ชิงนาง ตอนที่ 5
คืนเดียวกันนั้น พฤกษ์นอนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ยินเสียงโฉมไฉไลร้องดังขึ้น
“ช่วยด้วย”
พฤกษ์สะดุ้งลุกพรวด นิ่งฟัง
โฉมไฉไลร้องอีก “ช่วยด้วย”
พฤกษ์นิ่งฟังจนแน่ใจแล้วรีบกระโดดลงจากเรือ วิ่งตามเสียงไปทันที
พฤกษ์วิ่งเลาะหาดตามเสียงมาถึงจุดหนึ่ง เขาเห็นนักเลง 2 คนรุมจับตัวโฉมไฉไล และกำลังจะลากไปที่ใต้สะพานท่าเรือ
“ปล่อยฉัน! ช่วยด้วย”
พฤกษ์พุ่งเข้าไปถีบนักเลง 1ใน 2 จนมันล้มกลิ้งไป
“เรื่องผัวเมีย อย่าแส่!” นักเลงอีกคนพูดใส่หน้า
“ไม่จริงนะคะ พวกมันจะข่มขืนฉัน ช่วยฉันด้วย”
นักเลงที่ล้มอยู่ ลุกมาจะเล่นงาน แต่โดนพฤกษ์ต่อยสวน จนล้มกลิ้ง นักเลงอีกคน ปล่อยโฉมไฉไล จะเข้ามารุมพฤกษ์แต่โดนพฤกษ์ถีบจนหงายหลัง เพื่อนมันจะเข้าชาร์ทแต่พฤกษ์ต่อยสวน พฤกษ์จะต่อยนักเลงที่ล้มอยู่ แต่มันลนลาน ตัดสินใจชิ่งวิ่งหนีไปก่อน นักเลงที่เหลือเห็นว่าสู้ไม่ได้จึงโกยแนบตามกันไป
พฤกษ์มองเห็นนักเลงลับตัวไปแล้ว รีบเข้าไปดูโฉมไฉไลทันที
“คุณ เป็นยังไงบ้าง”
โฉมไฉไลอยู่ในสภาพเสื้อขาดวิ่นจนเห็นเนินอกนิดๆ แต่เซ็กซี่เหลือหลาย
พฤกษ์เห็นก็ผงะไป พยายามไม่มองด้วยการเบือนหน้าไปทางอื่น
โฉมไฉไลยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนร้องไห้แล้วโผเข้ากอดพฤกษ์
“ฉันกลัวค่ะ..ฉันกลัว”
พฤกษ์ได้แต่กอดโฉมไฉไลไว้ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
พฤกษ์ พาโฉมไฉไลมาบนเรือ ขยับไปค้นๆ หาเสื้อออกมา
“คุณกลับแบบนี้คงไม่เหมาะ ยังไงใส่เสื้อของผมไปก่อน”
พฤกษ์หันกลับมา เงยหน้ามองแล้วต้องชะงักกึก
แสงไฟส่องไปที่ร่างโฉมไฉไล ที่เปลือยหลังอยู่ โฉมไฉไลหันมาหาพฤกษ์อย่างมีจริต ยื่นมือมารับ)
“ขอบคุณค่ะ คุณพฤกษ์”
พฤกษ์งง “คุณ...” มองอย่างพินิจพิเคราะห์
“โฉมไฉไลไงคะ เราเคยเจอกันที่โรงพยาบาลเมื่อปีที่แล้ว”
พฤกษ์จำได้ “คุณโฉม...แฟนเมฆา”
“เป็นแค่อดีตค่ะ โฉมไม่มีความสำคัญสำหรับเมฆาอีกต่อไปแล้ว เขาไม่ได้รักโฉมอีกแล้ว” จู่ๆ โฉมไฉไลก็ร้องไห้โฮ
พฤกษ์งงๆ “คุณโฉม”
“เมฆาเปลี่ยนใจไปรักผู้หญิงคนอื่น โฉมเจ็บเหลือเกิน ทำไมเขาไม่รักโฉมเหมือนที่โฉมรักเขา ทำไมคะคุณพฤกษ์ ทำไมความรักของโฉมถึงไร้ค่าอย่างนี้” ร้องไห้คร่ำครวญ
พฤกษ์จับมือโฉมไฉไล เข้าใจความรู้สึกคนผิดหวังเหมือนกัน จึงปลอบใจ
“คุณโฉมอย่าคิดมากเลยนะครับ ผมเชื่อว่าสักวันคุณโฉมจะได้พบคนที่ดีกว่าเมฆา”
โฉมไฉไลสะอึกสะอื้น ประหนึ่งว่าเจ็บปวดเหลือแสน ไก่อ่อนอย่างพฤกษ์ไม่ลันมารยา เช็ดน้ำตาให้ด้วยความสงสาร
ภัตตาคารจีนปิดให้บริการแล้ว บริเวณหน้าร้านปิดแล้วเหลือไฟที่เปิดทิ้งไว้เพียงไม่กี่ดวง
พฤกษ์เดินเข้ามาส่งโฉมไฉไลที่หน้าร้าน โฉมไฉไลสวมเสื้อของพฤกษ์คลุมตัวไว้
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะคุณพฤกษ์”
พฤกษ์ยิ้มอ่อนโยนก่อนเดินกลับไป โฉมไฉไลมองตามยิ้มอย่างพึงพอใจที่แผนลุล่วง
อนงค์ก้าวออกมาจากในร้าน เห็นหลังผู้ชายไวๆ
“เมื่อไหร่แกจะเลิกใช้ชีวิตโง่ๆ แบบนี้สักที?! แล้วนี่ไปคว้าควายที่ไหนมาอีกล่ะ?”
“ควายเหรอ..ก็คงใช่ แต่เป็นควายเขาทองคำเลยนะหม่าม้า”
ระหว่างนั้น นักเลง 1 ใน 2 คนเมื่อครู่ เดินออกมาจากซอกตึก
“ค่าจ้าง?”
โฉมไฉไลหยิบเงินจากกระเป๋าส่งให้ “ถ้ามีอะไรฉันจะเรียกใช้อีก”
นักเลงออกไปก้าวเดินเร็วๆ
อนงค์หันมามองโฉมไฉไล “ยัยโฉม นี่แกกำลังทำอะไรอยู่?”
“ก็หาเงินใช้หนี้ให้หม่าม้าไงล่ะ”
โฉมไฉไลเดินหัวเราะร่าแล้วเดินเข้าร้านไป อนงค์ฉงนมองตามด้วยความสงสัย
ตอนสายวันต่อมา อรุณนั่งอยู่ในห้อง วงเดือนถือถาดยากับน้ำเข้ามา
“ได้เวลาทานยาแล้วค่ะ”
อรุณเดินมานั่งที่เตียง วงเดือนส่งยาให้
พฤกษ์เข้ามาชะงักที่เห็นอรุณอยู่กับวงเดือน พฤกษ์พูดขึ้นกิริยาเก้อเขิน
“พี่จะมาดูว่าแกดีขึ้นหรือยัง?”
ระหว่างนั้นเมฆาตามเข้ามาอีกคน เอ่ยถามวงเดือน “อาการอรุณเป็นยังไง?”
“ไข้ลดลงแล้วค่ะ”
อรุณเห็นสายตาเมฆากับพฤกษ์ที่มองวงเดือนด้วยสายตารักใคร่ และอาลัยอาวรณ์
อรุณไม่พอใจเห็นวงเดือนกำลังส่งยาให้
“ป้อนฉันหน่อยสิ นะเดือน”
วงเดือนลำบากใจแต่ก็ยอมป้อนให้เพื่อตัดปัญหา
เมฆากับพฤกษ์ยืนมองนิ่งๆ
อรุณกินยาและดื่มน้ำที่วงเดือนป้อนให้เสร็จ อรุณขยับเข้ามาหอมแก้มวงเดือนต่อหน้าต่อตาเมฆา และพฤกษ์ สองหนุ่มตาค้าง
วงเดือน“ตกใจ”
“ชื่นใจจัง”
พฤกษ์โกรธจัด “อรุณ แกควรจะให้เกียรติเดือน ไม่ใช่ทำน่าเกลียดต่อหน้าคนอื่นแบบนี้”
อรุณไม่สนยกมือโอบวงเดือนอย่างหวงแหน “เดือนเป็นของผม คนที่จะแต่งงานกันก็ต้องแสดงความรักต่อกันสิครับ”
วงเดือนโกรธแต่ทำได้แค่ยกถาดยารีบออกไป
เมฆาเป็นห่วง “เดือน...”
“ผมขอร้อง” อรุณเอ่ยขึ้น เมฆาหันกลับมาหา “พวกพี่อย่ามองเดือนด้วยสายตาแบบเมื่อกี้อีก เดือนเป็นคนรักของผม ของผม”
พฤกษ์มองอรุณอย่างเอือมระอา แล้วทำท่าเดินออกไป
“แกทำแบบนี้ ถึงจะรั้งตัวเดือนไว้ได้แต่ไม่มีทางได้หัวใจของเขา”
อรุณสวนทันทีอย่างเห็นแก่ตัว “ผมไม่สน! ขอแค่ให้เดือนยังอยู่ข้างผม..เท่านั้นพอ!”
อรุณมองตอบด้วยแววตาดื้อดึง เมฆาเดินออกไป รู้ว่าพูดไปก็เสียเวลาเปล่า
ตั้งแต่เช้าจดเย็น อนงค์อยู่ในภัตตาคาร กับเด็กพนักงานในร้านสองคน
จู่ๆ อนงค์ตบโต๊ะปัง! “นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย ไม่มีลูกค้าสักคน!”
พนักงานขยับเข้าหากันตัวลีบมองหน้ากัน
เด็กในร้านเอ่ยขึ้น “เถ้าแก่เนี๊ยคะ เดือนนี้พวกหนูยังไม่ได้เงินเดือนเลย”
อนงค์ตวาดแว้ด ตะเพิดส่ง “แกเห็นไหมว่าไม่มีลูกค้า แล้วจะมีเงินได้ยังไง ไปให้พ้นหน้าฉันเลยไป๊!”
อนงค์เครียดจัด เห็นโฉมไฉไลแต่งตัวลงมาจากชั้นบนจะเดินออกไป ก็หันไปถามอย่างหงุดหงิด
“ยัยโฉม! เมื่อไหร่แกรวบหัวรวบหางลูกชายบ้านแสนสมุทรได้สักที? แกรู้ไหมว่าฉันเหลือเงินอยู่แค่ไม่กี่ร้อยแล้ว ขืนยังช้าอยู่แบบนี้..ฉันจะเอารถแกไปขาย!”
โฉมไฉไลกรี๊ด ไม่ยอม “ไม่ได้นะหม่าม้า!”
“ก็รีบจัดการให้ไวๆ สิ”
โฉมไฉไลหงุดหงิด ขณะที่อนงค์คิดแผนชั่วบางอย่างขึ้นมาได้ นางผุดยิ้มร้ายออกมาในสีหน้า
ที่คลับเฟื่องนคร ราตรีนั้น
ในขณะที่บริกรเก็บแก้วเหล้าที่หมดแล้วเดินกลับไปเคาน์เตอร์ โดยมีพฤกษ์นั่งกึ่มกิริยามึนๆ อยู่เพียงลำพัง โฉมไฉไลเดินเข้ามามองสอดสายตามองหาใครบางคน เห็นพฤกษ์ก็ตรงเข้าไปหาทันที
“สวัสดีค่ะคุณพฤกษ์”
พฤกษ์หันมามอง “คุณโฉม มาได้ยังไงครับ”
“โฉมเหงาๆ น่ะค่ะ ก็เลยไปหาคุณพฤกษ์ที่ท่าเรือ คนที่นั่นก็เลยบอกว่าคุณพฤกษ์อยู่ที่นี่”
โฉมไฉไลดีดนิ้วให้บริกรเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ 2 แก้ว
“มาเที่ยวทั้งทีอย่าทำหน้าเครียดแบบนี้สิค้า”
บริกรนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ
จังหวะที่พฤกษ์มองไปทางอื่น โฉมไฉไลแอบเทยาปลุกเซ็กซ์ลงในแก้วเหล้าของพฤกษ์
โฉมไฉไลคน ๆ และส่งให้พฤกษ์ “ดื่มเป็นเพื่อนโฉมหน่อยนะคะ”
ทอดยิ้มหวานเยิ้มส่งให้
พฤกษ์อยู่ในอาการมึนๆ ประคองสติไม่อยู่ โฉมไฉไลประคองเขาเข้ามาอย่างทุลักทุเล แล้วดันพฤกษ์ลงบนพื้นที่นอนในเรือ
“ร้อน...” พฤกษ์มีอาการกระสับกระส่าย
“เดี๋ยวโฉมจะคลายร้อนให้นะคะ”
โฉมไฉไลปลดกระดุมเสื้อพฤกษ์ สายตาหมายมาดยวนยั่ว มือเรียวงามลูบไล้ปลุกเร้าไปตามแผ่นอกของพฤกษ์
พฤกษ์เหมือนไฟติดเชื้อแล้ว ชายหนุ่มขยับตัวมากอดโฉมไฉไลอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
โฉมไฉไลยิ้มอย่างพอใจปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ต้องการ
แสงตะเกียงในห้องลุกโชน
คืนเดียวกันหนูนาจุดตะเกียงในห้องเหนือฟ้า ขยับเข้ามาดูเหนือฟ้าที่นอนหลับอยู่ พร้อมกับเอามืออังที่หน้าผากเหนือฟ้า
“ตัวร้อน...”
หนูนาตกใจ หยิบผ้ามาชุบน้ำบิดพอหมาดๆ แล้วเช็ดให้เหนือฟ้า
เหนือฟ้าแอบลืมตามองหนูนายิ้มปลื้ม แต่พอหนูนาหันมาก็ทำเป็นหลับเหมือนเดิม
หนูนาเช็ดหน้าเช็ดคอเหนือฟ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เห็นเหนือฟ้ายิ้มทั้งที่หลับตา
“ละเมอหรือเปล่าเนี่ย? หลับก็ยังยิ้มได้”
หนูนาเช็ดต่อไป เหนือฟ้าแอบมองหนูนายิ่งยิ้มมากขึ้นไปอีก
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในลำเรือ พร้อมๆ เสียงสะอึกสะอื้นดังรดมทำให้พฤกษ์ที่นอนหลับในสภาพเปลือยอกรู้สึกตัวขึ้น พฤกษ์ลืมตาหาที่มาของเสียง
ชายหนุ่มเห็นโฉมไฉไลนั่งเปลือยหลัง ดึงผ้าหุ่มห่อคลุมปิดด้านหน้า ก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น
พฤกษ์รีบลุกขึ้นมอง ปรับโฟกัสสายตา และตั้งสติ จากนั้นจึงมองสภาพตัวเอง สลับกับมองสภาพโฉมไฉไล ด้วยอาการงงงวย
“คุณโฉม! นี่ผม...”
“คุณ..ข่มเหงโฉม!”
โฉมไฉไลยิ่งร้องไห้หนักขึ้น
พฤกษ์หน้าเสีย ขยับเข้าไปใกล้ๆ “คุณโฉม..ผมขอโทษ..
โฉมไฉไลร้องไห้สะอึกสะอื้น “โฉมทำให้วงศ์ตระกูลต้องเสื่อมเสีย ถ้าคุณแม่รู้ว่าโฉมแปดเปื้อน
..ท่านต้องเสียใจจนแทบฆ่าตัวตายแน่ๆ” ปล่อยโฮ “โฉมจะทำยังไงดีคะ คุณพฤกษ์..จะทำยังไงดี”
โฉมโผเข้ากอดพฤกษ์ราวกับซาบซึ้งใจเต็มประดา ในขณะที่พฤกษ์กอดโฉมสีหน้าเครียดจัด
พฤกษ์เข้ามาส่งโฉมไฉไลที่หน้าร้าน อนงค์ออกมาจากร้านเห็นก็เปิดฉากฉะทันที
“ยัยโฉม! แกหายไปไหนมาทั้งคืน?”
อนงค์มองจ้องหน้าพฤกษ์ “นี่แกอย่าบอกนะว่าแกกับผู้ชายคนนี้...”
โฉมไฉไลปล่อยโฮทรุดลงไปกอดขาแม่ทันที “หม่าม้าคะ โฉมขอโทษ โฉมผิดไปแล้ว!”
อนงค์โกรธ กิริยาเกรี้ยวกราดสมจริงมาก “ยัยโฉม! ทำไมแกทำแบบนี้ นังลูกเลว! ฉันจะฆ่าแก!”
ตีตามตัวโฉมไฉไลไม่ยั้ง
พฤกษ์ทนไม่ได้ที่เห็นอนงค์ตีโฉมไฉไลไม่ยั้ง พฤกข์เข้าไปขวาง
อนงค์ฟาดมือเข้าที่หน้าพฤกษ์อย่างจัง ดังเผียะ!
“ถอยไป! ฉันจะสั่งสอนลูกฉัน”
พฤกษ์รีบบอก “เรื่องนี้ผมเป็นคนผิด ผมจะรับผิดชอบเองครับ”
อนงค์ยังทำเป็นโกรธอยู่ “คุณจะทำยังไง? คุณจะเอาอะไรมาทดแทนสิ่งที่ลูกสาวฉันเสียไป?”
พฤกษ์ตัดสินใจชั่ววูบ “ผมจะแต่งงานกับคุณโฉม!”
โฉมไฉไลแสร้งตกใจ “คุณพฤกษ์ คุณไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้”
พฤกษ์ยืนกราน “ผมต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำ แต่งงานกับผมเถอะนะครับ!”
โฉมไฉไลทำหน้าซาบซึ้งใจมาก โผเข้ามากอดพฤกษ์
อนงค์กับโฉมไฉไลแอบยิ้มให้กันอย่างพอใจสุดๆ
คืนนั้น อนงค์หัวเราะร่วน ตอนนั้นนางอยู่ในห้องนอน ที่ชั้นบนของภัตตาคารกับลูกสาว
“ไม่คิดว่าจะง่ายอย่างนี้! ดี! ฉันจะรีดสินสอดก้อนโตมาใช้หนี้ซะให้เข็ด”
“เรียกไปเยอะๆ นะคะ ถือซะว่ามันจ่ายค่าโง่!” โฉมไฉไลหัวเราะคิกคัก ทำท่าลุกจะไป
“แกจะไปไหนอีก?”
“ข่าวดีๆ แบบนี้ เมฆาควรจะรับรู้ไม่ใช่หรือคะ?”
“แล้วอย่าทำให้เสียแผนล่ะ” อนงค์ย้ำ
โฉมไฉไลยิ้มอย่างมาดมั่นแล้วเดินนวยนาดออกไป
ภายในคลินิกตอนนั้น ไม่มีคนไข้สักคน วงเดือนกำลังปักตัวอักษร P เล็ก ๆ ที่อกเสื้อไหมพรหม
โฉมไฉไลก้าวเข้ามาเห็นเสื้อถักในมือวงเดือน ก็ไม่พอใจกระชากเสื้อถักจากมือวงเดือน
“ถักเสื้อ เอาใจผู้ชายงั้นเหรอ? ดัดจริต!” โฉมไฉไลจะกระชากเสื้อมาทำลาย
วงเดือนเข้าคว้ามือโฉมไฉไลยึดไว้ไม่ยอม
“อย่านะ”
โฉมไฉไลกับวงเดือนยื้อยุดไปมา ต่างคนต่างไม่ยอม โฉมไฉไลตบวงเดือน ผัวะ! จนวงเดือนเซถลา
โฉมไฉไลกระชากปลายเสื้อจนลุ่ย วงเดือนโกรธจัดตบหน้าโฉมไฉไลสุดแรงเกิดดัง ผัวะ!
โฉมไฉไลหน้าหันเซ วงเดือนรีบดึงเสื้อถักออกมาทันที
“นังวงเดือน!”
โฉมไฉไลจะพุ่งเข้าไปตบ
เสียงศรีเรือนตวาดก้อง “หยุดนะ”
โฉมไฉไลชะงัก วงเดือนหันมองตามเสียงอย่างตกใจ
“คุณท่าน!”
โฉมไฉไลหันมาเจอศรีเรือนก็อึ้ง ศรีเรือนมองจ้องจำได้
“หล่อน...โฉมไฉไล คนรักเมฆาใช่ไหม? ไม่ใช่สินะ” เน้นคำ “อดีตคนรัก”
โฉมไฉไลหน้าตึง
“ฉันเพิ่งเคยเห็นผู้หญิงหยำฉ่าชัด ๆ ก็วันนี้” ศรีเรือนด่า
โฉมไฉไลโกรธจนตัวสั่น “คุณ!...”
ศรีเรือนสวนออกมาทันควัน “ฉันพูดไม่ผิดใช่ไหม ผู้หญิงไม่มีความรู้ ไม่มีอนาคต เที่ยวไปนอนกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้า คำว่า “หยำฉ่า” อาจจะให้เกียรติเกินไปด้วยซ้ำ”
โฉมไฉไลแทบคลั่ง “คุณย่า!”
ศรีเรือนสวนทันควัน “อย่าเรียกฉันแบบนั้น! เพราะฉันไม่ลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับของเหม็นเน่า!”
โฉมไฉไลโกรธจัด “มากไปแล้วนะ”
“เมฆาอาจจะไม่รู้เช่นเห็นชาติว่าเธอมันเหลวแหลกแค่ไหน แต่ฉันรู้!จำไว้นะ...ผู้หญิงที่จะมาเป็นสะใภ้ของแสนสมุทร ถึงไม่มีเกียรติยศ แต่ต้องมีศักดิ์ศรี!”
โฉมไฉไลพูดโต้อย่างถือดี “สักวัน..คุณจะต้องต้อนรับฉันในฐานะหลานสะใภ้!”
ศรีเรือนพูดชัดเจนเสียงแข็ง “ตราบใดที่ฉันยังอยู่ บ้านแสนสมุทรจะต้องไม่มีกาฝากอย่างหล่อน!”
โฉมไฉไลกำมือแน่น ไม่กล้าตอบโต้ต่อกร เหลือบมองศรีเรือนกับวงเดือนอย่างแค้นใจแล้วสะบัดหน้าเดินออกไป
ศรีเรือนหยิบเสื้อจากพื้นขึ้นมาเห็นตัวอักษร “ P ” เด่นหรา
ศรีเรือนส่งให้วงเดือน วงเดือนกอดเสื้อถักแน่น
“เธอจะแต่งงานกับอรุณ ทั้งที่ยังลืมผู้ชายอีกคนไม่ได้น่ะเหรอ?” หญิงชราเปรยขึ้นมา
วงเดือนน้ำตาร่วง “ชีวิตเดือนเป็นของแสนสมุทร แต่หัวใจเป็นของเดือน เดือนขอแค่ให้หัวใจยังเป็นของเดือนได้ไหมคะ?”
ศรีเรือนอึ้ง
ชอุ่มหอบข้าวของเข้ามา เห็นวงเดือนร้องไห้ก็ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณท่าน?”
ศรีเรือนไม่ตอบเดินออกไป ชอุ่มมองวงเดือนงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะลนลานตามศรีเรือนออกไป
วงเดือนกอดเสื้อถักไหมพรหมน้ำตาคลอดูร่องรอยที่เสียหาย
ศรีเรือนยื่นกระดาษจดที่อยู่ให้ชอุ่ม ทั้งสองคนอยู่ที่ตลาด ไม่ไกลจากคลินิกหมอเมฆานัก หญิงชรากำชับ
“เอาของทั้งหมดส่งไปรษณีย์ไปที่เชียงรายตามที่อยู่นี่”
“น้ำพริกกุ้งเสียบกับพวกของทะเลแห้งนี่ส่งไปเชียงราย? ส่งไปให้ใครคะ” ชอุ่มสงสัย
ศรีเรือนมองด้วยสายตาคมกริบ
ชอุ่มจ๋อย “ค่ะๆ” แล้วรีบหอบข้าวของออกไป
ศรีเรือนเครียด เดินใช้ความคิดเรื่องวงเดือน แต่สายตาไปสะดุดที่ร้านเฟอร์นิเจอร์ไม้ฝั่งตรงข้าม
ศรีเรือนเห็นเก้าอี้ไม้เล็กๆ สำหรับวางเท้าวางขายอยู่ ศรีเรือนมองเหมือนโดนมนต์สะกด
กลางวัน วันนั้น สองคนอยู่ในห้องศรีเรือน ภูผาเอาเก้าอี้เล็กๆ สำหรับวางเท้ามาวางตรงเท้าย่า หญิงชรามองฉงน
ภูผายิ้ม แล้วหยิบเบาะผ้าเล็กๆ มาวางบนเก้าอี้ก่อนจะยกเท้าศรีเรือนมาวางบนเก้าอี้
“วางเท้าแบบนี้คุณย่าจะได้นั่งสบายขึ้นไงครับ ผมทำเองกับมือเลยนะครับคุณย่า รับรองแข็งแรง”
ศรีเรือนยิ้มเยื้อนกิริยาปลื้ม “แล้วเบาะเล็กๆ นี่เราก็เย็บด้วยงั้นเหรอ”
“เดือนเป็นคนเย็บให้ครับ”
ศรีเรือนหน้าตึงทันที จะชักเท้าลงแต่ภูผาจับไว้เป็นเชิงห้าม
“ผู้ชายอย่างผมเย็บผ้าไม่เป็น เดือนก็เลยอาสาเย็บให้” ศรีเรือนเริ่มอ่อนลง “ผมอยากให้คุณย่านั่งสบาย ๆ อย่าโกรธผมกับเดือนเลยนะครับ”
ศรีเรือนใจอ่อน “ขอบใจนะ เรานี่น่ารักกับย่าเสมอ น่าจะทำกับพ่อเราด้วยนะ จะได้ไม่ต้องเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอย่างนี้”
ภูผาเอาศีษะพิงขาศรีเรือนอ้อนนิดๆ “คุณย่าครับ ต่อให้ผมเกเรแค่ไหน ผมก็รู้ว่า..ชีวิตผมเป็นของแสนสมุทร แต่หัวใจเป็นของผม” ชายหนุ่มช้อนตามองย่า “ผมขอใช้หัวใจตัดสินเองได้ไหมครับว่าผมอยากจะมีชีวิตแบบไหน”
ศรีเรือนเดินตามถนนในตลาดใกล้คลินิก คำพูดของภูผากับวงเดือนดังทับซ้อนไปมาแต่ใจความถ้อยคำของทั้งสอง หลอมรวมเป็นประโยคเดียวกัน
“ชีวิตผมเป็นของแสนสมุทร”
“ชีวิตเดือนเป็นของแสนสมุทร”
“แต่หัวใจเป็นของผม”
“แต่หัวใจเป็นของเดือน”
“ผมขอใช้หัวใจตัดสินเองได้ไหมครับว่าผมอยากจะมีชีวิตแบบไหน”
“เดือนขอแค่ให้หัวใจยังเป็นของเดือนได้ไหมคะ”
ศรีเรือนน้ำตาคลอ หญิงชราตระหนักรู้แล้วว่าตัวเองควรทำอะไรต่อไป
โฉมไฉไลนั่งอยู่ในรถที่จอดอยู่ใกล้ๆ คลินิกของเมฆา กรี๊ด ๆๆ ๆ ๆ ทุบพวงมาลัยอย่างบ้าคลั่ง แค้นเคือง
“อีแก่ศรีเรือน! ฉันจะต้องเป็นสะใภ้บ้านแสนสมุทรให้ได้ คอยดู”
โฉมไฉไลออกรถทะยานออกไปด้วยความเร็วสูง
ขณะเดียวกันชอุ่มส่งของเสร็จ วิ่งกลับมาตรงจุดที่แยกกับศรีเรือน ชอุ่มมองหา แต่ไม่เจอ
“อ้าว..คุณท่านไปไหนล่ะเนี่ย?!”
โฉมไฉไลขับรถเข้ามาในซอยอย่างหัวเสีย เหยียบมิดไมล์พุ่งทะยานมาด้วยความเร็วสูงต่อเนื่อง
จังหวะนั้นศรีเรือนกำลังจะก้าวเท้าเดินลงถนนในซอย ซึ่งเป็นซอยค่อนข้างเงียบ ไม่มีผู้คนสัญจร ประตูบ้านแถวนั้นก็ปิดเงียบทุกหลัง
โฉมไฉไลหักเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอย่างเร็ว เจอเข้ากับศรีเรือนที่อยู่ในระยะกระชั้นชิด
โฉมไฉไลตกใจร้องกรีดร้องขึ้นสุดเสียง “อ๊ายยย”
โฉมไฉไลหักขวาสุดชีวิตแต่ก็หลบไม่พ้น เฉี่ยวชนศรีเรือนอย่างแรง ร่างของศรีเรือนล้มลงตามแรงชนศรีษะของหญิงชรากระแทกกับขอบถนน แน่นิ่งไป โฉมไฉไลช็อก
“อีแก่”
โฉมไฉไลกลัวความผิด หันมองซ้ายมองขวากลัวคนมาเห็น ก่อนรีบขับรถหนีไปทันที
ปล่อยร่างศรีเรือนให้นอนแน่นิ่งอยู่ โดยที่ศีรษะมีเลือดไหลซึมออกมาอย่างนั้น!
ชิงนาง ตอนที่ 5 (ต่อ)
จู่ๆ ประตูปิดเสียงดังปัง! ขณะที่ภูผาซึ่งนั่งทานข้าวอยู่กับเหนือฟ้าสะดุ้ง
เหนือฟ้าฉงน “ลมก็ไม่มีนี่”
ภูผาลุกเดินไปที่ประตู เปิดออกเหมือนเดิม ภูผานิ่งคิดรู้สึกใจคอไม่ดี
“มีอะไรหรือเปล่า คุณผา” เหนือฟ้าถาม
“ไม่มีอะไรครับ ทานข้าวเถอะ”
สีหน้าภูผาแม้จะยิ้มแต่ในใจรู้สึกกังวล สังหรณ์ใจอย่างประหลาด
เย็นนั้นพอกลับมาถึงภัตราคารโฉมไฉไลก็นั่งไม่ติดที่ เอาแต่เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายจนอนงค์สงสัย
“ยัยโฉม แกเป็นอะไรของแกมีเรื่องอะไร”
“ไม่มี” โฉมไฉไลอัดอั้นอยากระบายออกมาแต่ไม่กล้าเล่า “โฉม..โฉม...”
“อะไร..แกเป็นอะไร” อนงค์คาดคั้น
แต่แล้วโฉมไฉไลก็โพล่งขึ้น “หม่าม๊า..โฉมขับรถชนย่าของคุณพฤกษ์น่ะสิ”
อนงค์ตกใจแทบช็อก “ยัยโฉม แล้วนี่ย่าเขาตายหรือเปล่า”
“โฉมหนีมาก่อน”
“แล้วมีใครเห็นไหม พ่อพฤกษ์เขารู้หรือเปล่า”
โฉมไฉไลถูกซักจนชักหงุดหงิด “ก็โฉมไม่รู้ไงม๊า!”
“ถ้าไม่มีใครเห็นก็ดีไป แล้วย่าเขาเห็นไหมว่าแกชน ถ้าเขารู้ แกก็ไม่ได้แต่งงาน เราก็ไม่ได้เงิน ตายๆ ๆ” อนงค์ไม่สนใจลูกสาวสักนิด
“โอ้ย หม่าม๊า! โฉมยิ่งกลุ้มๆ อยู่ หม่าม๊าจะตีโพยตีพายทำไมเนี่ย”
“แกก็รีบๆ บีบให้มันแต่งงานกับแกซะ ก่อนที่แกจะเสียตัวฟรี ลูกโง่!”
อนงค์ตวาด โฉมไฉไลเครียด
ภูผาตัดสินใจแวะมาที่ตลาดในเมือง และเดินเข้ามาที่ร้านค้า ส่งเบอร์โทรศัพท์ให้
“โทรทางไกล” ภูผาบอก
เจ้าของร้านบอกหน้าเจื่อนๆ “ตอนนี้โทรศัพท์ใช้การไม่ได้ค่ะคุณ วันก่อนมันมีพายุลูกเห็บที่ตีนดอย
สายโทรศัพท์ล่มทั้งหมดเลย เขาว่ากว่าจะซ่อมเสร็จอีกวันสองวันน่ะจ๊ะ”
ภูผาผิดหวัง
คืนนั้นภูผาอยู่ที่บ้านพักแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระดาษออกมาวาง แล้วหยิบปากกามาเขียนจดหมาย
เวลาเดียวกันเมฆายืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล ชอุ่มนั่งร้องไห้ไม่หยุด อนุตกับศรีดารา เดินเข้ามา
“เมฆา คุณย่าเป็นยังไงบ้าง” อนุตถามอย่างร้อนใจ
“คุณย่าพ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่..
“แต่อะไร เมฆา คุณย่าเป็นอะไร” ศรีดาราซักทันที
“คุณย่าเส้นเลือดในสมองบางส่วนแตก ท่าน...”
อนุตช็อกแทบล้อมทั้งยืนรู้ทันที “อัมพาตเหรอ...”
“ด้านขวาทั้งหมดครับ” เมฆาบอก
ทุกคนอึ้ง สีหน้าเมฆาลำบากใจมาก
ตอนบ่ายๆ ร่างของศรีเรือนกำลังถูกอนุตกับเมฆาประคองให้นอนลงบนเตียง ศรีดารา พฤกษ์ วงเดือน อรุณ และชอุ่มต่างมองอย่างห่วงใย
“ตั้งแต่นี้ไปเดือนจะเป็นคนดูแลคุณย่า ชอุ่มคอยช่วยเดือนด้วยนะ” เมฆาเอ่ยขึ้น
อรุณเข้าไปนั่งข้างๆ ศรีเรือน “คุณย่าครับ..คุณย่าต้องหายนะครับ”
ศรีเรือนขยับมือซ้ายจะจับมืออรุณ พฤกษ์เข้ามาจับมือศรีเรือนวางบนมืออรุณ
“คุณย่า...”
เมฆาหันมาพูดกับอนุต ศรีดารา และวงเดือน
“ท่านมีโรคความดันอยู่แล้ว ต้องดูแลใกล้ชิด อาจารย์หมอบอกว่าเส้นเลือดคุณย่าเปราะบางมาก ถ้าเกิดความเครียดจะเป็นอันตรายมาก”
วงเดือนรับคำอย่างยินดี “ค่ะ...เดือนจะดูแลท่านอย่างใกล้ชิด”
ทุกคนหันมองศรีเรือนด้วยความเป็นห่วง
เวลาเดียวกันภูผาเดินเข้ามาหยุดยืนมองไร่ชาที่กว้างใหญ่ หนูนาเข้ามาพร้อมกับยื่นแก้วชาให้
“อีกสามเดือนถึงจะเก็บใบชาหัวปีได้ มายืนจ้องมันทุกวันก็ไม่ได้ช่วยให้มันแตกยอดเร็วขึ้นหรอก”
ภูผามองคนงานที่แบกถังน้ำรดต้นชาอย่างยากลำบาก จึงเดินลงไปหยิบดินขึ้นมาบี้ดู
“ดินมันแห้งเกินไป นายสว่างบอกว่าท้ายไร่มีน้ำตกใช่ไหม”
หนูนาสงสัย “มี..ทำไมเหรอ”
“พาฉันไปดูหน่อย”
หนูนามองอย่างสนอกสนใจอยากรู้ว่าภูผาคิดจะทำอะไร
เวลาต่อมาหนูนาเดินนำภูผาเข้ามาที่บริเวณน้ำตกใหญ่ ซึ่งไหลแรงและเชี่ยว
“น้ำตกสายนี้ยาวแค่ไหน” ภูผาเอ่ยถามขึ้น
“ก็ยาวลงไปถึงตีนดอยเลยล่ะ เป็นน้ำสายหลักของชาวบ้านดอยนี้ทั้งหมด คุณมาที่นี่จะดูอะไรเหรอ
ภูผามองน้ำตกแล้วนิ่งคิด “ฉันจะต่อน้ำจากน้ำตกเข้าไปที่ไร่ เราจะได้มีน้ำใช้ในการทำไร่สะดวกขึ้น”
หนูนาฉงน “ทำได้เหรอคุณ”
“เพื่อความอยู่รอดของต้นชา ยังไงก็ต้องทำให้ได้”
ภูผาก้าวไปบนหินเล็งมองทาง หนูนาจะตาม ภูผายื่นมือมาให้จับ หนูนาชะงักนิดนึงแล้ววางมือบนมือภูผาอย่างเขินๆ หนูนาก้าวไปยืนบนหินก้อนเดียวกับภูผา
ภูผามองเล็ง หนูนาพยายามจะเขย่งมองตาม
“มองอะไรน่ะคุณ”
“เส้นทางลำเลียงน้ำ”
หนูนาพยายามทั้งก้มทั้งเขย่งพยายามจะเล็งตามว่ามันเป็นแบบไหน ยุกยิกอยู่ด้านหลังภูผา
ภูผารำคาญหันมา “อยู่เฉยๆ ได้ไหม”
จังหวะที่ภูผาหันมาเป็นจังหวะที่หนูนาเขย่งเท้า ทำให้หน้าทั้งคู่อยู่ในระยะใกล้กันมาก หนูนาตกใจผงะถอยๆ ๆ จนพลาดท่าหงายหลังตกลงน้ำ
“เหวออออ!”
ร่างหนูนาหล่นลงไปในน้ำดังตูม สายน้ำที่ค่อนข้างเชี่ยวพาร่างหนูนาไหลไปตามสายน้ำ ภูผาตกใจ
“หนูน้อย”
ภูผาจะกระโดดตามลงไป แต่มีเสียงตูม! ดังขึ้นก่อน ภูผาหันไปมองเห็นเหนือฟ้ากระโดดลงไปในน้ำทิศทางที่ร่างหนูนากำลังไหลไป เหนือฟ้าว่ายเข้าไปล็อกร่างหนูนา พยายามจะพาร่างหนูนาเข้าฝั่ง แต่เหนือฟ้าว่ายไม่ถนัดทานแรงน้ำไม่ไหว ร่างเหนือฟ้ากับหนูนาลอยไปตามความแรงของน้ำด้วยกัน
ภูผารีบวิ่งเลียบน้ำตกไปด้วยความเร็ว สายตาภูผาเห็นหินอยู่ข้างหน้า และร่างหนูนากำลังจะกระแทกหิน แต่แล้วเหนือฟ้ากลับพลิกตัวเข้าไปบังร่างหนูนาไว้ ร่างเหนือฟ้าจึงกระแทกกับหินโดยมีหนูนาอยู่ในอ้อมกอด โขดหินนั้นช่วยกันร่างของเหนือฟ้ากับหนูนาไม่ให้ลอยตามน้ำไป
ภูผามาถึงจุดที่ใกล้จะโดดลงไป
เสียงสว่างดังขัดขึ้น “คุณผา”
ภูผาหันไป สว่างเข้ามาพร้อมเชือก ภูผารับเชือกแล้วมัดไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง เอาเชือกมัดตัวแล้วกระโดดลงไปในน้ำ ช่วยดึงร่างเหนือฟ้ากับหนูนาเข้าฝั่งจนสำเร็จ
ร่างหนูนาเปียกปอนล้มตัวลงบนฝั่ง
สว่างเอ่ยขึ้น “ขอบคุณนะพ่อเลี้ยงที่ช่วยหนูนามัน”
“ไม่เป็นไร..ผม...”
เหนือฟ้ายังพูดไม่ทันจบ ก็ล้มลงหมดสติด้วยความเหนื่อยอ่อน
หนูนาตะลึง “เหนือฟ้า..เหนือฟ้า”
สว่างกับภูผาช่วยกันประคองร่างเหนือฟ้าเดินไปอย่างเร็วรี่
ร่างเหนือฟ้าบนเตียงนอนหลับสนิทที่เรือนภูผา
ระหว่างนั้นภูผากับหนูนาเข้ามา สว่างตามติด รายงานอาการ
“พ่อเลี้ยงกระแทกหินอย่างแรงน่ะครับ ก็มีแผลช้ำ แล้วก็อาการเคล็ดขัดยอก ไม่มีกระดูกตรงไหนหัก แต่เริ่มมีไข้ตัวรุมๆ แล้วนะครับ”
“ก็ต้องคอยเฝ้านะ คืนนี้ไข้ต้องขึ้นแน่ แล้วจะให้ใครมาดูแล เพราะหนูนาคงไม่อยาก...” ภูผาพูดไม่ทันจบ
หนูนาพูดแทรกขึ้นมา “ฉันจะดูแลเอง”
ภูผากับสว่างหันไปมอง เหมือนไม่เชื่อหู
“ฉันมีสามัญสำนึกน่ะ บุญคุณต้องทดแทนน่ะ” หนูหนาบอก
ภูผายิ้มกับสว่าง
“งั้นนายสว่างไปคุยกับฉันหน่อยสิ ฉันจะปรึกษาเรื่องทำทางน้ำเข้าไร่หน่อย”
“ได้ครับ” กำชับหนูนา “ดูแลผู้มีพระคุณให้ดีๆ ล่ะ”
หนูนาหันมาหน้าหงิกใส่ สว่างเดินหัวเราะออกไป ภูผาตาม
หนูนาหันมามองเหนือฟ้าที่หลับอยู่ สีหน้าเป็นมิตรมากขึ้น
หลายวันผ่านไป
เช้านั้นศรีเรือนกึ่งนั่งกึ่งนอน อยู่บนเตียง มองวงเดือนที่ใช้ผ้าชุบน้ำบิดแล้วเช็ดตัวให้ศรีเรือนอย่างเอาใจใส่วงเดือนเงยหน้ามองสบตากับศรีเรือน วงเดือนยิ้มปลอบโยน วันทั้งวันหญิงสาวง่วนอยู่แต่การดูแลศรีเรือนอย่างยินดี
ตกตอนกลางวัน วงเดือนป้อนอาหารให้ศรีเรือน ช่วยยกแขนศรีเรือนออกกำลัง ทำกายภาพบำบัด วงเดือนอ่านหนังสือให้ศรีเรือนฟัง พอหญิงชราหลับ วงเดือนออกไปเก็บดอกไม้เข้ามาจัดในห้อง วงเดือนนวดขาให้ศรีเรือนอย่างเอาใจใส่
สายตาศรีเรือนที่มองวงเดือนอ่อนโยนมากขึ้นทุกที
วงเดือนนวดมือซ้ายให้ศรีเรือน ตั้งใจทำอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย อีกจังหวะยกแขนศรีเรือนขึ้น ลงบริหารเบาๆ ศรีเรือนขืนมือไม่ยอมเอาลง วงเดือนแปลกใจ
วงเดือนขยับเข้ามาใกล้คุกเข่าลงถาม “เป็นอะไรคะคุณท่าน”
ศรีเรือนค่อยๆ ลดมือลง ฝืนจนเอามือวางบนศีรษะของวงเดือน
วงเดือนนิ่งอึ้ง
ศรีเรือนกดมือลงบนศีรษะวงเดือน ขยับเล็กน้อย พยายามลูบศีรษะของวงเดือน)
วงเดือนมองตาค้างตะลึงกับการกระทำของศรีเรือน
ศรีเรือนพยายามยิ้มทั้งที่ใบหน้าบิดเบี้ยวเต็มที
“เขาะ..จะ...” หญิงชราต้องการบอกว่า...ขอบใจ
วงเดือนน้ำตาคลอไหว้ศรีเรือนอย่างดีใจ
“ยะ..ระ” ศรีเรือนบอกว่าอย่าร้อง
วงเดือน ชะงัก ยังไม่เข้าใจความหมาย มองศรีเรือนที่พยายามสื่อสาร “คะ”
“ยะ..ระ..หะ” หญิงชราพยายามบอกว่า...อย่าร้องไห้
วงเดือนเริ่มเข้าใจทวนคำ “อย่า..ร้อง.ไห้เหรอคะ”
ศรีเรือนพยักหน้านิด ๆ อย่างยากลำบาก
วงเดือนรีบเช็ดน้ำตา “ค่ะ...เดือนจะไม่ร้อง”
วงเดือนขยับมานวดต่อ สีหน้ายิ่งกระตือรือร้น ดีใจ ศรีเรือนปล่อยให้วงเดือนนวดต่ออย่างเต็มใจ
พอตกกลางคืน ศรีเรือนหลับไปแล้ว วงเดือนดึงผ้าขึ้นมาคลุมให้ วงเดือนยิ้มจะออกไปแต่เห็นภาพของภูผาที่ถ่ายคู่กับศรีเรือนที่วางอยู่ หญิงสาวหยิบรูปภูผาขึ้นมาดูด้วยความคิดถึง และอดร้องไห้ออกมาไม่ได้
ศรีเรือนได้ยินเสียงสะอื้นนั้น หญิงชราลืมตาเหลียวไปดูวงเดือนด้วยความสงสาร
คืนเดียวกันนั้น พอพฤกษ์เดินเข้ามาในเรือ ต้องชะงัก
“โฉม...”
“โฉมขอโทษนะคะที่มากวนคุณ แต่แม่ของโฉมร้อนใจเรื่องของเรา”
พฤกษ์หน้าเสีย
“ตอนนี้คงยังไม่เหมาะ เพราะคุณย่าของผมประสบอุบัติเหตุ”
โฉมไฉไลแสร้งทำเป็นตกใจ “แล้วท่านเป็นยังไงบ้างคะ ร้ายแรงมากหรือเปล่า”
“ท่านต้องเป็นอัมพาตเพราะได้รับการกระทบกระเทือน”
“ถ้างั้นโฉมควรจะต้องเข้าไปดูแลท่านด้วยจะดีไหมคะ” โฉมไฉไลรีบอาสา
“ดูแล...” พฤกษ์ประหลาดใจ
“ถ้าโฉมแต่งงานกับคุณก็ต้องเป็นสะใภ้ของบ้านแสนสมุทร โฉมก็ควรจะไปแนะนำตัวกับผู้ใหญ่ และได้ทำความรู้จักปรนนิบัติท่านบ้าง ดีไหมคะ”
พฤกษ์งงๆ “ก็คงจะดี”
“ถ้างั้น พรุ่งนี้คุณพฤกษ์พาโฉมเข้าไปที่บ้านนะคะ...” พอเห็นหน้าพฤกษ์อึกอัก ก็รีบอ้อน “นะคะ”
พฤกษ์อึดอัดจำยอมรับปาก “ครับ...”
โฉมไฉไลโผเข้ากอดพฤกษ์กิริยาออดอ้อน สีหน้าโฉมไฉไลเวลานี้ยิ้มพอใจ
เช้าวันต่อมา ศรีเรือนนั่งอยู่บนเตียง ชอุ่มย่องเข้ามาที่ข้างเตียงศรีเรือน
“คุณท่านคะ”
ศรีเรือนมองว่ามีอะไร ชอุ่มยื่นจดหมายส่งให้
“จดหมายจากเชียงรายค่ะ พอไปรษณีย์มาส่งชอุ่มก็รีบเอามาให้คุณท่าน ไม่มีใครเห็นเลยค่ะ”
ศรีเรือนรับจดหมายมาดู ยิ้มนิดๆ พูดอย่างลำบาก “กะ..” หมายถึงให้ชอุ่มแกะเปิดจดหมาย
ชอุ่ม “คะ?” มองจดหมาย “ให้แกะใช่ไหมคะ”
ศรีเรือนพยายามพยักหน้าได้แค่นิดหน่อยพอให้เข้าใจได้
ชอุ่มแกะจดหมายให้ศรีเรือน ชอุ่มเอาจดหมายใส่มือศรีเรือนแล้วจับแขนซ้ายของศรีเรือนให้อยู่ในท่าที่อ่านจดหมายได้ถนัด
“คุณย่า...ผมคิดถึงคุณย่ามาก หวังว่าคุณย่าจะสบายดี คุณย่ารักษาสุขภาพด้วยนะครับ ผมเป็นห่วง”
ศรีเรือนยิ้มแล้วอ่านต่อไป
ภูผายืนอยู่กลางไร่ที่ถูกขุดเป็นท้องร่องสำหรับรับน้ำเข้ามาในไร่ชา ภูผาหันไปหาสว่าง
“เปิดน้ำเข้ามา!”
สว่างกับคนงานช่วยกันดึงถุงทรายออกจากช่องที่เตรียมไว้เห็นน้ำไหลบ่าเข้ามาในท้องร่อง ดอยกระโดดโลดเต้นดีใจ คนงาน หนูนา และสว่างพากันตบมือด้วยความดีใจ
ศรีเรือนยิ้มอย่างยินดีเช่นกัน เพราะภูผาเล่าเรื่องนี้มาในจดหมาย
“ตอนนี้ผมพยายามพัฒนาให้ไร่วงเดือนทำการสร้างผลผลิตที่ดีที่สุด เป็นชาที่มีคุณภาพ ทำทุกอย่างให้ดี ให้สมกับที่ย่าใด้โอกาสผม ผมทิ้งทุกอย่างที่แสนสมุทรอย่างไม่คิดเสียดาย ผมเคยคิดว่าผมจะลืมเดือน แต่เมื่อเวลาผ่านมา ผมก็ได้รู้ว่าผมรักเดือนมากจนไม่อาจจะสูญเสียเดือนไปได้ ย่าครับผมอยากขอร้อง ถ้าเดือนรักผมอย่างที่ผมรักเขา ย่าช่วยส่งเดือนมาหาผมได้ไหมครับ ให้หัวใจของเราสองคนได้ร่วมทางกัน ไร่วงเดือนขาดหัวใจไม่ได้ครับย่า มันเป็นคำขอที่ผมไม่กล้าคิดว่าย่าจะยอมให้ผมได้หรือไม่ ผมสัญญาว่าจะขอสิ่งนี้เป็นสิ่งสุดท้ายจากย่า รักย่าเสมอ ภูผา”
จังหวะนั้นศรีเรือนน้ำตาร่วง ชอุ่มเห็นตกใจ
“คุณท่านเป็นอะไรคะ”
ศรีเรือนขยับมือเหมือนจะส่งให้ชอุ่ม ชอุ่มมองเข้าใจว่าให้รับมา
“คุณท่านจะให้ชอุ่มเก็บไว้ที่ไหนคะ”
ศรีเรือนมองชอุ่มแล้วมองซองที่วางอยู่ข้างตัว “ซะ..”
ชอุ่มงง “ซะ...” แล้วมองที่ซองจดหมาย “ให้ใส่ซองใช่ไหมคะ”
ศรีเรือนพยักหน้า ชอุ่มรีบเก็บจดหมายใส่ซอง
“เดี๋ยวชอุ่มเอาไปเก็บไว้ในตู้ดีไหมคะ”
ศรีเรือนเสียงดังจะบอกว่าไม่ แต่ออกมาเป็น “มะ!”
ชอุ่มชะงัก ศรีเรือนขยับมือกำๆ แบๆ เหมือนให้วางบนมือ
ชอุ่มมองอย่างพยายามทำความเข้าใจ แล้ววางซองบนมือศรีเรือน “แบบนี้ใช่ไหมคะ”
ชอุ่มส่งจดหมายให้ศรีเรือน
“ปะ” ศรีเรือนบอก
ชอุ่มทวนคำงงๆ “ปะ...”
ชอุ่มมองตามสายตาศรีเรือนที่มองไปยังประตู
“อ้อ..ค่ะ ออกไปค่ะ” ชอุ่มรีบออกไปตามคำสั่ง
ศรีเรือนมองจดหมายแล้วตัดสินใจ พยายามสอดจดหมายไว้ใต้หมอน ศรีเรือนเอนตัวลงถอนใจอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่สายตามุ่งมั่นมาก หญิงชราพูดบอกตัวเองในใจ ส่งไปถึงภูผา
“ย่าจะส่งหัวใจไปให้แกนะภูผา...”
ชิงนาง ตอนที่ 5 (ต่อ)
ที่ห้องรับแขกบ้านแสนสมุทรในเวลาต่อมา โฉมไฉไลไหว้สวัสดีอนุตกับศรีดาราอย่างนอบน้อม พฤกษ์นั่งเคียงข้าง
โฉมไฉไลยังไม่เคยมาเจอหน้าอนุตกับศรีดาราสักครั้ง เคยเจอแต่พี่น้องของเมฆาทั้งหมด ส่วนศรีเรือนที่รู้จักเพราะสั่งคนไปสืบมา
“ผมกับโฉมไฉไลกำลังจะแต่งงานกันครับพ่อ”
อนุตตกใจ “แต่งงาน!”
ศรีดารางง “พฤกษ์ไม่เคยพูดเรื่องหนูโฉมมาก่อนเลย”
“ครับ...วันนี้ผมก็เลยพาโฉมมาไหว้คุณพ่อคุณแม่กับคุณย่า”
อนุตกับศรีดาราอึ้ง โฉมไฉไลแอบยิ้มอย่างพอใจ
อนุตหันไปพูดกับศรีดารา “ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว วันนี้วงเดือนกับชอุ่มไม่อยู่ คุณต้องไปดูแลคุณแม่ไม่ใช่เหรอ พาหนูโฉมไปด้วยสิ”
ศรีดารารู้ทันทีว่าสามี ให้แยกโฉมไฉไลออกไป “หนูโฉมไปช่วยป้า..เอ่อ..แม่หน่อยสิจ๊ะ”
โฉมไฉไลตามศรีดาราออกไป อนุตมองพฤกษ์
“แกไม่ได้รักหนูโฉมแล้วทำไม...”
พฤกษ์สวนคำออกมา “ผมกับโฉม..เราเป็นสามีภรรยากันแล้วครับ”
อนุตตกตะลึง “พฤกษ์...”
“มันเป็นความผิดพลาดของผมเอง ผมต้องรับผิดชอบครับพ่อ”
อนุตมองพฤกษ์ สีหน้าแววตาเครียดจัด
ที่คลินิกเมฆาการแพทย์เวลาเดียวกัน วงเดือนอารมณ์ดีกำลังเก็บอุปกรณ์ทำแผล ประเภทกรรไกรเรียงลงในถาด วงเดือนเงยหน้าขึ้นมาเห็นเมฆากำลังมองจ้องอยู่ รู้สึกอึดอัดจนเผลอกำกรรไกรบาดมือ
“อุ้ย!”
เมฆารีบเข้ามาจับมือวงเดือนดูแผลเห็นมีเลือดซึม เมฆารีบหยิบสำลีมาซับที่แผล
“เธอเป็นพยาบาลนะ ทำไมซุ่มซ่ามซะเอง”
วงเดือนพยายามดึงมือออก “เดือนมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ น่ะค่ะ”
“ฉันเห็นเธอยิ้มทั้งวัน อารมณ์ดีเรื่องอะไรเหรอ บอกฉันได้ไหม” เมฆาฉงน
วงเดือน ยิ้มปลาบปลื้มเป็นการใหญ่ “คุณท่านยิ้มให้เดือนน่ะค่ะ”
เมฆาย้อนถาม อย่างไม่แน่ใจ “คุณย่าน่ะเหรอ”
วงเดือนยิ้ม “ค่ะ”
เมฆาพยักหน้า “แค่ท่านยิ้มให้..เธอดีใจขนาดนี้เลยเหรอ คุณย่าไม่เคยพูดดีกับเธอเลยนะตั้งแต่เธอเข้ามาในบ้านแสนสมุทร”
“แต่ท่านก็ไม่เคยไล่เดือนออกไป ทั้งที่ถ้าท่านจะทำจริงๆ ท่านก็ทำได้ เดือนชื่นชมแล้วก็เคารพท่านมากนะคะ ท่านเป็นผู้หญิงเก่ง ท่านสร้างแสนสมุทรมาด้วยสองมือของท่าน เดือนฝันมาตลอดค่ะว่าท่านจะกรุณาให้เดือนได้มีโอกาสรับใช้ท่านบ้าง เดือน...เดือนดีใจค่ะ”
“ถ้าคุณย่าท่านใจอ่อนแล้วก็ต้องเอาใจท่านให้มาก” เมฆาแนะ
“งั้นเดือนขออนุญาตไปซื้อของหน่อยนะคะ เย็นนี้เดือนจะทำบัวลอยน้ำขิงให้ท่านทาน”
“นี่จะทำของชอบคุณย่าเลยเหรอ ว่าแต่...ฝีมือเธอทานได้เหรอ”
“อร่อยที่สุดเลยล่ะค่ะ คุณผายังชมเลย” วงเดือนเผลอหลุดปาก
เมฆาชะงัก วงเดือนก็พลอยชะงักไปด้วย
เมฆาปรับสีหน้าเป็นปกติ “เธอจะไปซื้อของไม่ใช่เหรอ ไปสิ แล้วทำเผื่อฉันด้วยนะ”
“เอ่อ...ค่ะ”
วงเดือนรีบเลี่ยงออกไป เมฆามองตามนึกสะท้อนใจ รำพึงเบาๆ
“เวลาเธอพูดถึงฉัน เธอจะยิ้มแบบนี้บ้างไหมเดือน...”
ส่วนที่บ้านแสนสมุทร ศรีเรือนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ศรีดาราเข้ามาโดยมีโฉมไฉไลถือชามโจ๊กตามเข้ามา
ศรีดาราเข้ามาข้างๆ ตัวศรีเรือน “คุณแม่คะ ทานโจ๊กหน่อยนะคะ”
ศรีเรือนหันมาเห็นโฉมไฉไล ก็ตกใจ
“เธอ!”
โฉมไฉไลยิ้มแย้มสวยแต่สายตาสะใจมาก
ศรีดาราแนะนำ “นี่หนูโฉมไฉไล แฟนของพฤกษ์น่ะค่ะ”
โฉมไฉไลไหว้นอบน้อม “สวัสดีค่ะคุณย่า”
ศรีเรือนยิ่งตกใจหนัก
“วันนี้ตาพฤกษ์พาหนูโฉมมาสวัสดี แล้วก็บอกว่าจะแต่งงานน่ะค่ะ”
ศรีเรือนพยายามห้ามเต็มที่ “มะ...ดะ!” ส่งสายตาถมึงทึง แสดงออกว่ารังเกียจชัดเจน
ศรีดาราตกใจกับท่าทีของศรีเรือน โฉมไฉไลโกรธแต่พยายามทำตัวน่าสงสาร
โฉมไฉไลหันมาทางศรีดารา ท่าทีตกอกตกใจ “โฉมทำอะไรผิดเหรอคะคุณแม่”
“ไม่หรอกจ้ะ ท่านคงอารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะ”
ศรีเรือนอย่างลำบาก “เดอะ...” หญิงชราถามหาวงเดือน
“วงเดือนไปทำงานเย็นๆ ก็คงกลับ ทานข้าวก่อนนะคะคุณแม่” ศรีดาราจะป้อน ศรีเรือนเบือนหน้า
“ยะ” ศรีเรือนจะทานยา
ศรีดารานึกได้ “จริงสิ ไม่ได้หยิบยาก่อนอาหารขึ้นมา สักครู่นะคะคุณแม่ หนูโฉมฝากดูแลคุณย่าแป๊บนึงนะจ๊ะ”
โฉมไฉไลยิ้มแย้ม “ค่ะ”
ศรีดาราเดินออกไปแล้ว โฉมไฉไลปิดประตูหันมาหาศรีเรือนสีหน้าร้ายสุดขีด ขยับเข้าไปใกล้ๆ
“คิดจะขัดขวางฉันเหรอ อีแก่!
ศรีเรือนถลึงตามองโกรธ
“กะ” หญิงชราหมายถึงแก พร้อมกับคว้าแขนโฉมบีบเท่าที่แรงอันน้อยนิดจะมี
โฉมไฉไลสะบัดเต็มแรงจนศรีเรือนเซไป แล้วเข้าไปพูดใกล้ๆ จิตมาก
“อีแก่ ง่อย ๆ อย่างแกจะทำอะไรได้ อีกไม่นาน บ้านแสนสมุทร ทรัพย์สมบัติของแกจะต้องเป็นของฉัน! หลานแกจะต้องเป็นผัวฉัน ไม่ว่าจะพฤกษ์หรือเมฆา”
ศรีเรือนโกรธจัดด่าอีกากี “เกอะ..กิ”
ศรีเรือนเห็นหน้าโฉมไฉไลเบลอ เริ่มเครียดจนมีอาการปวดหัว ทรมาน กระเสือกกระสนจะทำร้ายโฉมไฉไล
“กะ” ศรีเรือนตวาดว่าแก!
“จุ๊ ๆ ๆ นางพญาบ้านแสนสมุทรกลายเป็นอีแก่ไม่สมประกอบ” โฉมไฉไลเย้ยสะใจ “แกนี่มันน่าสมเพชจริงๆ”
ศรีเรือนมองโฉมไฉไลอย่างเคียดแค้น
“แค้นเหรอ..อีแก่...”
ศรีเรือนพยายามกรีดร้องอ้อแอ้ๆ ไม่เป็นคำ พยายามเรียกคน
โฉมไฉไลเข้าไปบีบปากศรีเรือน ตั้งใจให้เงียบ กลัวคนอื่นได้ยิน
“เงียบ! นังง่อย! แค้นมากใช่ไหม แต่แกก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว พูดไม่ได้ ขยับก็ไม่ได้ ได้แต่รอวันตาย!” เยาะเย้ย “คุณย่า..อย่าเป็นอะไรไปนะคะ..” ด้วยสีหน้าร้ายกาจ “เพราะแกต้องอยู่จนถึงวันที่ฉันได้เป็นคุณผู้หญิงของบ้านแสนสมุทร! ทุกสิ่งทุกอย่างที่แกสร้างมาจะต้องอยู่ในมือของฉัน ฮึ ๆ ๆ”
ศรีเรือนพยายามสะบัดหน้าดิ้นรน
“อ้อ..มีอีกเรื่อง ฉันจะบอกให้เอาบุญนะว่าคนที่ชนแกคือ ฉันเอง”
ศรีเรือนตกตะลึง “กะ กะ” (แก แก)
หญิงชราโกรธถึงขีดสุด กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างโหยหวน
ที่ไร่วงเดือนเวลาเดียวกัน ภูผากำลังควบคุมคนงานในไร่ใส่ปุ๋ย มีสว่าง กับดอย ช่วยกันใส่อยู่แปลงถัดไป
จู่ๆ ฟ้าผ่าเปรี้ยง! ลงตรงต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปโดยไม่มีเค้าลาง ต้นไม้ ไม่ถึงกับหักโค่น แต่กิ่งแตกหักควันขึ้นเหมือนติดไฟ
ดอยกระโดดเข้าเอวนายสว่าง
“ว๊ากกก!”
สว่างฉุน “ไอ้ดอย ข้าหนัก ลงไป”
ดอยกลัวจนตัวสั่น “ฉันกลัวฟ้าผ่านี่ลุงหว่าง”
“ถ้าเองไม่ปล่อย ข้าจะผ่ามะเหงกลงหัวเอ็งนี่ล่ะ ลงไป มันไม่มีอะไรแล้ว”
ดอยยอมลงมายืนกับพื้นแต่มือยังเกาะชายเสื้อสว่างไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
สว่างมองท้องฟ้าที่ดูเป็นปกติไม่มีวี่แวว
“ฟ้ามันก็ไม่ครึ้ม จู่ๆ มันผ่าลงมาได้ยังไง”
ภูผาสังหรณ์ใจประหลาดอีกครั้ง ชายหนุ่มหันไปมองต้นไม้รู้สึกไม่สบายใจ
ขณะเดียวกัน โฉมไฉไลตกใจยืนอึ้ง ศรีเรือนช็อกตาค้าง แล้วร่วงลงบนเตียงแน่นิ่งไป
โฉมไฉไลขยับเข้าไปมองเริ่มกลัว “แกเป็นอะไร นี่ๆ”
โฉมไฉไลเอานิ้วอังที่จมูก แต่ศรีเรือนไม่มีลมหายใจแล้ว
โฉมไฉไลตกใจสุดขีด “ตาย..ตาย...อ๊าย....”
ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาที่หน้าห้อง อนุต ศรีดารา พฤกษ์วิ่งเข้ามา
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย คุณย่าเป็นอะไรก็ไม่รู้”
อนุตช็อก “คุณแม่!”
สีหน้าของศรีเรือนเบิกโพลง นอนตายตาไม่หลับ
เกิดมีฝนเทลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ภูผา สว่างและคนงานต่างพากันวิ่งหลบฝนอย่างชุลมุนไปที่ใต้ต้นไม้
“โอ้ย! มันบ้าอะไรเนี่ย เดี๋ยวฟ้าผ่า เดี๋ยวฝนตก” เด็กดอยโวย
ภูผาแปลกใจ “นายสว่าง ฝนหลงฤดูแบบนี้มีบ่อยเหรอ”
“ไม่นะครับ ถ้าจะมีก็ลูกเห็บเลย ผมว่าฝนนี่มันแปลก ๆ นะครับ”
“ดูแล้วน่ากลัวเหมือนฟ้าร้องไห้เลย คิดถึงตอนย่าดอยตาย ฝนก็ตกแบบเนี้ย แม่บอกว่าฟ้าร้องไห้ให้ย่า” ดอยพูดประสาซื่อ
ภูผาหันมองดอย สีหน้าวิตกกังวล
“คุณผา เป็นอะไรเหรอเปล่าครับ”
“สองวันนี้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ ฝนนี่มันทำให้ฉันห่วง..บอกไม่ถูก”
ภูผาแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีหน้าไม่สบายใจมาก ๆ
ที่เมฆาการแพทย์เวลานั้น วงเดือนถือถุงวัตถุดิบ แป้ง งาดำ และขิง กับหอบดอกกล้วยไม้โกมาชุม สวยๆ เข้ามา
เมฆาเดินออกมามองแปลกใจ
“โกมาชุมเหรอ”
“ค่ะ ราชินีแห่งกล้วยไม้ คุณท่านชอบให้น้าชอุ่มเอาไปจัดแจกันให้ท่านบ่อยๆ ค่ะ มันจะออกดอกแค่ช่วงเดือนสองเดือนนี้ โชคดีมากนะคะมีชาวบ้านเอามาขาย”
เมฆายิ้มพอใจกับความเอาใจใส่ของวงเดือน “ช่วงทำคะแนนเหรอ ใส่ใจรายละเอียดทุกอย่างขนาดนี้”
“เดือนไม่ได้หวังอะไรมากกว่าไปกว่าทำให้ท่านสบายใจที่สุด” ยิ้มแย้ม “ท่านจะได้หายเร็วๆ น่ะค่ะ”
เมฆามองรอยยิ้มวงเดือนอย่างหลงใหลมากมาย
ระหว่างนั้นชอุ่มวิ่งเข้ามาสีหน้าตื่นตระหนกมาก
“คุณเมฆารีบไปโรงพยาบาลด่วนค่ะ คุณท่าน...คุณท่านช็อกค่ะ”
วงเดือนมืออ่อนปล่อยทุกอย่างทิ้งลงพื้น
เมฆารีบออกไปโรงพยาบาลทันที วงเดือนกับชอุ่มรีบตามออกไป
ทุกคนออกันอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ในโรงพยาบาล ด้วยสีหน้ากระวนกระวายมากหวังว่าจะช่วยศรีเรือนได้ โฉมไฉไลมองอย่างกังวลไปหมด กลัวความผิดตัวเอง
โฉมไฉไลเห็นชอุ่มนำเมฆากับวงเดือนเข้ามา ระยะไกลๆ
ศรีดาราร้องเรียกอย่างดีใจ “เมฆา!”
นั่นยิ่งทำให้โฉมไฉไลยิ่งหวั่น กลัวเมฆาจับผิด โฉมไฉไลอาศัยจังหวะที่ทุกคนต่างกรูกันเข้าไปหาเมฆา โฉมไฉไลเลี่ยงเดินหนีไปหลบอีกทาง
เมฆาไต่ถามเอากับอนุต
“คุณย่าเป็นยังไงบ้างครับคุณพ่อ”
อาจารย์หมอเดินออกมาจากห้องผ่าตัด ทุกคนรีบถลาเข้าไปหา
เมฆารีบถาม “อาจารย์หมอครับ คุณย่า...”
อาจารย์หมอหน้าเศร้า “ท่านมาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไป เสียใจด้วยนะครับ”
ทุกคนช็อค ศรีดารา วงเดือน ชอุ่มร้องไห้โฮออกมาทันที
อนุต เมฆา พฤกษ์ และอรุณต่างช็อก
โฉมไฉไลที่ยืนแอบฟัง ยิ่งตกใจกลัว รีบหนีไปทันที
อนงค์นั่งกดเครื่องคิดเลขอยู่ที่ภัตตาคาร จังหวะนั้นอนงค์ตบโต๊ะดังปัง
“จ่ายๆ ๆๆ จ่ายอะไรกันนักกันหนา” เปิดกระเป๋าเงินดู “ทุนก็ไม่มีให้เล่น โอ้ย! คันไม้คันมือจริงๆ”
โฉมไฉไลวิ่งเข้ามาท่าทางตื่นกลัว ทำท่าจะวิ่งขึ้นข้างบน อนงค์รีบเข้าไปดึงไว้ โฉมไฉไลสะดุ้งตกใจ
“ม๊า..ม๊า!” โฉมไฉไลโผเข้ากอดแม่อาการหวั่นกลัวสุดขีด
“ยัยโฉม แกเป็นอะไร” ดันโฉมไฉไลลงนั่งซักฟอก “วันนี้แกไปบ้านแสนสมุทรมาไม่ใช่เหรอ แล้วจะจัดงานเมื่อไหร่ คุยกับทางโน้นว่ายังไง”
“ไม่ได้คุยอะไรทั้งนั้นล่ะม๊า”
“อ้าว..ไปถึงบ้านเขาทำไมแกไม่จับมัดให้มันเรียบร้อยไปเล่า ลูกโง่! หรือว่าทางโน้นเขาไม่ยอมรับแก ฉันบอกแล้วว่าอย่าให้มันเละเทะนัก” อนงค์ฉุนขาด
โฉมไฉไลรีบบอก “ไม่ใช่เรื่องนั้น”
“หรือว่าเขารู้ว่าแกวางแผนจับเจ้าพฤกษ์ ก็เลยไม่ให้แต่งกับแก นี่แกทำพลาดเหรอเนี่ย หมดกัน สินสอดฉัน!”
โฉมไฉไลฉุนกึก “โอ๊ย ม๊า! เลิกห่วงเรื่องเงินสักทีได้ไหม ที่ไม่ได้คุยเพราะมันมีเรื่องอื่น”
อนงค์มองสงสัยว่าเรื่องอะไร
“คุณย่าพฤกษ์ตายเมื่อกี้นี้เอง ตายต่อหน้าโฉมด้วย โฉมจะบ้าตาย” โฉมไฉไลพูดรัวเร็ว
“คุณย่าเขาตายแล้วแกเกี่ยวอะไร” มองโฉมไฉไลที่ดูหน้าเสีย “อย่าบอกนะว่าเพราะแก!”
โฉมไฉไลผวาตัวกอดอนงค์อีก “โฉมแค่ด่ามัน ใครจะไปรู้ว่ามันจะตายง่ายขนาดนั้น”
อนงค์ตกใจรีบถาม “ไม่มีใครรู้ใช่ไหม”
“ไม่มี บ้านโน้นเขาคิดว่าอีแก่นั่นมันช็อกไปเอง นี่เขาเอาศพไปที่วัดแล้ว โฉมก็เลยรีบหนีกลับมา ม๊า...โฉมกลัว!” กอดอนงค์แน่นขึ้นอีก
อนงค์คิด ๆ แล้วดันโฉมไฉไลออกห่าง คิดแผนออก
“ไปแต่งตัว” โฉมไฉไลงง “ตอนนี้ล่ะเป็นโอกาสของเรา รีบไป”
อนงค์รีบลากโฉมไฉไลให้ขึ้นไปด้วยกัน
ที่ไร่ฟ้าเหนือฟ้า ใบไม้ต้นหญ้าเพิ่งจะหย่าตัวจากสายฝน แต่ยังมีหยดน้ำที่ปลายใบ รถจี๊ปแล่นเข้ามาจอดขามลงจากรถ มีโสภณก้าวลงมาจากรถจี๊ปคันดังกล่าว
วันชัยแต่งตัวเรียบร้อยดูดีเดินออกมาต้อนรับ
“สวัสดีครับ คุณโสภณ”
“ผมทราบมาว่าชาของไร่เหนือฟ้าคุณภาพดีมาก ผมสนใจอยากจะทำธุรกิจร่วมกับทางไร่ฟ้าเหนือฟ้า รับเป็นตัวแทนในการจำหน่ายชาของไร่ฟ้าเหนือฟ้าในเขตภาคใต้ทั้งหมด” โสภณนักธุรกิจจากแดนใต้กล่าว
วันชัยยิ้มพอใจ “ยินดีครับ ถ้างั้นเชิญคุณโสภณเข้าไปดื่มชาของไร่ฟ้าเหนือฟ้า ระหว่างเจรจาธุรกิจของเราดีไหมครับ”
“ได้ครับ..แล้วพ่อเลี้ยงเหนือฟ้าอยู่หรือเปล่าครับ” โสภณเหลียวมองหาเหนือฟ้าไปมา
วันชัยชะงักไปนิดแล้วปรับเปลี่ยนสีหน้าให้ปกติ
“ตอนนี้พ่อเลี้ยงเดินทางไปพักผ่อนน่ะครับ พ่อเลี้ยงให้ผมเป็นคนจัดการเรื่องภายในไร่ทั้งหมด”
โสภณพยักหน้ารับรู้
“เชิญครับ” วันชัยเดินนำโสภณเข้าไปด้านใน ขามตามติด
ขณะเดียวกันเหนือฟ้านั่งอ่านหนังสือในห้องที่บ้านพักภูผา ครู่ต่อมาหนูนายกถาดอาหารเข้ามาวางที่โต๊ะเล็กในห้อง ตึง!
“กินข้าว! นี่นายเห็นที่นี่เป็นที่ตากอากาศหรือไง มานั่งกินนอนกินไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน บ้านนายก็มีกลับไปได้แล้ว! ฉันจะได้ไปทำงานอย่างอื่นบ้าง ต้องมาคอยดูแลนาย ฉันเหนื่อย!”
เหนือฟ้ารู้สึกห่วงหนูนาบอกเสียงจริงจัง “ฉันทำให้เธอเหนื่อยเหรอ ฉันขอโทษนะ”
หนูนามองหน้าเหนือฟ้าที่ดูสำนึกผิดอย่างหงุดหงิด
“ก็กลับไปไร่ตัวเองซะทีสิ”
ทว่าเหนือฟ้าไม่อยากกลับ “ฉันยังรู้สึกเจ็บหลังตรงที่กระแทกหินอยู่เลย”
ภูผาเข้ามาทันได้ยินพอดี
“ที่จริงอาการเหนือฟ้าก็ดีขึ้นมากแล้วนะ...” ภูผาค้างคำพูดไว้
หนูนาคิดเอาเองว่าภูผาจะเข้าข้าง “เห็นมะ”
“...ถ้าไม่กระโดดน้ำลงไปช่วยบางคนจนต้องเจ็บหนักขึ้น”
หนูนาสะอึก สีหน้ารู้สึกผิดขึ้นมา
“เหนือฟ้าไม่สบายขนาดนี้เพราะใคร” เห็นหนูนาอึ้งๆ “คนเรามันต้องรู้จักสำนึก”
หนูนาโวยทันควัน “เออ ๆ ๆ รู้แล้วว่าเจ็บเพราะช่วยฉัน อยากอยู่ก็อยู่ไปเลย! เจ้าของเขาอนุญาตอยู่แล้ว กินข้าวซะจะได้เก็บจาน”
เหนือฟ้ายิ้มอย่างกระตือรือร้น “จ้ะ”
หนูนามองแล้วยิ่งขัดใจอยากจะบีบคอเหนือฟ้านัก หนูนากระแทกเท้าปึ้งๆ ออกไป
ภูผาหันมาทางเหนือฟ้า
“ฉันคงรบกวนนายอีกไม่นาน”
“จะกลับไปที่ไร่ แล้วนายจะแน่ใจได้ยังไงว่านายจะปลอดภัย นายสงสัยใครบ้าง”
“มีลูกน้องไม่กี่คนที่ใกล้ชิดฉัน” เหนือฟ้านิ่งคิด
ภูผาถามถึงวันชัย “นายวันชัยล่ะ”
“พี่วันชัยเป็นญาติ เป็นมือขวาของพ่อ เขาดูแลฉันมาตลอด ฉันไม่คิดว่าเป็นเขา”
“แต่ถ้านายปล่อยให้คนร้ายมันอยู่ในที่ลับ แล้วนายอยู่ในที่แจ้งแบบนี้ ฉันว่ามีกี่ชีวิตก็ไม่พอนะ”
เหนือฟ้าคิดหนักเห็นด้วยกับคำพูดภูผา
การเจรจาเรื่องธุรกิจเสร็จสิ้น วันชัยเดินมาส่งโสภณขึ้นรถ ขามตามออกมา
“หวังว่าธุรกิจของเราครั้งนี้จะดำเนินไปได้ด้วยดี” โสภณยิ้มแย้ม
“เช่นกันครับ”
“ผมฝากเชิญพ่อเลี้ยงไปทางโน้น เห็นสถานที่จริง ทางพ่อเลี้ยงจะได้เห็นลู่ทางที่ผมเตรียมไว้”
วันชัยยิ้มได้ไอเดียบางอย่างจากคำพูดโสภณ
“พ่อเลี้ยงต้องไม่พลาดแน่ครับ แล้วพบกัน”
“ยินดีครับ”
โสภณเดินขึ้นรถ ขามขับออกไปส่ง
วันชัยมองตามผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
ชิงนาง ตอนที่ 5 (ต่อ)
เย็นนั้น เหนือฟ้ามีทีท่าพอใจกับข่าวใหม่ ที่วันชัยมารายงานถึงไร่วงเดือน
“ส่งใบชาของไร่ฟ้าเหนือฟ้าไปขายที่ภาคใต้”
“คุณโสภณขอร่วมทำธุรกิจกับเราโดยเขาจะเป็นตัวแทนจำหน่ายและแบ่งกำไรเขาสี่สิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนของเราหกสิบ” วันชัยว่า
เหนือฟ้าย้อนถามความเห็น “แล้วพี่คิดว่ายังไง”
“คุณโสภณเป็นคนกว้างขวาง ไม่ใช่แค่ภาคใต้แต่ยังรวมไปถึงทางมาเลเซีย ถ้าเราทำธุรกิจร่วมกับเขา ชาของไร่เหนือฟ้าก็จะไม่ขายแค่ในจังหวัดแบบนี้”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ตอบตกลงกับคุณโสภณได้เลย”
“คุณโสภณอยากจะคุยกับพ่อเลี้ยงโดยตรง เขาเชิญพ่อเลี้ยงไปที่โน่นเพื่อจะให้เราเห็นสิ่งที่เขาเตรียมไว้ พ่อเลี้ยงจะว่ายังไงครับ”
เหนือฟ้านิ่งคิด วันชัยมองลุ้นตาม
“ฉันคงไม่ไป”
วันชัยผิดหวังมาก พยายามโน้มน้าวต่อ “ทำไมล่ะพ่อเลี้ยง นี่มันเป็นความก้าวหน้าของไร่เหนือฟ้านะครับ”
“ฉันโดนคนลอบทำร้ายโดยไม่รู้ว่าไอ้คนทำมันต้องการอะไร ฉันไม่อยากเสี่ยงทิ้งไร่ไปตอนนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนที่ฉันไม่อยู่...ได้มันคงไม่คุ้มเสีย”
วันชัยท้วง “แต่ว่า...”
“เอาเป็นว่าฉันให้พี่เป็นตัวแทนไปตกลงกับคุณโสภณก็แล้วกัน อีกสองวันฉันจะกลับไปที่ไร่”
วันชัยท้วงอีก “พ่อเลี้ยง...”
“พี่ช่วยจัดการตามที่ฉันสั่งด้วย...” เหนือฟ้าสั่ง
วันชัยโกรธจัดที่ไม่เป็นไปตามแผนแต่ต้องเก็บอาการ “ครับ”
กลับมาที่ไร่ วันชัยระบายอารมณ์ด้วยการถีบเก้าอี้ และข้าวของทุกอย่างตรงหน้าด้วยความคลั่งแค้น
“บัดซบ!”
ขามรีบเสนอแผน “นายจะอยากให้มันไปใต้ทำไม ถ้านายไปคุย นายก็ฮุบทุกอย่างไปเลย”
วันชัยตะคอก “ไอ้โง่! ถ้ามันยังอยู่ที่ไร่ไอ้ภูผาต่อไป แล้วเมื่อไหร่จะกำจัดมันได้สักที”
ขามตะลึง “นี่นายคิดจะ...”
วันชัยยิ้มเหี้ยมแววตาดุดันร้ายกาจ “ครั้งนี้ฉันต้องได้เห็นศพมันกับตา”
อนุตยืนอยู่ต่อหน้าโลงศพของศรีเรือนภายในศาลาสวดพระอภิธรรม อนุตน้ำตารินเงียบๆ ศรีดาราก้าวเข้ามาข้างๆ จับมือของอนุตอย่างให้กำลังใจ
“คุณแม่ท่านคงกำลังเฝ้ามองเราอยู่นะคะ”
อนุตกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาพยายามปรับสีหน้าอารมณ์ กลับมาอยู่ในภาวะปกติ
“พ่อครับ...”
เสียงพฤกษ์ที่ถือรูปตั้งหน้าศพของศรีเรือนเข้ามา เรียกขึ้น
เมฆา กับวงเดือนเดินตามพฤกษ์มาติดๆ กัน
อนุตมองรูปของศรีเรือน พยายามห้ามน้ำตาอย่างยากเย็น
“พ่อจัดการเอง”
อนุตเดินเข้าไป พร้อมกับยื่นมือรับรูปของศรีเรือนจากพฤกษ์ จากนั้นก็เอารูปของศรีเรือนวางที่ขาตั้ง น้ำตาร่วงอย่างไม่อาจกลั้นได้
ศรีดาราร้องไห้อย่างไม่อาจเก็บความรู้สึกไว้ได้ พฤกษ์ และเมฆาน้ำตาคลอ พยายามเก็บอาการ
อรุณร้องไห้ด้วยความเสียใจ วงเดือนเข้ามาจับมืออรุณ อรุณเข้าสวมกอดวงเดือนอย่างต้องการหาพี่พึ่งพิง
วงเดือนร้องไห้กอดอรุณอย่างปลอบใจ สายตาวงเดือนมองที่รูปศรีเรือนเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ที่ศาลาสวดพระอภิธรรมศพตอนเย็น ภายในงานเต็มไปด้วยพวงหรีดไว้อาลัยจากทุกภาคส่วนที่เคยทำธุรกิจกับแสนสมุทร ผู้คนเข้ามาร่วมงานไม่ขาดสาย
อนุต ศรีดารา พฤกษ์ และอรุณยืนต้อนรับแขก ชอุ่มช่วยเสิร์ฟน้ำให้แขกในงานเมฆากับวงเดือนเข้ามา พร้อมๆ กับท่านผู้ว่าฯ ที่เดินเข้ามาพร้อมกับภรรยา
“เสียใจด้วยนะคุณหมอ”
“ขอบคุณครับท่านผู้ว่า”
“คุณพ่อพาท่านผู้ว่าเข้าไปด้านในเถอะครับ ผมกับพี่พฤกษ์จะรับแขกแทนเอง” เมฆาบอก
อนุตพาท่านผู้ว่าเข้าไปด้านใน เหลือศรีดารา พฤกษ์ อรุณ และเมฆายืนต้อนรับแขก
“ว่าแต่ใครเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับคุณย่าก่อนท่านเสียล่ะครับ”
“หนูโฉมน่ะจ้ะ” ศรีดาราบอก
เมฆาอึ้ง คาใจ “โฉม?”
ศรีดาราสำทับ “จ้ะ หนูโฉมแฟนตาพฤกษ์น่ะ”
เมฆาหันไปมองที่พฤกษ์ เห็นพฤกษ์นิ่งงัน ท่าทีเหมือนรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
ระหว่างนั้นเองอนงค์จูงโฉมไฉไลเข้ามาในงาน
โฉมไฉไลกระซิบถามเสียงเบาๆ กับอนงค์ “ม๊า จะดีเหรอ”
อนงค์กระซิบเบาๆ กับโฉมไฉไล “นี่ล่ะโอกาสของแก”
อนงค์เดินเข้าไปหากลุ่มของศรีดารา พฤกษ์ และเมฆา
“สวัสดีค่ะ คุณศรีดารา”
วงเดือนกับชอุ่มหันไปมองด้วยความสนใจ
ศรีดารางงเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ”
อนงค์แนะนำตัวทันที “ดิฉันอนงค์ แม่ของโฉมน่ะค่ะ ดิฉันแสดงความเสียใจด้วยนะคะ”
ศรีดารายิ้มเยื้อน “ขอบคุณนะคะที่มา”
“เราต้องมาอยู่แล้วค่ะ” อนงค์เสียงดังมากขึ้น “อีกไม่นานโฉมก็ต้องเป็นคนในครอบครัวของแสนสมุทร โฉมเขาทราบว่าทุกคนในบ้านแสนสมุทรเสียใจกับเรื่องนี้มาก โฉมเขาก็เลยอยากมาเป็นกำลังใจให้กับตาพฤกษ์ด้วยนะคะ เพราะโฉมเขาทราบว่าตาพฤกษ์รักคุณศรีเรือนมาก”
อนุตหันไปมอง ทุกคนในงานมองอย่างสนใจ
“ตาพฤกษ์ พา...” อนงค์ยืดเต็มที่ “แม่กับโฉม..ไปไหว้คุณย่าสิจ๊ะ เสร็จแล้วโฉมจะได้มาช่วยคุณศรีดาราต้อนรับแขก”
ทุกคนเหลียวไปมองพฤกษ์ ซึ่งดูพฤกษ์จะอึดอัดเล็กน้อยแต่ก็นำอนงค์กับโฉมไฉไลไปไหว้ศพ
เมฆามองโฉมไฉไลด้วยอาการอึ้งๆ โฉมไฉไลยิ้มให้เล็กน้อยอย่างสะใจ
เมฆาพูดกับศรีดารา “แม่ครับ..นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ศรีดาราบอก “วันนี้พฤกษ์บอกว่าจะแต่งงานกับหนูโฉมให้เร็วที่สุด”
อรุณตะลึง ตาค้าง “พี่โฉมกับพี่พฤกษ์เหรอครับ เป็นไปได้ไงก็พี่โฉมกับ...“ อรุณปรายตามองไปทางเมฆา
“อรุณ...” เมฆาส่งสายตาปรามให้เงียบ
อรุณเงียบไป เมฆามองทางพฤกษ์กับโฉมไฉไลอึ้งๆ
วงเดือนกับชอุ่มมองอย่างสนใจ
วงเดือนอยู่ในโรงครัว กำลังตักข้าวต้มใส่ชามทยอยให้คนออกไปเสิร์ฟ ชอุ่มเดินหน้าคว่ำเข้ามาท่าทางหงุดหงิดมาวางถาดปึ้ง! ใกล้ๆ กับที่วงเดือนยืนอยู่ วงเดือนมองชอุ่ม เห็นชอุ่มตาแดงๆ สีหน้าท่าทางโมโหมาก
“เป็นอะไรจ๊ะน้าชอุ่ม”
“ก็ยัยคุณอนงค์กับคุณโฉมนั่นน่ะสิ เขาไปยืนเสนอหน้าต้อนรับแขกกับคุณศรีดารา คุณพฤกษ์ ยังไม่ทันดองกันทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าภาพซะเอง”
“ก็ถ้าเขาจะมาเป็นสะใภ้บ้านแสนสมุทรจริง มันก็ไม่เป็นไรนี่คะน้าชอุ่ม เขาคงอยากมาเป็นกำลังใจให้คุณพฤกษ์จริงๆ”
ชอุ่มไม่พอใจนัก “น้าว่าไม่ได้มาเป็นกำลังใจหรอก ตั้งใจมาประกาศตัวว่าจะเป็นสะใภ้แสนสมุทรมากกว่า นี่มันงานศพคุณท่านไม่ใช่งานโชว์ตัว พวกนี้เป็นใครกัน ทำให้งานของคุณท่านต้องแปดเปื้อน” ชอุ่มน้ำตาร่วงด้วยความคับแค้นใจ
วงเดือนรู้สึกไม่ต่างกัน แต่พยายามจะปลอบให้คลายทุกข์ “เดือนรักคุณท่าน เดือนรู้ว่าน้าชอุ่มก็เหมือนกัน เรารักคุณท่านเราก็ช่วยกันดูแลแขกที่มาร่วมงานให้ดีที่สุดดีไหมจ๊ะ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อคุณท่าน”
วงเดือนจับมือชอุ่มอย่างให้กำลังใจ
ชอุ่มปาดน้ำตา “จ้ะ” ยกถาดข้าวต้ม “งั้นน้าจะเสิร์ฟข้าวต้มให้สุดฝีมือเลย”
วงเดือนยิ้มให้กำลังใจ “เดี๋ยวฉันยกตามไปอีกถาดนะจ๊ะ”
ชอุ่มยกถาดข้าวต้มออกไป
วงเดือนมองตามสีหน้าเครียด ๆ
บนศาลาสวดพระอภิธรรมบรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด
เมฆายืนอยู่กับอรุณห่างจากศรีดาราเล็กน้อย เมฆามองอนงค์ยืนเคียงข้างศรีดารา ที่ดูอึดอัดแต่พยายามเก็บอาการ ยืนรับแขก โฉมไฉไลประกบพฤกษ์ ที่ดูอึดอัดกับการโดนมัดมือชก ไม่ห่าง
อรุณขยับเข้ามาข้างเมฆา
“ทำไมพี่โฉมกับพี่พฤกษ์เขาถึงมาจับคู่กันได้ล่ะพี่”
เมฆาสีหน้ายิ่งเครียด
จังหวะที่อนงค์ ศรีดารากับพฤกษ์กำลังคุยกับแขกที่มาร่วมงาน เมฆาเข้าไปดึงโฉมไฉไลออกไปโดยไม่มีใครทันสังเกต
วงเดือนที่ยกถาดเข้ามาเห็นพอดี วงเดือนมองตามไปด้วยความสนใจ
เมฆาเหวี่ยงโฉมไฉไลอย่างแรงตรงมุมหนึ่งหลังศาลา สีหน้าไม่พอใจมาก
“คุณมายุ่งกับพี่พฤกษ์ทำไม”
“โฉมจะยุ่งกับใคร คุณจะเดือดร้อนทำไม หรือว่าคุณ...หึง”
เมฆายิ้มเหยียด “ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแม้แต่นิดเดียว”
โฉมไฉไลฉุน ชักสีหน้าไม่พอใจ
“คุณคิดจะแก้แค้นผมใช่ไหม”
โฉมไฉไลยิ้มเย้ย “โฉมไม่คิดแบบนั้นหรอกค่ะ ถึงแม้โฉมจะถูกคุณทำร้ายจิตใจแต่โฉมก็ไม่จมปลักกับเรื่องไร้สาระหรอกนะคะ คุณพฤกษ์เป็นคนดี แล้วเขาก็เต็มใจดูแลโฉม แล้วทำไมโฉมต้องปฏิเสธด้วย จริงไหมคะเมฆา...”
เมฆามองจ้องหน้าโฉมไฉไลไม่เชื่อน้ำคำสักนิด
“พี่พฤกษ์อาจจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีจนรู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้หญิงอย่างคุณ แต่ผมไม่ใช่...”
เมฆาพูดไม่ทันจบโฉมไฉไลยื่นนิ้วมาแตะปิดที่ริมฝีปากเมฆา “อย่าพูดรุนแรงแบบนั้นสิคะ ยังไงเราก็เคยเป็นคนที่รักกันนะคะเมฆา”
เมฆาจับมือโฉมไฉไลออกห่างอย่างไม่พอใจ
โฉมไฉไลจ้องตอบไม่สะทกสะท้าน “คุณควรจะสุภาพกับโฉมมากกว่านี้นะคะ เมฆา เพราะอีกไม่นานคุณต้องเรียกโฉมว่า พี่สะใภ้”
โฉมไฉไลจ้องเมฆา มือของเมฆาบีบโฉมไฉไลแน่นขึ้น แต่โฉมไฉไลไม่รู้สึกเจ็บสักนิดจ้องกลับอย่างสะใจ จนเมฆาต้องปล่อยมือโฉมไฉไลอย่างแรง
“ถ้าคุณทำให้พี่พฤกษ์เสียใจ ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่”
โฉมไฉไลไม่ต่อความ แต่ยิ้มเยาะอย่างท้าทาย
เมฆาโกรธที่ทำอะไรไม่ได้ เดินหนีออกไป
“คุณจะได้รู้ว่าตกนรกทั้งเป็น มันเป็นยังไง”
โฉมไฉไลมองตามไปอย่างอาฆาต
วงเดือนที่แอบดูอยู่ รีบหันกลับมาสีหน้าหวาดหวั่นว่าจะเกิดเรื่องในบ้านแสนสมุทร
วงเดือนยืนรอพฤกษ์อยู่แถวหน้าบ้านอย่างจดจ่อ
อรุณมองลงมาจากชั้นบนเห็นวงเดือนยืนรออยู่ อรุณแอบมอง สักครู่เขาเห็นพฤกษ์เดินเข้ามาที่หน้าบ้าน
“คุณพฤกษ์คะ”
พฤกษ์ชะงักกึก มองวงเดือนอย่างแปลกใจ “มีอะไรเหรอเดือน ดึกแล้วทำไมยังไม่นอน”
“เดือนอยากจะคุยกับคุณพฤกษ์น่ะค่ะ”
“คุยกับฉันเรื่องอะไร”
“เรื่องคุณโฉมน่ะค่ะ คุณพฤกษ์จะแต่งงานกับคุณโฉมจริงๆ เหรอคะ” วงเดือนมองหน้าพฤกษ์ รอฟัง
พฤกษ์ตอบทันที “ใช่”
“คุณพฤกษ์รักคุณโฉมใช่ไหมคะ”
“ฉันต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเอง” ขณะพูดพฤกษ์มองจ้องหน้าวงเดือนอย่างสะเทือน
ใจ แล้วเผลอจับมือวงเดือน “หัวใจของฉันรักผู้หญิงได้คนเดียวและมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
วงเดือนอึ้งที่เรื่องวกเข้าตัวอีกแล้ว
“ดึกแล้ว เดือนขอตัวก่อนนะคะ..” วงเดือนจะเดินไป
“เดี๋ยว!” พฤกษ์ยังดึงมือไว้ “เดือนถามเรื่องคุณโฉมทำไม”
“คือ..เดือนทราบว่าคุณโฉมเคยเป็นคนรักของคุณเมฆา เดือนก็เลย…”
พฤกษ์เข้าใจผิดคิดไปเอง “เดือนห่วงความรู้สึกเมฆาเหรอ”
วงเดือนอึกอักพูดไม่ออก “เดือน...”
พฤกษ์ยอมปล่อยมือจากวงเดือน “ฉันมันบ้าไปเอง ที่หวัง..หวังว่าที่เธอถามเพราะไม่
อยากให้ฉันแต่งงานกับคนอื่น”
วงเดือนลำบากใจ เพราะอยากจะเตือนเรื่องว่าโฉมไฉไลดูมีแผน แต่ไม่รู้จะพูดยังไง
“คุณพฤกษ์...”
พฤกษ์ไม่ฟังต่อ เดินออกไป วงเดือนมองตามรู้สึกผิดทำให้พฤกษ์เสียใจอีกแล้ว
วงเดือนเดินกลับไปที่เรือนคนใช้อย่างกลุ้มๆ
อรุณมือกำแน่น เข้าใจว่าวงเดือนห่วงเมฆาอย่างที่พฤกษ์พูด
ค่ำคืนเดียวกัน ขณะที่แม่ค้ากำลังดึงประตูจะปิดร้านแล้ว ภูผารีบเข้ามากันไว้
“เฮ้ย!”
ภูผาหน้าเสียรีบเอ่ยขึ้น “ขอโทษที่ทำให้ตกใจ ฉันมีธุระต้องใช้โทรศัพท์ด่วนโทรศัพท์ใช้ได้หรือ
ยัง”
“ใช้ได้แล้วจ้ะ”
ภูผามีสีหน้าโล่งใจ รีบส่งกระดาษเบอร์โทร.ให้แม่ค้า
“โทรทางไกล”
แม่ค้ารับกระดาษไป ภูผามองตามเริ่มกระวนกระวาย
เมฆาเดินลงมาที่ห้องโถงชั้นล่างในบ้านแสนสมุทร เห็นว่าข้างล่างเงียบกริบไม่มีคนอยู่เลย
เมฆาเดินเข้าไปด้านหลังบ้านเพื่อไปหยิบน้ำดื่ม อรุณเดินลงมาจากชั้นบนตามหลัง เห็นไม่มีใครแล้วก็จึงเดินออกไป
เมฆาเดินถือแก้วน้ำออกมา เห็นอรุณเดินออกจากบ้านเลี้ยวไปทางเรือนที่พักของวงเดือน เมฆามองตามสงสัยจะเดินไป
“ไปไหนน่ะ...”
ยินเสียงโทรศัพท์ดัง เมฆามองไปที่โทรศัพท์
ภูผาถือโทรศัพท์รอสายอยู่ ด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ชายหนุ่มพึมพำออกมา
“รับสิ ใครก็ได้รับที...เดือน...”
ด้านเมฆามองโทรศัพท์นิ่งๆ แล้วมองไปทางอรุณ
เมฆาทำทีเหมือนจะเดินไปรับโทรศัพท์แต่นึกบางอย่างได้พูดออกมาเบาๆ “เดือน”
เมฆาเป็นห่วงเดือนตัดสินใจเดินตามอรุณไป ทิ้งให้โทรศัพท์ให้ดังต่ออยู่อย่างนั้น
โปรดติดตาม "ชิงนาง" ตอนต่อไป