดินต่อไปเรื่อยๆ เสียงสมหมายดังก้อง ร้องเรียกแม่อยู่อย่างนั้น

อ่านต่อตอนที่ 21 (อวสาน)

อีกวันหนึ่ง ภายในห้องทำงานอัศนัยเวลานั้น อัศนัยนั่งนิ่ง สงบใจ แล้วพยายามดูเอกสาร...ทำงานต่อ
บุรีเข้ามา “คุณนัย อ่านรายงานเชียงใหม่แล้วใช่มั้ยครับ”
“กำลังอ่าน” อัศนัยเงยหน้ามองบุรี
“ผมให้ส่งเป็นเอกสารลับ”
“ดี...อะไรที่เป็นความลับอย่าใส่อีเมล์...เพราะมันไม่ลับจริงหรอก” อัศนัยว่า
“คุณนัยจะว่าไงครับ...เพราะว่าทางเชียงใหม่รายงานว่าผู้ตรวจบัญชีเขาซัดทอด...”
อัศนัยหันไปเห็นอุ๊พอดี “พี่บุรี” พูดปรามนิดๆ บอกให้หยุด แล้วลุกขึ้น “อุ๊”
เพ็ญตระการแต่งเครื่องแบบนักศึกษาเดินเข้ามา ยิ้มพลางไหว้ “อานัย” หันไปไหว้บุรี “สวัสดีค่ะลุงบุรี”
บุรีรับไหว้ทักทายตอบ “สวัสดีครับ คุณแม่มารึเปล่า”
“เปล่าค่ะ อุ๊มาคนเดียว เดี๋ยวจะไปเรียนค่ะ อานัย...”
“ครับเชิญครับ เดี๋ยวผมจัดเครื่องดื่มมาให้” บุรีขอตัวรีบออกไปเร็วรี่
“อานัย...” อุ๊อึกอักนิดหน่อย
“นั่งสิอุ๊...สบายดีหรือ”
“ค่ะ อานัยอุ๊จะมาถามอานัยว่า....ว่า...”
อัศนัยนึกรู้ทันที “อ๋อ เรื่องนั้นหรือ”
“คุณแม่บอก อุ๊ตกใจมาก เรื่องจริงหรือคะ ทำไมถึงเป็นไปได้ ทำไมเขาไม่รู้มาก่อนหรือคะ” อุ๊พยายามจะจี้จุด
“ไม่.....เขาเพิ่งรู้กัน “ อัศนัยแจง
“แล้วอานัยจะทำยังไงคะ”
“ก็ไม่ทำยังไง...อุ๊ว่าอาควรจะทำยังไง” น้ำเสียงที่ถามตลอดจนสีหน้าอัศนัยปกติมาก
“อานัยจะ...”
“ดอกโศกหรืออุ๊...ก็คงจบ...” อัศนัยถอนใจ แล้วนิ่งไปอีกนิด สีหน้าทุกข์ใจแต่เพียงแวบเดียว “มันต้องจบไม่ใช่หรืออุ๊ อย่างน้อยดอกโศกเขาก็ต้องจบกับอา”
เสียงโทรศัพท์ดังขัด อัศนัยรับ บอกอุ๊ “ขอโทษนะ” แล้วลุกไปยืนพูดที่โต๊ะได้ยินเสียงแว่วๆ
อุ๊มองนิ่งด้านหลัง สายตาทั้งรักทั้งเสียใจจนน้ำตาค่อยๆ ซึม
อัศนัยพูดน้ำเสียงเบา “แน่นอนแล้วหรือว่าเป็น...” นิ่งฟัง “ระบุแต่ชื่อหรือมีหลักฐานอื่น” ฟังต่อ “อ๋อ มีรูปอัดเทปด้วย โอเคอย่าเพิ่งทำอะไรรอก่อน”
อัศนัยปิดโทรศัพท์นิ่งอยู่อย่างนั้นสักครู่
อุ๊มองนิ่งแต่น้ำตาเต็มตาแล้ว
พออัศนัยหันมา อุ๊รีบหันไปทางอื่น “อุ๊...เป็นอะไร”
“เปล่าค่ะ”
อัศนัยรู้เต็มอก และอัดอั้นพอสมควร สงสารก็สงสาร “มีเรื่องอะไรอานัยช่วยได้มั้ย”
อุ๊ส่ายหน้า
“คุณพ่อคุณแม่หรือ”
“อานัย” อุ๊สะอื้นทันที ทำท่าเหมือนจะโผเข้ามา
อัศนัยจับจ้องอยู่ ถดตัวถอยไปนิด ระวังตัว ด้วยกิริยานุ่มนวล
อุ๊พยายามเช็ดน้ำตา “อุ๊ขอโทษอานัย อุ๊ไม่ได้...ไม่ได้จะทำให้อานัยกังวล ไม่มีอะไรค่ะคุณพ่อคุณแม่เขาก็เฉยๆกัน ไม่ทะเลาะกันอีกแล้ว น้าสวยไม่ค่อยสบาย คุณหมอมาดูบ่อยขึ้นเพราะอาการ..รู้สึกจะเป็นมากขึ้น”
อัศนัยพยักหน้ารับรู้
“ตอนนี้บ้านเงียบมาก อ้นกับโอ๋เขาก็อยู่ตึกเขา ถ้าอุ๊ไม่ต้องอยู่บ้านหลังนี้...อุ๊จะอยู่บ้านที่เล็กกว่าบ้านนี้ซักสิบเท่า”
อัศนัยฉงน “จริงเหรอ”
“แต่ให้มีความสุขมากกว่านี้ซัก....สิบเท่าเหมือนกัน” อุ๊บอกต่อ แล้วสะอื้นออกมาจากอกเลย
อัศนัยทำเพียงแค่ แตะไหล่เบาๆ ปลอบใจ
อุ๊หมดความยับยั้งที่พยายามสะกดกลั้น หันกลับมาโผเข้าหาอกอัศนัย ซุกตัวเข้าไปและร้องไห้จนตัวสั่นสะท้าน
อัศนัย นิ่งอยู่สักครู่ จับไหล่สองข้างของอุ๊ให้นั่งลง ส่งทิชชูให้
“อานัย...อุ๊ขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษอานัย เช็ดน้ำตาซะ เดี๋ยวนัยน์ตาช้ำหมด”
“ค่ะ”
“ยังงั้นสิ เป็นเด็กดีนะจ๊ะหลานรักของอานัย”
อัศนัยเน้นเหลือเกินตรงคำว่าหลานรัก
อุ๊นิ่งงัน คำพูดนั้นบอกทุกสิ่ง ใจหาย ร่างกายวูบวาบเพราะความผิดหวัง เขาทำให้รู้แน่แล้ว
“ไปอานัยไปส่งที่รถ”
อัศนัยลุกขึ้น ส่งมือให้ อุ๊วางมือบนมืออัศนัย
อัศนัยยิ้มให้อ่อนโยน “ไปเรียนหนังสือ อานัยจะคอยดูความสำเร็จของอุ๊วันที่รับปริญญาอานัยจะไปนะ”
สีหน้าอุ๊อัดอั้น สะท้อนใจขึ้นมา...เป็นได้เท่านี้จริงๆ สำหรับอัศนัย

เย็นวันนั้น อุ๊กลับจากเรียนก็เอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ในบ้าน อ้นกับโอ๋ ก็อยู่กันแถวนั้น
“พี่อ้น” โอ๋กระซิบแผ่ว “รู้เรื่องดอกโศกมั้ย”
“จะเหลือเหรอ รู้กันทั้งบ้าน”
“อะไรจะเหลือ” โอ๋งงอีก
“โอ๋...” อ้นมองแล้วเอ็นดู เหนี่ยวคอมาจูบฟอด “ชั้นรักแกจริงๆ เด็กโง่”
โอ๋ หัวเราะเต็มเสียง อุ๊ หันมามองแล้วเดินหนีไป

อุ๊จะเดินขึ้นตึกใหญ่ เพ็ญพักตร์กลับจากข้างนอก มีนายสมถือของพะรุงพะรังตามมาส่งให้จิ๋วที่คอยรับ เป็นถุงของกิน
“อะไรเนี้ย เยอะแยะ” จ๋วถามเบาๆ
“ไปมา 3 ห้าง” สมกระซิบตอบ “ซื้อทุกร้าน”
“ใครจะกิน...ไม่มีใครกินเยอะขนาดนี้” จิ๋วว่า
“ไม่ต้องกลัวเหลือ.....พี่มากินเองนะน้อง”
“ออกไปเลยน้าสม”
สมออกไป จิ๋วกลับเข้าข้างใน
เพ็ญพักตร์เรียก “อุ๊”
อุ๊เดินเข้ากอดเพ็ญพักตร์ ไม่มีน้ำตาแล้ว
“ไปหาอานัยอย่างที่แม่บอกรึเปล่า”
อุ๊ พยักหน้า แล้วนิ่งเงียบ
เพ็ญพักตร์มองดู นึกรู้ทันที “อุ๊ อย่าเสียใจไปเลย อายุเท่าไหร่ล่ะลูกแม่”
อุ๊กอดแม่แน่นเข้าไปอีก แม่กิริยาปลอบจนอุ๊ค่อยดีขึ้น ยิ้มผืนๆให้แม่
“เพิ่ง 19 รอจนยี่สิบ...ยี่สิบเอ็ดไปจนถึงสามสิบ หัวกระไดบ้านนี้ไม่แห้งหรอก ทั้งอุ๊ ทั้งโอ๋ นั่นก็สะพรั่งขึ้นมาแล้ว”
สุดสวยเดินช้าๆ ออกมา ไม่ได้แต่งหน้าและแต่งตัวเยอะ อย่างเคยเป็นแล้ว
“ใครตกกะไดเหรอพี่เพ็ญ อุ๊ตกกะไดเหรอ...เจ็บตรงไหน” เข้ามาจับตัวหลาน
เพ็ญพักตร์อ่อนอกอ่อนใจ “เปล่า...ไม่มีใครตก...โธ่เอ้ย...สุดสวยบอกว่าไม่มี” พูดดีๆ กับน้องสาว ไม่กระโชกโฮกฮากอย่างเคย
อุ๊ไปจูงมือน้าสาว “ไปว่ายน้ำกันดีกว่า” จูงพาออกไป
“อุ๊ยว่ายน้ำ ดี...ดี แต่ว่ายไม่เป็นนี่” สุดสวยดี๊ด๊า
“อุ๊สอน”
“สอนได้เหรอ สอนไม่เป็นจมน้ำตายนะ” สุดสวยว่า
สีหน้าเพ็ญพักตร์ สบายใจขึ้น

เวลาเดียวกันนั้นปรียากมลนั่งนิ่ง คิดทวนหวนย้อนถึงคำของแม่ที่เคยถาม
“รักลูกสักนิดมั้ยสุดจิตต์”
ปรียากมลคิดแล้วคิดอีก ตัดสินใจไม่ตก

ส่วนสมใจนอนพังพาบอยู่บนที่นอน เขียนข้อความลงบนกระดาษ พยายามเขียน แต่เขียนไม่ค่อยคล่อง เสร็จแล้วพับซ่อน ซุกเข้าไปตรงไหนซักแห่งใต้ที่นอน
ดอกโศกเดินเข้ามาส่งยาเม็ดให้ยาย สมใจรับไปกินแล้วนอนซม สภาพเหนื่อยอ่อน ไม่ใช่เจ็บหนัก
“ยายจ๋า ยายไม่กินข้าวเลยเมื่อไหร่จะหาย”
สมใจส่ายหน้า “เบื่อ”
“เบื่อก็ต้องกินนะจ๊ะ แข็งใจหน่อยนะยาย”
สมใจจับมือดอกโศก แล้วเอาไปแนบอก มองหน้าหลาน “โศก รักแกนะ ยายรักแก” น้ำตาไหลพราก
ดอกโศกนิ่งเงียบ
“ผิดที่ยาย...ยายผิด” สมใจสะอื้นออกมา
สมหมายเข้ามาบอก “แม่...พี่จิตต์มา”
พอได้ยินดอกโศกกระตุกมือจากยายอย่างรวดเร็ว หันหลังกลับอย่างแรง
เป็นเวลาเดียวกับที่ปรียากมลเข้ามาพอดี สองแม่ลูกสบตากันปังใหญ่ ปรียากมลเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ดอกโศกไม่รอแล้ว พุ่งตัวออกไปจากตรงนั้น
สมใจใจหาย “สุดจ....เอ๊ย ปรียากมล”
“แม่...ทีหลังถ้าจะไปพูดให้ฉันทำอะไรกับหลานแม่ แม่ก็ต้องบอกมันด้วย ไม่ใช่ให้มันมาทำท่ากับแม่ของมันเหมือนกับชั้นเป็นตัวเชื้อโรคที่มันไม่อยากเข้าใกล้” ปรียากมลหันหลังกลับ เดินออกไปทันที
“สุดจิตต์...เดี๋ยว สุดจิตต์” สมใจตะโกนตามไป
สมหมายถาม “เอาไงแม่”
สมใจรีบบอก “แกไปดู อย่าให้แม่ไปทำอะไรลูก เรียกปอง...ปองเอ๊ย”
“เค้าไปโบกธง เอ๊อ ไม่รู้หรือไง”
“หมาย พยุงแม่....แม่จะออกไปตามเอง” สมใจบอกอย่างร้อนใจ

ในซอยเวลานั้น ปรียากมลพุ่งมาเป็นพายุ เดินพรวดๆ มองหา ดอกโศกซุกแอบๆ อยู่ซอกแห่งหนึ่ง ปรียากมลเห็นพอดี พุ่งเข้าหา
“ทำไมเธอต้องหนีชั้น”
“ไม่ค่ะ” ดอกโศก ไม่อยากรับรู้ทำท่าจะหนีอีก
ปรียากมลฉุนขาด จับตัวดอกโศกไว้ “หยุด...นี่หยุด จะบ้าเหรอชั้นไม่ใช่ยักษ์ใช่มารถึงจะต้องทำท่ากลัวขนาดนี้”
“ปล่อยหนูค่ะ...ปล่อย”
“ทำไม”
“หนูไม่อยากพูดกับคุณ ให้หนูไป...”
ปรียากมลถามอีก “ทำไม ชั้นเป็นแม่เธอนะ”
ดอกโศกมอง ด้วยนัยน์ตาเจ็บปวด แล้วลากตัวเองต่อไป “ปล่อยหนู....ปล่อย”
“เป็นบ้าเหรอ...ทำไมจะพูดกันไม่ได้”
“ปล่อย...” ดอกโศกตะโกนขึ้นสุดเสียง “ปล้อย...”
สมใจวิ่งมาถึง เหนื่อยอ่อนโรยแรงเต็มที แต่ต้องวิ่ง สมหมายตามมา
ดอกโศกสะบัดตัวจนหลุด
สมใจพยายามกล่อม “โศก...ไอ้โศก พูดกับแม่เค้าหน่อยลูก แม่เค้ามาหา”
ดอกโศกปฏิเสธ “ไม่...ยายจ๋า”
ปรียากมลสั่ง “หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้”
ดอกโศกสะบัดตัวจนหลุดแล้ววิ่งผ่านยายไป
“ไอ้หมายจับหลานสิวะ”
ระหว่างนั้นป้อมวิ่งสวนเข้ามาทางปากตรอก
“เฮ้ย ไอ้ป้อม เอาไอ้โศกไปกะเอ็งด้วย” สมหมายตะโกนบอก
“โศก...”
“ป้อม” ดอกโศกวิ่งเข้าไปหาป้อม
ป้อมพอเดาออก รีบพาไปอย่างรวดเร็ว

ดอกโศกเดินแกมวิ่งมาตามมือป้อม ภักดิ์ภูมิเดินเข้ามาพอดี ในมือมีของกินใส่ถุงมาฝาก
ภักดิ์ภูมิร้องทัก “แอนเจล่า”
“คุณภักดิ์ภูมิ” ดอกโศกทักตอบแต่ไม่หยุด เดินเร็วๆ ต่อ
“จะไปไหน...ผมไปส่ง” ภักดิ์ภูมิออกตัว
“ไม่เป็นไรครับ เราจะไปกันเอง” ป้อมออกตัว
ภักดิ์ภูมิยังเชื้อชวน “ทำไมล่ะ...ไปกับผมไม่ได้มีอันตรายนี่นะ ผมเป็นเพื่อนของแอนเจล่า”
“ป้อม...ไปกับคุณภักดิ์ภูมิก่อน” ดอกโศกสรุป
สามคนไปด้วยกัน

ทางด้านปรียากมลมองแม่ด้วยนัยน์ตาเข้มจัด “แม่”
สมใจเรียก “สุดจิตต์”
“เห็นแล้วใช่มั้ยฉันทำอย่างที่แม่ให้ทำแล้ว แล้วก็พอกันที ต่อไปนี้อย่าได้มายุ่งกับชีวิตชั้น ชั้นไม่มีลูก...ไม่มีแม่อีกคนจะเป็นอะไรไป”
พูดจบปรียากมลเดินจากไปทันที
สมใจสะท้านไปทั้งตัว ใจหายหวิววับ หัวใจที่เหนื่อยอ่อนล้าอยู่แล้ว ยิ่งอ่อนแอลงแทบจะหยุดเต้น ซวนเซตัวอ่อนลงในอ้อมแขนสมหมาย
“แม่...แม่เป็นอะไร พี่จิตต์...พี่จิตต์” สมหมายตะโกนเรียก
ทว่าปรียากมล เดินไปจนลับตัวแล้ว
สมหมายตะโกนก้อง “แม่....แม่”

ในขณะที่ปรียากมล เดินไป...เดินต่อไปเรื่อยๆ เสียงสมหมายดังก้อง ร้องเรียกแม่อยู่อย่างนั้น

อ่านต่อตอนที่ 21 (อวสาน)
กำลังโหลดความคิดเห็น