xs
xsm
sm
md
lg

อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 20

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 20

ปัทมนทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ในขณะที่ดารกาลงนั่งกับพื้นข้างหน้า

“เมื่อกี้คุณแม่ร้องทำไมคะ...น้องดาตกใจแทบแย่”
ปัทมนไม่พูดอะไรเพราะกลัวว่าลูกสาวแสนซื่อจะกลัว
“ช่างเถอะจ้ะ...แม่อาจจะคิดไปเอง!.. ว่าแต่น้องดาเถอะ..แม่ว่า ระยะนี้หนูดูเครียดๆ นะ”
“ค่ะ! น้องดาเรียนหนัก” ดารกาอ้างเรื่องเรียน
“เพลาๆ ลงบ้างก็ได้...เครียดมากๆ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“น้องดาไม่อยากให้คุณแม่ผิดหวังค่ะ... เรื่องเมื่อกี้ เดี๋ยวน้องดาจะขอโทษพี่ธานี..”
“น้องดา..” ปัทมนพูดพลางยื่นมือมาจับหัวลูก
ดารกาขยับตัวถอยทันที ปัทมนชะงัก...แต่ไม่พูดอะไร..
“น้องดาปวดศีรษะน่ะค่ะ...ปวดตุ้บๆ เลยไม่อยากให้ใครจับ”
“เป็นมากก็ปรึกษาพี่ภวัต...”
“ค่ะ...น้องดาก็ตั้งใจว่าอย่างนั้น!”
ดารกาพูดโดยไม่สบตาปัทมนตลอด ปัทมนรับรู้ มองลูกสาวแสนดีอย่างเพ่งพิศ

คนอื่นๆ จับกลุ่มเม้าท์ที่ด้านล่าง
“น้องดาเป็นอะไรก็ไม่รู้!” ธานีแปลกใจ
“แนนนี่รู้! เป็นบ้าไง” แนนนี่สวนขึ้น
ภวัตดุใส่ “แนนนี่!...เมื่อไหร่เราถึงจะพูดถึงคนอื่นดีๆ บ้าง”
จังหวะนั้นมีเสียงปัทมนดังขึ้นขัดจังหวะ
“ภวัต!”
ทุกคนหันมา ขณะปัทมนเดินมถึงาพอดี
“อามีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อยจ้ะ!”
“ได้เลยครับ!”
“งั้นผมจะขึ้นไปข้างบนนะครับ...” ธานีออกตัว
“ไม่ต้อง...ธานีอยู่ฟังด้วยก็ดี!” ปัทมนบอก
“แล้วแนนนี่ละค่ะ!” แนนนี่อยากรู้
“เราขึ้นไปอ่านหนังสือสอบได้แล้ว!”
“ว้า!” แนนนี่บ่น
“แนนนี่!” ปัทมนปราม
“ก็ได้ค่ะ!” หันมามองภวัต “...เดี๋ยว น.น. ถามพี่ภวัตก็ได้!”
“เอ๊ะ! เด็กคนนี้นี่!” ปัทมนดุ แต่ไม่จริงจัง
แนนนี่หัวเราะคิกคัก เดินแกมวิ่งขึ้นข้างบนไป อาการร่าเริง

แนนนี่เปิดประตูเข้ามา
“ได้ความว่ายังไงบ้าง!” ชิกเก้นถามอย่างร้อนรน
“ไม่ได้เลย! เออ! วันนี้ยัยพี่ดา ทำอะไรแปลกๆละชิกเก้น!”
“แปลกยังไง!”
“ก็พี่ธานี น่ะซิจะจับหัวน้องสาวสุดสวาทขาดใจด้วยความเอ็นดู...แต่เจ้าหล่อนดันปรี๊ดแตก ผลักเสียหน้าคะมำเลย!”
“น้องดาคนสวยน่ะนะ! ไม่น่าเชื่อ!” ชิกเก้นไม่อยากจะเชื่อ
“เชื่อเถอะ...ชิกเก้น! ถึงนิสัยแนนนี่จะแย่ แต่ก็ไม่โกหก!”
“เออ! ถ้าบอกว่าแนนนี่ปรี๊ดแตกค่อยน่าเชื่อหน่อย!”
“ตอนนี้พวกผู้ใหญ่เขากำลังปรึกษาหารือกัน! แสดงว่าทุกคนต้องเริ่มหนักใจ!”

ปัทมนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงซีเรียส
“อาอยากจะให้ภวัตช่วยสอนน้องดาหน่อยว่าดูหนังสือยังไงถึงจะไม่ทำให้เคร่งเครียดเกินไป!”
“ผมก็ว่าน้องดาเครียด แต่เมื่อกี้เห็นแล้วตกใจ...แกไม่เคยหลุดขนาดนี้!” ธานีบอก
“ได้ครับ... คุณอาปัท”
“ขอบใจนะจ้ะ อาก็ไม่เห็นใครนอกจากภวัตที่จะช่วยได้!”
“ผมคิดว่าน้องดาคงเก็บกดมานาน...ทั้งเรื่องเรียน... เรื่องพยายามเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้อง...และอาจจะมี
สาเหตุอื่นอีก”
“อย่าให้แนนนี่รู้ล่ะ เดี๋ยวแผลงฤทธิ์ตาย!” ธานีกังวล
“แผลงไม่ได้! แนนนี่โตแล้ว...ต้องเข้าใจเสียบ้างว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แล้วแม่จะพูดกับแกเอง”
“แกเองก็ต้องพูดเหมือนกัน แนนนี่น่ะติดแกมาก...อย่าไปตามใจเหมือนที่แล้วๆ มา” ธานีหันมาทางภวัต
“ฉันไปตามใจที่ไหน!” ภวัตแย้ง
“งั้น....” ธานีอึ้ง
“ธานี เรานั่นแหละ...ต้องให้เวลากับแนนนี่แล้วก็น้องดามากขึ้นก่อนที่แกจะเป็นไม้แก่ดัดยากไปกว่านี้”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ...ต้องไปดูว่าที่บ้านมีอะไรเสียหายบ้าง!”
“อ้าว...ตายจริง! อาเลยยึดตัวภวัตไว้เลย...ธานี..ไปช่วยดูด้วยซิ! บ้านเราไม่มีอะไรแล้ว!”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ไป”
ธานีตบไหล่เพื่อน และ เดินออกไปด้วยกัน ปัทมนทรุดตัวลงนั่งสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

หลายวันต่อมา ทาฮิร่านอนซมอยู่อยู่ในตะเกียงแก้ว เห็นได้ชัดว่าไม่สบาย ส่วนแนนนี่เดินกลับไป
กลับมาอย่างใช้ความคิดอยู่ในห้องตัวเอง มีชิกเก้นอยู่ข้างๆ
ชิกเก้นมองครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้น “วันเวลาผ่านไป! ชิกเก้นดีใจที่แนนนี่ตัดอกตัดใจเรื่องคุณแม่ได้ ไม่มีคุณ
แม่คนไหนที่ไม่รักลูกหรอก!”
แนนนี่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
“จิตมนุษย์นี่ไซร์ ยากแท้หยั่งถึง...แนนนี่ว่าจิตแม่มดหรือจิตอสูรก็เหมือนกัน!... แนนนี่ต้องรู้ให้ได้ว่า
ทำไมแม่ถึงต้องทิ้งแนนนี่! ไม่อย่างนั้นมันก็คงค้างคาใจไปตลอดชีวิต!
“แนนนี่...” ชิกเก้นทำท่าจะห้าม
“อย่าห้ามแนนนี่เลย... เพราะถึงห้ามแนนนี่ก็ไม่เชื่อ!”
“อ้าว!...เวรก๊ำ...เวรกรรม!”
“ยิ่งตอนนี้ คุณยายไม่ค่อยสบาย ยิ่งทางสะดวก...ชิกเก้นต้องช่วยแนนนี่นะ!”
“ไม่เอา! ชิกเก้นไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย!”
“ขอบใจมากจ๊ะ ที่รับปากว่าจะช่วย!”
“เฮ้ย! ชิกเก้นรับปากเมื่อไหร่กัน” ชิกเก้นโวยวายที่ถูกมัดมือชก
“แผนแนนนี่เป็นอย่างนี้นะ...” แนนนี่กระซิบกระซาบ
“ไม่เอา! ไม่ฟัง!”
“ชิกเก้นต้องควบเป็น 2 คนเลย ทั้งแนนนี่เวลาเข้าไปหายายในตะเกียง แล้วก็เป็นพี่ภวัตด้วย เพราะแนน
นี่จะไปเมืองเวทมนตร์กับพี่ภวัต!” แนนนี่เล่าแผน
“ได้โปรด! แนนนี่! อย่าทำอย่างนั้น Don’t”
“แนนนี่จะเข้าไปดูคุณยายในตะเกียงก่อนนะ!”
แนนนี่หายเข้าไปในตะเกียง
“เดี๋ยว! แนนนี่ ชิกเก้นยังไม่ได้รับปาก! ดูซิ! ฟังเสียที่ไหน! ยายหลานคู่นี้ช่างเหมือนกันเสียนี่กระไร!
เวรก๊ำ.....เวรกรรม”

ทาฮิร่านอนซมอยู่ ขณะแนนนี่ปรากฏตัวขึ้น
“ยายจ๋า...เป็นยังไงบ้างจ๊ะ!”
ทาฮิร่าลืมตาขึ้น “ดีขึ้นองคุลีเดียว...นี่แหละที่เขาเรียกว่าสังขาร! อยู่ดีๆก็เจ็บ”
แนนนี่เดินมารินยาให้ “นี่จ้ะ...ยาอายุวัฒนะ”
ทาพยุงตัวขึ้นรับมากิน
“ระหว่างป่วยนี้...ยายต้องอยู่ในตะเกียง ห้ามออกไปไหนทั้งนั้น”
ทาฮิร่าอ้าปากจะพูด
“ห้ามเถียงจ้ะ ตอนนี้ยายเป็นคนไข้ของแนนนี่! ห้ามเถียง ห้ามพูด จะได้หาย เร็วๆ! พี่ตะเกียง..คอยดูแล
คุณยายแทนแนนนี่ให้ดีนะ.
ทาฮิร่าตาโตอ้าปากจะพูด แต่ตะเกียงแก้วพูดก่อน
“แล้วแนนนี่จะไปไหน!”
แนนนี่นึกได้ “อ๋อ! ไม่ได้ไปไหนหรอก! แนนนี่ก็ไปๆ มาๆ เหมือนเคย...แนนนี่ออกไปก่อนนะจ๊ะ”
พูดจบแนนนี่ลอยออกไป
“นอนพักผ่อนเถอะค่ะ คุณยาย!”
ทาฮิร่าลงนอนอย่างว่าง่าย

แนนนี่ออกมาจากตะเกียงแก้ว เจอชิกเก้นที่มารออยู่ในห้องพระ
“คุณยายว่าไงมั่ง!”
“ไม่ได้ว่า...เพราะแนนนี่ว่าเสียก่อน ชิกเก้นก็เหมือนกัน...ระวังตัวให้ดีระหว่างที่แนนนี่ไม่อยู่...เอา
ตะเกียงแก้วมาไว้ในห้องพระอย่างนี้ดีแล้ว..แนนนี่ค่อยสะบายใจหน่อย!
แนนเดินไปที่ประตู แล้วเปิดออกไป

แนนนี่ก้าวออกมา แล้วต้องชะงัก เห็นดารกายืนท้าวแขนอยู่ที่ระเบียง หันหลังให้ แนนนี่เดินผ่านเหมือน
ไม่สนใจ
“เข้าไปสวดมนตร์หรือจ๊ะ แนนนี่!” ดารกาทักทายเสียงใส
แนนนี่หันกลับ “ค่ะ! แนนนี่ขอพรพระให้ทุกคนพ้นจากภัยอสูร!”
“ขอให้พี่ดาด้วยหรือเปล่า!”
“แล้วพี่ดาอยากจะให้พระคุ้มครองหรือเปล่าล่ะคะ!” แนนนี่ประชด
ดารกาหัวเราะ “มนุษย์ทุกคนต้องอยากทั้งนั้น ยกเว้นอมนุษย์!”
“อมนุษย์บางพวกก็ต้องการค่ะ!” แนนนี่ว่า
“เช่น...แม่มด!” ดารกาดักคอ
แนนนี่มองดารกา แล้วหันหลังเดินลงไป
ดารกามองตามสายตาเหยียดเย้ย ขณะพูดพึมพำ “แต่อสูรไม่ต้องการ!”

เวลาเดียวกัน ผาดกำลังเช็ดถ้วยเช็ดชามอยู่ในครัว ดารกาเดินเข้ามา..มองจ้องผาดเขม็ง ร่ายคาถา
ร่างผาดกระตุกเหมือนถูกสะกด หันกลับมาช้าๆ
“จงเข้าไปเอาตะเกียงแก้วในห้องพระมาให้ข้า!”
ผาดเดินตัวแข็งออกไป ดารกามองตาม ด้วยสีหน้าแววตาเยือกเย็น

ผาดเดินแข็งท่อเข้ามาภายในห้องโถง พรซึ่งกำลังเก็บกวาดบริเวณนั้นอยู่ มองอย่างแปลกใจ
“พี่ผาด”
ผาดยังเฉย ไม่ตอบ แล้วเดินต่อไป พรแปลกใจ จึงเดินตามเข้ามา
“พี่ผาด! เป็นอะไรน่ะ”
ผาดเดินไปที่บันไดไม่พูดไม่จา
พรจับแขนผาด ถามคาดคั้น “พี่ผาด เป็นอะไร”
ผาดหันขวับมา ดึงแขนออก แล้วสะบัดกระแทกพรอย่างแรง พรล้มลงสลบคาที่
ผาดเดินขึ้นบันไดต่อไป
สักครู่หนึ่งดารกาเดินตามเข้ามาช้าๆ

ผาดเดินช้าๆ ขึ้นบันไดมาทีละขั้นๆ โดยมีดารกาก้าวขึ้นบันไดตาม

ระหว่างนั้นแนนนี่เดินกลับเข้ามาในบ้านบ่นพึมพำออกมา
“โฮ้ย ! ไม่น่าลืมเล้ย เดี๋ยวยายน้อยใจแย่”
แนนนี่ชะงัก เมื่อมองเห็นพรนอนสลบอยู่ แนนนี่รีบเข้ามาประคองพรขึ้น
“พี่พร”
พรรับรู้ ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา แล้วยกมือชี้ไปข้างบน
แนนนี่มองตาม
“อะไรหรือจ๊ะ พี่พร”
พรพูดไม่ออก ยังพยายามชี้ อยู่อย่างนั้น
แนนนี่วางพรลง แล้วรีบเดินขึ้นไปชั้นบนทันที

ผาดเดินมาหยุดที่หน้าห้องพระ ยกมือจับลูกบิดประตูช้าๆ ดารกายืนกอดอกมองใบหน้าเยือกเย็น
แนนนี่เดินกึ่งวิ่งขึ้นมา แนนนี่แปลกใจในอาการของผาด แล้วมองไปเห็นดารกาเข้า
“น้าผาด ! พี่ดา!”
ผาดชะงัก ในขณะที่ดารกานัยน์ตาเป็นประกาย รู้สึกโกรธที่ถูกขัดจังหวะ แล้วค่อยๆ หันกลับไป
ดารกาทำเป็นเอานิ้วแตะปาก เดินมาหาแนนนี่ “น้าผาดแกเป็นอะไรไม่รู้ ตบพี่พรซะสลบแล้วก็เดินตัวแข็งทื่อขึ้นมา พี่ดาเลยตามขึ้นมาดู”
โดยที่แนนนี่ไม่ทันสังเกต ดารกาเบือนหน้าไปทางผาด นัยน์ตาเป็นประกายสีเขียวเรือง
ผาดล้มลงหมดสติ
ดารการีบเดินเข้าไป เช่นเดียวกับแนนนี่ ดารการีบช้อนหัวผาดขึ้น
“น้าผาด ...น้าผาด”
ผาดค่อยๆ รู้สึกตัว ปรือตาขึ้น
“น้าผาด...เป็นอะไรจ๊ะ” ดารกาชิงถามขึ้นก่อน
“ลูกไหวมั้ย ... น้าผาด”
ผาดหลับตาลง แล้วค่อยๆ ลุกนั่ง ลืมตาขึ้นมาใหม่ ในอาการงงๆ
“คุณน้องดา คุณแนนนี่”
“น้าผาดเป็นอะไรน่ะ” ดารกาถามเหมือนเป็นห่วง
“ไม่ทราบค่ะ ก็เมื่อกี้น้าผาดอยู่ในครัว ...โอ๊ย! น้าผาดงงไปหมดแล้ว”
แนนนี่มองผาดแล้วหันไปมองห้องพระ สีหน้าครุ่นคิด

ส่วนในตะเกียงแก้วทาฮิร่าฟังเรื่องราวจบก็ทำมือเป็นภาษาใบ้ของแม่มด ลงท้ายด้วยวาดสองมือเป็นวงใหญ่ ซึ่งหมายถึงอสูร
ชิกเก้นแปลบรรยาย “ต้องเป็นเพราะอสูรแน่ๆ โชคดีนะที่ชิกเก้นเคยลงเรียนแปลภาษามือของพวกแม่มด ... เลยได้ใช้ประโยชน์ตอนนี้เอง”
“โชคดีเหมือนกันที่แนนนี่นึกออกว่า จะต้องมาเตรียมยามื้อกลางและเย็นให้ยาย”
ทาฮิร่าหันมาทำมือถามแนนนี่
“แปลว่า แนนนี่จะไปไหน” ชิกเก้นแปลอีก
“อ๋อ! จะแวะไปมหา’ลัยหน่อยจ้ะ”
ทาฮิร่าสะกิดชิกเก้นให้หันมาดู แล้วทำท่าต่อ
“อสูรมันคงรู้แล้วว่าตะเกียงแก้วอยู่ในห้องพระนี่ มันถึงได้สะกดให้ผาดเข้ามาเอา! โห! ประโยคนี้ยาวหน่อย!” ชิกเก้นแปลต่อ
“เอ! แนนนี่จะทำยังไงดี...นึกไง”
ทาฮิร่าทำมืออีก
“แนนนี่ควรไปปรึกษาคุณแม่เรื่องผาดกับพร” ชิกเก้นแปลอีก
“ถ้าอย่างนั้นแนนนี่จะไปก่อนนะคะ”
ชิกเก้นทำท่าทะเล้นมองแนนนี่แล้วแปลเฉย “ถ้าอย่างนั้น แนนนี่จะไป...”
แต่ไม่ทันจบก็โดนทาฮิร่าตบหัวชิกหนึ่งที
“ไม่ต้องแปลแล้ว ชิกเก้น นี่แนนนี่พูด ไม่ใช่คุณยาย
“ชิกเก้นแปลเพลินไปหน่อย”
“คุณยายระวังตัวให้ดีนะคะ”
ทาฮิร่าเพิ่งตั้งท่า แต่ชิกเก้นแปลล่วงหน้าให้ก่อน
“ไม่ต้องเป็นห่วง....ยายดูแลตัวเองได้”
ทาฮิร่าตบหัวอย่างฉุนจัด แล้วพยายามพูด “ไอ้ชิกเก้น ฉันยังไม่ได้ทำท่าเลยดันแปลล่วงหน้า” หันมาทางแนนนี่ “ไม่ต้องห่วงยาย ...ให้รู้ตัวอย่างนี้ ยายก็ระวังตัวได้ แนนนี่ก็ต้องระวังตัวเหมือนกัน”
“จ้ะยาย แนนนี่จะระวังที่สุด แนนนี่ไปเอายามาให้ก่อนนะจ้ะ”
พอแนนนี่ว่าคาถาหายตัวออกไป ทาฮิร่าทำตาดุใสชิกเก้น
“ไอ้แมวเจ๋อ”

“ขอโทษนะพร พี่ไม่รู้ตัวจริงๆ” ผาดพูดขณะอยู่ในห้องกับพร โดยมีดารกาตามเข้ามา
“ฉันว่าพี่ผาดถูกผีสิง” พรว่า
ผาดสะดุ้ง “บ้า”
ดารกาทำสีหน้าตกใจ “ฮื่อ ! ขนลุกเลย” ลูบแขนตัวเอง “แต่เมื่อกี้น้าผาดน่ากลัวมากจริงๆ”
แนนนี่โผล่เข้ามาพอดี
“เป็นไงบ้างจ๊ะ พี่พร”
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ” พรบอก
“พี่พรบอกว่าน้าผาดถูกผีสิง” ดารกาเล่า
“แนนนี่ว่าไม่ใช่หรอกค่ะ น่าจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า” น้ำเสียงแนนนี่มั่นใจ
ดารกาทำตาโต ตกใจ “อะไรล่ะจ๊ะ ตายละ...ยิ่งพูดพี่ดายิ่งกลัว”
“อย่างพี่ดาน่ะ กลัวอะไรกับเขาด้วยหรือคะ...แนนนี่ว่าพี่ดาเป็นหญิงแกร่ง”
“โถ...คุณแนนนี่ อย่าประชดคุณพี่อย่างนั้นซิคะ” ผาดปรามๆ
ดารกาปั้นหน้าฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ...จริงของแนนนี่ น้องดาไม่ควรกลัวอะไร...น้องดาเป็นพี่ ควรจะปกป้องแล้วก็ทำให้น้องอุ่นใจ ไม่ใช่เอาแต่แสดงความอ่อนแอ”
“เศร้าเว่อร์…พี่พรไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แนนนี่จะไปบอกพี่โป่งให้มาเยี่ยม”
พรออกอาการเขิน “ฮื่อ! คุณแนนนี่เนี่ย”
แนนนี่เดินออกไป แล้วหัวเราะคิกคัก ดารกาทำเป็นยิ้มให้อย่างใสซื่อ

โป่งกำลังตัดแต่งกิ่งก้านต้นไม้ แนนนี่ปรากฏ ตัวขึ้นข้างหลัง
“โป่ง”
โป่งหันมาทางเสียง “ …’จารย์ วันนี้ไม่ได้ขี่ไม้กวาดมาหรือครับ”
“เปล่า ! หายตัวมา !”
“…’จารย์นี่ยอดฝีมือเลย ... ขนาดป้าบานที่ว่าแน่ๆ ยังแพ้ลุ่ย ว่าแต่เมื่อไหร่ ’จารย์จะสอนให้โป่งหายตัวเสียทีล่ะครับ”
“ตอนนี้ติดภารกิจหลายอย่าง ไม่ค่อยว่าง ... ที่’จารย์มานี่ก็เพราะจะบอกให้โป่งไปเยี่ยมพี่พร เขาไม่ค่อยสบายน่ะจ้ะ”
“พรไม่สบาย โป่งจะไปเยี่ยมเดี๋ยวนี้เลยครับ”
โป่งวางกรรไกรตัดกิ่งไม้รีบเดินไป
“พี่โป่ง”
โป่งหันมาแล้วชะงัก แนนนี่ส่งช่อดอกไม้ให้
“อ้ะ เอาไปเยี่ยมพี่พร”
“...’จารย์ ’จารย์ไปเอามาจากไหนครับ”
“จากอากาศ เอ้า เอาไป”
“ขอบคุณมากครับ ’จารย์”
โป่งรับดอกไม้ แล้วรีบวิ่งออกไป แนนนี่มองตาม แล้วว่าคาถาหายวับไป
อิงอรซึ่งยืนแอบมองที่ข้างรั้วยกมือทาบอก...เห็นเต็มตาอีกครั้ง

อิงอรเดินมาทรุดตัวลงกุมขมับอยู่บริเวณหลังบ้าน แนนนี่ปรากฏตัวข้างหลังเอานิ้วชี้ สะกิดกลางหลัง
อิงอรสะดุ้งเฮือก หันกลับมา แล้วสะดุ้งซ้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นแนนนี่ยืนถือไม้กวาดอยู่
“นะ .... นะ.... แนน .... แนนนี่”
แนนนี่รีบกระพุ่มมือไหว้ “ขอประทาสโทษค่ะที่ทำให้ป้าอิงตกใจ”
“มะ .... มะ ... ไม่เป็นไร บางทีชีวิตมันก็ราบเรียบนัก ...ได้ตกอกตกใจเสียบ้างก็ดี”
“ดีใจจังเลยที่คุณอิงพูดอย่างนั้น เพราะแนนนี่กำลังจะมาขออนุญาต Take off ที่นี่หน่อย”
“Take off”
“ค่ะ ! ป้าอิงหันไปซิคะ”
“ทำไม”
“ความฝันกับความจริงบางทีก็ก้ำกึ่งกัน พอป้าอิงหันมามองอีกที ป้าอิงอาจจะนึกว่าเป็นความฝันได้”
อิงอรค่อยๆ หันหลังให้ แนนนี่ขี่ไม้กวาดเหาะขึ้นไป ในขณะที่อิงอรค่อยๆ หันกลับมา ทว่า แนนนี่หายไปแล้ว
“ขอบคุณมากค่ะ ป้าอิง”
อิงอรเงยหน้ามอง เห็นแนนนี่กำลังไหว้อยู่บนไม้กวาด อิงยกมือไหว้ตอบ
“บ๊าย .... บาย .... ไปละค่ะ”
แนนนี่ขี้ไม้กวาดลอยไปบนฟ้า

“แนนนี่พูดถูก...บางทีความฝันกับความจริงมันก็ก้ำกึ่งกันอยู่” อิงอรพึมพำเว้นไปนิดหนึ่ง “
แล้วนี่มันฝันหรือว่าจริง!”

ทางด้านภวัต ซึ่งอยู่ที่โรงพยาบาล กำลังเดินคุยอยู่กับบุษบา และมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องทำงาน
“พี่ไชยไม่สบายคราวนี้ เปลี่ยนไปมากเลยค่ะ...เมื่อคืนก็ปรารภว่าอยากจะให้บุษเป็นฝั่งเป็นฝา”
ภวัตเริ่มมีท่าทีอึดอัด
“บุษเองก็ไม่ได้อยากจะเร่งรัด แต่พี่ไชยน่ะซีคะ เป็นห่วงกลัวว่าบุษจะถูกหลอกลวงเพราะทรัพย์สมบัติของเรามีมากมายหลายพันล้าน”
“บุษฉลาด .... แล้วยิ่งคอยระวังตัวอย่างนี้ คงไม่มีใครมาหลอกได้หรอก” ภวัตว่า
“บุษฉลาดในเรื่องเรียนเรื่องการทำงานค่ะ ... แต่เรื่องโลกภายนอกแล้วบุษ” ทำท่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาก่อนจะเอ่ยต่อ “ตามใครไม่ค่อยจะทัน”
ภวัตเดินเปิดประตูเข้าไปในห้อง บุษบาตามติด

ทั้งสองก้าวเข้ามา...แล้วต้องชะงักโดยเฉพาะภวัต หันไปจ้องดุๆใส่แนนนี่ซึ่งปลอมเป็น น.น. ใส่หนวดเคราคล้ายแขกอาหรับ
น.น. รีบลุกขึ้นยืนไหว้
“ต๊าย! นี่เด็กที่ไหนค่ะ!” บุษบาประหลาดใจ
“ไม่เด็กแล้วนะฮ่ะ คุณผู้หญิง! กำลังขบเผาะเหมาะเหม็งเลยทีเดียวเชียว!” น.น. หรือแนนนี่ว่า
“ภวัต!” บุษบาหันไปฟ้องภวัต
“ด็อกเตอร์ภวัตนัด น.น ให้มาพบฮะ!” น.น. ว่า
“จริงหรือคะ”
“ไม่ต้องถามหรอกฮะ เพราะเป็นความจริง! ไม่งั้น น.น จะเข้ามาได้ยังไง!” น.น.ว่ายิ้มๆ
“น.น. เป็นคนไข้ของผม!” ภวัตบอกบุษบา
แนนนี่เบิกตากว้าง
“เขาเป็นเด็กมีปัญหามาก ผมถึงต้องนัดมาที่นี่!” ภวัตสบโอกาส
บุษบาหันมามองไม่รู้ว่าเป็นแนนนี่
“ท่าทางก็บ้าๆบอๆ จริงๆเสียด้วย! ถ้าอย่างนั้นเอาไว้ค่อยพูดเรื่องของเราต่อตอนมื้อเย็นนะคะ”
“ครับ”
แนนนี่อ้าปากจะค้าน ภวัตถลึงตาดุ
“คุณบุษไปทำงานเถอะ”
“ค่ะ”
บุษบามองแนนนี่แว่บหนึ่งแล้วเดินไปที่ประตูโดยมีภวัตตามออกไปส่งหน้าห้อง

พอทั้งสองคนก้าวออกมาพ้นห้องแล้ว บุษบาลดเสียงลงกระซิบกระซาบ
“ภวัตต้องระวังตัวนะค่ะ เด็กคนนี้ท่าทางแปลกๆ บุษกลัวว่าจะทำร้ายภวัต!”
“ขอบคุณที่เตือน...ผมจะระวังตัว!”
“ให้ ร.ป.ภ. มาอยู่ด้วยมั้ยคะ”
“อ๋อ! ไม่ต้องหรอกครับ! ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น”
บุษบาเงย หน้าขึ้นจุ๊บแก้มภวัตเบาๆ “ยังไงก็ระวังตัวด้วยค่ะ...บุษเป็นห่วง”
บุษบาเดินยิ้มออกไป ภวัตเปิดประตูเข้าไป โดยไม่รู้ตัวว่าแก้มตัวเองมีรอยลิปสติกสีแดงสดจากรอยจูบติดอยู่

ภวัตเปิดประตูเข้ามา สีหน้าหงุดหงิดเต็มทน
“พี่น่ะเบื่อเหลือจะทนแล้วนะ แนนนี่”
“น.น. เห็นแม่แล้วละค่ะ”
ภวัตชะงักไปนิดหนึ่ง “พี่ดีใจด้วย!”
“เห็นแต่ตัวค่ะ... หน้าตาปิดหมดเลย!”
“ว้าว!”
“น.น.เลยจะลงไปเมืองแม่มดอีกครั้ง! คราวนี้ต้องเข้าไปค้นในห้องสมุดให้ได้!”
“โธ่เอ๊ย! แนนนี่...ทุกคนเขาเป็นห่วง”
“รวมทั้งพี่ภวัตด้วยใช่มั้ยคะ”
ภวัตนิ่ง
“ใช่มั้ยเอ่ย”
ภวัตยังนิ่งอยู่
“ถ้ำไม่ตอบ... น.น. จะไปเดี๋ยวนี้เลย”
แนนนี่ทำท่าเรียกไม้กวาดมาถือ
ภวัตรีบพูด “ใช่”
“งั้นก็ไปด้วยกัน”

แนนนี่ร่ายคาถา ทั้งสองคนหายวับไปด้วยกัน

อ่านต่อหน้า 2




อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 20 (ต่อ)

แนนนี่อยู่ในคราบมานพน้อยน.น. ส่วนภวัตพอขึ้นไม้กวาดก็อยู่ในชุดแขกทันที ทั้งสองคนขี่ไม้กวาดมาท่ามกลางหมู่เมฆ

“พาพี่กลับไปเดี๋ยวนี้!” ภวัตบ่นตามเคย
“ไม่ได้หรอกค่ะ! พี่ภวัตพูดเองว่าเป็นห่วง น.น. เราก็เลยต้องไปด้วยกัน!”
“ทำไมชีวิตฉันถึงต้องมาเกี่ยวข้องกับพวกแม่มด!” ภวัตเซ็งเป็ด
“เพราะแม่มดรักพี่ภวัตไงค่ะ!”
แนนนี่บังคับไม้กวาดลงไปเบื้องล่าง สู่นครเวทมนตร์

พอแลนดิ้งเรียบร้อย ภวัตกับแนนนี่ก็พากันเดินมาเรื่อยๆ
ภวัตเหลียวมองโดยรอบ อย่างระแวดระวัง “ประกาศจับแนนนี่ยังเต็มไปหมดเลยนะ..”
“ค่ะ! น.น.ถึงต้องตามหาพ่อแม่ให้พบ เพื่อพิสูจต์ว่า น.น ไม่ใช่อสูร...และสำคัญไปกว่านั้น น.น. จะถาม
ท่านว่าทอดทิ้ง น.น ทำไม! น.น ทำอะไรผิด”
แนนนี่เร่งฝีเท้า ภวัตก้าวยาวๆ ตาม

เวลาเดียวกันที่เมทองมนุษย์ โป่งเดินยิ้มกริ่มเข้ามาในบ้าน มีเสียงถามขึ้นมา
“ไปไหนมามายะ นายโป่ง”
“ไปเยี่ยมน้องพรครับ คุณแม่บ้าน! น้องพรถูกผีทำร้ายร่างกาย”
“หือ?!”
“ผีน่ะมันสิงพี่ผาด...พี่ผาดก็ทำร้ายน้องพรอีกที แต่ไม่มีใครเป็นอะไรหรอกครับ...เพราะผีย่อมแพ้พระ
อยู่วันยังค่ำ!โป่งไปทำงานต่อละนะครับ”
โป่งเดินเลยไป บาบาร่ามองตามสีหน้าครุ่นคิด

บาบาร่า ค่อยๆโผล่หน้าเข้ามาในบ้านปัทมน มองไปทั่วบริเวณ เห็นภายในบ้านดูเงียบสงบ
บาบาร่าเดินเข้ามา แล้วเลยเข้าไปในห้องโถง ดาก้าวเข้ามาพอดี
“ป้าบานเย็น”
บาบาร่าหยุดหันกลับมา
“คุณหนูดารกา.. ป้าจะมาเยี่ยมพรน่ะจ้ะ...เห็นโป่งบอกว่าไม่สบาย”
“อ๋อ! ค่ะ...ตอนนี้กำลังนอนหลับอยู่”
บาบาร่าทำทีเป็นมองซ้ายมองขวา “เห็นโป่งบอกว่าผีสิงผีหลอกอะไรหรือจ๊ะ!”
ดารกาทำเป็นถอนหายใจ สีหน้าขรึมลง
“น้องดาก็ไม่แน่ใจ แต่...แต่มันแปลกเหลือเกินค่ะ...อยู่ดีๆ น้าผาดก็ไม่รู้สึกตัวเดินเหมือนถูกสะกดไปที่
ห้องพระ...พี่พรถามก็เหวี่ยงแขนใส่เสียจนหมดสติ!”
บาบาร่าครุ่นคิดตาม “แล้ว...แล้ว แนนนี่อยู่ด้วยหรือเปล่า!”
“อ๋อ! ตอนน้องดาเห็นพี่ผาดจะเปิดห้องพระน่ะ แนนนี่ยืนอยู่ข้างหลังค่ะ...พอน้องดาเรียก น้าผาดก็เลยหมดสติป้าบานเย็นว่าใช่ผีมั้ยค่ะ!”
“มันร้ายยิ่งกว่าผีอีกค่ะ” บาบาร่าบอก
ดารกาตาโต “อุ๊ย!มีร้ายกว่าผีอีกหรือค่ะ!ตายแล้ว!น้องดากลัวจังเลย” ทำตัวสั่นเทา
“น้องดาต้องระวังตัว แต่ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลละก็...วิ่งมาบอกป้าได้ทันที!...อสูรกับแม่มด มันก็
เหมือนแวมไพร์กับหมาป่า ซึ่งจ้องจะทำลายล้างซึ่งกันและกัน เพื่อความอยู่รอด”
ดารกาทำหน้างงๆ “ป้าบานเย็นพูดถึงอะไรค่ะ น้องดาไม่เข้าใจ”
“ไม่ต้องเข้าใจหรอกลูก เพราะยิ่งเข้าใจหนูยิ่งสยดสยอง”
ดารกาเบือนหน้าไปอีกทาง สีหน้าแววตาเย้ยหยันเต็มที่

บาบาร่ามาปรากฏตัวขึ้นที่นครเวทมนตร์ แล้วเดินมาจนถึงสภาแม่มด
“ว้าว! บาบาร่า หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาเลย” แม่มดนางหนึ่งถาม
“ก็อยู่ในบ้านนั้นแล้ะ” บาบาร่าแหละเสียงสูง
“ทาฮีร่าก็อีกคน!” อีกนางถาม
“นั่นเขาก็เจ็บออดๆแอดๆ!... ฉันต้องคอยปรุงยาไปให้!...นี่ก็ต้องเข้าไปดูตำรายาเพิ่มเติมหน่อย”
บาบาร่าเดินเข้าไปในห้องสมุด

บรรยากาศเงียบสงบภายในห้องสมุด บาบาร่าเดินเข้ามาไทเกอร์กระโดดมาหา
“เป็นไง! ล่วงหน้ามาก่อนนี่ได้อะไรบ้าง” บาบาร่าถาม
“ได้เรื่องอสูร เมื่อกี้ไทเกอร์เปิดคำพยากรณ์ดู นับจากวันเก้าฉลองจนถึง วันนี้ อสูรน้อยก็มีอายุครบ 20 ปี
แล้ว”
“เออ...ใครๆ..เขาก็รู้”
“แต่ถ้าไม่อ่านตำราพยากรณ์ก็คงไม่รู้ว่า...ที่ตัวของอสูรเวลานี้จะมีเขาเล็กๆงอกขึ้นมา”ไทเกอร์ว่า
“จริงซิ! งั้นเราก็มีที่สังเกต! ไหน! แกพาฉันไปดูตำรานั่นซิ! อาจจะมีข้อสังเกตอื่นๆ อีก”
อีกมุมหนึ่งในห้องสมุด แนนนี่และภวัต กำลังดูคอมพ์เกี่ยวกับคดีต่างๆ ในเมืองเวทมนตร์
“นี่ไง! ถึงวันเก้าฉลองแล้ว” ภวัตร้องขึ้น
“ดูคดีอาชญากรรมต่างๆ ซิคะ”
บาบาร่า และไทเกอร์เดินเข้ามา ภวัตเงยหน้ามองพอดี บาบาร่ามองจ้อง ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างคนต่างมองจ้อง
หน้ากัน
แนนนี่มองตามสายตาภวัต แล้วสะดุ้ง
“พี่ภวัต! กลับกันเถอะ!”
“อ้าว! ไม่หาให้พบก่อนเรอะ” ภวัตงง
“วันนี้พอแล้ว”
แนนนี่ดึงแขนภวัตเดินออกไป
“ผู้ชายคนนั้น ทำไมถึงได้คุ้นตานัก” บาบาร่าปรารภกับไทเกอร์ พยายามนึก
“ก็เมืองเวทมนต์น่ะ ผู้คนไม่ได้เยอะแยะมากมาย! ส่วนใหญ่ก็เห็นๆ หน้ากันทั้งนั้น!”
“จริงของแก! ไหน! หนังสืออยู่ไหน”
ไทเกอร์เดินนำบาบาร่าไป

ที่ด้านนอกห้องสมุด แนนนี่จูงภวัตมาที่มุมหนึ่ง ภวัตขืนตัวไว้
“นี่มันอะไรกันแนนนี่!”
“ก็บอกแล้วไงละว่า น.น. จะกลับ”
“เธออุตส่าห์ไปลักพาตัวพี่มา...พอกำลังจะได้เรื่อง ก็เกิดจะกลับเสียนี่”
แนนนี่เกาหัวประมาณไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
“ว่าไง”
“น.น. ไม่รู้จะพูดยังไงดี”
“เพราะแม่มดคนนั้นใช่ใหม! เธอกลัวเขา” ภวัตรู้ทันที
“ไม่ได้กลัว ...แต่ว่า...”
“อะไร”
แนนนี่เกาหัว เดินกลับไปกลับมาอย่างยุ่งยากใจ
“น.น จะบอกพี่ภวัตว่ายังไงดีน้า!”
“ก็บอกมาตามตรง”
“อาจารย์บาบาร่าเขาพยายามจะจับ น.น. เพราะเขาคิดว่า น.น. เป็นอสูร”
“ทำไมไม่แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเธอไม่ใช่”
“โอ๊ย!.. พี่ภวัต” แนนนี่หงุดหงิด
“ก็พูดมาซิ”
“กลับดีกว่า!” แนนนี่เรียกไม้กวาดมา “ไปได้แล้วค่ะ ก่อนที่ประตูเมืองจะปิด!
ไม่งั้นเราต้องค้างที่นี่! วุ่นวายกันไปใหญ่”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงสัญญาณอันตรายดังขึ้น ทั้ง 2 คนชะงัก กวาดตามองไปรอบๆ
“เกิดอะไรขึ้น”
มีเด็กๆ แม่มดวิ่งผ่านมา
“เด็กๆ วิ่งหนีอะไรกันจ๊ะ” แนนนี่ถาม
“เขาบอกว่ามีกลิ่นแปลกปลอมเข้ามาในเมืองเวทมนตร์ค่ะ” แม่มดเด็กบอก แล้ววิ่งตามกันไป
แนนนี่ตกใจ “กลิ่นมนุษย์ !” รีบคว้าข้อมือ “เร็ว! พี่ภวัต”
ภวัตวิ่งตามแนนนี่ไป
แนนนี่วิ่งพาภวัตมาถึงประตูเมือง เห็นประตูเมืองกำลังจะปิด
แนนนี่ตกใจ “เร็วค่ะ”
ภวัตวิ่งตามแนนนี่ไป ประตูใกล้จะปิดลง ทั้งสองคนวิ่งจะออกมาได้ก่อนประตูปิด แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
แนนนี่เดินแกมวิ่งเข้ามาในบ้านทาฮิร่า ติดตามด้วยภวัต แนนนี่ปิดประตูแล้วล็อคไว้
“ทำไมคราวก่อนไม่เห็นจะยุ่งยากขนาดนี้”
“เพราะคราวนั้น เรารีบกลับ แต่คราวนี้อยู่นานไปหน่อย”
“แสดงว่าแนนนี่ก็เพิ่งจะรู้เหมือนกัน...เพราะคราวก่อนพี่จะกลับแนนนี่ไม่ให้พี่กลับ”
แนนนี่เสียงอ่อยๆ “งั้นมั้งคะ”
ภวัตถอนใจเฮือกใหญ่ “แล้วนี่ที่เมืองมนุษย์จะทำยังไง ... มิตามหาเราวุ่นวายเรอะ”
แนนนี่เผลอหลุดปาก “อ๋อ ! ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
ภวัตชะงัก ... มองแนนนี่เขม็ง แนนนี่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“แนนนี่”
แนนนี่ฮัมเพลง แม่มด
“แนนนี่” ภวัตคาดคั้น ดังกว่าเดิม
“อุ๊ย...ย... อยู่กันแค่นี้เอง เสียงดังไปได้”
“ทำไมเราถึงบอกว่า ที่เราติดอยู่ที่นี่ ไม่เป็นไร”
“ก็ .....น.น. สั่งชิกเก้นไว้”
ภวัตสะดุ้งเฮือก “ชิกเก้น”
แนนนี่ทำคอย่น

ที่เมืองมนุษย์ ทาฮิร่านอนหลับสนิทอยู่บนเตียงในตะเกียงแก้ว ชิกเก้นชะโงกหน้าเข้าไปดู
“หลับไปเรื่อยๆนะ คุณย้าย ...ย”
ชิกเก้นกลายร่างเป็นแนนนี่ กระโดดแผล็วขึ้นไป
“เฮ้ย ! ชิกเก้น”
“ฝากดูแลเจ๊แกด้วย”

ชิกเก้นในร่างแนนนี่เปิดห้องพระออกมา เหลียวซ้ายแลขวาแบบแมว
“เมี้ยว”
แนนนี่กระโดดผลุงไปที่บันได อยู่ในท่า 4 ขาในขณะที่พรขึ้นมาอย่างอ่อนระโหย
พรมองท่าทางแนนนี่อย่างแปลกใจ
“คุณแนนนี่ นั่นทำท่าอะไรคะ”
แนนนี่นิ่งคิด “ซ้อมวิ่ง! ใช่! ซ้อมวิ่ง!” แล้วยืดตัวขึ้นทำบิดไปมา “แล้วพี่พรหายดีแล้วเรอะ”
“ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ! พี่พรจะขึ้นมาตามคุณแนนนี่...คุณปีเตอร์มาค่ะ”
“เปอร์ตี้มา!” แนนนี่ชิกเก้นอุทาน
“ปีเตอร์ค่ะ” พรบอก
แนนนี่ออกท่ายืดขายืดแขนบิดตัวแบบแมว แล้วลงไป
“คุณแนนนี่เป็นอะไร...เห็นแล้วหายป่วยเลย!”
พรเดินตาม
แนนนี่เข้ามา แล้วกระโดดแผล็วขึ้นมานั้งท่าแมวบนเก้าอี้ ปีเตอร์สะดุ้ง ขณะที่พรเลี่ยงออกไป
แนนนี่ยืดคอหมุน “สวัสดีปีเตอร์...มาทำไมจ๊ะ เมี๊ยว”
“ก็มาหาแนนนี่ไง! เอาเล็คเชอร์มาให้ตามคำสั่ง!”
“ขอบใจ!”
“แนนนี่จะให้ปีเตอร์ติวให้มั้ย!”
“ติวได้ไง! อ่านไม่ออกซักกะตัว! เมี้ยว”
“แนนนี่! ทำไมถึงร้องเป็นแมวล่ะ”
“เมี้ยว! เป็นการบริหารปากอย่างนึง...ไม่เชื่อก็คอยดูสิ! เมี้ยว...ว..ว” ชิกเก้นในร่างแนนนี่ว่า
“เมี้ยว...ว...ว” ปีเตอร์ร้อง
“เมี้ยว...ว...ว” แนนนี่ร้อง
“เมี้ยว...ว...ว” ปีเตอร์ร้องตาม
พรถือน้ำเดินเข้ามา มองท่าทางของสองคนในอาการงงๆ
“พี่พร! วันนี้ชิก เอ๊ย! แนนนี่จะกินข้าวคลุกปลาทูน่ะ! น้ำพริกไม่ต้อง! คลุกมาให้เรียบร้อยเลย! ปีเตอร์จะกินด้วยหรือเปล่า!”
“ลองดูก็ได้!”
“งั้นเอา 2 จาน เมี้ยว..ว”
“เมี้ยว..ว” ปีเตอร์ร้องตาม
พรมองสีหน้างงๆ

ส่วนที่เมืองเวทมนตร์ภวัตเดินกลับไปกลับมาอยู่ในบ้านทาฮิร่า
“แนนนี่!”
“ต้องเรียก น.น. ค่ะ”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ภวัตรีบเดินกลับมาที่แนนนี่ แล้วเอานิ้วแตะปาก
บาบาร่าเคาะประตู พร้อมตะโกนเรียก
“ทาฮิร่า! ทาฮิร่า! อยู่หรือเปล่า”
ทุกอย่างเงียบ
“ยังอยู่เมืองมนุษย์มั้ง!”
“อยู่ที่ไหน ฉันไม่เจอตั้ง 2 วันแล้วมั้ง!”
“ที่บ้านนี่ก็เงียบ!”

ภายในบ้าน สองคนนั่งกันเงียบ จู่ๆ บาบาร่าทำจมูกฟุดฟิด
“ฉันว่าฉันได้กลิ่นมนุษย์แถวๆ นี้”
ภวัต และแนนนี่ กระเถิบเข้าหากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
“หรือว่ามีมนุษย์อยู่ในนี้”
แนนนี่กอดเอวภวัตด้วยความตกใจ ขณะเดียวกับภวัตโอบกอดแนนนี่เข้ามา
“เอ๊ะ...กลิ่นหายไปแล้ว!” ไทเกอร์ว่า
ภวัตหับแนนนี่มองหน้ากัน ภวัตกอดแนนนี่แน่นเข้าไปอีก
“ไม่มีจริงๆ ด้วย ! แล้วเมื่อกี้กลิ่นมาจากไหน”
“ไปทางโน้นกันเถอะ คุณยายบาร์”
เสียงฝีเท้าทั้ง 2 เดินจากไป

แนนนี่ยังซบอกภวัต
“แล้วมิต้องนั่งกอดกันจนกว่าประตูจะเปิดหรือ!” ภวัตเอ่ยขึ้น
แนนนี่หลับตาลง สีหน้าแววตาเขินๆ
“แนนนี่ก็เพิ่งรู้ว่า กลิ่นแม่มด สามารถกลบกลิ่นนุษย์ได้!”
“อ้าว! แล้วที่อยู่เมืองมนุษย์ล่ะ”
“ที่นั้น มนุษย์เยอะแยะ เลยไม่ได้ กลิ่นแม่มดมั้งคะ”
“นั่นซีนะ”
ทั้งสองคนยังคงอยู่ในอิริยาบถนั้น

บรรยากาศยามค่ำในห้องทานข้าวบ้านปทมน แนนนี่ก้มหน้าลงจะงับข้าวในจาน แล้วนึกขึ้นได้
เงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มแห้งๆ ทุกคนกำลังมองจ้องมาเป็นตาเดียว
แนนนี่ทำเป็นสูดกลิ่น “ฮึม ... ม ... หอมจัง”
ทุกคนโล่งใจ ที่แนนนี่ไม่ก้มลงกินข้าวในจาน
แนนนี่สะดุ้ง “อุ๊ย เดี๋ยวแนนนี่มานะคะ”
“อ้าว ! จะไปไหนล่ะลูก ยังไม่ได้ทานข้าวซักคำ”
“แนนนี่...ท้องเสียค่ะอูย ... เวรก๊ำ .... เวรกรรม”
แนนนี่รีบเดินแกมวิ่งออกไป
“ปีเตอร์ ! นึกยังไงถึงได้ทานข้าวคลุกปลาทูล่ะจ๊ะ” ดารกาถาม
“แนนนี่ชวนทานครับ ก็เลยจะลองดู”
“ราคาไม่ถูกนะคะ .... ตัวนี้ 60 บาท” ผาดบอก
“60 บาท” ปีเตอร์อุทาน
“ค่ะ” ผาดยิ้ม
“ถูกเป็นอุจจาระเลยครับ”
ทุกคนชะงัก ธานีจะตักข้าวเข้าปากเริ่มผะอึดผะอม

แนนนี่รีบเปิดประตูเข้ามา แล้วกลายร่างเป็นชิกเก้น “โฮ้ย! เหนื่อย”
แล้วชิกเก้นก็กระโดดแผล็วออกไปทางหน้าต่างทันที

ชิกเก้นกระโดดเข้ามาทางหน้าต่างเข้ามาในห้องภวัต ชิกเก้นกลายร่างเป็นภวัต บิดคอไปมา
“เมี้ยว” แล้วกระโดดไปที่ประตู

ทั้งหมดกำลังทานข้าวโดยมีโป่งคอยเสิร์ฟ
“เอ๊ะ ทำไมป่านนี้ภวัตยังมาไม่ถึงอีกล่ะคะ” บุษบาถาม
“ไม่ทราบซิคะ ! ที่บ้านเราให้เกียรติกัน ไม่ค่อยมีใครเข้ามาสอดเรื่องส่วนตัวกันหรอกค่ะ”
เจอคำพูดรัดเกล้าเข้า บุษบาชะงัก
จักรวาลกระแอมปราม “ยัยเกล้า”
เสียงร้องของแมวดังขึ้น “เมี้ยว ...ว”
ทุกคนหันไปมอง ...ภวัตกระโจนเข้ามานั่งบนเก้าอี้
“มาอีแบบนี้อีกแล้ว” โป่งงง
“เสี่ยวเอ้อ” หันมาทางโป่ง
“ครับผม”
ภวัตพยักหน้าเป็นสัญญาณ “เมี้ยว”
“เมี้ยวครับ”
โป่งเดินออกไป
“ภวัตคะ”
ภวัตหันมา “อ๋อ ! คุณบุษบ้า”
“ตายแล้ว ! บุษบาค่ะ ... นี่คุณจำชื่อบุษไม่ได้หรือคะ”
“ขอโทษครับ ผมออกเสียงผิดไปหน่อย !”
“แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมพ่อไม่ได้ยินเสียงรถ” จักรวาลสงสัย
“ผมไม่ได้มาทางหน้าบ้านครับ” ภวัตชิกเก้นบอก
“แต่บ้านเรามีทางเข้าทางหน้าบ้านทางเดียวนะคะ”
“โอย ! ผมเข้าได้ทุกทางอยู่แล้ว”
“มาแล้วครับ ข้าวคลุกปลาทู ผมเตรียมให้ตั้งแต่ตอนที่คุณภวัตโทร.มาสั่ง”
“เมี้ยว ! ดีมาก”
ภวัตก้มลงจะงับข้าว
“นั่นจะทำอะไรคะ พี่ภวัต” รัดเกล้างง
“พี่จะดมดูว่าหอมมั้ย”
ภวัตหยิบช้อนส้อมขึ้นมา แล้วมองทุกคน
“ลงมือซิครับ ! ผมจะได้ทำตาม”
ทุกคนใช้ช้อนส้อม ภวัตชิกเก้นพยายามเลียนแบบตาม ตักข้าวเข้าปาก
“ฮื้อ ! ไม่ยากนี่ ไม่ยากเลย เดี๋ยวผมมา”
“จะไปไหน” จักรวาลถาม
“ไปทาน ....เอ๊ย เข้าห้องน้ำครับ เวรก๊ำ ... เวรกรรม”
ภวัตรีบลุกกระโจนออกไป ท่ามกลางสายตาพิศวงของทุกคน

ชิกเก้นในร่างแนนนี่ รีบตาลีตาเหลือกเข้ามา
“มาแล้วค่ะ เวรก๊ำ .... เวรกรรม !” แนนนี่บ่น
“หายไปไหนมาตั้งนาน”
“ก็บอกแล้วไงว่า ท้องเสีย ไปอุจจาระ อยากจะดมมือพิสูจน์มั้ยจ๊ะ พ่อคุ้ณ” ชิกเก้นแนนนี่บ่น
“แนนนี่”
“ขอประทานโทษค่ะ...คุณแม่ขา” ชิกเก้นแนนนี่รีบขอโทษ
“มาแล้วก็ทานข้าวเถอะจ้ะ ... แนนนี่”
แนนนี่ค่อยๆ หันมามอง “หือ”
“ทานข้าวซิจ๊ะ”
แนนนี่ร้อง “เมี้ยว” ออกมา
ปัทมนเริ่มมอง ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
แนนนี่ทานได้ 2-3 คำ แล้วก็ผุดลุกขึ้น ทุกคนเงยหน้ามองตาม
“ปวดท้องอีกแล้วค่ะ”
ชิกเก้นในร่างแนนนี่รีบวิ่งแบบกระโจนขึ้นบันไดไป

กลายเป็นภวัตรีบวิ่งออกมา ด้วยอาการเริ่มเหนื่อยล้า
“เวรก๊ำ....เวรกรรม” ภวัตชิกเก้นบ่น
“ภวัต”
ภวัตรีบกินข้าวกลบเกลื่อน
“เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้ว ภวัตไปส่งบุษที่บ้านหน่อยนะคะ บุษขี้เกียจขับรถ”
ภวัตทำตาปริบๆ แบบที่ชิกเก้นชอบทำ

แนนนี่ชิกเก้นรีบกระโจนเข้ามานั่งประจำที่ในห้องทานข้าวบ้านปัทมน  
“เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วออกไปทานไอติมต่อมั้ย แนนนี่” ปีเตอร์ชวน
“ไม่ได้! เดี๋ยวต้องไปส่งยัยบุษบา” ชิกเก้นเริ่มสับสนบทบาทตัวเอง
“บุษบาไหน” ทุกคนถามพร้อมกัน
แนนนี่ชิกเก้นนึกได้ แล้วยิ้มแห้ง ๆ

ชิกเก้นวิ่งสลับไปมาระหว่าง 2 บ้าน เป็นชิกเก้น ในร่างภวัต และแนนนี่สลับกัน จนหมดสภาพแทบจะคลาน
ครู่ต่อมาชิกเก้นก็ปรากฏตัวนอนแผ่หราหมดสภาพอยู่ในตะเกียงแก้ว ทาฮิร่าทำมือถาม
“ไปไหนมา....ตอบได้ว่ายิ่งกว่าไปนรก” ชิกเก้นถามเองตอบเอง
มีเสียงปัทมนร้องเรียกจากด้านนอก “ชิกเก้น ชิกเก้น”
“ชิกเก้นออกไปพบคุณปัทก่อนนะคุณยาย”
ทาฮิร่าทำมือทำไม้ให้รีบไป

ปัทมนนั่งหน้าขรึมอยู่ในห้องพระ มองชิกเก้นซึ่งออกจากตะเกียงมาปรากฏอยู่ตรงหน้า
“ลองเล่าไปซิ”
“เล่าอะไรครับ...คุณแม่”
“แนนนี่ไปทำอะไรที่ไหน” ปัทมนคาดคั้นเสียงอ่อนโยน
“โธ่” ชิกเก้นคราง
“ตอบมาตามตรง”
“เวรก๊ำ...เวรกรรม”
“ถ้าไม่พูดมาตามตรงละก็ เวรก๊ำ .... เวรกรรมแน่”
“แนนนี่อยู่กับคุณหมอภวัตในนครเวทมนตร์ขอรับ”
ปัทมนถอนใจเฮือกใหญ่ออกมา “นึกแล้ว”

“พี่ชิกเก้นก็เป็นห่วงเหมือนกันว่าทำไมป่านนี้ยังไม่กลับจะบอกคุณยายให้ไปตาม แกก็ไม่ค่อยสบาย”
“ไม่ต้องบอกหรอก ... ชิกเก้นนั่นแหละต้องไปตาม”
“ไปคนเดียว เอ๊ย ! ตัวเดียวหรือครับ”
“ถ้าไม่ใช่ ตัวเดียว แล้วชิกเก้นพอจะไปกับใครได้อีกล่ะ”
“เวรก๊ำ...เวรกรรม”
ชิกเก้นกระโดดออกไปทางหน้าต่าง
ปัทมนถอนใจแล้วพนมมือก้มกราบ
“ขอให้บุญกุศลทั้งหมดที่ลูกเคยทำมา จงช่วยปกปักรักษาแนนนี่และภวัตด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
ปัทมนก้มลงกราบ !
ประตูห้องพระเปิดออก ปัทมนก้าวออกมา
“อ้าว! น้องดา”
“น้องดาอยากสวดมนตร์กับคุณแม่ค่ะ คุณแม่จำได้หรือเปล่า”
“จำได้ซิลูก งั้นก็เข้ามา”
ปัทมนเปิดประตู พลันก็มีแสงสว่างเรืองๆ สีนวลตาออกมาจากในห้อง ดารกาซึ่งขยับจะเดินตาม ถึงกับผงะ
“โอ๊ย”
ปัทมนหันกลับมามอง “เป็นอะไรไปลูก”
“ปละ...เปล่าค่ะ”
ปัทมนยื่นมือมาให้ “มาซิ”
ปัทมนยิ้มอบอุ่นให้กำลังใจ ดารกายื่นมือไปจับมือแม่ ปัทมนเดินนำ ดารกาก้าวตามมาถึงธรณีประตู
บริเวณธรณีประตูมีเปลวเพลิงขึ้นมาบางเบา ดารกาสะดุ้งเฮือกปล่อยมือแม่ แล้วกระโดดออกไป
“มาซิจ๊ะ” ปัทมนเรียก
“น้องดาเปลี่ยนใจแล้วค่ะ น้องดาจะไปสวดในห้องดีกว่า”
ดารกาหันหลังเดินลิ่วไปที่ห้องทันที ปัทมนเรียกแต่ไม่ยอมหันหลัง
“น้องดา”
ดารกาเปิดประตูห้องเข้าไป
ปัทมนมองตามอย่างประหลาดใจ

ดารกาเดินอย่างหงุดหงิดมาที่กระจก มีใบหน้าในกระจกจ้องมองตอบกลับมา
“ทำไมข้าถึงเข้าไปในห้องนั้นไม่ได้ ทำไม”
ภาพในกระจกบอก “ต้องทำลายอำนาจพุทธคุณ”
“ทำลายยังไง”
“เมื่อเจ้าอายุครบ 22 เจ้าจะรู้เอง”
พูดจบภาพเงาในกระจกก็เลือนหายไป
ดารกาเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่ง ทอดสายตามองไปที่หน้าต่างห้องนอนภวัตที่อยู่ตรงข้ามเห็น
ในห้องมืดสนิท
“พี่ภวัตไปไหน จะว่านอนแล้วก็ไม่ใช่”
ดารกาเดินมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด มีแต่เสียงให้ฝากข้อความ
“พี่ภวัตไม่อยู่จริงๆ”
ดารกาตัดสินใจเปลี่ยนกดใหม่ โทร.หารัดเกล้า ที่อยู่ในห้อง หยิบมือถือขึ้นมา
“ฮัลโหล ! น้องดา มีอะไรหรือจ๊ะ”
“น้องดาจะโทร. มาถามว่าพี่ภวัตอยู่หรือเปล่าคะ”
“อยู่นี่จ้ะ น้องดาจะถามเรื่องเรียนใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ แต่ไม่เป็นไร เอาไว้พรุ่งนี้เช้าก็ได้ ขอบคุณนะคะ”
ดารกาปิดโทรศัพท์ เดินกลับไปกลับมาครู่หนึ่ง แล้วเดินออกไป

ดารกาเดินออกมาเคาะประตูห้อง
“แนนนี่ แนนนี่ หลับหรือยัง”
เงียบ
“แนนนี่ ... แนนนี่ เปิดประตูให้พี่ดาหน่อย”
ดารกาเรียกอีก ทุกอย่างยังเงียบ ดารกาเหลือบมองซ้ายขวาแล้วค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป

ดารกาก้าวเข้ามา แล้วมองไปโดยรอบ ไล่ไปจนถึงเตียงนอนยังคลุมเรียบร้อย
“พี่ภวัตหาย นังแนนนี่หาย”
ดารกากำมือแน่น นัยน์ตาเปล่งประกายน่ากลัว

เช้าอันแสนสดใสของเมืองเวทย์ ภวัตลืมตาตื่นขึ้นมาภายในบ้านทาฮิร่า ภวัตขยับตัวเล็กน้อย แล้วเอียงหน้ามองแนนนี่ซึ่งยังคงพิงอกนอนหลับสนิท
ภวัตก้มมองใบหน้านั้นอย่างเอ็นดู ใบหน้าแนนนี่ดูบริสุทธิ์น่ารัก ภวัตจ้องครู่หนึ่งแล้วขยับตัว กระซิบเบาๆ
“แนนนี่ๆ”
แนนนี่นอนละเมอเบาๆ “พี่ภวัต”
“ตื่นได้แล้ว แนนนี่”
แนนนี่ลืมตาตื่นขึ้น
“เช้าแล้วหรือคะ”
“เราต้องหาทางกลับเมืองมนุษย์”
แนนนี่ลุกขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง “ไปค่ะ”
แนนนี่เดินไปที่ประตู แล้วค่อยแง้มออกไปชะโงกหน้ามอง เห็นปลอดคนจึงหันมาบอกภวัต
“มาค่ะ”
แนนนี่เดินออกไป...ภวัตก้าวตาม

ทั้งสองคนก้าวออกมาสู่อากาศยามเช้าอันแสนแจ่มใสของเมืองเวทย์ แนนนี่กางแขนหมุนรอบตัวอย่างร่าเริงดื่มด่ำบรรยากาศ
“อากาศดีจังเลย”

ภวัตเซ็งที่แม่มดจอมแก่นไม่รู้เวร่ำเวลาลากแขน “ไปได้แล้ว” ดึงแนนนี่ให้ตามไป

อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ (24 ก.พ.55) เวลา 9.30 น.




อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 20 (ต่อ)

บริเวณประตูเมืองเวทมนตร์ คราคร่ำไปด้วยบรรดาพ่อมดแม่มดที่สัญจรไปมาอยู่บริเวณนั้น แนนนี่ และภวัตลัดเลาะมา แล้วแอบบริเวณข้างทาง ทั้งสองคนรอจนผู้คนไปหมด แล้วจึงเดินออกมาอย่างรีบเร่ง

แนนนี่รีบเรียกไม้กวาดมาถือไว้ ทั้งสองขึ้นขี่เรียบร้อย แต่มีเสียงเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน”
สองคนหันไปมอง เห็นบาบาร่าและไทเกอร์ยืนอยู่ ดวงตาจ้องมองเขม็ง แนนนี่รีบเบียดภวัตเพื่อกลบกลิ่นมนุษย์ในตัวภวัต
“จะไปไหนกัน” บาบาร่าถาม
“ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกจ้ะ” แนนนี่ตอบ
“อย่าโกหก” บาบาร่าจ้องหน้าอีก
“ก็ได้! น.น. บอกแล้วห้ามคุณป้าไปบอกใครนะครับ คือ เรา 2 คนพี่น้องจะไปจับอสูร”
“จับอสูร” สองบ่าวนายร้องขึ้นพร้อมกัน
แนนนี่เอาข้อศอกกระทุ้งให้ภวัตช่วยพูด
“ใครๆ ก็อยากจะจับอสูรกันทั้งนั้น ... เราสองคนเลยตัดสินใจจะไปจับบ้าง”
“ไม่ใช่ของง่ายๆ” ไทเกอร์บอกท่าทีหยิ่งๆ
“แต่ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักใช่ไหมล่ะครับ ไปกันเถอะพี่ชาย” แนนนี่บอก
สองคนขี่ไม้กวาด ลอยขึ้นไป บาบาร่าและไทเกอร์ เงยหน้ามองตาม
“หน้าตามันคุ้นมาก แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”
แนนนี่กับภวัตขี่ไม้กวาดมา
“พี่จะไม่มีวัน มาเมืองแม่มดอีกแล้ว”
“แต่แนนนี่ยังต้องมา แล้วพี่ภวัตก็จะมาด้วย”
“ไม่”
“แนนนี่พาพี่ภวัตมาได้ก็แล้วกัน”
ภวัตทำหน้าหงุดหงิด

ภวัตปรากฏตัวขึ้นกลางห้อง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“พี่ภวัตคะ พี่ภวัต” รัดเกล้าตะโกนเรียก
ภวัตเดินไปเปิดประตูไม่ทันเปลี่ยนชุด รัดเกล้าเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ เลยไปจนถึงขบขัน
“พี่ภวัตคะ” หัวเราะคิกคัก)
“หัวเราะอะไรน่ะ”
“ก็หัวเราะพี่ภวัตน่ะซิ โอ้โห ! แต่งชุดนี้เข้าบรรทมเลยหรือเพคะ”
ภวัตสะดุ้งแล้วก้มมองตัวเองอย่างนึกได้
“บ้าจริง !” ภวัตรีบปิดประตู

“อย่าทรงชุดนี้ไปทำงานนะเพคะ” รัดเกล้าแซวพี่ชายอยู่หน้าห้อง

ส่วนแนนนี่ปรากฏตัวขึ้นกลางห้อง แล้วเบิกตากว้าง เห็นปัทมนนั่งรออยู่ แนนนี่รีบเดินมากอด
“คุณแม่ตื่นแต่เช้าเลย”
“หายไปไหนมา แล้วทำไมถึงได้แต่งตัวอย่างนี้”
“อ๋อ ...”นึกหาคำแก้ตัว
ปัทมนเลิกคิ้วมองจ้องเขม็ง
“ไปเมืองเวทมนตร์มาค่ะ” ตัดสินใจบอกความจริง
ปัทมนอ่อนใจเหลือหลาย “แนนนี่”
“แนนนี่รักคุณแม่มาก...เพราะถึงจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่คุณแม่ก็รักและเมตตาแนนนี่มากที่สุด คุณแม่ขา... แนนนี่อยากรู้จริงๆ ว่าแม่แนนนี่เป็นใคร”
ปัทมนถอนใจยาว แล้วลุกขึ้น “แม่คิดว่า แม่พูดเรื่องนี้กับแนนนี่มามากแล้วและจะไม่พูดอีก”
ปัทมนเดินไปที่ประตู เปิดออกไป ไม่พูดไม่จา
แนนนี่มองตามน้ำตาร่วง “คุณแม่โกรธแนนนี่”
แนนนี่เช็ดน้ำตาที่ไหลริน

เวลาเดียวกัน ธานีและดารกานั่งคุยกัน ในขณะที่ปัทมนเดินเข้ามา
“แนนนี่ล่ะคะ คุณแม่”
“อยู่ในห้อง”
“เอ๊ะ! แต่เมื่อคืนน้องดาไม่เห็น...”
ปัทมน และธานีมองดารกาอย่างแปลกใจ
“แนนนี่ลงมาดูทีวี เหมือนทุกวัน” ดารการีบพูดต่อ
“ธานีพาน้องดาไปส่งมหา’ลัยด้วย ... วันนี้แม่จะไปทำงานสายหน่อย”
“คุณแม่ไม่ได้เป็นอะไรแน่นะคะ”
“จ้ะ”
“ถ้าคุณแม่ไม่สบายก็พักผ่อนนะครับ ... เรื่องที่ออฟฟิศ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ธานีบอกแข็งขัน
“ขอบใจลูก”
“ไป ... น้องดา”
ธานีกับดารกาเดินออกไป
ปัทมนทอดถอนใจนั่งนิ่งครู่หนึ่ง จึงเดินกลับขึ้นไปชั้นบนใหม่

ปัทมนเดินขึ้นมาแล้วมาหยุดหน้าห้องดารกา
ธานีขับรถโดยมีดารกานั่งคู่ไปด้วย ดารกาชะงัก...สีหน้าแววตาเหมือนรับรู้ว่ามีคนจะเข้าห้อง

ปัทมนนั่นเองที่ค่อยๆ เปิดประตูห้องดารกาออก ก้าวเข้าไป ดารกาจ้องเขม็งไปยังเบื้องหน้า นัยน์ตาเป็นสีเขียวเรือง

เทวรูปปล่อยลำแสงมาที่ปัทมน พลันปัทมนรู้สึกเหมือนว่ากำลังตกลงไปในเหวลึกที่มีไฟโชติช่วงอยู่ข้างล่าง ปัทมนจะร้องก็ร้องไม่ออก ได้แต่พยายามดิ้นรน เปลวไฟพุ่งขึ้นมาใกล้ทุกที
ปัทมนรวบรวมสติกุมพระที่ห้อยคอไว้แน่น แล้วตั้งสติสวดบทแผ่เมตตา
“สัพเพฯลฯ”
ทุกอย่างหายไป ปัทมนมายืนอยู่กลางห้อง มือยังคงกุมพระ ทอดถอนหายใจยาว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ปัทมนมองไปโดยรอบห้อง สายตามาหยุดที่เทวรูป
ปัทมนมองจ้องเทวรูปนั้นอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด

ครู่ต่อมาปัทมนกำลังจุดเทียนอยู่ในห้องพระ จากนั้นหยิบธูป 3 ดอกต่อไฟที่เทียนนั้น ปัทมนสวดมนตร์ครู่หนึ่ง แล้วปักธูปลงกระถาง
“ลูกไม่เข้าใจเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับแนนนี่และน้องดา น้องดาที่เคยสงบเสงี่ยมน่ารักที่สุด ทำไมถึง ... เปลี่ยนไป เทวรูปนั้นมาจากไหน”
ปัทมนนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง

ปัทมนเดินถือถุงอะไรบางอย่างเดินออกมาที่ถังขยะหน้าบ้าน เสียงอิงอรทักทายลอยมา
“น้องปัทมน...เอาขยะออกมาทิ้งเองเลยหรือคะ”
“อ๋อ...ของที่ไม่ใช้น่ะค่ะ”
อิงอรเดินตรงมาหา “นั่นแหละค่ะ เขาเรียกว่าขยะ”
ระหว่างนั้นซาเล้งคันหนึ่งแล่นมา โดยที่คนขี่ใส่หมวกปีกกว้าง มองเห็นหน้าไม่ถนัด
“วันนี้ไม่ไปทำงานหรือคะ”
“ว่าจะหยุดพักสักวันค่ะ”
“แหม้ ! เป็นเจ้าของกิจการเองก็ดียังงี้แหละ นึกจะหยุดก็หยุด นึกจะไปก็ไป”
ระหว่างทั้ง 2 คนคุยกัน คนขับซาเล้งคันนั้นหยิบห่อของไป
ใบหน้าคนขับซาเล้ง เห็นชัดว่าเป็น...สดับ

แนนนี่นอนกลิ้งไปมาอย่างใช้ความคิดอยู่บนเตียง สักพักหนึ่ง ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แนนนี่ลุกขึ้นมารับด้วยสุ้มเสียงเซ็งๆ
“ว่าไง ปีเตอร์”
“วันนี้ทำไมไม่มาเรียน”
“แนนนี่จะท่องหนังสือ ... ใกล้สอบแล้ว”
“ขี้เกียจน่ะไม่ว่า เอางี้ ... ปีเตอร์จะซื้อตัวขี้เกียจจากแนนนี่ แนนนี่จะขายเท่าไหร่บอกมาเลย”
“โฮ้ย ! ปีเตอร์นี่ชอบพูดถึงแต่เงิน รำคาญ”
“ล้านนึงนะ ... แต่งตัวมาเรียนได้ เดี๋ยวปีเตอร์จะเซ็นเช็คให้”
“บอกว่าไม่ไป ไม่ไป พูดอยู่ได้”
แนนนี่ปิดโทรศัพท์ แล้วเดินออกไป ปีเตอร์พยายามจะกดโทรศัพท์ แต่ก็ไม่มีใครรับ

ดารกากำลังนั่งดูหนังสือกับเพื่อนๆ ในมหาลัย จู่ๆ ดารกาชะงักเหมือนมีใครเรียก มองไปเห็นสดับยืนอยู่ ดารกาลุกเดินไปหา สดับส่งเทวรูปให้ ดารการับมาถือไว้ในมือ

ส่วนบาบาร่าเดินตรงไปที่ประตู
“จะไปไหน คุณยายบาร์” ปีเตอร์ถาม
“ก็ไปเยี่ยมทาฮิร่าเพื่อนเลิฟหน่อยซิ ไมได้เจอหน้าเจอตาตั้งหลายวันแล้ว”
“ไปด้วย”
บาบาร่าก้าวเดินออกไป ไทเกอร์ตาม

บาบาร่าผลักประตูแล้วเดินเข้ามา ติดตามด้วยไทเกอร์
“ไม่อยู่จริงๆ หรือว่าจะกลับไปสิงอยู่เมืองเวทมนตร์แล้ว" ไทเกอร์ปรารภ
“ถ้าไปเราก็ต้องเห็น เพราะเราไปถึงที่บ้านเมื่อวานนี้” บาบาร่าว่า
“เอ! แล้วจะไปไหน หรือว่าถูกอสูรจับตัวไป” ไทเกอร์กระตุกต่อม
“ตายละ....แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะจะได้ไม่มีใครเป็นคู่แข่งในตำแหน่งรองประธานสภาคนที่ 3”
“แล้วนี่จะเอายังไง” ไทเกอร์ชักงง
“อสูรแนนนี่อาจมีคำตอบ” บาบาร่าบอก

พริบตานั้น แนนนี่นั่งขัดสมาธิ วางหนังสือไว้บนตัก บาบาร่าปรากฏตัวขึ้นทักทาย
“แนนนี่”
แนนนี่รีบลุกขึ้นไหว้
“สุรีย์สวัสดิ์ค่ะอาจารย์”
“ดีด้วย ..หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นหน้าคุณยายเธอเลย นางหายไปไหนฮึ”
“อ๋อ ! คุณยายไม่ค่อยสบายเล็กน้อยค่ะ ตอนนี้อยู่ระหว่างรักษาตัว”
“อ้อ !” บาบาร่าทรุดตัวลงนั่ง “.... ว่าแต่ตอนนี้เธอจะอายุครบ 21 ปี แล้วใช่ไหม”
“ค่ะ...อีกไม่กี่วันเอง”
“ยี่สิบเอ็ดแล้วมันก็ต้องยี่สิบสอง ...” บาบาร่าเพ่งมองแนนนี่อย่างพินิจพิเคราะห์
แนนนี่ก้มหน้าลงครุ่นคิด
“ฉันเข้าใจว่าเธอรู้สึกยังไง แต่จะไม่พูดก็ไม่ได้ เพราะเมื่อเธออายุครบ 22 เธอจะนำภยันตรายที่ร้ายแรงมาสู่ทุกคน มันบาป”
แนนนี่เงยหน้าขึ้นสบตา “แนนนี่ไม่ใช่อสูรหรอกค่ะ แนนนี่แน่ใจว่าตัวเองเป็นแม่มด”
“เฮ้ ! ถ้าเธอไม่เป็น แล้วใครจะเป็น”
“แนนนี่ยังไม่แน่ใจค่ะ”
“แต่ฉันแน่ใจแล้วว่าเป็นเธอ”
“แต่หนู ....” แนนนี่นึกได้แล้วหยุดแค่นั้น
“แต่หนูอะไร”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“แนนนี่ศิษย์รัก ตัดสินใจให้ดีนะจ๊ะ”
“ค่ะ แนนนี่จะทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุด” แนนนี่รับปากแข็งขัน
“ดี! ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”

ตอนเย็นเกือบค่ำ พรกำลังเปิดประตูให้ธานีขับเข้ามา
ดารกาเปิดประตูรีบลงไป โดยไม่ลืมถุงเทวรูปอสูร ที่ติดตัวไว้ตลอด
ธานีล้อเล่น “ตกลงไม่ใช่ถุงขนมฝากพี่แน่นะ”
“ค่ะ”
ดารกาฝืนยิ้ม รีบเดินเข้าบ้านไป ธานีมองตาม
“หมู่นี้น้องดามีอะไรแปลกๆ”

ดารกาเดินเข้ามาในห้อง พร้อมถือถุงมาด้วย ดารกาจัดการวางข้าวของลง แล้วแกะถุงออก ที่มือดารกาเป็นเทวรูปที่ปัทมนเอาไปทิ้ง
ดารกาค่อยๆ ยกมาวางไว้บนหัวเตียงอย่างเดิม ถอยออกมาแล้วก้มกราบ 1 ครั้ง

ปัทมนอยู่ในสวนกับธานี พอได้ฟังเรื่องราวก็นิ่วหน้าสงสัย แล้วถามออกมา
“ถุงอะไรลูก”
“ไม่ทราบครับ .... ผมเห็นน้องดาถือติดตัวไว้ตลอดเวลา”
“จะใช่หรือเปล่านะ” ปัทมนกังวลขึ้นมาอีก
“ใช่อะไรหรือครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกลูก”
ปากบอกไม่มีอะไร แต่สีหน้าปัทมนกลับดูออกว่ามีความกังวลเป็นอย่างยิ่ง

ทางด้านดารกาเดินไปที่หน้าต่าง แล้วมองออกไปที่ห้องภวัต สีหน้าดารกาเต็มไปด้วยความรัก และความอ่อนโยน ดารกามองอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วเดินมาที่โทรศัพท์
ภวัตอยู่ในห้องพัก มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“น้องดา...ว่าไงครับ” ภวัตทักทาย
“พี่ภวัตยังจำเสียงน้องดาได้หรือคะ 2-3 วันมานี่เราแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลย” ดารกาตัดพ้อกลายๆ
“ก็น้องดาไม่ค่อยว่าง”
“พี่ภวัตก็เลยไปคุยกับคนอื่นแทน” ดารกาประชด
ภวัตนิ่งไป
ดารกาเริ่มรู้สึกตัว “น้องดากราบขอโทษค่ะ...น้องดานี่แย่จังเลย”
“เพื่อเป็นการไถ่โทษ พี่จะพาน้องดาไปเลี้ยงข้าวเย็นนี้”
“จริงๆนะคะ น้องดาจะรอ”
“แต่งตัวสวยๆ ไว้เลย 6 โมงเย็นพี่จะไปรับ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ดารกาวางโทรศัพท์ด้วยสีหน้าแววตาเป็นสุขยิ่ง

ก่อนถึง 6 โมงเย็นวันนั้น ดารกาแต่งตัวสวยน่ารักเดินเข้ามาในห้องโถง
“แต่งตัวสวยจริงลูกแม่ จะไปไหนจ๊ะ”
“เดี๋ยวพี่ภวัตจะมารับไปทานข้าวเย็นค่ะ” ท่าทีดารกายิ้มแย้มแจ่มใส
“อย่ากวนพี่เขาเลย ...”
ดารกาหุบยิ้มแล้วพูดสวนขึ้นมาทันทีเสียงขุ่น “แล้วทีแนนนี่ล่ะคะ ... แนนนี่ไปไหนมาไหนกับพี่ภวัตบ่อยๆ ไม่เห็นคุณแม่ว่าอะไรเลย ! แต่พอน้องดานานๆ ที คุณแม่ก็ไม่พอใจ”
“ไปกันใหญ่แล้ว แม่ไม่ได้ไม่พอใจ” ปัทมนอธิบาย
“ก็นั่นแหละค่ะ” ลุกขึ้น “น้องดาไปรอที่บ้านพี่ภวัตดีกว่า ...จะได้ไม่ขวางหูขวางตาคุณแม่”
ดารกาเดินไปที่ประตู แต่นึกบางอย่างได้ ดารกาหันกลับมาอย่างเอาเรื่อง
“อ้อ! อีกอย่างนึงค่ะ น้องดาไม่ชอบให้ใครเข้าไปในห้องเวลาน้องดาไม่อยู่”
ปัทมนยกมือทาบอกตกใจไม่คาดคิด ดารกาเดินออกไป
“โอย .... ฉันอยากจะเป็นลม”
เขาบนหัวของดารกาเริ่มโผล่ชัด พร้อมกับตัวตนที่แท้ซึ่งซ่อนซุกอยู่ภายใต้ใบหน้าสวย กิริยาเรียบร้อย แสนดี เริ่มปรากฏเป็นที่ประจักษ์แจ้งต่อหน้าคนใกล้ตัว!!

รัดเกล้ากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในชุดที่เพิ่งกลับจากทำงาน ดารกาเดินเข้ามา ด้วยสีหน้าแจ่มใส
“พี่เกล้า”
“อ้าว! น้องดา”
“น้องดามารอพี่ภวัตค่ะ ! นี่ภวัตจะพาไปเลี้ยงข้าว”
“หรือจ้ะ...” รัดเกล้าเห็นที่คาดผมเข้า “ที่คาดผมน้องดาสวยจัง ...ซื้อที่ไหนจ๊ะ”
ดารกายกมือแตะที่คาดผมทันทีอย่างระแวง
“ไหน…ขอพี่ดูใกล้ๆ หน่อยได้ไหม”
ดารกาลุกพรวดขึ้นมาทันที “อย่านะ!” สีหน้าแววตากราดเกรี้ยว
รักเกล้ามองอย่างแปลกใจ “น้องดาเป็นอะไร”
ดารกาก้าวถอยหลังออกไปอีก 2-3 ก้าว
รัดเกล้ากลับเข้าใจผิดคิดว่าดารกาหวงที่คาดผม “พี่ไม่ได้จะแย่งน้องดาหรอก!...มานั่งต่อเถอะ”
รัดเกล้าลุกขึ้นจะเดินไปจูงมือดารกามานั่ง
จังหวะนั้นนัยน์ตาดารกาเปล่งประกายอย่างน่ากลัว รัดเกล้ามองถอยหลังกรูดด้วยความตกใจ
ก่อนที่ดารกาจะทำอะไรลงไป มีเสียงแตรรถดังขัดจังหวะขึ้น
เสียงนั้นทำให้ดารู้สึกตัวทันที รีบวิ่งออกไป
รัดเกล้าเกาหัว แล้วมองตามอย่างประหลาดใจ “เฮ้ย ! อยู่ดีๆ เกิดบ้าอะไรขึ้นมา”

ที่หน้าบ้านภวัตเปิดประตูรถ ก้าวลงมา ดารกาวิ่งเข้ามาถึง ก็โผเข้ากอดภวัตแน่น แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
โป่งมองตามอย่างประหลาดใจ
“พี่ภวัต! พาน้องดาไปเดี๋ยวนี้เลยได้ไหมคะ! น้องดาไม่ไหวแล้ว”
ภวัตพยักหน้าแม้จะยังงงๆ แล้วเปิดประตูให้ดารกาขึ้นไปนั่ง แล้วอ้อมมานั่งที่คนขับ ขับรถแล่นออกไป โดยมีโป่งมองตาม
แนนนี่กำลังนั่งดูหนังสืออยู่ในสวน
เสียงโป่งเรียกอยู่ข้างรั้ว “จารย์ จารย์”
แนนนี่หันไปมอง “โป่ง เป็นไงบ้าง ! ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน”
“โป่งมีอะไรจะเล่าให้ ‘จารย์ฟัง”
“งั้นก็เข้ามาซิ”
“เข้าได้ไงล่ะ ’จารย์”
โป่งพูดยังไม่ทันขาดคำ แนนนี่ว่าคาถา กำแพงเปิดออก
โป่งตะลึง เบิกตากว้าง ร้องจนเสียงหลง “จ๊าน...”
“จะเข้าไม่เข้า”
“เข้าครับ ! เข้า”
โป่งเดินเข้ามา กำแพงปิดดังเดิม ...โป่งมองอ้าปากค้าง
“มีอะไรก็เล่าไป”
โป่งเสียงสั่นๆ “’จารย์! ’จารย์ทำได้ไง”
“เดี๋ยวบอก! เล่ามาก่อน!”
“คืองี้ครับ” โปร่งเริ่มเล่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่

รัดเกล้าแปลกใจ สงสัย จึงแวะมาคุยกับธานี เรื่องดารกา
“แปลกมากเลย พี่ธานี! กับไอ้ที่คาดผมอันเดียว ทำไมน้องดาถึงได้หวงขนาดนี้”
“คงไม่ได้หวงมั้ง!”
“หวง!”
ธานีอ้าปากจะอธิบาย ถูกรัดเกล้าชี้หน้า “อย่าเถียง”
“ไม่ได้เถียง! พี่จะอธิบายให้ฟัง”
“อธิบายยังไงก็ไม่ได้! เพราะเกล้าเป็นคนอยู่ในเหตุการณ์นั้น”
“เออ! งั้นก็พูดไป” ธานีนั่งนิ่ง ทำหน้าเซ็งๆ
“อ้าว! แล้วนี่จะไม่ออกความเห็นอะไรบ้างเหรอ”
“เฮ้ย! จะเอายังไงกันแน่! พูดก็หาว่าเถียง...พอไม่พูดก็หาว่าไม่ยอมออกความเห็น”
“เออ..ก็ได้...ก็ได้! พูดมาซิ ! แต่อย่าเถียง เพราะเกล้ารู้ เกล้าเห็น”
ธานีถอนใจเฮือกอย่างเซ็ง กับข้อเสนอรัดเกล้า

แนนนี่ของขึ้นทันทีเมื่อฟังเรื่องจากโป่ง
“บังอาจ” แนนผุดลุกขึ้น
“โป่งสมควรตาย!” โป่งตกใจ
“จารย์ไม่ได้ว่าโป่ง”
“โล่งไปที!”
“กลับไปได้แล้ว!”
“กลับไงล่ะ ‘จารย์!”
“แบบนี้ไง!” แนนนี่ร่ายคาถา “อัม..อัลวายา รีเทอร์น่า!”

โป่งหายไปจากที่นั้นทันที

อ่านต่อหน้า 4 วันนี้ เวลา 17.00 น.




อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 20 (ต่อ)

ร่างของโป่งมาปรากฏตัวขึ้นในลักษณะนอนหลับอยู่ในสวนบ้านภวัต บาบาร่าเดินนวยนาดเข้ามาเห็นพอดี

“หลบมานอนอู้งานอยู่ตรงนี้เอง! โป่ง! โป่ง”
บาบาร่าเรียกเสียงดัง แต่โป่งยังนอนหลับสบายไม่ยอมขยับ
“โป่ง! ไอ้โป่ง” บาบาร่าเสียงดังกว่าเดิม
โป่งตื่นทันที “จารย์!”
“จงจานที่ไหน!” บาบาร่าหงุดหงิด
โป่งมองรอบตัว บาบาร่ายิ่งงง “โป่งมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!”
“ฉันจะไปรู้แกเรอะ ! มาเห็นแกก็นอนหลับอยู่ตรงนี้แล้ว!”
โป่งยังงงอยู่ “หมายความว่าโป่งฝันไป!”
มีเสียงแตรรถดังขึ้นที่หน้าบ้าน
“เจ้านายแกมาแล้ว! ไปเปิดประตูไป”
โป่งเดินไปบ่นไป “อะไรวะ! งงไม่หายเลย”

รัดเกล้าคุยหารือเรื่องดารกาต่อ
“เกล้าว่ามันผิดปกติจริงๆ ค่ะ คุณอา! คุณอาอย่าโกรธเกล้านะคะ”
ปัทมนยิ้ม “ไม่หรอก...อาขอบใจเสียด้วยซ้ำ ครอบครัวเรารู้จักกันมานานไม่ใช่ปีสองปี! แล้วอาจะลองเลียบ เลียบ เคียงๆ ถามดู”
“ไม่เป็นไรค่ะ...รอเอาไว้ให้น้องดาอารมณ์ดี แล้ว...ถามเองดีกว่า...อย่างที่คุณอาพูด น้องดาก็เหมือนน้องของเกล้า...”
ธานีแทรกขึ้นมา “พูดดีๆก็เป็นแฮะ”
“ไอ้พี่ธานี!”
“คุณแม่ฟังยัยเกล้านะครับ ผมเป็นพี่ แต่ไม่มีใครเคารพเลย”
“ก็ตัวเองอยากทำตัวไม่น่าเคารพทำไม”
“คุณแม่” ธานีหันมาฟ้องแม่
“จริงของน้อง” ปัทมนยิ้มๆ
ธานีเหวอ
“นั่นไง! คุณอาเข้าข้างเกล้า”
“เออ! ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“โอเค้ จะเอาคืนเมื่อไหร่ก็บอก”
ธานีลุกเดินไป ขณะพูด “...เมื่อไหร่แต่งงานกันก็เมื่อนั้นแหละ” แล้วธานีก็หนีขึ้นข้างบนไป
ปัทมนอ้าปากค้าง พูดไม่ออก รัดเกล้าเองก็ตกตะลึงเช่นกัน

ปัทมนติดใจเรื่องคำพูดเมื่อครู่ จึงเข้ามาคุยกับธานี
ธานีหันมาทางแม่หน้าตาจริงจัง “ผมพูดจริงครับ”
“แล้วลูกเคยคุยกับยัยเกล้าอย่างเป็นทางการหรือยัง”
“ยังเลยครับคุณแม่”
“เฮ้อ ...อ....อ” ปัทมนถอนหายใจ
“ก็พอผมจะพูดทีไร เขาก็ชวนทะเลาะทุกที มันก็เลยหมดอารมณ์”
“หมดอารมณ์หรือไปไม่เป็น” แม่ดักคอเข้าให้
“ทั้ง 2 อย่างเลยครับ”
“ธานีรักยัยเกล้าใช่มั้ยลูก” ปัทมนถามจริงจัง
“งั้นมั้งครับ ... ยัยเกล้าเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมทะเลาะด้วย... ทั้งกวนประสาททั้งกวนโมโหสารพัด”
“อ้าว ! งั้นแต่งงานกันแล้วจะไปรอดหรือลูก” ปัทมนแกล้ง ทำเป็นยิ้มกริ่ม
ธานีตอบทันที “รอดครับ ! เพราะผมไม่ชอบผู้หญิงที่คล้อยตามไปหมดทุกเรื่อง...สำหรับผมกับเกล้า ... มันเป็นความแตกต่างที่ลงตัว” ว่าไปนั่น
“แล้วน้องเขาคิดเหมือนเราหรือเปล่า”
“ปัญหามันก็อยู่ตรงนี้แหละครับ คุณแม่ช่วยพูดให้ผมหน่อยได้ไหม” ธานีอ้อนแม่
ปัทมนยิ้มอย่างเอ็นดู
“เรื่องอย่างนี้ลูกต้องพูดเอง ถ้าตกลงกันได้เมื่อไหร่ก็มาบอกแม่เรื่องต่อจากนั้น แม่จัดการให้เอง”
ธานีกอดแม่อย่างดีใจ “ขอบคุณมากครับ”
ปัทมนลูบผมลูกชายอย่างเอ็นดู
“หนูเกล้าเป็นเด็กดี...แม่เห็นมาตั้งแต่เล็กๆ...ถ้าได้เป็นลูกสะใภ้แม่ก็ว่าดีเหมือนกัน”
ธานียิ้มอย่างพอใจ

ทาฮิร่ายังนอนพักฟื้นอยู่ในตะเกียงแก้ว ในขณะที่แนนนี่กำลังพยายามเพ่งมองดูลูกแก้ว เห็นผู้คนในร้านอาหารที่ต่างๆ แนนนี่ทำเสียงจึ๊กจั๊ก หน้าตาไม่สบอารมณ์ ทาฮิร่าสะกิดชิกเก้น
“อะไรคุณยาย กำลังดูเพลินๆ เลย”
ทาฮิร่าทำมือทำไม้
“แนนนี่...คุณยายอยากทราบว่าแนนนี่กำลังมองหาอะไร” ชิกเก้นแปล
“ร้านอาหารที่พี่ภวัตกับยัยพี่ดาดินเนอร์กัน”
ทาฮิร่าทำมือโบกไปมา
“คุณยายบอกว่าอย่าไปวุ่นวายกับเขาเลย” ชิกเก้นแปลอีก
“ไม่ยุ่งไม่ได้ค่ะ” น้ำเสียงสุดจะหงุดหงิด
ชิกเก้นหันมาแปลบอกทาฮิร่า “แนนนี่บอกว่าไม่ยุ่งไม่ได้ค่ะ”
ทาฮิร่าฉุนเต็มที่ “ได้ยินแล้ว ฉันให้แกแปลคำพูดฉัน ไม่ใช่แปลคำพูดแนนนี่”
“เวรก๊ำ ... เวรกรรม อ้า ’ไร้ พูด ’ไร ก็ผิดไปหมด” ชิกเก้นบ่น
“คุณยายขอ ยัยพี่ดากำลังจะแย่งพี่ภวัตของแนนนี่ แนนนี่ไม่ยอม”
ทาฮิร่าทำอีกท่า
ชิกเก้นแปลคำบรรยาย “เป็นยาย ยายก็ไม่ยอม”
“ไอ้ชิกเก้น ... น ฉันไม่ได้บอกยังงั้น...น!”
“อ้าว! แล้วบอกว่าไง” ชิกเก้นถาม
“บอกว่า มันไม่ใช่เรื่องยอมหรือไม่ยอม มันเป็นเรื่องของบุพเพสันนิวาส” ทาฮิร่าแปลเอง
“โฮ้ย ! เยอะแยะมากมายใครจะไปแปลถูกหมด มันก็ต้องมั่วมั่ง ...’ไรมั่ง”
“แกน่ะมั่วตลอด”
“อ้ะ โบราณว่าไว้ไม่มีผิด “เสร็จนาฆ่าโค…เสร็จศึกฆ่าแม่ทัพ” ’ไรประมาณนี้ พอเริ่มพูดได้ก็ตำหนิชิกเก้น เวรก๊ำ ...เวรกรรม! ไปดีกว่า”
ชิกเก้นหายแว้บไป
“ไปเสียได้ก็ดี ! แนนนี่ ฟังยายให้ดีนะลูก”
ทาฮิร่าลูบผมแนนนี่อย่างปลอบประโลม

ที่ร้านอาหารหรู เรียบ บรรยากาศเงียบๆ ชวนผ่อนคลายแห่งนั้น ภวัตกำลังตักแบ่งอาหารใส่จานดารกา
“น้องดาต้องทานเยอะๆ ... พี่จะได้พามาอีก”
“งั้นน้องดาจะทานให้หมดเลยค่ะ”
“ดีจ้ะ”
ดารกาตักข้าวทาน ยิ้มอย่างสุขใจ
“นี่น้องดาอยู่ปีอะไรแล้วนะ”
“ปี 3 ค่ะ ... เหลืออีกตั้ง 3 ปี”
“งั้นปีหน้าแนนนี่ก็จบแล้ว” ภวัตเผลอใจนึกไปถึงอีกคน
ดารกาได้ยินชื่อแนนนี่ ก็หน้าตึงขึ้นมาทันที “พี่ภวัตจำได้แต่เรื่องของแนนนี่”
“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ก็เขาคอยบอกพี่ตลอด” ยังไม่รู้ตัวอีก
ดารกานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “พี่ภวัตจำเรื่องที่คุณแม่กับคุณลุงจักรเคยตกลงกันได้
หรือเปล่าคะ”
ภวัตอึ้งไปเล็กน้อย “เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
“แต่มันยังอยู่ในใจน้องดาตลอดเวลา ...” ดารกามองหน้าภวัต น้ำตารื้นขึ้นมา “ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา น้องดาไม่เคยเปลี่ยนใจเลย ... น้องดาไม่เคยมองคนอื่น”
ภวัตน้ำเสียงอ่อนโยน “ยังเหลืออีกตั้ง 3 ปี อะไรๆ ยังเปลี่ยนแปลงได้”
“เฉพาะพี่ภวัตเท่านั้นแหละค่ะ” ดารกาเสียงแข็ง
“น้องดา”
“น้องดาจำเป็นต้องพูด ... เพราะน้องดาคงมีเวลาไม่ถึง 3 ปี” ดารกาพูดอย่างซีเรียส
ภวัตชะงัก “ทำไม ! น้องดาเป็นอะไร”
“เปล่าหรอกค่ะ น้องดาไม่ได้เป็นอะไร .. แต่ประมาณปีหน้าอาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดกับน้องดา ...หลังจากนั้นอนาคตน้องดาจะเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้ ...” ดารกาพูดเป็นนัย
สีหน้าภวัตกังวลใจไม่น้อย “น้องดาพูดอย่างนี้ พี่ไม่สบายใจเลย”
“ถ้าพี่ภวัตจะรักน้องดาก็รีบรักเสียเถอะนะคะ รักก่อนที่พี่ภวัตจะเกลียดน้องดา” น้ำเสียงดารกากร้าวแกร่ง
“พี่ไม่เข้าใจ” ภวัตประหลาดใจระคนสังสัย
“แล้วพี่ภวัตก็จะเข้าใจเองคะ ขออย่างเดียว ถ้าพี่ภวัตทราบแล้ว ก็อย่าเกลียดน้องดาเลยนะคะ...ถึงจะไม่รักก็อย่าเกลียด ...น้องดาทนไม่ได้”
พูดถึงตรงนี้ ดารกาเริ่มน้ำตาหยดไหลริน
ภวัตจับมือดารกาบีบเบาๆ อย่างปลอบโยน ดารกาน้ำตาไหลพราก ภวัตมองด้วยสีหน้าเป็นกังวล

เวลาต่อมา จักรพยักหน้าช้าๆ เมื่อฟังภวัตเล่าจบ สองพ่อลูกคุยกันอยู่ภายในบ้าน
“ผมกังวลแล้วก็เป็นห่วงน้องดามากเลยครับ แกหมายถึงอะไร ผมก็เดาไม่ถูก ...ในเมื่อแกยืนยันว่าสุขภาพดีไม่ได้มีปัญหาอะไร” ภวัตว่า
“เป็นหน้าที่ของแกที่จะต้องพยายามถามให้ได้ พ่อเองก็จะลองพูดกับคุณปัทดู หรือว่าแกจะพูดเอง”
ภวัตรีบท้วงไว้ “อย่าเพิ่งดีกว่าครับ ผมยังไม่อยากให้คุณอาปัทกังวล เอาไว้ให้น้องดายอมบอกผมก่อนดีกว่า ... ยังไงผมจะได้หาทางแก้ไข”
จังหวะหนึ่งจักรวาลมองภวัตอย่างเพ่งพิศ “น้องดาหรือว่าแนนนี่”
“คุณพ่อหมายถึงอะไรครับ” ภวัตงง
“แกชอบน้องดาหรือว่าแนนนี่”
เจอพ่อถามตรงๆ ภวัตถึงกับนิ่งอึ้งไป
“ที่พ่อถามพี่ก็เพราะว่าเป็นห่วง เพราะถ้าแกชอบน้องดา มันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าแกชอบแนนนี่มันจะมีปัญหามาก น้องดาจะยิ่งติดแกจนแกะไม่ออก ส่วนแนนนี่ก็ต้องออกจากชีวิตของแกไป เพราะความเข้าใจผิด
แล้วแกเองนั่นแหละจะต้องทนทุกข์ทรมานไปจนตลอดชีวิต” จักรวาลสอนลูกชาย
“ผมเข้าใจดีครับ”
“ไตร่ตรองให้ดี! คิดให้รอบคอบ แล้วก็แก้ไขปัญหาอย่างมีสติ อย่าเอาทั้งชีวิตไปหมกอยู่กับใครเพราะความสงสาร เพราะมันจะกลายเป็นความทุกข์ทรมานกับทุกฝ่าย”
ภวัตเลื่อนตัวลงจากเก้าอี้ แล้วก้มกราบพ่อ
“ขอบพระคุณ คุณพ่อมากครับ”
จักรวาลวางมือลงบนศีรษะลูกชายอย่างเอื้อเอ็นดูและให้กำลังใจ
“จำไว้ว่า พ่ออยากให้ลูกมีความสุขและสมหวังกับทุกสิ่งที่ปรารถนา”

ดารกาอยู่ภายในห้อง รับรู้สิ่งที่พ่อลูกคุยกัน ดารกาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าดูโกรธเกรี้ยวบูดเบี้ยวจนน่ากลัว แล้วจู่ๆ ก็กรีดร้องเสียงดังลั่น
จู่ๆ ที่ด้านนอก ก็มีเสียงฟ้าคำราม แล้วผ่าเปรี้ยงปร้างรับเสียงร้องของดารกา บรรยากาศดูน่ากลัว และเสียงดังมากๆ มีชาวบ้านคนหนึ่งถูกฟ้าผ่าตายไป
เสียงฟ้าร้องครืนคราม และยังผ่าเปรี้ยงปร้างตลอดเวลา ในขณะที่รัดเกล้าและโป่งเข้ามารวมกลุ่มกัน
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ฟ้าถึงได้น่ากลัวขนาดนี้” รัดเกล้าบ่น
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน” จักรวาลว่า
ระหว่างนั้นอิงอรก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาในบ้านบ่นพึมพำตามประสา
“ขออยู่ด้วยคนค่ะ....ระทึกสมกับปี 2012”
ภวัตฉุกคิด เดินไปแหงนดูที่หน้าต่าง

ด้านบาบาร่าอยู่ในห้อง และกำลังชะโงกมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วหันกลับมา
“เหมือนอสูรมันพิโรธ” บาบาร่าตั้งข้อสังเกต
“ขนาดยังโตไม่เต็มที่ ฤทธิ์ยังมากขนาดนี้” ไทเกอร์เสริม

ส่วนดารกา ดึงที่คาดผมออก เห็นเขาโผล่ออกมาให้เห็นชัดเจนและถนัดตา
ดารกาชู สองมือขึ้นกรีดร้อง พร้อมกับมีเสียงฟ้าผ่ารับเปรี้ยงปร้าง

เวลาเดียวกันปัทมนพยายามตั้งสมาธิสวดมนตร์อยู่ในห้องพระ

แนนนี่อยู่ในตะเกียงแก้วได้ยินเสียงฟ้าผ่า ฟ้าร้อง รีบผุดลุกขึ้น
“แนนนี่จะออกไปดู”
ทาฮิร่าดึงแขนรั้งไว้ทันที “อย่าลูก”
“งั้นชิกเก้นไปเอง” ชิกเก้นอาสา
“เออ ... ดี ... แกรีบไปดูแล้วกลับมาบอก” ทาฮิร่าไม่ทัดทาน แถมยังไล่ให้รีบไป
“เวรก๊ำ...เวรกรรม สองมาตรฐานชัดเจน ! ’ไรชัดเจนแต่ชิกเก้นไม่ไปหรอก จะบอกให้” ชิกเก้นงอน

พรและผาดตกใจกลัววิ่งมารวมกันที่ห้องโถง
ในขณะที่ดารกายังคงกรีดร้องเสียงดังก้อง รับกับเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้าง
สมาชิกทั้งสองบ้าน ต่างอยู่ในอาการหวาดหวั่น

เวลาเดียวกัน มาลีรีบปิดประตูหน้าต่างด้วยความหวาดกลัว
“โอ๊ย! ฟ้าอะไรอย่างนี้ไม่เคยพบเคยเห็น”
นัยน์ตาอสูรสดับเป็นประกายวาววับด้วยความพอใจ
“เกือบแล้ว! เกือบจะได้เวลาของเจ้าแล้ว”
ฟ้าผ่าดังเปรี้ยง!!
“เอาเลย!... แสดงอิทธิฤทธิ์ของเจ้าให้มันรู้ทั่วกันเลย!”
มาลีหันมามองแล้วด่าผัว “จะบ้าเรอะไง”
อสูรสดับไม่สนใจฟัง เดินออกไปนอกบ้าน
อสูรในร่างสดับ ชูสองแขนขึ้น ท่ามกลางฟ้าผ่า และพายุรุนแรง ด้วยอิทธิฤทธิ์ดารกา
“เอาเลย! ดารกา! ประกาศให้โลกรู้ว่าจะถึงเวลาของอสูรแล้ว”
อสูรสดับหัวเราะกึกก้องอย่างน่ากลัว

บรรยากาศขมุกขมัวในตอนเช้า สมาชิกสองบ้านและอิงอร ต่างรวมตัวกันอยู่ที่บ้านปัทมน และกำลังสนทนากันอยู่ด้วยความตื่นเต้น
“นี่ไม่ใช่หน้าฝนนะคะ ยังน่ากลัวขนาดนี้เลย” รัดเกล้าเอ่ยขึ้น
“อิงต้องไปขออาศัยหลบภัยอยู่กับคุณจักรค่ะ...” อิงอรทำตาหวานใส่จักรวาล “เลยค่อยยังชั่วหน่อย”
“แนนนี่อยู่ในตะ...” แนนนี่เอ่ยขึ้น เกือบเผลอหลุดปาก
ทุกคนมอง โดยเฉพาะดารกาจ้องเขม็ง
“...แนนนี่คลุมโปงตลอด ส่วนเจ้าชิกเก้นอยู่ในตะกร้าค่ะ”
“น้องดาล่ะลูก” ปัทมนถาม
“น้องดาโชคดีค่ะที่นอนหลับสนิทมากจนไม่ได้ยินอะไร”
“นั้นซิ...โชคดีจริงๆ” จักรวาลยิ้มๆ
ระหว่างนั้นมีเสียงแตรรถดังขึ้น พรขับวิ่งออกไป
ดารกาทำเป็นพูดลอยๆขึ้นมา “เสียงเหมือนแตรปีเตอร์เลย”
ภวัตมองแนนนี่แว่บหนึ่ง
แนนนี่ค่อนขอดดารกาอย่างรู้ทัน
“แหม! ความจำดีนักนะค่ะ! เสียงแตรของใครจำได้หมด”
ดารกายิ้มใสซื่อ “พี่ถึงได้เรียนหมอไง”
แนนนี่ลุกพรวด “จะหาว่าแนนนี่โง่ใช่มั้ย”
ดารกาทำหน้าตกใจ
“แนนนี่! พี่เขาไม่ได้พูดอย่างนั้นซักหน่อย”

ปีเตอร์เดินยิ้มเข้ามา ในมือถือดอกไม้ช่อใหญ่ ตามด้วยพรถือถุงอาหารมา ใหญ่บึ้ม 2-3 ถุง
“ปีเตอร์มาแล้วครับ พร้อมด้วยโจ๊กเป๋าฮื้อ และกระเพาะปลา..เน้น..กระเพาะปลาแท้ๆนะครับไม่ใช่หนังหมูอย่างที่เคยกินๆกัน” เรื่องเว่อร์ๆ ขอให้บอกปีเตอร์เหอะ
“นั่งซิจ๊ะ ปีเตอร์”
ปีเตอร์เดินมาคุกเข่าต่อหน้าแนนนี่ หลังจากไหว้มั่วทุกคน
“แนนนี่..นี่ช่อดอกไม้ทำขวัญเมื่อคืนที่ฟ้าผ่าบ้าผ่าบอ”
ดารกาหน้าบึ้งมองตาปีเตอร์
“ขอบใจ” แนนนี่รับมา
“เรายังทำงานหาเงินไม่ได้ จะใช้จ่ายอะไรก็ควรระมัดระวัง...” ภวัตแขวะปีเตอร์กระทบแนนนี่
“อ๋อ! ของปีเตอร์ไม่ต้องระวังเลยครับ! ป๊ากับม้าหาไว้ให้จนใช้ไม่หมด! นี่ไม่รู้นะครับว่าที่บ้านพี่ภวัตมาทานข้าวด้วย ปีเตอร์เลยไม่ได้ซื้อมาฝาก! เอาไว้คราวหน้าปีเตอร์จะซื้อมาแจกทั้งซอยเลย” ปีเตอร์เว่อร์ได้อีก
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกน้องปี...เขามีเงินซื้อ! อยู่ที่ว่าจะกินหรือไม่กินเท่านั้น” รัดเกล้าแก้ต่างแทนพี่ชาย
ปัทมนกระแอม ขยับตัว “เอาละ...แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคนได้แล้ว”
ทุกคนแยกย้ายกัน
จู่ๆ แนนนี่ก็ยื่นส่งช่อดอกไม้ไปให้พร “พี่พร! แนนนี่ให้”
“อุ๊ย!” พรงง
ปีเตอร์เหวอ ภวัตมองแนนนี่อย่างตำหนิ
“วันนั้นพี่พรเจ็บ แนนนี่ไม่มีของเยี่ยม... แนนนี่ขอชดเชยให้วันนี้ก็แล้วกัน”
“แนนนี่” ปัทมนปราม
“ไป! ปีเตอร์!” แนนนี่หอมแก้มแม่ “แนนนี่ไปก่อนนะค่ะ จบปีนี้ แนนนี่ก็ลั้ลลาได้แล้ว”
แนนนี่ผลักปีเตอร์ให้ออกเดินไปด้วยกัน โดยสายตาแต่ละคู่มอง ด้วยความรู้สึกต่างๆกัน
“ดู๊! ลูกคนนี้!” ปัทมนยิ้มอย่างเอ็นดู

คนอื่นรู้สึกอย่างไรไม่รู้ แต่ดูเหมือนภวัตจะหงุดหงิดเอามากๆ

กลุ่มภวัตเดินกลับเข้าบ้านโดยมีอิงอรทำท่ากระแซะตามติดจักรวาลไปด้วยทุกที่
“แหม..ถ้าคุณจักรไม่คิดมากนะคะ...คุณอิงจะขอหอบผ้าหอบผ่อนมานอน...” อิงอรว่า
ทุกคนชะงัก มองเขม็ง อิงรีบต่อ
“...กินกับน้องเกล้า!”
ทุกคนโล่งใจ
“ฟ้าฝนเมื่อคืนมันน่ากลัวอย่างไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน” อิงอรตั้งข้องสังเกต
“พี่เกล้าคะ!”
ทุกคนหันไปมอง เห็นดารการีบวิ่งตรงมา แล้วยื่นถุงสวยๆ ให้รัดเกล้า
“น้องดาซื้อมาฝากพี่เกล้าค่ะ... เปิดดูซิคะ”
รัดเกล้า เปิดถุง หยิบที่คาดผมสวยๆ ออกมา 2 อัน
“สวยจัง!”
ดารกากราบที่ต้นแขน “น้องดาต้องกราบขอโทษที่วันนั้นแสดงกิริยาไม่ดีกับพี่เกล้าW”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่โกรธน้องดาหรอกจ้ะ”
“น้องดาไปก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณแม่รอ...วันนี้คุณแม่ไปส่ง”
ดารกาไหว้ลาทุกคนอ่อนช้อยแล้วออกไป
“น้องดานี่ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกินนะค่ะ ผิดกับยัยคนน้อง...นั้นน่ะซิเล่นคุณไสยตั้งแต่เด็ก! วันดีคืนดีก็ขี่ไม้กวาดมาจ๊ะเอ๋กับคุณอิง หายตัวได้ทั้งยายทั้ง...” อิงอรจะพูดต่อ
ภวัตรีบกระแอมพูดดักคอ ตัดบท “คุณอาอิงจะกลับบ้านมั้ยครับ ผมจะเดินไปส่ง!”
“คุณจักร…”
“วันนี้ผมมีสอนแต่เช้าเลยครับ!” จักรวาลรีบออกตัว
“เกล้าก็ต้องรีบไปทำงานเหมือนกันค่ะ”
อิงอรพยักหน้าอย่างปลงๆ “ก็ได้ค่ะ ยังไงก็ดีกว่าเดินไปคนเดียว”
ภวัตเดินออกไปกับอิงอร

พอทั้งสองคนเดินมาถึงประตูอิงอรมองซ้ายมองขวาพูดเสียงเบาเหมือนกลัวใครมาได้ยิน
“คุณหมอ...คุณหมอพอจะคุยกับคุณอิงหน่อยได้มั้ยคะ”
“ได้ครับ”
“เรื่องแนนนี่กับคุณยายของแกค่ะ! เขามาขออนุญาตใช้หลังบ้านคุณอิงเป็นที่ Landing พาหนะไม้กวาดหนักๆเข้าจะเอาไอ้ Take off อีกนะคะ”
ภวัตทำสีหน้าอ่อนใจ
“แล้วไม้กวาดนั่นก็ไม่รู้ว่าซื้อมาจากไหน! …ช่างลอยไปลอยมาบนฟ้าได้ โดยไม่ต้องพึ่งน้ำมันซักกะหยด! เอ๊ะ! หรือว่าจะใช่ผีสิง!”
ภวัตทำได้แค่ยิ้ม
“แต่ถ้าใช้สลิง เขาจะผูกกับอะไรล่ะ! หรือว่าก้อนเมฆ”
“ผมต้องไปทำงานละครับ” ภวัตตัดบทรีบไหว้ลา “สวัสดีครับ!”
ภวัตรีบเดินไปเมื่อเห็นท่าจะพูดนาน
“แต่เมฆมันก็ต้องกลายเป็นฝน ! โฮ้ย ! ปวดหัว”
อิงอรเดินเข้าบ้านไป

ภวัตมาถึงโรงพยาบาล ทำงานตามหน้าที่จนแล้วเสร็จ จึงกลับเข้าภายในห้องพัก แล้วรีบปิดประตู
“คุณยายครับ ... ผมอยากพบคุณยาย”
เงียบ
“คุณยายครับ...ผมอยากพบ...”
ขาดคำ ร่างภวัตก็หายวับไป

ที่แท้ภวัตมาปรากฏร่างในตะเกียง ภวัตฉุนจัด
“คุณยายครับ ! ผมเชิญคุณยายไปพบนะครับ ไม่ใช่ให้คุณยายลักพาตัวผมมา”
ทาฮิร่าสะกิดชิกเก้น แล้วเริ่มทำท่า แทนคำพูด
“คุณยายบอกว่า คนหนุ่มต้องมาหาคนแก่ หาใช่คนแก่ต้องไปหาคนหนุ่ม” ล่ามนามชิกเก้นแปล
“แต่ผมต้องทำงาน”
ทาฮิร่าทำมือตอบ
“เดี๋ยวจะส่งกลับเอง มีอะไรก็ว่ามา เพราะคุณยายอยากจะนอน”
ทาฮิร่าเขกหัวชิกเก้น1โป๊ก “แปลเกินอีกแล้ว ไอ้ชิกเก้น”
“ผมอยากจะขอร้องไม่ให้คุณยายกับแนนนี่ไปยุ่งวุ่นวายกับคุณอิง” ภวัตเอ่ยออกมา
ทาฮิร่าทำมือแบบส่ายหน้าเด็ดขาด ภวัตพอจะรู้ความหมาย
“ทำไมถึงไม่ได้ครับ”
“อ้อ! อันนี้แปลออก” ชิกเก้นว่า
ทาฮิร่าทำมืออีกท่า ชิกเก้นแปล
“เพราะคุณอิงชอบมาสอดแนมแก ... ‘ไรแกก่อน”
“แต่ว่า...” ภวัตจะแย้งอีก
ทว่าทาฮิร่าสะบัดมือ ร่างภวัตหายวับไป
ภวัตโผล่มาปรากฏตัวในห้องอย่างหงุดหงิด พยายามระงับสติอารมณ์ แล้วลงนั่ง

วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก
วันนี้มีงานเลี้ยงที่บ้านปัทมน ขนมเค้ก 2 ก้อนประดับเทียนวางอยู่บนโต๊ะ ทุกคนในงานกำลังร้องเพลง Happy Birthday ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พอเพลงจบธานี รัดเกล้า และโป่ง จุดประทัด ยิงพลุกระดาษสีโปรยปราย
บรรยากาศรื่นเริง สมกับเป็นงานฉลองวันเกิดของ แนนนี่และดารกา โดยที่ทุกคนไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องร้ายๆ ที่คาดไม่ถึงขึ้น!!

โปรดทำใจร่มๆ รอติดตามอ่านต่อ ตอนที่ 21

บทมาเมื่อไหร่ เรียบเรียงเสร็จ อัพให้อ่านเมื่อนั้น!!!



กำลังโหลดความคิดเห็น