นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 2
เย็นย่ำ ธัมโมอยู่ที่บ้านพัก และอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังจัดข้าววางที่โต๊ะทำงานภายในห้องนอน ผู้กองหนุ่มหยิบแฟ้มงานจากกระเป๋า รวมทั้งตำราต่างๆ มาวางเข้าที่ รวมทั้งหนังสือธรรมะเล่มโปรดที่เขาเป็นอ่านประจำ
ธัมโมหยิบหนังสือธรรมะเล่มนั้นมาดูอย่างมีความหมาย ก่อนจะพลิกดูภายในเล่มแล้วจึงเห็นว่ามีภาพถ่ายคั่นอยู่รูปหนึ่ง เป็นภาพของธัมโมกับเพลินตาคนรักของเขาในอดีต
ธัมโมมองรูปถ่ายใบนั้นอย่างเศร้าสร้อย ก่อนที่จะได้ยินเสียงของย้งดังขึ้น
“ผู้กองครับ ผู้กอง อยู่รึเปล่าครับ”
ธัมโมโผล่หน้าไปดูที่หน้าต่าง “ว่าไงย้ง มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
ย้งมองซ้ายแลขวา “พวกไอ้กำนันศรครับ ผมเห็นมันขนอาวุธไม่รู้จะไปฆ่าใคร”
ธัมโมใคร่ครวญครุ่นคิด นึกสังหรณ์ใจขึ้นมาครามครัน
จากเย็นย่ำเป็นค่ำคืน รัตติกาลมาเยือนแล้ว ความมืดปกคลุมไปทั่วบ้านไม้งาม ธัมโมขับรถมาจอดที่หน้าโรงพัก แล้วบอกกับย้งที่โดยสารมาด้วยกัน
“ขอบใจมากนะย้ง นายกลับไปเถอะ ที่เหลือชั้นจัดการเอง”
ย้งยังรู้สึกเป็นห่วง “ระวังตัวนะครับผู้กอง”
ย้งลงรถแล้วเดินจากไป ขณะที่ไชโยกับโอฬารเดินออกมา ไม่สวมชุดเครื่องแบบทั้งคู่เพราะออกเวรแล้ว แต่ในมือถือแก้วน้ำสีอำพัน กับจานไก่ย่างที่เป็นกับแกล้ม
“ใครมาวะ” ไชโยสงสัย
โอฬารเขม้นมอง “อุ๊ยผู้กอง”
ไชโยกับโอฬารรีบซ่อนเหล้าและกับแกล้มไว้ข้างหลัง
ธัมโมเอ่ยขึ้น “คืนนี้เราอาจจะมีแขก พวกนายสองคนต้องอยู่เป็นเพื่อนชั้น”
ไชโยท้วง “แต่พวกเราออกเวรแล้วนะครับผู้กอง”
ธัมโมขยับมองดุๆ
ไชโยรีบรับคำ “เอ่อไม่เป็นไรครับ ออกแล้วก็เข้าใหม่ได้” หันไปพยักเพยิดกับโอฬาร “เนอะ”
โอฬารครวญ “โธ่ ว่าจะชวนน้องหมวยใหญ่ไปดูหนังกลางแปลงซะหน่อย อดเลย”
ที่ร้านกาแฟเถ้าแก่ตงเวลานั้น เถ้าแก่ตงกับหมวยใหญ่กำลังเก็บร้าน ขณะที่ครูเพิ่มกับเก่งเดินมาด้วยกันพอดี หมวยใหญ่พอเห็นเก่งก็เนื้อเต้น ทิ้งของในมือไปโดนเท้าพ่อจังๆ
หมวยใหญ่ดี๊ด๊า “อั๊ยยะ เจอกันอีกแล้ว”
“จะรีบปิดร้านไปไหนเถ้าแก่ รอลูกค้าก่อน” ครูเพิ่มเอ่ยขึ้น
“อ้อ อาครูเพิ่มลื้อจะเอาอะไร”
“ไม่ต้องถามหรอกป๊า ขานี้ลื้อถามว่าจะรับเป็นกลมหรือเป็นแบนดีกว่า” หมวยใหญ่เหน็บ
“ยังหรอกหมวยที่บ้านยังมีอยู่ ชั้นพาหลานมาซื้อของใช้ส่วนตัวต่างหาก
เถ้าแก่ตงประหลาดใจ “หา นี่อาเก่งเป็นหลานครูเพิ่ม ไอ้หยาแบบนี้ กากี่นั๊งคนกันเองน่อ”
หมวยใหญ่ปะเหลาะ “ต๊ายยมิน่า ท่าทางเหมือนคนมีการศึกษา ที่แท้ก็เป็นหลานครูเพิ่มนี่เอง ว่าแต่น้องเก่งจะซื้ออะไรบ้างจ๊ะ เดี๋ยวเจ๊จัดให้”
“เอ่อ ก็พวกสบู่แชมพูน่ะครับเจ๊ พอดีไม่ได้พกติดตัวมา” เก่งบอก
“เอาเลยตามสบาย เข้าไปเลือกเองก็ได้ ร้านอั้วมีทุกอย่างยกเว้นน้ำมันเบนซิน”
ครูเพิ่มงง “มีใครมาซื้อเหรอเถ้าแก่”
เถ้าแก่ตงบอก “ก็พวกไอ้ยอดน่ะสิ มาถามหาตะกี๊ ไม่รู้จะเอาไปเผาศพเตี่ยมันหรือไง”
เก่งครุ่นคิดอย่างเอะใจ
ยอด เบิ้มและบรรดาสมุนซ่อนตัวอยู่ที่มุมมืดในป่าหญ้าใกล้โรงพักแล้ว
เบิ้มถาม “จะบุกตอนไหนดีพี่ยอด”
“รอให้ค่ำกว่านี้ก่อนแล้วค่อยลงมือ พวกมันต้องคิดไม่ถึงแน่” ยอดมั่นใจมาก
เส้นทางจากบ้านครูเพิ่มไปโรงพักขณะนั้น
เก่งอยู่ในคราบนางสิงห์ชุดดำท่วงท่าทะมัดทะแมง กำลังมุ่งหน้าไปยังโรงพักบ้านไม้งาม โดยการกระโดด ตีลังกา ก่อนจะตบท้ายปิดจ๊อบด้วยการยิงลูกตุ้มโซ่จากพลองศอกเพื่อโหนตัวขึ้นไปบนหลังคา แล้ววิ่งไปอย่างคล่องแคล่ว เงียบเชียบราวกับแมวป่าตัวหนึ่ง
ที่พงหญ้าใกล้โรงพัก บางสิ่งบางอย่างที่ไม่คุ้นตา ดูเหมือนจะเหาะเหินข้ามศรีษะพวกของยอดไป
ยอดเห็นเงาดำๆ ที่พื้นเคลื่อนที่ไป จึงรีบเงยหน้ามองหา
เบิ้มสงสัย “อะไรเหรอพี่”
“ข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรมันผ่านหัวไป เอ็งเห็นรึเปล่าวะ” ยอดว่า
เบิ้มส่ายหน้าอย่างงุนงง ขณะที่ยอดได้แต่รู้สึกประหลาดใจ
ที่บนกิ่งไม้กิ่งนั้น เก่งในชุดของนางสิงห์ดำ โหนตัวมายืนบนกิ่งไม้อย่างรวดเร็ว ปฏิบัติการณ์แรกกำลังเปิดฉากขึ้น ณ บัดนาว
จ่าไชโยกับหมู่โอฬารมาเปิดคลังแสงอาวุธประจำโรงพัก เพื่อหยิบปืนยาวสำหรับเข้าเวร
แทนที่จะได้ลั้นลาก๊งน้ำสีอำพัน จ่าไชโยเลยบ่นกระปอดกระแปด “เฮ้อ ไม่รู้จะเข้มงวดอะไรนักหนา มาถึงก็สั่งโน่นสั่งนี่ แทนที่จะเลี้ยงข้าวรับขวัญลูกน้อง ไม่มีล่ะ ทำงานแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนวะ”
หมู่โอฬารผสมโรง “นั่นสิจ่า ไอ้เรามันเช้าชามเย็นชาม แต่นี่ไม่มีสักชามทำงานแบบนี้มันเสียกำลังขวัญสุดๆ”
“ขืนปล่อยไว้จะยิ่งได้ใจ” จ่าไชโยปรารภ
หมู่โอฬารเอาด้วย “ถ้างั้นเราต้องแข็งข้อ ผู้กองจะได้รู้ซะบ้างว่าขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก”
จ่าไชโยร้องเพลง “วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก”
หมู่โอฬารร้องตามท่อนต่อมา “วันใดสำนึกแล้วเธอจะเสียใจ”
เสียงร้องเพลงของสองคู่หูหมู่กะจ่า ไชโยกับโอฬารที่ลอยมาแว่วๆ สามโจรที่อยู่ในห้องขังยังไม่หลับนอน กำลังปรึกษาหารือกันเครียดอยู่
“พี่…พี่แน่ใจรึเปล่าว่ากำนันศรจะส่งคนมาช่วยพวกเรา” ลูกน้องเอ่ยขึ้น
“ก็ลองไม่ส่งมาสิวะ ข้าจะแฉให้หมดเปลือกเลยว่ากำนันเป็นคนสั่งพวกเราให้ปล้นรถโดยสาร” ลูกพี่ท่าทางหงุดหงิด
“ฮึย ขืนทำแบบนั้นกำนันเอาตายเลยนะพี่” ลูกน้องอีกคนว่า
“เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะตายก่อน” ลูกพี่ใหญ่บอกฉุนๆ
เวลาเคลื่อนคล้อย ที่ป่าหญ้าใกล้โรงพัก ยอดมองพระจันทร์บนท้องฟ้า เห็นว่าดึกมากแล้วก็สั่งการ
“ลงมือ !!!”
สมุนคนหนึ่งหิ้วแกลอนน้ำมันปลีกตัวไปที่ข้างๆ โรงพักอีกทาง ตรงบริเวณเก็บวัสดุก่อสร้าง
สมุนของยอดย่องมาที่กองวัสดุก่อสร้างใกล้โรงพัก แล้วเอาน้ำมันราดจนทั่ว แล้วจุดไม้ขีด ไฟสว่างพรึ่บ เปลวเพิงลุกไหม้ตามรอยน้ำมัน
ธัมโมกำลังรื้อแฟ้มงานเก่าๆ ในห้องมาอ่าน ระหว่างตรวจเช็คหรือจัดเก็บอยู่นั้น จมูกเขาก็ได้กลิ่นเหมือนอะไรเหม็นไหม้ พร้อมทั้งเสียงหมาเห่าแว่วมา
“ใครมาเผาอะไร ดึกดื่นป่านนี้”
ธัมโมทะยานไปดูที่หน้าต่างห้องทำงาน มองฝ่าความมืดออกไป
“เฮ้ย ไฟไหม้”
ธัมโมรีบรุดออกมาเร็วรี่ เจอเข้ากับจ่าไชโยกับหมู่โอฬารที่หอบปืนออกมาพอดี
“ผู้กองไฟไหม้ครับ” จ่าไชโยรายงาน
“ผมเห็นแล้ว พวกคุณรีบดูเร็วเข้า ทางนี้ผมจัดการเอง”
“ครับผม” จ่าไชโยรับคำสั่ง
หมู่โอฬารสงสัย “ต้องเอาปืนไปด้วยมั้ยจ่า”
“ไฟไหม้ จะถือปืนไปทำป้าเหรอหมู่ วางไว้นี่ก่อน” จ่าไชโยบอก
สมุนคนเดิมย้อนกลับมาสมทบกับยอดที่จุดซ่อนตัว
“เรียบร้อยแล้วพี่ยอด”
ยอดพยักหน้า สายตายังจับจ้องไปที่หน้าโรงพัก และเห็นจ่าไชโยกับหมู่โอฬารลุกลี้ลุกลนไปดูที่ต้นเพลิง ยอดยิ้มกริ่มก่อนจะหยิบหมวกไหมพรมมาสวมอำพรางหน้าตา เบิ้มและลูกน้องคนอื่นทำตาม
ยอดให้สัญญาณ “บุกโว้ยพวกเรา”
เปลวเพลิงกำลังลุกลามโหมไหม้กองวัสดุ จ่าไชโยกับหมู่โอฬารมาถึง
จ่าไชโยแปลกใจ “อะไรของมันวะ จู่ๆไฟไหม้ได้ยังไง”
หมู่โอฬารรีบบอก “อย่าเพิ่งถามเลยจ่า ช่วยกันดับก่อนเถอะ”
ธัมโมอยู่ที่โถง กำลังชะเง้อดูเหตุการณ์เพลิงไหม้อยู่ที่หน้าต่างด้วยความกังวล แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงผิดสังเกตบางอย่างจึงหันไป และเห็นพวกของยอดกำลังบุกเข้ามาในโรงพัก
“เฮ้ย” ธัมโมตะโกนก้อง
แต่ยอดกับพวกยกปืนยิงใส่ธัมโมก่อน ธัมโมรีบชักปืนยิงสวนทันที เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว
จ่าไชโยกับหมู่โอฬารที่กำลังดับไฟที่โหมไหม้ตรงกองวัสดุก่อสร้าง หันไปทางโรงพักเพราะเสียงปืน
“เสียงปืนดังมาจากโรงพักนี่จ่า รีบกลับไปช่วยผู้กองกันเถอะ” หมู่โอฬารชวน
“เฮ้ยเดี๋ยว จะรีบไปตายเหรอหมู่ รอดูสถานการณ์ไปก่อนก็ได้”
หมู่โอฬารห่วงธัมโม “อ้าวแล้วผู้กอง…”
“ผู้กองเป็นคนเก่ง เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว เชื่อสิ”
หมู่โอฬารลังเลสองจิตสองใจ ระหว่างกลัวตายกับเป็นห่วงผู้กอง
ธัมโมยิงต่อสู้กับพวกของยอดอย่างดุเดือด
“มันสู้ไม่ถอยเลยพี่ยอด เอาไงดีพี่” เบิ้มชักหนักใจ
“เอ็งอ้อมไปด้านหลัง แล้วพานักโทษหนีไป ทางนี้ข้าจัดการเอง” ยอดบอกแผน
ทางด้านพวกโจรปล้นรถบัสที่อยู่ในห้องขังต่างกำลังกระวนกระวายกับเสียงปืน ก่อนที่จะเห็นเบิ้มปีนมาทางหน้าต่าง
“พี่เบิ้ม” โจร 1 ใน 3 ดีใจ
เบิ้มชักปืนออกมายิงแม่กุญแจทิ้งทันที
ธัมโมอยู่ในห้องโถงบนโรงพัก พอได้ยินเสียงปืนจากด้านหลังก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไอ้หมาลอบกัด โดนมันตลบหลังจนได้”
ยอดกับพวกระดมยิงใส่ธัมโมไม่ยั้ง ธัมโมยิงตอบโต้จนกระสุนหมดจึงรีบหลบเข้าที่กำบัง
“ไงวะผู้กอง เงียบแบบนี้ กระสุนหมดสิท่า ถึงคราวตายล่ะมึง” ยอดตะโกนเย้ย
ธัมโมมองไปเห็นปืนยาวที่จ่าไชโย กับหมู่โอฬารวางไว้บนโต๊ะก็ตัดสินใจพุ่งตัวออกไป
ธัมโมวิ่งฝ่าดงห่ากระสุน แล้วกระโดดไถลตัวลีลาอย่างเท่ ไปคว้าปืน ก่อนจะพลิกตัวพลิกกลับมากระหน่ำยิงใส่พวกยอด
“ไอ้เลวเอ๊ย มันไม่กลัวตายหรือไงวะ” ยอดอดทึ่งไม่ได้
เบิ้มและพวกโจรทั้งสาม กระโดดหนีลงมาทางหน้าต่างหลังโรงพักจนครบ เบิ้มยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณสามนัด
ยอดได้ยินเสียงสัญญาณก็สั่งกับลูกน้อง
“ไอ้เสือถอยโว้ย”
ธัมโมได้ยินเสียงยอดตะโกนบอกเช่นนั้นก็หูผึ่ง จะลุกขึ้นตามไป แต่ถูกพวกมันยิงสะกัดเอาไว้
เบิ้มสั่งการกับพวกโจร “รีบไปที่จุดนัดเร็ว”
จังหวะนั้นเอง พลองศอกข้างหนึ่งในมือนางสิงห์ดำ ยิงลูกตุ้มติดโซ่เส้นเล็กๆ มาพันกิ่งไม้ ก่อนที่จะเห็นนางสิงห์ดำกระโดดลงมายืนขวางทางเบิ้มกับพวกไว้
“เฮ้ย ใครวะ” เบิ้มแปลกใจ
นางสิงห์ดำสะบัดแขน พลางกดสวิทซ์กลไกที่พลองศอก ลูกตุ้มติดโซ่ถูกดึงกลับเข้าที่ นางสิงห์ดำสะบัดพลองศอกในมือขวับๆ ท่าทีโคตรคล่อง ก่อนจะตั้งการ์ดพร้อมลุย วาดเท้ากวาดเฉียงไปด้านหลัง จนบังเกิดเป็นรอยเสี้ยววงกลมบนพื้น
เบิ้มเห็นท่าไม่ดีจึงรีบยกปืนขึ้นเล็ง ทว่าจังหวะนั้นนางสิงห์ดำก็พลิกตัวเตะปืนในมือมันอย่างว่องไว จนหลุดมือไป แล้วประเคนพลองศอกเล่นงานมันจนเซไปหาพวกลูกน้องโจร
“จะยืนมองหาญาติอยู่ทำไมวะ ช่วยกันสิโว้ย” เบิ้มฉุนขาด
โจรทั้งสามได้สติ รีบกรูกันเข้าไปเล่นงานนางสิงห์ดำ แต่ทั้งหมดก็โดนฤทธิ์พลองศอกกระหน่ำจนเซถลาไปคนละทิศละทาง
จังหวะนั้นเองจ่าไชโยกับหมู่โอฬารที่เพิ่งเดินย้อนกลับมาที่โรงพัก หลังจากเห็นว่าเสียงปืนเงียบไป ทั้งคู่เมื่อเห็นฉากการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างนางสิงห์ดำกับพวกเบิ้ม จึงซุ่มดูด้วยความแปลกใจ
“อะไรวะนั่น” จ่าไชโยแปลกใจ
“ก็นักโทษไงจ่า มันกำลังหนี” โอฬารว่า
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงยัยชุดดำนั่นต่างหาก มันใครกันวะ” ไชโยหงุดหงิด
“ไม่ถามก็ไม่รู้หรอกจ่า แสดงตัวเหอะ”
“เออดี” จ่าไชโยตะโกนออกไป “เฮ้ยนี่ตำรวจ ทุกคนยกมือขึ้น”
เบิ้มเห็นตำรวจมาก็วิ่งหนีหายในความมืดทันที ขณะที่โจร 1 ใน 3 ที่ชื่อไอ้โปรย โผไปคว้าปืนของเบิ้มที่หล่นอยู่ขึ้นมาทำท่าจะยิงใส่ จึงถูกจ่าไชโยวิสามัญดับคาที่ ขณะที่อีกสองคนยืนตะลึง
“ไอ้โปรย”
หมู่โอฬารโผล่ออกมาคุมเชิงโจรทั้งสอง “อยู่เฉยๆ นะโว้ย ไม่งั้นยิงไส้แตก”
ขณะที่จ่าไชโยหันมาพูดกับนางสิงห์ดำ “เธอก็เหมือนกัน อย่าขยับ แล้วบอกมาซิว่าเป็นใครกันแน่
“ชั้นคือยมทูตแห่งบ้านไม้งาม คือคนที่จะมาลงทัณฑ์พวกคนร้าย”
ว่าแล้วนางสิงห์ดำก็เตะฝุ่นเตะใบไม้ใส่หน้า จ่าไชโยจนหันไป เก่งในคราบนางสิงห์ดำฉวยโอกาสนั้นยิงลูกตุ้มจากพลองศอกของตนไปพันกิ่งไม้ ก่อนจะกดกลไกดึงตัวเองหายลับไปในพริบตา
จ่าไชโยมารู้ตัวอีกที ก็อีตอนเห็นใบไม้ร่วงกราวจึงหันไปดูด้วยสีหน้าฉงน
“อ้าวเฮ้ย หายไปไหนแล้ววะ”
ภารกิจแรกของนางสิงห์ดำ หน้ากากแดง ที่หวังจะคืนความสงบสุขให้บ้านไม้งาม ลุล่วง!!!
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ตอนสายๆ ของวันต่อมา ข่าวเรื่องโจรบุกโรงพักบ้านไม้งามเพื่อชิงนักโทษปล้นรถบัสดังกระฉ่อน โดยเฉพาะที่ร้านกาแฟเถ้าแก่ตง ศูนย์กลางความเคลื่อนไหวและข่าวเม้าท์มอยประจำหมู่บ้าน
ระหว่างนั้นตาคง สัปเหร่อแก่หง่อม ไว้หนวดเหมือนตลกผู้ลาลับ จำรูญ หนวดจิ๋ม พูดเสียงเหน่อเหมือนล้อต๊อก ตลกในตำนาน กำลังนั่งโม้ให้เถ้าแก่ตงฟังอย่างออกรส
โดยมีหมวยใหญ่ที่กำลังชงกาแฟขายให้ครูเพิ่มอยู่ข้างหลัง คอยเงี่ยหูฟัง
“นี่ข้าไม่ได้โม้นะเถ้าแก่ เมื่อคืนนี้ยิงกันเละเทะเหมือนขี้เด็ก โรงพักงี้ฝาพรุนอย่างกับรังผึ้ง แต่ผู้กองธัมโมไม่เป็นอะไรเลย” ตาคงเปิดฉาก
เถ้าแก่ตงทึ่ง “แสดงว่าอีต้องมีพระดี”
ตาคงฝอยต่อ “แกหลบอยู่หลังโต๊ะโว้ย แต่ที่น่าประหลาดก็คือมีคนมาช่วย ขัดขวางพวกคนร้ายไม่ให้ปล้นนักโทษ”
หมวยใหญ่ถามอย่างสนใจ “ใครเหรอลุง”
“ใครไม่รู้ แต่จ่าไชโยบอกว่าเป็นผู้หญิง รูป ร่าง ดี”
เถ้าแก่ตงงงงวย “ฮ้า อีลูบข้างล่างไปแล้วเหรอ”
ตาคง “รูป! ร่าง ! โว้ย ข้าพูดไม่ชัด
เถ้าแก่ตงโล่งอก “อ้อแล้วไป ก็เห็นไอ้จ่ามันชีกอจะตาย เห็นผู้หญิงได้ที่ไหนขนาดลูกสาวอั๊ว มันยังจีบข้ามหัวอั๊วเลย”
หมวยใหญ่ยี้ “แหยะ ชั้นไม่เอาหรอกป๊า พวกผู้ชายเขี้ยวลากดินชั้นชอบซื่อๆ ใสๆ มากกว่า” พลางส่งกาแฟให้ครูเพิ่ม “อ่ะครูได้แล้วจ้ะ”
ครูเพิ่มรับกาแฟมา จ่ายเงินให้หมวยใหญ่ แล้วถามตาคงท่าทีสนใจ “เออแล้วตกลง ผู้หญิงที่โผล่มาเมื่อคืนเป็นใครเหรอลุง”
“ก็นั่นแหละที่ตำรวจเค้าสงสัย ใครไม่รู้ แต่บู๊ระห่ำเตะต่อยซะคนร้ายกลิ้งไปเลย ขอบอก”
ครูเพิ่มยิ่งนึกก็ยิ่งสนใจ
ที่หลังโรงพักก็ไม่ต่างกัน จ่าไชโยกำลังสวมบทบาทเป็นตัวเอง ส่วนหมู่โอฬารสวมบทบาทเป็นนางสิงห์ดำ กำลังจำลองสถานการณ์ให้ผู้กองธัมโมได้ดูเป็นขวัญตา
จ่าไชโยเอ่ยขึ้นอย่างที่พูดเมื่อคืนเด๊ะ “เธอก็เหมือนกัน อย่าขยับ แล้วบอกมาซิว่าเป็นใครกันแน่”
หมู่โอฬารดัดเสียงหญิงสาว “ชั้นคือยมทูตแห่งบ้านไม้งาม คือคนที่จะมาลงทัณฑ์พวกคนร้าย”
จบคำหมู่โอฬารก็ทำท่าเตะใบไม้ใส่หน้าจ่าไชโย วาดเท้าครึ่งวงกลม แล้วทำท่าโหนตัวหายไปให้ดู
จ่าไชโยมองหาท่าเดียวกะเมื่อคืน “อ้า หายไปไหนแล้ววะเนี่ย”
ผู้กองธัมโมมองด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ฮืม”
“เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นแบบนี้แหละครับผู้กอง” จ่าไชโยปิดจ๊อบ
“มันก็แปลกดีนะ ผู้หญิงลึกลับคนนี้ดูเหมือนจะอยู่ฝ่ายเราแต่เธอจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร”
ผู้กองนิ่งคิด ก่อนจะสั่งการ “หมู่จ่าคอยจับตาให้ดีนะ ผมว่าแม่สาวชุดดำคนนี้อาจเป็นคนในหมู่บ้านของเราก็ได้”
ริมแม่น้ำนอกเขตชุมชนหมู่บ้านที่มองเห็นเบื้องหน้าจะเห็นเป็นภูเขาลิบตา เก่งยืนมองสายน้ำก่อนจะละสายตามองไปที่ภูเขา
มันคือภูเขาลูกเดียวกับที่บัวกับเก่งหนีตายขึ้นไปด้วยกันในอดีตเมื่อ 13 ปีก่อน
“คุณบัว ไม่ว่าคุณบัวจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ก็ขอให้รับรู้เถอะว่าตอนนี้นังแก้วกำลังทำตามสัญญา นังแก้วจะล้างแค้นให้พ่อผู้ใหญ่” แก้วหรือเก่งรำพึง
เป็นจังหวะที่ผู้กองธัมโมกำลังขับรถกลับที่พัก แล้วผ่านมาเห็นเข้าพอดีเลยจอดดู
ผู้กองนึกสงสัยว่าหนุ่มหน้าเด็กมาทำอะไรที่นี่ “นั่นมันนายเก่งนี่หว่า มายืนทำอะไรของเขา”
เก่งยังยืนเหม่ออยู่อย่างนั้นก่อนที่ธัมโมจะเดินมาตบบ่า
“นายเก่ง”
เก่งเคลื่อนไหวร่างกายตามสัญชาติญาณ หญิงสาวจับแขนธัมโมทุ่มลงน้ำทันที
ธัมโมแหกปากร้องลั่น “เหวอออ อย่าๆ”
เก่งชะงักก่อนจะเปลี่ยนเป็นฉุน “อ้าวผู้กอง เล่นอะไรอยู่เนี่ย”
“ชั้นสิต้องถามนาย แค่ทักทายแค่นี้ ถึงกับต้องเหวี่ยงกันเชียวเหรอ”
“ทุ่ม ไม่ได้เหวี่ยง ก็คนมันตกใจนี่นา” เก่งว่า
“แปลว่าไม่ขอโทษใช่มั้ย”
เก่งลงนั่งยองๆ “อ้าว ก็ไม่ผิด ทำไมต้องขอโทษด้วยล่ะ อยากไม่ดูตาเรือตาม้าเองช่วยไม่ได้
“ก็ได้”
ธัมโมคว้าแขนเก่งลากมาตกน้ำด้วยกัน ธัมโมหัวเราะชอบใจ
เก่งโวยลั่น “เฮ้ยผู้กอง โธ่เว้ย ผมไม่ใช่เพื่อนเล่นผู้กองนะ แกล้งชาวบ้านมันสนุกนักหรือไง”
“ก็ช่วยไม่ได้ อยากซุ่มซ่ามเองนี่”
“ชิ”
“เอาน่า ถือว่าหายกัน เดี๋ยวชั้นไปส่งนายที่บ้าน”
เก่งไม่เต็มใจนัก แต่มองสภาพตัวเองที่เปียกไปหมดแล้วก็ไม่คิดปฏิเสธ
บรรยากาศภายในบ่อนเสี่ยเล้งบ่ายวันนี้ค่อนข้างคึกคัก มีชาวบ้านเล่นการพนันกันอย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง ลิ้นจี่เมียเก็บของกำนันศร กำลังลุ้นอยู่ที่วงไฮโล
“สูงๆๆๆ”
เจ้ามือเปิดถ้วยปรากฏว่าออกต่ำ ผู้เล่นหลายคนครางฮือ รวมทั้งลิ้นจี่
“โธ่ ออกต่ำได้ยังไงวะ บรรลัยแล้วนังลิ้นจี่เอ๊ย หมดกันค่ากับข้าวแล้วเย็นนี้จะเอาอะไรกินล่ะเนี่ย”
ที่ระเบียงหน้าเรือน กำนันศรเดือดดาลยิ่งนัก เมื่อทราบเรื่องจากพวกยอดและเบิ้ม ว่างานพลาด
“อะไรวะ พวกเอ็งแห่ไปตั้งเยอะ ยังพลาดอีกเหรอ”
“ชั้นไม่เกี่ยวนะพ่อกำนัน ลองถามไอ้เบิ้มมันดูสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น” ยอดบอก
เบิ้มรีบพูดขึ้น “เอ่อ ถ้าพูดไป พ่อกำนันต้องหาว่าชั้นบ้าแน่ๆ”
“ข้าเชื่อใจเอ็ง ว่ามาไอ้เบิ้ม” กำนันศรว่า
“เมื่อคืนมีผู้หญิงคนนึงหุ่นดี๊ดี ใส่ชุดรัดรูปมาขวางทางชั้นจ้ะ”
ขาดคำกำนันศรก็ถีบไอ้เบิ้มกลิ้งตกบันไดไปทันที
“เอ็งเมาหรือไงวะไอ้เบิ้ม หา!? เมาบ้องหรือเมาขวด ผู้หญิงแต่งชุดรัดรูปที่ไหนมาโผล่กลางค่ำกลางคืนวะ ป้าเอ็งมาหาลำไพ่พิเศษหรือไง ไอ้บ้า”
เบิ้มบ่นอุบ “กูว่าแล้วเชียว”
ยอดถามขึ้น “แล้วทีนี้จะเอายังครับพ่อกำนัน”
“เปลี่ยนแผนเว้ย เรื่องชิงตัวนักโทษคงหมดสิทธิ์แล้ว เหลืออยู่ทางเดียวก็คือปิดปากพวกมันซะ”
ระหว่างนั้นเองพวกยอด เบิ้มและสมุนหันไปเห็นลิ้นจี่ย่องกลับเข้าบ้านแล้วอ้อมไปปีนขึ้นด้านหลังแทน ลิ้นจี่แอบเอานิ้วจุ๊ปากไม่ให้ยอด เบิ้มหรือใครๆ ทัก
กำนันศรผิดสังเกต “มีอะไรวะ”
“เอ่อเปล่าจ้ะพ่อกำนัน ไม่มีอะไร” ยอดว่า
พอกำนันศรหันไปดูก็ไม่เห็นอะไรแล้ว
ลิ้นจี่กำลังใช้บันไดปีนเข้าบ้านอย่างกลัวๆ วาสนาผ่านมาเห็นเข้าพอดี
“พี่ลิ้นจี่”
“อร้ายตาเถรแม่เด้ง” ลิ้นจี่ตกใจอุทานออกมา พอหันมาก็ใจชื้น “โธ่น้องวาสนา พี่ตกใจหมดเลย”
“ทำอะไรน่ะ”
“อ๋อ พี่เพิ่งไปจ่ายกับข้าวมาจ้ะ ต..แต่ตังค์หายก็เลย…” ลิ้นจี่ตอแหล
วาสนาไม่เชื่อ รู้ทันอีกด้วย “หายอีกแล้วเหรอ ? หายที่บ่อนเสี่ยเล้งสิท่า”
“จ้ะ ติดหนี้เขาอยู่สองหมื่น” ลิ้นจี่สะดุ้ง “อร๊าย น้องวาสนา อย่าล้อเล่นแบบนี้สิจ๊ะ เดี๋ยวคนอื่น
เค้าจะเข้าใจผิดนะ”
“ไม่ผิดหรอกมั๊งพี่ลิ้นจี่ เพราะใครๆเค้าก็รู้ ว่าพี่มาอยู่กินกับพ่อชั้นก็เพราะเรื่องนี้” วาสนาเหน็บ
“นี่ พูดแบบนี้หาว่าพี่ปอกลอกกำนันเหรอยะ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก” ลิ้นจี่ของขึ้นถูกจี้ใจดำ
วาสนาเดินมาประชิด “ก็ลองสิ คิดว่าชั้นกลัวหรือไง”
ลิ้นจี่ฮึดฮัดไม่กล้าลงมือ ปล่อยให้วาสนาเดินผ่านไป
“ฮึ สักวันชั้นต้องเฉดหัวแกออกไปจากบ้านให้ได้ นังวาสนา”
วาสนาหงุดหงิดเรื่องลิ้นจี่นั่งเศร้าอยู่ที่ระเบียงสถานีอนามัยโดยมีย้งนั่งเป็นเพื่อน
วาสนาเอ่ยขึ้น “คนเราทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันถูกมั้ยย้ง”
“ต้องถูกสิครับคุณวาสนา เรื่องนี้มันเป็นสัจธรรมนะครับ” ย้งว่า
วาสนาย้อนถาม “แล้วทำไมย้งถึงโชคร้ายล่ะ
ย้งหันมาอึ้งๆ “เอ่อ..คือผมก็เป็นคนดีนะครับคุณวาสนา แต่สงสัยกรรมเก่าจะเยอะไปนิดนึง”
“ขนาดคนดียังโชคร้าย ถ้างั้นคนอย่างพ่อชั้น สักวันก็คง…”
วาสนาตัดพ้อ ใจไม่ดี ย้งขยับมานั่งใกล้ๆ
“ชั้นไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าจะปกป้องพ่อได้ยังไง พ่อมีลูกน้องตั้งมากมาย แต่คนพวกนั้นไม่มีใครจริงใจกับพ่อสักคน ชั้นกลัวนะย้ง ถึงพ่อจะเป็นคนเลว แต่ชั้นก็ไม่อยากเห็นพ่อถูกทำร้าย”
“อย่ากลัวไปเลยครับคุณวาสนา ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจะอยู่กับคุณผมจะช่วยคุณเองครับ” ย้งปลอบ
“เธอดีกับชั้นเหลือเกินย้ง” วาสนาซึ้งใจ
“ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่ครับ เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ผมไม่ทิ้งคุณวาสนาหรอกครับ”
วาสนาเอื้อมมือไปกุมมือย้งอย่างผูกพัน
ผู้กองธัมโมขับรถมาส่งหนูเก่งที่หน้าบ้านครูเพิ่ม
“นี่เหรอบ้านครูเพิ่ม” อ่านป้าย “รับซ่อมและซื้อขายอะไหล่ยนต์ นี่อย่าบอกนะว่านายจะมาเป็นช่างที่บ้านไม้งาม”
“ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องของผม ผู้กองจะถามไปทำไม” เก่งชักหงุดหงิด
“อ้าวก็ชั้นสงสัยนี่นา เห็นนายเตะต่อยเก่งอย่างกับนักมวยบอกหน่อยสิ แต่ก่อนทำงานอะไร”
“ก็เป็นนักมวยไง ไม่น่าถาม”
เก่งทำท่าฮึดฮัดแมนๆ ก่อนจะเดินหนีเข้าบ้าน ธัมโมเห็นท่าทางแล้วรู้สึกขำ ก่อนจะออกรถไป
“ตลกดีแฮะหมอนี่ ขี้งอนเหมือนเด็กไม่มีผิด”
เก่งกลับเข้าบ้านมาก็เจอครูเพิ่มรออยู่ในห้องรับแขก
เก่งชะงัก “ครู”
ครูเพิ่มเข้าเรื่อง “นังแก้ว เรื่องเมื่อคืน…เป็นฝีมือของเอ็งใช่มั้ย”
เก่งคิดนิดหนึ่ง แล้วพยักหน้าแทนคำตอบ
ครูเพิ่มซักต่อ “ถ้างั้น..เราคงต้องพูดเปิดอกกันซะที ข้าอยากรู้ว่าที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกับเอ็งกันแน่ แล้วเอ็งมีแผนอะไร…”
เก่งสบตากับครูเพิ่ม…เหมือนทำใจก่อนจะเล่าเรื่องในอดีต
“อย่าเรียกชั้นว่าแก้วอีกเลยครู เด็กผู้หญิงคนนั้นเค้าตายไปนานแล้ว”
ภาพน้ำตกค่อยๆ เลื่อนเข้ามากลบลบภาพของเก่งในปัจจุบัน เหตุการณ์เมื่อ 13 ปีก่อนฉายชัดขึ้นมาในหัวเก่งทันที
ร่างของแก้วที่ตกจากน้ำตก นอนหมดสติเกยฝั่งอยู่ริมลำธาร ขณะนั้นมีแมงป่องตัวหนึ่งกำลังไต่อยู่บนร่างของแก้ว แต่แล้วจู่ๆ ก็มีมีดสั้นเล่มหนึ่งพุ่งมาซัดร่างของสัตว์ร้ายไปปักติดกับต้นไม้
กลุ่มโจรสามเศียร อันมี เสือพราย เสือเทพ และเสือยักษ์ โผล่เข้ามาสามเสือร้ายนั่งอยู่บนหลังม้า
เป็นเสือเทพที่เป็นคนซัดมีดเล่มนั้น ก่อนจะลดมือลงพลางยิ้มอย่างสะใจ
เสือยักษ์เอ็ดเอา “ไอ้เทพ ร้อนวิชาเหลือเกินนะเอ็ง ถ้าเกิดโดนคนขึ้นมาจะยังไงวะ”
เสือเทพฟุ้ง “ฝีมือระดับเสือเทพ ไม่เคยมีคำว่าพลาดโว้ย”
เสือยักษ์ส่ายหน้าเอือมๆ ขณะที่เสือพรายลงจากหลังม้าเดินไปดูร่างของ เด็ญหญิงแก้ว
ยินเสียงของเก่งเล่าประกอบจนเห็นเป็นภาพ
“คนที่ช่วยชั้นเอาไว้คือพวกโจรสามเศียร กลุ่มโจร ที่ชาวบ้านร่ำลือว่ามีวิชาอาคม จะเรียกว่าเป็นพรหมลิขิตหรือความบังเอิญก็ว่าได้ ที่หน้าตาของชั้นดันคล้ายกับใครบางคน”
จังหวะที่เสือพรายพลิกดูหน้าของแก้ว แล้วก็ถึงกับผงะตกใจ
“ลูกพ่อ…”
เสือยักษ์กับเสือเทพมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ ขณะที่เสือพรายจดสายตาจ้องแก้ว ปากคอสั่นเหมือนจะร้องไห้
ไม่นานต่อมา ที่บริเวณหน้าถ้ำรังโจรสามเศียร แก้วนั่งห่มผ้าอยู่มองตาแป๋ว ขณะที่สามเสือกำลังทะเลาะกันเสียงดังเอ็ดตะโร ท่าทางเสือยักษ์นั้นไม่เห็นด้วยเอาเสียเลย
“เอ็งจะบ้าหรือไงไอ้พราย ลูกชายเอ็งตายไปนานแล้ว เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกเอ็ง มันเป็นเด็กผู้หญิง”
เสือเทพเสริมขึ้น “เราเป็นโจรนะโว้ยไอ้พราย เราต้องปล้น ต้องหนีการตามล่าแล้วเอ็งจะมีลูกได้ยังไง”
“ข้าขอเหอะวะเพื่อน สวรรค์เมตตาข้าแล้ว ถึงได้ส่งเด็กคนนี้มาให้ถ้าพวกเอ็งยอมรับมัน ชาตินี้ข้าจะไม่ลืมบุญคุณพวกเอ็งเลย” เสือพรายว่า
เสือยักษ์หน้านิ่วเถียงไม่ออก ขณะที่เสือเทพถอนใจเดินหนีไปอีกทาง เสือพรายหันไปมอง แก้วแล้วยิ้มให้อย่างเอ็นดู แก้วรู้สึกตะขิดตะขวงอยู่นิดหนึ่งก่อนจะยิ้มรับไมตรี
วันเวลาผ่านไป
เก่งเล่าต่อ “สวรรค์เมตตาชั้นเหมือนกัน ชั้นเคยภาวนาขอให้ตัวเองมีครอบครัวเหมือนคนอื่น ในที่สุดชั้นก็มีพ่อบุญธรม อาบุญธรรม และลุงบุญธรรมพร้อมๆ กัน”
เวลาต่อมา เด็กหญิงแก้วแต่งตัวเหมือนผู้ชายกำลังเย็บซ่อมเสื้อผ้าให้เสือพราย แต่แล้วเสือยักษ์ก็ตรงมากระชากเสื้อไปจากมือ
“เอ็งจะเย็บผ้าไปทำไมไอ้แก้ว เป็นลูกผู้ชายมันต้องฝึกการต่อสู้โว้ย”
แก้วหน้าเหวอ คิดในใจนี่หนูเป็นผู้หญิงนะว๊อย
วันเวลาเคลื่อนคล้อยล่วงเลยมาอีก เสือยักษ์กำลังตั้งการ์ดมวยเผชิญหน้ากับเก่ง
“วิชามวยของเอ็งมันแค่ชั้นปลายแถว ต่อไปข้าจะสอนมวยโบราณทุ่มทับจับหักให้เอ็งเรียนไว้” เสือยักษ์ ขยับการ์ดไปมา “บุกเข้ามา”
แก้วกัดฟันบุกเข้าชกต่อยเสือยักษ์เห็นเสือยักษ์หลบหลีกปัดป้องก่อนจะชกเปรี้ยงใส่แก้วอย่างไม่ปรานี
เวลาผ่านไปอีก สีหน้าแก้วซึ่งโตเป็นสาวเบิกตาตกใจเมื่อเห็นเสือเทพยื่นมีดกับปืนให้เลือก
“ไอ้หลานชาย เอ็งจะให้อาสอนอะไรก่อน มีดหรือว่าปืน”
แก้วมองกิริยา กลัวๆ กล้าๆ เสือเทพฉีกยิ้ม
“ถ้าไม่ชอบอาวุธพวกนี้ จะเอาเป็นอย่างอื่นก็ได้นะ คมแฝก ธนู สนับมือ มีดดาบ อาถนัดทุกอย่าง และรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอาวุธทุกประเภท”
เวลาผ่านไปอีก แก้วหัดยิงปืนอยู่ ต่อมาเสือเทพสอนซัดมีด แก้วก็เรียนซัดมีดแข็งขัน ด้วนเสือเทพสอนควงดาบ แก้วฝึกควงดาบตาม และเป็นเสือเทพที่สอนให้แก้วควงพลอง
อีกบทเรียนหนึ่ง เสือพรายมีโซ่ผูกข้อมือตัวเอง แล้วพยักหน้าให้แก้วล็อกแม่กุญแจ
“คาถานี้มีชื่อว่าเสือสะบัดลาย ไม่ว่าโซ่ตรวนหรือเชือกผูกแน่นหนาแค่ไหนก็พันธนาการคนรู้คาถานี้ไม่ได้”
เสือพรายท่องคาถาขมุบขมิบแล้วพ่นมนต์ก่อนจะร้องออกมา
“สะบัด”
เสือพรายสะบัดข้อมือ โซ่ร่วงไปกองที่พื้นทั้งๆ ที่แม่กุญแจยังไม่ได้ปลดล็อค แก้วถึงกับตะลึง
เสือพรายยักคิ้ว “พ่อเจ๋งมั้ยลูก”
เด็กหญิงแก้วชูหัวแม่มือให้ เสือพรายหัวเราะอย่างมีความสุข ดึงแก้วมากอดด้วยความรัก เหมือนว่ามันเป็นพ่อแท้ๆ ของแก้ว ยังไงยังงั้น
เรื่องเล่าถูกคั่นเวลา เพราะคนเล่าก็โหย คนฟังก็หิว เวลานั้นผักบุ้งถูกเทลงผัดในกระทะโดยฝีมือครูเพิ่ม ขณะที่เก่งกำลังยืนสับหมูอยู่ข้างๆ
“นี่ยังไม่จบอีกเหรอวะ” ครูเพิ่มถาม เพราะฟังมาจนเหนื่อยและหิว
“ก็บอกแล้วไงว่าเรื่องมันยาว ครูทนฟังอีกนิดนึงเหอะ”
“เอ้า ถ้างั้นเล่ามา เร็วๆ นะ จวนจะได้เวลากินข้าวแล้ว”
เก่งพยักหน้า แล้วเหม่อมองไป ก่อนจะเล่าเรื่องราวหนหลังต่อ
“ชั้นใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ขึ้นบางอย่าง”
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 2 (ต่อ)
เหตุการณ์ในวันนั้น เกิดขึ้นที่หน้ากระท่อมของสาวชาวบ้าน ซึ่งอาศัยอยู่กับพ่อชรา มีนักเลงสามคนกำลังต่อยชายแก่จนล้ม และฉุดคร่าหญิงสาวไปกับพวกมัน
แก้วเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ด้วยความสงสัย
“พ่อ! ปล่อยชั้น ชั้นไม่ไป ชั้นจะอยู่กับพ่อ”
เก่งปราดออกมาขวางพวกนักเลง
“เอ็งเป็นใครวะไอ้หน้าอ่อน” คนหนึ่งไม่พอใจ
“พวกแกเป็นโจรก๊กไหน”
“เฮอะ โจรบ้าบออะไรวะ ข้าเป็นคนของทางการโว้ย” คนที่ถามเก่งบอกหน้าเฉย
“เจ้านายให้พวกข้ามาเก็บส่วยชาวบ้าน ใครไม่มีจ่ายก็ต้องเจอแบบนี้” นักเลงอีกคนบอก
แก้วมองชายแก่ที่นอนกระอักเลือดอยู่ แล้วมองไปที่หญิงสาวที่กำลังร้องไห้อย่างสิ้นหวัง แล้วมองพวกนักเลงอย่างแค้นใจ นักเลงคนหนึ่ง เห็นท่าไม่ดีจึงตัดสินใจชักปืนของตัวเองออกมา เก่งเปิดฉากชักปืนยิงแสกหน้ามัน จนล้มทั้งยืน
“เฮ้ย!” / “ลูกพี่”
นักเลงทั้ง 2 รีบชักปืนยิงใส่ แก้วกระหน่ำยิงพวกมันไม่ยั้ง
คืนนั้นแก้วกลับมานั่งถึงรังเสือ นั่งคุยกับเสือพราย เสือเทพ เสือยักษ์ที่ข้างๆ กองไฟ สีหน้าทุกคนหมองเศร้า เพราะสะท้อนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เก่งหรือแก้วเล่าเรื่องต่อ “โจรสามเศียรปล้นคนรวยช่วยคนจน แต่คนของทางการกลับปล้นชาวบ้านตาดำๆอย่างไร้ยางอายแผ่นดินลุกเป็นไฟ เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าเพราะคนพวกนี้”
สีหน้าโจรสามเศียรแต่ละคน ทั้งเสือพราย เสือเทพ เสือยักษ์ ดูจะกังวลเมื่อรู้ว่าเก่งตัดสินใจ
เก่งเล่าต่อทันที “คืนนั้นชั้นตัดสินใจว่า มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับบ้านไม้งาม”
เสือยักษ์ค้าน “มันเสี่ยงมากนะไอ้แก้ว เอ็งตัวคนเดียวจะสู้กับกำนันศรได้ยังไง”
เสือเทพออกไอเดีย “ถ้างั้นพวกเราก็ไปกับมันสิวะ จะได้ช่วยกันล้างบางพวกโกงบ้านกินเมือง”
เก่งรีบห้าม “อย่าเลยอา พวกอาเป็นนักโทษหนีคดี ถ้าโผล่ไปต้องมีคนจำได้แน่เรื่องนี้ให้ชั้นค่อยๆ จัดการดีกว่า”
เสือพรายหน้าหมอง “แต่พ่อเป็นห่วงเอ็งไอ้แก้ว ถึงไงเอ็งก็เป็นผู้หญิงนะ”
“ชั้นเป็นผู้ชายต่างหาก พ่อกับอาแล้วก็ลุงเคยเห็นชั้นเป็นผู้หญิงซะที่ไหนกัน” เก่งว่า
เสือเทพนิ่งคิดสักพัก “ถ้างั้นข้าจะให้ของดีเอ็งไว้ติดตัวไอ้หลานชาย”
เสือเทพลุกไปหยิบสัมภาระในถ้ำ แล้วหยิบพลองศอกคู่หนึ่งออกมา
“พลองศอกคู่นี้ เป็นอาวุธที่ข้าออกแบบขึ้นเอง ข้าเคยใช้มันปราบพวกคนร้าย แต่พอมาเป็นโจรเสียเอง ข้าก็ไม่เคยแตะต้องมันอีกเลย” ส่งให้เก่ง “ข้างในมีกลไกซ่อนอยู่ เอ็งใช้ระวังหน่อยนะ”
เสือพรายถอดตะกรุดห้อยคอ “ตะกรุดนี่เป็นเครื่องลางที่อาจารย์ของพ่อให้มาสรรพคุณอยู่ยงคงกระพัน ป้องกันอาวุธร้ายได้สารพัดอย่าง เอ็งเก็บไว้นะ”
เสือยักษ์โวย “อ้าวฉิบหาย มีของกันหมดเลยเหรอวะ ไอ้แก้ว ลุงไม่มีเว้ย”
“ไม่เป็นไรหรอกลุง แค่วิชามวยที่ลุงสอนให้ชั้น ก็มากพอแล้ว”
เสือยักษ์บอกสีหน้าจริงจัง “ถ้างั้นเอ็งจำคำพูดของลุงเอาไว้ให้ดีนะ ฟ้าดินศรัทธาคนกล้า ปกปักษ์รักษาคนดี ไม่ว่าอยู่หรือตายเอ็งจะมีชีวิตอยู่อย่างภาคภูมิใจ”
“ชั้นจะเป็นคนกล้า ชั้นจะเป็นคนดี ชั้นสัญญาจะลุง”
เสือยักษ์พยักหน้าอย่างพอใจ ขณะที่เสือพรายยังคงมองเก่งด้วยความเป็นห่วง
เวลาผ่านไปพวกโจรสามเศียรนอนหลับกันหมดแล้ว แต่เก่งยังนั่งเย็บบางสิ่งบางอย่างอยู่ เมื่อมองใกล้ๆ จะเห็นว่าสิ่งที่เก่งเย็บก็คือหน้ากากนั่นเอง เก่งเย็บไปนึกถึงความหลังวัยเด็ก ที่เคยอ่านการ์ตูนเรื่องอัศวินหน้ากากดำกับบัว สีหน้ามุ่งมั่นมาก
ตอนสายวันต่อมาเสือพรายควบม้ามาจากทางหนึ่งแล้วหยุดรอที่บริเวณปากทาง สักครู่ก็เห็นเสือยักษ์กับเสือเทพควบม้ามาด้วยกัน สามเสือสนทนากัน
“ข้าได้ของมาแล้วไอ้พราย เสื้อผ้าผู้ชายตามแบบที่เอ็งสั่ง” เสือเทพเอ่ยขึ้น
“ข้าก็ได้วิกผมมาแล้วเหมือนกัน แหม กว่าจะกล่อมนังช่างทำผมได้ เล่นเอาเลือดตาแทบกระเด็น” เสือยักษ์ว่า
เสือเทพแซว “กล่อมที่ไหนวะ เอ็งขู่ว่าจะปล้ำมันต่างหาก มันถึงได้ยอมขายวิกให้”
เสือยักษ์เถียงลั่น “ไม่ได้ขู่ ให้ทำจริงก็ยังไหว ยังปึ๋งปั๋งอยู่เว้ย ฮ่าๆๆๆ”
เสือพรายยิ้มขำ “ขอบใจพวกเอ็งมากเพื่อน ทีนี้ข้าจะได้วางใจซะที”
เสือเทพฉงน “เอ็งจะเอาของพวกนี้ไปทำไมวะไอ้พราย”
“ไอ้แก้วมันจะกลับคืนถิ่น ข้าไม่อยากให้ศัตรูของมันจำได้” เสือพรายคิดอย่างถ้วนถี่แล้ว
ครู่ต่อมาทั้ง 4 คน อยู่บริเวณริมถนนลูกรังใกล้ชายป่า ม้าสามหรือสี่ตัวถูกผูกไว้ด้วยกัน สามเสือมาส่งหลานชายเอ้ยหลานสาวที่ริมถนน แก้วแปลงโฉม เป็นหนุ่มตี๋หน้าหล่อเรียบร้อย
“เดินตามถนนนี่ไปเรื่อยๆ เอ็งจะเจอกับท่ารถ โชคดีนะไอ้แก้ว” เสือเทพเอ่ยขึ้น
“เจอพวกโกงบ้านกินเมืองเมื่อไหร่ ฝากกระทืบหน้าเผื่อลุงด้วยนะโว้ย” เสือยักษ์ว่า
“ไอ้แก้ว ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก ถ้าถึงคราวคับขันเมือไหร่ให้เอ็งอธิษฐานจิตคิดถึงพระครูที่เป็นอาจารย์ของพ่อเอาไว้ แล้วเอ็งจะปลอดภัย” เสือพรายบอก
“จ้ะพ่อ พ่อกับลุงแล้วก็อา ดูแลตัวเองดีๆนะ อย่าดื่มเหล้าเยอะเวลาจะปล้นต้องต้นทางให้แน่ใจก่อน ถ้าเจอพวกทางการเมื่อไหร่ให้รีบหนี อย่าสู้นะ”
เก่งพูดปากคอสั่น เสือพรายขยับเข้ามากอดด้วยความอาวรณ์ เสือเทพกับเสือยักษ์มองหน้ากันแล้วเข้าไปกอดด้วย
เสือเทพสั่งเสีย “ทำใจดีๆ เอาไว้ไอ้เก่ง พวกเราต้องเจอกันอีกแน่ เชื่ออาเถอะ”
เก่งพยักหน้าน้ำตาคลอ
เก่งดึงตัวเองกลับมา ในขณะที่ครูเพิ่มตักข้าวกินเคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนจะเงยหน้าถาม
“จบยังวะ”
“จบ”
“สรุปว่าเอ็งกลับมาที่นี่เพื่อแก้แค้นกำนันศร”
“ใช่ ชั้นอยากให้ครูช่วยชั้นฆ่ากำนันศร และกวาดล้างอิทธิพลเถื่อนในบ้านไม้งาม
ครูเพิ่มนิ่งคิดอยู่นาน “ถ้าข้าปฏิเสธ…เอ็งจะว่ายังไง”
เก่งมองหน้าครูเพิ่มอย่างผิดหวัง และเหมือนจะไม่พอใจนัก ครูเพิ่มไม่ได้พูดเล่น
สองคนครูและศิษย์ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวในห้องรับแขก มองสบตากัน เมื่อครูเพิ่มปฏิเสธที่จะช่วยงานเก่ง
“อย่าล้อเล่นน่ะครู” เก่งเอ่ยขึ้น
ครูเพิ่มไม่ยอมตอบอะไร วางจานข้าวแล้วมองหน้าเก่งอย่างจริงจัง
“ผู้ใหญ่ทองต้องตาย ก็เพราะเชื่อในอุดมการณ์ของครูครูสอนให้คนอื่นต่อสู้ แล้วครูล่ะ ครูทำอะไรบ้าง นอกจากทิ้งทุกอย่าง มาเป็นไอ้ขี้เมา” เก่งระเบิดความรู้สึกคับแค้น
ครูเพิ่มไม่ตอบอีก และหลบสายตาซ่อนหน้าด้วยความละอายใจ
เก่งลุกขึ้นร้องขึ้น “ชิ” แล้วทำท่าผลุนผลันจะไปจากวงอาหารเพื่อจะเดินกลับเข้าห้อง ครูเพิ่มรีบคว้าแขนหมับ
“แก้ว”
แก้วสะบัดแขนสุดแรงจนครูเพิ่มเสียหลักเซไปชนโต๊ะ ขวดเหล้าที่วางอยู่ร่วงลงมาแตกดัง เพล้ง
“ไอ้เพิ่ม” เสียงผู้ใหญ่ศรตอนยังไม่ยิ่งใหญ่ในฐานะกำนันศร ดังแว่วเข้ามาพร้อมๆ กับภาพจำที่ผุดในหัวครูขี้เมา
ครูเพิ่มสมัยอดีตยังเป็นครูโดนอัดติดข้างฝาในห้องรับแขกแห่งนี้ ก่อนที่นายศรจะตามมากระชากคอ
“เอ็งยุผู้ใหญ่ทอง แถมยังปลุกปั่นชาวบ้านให้มาต่อกรกับข้าเอ็งอยากตายใช่มั้ย” ศรคาดคั้นจ้องหน้าแววตาดุดัน
ครูเพิ่มยกมือไหว้ “เปล่า ชั้นเปล่านะผู้ใหญ่ศร ชั้นเป็นครู ชั้นก็ว่าไปตามตำรา ชั้นสาบาน ต่อไปนี้ชั้นจะไม่พูด ไม่สอนใครแบบนั้นอีก ไม่เอาแล้ว”
“พูดปากเปล่า เดี๋ยวเอ็งก็ลืม” ศรรับปืนมาจากลูกน้อง “มันต้องจดบันทึกด้วยไอ้นี่”
ครูเพิ่มตะโกนก้อง “อย่า…อย่า”
ศรไม่สนกดปากกระบอกปืนยิงเข่าของครูเพิ่มเข้าเต็มรัก เปรี้ยง!!
ครูขี้เมาเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ ครูเพิ่มทรุดตัวลงนั่ง แววตายังระอุไปด้วยคราบน้ำตาแห่งความเจ็บแค้น หูยังแว่วยินเสียงตัวเองร้องโหยหวนอยู่ในอดีต ครูเพิ่มเอื้อมมือไปกุมเข่าของตัวเองก่อนจะมองไปยังรูปถ่ายของผู้ใหญ่ทองรำพึงออกมา
น้ำตาคลอ “ยกโทษให้ชั้นด้วยผู้ใหญ่ทอง แต่ชั้น..ชั้นทำไม่ได้จริงๆ ชั้นมันขี้ขลาด…ชั้นมันตาขาว”
ใบหน้าผู้ใหญ่ทองในรูปที่ถ่ายคู่กับครูเพิ่มในห้องรับแขก เหมือนกำลังมองมา ภาพจำฝังใจผุดขึ้นมาในหัวครูเพิ่มอีกครั้ง
บ่ายวันนั้น ตรงชานเรือนบ้านผู้ใหญ่ทองยามนั้น ผู้ใหญ่ทองกับครูเพิ่มนั่งดื่มกินกันอยู่ในยามแดดร่มลมตก บรรยากาศท้องนาดูงดงาม ครูเพิ่มรับรูปถ่ายมาดู และพลิกอ่านข้อความด้านหลังซึ่งเป็นลายมือผู้ใหญ่ทองเขียนไว้ ครูเพิ่มอ่าน
“พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่ห์คง สำคัญหมายในกายมี”
ครูเพิ่มชะงักไปเพราะรู้สึกคุ้นๆในกลอนบทนี้ ขณะที่ผู้ใหญ่ทองจิบเหล้าเสร็จก็ท่องที่เหลือออกมาด้วยความหนักแน่น
ผู้ใหญ่ทองต่อให้ “นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา”
ครูเพิ่มขำ “ไม่ยักรู้ว่าผู้ใหญ่สนใจเรื่องกลอน”
ผู้ใหญ่ทอง “เปล่าหรอกครู แต่ชั้นรู้สึกว่ากลอนบทนี้มันถูกใจชั้น” มองมาที่ครูเพิ่ม “คนเราเกิดมาไม่ควรเสียชาติเกิด ก่อนตายน่าจะฝากคุณงามความดีไว้กับแผ่นดินบ้าง”
“ชั้นเห็นด้วย เกิดเป็นคนทั้งที ต้องมีสำนึก ต้องรู้จักแทนบุญคุณให้แผ่นดิน” ครูเพิ่มว่า
“ถ้าข้าราชการทุกคนคิดเหมือนครูกับชั้น บ้านเมืองคงร่มเย็นกว่านี้”
ครูเพิ่มยิ้มรับก่อนจะมองรูปถ่ายนั้นอีกครั้ง
ยินเสียงปืนวันที่ผู้ใหญ่ทองถูกฆ่า ดังลอดเข้ามา
วันเวลาเคลื่อนคล้อย ราตรีมาเยือนบ้านไม้งาม และข้ามพ้นวัน ก้าวเข้าสู่เข้าวันใหม่อีกคราครั้ง
เช้านั้นวาสนาปั่นจักรยานมาจอดหน้าร้านเถ้าแก่ตงแล้วดีดกริ่งเรียก
“กาแฟเย็นกระติกนึงค่ะเถ้าแก่”
เถ้าแก่ตงรับออร์เดอร์ “ฮ่อๆ ได้เลยหนูวาสนา เดี๋ยวอั้วจัดให้น่อ”
“ป๊าไม่ต้อง อั้วเอง”
ย้งก้าวพรวดแทบเป็นวิ่งทะยานมาจากในบ้าน แล้วกระชากกระติกวาสนาไปจากมือพ่อ เบียดเถ้าแก่ตงแทบล้มคว่ำ
วาสนาเห็นแล้วขำ “ย้ง”
เถ้าแก่ตงโวย “โอ้โหอาย้ง ลื้อจะรีบไปไหน ชนซะอั้วแทบกลิ้ง”
“โทษทีป๊า ก็อั้วอยากช่วยป๊านี่”
เถ้าแก่ตงโวยไม่เลิก แถมหักหน้าลูกชายอีก “ช่วยเช่ยอะไรของลื้อ ทีลูกค้าคนอื่นลื้อเคยช่วยที่ไหน”
จังหวะนั้นหมวยใหญ่นวยนาดถือไม้ขนไก่ออกมาดู “แหมป๊า ก็น้องวาสนาเค้าเป็นเพื่อนสมัยเรียนของอาย้ง อีก็เลยอยากบริการให้เป็นพิเศษ” ยิ้ม “ลื้ออย่าไปยุ่งเลย”
ย้งยิ้มให้วาสนาพร้อมชูสามนิ้ว “ไม่หวาน ไม่ใส่นม ไม่ขม”
วาสนาพยักหน้าพอใจ “ฮืม”
ย้งรีบชงกาแฟอย่างโคตรรีบร้อนตั้งใจ เถ้าแก่ตงกับหมวยใหญ่แอบมอง
เถ้าแก่ตงรำพึงเบาๆ “ไอ้ลูกเป็ดเอ๊ย อยากได้เมียเป็นหงส์ฟ้า ฝันไปเหอะมึง”
หมวยใหญ่ตีแขน “ป๊า เบาๆ”
พ่อลูกจ้องย้งที่ยังคงตั้งใจชงกาแฟพลาง ยิ้มให้วาสนาไปพลาง
ครู่ต่อมา ย้งปั่นจักรยานมาตามทาง จะไปส่งวาสนาที่อนามัย ขณะที่วาสนานั่งซ้อนท้ายจิบกาแฟจากกระติกอย่างสบายอารมณ์ ย้งร้องเพลงจีนเสียงทุ้มหวานน่าฟัง แถมเอื้อนลูกคอตอนจบจนสะท้าน วาสนาหัวเราะขำ
“ชอบเหรอครับคุณวาสนา”
วาสนาแซว “เปล่า ที่หัวเราะน่ะเพราะฟังไม่ออก”
“แหม เพลงรักจะภาษาไหน มันก็คือเพลงรักนั่นแหละครับ แปลไม่ออกไม่เป็นไรครับ แค่รู้สึกได้ก็พอแว้ว” ย้งปล่อยมุก
วาสนายิ้มขำอีก ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นรถคันหนึ่งแล่นมาเทียบใกล้ๆ เห็นคนขับคือนายมิ่ง คนที่โดยสารมาคือนายจำเริญ หมอนั่นลดกระจกหน้าต่างลงส่งยิ้มให้วาสนา
“จะไปทำงานเหรอจ๊ะน้องวาสนา”
“ค่ะพี่จำเริญ” วาสนาทักด้วยมารยาท
“แหม ไปมาลำบากนะเนี่ย น่าจะบอกพี่แต่แรกจะได้ไม่รบกวนอาตี๋มัน” จำเริญแดกดันย้ง
ย้งหันขวับ “น้อยๆหน่อยเฮีย ลื้อก็ตี๋เหมือนกันแหละ”
จำเริญคุยข่ม “ตี๋มีระดับเว้ย ไม่เหมือนลื้อ ไอ้ตี๋ระดับล่าง ฮ่าๆๆๆ”
รถจำเริญแล่นจากไปแล้ว ย้งได้แต่ขมุบขมิบปากด่าตามหลังอย่างหงุดหงิด
“ไม่หล่อแล้วยังปากเสียอีก คุณวาสนาอย่าไปสนใจมันนะครับ ไอ้คนแบบนี้”
“จะไม่สนได้ยังไงย้ง ก็เสี่ยเล้งพ่อเค้าเป็นหุ้นส่วนกับพ่อชั้นนี่ทำไงได้”
ย้งได้ฟังแล้วก็ยิ่งหนักใจ
ด้านจำเริญนั่งฮึดฮัดอยู่ในรถซึ่งลูกน้องกำลังขับมาตามทาง มองกระจกข้างอย่างฉุนๆ
“หมั่นไส้ไอ้ย้งมันจริงๆ ตามติดน้องวาสนาอย่างกับตังเมอั้วจะจีบน้องเค้าซะหน่อยก็ไม่ได้ ไอ้กอขอคอ!!”
มิ่งรีบสอพลอเอาใจนาย “เป่าซะเลยมั้ยครับเสี่ย”
“เฮ้ย คนนะเว้ยไม่ใช่หนังยาง เอะอะก็เป่าอยู่ได้” นิ่งคิด “ของแบบเนี้ย มันต้องใช้ฝีมือโว้ย ไม่ได้เล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล”
จำเริญบอก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
เก่งเดินล้วงกระเป๋าเตะฝุ่นมาในอาการฉุนเฉียว อยู่ละแวกบ้านกำนันศร
“ฮึ หมั่นไส้ ก็แค่อดีตครูขี้เมา ไม่ช่วยก็ไม่เห็นต้องง้อเลยคอยดูเหอะ นังแก้วคนเดียวนี่แหละจะล้างบางพวกคนชั่วให้หมด”
ระหว่างนั้นหมู่โอฬารก็ขับรถจี๊ปพาจ่าไชโย และผู้กองธัมโมเลี้ยวเข้าไปในบ้านกำนันศร ทั้งหมดอยู่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศ
“ฮึย นั่นผู้กองขี้เก๊กนี่หว่า… แต่งเต็มยศ จะไปไหนของเค้า”
เก่งมองตาม แว่วเสียงเพลงขับคลอดนตรีแทรกเข้ามา
เป็นเสียงส่งจากในห้องรับแขกบ้านกำนันศรเวลานั้น ลำโพงที่ติดตั้งไว้ กำลังกระจายเสียงเพลงลูกทุ่งเจื้อยแจ้ว แว่วหวาน โดยมีเสียงกำนันศรพูดทับช่วงอินโทร
“ก่อนจากกันวันนี้ ขอให้พ่อแม่พี่น้องชาวบ้านไม้งามทุกคนจำไว้ว่า...”
กำนันศร พูดต่อทับช่วงอินโทรของเพลง
“บ้านไม้งามจะปลอดภัย หากไม่ขัดใจผู้นำ ด้วยรักและปรารถนาดีจากกำนันศร”
กำนันศรสับสวิทซ์ แล้ววางไมโครโฟนจ่อไปที่วิทยุเพื่อถ่ายทอดเสียงเพลงไปเรื่อยๆ แล้วหันไปจิบชา จังหวะนั้นยอดที่รออยู่ก็เข้ามารายงานอะไรบางอย่าง สักครู่กำนันศรก็หันมามอง
ลิ้นจี่ส่ายสะโพกซ้ายโยกย้ายสะโพกขวามาตรงหน้าเรือนบ้านกำนันศร ธัมโม ไชโย และโอฬารที่นั่งรออยู่ ธัมโมยิ้มรับซื่อ ขณะที่ไชโยกับโอฬารแอบเหล่ส่งซิกกันในความเอ็กซ์ของลิ้นจี่
“น้ำหวานค่ะผู้กอง”
ธัมโมรับน้ำมา “ขอบคุณครับ คุณเอ่อ...”
ลิ้นจี่ชมดชม้อยชายตา แนะนำตัว “ลิ้นจี่ค่ะ ลิ้นจี่เมียกำนันศร”
จบคำลิ้นจี่วางถาดก็ไม่สนใจใส่จิ้วจะบริการคนอื่น เธอรีบเบียดตัวนั่งข้างๆ ธัมโม จนไชโยกับโอฬารเกือบตกม้านั่ง
“แหมลิ้นจี่ได้ยินชาวบ้านเค้าลือให้แซ่ด ว่าผู้กองคนใหม่ของบ้านไม้งามน่ะหล๊อหล่อ เพิ่งได้เห็นตัวจริงวันนี้เอง หล่อกว่าที่คิดซะอีก ไม่ทราบว่าผู้กองมีครอบครัวรึยังคะ”
“ผมยังโสดครับ” ธัมโมบอกนิ่งๆ
ลิ้นจี่กรี๊ดกร๊าด “อร้ายยย เหรอคะ แหม...น่าร๊าาาากอ่ะ ทั้งหล่อ ทั้งโสด แถมยังเป็นคนในเครื่องแบบด้วย ถูกใจลิ้นจี่ที่สุดเลย”
โอฬารยิงมุก “เอ่อ คุณลิ้นจี่ครับ สามอย่างที่ว่ามา พวกผมก็เข้าข่ายนะครับหล่อ โสด แถมเป็นคนในเครื่องแบบ”
ไชโยผสมโรง “นั่นสิครับคุณลิ้นจี่ หมู่จ่าสองคนไม่ น่าร๊ากกอ่ะ เหรอครับ”
“น่ารักสิคะ แต่ว่า แก่ ไปหน่อยค่ะ” ลิ้นจี่เน้นตรงคำว่า แก่
ไชโยกับหมู่โอฬารตีหน้าเซ็ง พอดีนายยอดเดินกลับลงมา
“เชิญครับผู้กอง พ่อกำนันรออยู่” เห็นไชโยกับโอฬารขยับ “คนอื่นไม่เกี่ยว” ยอดเอ่ยปิดท้าย
หมู่กับจ่าคู่หูมองหน้ากันก่อนจะนั่งลงอาการงอนๆ ผู้กองธัมโมวางแก้วน้ำแล้วยืนขึ้น
ที่ถนนข้างบ้านกำนันศร ช่วงตอนกลางวัน ขณะที่ย้งกำลังขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างร้องเพลงมาอย่างอารมณ์ดี เป็นรถสกายแล็บ มีแคร่พ่วงข้าง เห็นด้านหลังบรรทุกพวกลังใส่ขวดพอให้รู้ว่าย้งไปทำงาน แต่แล้วมันก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นเก่งกำลังปีนเข้าไปในบ้านกำนันศร
ย้งชะลอรถ เพ่งมองด้วยสีหน้าฉงน “เฮ้ย นั่นมันไอ้น้องชายนี่หว่า ทำอะไรของมันวะ”
เก่งย่องเข้ามาในบ้านกำนันศรแล้วปีนขึ้นต้นไม้ จนสามารถเห็นเรือนบ้านกำนันศรได้ถนัด เมื่อมองไปก็จะเห็นไอ้ยอดพาผู้กองธัมโมเดินขึ้นมาหากำนันศร
ครู่ต่อมาผู้กองธัมโมสนทนาอยู่กับกำนันศร ในห้องรับแขก โดยมีไอ้ยอดยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ
ธัมโมไล่สายตามองไปช้าๆ เล็งอยู่ที่อุปกรณ์กระจายเสียงของกำนันศร
“งานอดิเรกของกำนันน่าสนใจมากครับ ผมคิดไม่ถึงจริงๆ”
กำนันศรรินชาให้อย่างใจเย็น “ผู้กองคงแปลกใจที่คนบ้านนอกอย่างผมให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ หรือไม่ก็นึกว่าผมคงอยากเป็นนักจัดรายการจนเพี้ยน” กำนันคนดังเปลี่ยนอิริยาบถ “แต่เปล่าเลยผู้กอง มันเป็นเรื่องของการปกครอง และการเข้าถึงมวลชน ถึงผมจะจบแค่ ป.4 แต่เรื่องพวกนี้ผมเข้าใจ”
“แน่นอนครับ กำนันเป็นคนฉลาด รู้ว่าอะไรควรไม่ควร แล้วก็รู้ด้วยว่าอะไรถูก..อะไรผิด”
กำนันศรชะงัก มองหน้าผู้กองธัมโม รู้ตัวว่าโดนประชดเข้าให้แล้ว
โปรดติดตาม "นางสิงห์สะบัดช่อ" ตอนต่อไป