เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 7
วันต่อมา ชิณกำลังตีสควอชอัดกำแพงสุดฤทธิ์ เหงื่อโทรมกาย เห็นกล้ามแกร่งเป็นมัดๆ ดูเท่และเซ็กซี่มากๆ
ครู่ต่อมาชิณเดินออกมาจากห้องตีสควอช เอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่ออย่างอารมณ์ดี สดชื่นที่ได้เสียเหงื่อ
ชิณเลี้ยวผ่านหัวมุม จักกายเดินสวนมาจะเข้าไปในห้องตีสควอชพอดีแบบเท่ ช่างบังเอิญแท้
จังหวะที่สวนกันสั้นๆ ตาของทั้งคู่ต่างก็ปรายตามองอีกฝ่าย เหมือนมีกระแสไฟฟ้าระหว่างสองคน
ชิณชะงักหยุดเดิน “เดี๋ยวก่อน” หันหลังมา
จักกายหันกลับมาด้วย ทั้งสองเผชิญหน้ากันตรงๆ จ้องตากันด้วยสายตาที่ไม่มีใครยอมแพ้ใคร
“จะไม่ทักคนคุ้นเคยหน่อยเหรอ”
จักกายหันมากวน “ได้ข่าวว่าไล่ที่ชาวบ้านเกือบสำเร็จแล้ว ดีใจด้วยนะ ที่จะได้เริ่มต้นตอกเสาเข็มสักที ส่วนห้างของฉันก็ใกล้จะเสร็จแล้ว อีกไม่นานคงจะเปิดได้ ... หวังว่าจะตามมาทัน” ยิ้มเยาะ
“เปิดก่อนก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จ” ชิณยิ้มหยันตรงมุมปากเล็กน้อย
จักกายสวน “เปิดทีหลังก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนกัน”
ชิณมองหน้าจักกาย มองๆ กวนทีนว่ะ จักกายยักคิ้ว ไม่แคร์ สองคนมองหน้ากัน บรรยากาศโคตรมาคุ
“หมดเรื่องที่จะทักทายแล้ว...ขอตัว”
จักกายจะเดินไป ชิณเรียกไว้อีก
“เดี๋ยวก่อน! นายกับ... ยัยร่างทรงรวมหัวจะทำอะไรกัน”
จักกายชะงักกึก หันมามองหน้าชิณกวนๆ
“ที่ถามเพราะอยากรู้เรื่องแผนการที่เรารวมหัวกัน หรือว่าอยากรู้เรื่องกะละแม”
ชิณหลิ่วตา “กะละแม เรียกชื่อซะสนิทสนม อย่าบอกนะว่าสนใจยัยร่างทรง”
จักกายมองหน้าแล้วก็ตอบตรงๆ
“ใช่! ฉันสนใจ” ชิณอึ้งไปเล็กน้อย “แล้วนายสนใจด้วยหรือเปล่า”
ชิณสะอึกแล้วก็ตอบออกไปเลย
“ฉันไม่สน! ยัยร่างทรงนั่นไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ” ชิณยืนยันเสียงหนักแน่น
จักกายย้อน “ถ้าไม่สนแล้วจะถามทำไม” ยิ้มอย่างรู้ทัน
จักกายยิ้มหยันแล้วเดินไป
ชิณยืนอึ้งมองตาม สะอึก เจ็บใจ ไอ้เด็กเวร!
ฉายตะวันเอ่ยขึ้น
“เรื่องชาวบ้านถูกหวยป้ารู้แล้วจ๊ะ เมื่อวานหนูกะละแมเขามาที่บ้าน เอาเงินที่เหลือมาคืน ก็เลยได้คุยกัน”
มิ้วกับกิมเอ็งนั่งอยู่ในห้องทำงานฉายตะวัน กิมเอ็งกัดฟันกรอด พูดรอดไรฟัน
“นี่มันแอบมาหาคุณพี่อีกแล้วเหรอเนี่ย ... เผลอไม่ได้จริงๆ” แล้วก็หันมาใส่ไฟทันที “แล้วคุณพี่ไม่คิดว่ามันแปลกๆเหรอคะ?
ฉายตะวันฉงน “แปลกยังไง”
“ถ้าคิดดูดีๆ กะละแมกำลังมอมเมาประชาชนนะคะคุณพี่ บอกหวยให้ชาวบ้านไปซื้อ ก็ถือว่าเป็นการสนับสนุนให้ชาวบ้านเล่นการพนัน”
“ใช่ค่ะ..แล้วเนี่ย ก็ไม่ใช่ว่าจะบอกถูกทุกครั้งนะคะบางครั้งบอกไม่ถูกชาวบ้านก็เสียเงินแทบสิ้นเนื้อประดาตัว”
“แต่ฉันว่าเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องส่วนตัว เจ้าแม่คงจะไม่อยากให้ชาวบ้านเดือดร้อน แต่ถ้าใครซื้อไม่ดูกำลังตัวเอง จนหมดเนื้อหมดตัว ก็โทษเจ้าแม่ไม่ได้...เพราะชาวบ้านหลายคนที่ได้เงินจากการถูกหวยมาใช้ทำมาหากิน ส่งลูกเรียน รักษาพยาบาลตัวเองมันก็มี”
มิ้วกับกิมเอ็งอึ้งไป มิ้วท้วงแหลก
“ดูท่าทางคุณป้าจะปลื้มกะละแมมากนะคะ..อะไรๆ ก็ดีไปหมด แม้แต่กระทำการเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน ก็ไม่ผิด”
กิมเอ็งรีบสะกิดให้มิ้วระวังปาก...มิ้วจำใจต้องสงบคำอย่างจำยอม
กะละแมเดินเข้ามาหยุดที่ตู้รับบริจาค มองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีใครก็ค่อยๆ เอาเงินใส่ในตู้บริจาค ประมาณหมื่นกว่าบาทแล้วก็รีบเดินไป..ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เลขารออยู่แล้ว
“น้องกะละแมหรือเปล่าคะ ผอ.รออยู่ข้างในแล้วค่ะ”
“หนูขอเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ เป็นที่อยู่นี้นะคะ” กะละแมส่งกระดาษให้
“ได้ค่ะ..เชิญค่ะ”
เลขาเดินนำไป
ขณะนั้นฉายตะวันพูดอธิบายกับสองแม่ลูกอย่างใจเย็น
“ฉันก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าข้างไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่ฉันดูที่ความเป็นจริง หนูกะละแมเป็นเด็กที่ซื่อตรง พูดคำไหนเป็นคำนั้น รักความก้าวหน้าสนใจเรียนวิ่งติดต่อหาทุนด้วยตัวเอง และผลการเรียนก็ดีมากด้วย”
“หนูมิ้วก็เรียนดีนะคะคุณพี่” กิมเอ็งลืมตัวโพล่งขึ้น
มิ้วรีบสะกิดแม่ “คุณแม่...มิ้วไม่ได้เรียนมานานแล้วค่ะ”
ระหว่างนั้นเลขาเคาะประตู แล้วเดินเข้ามาท่าทีนอบน้อม
“คุณกะละแม มาถึงแล้วค่ะ”
มิ้วกับกิมเอ็งมองหน้ากัน หะ
กะละแมเดินเข้ามาในห้องทำงานของฉายตะวันที่สมาคมฯ แล้วก็ชะงักนิดๆ ที่เห็นมิ้วกับกิมเอ็งอยู่ด้วย กะละแมยกมือไหว้ฉายตะวันและกิมเอ็ง
กิมเอ็งรับไหว้แบบขอไปที หน้าตาดูถูกเหยียดหยาม กะละแมคาใจตะหงิดๆ ฉายตะวันรับไหว้กะละแม และเห็นว่าเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะ สองแม่ลูกนั่งอยู่
“ขอโทษนะคุณกิมเอ็ง หนูมิ้ว ขอที่ให้หนูกะละแมเขาหน่อยนะ”
-มิ้วกับกิมเอ็งเหวอแล้วลุกขึ้นแบบงงๆ ไปนั่งที่โซฟาแทน มิ้วค้อนขวับใส่กะละแม
“ที่ฉันเรียกมาวันนี้ก็จะแจ้งเรื่องทุน คณะกรรมการได้อนุมัติทุนให้หนูเรียบร้อยแล้ว ยินดีด้วย”
มิ้วกับกิมเอ็งถึงกับตาโต
มิ้วทำปากไม่มีเสียง “หะ...ได้ทุน”
กิมเอ็งสะกิดให้เก็บกริยา
ฉายตะวันเปิดลิ้นชักหยิบเอกสารออกมา ส่งให้กะละแม
“นี่เป็นระเบียบการของนักเรียนทุน ลองอ่านดูนะจ๊ะ”
กะละแมรับมาอ่านอย่างตื่นเต้น กิริยาสุภาพไม่กระโดกกระเดก
“ได้ค่ะ..หนูต้องขอบคุณมากนะคะที่เมตตา งั้นหนูลากลับก่อนนะคะ” กะละแมยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
กะละแมเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเอง แล้วเดินออกจากห้อง แต่มีหนังสือเรียนของกะละแมหยิบไปไม่หมดหลงอยู่สองสามเล่มที่โซฟา
มิ้วจิกตามองตามกะละแมอย่างมีแผน
“มิ้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำนะคะ”
มิ้วรีบเดินตามกะละแมออกไป
ขณะที่กะละแมเดินๆ อยู่ตรงทางเดินในสมาคม เสียงมิ้วดังขึ้น
“เธอเล่นละครเก่งมาก”
กะละแมตกใจ หันมาตามเสียง เห็นมิ้วยืนจิกหางตาอยู่ แววตาแสดงความเป็นศัตรูอย่างเห็นได้ชัด
“คุณมิ้วว่ายังไงนะคะ”
“อยู่กับฉันแค่สองคนไม่ต้องมาปั้นหน้าไร้เดียงสา ฉันไม่เชื่อ ถึงเธอจะทำให้คุณป้ารักและเอ็นดูเธอได้ แต่จำไว้นะ มันไม่มีทางทำให้พี่ชิณสนใจเธอ”
“เอ่อ... คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ ฉันไม่เคยคิดแบบนั้น ทุกอย่างที่ฉันทำมันไม่เกี่ยวกับคุณชิณ”
มิ้วยิ้มเยาะแล้วก็เสียงแข็ง “โกหก! อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ทัน เธอมันก็แค่มิจฉาชีพจนๆ ที่จ้องจะจับคนรวยๆ ทำเป็นเอาเรื่องทุนมาอ้าง คิดจะใช้เป็นสะพานทอดไปหาพี่ชิณล่ะสิ”
กะละแมอ้าปากจะเถียงแต่มิ้วไวกว่า
“ฉันจะบอกให้นะ ถ้าเธอคิดจะเอาเจ้าพ่อ เจ้าแม่มาเป็นหน้ากากเพื่อให้คุณป้าไว้ใจ อีกไม่นานฉันจะเป็นคนกระชากมันออกมาเอง”
กะละแมได้จังหวะสวนกลับไปบ้าง
“คุณเองก็ระวังไว้บ้างนะว่าปูนที่ฉาบ เอ๊ย...แป้งที่โบ๊ะไว้หนาเตอะมันจะร้าวแล้วหลุดออกมาให้คุณท่านจับได้ ว่าคุณจ้องจะจับลูกชายเค้าอยู่”
มิ้วเชิด “ฉันกับพี่ชิณเป็นคนระดับเดียวกัน ไม่ต้องพยายามจับเขาก็สนใจฉันอยู่แล้ว ส่วนผู้หญิงระดับต่ำๆอย่างเธอ ต่อให้พยายามให้ตาย พี่ชิณก็ไม่มีวันสนใจ”
“ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณชิณจะสนใจคุณจริง ก็คงไม่วิ่งตามมากันท่าฉันแบบนี้”
“นังกะละแม”
มิ้วโกรธที่กะละแมรู้ทัน...เงื้อมือหมายจะตบ
กะละแมโยกตัวหลบ...มองไปข้างหลังมิ้วแล้วแกล้งเรียกฉายตะวันเสียงดัง
“คุณนายคะ”
ไวเท่าความคิดมิ้วรีบหดมือนึกว่าฉายตะวันมา...รีบปั้นหน้านางเอก หันไปยิ้มแล้วพูดเสียงหวาน
“คุณป้า...” แต่ไม่มีใคร
มิ้วหันกลับมากะละแมก็หายไปแล้ว...มิ้วเจ็บใจที่เสียทีกะละแม
“ฮึ่ยยย อี..อี..ตาโปน! ฝากไว้ก่อนเถอะ”
มิ้วมองตามกิริยาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่พอใจอย่างแรง
โต๊ดกำลังคุยโทรศัพท์กับเจ้าของบ้าน
“ค่าเช่าบ้านเดือนละเจ็ดพัน! ลดหน่อยไม่ได้เหรอครับ บ้านก็ไกล๊ไกล รถเมล์ก็ไม่ผ่าน”
ท่าทางเจ้าของบ้านเช่าจะด่าไม่ไว้หน้า โต๊ดถึงกับผงะ ดึงหูโทรศัพท์ออกห่างหู
“อะไรวะ...ต่อแค่นี้ก็ต้องด่าด้วย บทจะซวยก็ซวยจริงๆ บ้านเช่าก็หายาก หลังนี้ก็แพง เพราะนังกะละแมคนเดียว ถึงต้องระเห็จไปหาบ้านเช่าใหม่ เฮ้อ...เจ้าแม่ช่วยลูกช้างด้วยเถิด ส่งคนดีมีน้ำใจมาช่วยหน่อยเถ้อ...เจ้าประคู้ณ”
โต๊ดยกมือท่วมหัว
จู่ๆ ประตูรั้วหน้าบ้านถูกผลักเข้ามาเต็มแรง ดวง ก๋อย และลูกน้องนักเลงอีกประมาณ 6-7 คนเดินอาดๆ เข้ามา
“เฮ้ย...มีใครอยู่มั๊ยวะ!!!”
เสียงนั้นดังเข้ามาที่ด้านในบ้าน โต๊ดหันมาทางติ่ง
“ไอ้ติ่งไปดูสิ ใครมา”
ติ่งโยนต่อตามเคย “ไอ้แช่...ไปดูสิ”
ตุ้งแช่ส่ายหน้าเซ็งติ่ง
“แช่ทั้งปี”
ตุ้งแช่พูดจบก็เดินออกไป เซ็งๆ
เย็นนั้นดวง ก๋อย และลูกน้องยืนอยู่หน้าบ้านท่าทางหาเรื่องเต็มที่ ตุ้งแช่เดินออกมาเซ็งๆ
“พ่อมึงอยู่หรือเปล่า” ดวงตะคอกถาม
“พี่ครับ พูดเพราะๆ หน่อยสิครับ ถามถ่อยๆ แบบนี้มันไม่มีมารยาท”
“ถุย!” ก๋อยถุยน้ำลายอย่างแรงแทบโดนหน้าตุ้งแช่ “มารยาทพ่อเมิงดิ! คนอย่างพี่ดวงไม่มีเว้ย”
“เออ!” ดวงชะงัก เอ๊ะ มึงด่ากูป่าววะ
ก๋อยสบถต่อ “ไอ้เด็กเวร...วอนซะแล้ว เดี๋ยวก็มีชีวิตอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้หรอกมึง ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็รีบไปบอกให้รีบออกมาต้อนรับพี่ดวงเดี๋ยวนี้”
ตุ้งแช่มองกิริยาไม่ไว้ใจ
ก๋อยถลกแขนเสื้อเดินข้าหา “ยังไม่ไปอีก...เดี๊ยะๆๆ”
ตุ้งแช่เห็นท่าไม่ดีรีบวิ่งไปหาโต๊ด
พอฟังตุ้งแช่จบ โต๊ดก็ประหลาดใจ
“ไอ้ดวง...เป็นใครวะ”
“คนที่มาติดพี่แมไง มันบอกให้พ่อรีบออกไปต้อนรับ”
โต๊ดคิดตาม “ไอ้คนที่ท่าทางรวยๆ ใส่เสื้อสีสดๆ ใช่ไหม”
ติ่งนึกออก “นั่นแหละ เสื้อแม่งไม่เข้ากับหน้า”
“นังกะละแมนี่ก็มีดีเหมือนกัน มีแต่คนรวยๆ มาติด” โต๊ดยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไปเว้ย...ไปต้อนรับเขาหน่อย ข้าชอบคนมีเงิน”
โต๊ดยิ้มอย่างมีความหวัง...ตุ้งแช่กับติ่งมองโต๊ดอาการปลงๆ
ดวง ก๋อย และพลพรรคนักเลงฝั่งธน ยืนตาขวางเป็นหมาหน้าร้อนเรียงกันเป็นแผง โต๊ดเดินยิ้มแฉ่งออกมา...ตุ้งแช่และติ่งตามมาติดๆ
“สวัสดี มาหากะละแมเหรอ...มันไม่อยู่หรอก จะนั่งรอก่อนมั้ย”
ก๋อยกับลูกน้องหย่อนก้นทำท่าจะนั่ง
ดวงเสียงดัง “ไม่นั่งโว้ย”
ทุกคนสะดุ้ง ยืดมาดเข้มแทบไม่ทัน
“น้องกะละแมไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร แค่พวกมึงก็พอ ข้ามีเรื่องใหญ่จะมาบอก” ดวงกร้าว
โต๊ดปะเหลาะ “อย่าบอกนะ .. จะมาสู่ขอหลานข้า...สินสอดเท่าไหร่ว่ามาเลย”
ติ่งสยอง “น้าโต๊ด”
ดวงเขิน “ก็ว่าจะขอเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าน้องกะละแมจะยอมไหม” นึกขึ้นได้ว่าป๋าสั่งมาลุยนี่หว่า “เฮ้ย! ไม่ใช่ เรื่องนั้นไว้ทีหลัง วันนี้กูมาเรื่องอื่น”
ติ่งงง “เรื่องอะไร”
“เรื่องหวย” ดวงบอกเสียงดัง
“ถ้าจะมาขอหวย ตอนนี้ยังไม่ได้ สำนักปิดชั่วคราว คงได้ข่าวเรื่องเจ้าแม่ให้หวยแม่น จนชาวบ้านถูกกันทั้งซอยล่ะสิ ถึงได้ตามมาถึงนี่”
“อ้อ...ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ข้าจะบอกให้ เจ้าแม่บอกแต่ละทีชาวบ้านรวยกันเละ แต่เจ้ามือหวยคงแทบกระอักเลือดตาย”
จากนั้น โต๊ด ติ่ง และตุ้งแช่ ต่างหัวเราะเริงร่ากันอย่างสะใจ ขณะที่ดวงกัดกรามแน่น โมโหสุดขีด...ด่าพ่อกรู
“เจ้ามือหวยน่ะ พ่อกูเอง”
คำพูดดวงกระแทกหน้าสามต. โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่มองหน้ากันช็อคค้าง...หะ!!!
“พวกมึงบังอาจมาแหย่จมูกเสือ อยู่ดีไม่ว่าดี ข้าอุตส่าห์ปราณีมาตั้งนาน วันนี้หมดบุญเก่าแล้วมึง...เฮ้ย ลุย”
ดวงส่งสัญญาณให้ก๋อยจัดการ ก๋อยเดินอาดๆ นำไป
โต๊ดตะโกนลั่น
“เฮ้ย หนี”
ทุกคนวิ่งหนีเข้าบ้าน
ก๋อยหันมาสั่ง “เฮ้ย ตาม”
ก๋อยและพวกรีบตามไป ดวงยิ้มสะใจ หยิบโทรศัพท์มาเปิดแล้วก็ถ่ายคลิปความริยำเก็บไว้เป็นที่ระลึก
สามต. โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ วิ่งพรวดเข้ามาในบ้าน แล้วก็ช่วยกันปิดประตู ก๋อย และพวก พยายามดันๆ เข้าไปจนได้ ผลัวะ โต๊ด ติ่ง แช่ กระเด็นไปกองที่พื้น โครมร้องประสานเสียง
“เอ๊ยยย”
ก๋อยสั่ง
“อัดแม่มเลย”
ก๋อยและพวกช่วยกันรุมกระทืบ โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ ดวงเดินเข้ามาถ่ายคลิปเก็บไว้
ภาพจากจอมือถือดวง เห็นสามคนโดนกระทืบร้องโอดโอดเสียสภาพ ดวงยังถ่ายตอนไอ้ก๋อยจัดการกวาดของในบ้านจนเลอะเทอะ เละเทะ ก่อนจะกลับมาปิดกล้องถ่ายที่โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ โดนอัดน่วมนอนจมกองของ
ดวงประกาศใส่หน้า
“ถ้าพวกมึงไม่อยากเจ็บตัวมากกว่านี้ เลิกให้หวย แล้วบอกให้น้องกะละแมยอมเป็นของกู แล้วทุกคนจะปลอดภัย...เข้าใจ๋”
ดวงหัวเราะสะใจแล้วดินออกไปนอกบ้าน ก๋อยและลูกน้องหัวเราะตามแล้วก็เดินออกไป
สามต. โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ นอนโอดโอยอยู่ที่พื้น
ติ่งพูดทั้งที่ยังจุกอยู่ “หัวเราะหาพ่อ…มรึง เหรอวะ .... โอย”
ด้านกะละแมลงจากรถเมล์ เดินอยู่ริมถนน หน้าเศร้า คำพูดของมิ้วยังดังก้องอยู่ในหัว
“เธอมันก็แค่มิจฉาชีพจนๆ ที่จ้องจะจับผู้ชายรวยๆ ทำเป็นเอาเรื่องทุนมาอ้าง คิดจะใช้เป็นสะพานทอดไปหาพี่ชิณล่ะสิ”
กะละแมยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า พยายามสลัดคำพูดมิ้วออกจากหัว แล้วเดินเข้าบ้านไป
กะละแมเดินเข้ามาในบ้าน ท่าทีเหนื่อยล้า พอเข้ามาในบ้านได้ก็ชะงักตกใจที่เห็นสภาพบ้านเละเทะ
“น้าโต๊ด พี่ติ่ง แช่” เงียบกริบ “หายไปไหนกันหมด”
กะละแมยืนหน้าซีดด้วยความตกใจอยู่กลางบ้านที่เละเทะสภาพดูไม่ได้
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 7 (ต่อ)
ตุ้งแช่ค่อยๆ โผล่ออกจากกองข้าวของ ส่งเสียงเรียก
“พี่แม...ฉันอยู่นี่”
กะละแมรีบเดินมาตามเสียง แล้วก็ตกใจที่เห็นทั้งสามคนมีสภาพไม่ต่างจากบ้าน กะละแมรีบเข้าไปพยุงตุ้งแช่ให้ลุกขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น”
“อย่าเพิ่งถาม ช่วยข้าก่อน เจ็บตูดจะแย่อยู่แล้ว” โต๊ดบอก
กะละแมหันไปพยุงโต๊ดขึ้นมา จังหวะนั้นเองเท้าของกะละแมก็เหยียบเข้าที่มือติ่งเต็มๆ
ติ่งร้อง “อ๊าก...ก”
กะละแมตกใจปล่อยโต๊ดจนล้มลงก้นจ้ำเบ้า
โต๊ดร้อง “อู๊ย”
“พี่ติ่งเป็นไร”
“ตะ...ตะ..ตีน...ตีนเอ็ง...เหยียบ..” ติ่งชี้ที่มือตัวเอง
กะละแมมองตามแล้วรีบชักเท้าออก
“ขอโทษจ้ะ ขอโทษ”
ติ่งสะบัดมือด้วยความเจ็บปวด กะละแมพยุงโต๊ดขึ้นมาใหม่อย่างทุลักทุเล
“เบาๆนะน้าโต๊ด ค่อยลุก”
กะละแมพยุงโต๊ดขึ้น แต่แล้วก็ทานน้ำหนักโต๊ดไม่ไหวเลยล้มลงทั้งคู่...ล้มไปทับตุ้งแช่
ตุ้งแช่ โต๊ด และกะละแมร้อง “โอ๊ย” พร้อมกัน
ซวยซ้ำซวยซ้อน ซวนยกครัว
เวลาต่อมาติ่งกำลังนวดยาที่แขนโต๊ด โต๊ดกำลังติดพลาสเตอร์ให้ตุ้งแช่ กะละแมขมวดคิ้วถามย้ำอย่างแปลกใจ
“ไอ้ดวงเป็นลูกชายเจ้ามือหวยใต้ดิน”
“ใช่! พ่อมันพาพวกมา 6-7 คน มีไอ้คิงคอง” ติ่งหมายถึงก๋อย “มาด้วย มันไม่พูดพล่ามทำเพลง มาถึงก็กระทืบๆๆ” ติ่งอินจัดนวดโต๊ดแรงขึ้น
โต๊ดร้องลั่น “โอ๊ย...เบาๆ สิวะไอ้ติ่ง”
ติ่งยิ้มแหยๆ แล้วนวดเบาลง
“มันขู่ไม่ให้เจ้าแม่ใบ้หวยด้วยนะพี่แม แล้วก็ให้พี่แมยอมเป็นแฟนมัน ไม่งั้นมันจะกลับมาถล่มบ้านเราอีก”
“ท่าทางมันจะหลงแกมาก ระวังตัวไว้หน่อยนะ ไอ้พวกนี้มันบ้า ไม่น่าไว้ใจ” ติ่งว่า
กะละแม ทั้งแค้นทั้งกังวล
โต๊ดนึกได้ “เออ...นังกะละแม แล้วข่าวดีที่คุณนายบอก เรื่องอะไรวะ ใช่เรื่องที่เขาจะให้เราย้ายกลับไปอยู่ที่ซอยมหาลาภหรือเปล่า”
“เปล่า คุณนายเรียกฉันไปบอกเรื่องทุน...ฉันได้ทุนเรียนต่อแล้วจ้ะ”
โต๊ดผิดหวัง “เฮ่อ...เรียนอีกแล้ว...เอ็งจะเรียนอะไรนักหนาวะ ข้าว่าเอาชีวิตให้รอดก่อนเถอะ พวกนั้นมันต้องตามมาอัดพวกเราอีกรอบแน่ๆ ก่อนเอ็งจะคิดเรื่องเรียน ข้าว่ามาช่วยกันคิดเรื่องย้ายหนีก่อนดีกว่า ข้าว่าอยู่ที่นี่ต่อไม่น่าจะปลอดภัย”
“เราจะย้ายไปไหนอีกล่ะพ่อ”
“ข้าก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เฮ่อ”
ตุ้งแช่ กะละแม ติ่ง พลอย “เฮ่ออ” ด้วย
ทั้งหมดถอนหายใจพร้อมกัน เฮ้อ...ชีวิต กะละแมถอนใจแล้วก็คิดถึงเรื่องตัวเองที่เพิ่งเกิดขึ้น แล้วก็ค่อยๆ ปรายตามามองติ่งด้วยความคาใจ
ติ่งอาบน้ำแต่งตัว ทำแผลเตรียมนอน กะละแมมายืนดักก่อนเข้าห้อง
“พี่ติ่ง...พี่ยังเจอกับคุณมิ้วอยู่หรือเปล่า”
“แหม..มันก็ต้องมีเดทกันบ้างตามประสาคนกำลังคบหาดูใจ” ติ่งยิ้มภูมิใจ
“แล้วพี่เผลอพูดอะไรเกี่ยวกับฉัน ทำให้เขาสงสัยบ้างหรือเปล่า”
ติ่งหลบตา “เปล๊า...ไม่มี๊! ไม่ได้พูด”
“ไม่พูดก็ดี...และถ้าจะให้ดีที่สุดก็อยู่ห่างๆ ไว้หน่อย คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เขาพูดดีกับเรา แต่ในใจไม่รู้คิดอะไร ฉันไม่อยากเห็นพี่เจ็บ”
ติ่งหันมาสวนทันทีอย่างอวดเก่ง
“เรื่องนี้แกไม่ต้องห่วง ฉันกับคุณมิ้วคบกันด้วยความจริงใจ หน้าเป็นยังไงใจเป็นยังงั้น และที่สำคัญ เขาไม่มีวันทำให้ฉันเจ็บ”
ติ่งยิ้มมั่นใจ กะละแมส่ายหน้าเหนื่อยใจ พูดไม่ออก
ที่บ้านนุ้ยย่านฝั่งธนคืนนั้น สีหน้าดวงครุ่นคิด
“กูว่าน้องกะละแมต้องไม่ยอมมาหากูง่ายๆ ตามที่ป๋าสั่งแน่ๆ เลยว่ะ”
ก๋อยนั่งอยู่ข้างๆ หันมาสนับสนุนทันที
“ฉันก็ว่างั้น เพราะถ้ามาง่ายๆ มานานแล้ว แต่ดูท่าทางจะเย่อหยิ่งไม่ใช่เล่น โธ่เอ๊ย นังหมวยเลือกได้ หมั่นไส้!” ก๋อยหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“แล้วมึงจะใส่อารมณ์ทำไมเนี่ย ถ้ามึงเป็นเมียกูก็ว่าไปอย่าง”
ก๋อยสะดุ้ง..ไม่นะ
ดวงครวญต่อ “ถ้าน้องกะละแมไม่ซมซานมาหากู แต่กลับปอดแหก หนีไปอยู่ที่อื่น พี่ดวงจะทำยังไง”
“ฉันว่า..พี่ต้องลองตั้งโต๊ะเจรจา ยื่นข้อเสนองามๆ ไม่แน่นะพี่...ขนาดไอ้เจ้าของที่มันยังใช้เงินซื้อน้องกะละแมได้ ทำไมพี่จะซื้อบ้างไม่ได้”
ดวงคิดตาม...เออจริง แล้วก็ยิ้มสนใจข้อเสนอของก๋อย
เช้าวันต่อมาฉายตะวันเดินลงมาจากบ้าน พร้อมแจ่ม เจอทรงวุฒินั่งรออยู่ในห้องโถง
“คุณทรงวุฒิเป็นยังไงบ้างเรื่องที่ฉันให้ไปจัดการ”
“เรียบร้อยครับ...นี่ครับที่อยู่ใหม่ของคนที่สำนักทรง”
ฉายตะวันยิ้มรับกระดาษจดที่อยู่มา “ดีมาก...ขอบใจมากจ้ะ แล้วอย่าลืมนะ”
ทรงวุฒิพูดออกมาเองอย่างรู้กัน “อย่าบอกคุณชิณ”
ฉายตะวันยิ้มพอใจ “ดีมาก...แจ่มไปกับฉัน”
“ค่ะ”
ฉายตะวันเดินไป แจ่มเดินตาม ทรงวุฒิมองตามงงๆ
“คุณท่านจะเอาที่อยู่ของพวกนั้นไปทำไม”
กะละแมกับตุ้งแช่กำลังช่วยกันเก็บของอยู่ในบ้านบ้านเช่าหลังใหม่ เสียงกริ่งหน้าบ้านดัง...ปิ๊งป่อง กะละแมกับตุ้งแช่หันไปดู
กะละแมฉงน “ใครมา”
ที่แท้เป็นดวงกะก๋อยยืนชะเง้ออยู่หน้าบ้าน
ตุ้งแช่ชะเง้อมองก่อนหันมาบอกกะละแมอย่างลนลาน
“ไอ้ดวงกับไอ้คิงคองมันมาอีกแล้วพี่แม ทำไงดี พ่อกับพี่ติ่งก็ไม่อยู่ด้วย ถ้ามันบุกเข้ามาอีก เราสองคนซวยแน่”
กะละแมชะโงกหน้าออกไปมองแล้วก็พูดอย่างไม่กลัวเกรง
“พี่เคลียร์เอง!”
กะละแมเดินออกไป ตุ้งแช่เป็นห่วงร้องเสียงหลง
“พี่แม”
ตุ้งแช่ทั้งกลัว ทั้งลังเลแล้วก็ตัดสินใจรีบวิ่งตามไป
“พี่แม...รอด้วย!”
ดวงยิ้มแป้นที่เห็นกะละแมเดินออกมา มีตุ้งแช่ตามมาด้านหลัง
“จะมาหาเรื่องอะไรอีก” กะละแมพูดอย่างฉุนเฉียว
ดวงยิ้มระรื่น “เปล่าจ้ะ...วันนี้พี่ดวงมาด้วยความรัก ไม่รุนแรงเหมือนเมื่อวาน พี่ดวงจะมารับน้องกะละแมไปอยู่ด้วย รับรองว่าพี่ดวงจะเลี้ยงดูน้องกะละแมอย่างดี จะเอาเงินทองมากองให้น้องกะละแมใช้ให้สบายใจ ไม่ต้องเข้าทรงให้เหนื่อย ไปอยู่กับพี่ดวงเถอะนะ พี่ดวงรักน้องกะละแมจริง ไม่ทิ้งขว้างแน่นอนจ้ะ”
“รักเนี่ยนะ” กะละแมเอือมระอา
“รักสิจ๊ะ”
“เวลารักใครพังบ้านเค้าแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า”
“น้องกะละแมพี่ขอโทษ เพื่อเป็นการไถ่โทษ น้องกะละแมอยากได้อะไรบอกพี่ดวงได้เลย พี่ด้วยจัดให้” ดวงว่า
ก๋อยสอพลออวยส่ง “ใช่...ระดับพี่ดวงจัดเต็มทั้งพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดาวพลูโต ดาวลูกไก่ ดาวหมีน้อย ดาวหมีใหญ่ ถ้าอยากได้ เดี๋ยวพี่ดวงจะกวาดมาให้หมดทั้งจักรวาลเลย”
กะละแมยิ้มหวาน “ไม่ต้องเยอะขนาดนั้นก็ได้จ้ะ ฉันต้องการแค่อย่างเดียว”
“ต้องการอะไรจ๊ะ” ดวงยิ้มหน้าเป็น
“ต้องการให้” กะละแมพูดเสียงเข้ม “พวกแกกลับไป แล้วไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก! แค่นี้จัดให้ได้หรือเปล่า”
ดวงอึ้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโมโห “อ้าว...น้องกะละแม ทำไมพูดกับพี่ดวงแบบนี้”
กะละแมพูดใส่ไม่ไว้หน้า “ก็จริงนี่ ตั้งแต่เกิดมาฉันหาเลี้ยงตัวเองมาตลอด ไม่ต้องรอให้ผู้ชายมาเลี้ยง ถ้าจะมายื่นข้อเสนอดูถูกกันแบบนี้ กลับไปเลย แล้วไม่ต้องมาอีก ไม่อยากเห็นหน้า”
กะละแมโมโหไล่ดวงอย่างไม่แคร์ จนดวงเริ่มของขึ้น ก๋อยยอมไม่ได้นักเลงขึ้นมาทันที
“พี่ดวง ฉันว่าพูดดีๆ ไม่รู้เรื่องก็...ฉุดเลย!!! แล้วกัน”
ขาดคำก๋อยหันไปผิวปากเรียกพวกที่ซ่อนตัวอยู่อีก 3-4 คน
ก๋อยยิ้มเหี้ยม “ยังไง...สรุปจะยอมไปกับพี่ดวงดีๆ หรืออยากจะพบกับความเจ็บปวด”
“พี่ก็ไม่อยากใช้กำลัง แต่ในเมื่อน้องกะละแมไม่รับฟังพี่ก็ต้องฉุด” ดวงบอก
กะละแมเห็นท่าไม่ดีตะโกนสั่งตุ้งแช่
“ไอ้แช่...หาอาวุธ”
กะละแมกับตุ้งแช่วิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
ดวงตะโกนลั่น “เฮ้ยบุก”
ในสภาพบ้านที่เละเทะอยู่ กะละแมพยายามหาอาวุธจากกองข้าวของ ตุ้งแช่วิ่งมา พร้อมกระทะและตะหลิว
“ไอ้แช่...จะเอาไปผัดกระเพรารึไงหะ” กะละแมเซ็ง
“นี่แหละเวิร์คสุดแล้วพี่แม อันนี้บัง อันนี้แทง”
พลางตุ้งแช่โชว์ลีลาฟาดฟันใช้กระทะเป็นโล่...ใช้ตะหลิวเป็นดาบอย่างคล่องแคล่ว กะละแมส่ายหน้า...ซวยแน่
พวกดวงกำลังใช้ค้อนทุบพยายามพังประตูบ้านเข้ามา
ดวงตะโกนสั่งการลูกน้องเสียงเข้ม “พังเข้าไปเลยพวกเรา” แต่ตะโกนเข้าไปในบ้านเสียงหวาน “น้องกะละแมรอพี่ดวงแป๊บนะจ๊ะ พี่ดวงกำลังจะเข้าไป ณ บัดนาว”
ดวงหยิบสเปรย์ดับกลิ่นปากมาฉีดเตรียมพร้อมลุยโลด
ขณะที่ดวงกำลังพังประตูเตรียมบุกเข้าไปในบ้านนั้น รถเบนซ์ของฉายตะวันแล่นมาจอดที่หน้าบ้านพอดี...ฉายตะวันมองไปที่กลุ่มดวงที่กำลังพยายามพังประตูอยู่ด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น แจ่มลงไปดูสิ”
แจ่มส่ายหน้าหวาดๆ โบ้ยให้ลุงคนขับรถ “ให้ลุงลงไปดีกว่าค่ะ แจ่มเป็นผู้หญิง สาว สวย บอบบาง ถ้าพวกมันเป็นโจร แล้วฉุดแจ่มไปจะทำยังไงคะคุณท่าน”
ฉายตะวัน มองไปที่คนขับรถแก่หง่อม
ฉายตะวันบอกย้ำแจ่ม “เธอนั่นแหละลงไป”
แจ่มอิดออดไม่ยอมลง...คิดได้ “เอางี้ค่ะคุณนาย” พลางเปิดกระจกรถตะโกนเสียงดัง “ตำรวจ...ตำรวจ...ตำรวจอยู่แถวนี้มีไหนคะ ช่วยด้วยค่ะ โจรกำลังพังรั้วบ้านค่ะ!”
ฉายตะวันหันไปบอกกับคนขับรถ “กดแตรไล่พวกมันเลย”
แจ่มตะโกนไม่หยุด...คนขับรถก็ช่วยกดแตรไล่เสียงดังสนั่น
ได้ผลพลพรรคนักเลงของดวงชะงัก หันมามอง เห็นแจ่มตะโกนอยู่
“ช่วยด้วยค่ะ คุณตำรวจช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”
ดวงเงอะงะชี้หน้าแจ่ม จะด่าแต่ด่าไม่ออก
“เผ่นเหอะพี่ดวง ยัยป้านั่นแหกปากไม่หยุดเลย เดี๋ยวตำรวจก็ได้แห่มาจริงๆ”
บรรดาลูกน้องพากันเก็บอุปกรณ์แล้ววิ่งไปขึ้นรถก่อนเฉยเลย
“อ้าวเฮ้ย...กูยังไม่ได้บอกให้ไปเลย โธ่เอ๊ย...ไอ้ปอดแหก” ดวงเม้งมาก
“พี่ดวงไปเหอะ! ไปพี่”
ก๋อยลากดวงขึ้นรถทุลักทุเล...ก่อนจะเห็นรถออกไปอย่างรวดเร็ว
ตุ้งแช่เห็นก็นึกสงสัย
“พี่แมมันไปแล้ว”
กะละแมโผล่มาดู งงเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น”
รถดวงออกไปอย่างเร็ว ผ่านหน้าแจ่มที่ตะโกนเรียกตำรวจไม่เลิก
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!”
รถดวงปาดหน้ามาทางแจ่ม ก๋อยตะโกนด่าด้วยความโมโห
“อีป้าหนอนมะลิ!”
แจ่มสะดุ้ง รถดวงแล่นหายไป
แจ่มหันมาฟ้อง “มันด่าแจ่มว่าหนอนมะลิค่ะคุณท่าน”
“เอาน่า...เธอสวยกว่าอย่าไปแคร์ รีบลงไปดูหนูกะละแมสิว่าเป็นไงบ้าง”
ฉายตะวันหันไปมองที่บ้านกะละแม ด้วยความเป็นห่วง
ครู่ต่อมา ฉายตะวันมองไปรอบบ้านที่สภาพเละเทะอย่างตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น พวกนั้นเป็นใคร ต้องการอะไรถึงได้บุกมาพังบ้านพังช่องกันอย่างนี้”
ตุ้งแช่อึกอักไม่กล้าเล่า แต่มองหน้ากะละแมที่ไม่ยอมพูดสักที ตุ้งแช่เลยเล่าเองเป็นชุด จนทะลุปรุโปร่ง
“พวกเจ้ามือหวย มันแค้นที่เจ้าแม่บอกหวยถูกติดกันหลายงวด มันเลยส่งไอ้ดวง ลูกชายมันมาเล่นงานพวกเรา ลูกชายมันคือคนที่ทำร้ายคุณชิณ แล้วโยนความผิดให้พี่แม แล้วไอ้ดวงมันชอบพี่แม แต่พี่แมไม่สน มันเลยแค้น จะมาฉุดครับ”
ฉายตะวันฟังแล้วก็ตกใจ...แจ่มพลอยตกใจมากด้วย
“กล้าทำกันขนาดนี้ เห็นบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปรึไง” หันมาทางกะละแม “กะละแม มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยเหลือได้หรือเปล่า”
กะละแมเกรงใจ “พวกเราจัดการกันเองได้ค่ะ หนูไม่อยากให้คุณนายต้องมาลำบากเพราะพวกเราอีก หนูไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิด หนูขอตัวไปเก็บของก่อนนะคะ”
พูดจบกะละแมเดินเลี่ยงไปเลย ฉายตะวันมองตาม งงปนแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ขณะที่กะละแมเก็บของอยู่ในห้องหนึ่ง ฉายตะวันเดินเข้ามาเงียบๆ กะละแมแกล้งทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อไป
“เมื่อกี้หนูกะละแมบอกว่ามีคนเข้าใจหนูผิด...ใครเหรอ? บอกฉันได้ไหม”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หนูแค่พูดเผื่อไว้เท่านั้นเอง”
“ฉันเป็นห่วงหนูนะ ถ้าหนูไม่เล่าให้ฉันฟัง ฉันคงไม่สบายใจ”
กะละแมนิ่งไป คิด แล้วก็ตัดสินใจพูดออกไปเลย
“คุณมิ้วกับคุณกิมเอ็งเข้าใจผิด คิดว่าหนูทำดีกับคุณนายเพราะหวังใช้เป็นสะพานข้ามไปหาคุณชิณค่ะ”
ฉายตะวันตกใจ นิ่งงันไป
กะละแมพูดต่ออย่างตรงไปตรงมา “แต่หนูไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะคะ หนูรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นใคร อีกอย่างคุณชิณก็ใช่ว่าจะดีกับหนู เจอหน้าก็จ้องแต่จะจับผิด...จิกกัด ผู้ชายปากไม่ดีแบบนั้น หนูไม่สนใจหรอกค่ะ ถ้าได้มาเป็นสามีมีหวังเครียดตาย”
กะละแมเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอด่าชิณ...คิดว่าฉายตะวันต้องโกรธแน่...แต่ฉายตะวันกลับขำ
“ฉันเชื่อแล้วว่าหนูไม่อยากได้ลูกชายฉันจริงๆ”
กะละแมยิ้มแหยๆ
“หนูไม่ต้องกังวลนะ ฉันคิดว่าฉันรู้จักหนูดีพอ ฉันเชื่อว่าหนูไม่ได้คิดอย่างนั้น”
ฉายตะวันส่งหนังสือคืนให้กะละแม
“หนังสือที่หนูลืมไว้ ฉันตั้งใจเอามาคืน”
“ขอบคุณค่ะ คุณนายไม่น่าลำบากมาเองเลย ให้พี่แจ่มโทร.มาบอกให้หนูไปรับเองก็ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันมาเองก็ดี ทำให้ฉันได้รู้อะไรอีกหลายอย่าง” ฉายตะวันยิ้มเยื้อน “ฉันกลับก่อนนะ”
กะละแมจะเดินไปส่ง
“ไม่ต้องส่งหรอก หนูเก็บของต่อเถอะ”
“สวัสดีค่ะ” กะละแมยกมือไหว้
ฉายตะวันรับไหว้ และเดินไป กะละแมมองตามแล้วก็ถอนใจเบาๆ …เฮ่อ
เย็นวันนั้น โต๊ดเดินเข้ามาหยุดยืนที่มุมหนึ่งในซอยมหาลาภ แล้วมองไปรอบๆ ทันใดนั้นเสียงอาม่าก็ดังขึ้น
“เฮ้ย...อาโต๊ด...อาโต๊ดมาเว้ยพวกเรา”
โต๊ดสะดุ้งโหยง...หันมาเห็นอาม่า และชาวบ้านฮือฮามาหา จับไม้จับมือด้วยความดีใจ
“นึกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกซะแล้ว อยู่ๆ ก็ปิดสำนักหายหน้ากันไปหมด อ้อ เกือบลืม..นี่ดูนี่...ฝีมือเจ้าแม่”
อาม่าอวดสร้อยคอเส้นเบ้อเร่อที่ห้อยคออยู่
ป้าเชอร์รี่คุยต่อ “ข้าถอยมอเตอร์ไซค์คันใหม่ จอดอยู่โน่นแน่ะ”
ลุงมากตามเป็นคิวต่อมา “งวดหน้าถ้าได้อีกข้าว่าจะถอยรถกระบะแมงโก้ เจ้าแม่อยากเสด็จไปไหน เรียกใช้ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ...จิ๊บ จิ๊บ”
โต๊ดทำหน้าดีใจไปด้วย
“ฉันดีใจกับทุกคนจริงๆ นี่ล่ะน้าเค้าว่าบุญมีจริง ทำแล้วได้เห็นๆ”
ทุกคนรับว่า...ใช่ๆ พร้อมกัน
“แล้วเมื่อไหร่จะกลับมาเปิดสำนักอีกล่ะพ่อโต๊ด พวกเราอยากทำบุญกับเจ้าแม่ ตอบแทนที่ท่านเมตตา อาม่าคิดถึงกะละแมมันด้วย ไม่ได้เจอตั้งนาน คิดถึ้ง คิดถึง ว่างๆ ให้กะละแมเชิญเจ้าแม่มาประทับร่างหน่อยสิ อาม่าอยากจะไหว้เจ้าแม่”
“โอ๊ะ...สงสัยจะไม่ได้ ช่วงนี้เจ้าแม่ติดสัมมนาบนสวรรค์ ปลายปีโน่นถึงจะว่าง ใจเย็นๆ รอหน่อย เจ้าแม่ท่านไม่ทิ้งพวกเราไปไหนหรอก” พูดจบกะชิ่ง “ฉันขอไปดูสำนักก่อนนะ ปิดไว้นานไม่รู้เป็นไงบ้าง”
อาม่าหน้าเสีย ร้องขึ้นมา
“สำนัก”
โต๊ดแปลกใจ ชาวบ้านหน้าตากระอักกระอ่วน ไม่มีใครกล้าบอก...โต๊ดสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นกับสำนัก”
ตัดไป
โต๊ดทำหน้าอึ้ง ปากเหวอ มองตรงไปเบื้องหน้าไม่อยากจะเชื่อสายตา เห็นสำนักทรงถูกไม้ตอก มีเชือกกั้นรอรื้อถอนสภาพเข้าอยู่ไม่ได้
โต๊ดคราง “สำนักกู”
ชิณเดินอยู่แถวนั้นพอดี เห็นโต๊ดก็แปลกใจเลยเดินมาหา โต๊ดเห็นชิณก็จะหนี แต่ชิณมาดักไว้...ทั้งสองเลยเผชิญหน้ากัน
“จะรีบไปไหน...ท่านสาวกเอก”
“อ้าว คุณชิณนั่นเอง แหมมาตอนไหน ผมไม่ยักกะเห็น” โต๊ดหัวเราะกลบเกลื่อน “ขอตัวก่อนนะครับ” จะเดินไป
ชิณเรียกไว้ “เดี๋ยว...จะรีบไปไหน ฉันมีเรื่องจะถาม” โต๊ดสะดุ้ง ระแวง “คิดยังไงถึงเอาเงินไปคืน”
โต๊ดลืมตัว ฉุนของขึ้นทันที เมื่อพูดถึงเงินที่ชวดไป
“โอ๊ย ก็นังกะละแมน่ะสิครับ ตัวตั้งตัวตี จะเอาไปคืน”
ชิณอึ้ง “กะละแม? งั้นก็แสดงว่าคุณไม่ได้อยากจะคืนเงินให้ผมใช่มั้ย”
“ก็ใช่นะสิครับ เงินตั้งสามล้าน ใครจะอยากคืน เพราะนังกะละแมแหละ มันโง่อยู่คนเดียว”
โต๊ดเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังด่าเจ้าแม่อยู่ เลยรีบสงบลงและเปลี่ยนประเด็น
“จริงๆ มันก็ไม่โง่หรอกครับ...มันเป็นคนจิตใจงาม ทำแต่เรื่องดีๆ เรื่องบาปกรรมนี่มันไม่เคย มันพูดซะจนผมตาสว่างยอมให้มันเอาไปคืนคุณ”
“แหม...ฟังแล้วช่างเป็นคนประเสริฐเสียจริงๆ เลยนะ หลานสาวคุณเนี่ยถึงว่าสิ เจ้าแม่ถึงได้
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 7 (ต่อ)
เลือกให้มาเป็นร่างทรง” ชิณประชด “แต่ก็น่าเสียดายนะ...ไม่มีสำนักทรงไว้ช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว”
ชิณหันไปมองซากสำนัก
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ อีกไม่นานก็หาใหม่ได้”
“นี่คุณยังคิดจะเปิดสำนักอีกเหรอ” ชิณมองด้วยหางตา
“ชาวบ้านเรียกร้องน่ะครับ...เอ่อ” โต๊ดดูนาฬิกา “จะมืดแล้ว ผมกลับก่อนล่ะครับ”
“เดี๋ยวฉันไปส่ง”
โต๊ดชะงัก หะ?
ชิณแววตาแข็งแฝงความเจ้าเล่ห์
ชิณมาส่งโต๊ดที่หน้าบ้านเช่าหลังใหม่ เห็นว่าที่รั้วโดยงัดแงะ มีของกระจัดกระจาย ชิณมองอาการงวยงง
“ทำไมสภาพบ้านเป็นแบบนี้”
“ก็ไอ้เจ้ามือหวยน่ะสิครับ มันแค้นที่เจ้าแม่บอกหวยถูกบ่อยๆ เล่นมันจ่ายซะ อาน เลยมาข่มขู่ อ้อ...มันเป็นพ่อไอ้คนที่อัดคุณชิณแล้วโยนความผิดให้กะละแมน่ะครับ”
ชิณแอบยิ้มสะใจ แต่ปากกลับพูดว่า
“อ๋อ เหรอ แหม น่าเห็นใจจริงๆ อย่างนี้แหละที่เขาเรียกว่ากรรมตามสนอง”
โต๊ดอึ้ง “หา? ว่าไงนะครับ? กรรมสนองใครครับ”
“อ๋อ...ก็ คือ กรรมมันตามสนองคนที่เป็นเจ้ามือน่ะสิ ได้มาเยอะแล้วนี่ จ่ายซะบ้างก็ดี อย่างนี้เค้าเรียก คืนกำไรสู่ประชาชน”
“ช่ายย... คุณชิณพูดถูกเป๊ะเลยครับ ใช่เลย แหม..คมจริงๆ”
โต๊ดหัวเราะชอบใจ เห็นด้วยสุดๆ ไม่รู้เลยว่าโดนแดกกบาลอยู่
ตุ้งแช่ส่งเสียงแหลมเข้ามา...
“พ่อ...”
ชิณกับโต๊ดหันไป
ตุ้งแช่ ติ่ง กะละแมเดินมา
“อ้าว มากันพร้อมหน้าเลย เอ้า แช่สวัสดีคุณชิณสิลูก...พอดีพ่อเจอคุณเค้าโดยบังเอิญ ก็เลยขับรถมาส่ง”
“สวัสดีครับ”
ชิณรับไหว้ มองไปทางกะละแม เห็นยืนทำหน้ากวนตีนอยู่ ติ่งเองก็กวนไม่ใช่น้อย
“คุณ...มาทำอะไร...พวกเราไม่ได้เช่าที่คุณแล้ว ไม่มีสิทธิ์มาไล่เราด้วย”
ชิณชะงัก
โต๊ดด่า “นี่ไอ้ติ่ง เอ็งไม่ต้องพูดมาก มานี่เลยมา...คุณชิณคุยกับกะละแมไปนะครับ...ผมกับไอ้พวกนี้ ขอตัวเข้าไปเก็บบ้านก่อน”
โต๊ดรีบลาก ติ่งกับตุ้งแช่เข้าบ้าน
“ไปๆ เข้าบ้าน”
กะละแมหันมาทางชิณ
“คุณมาส่งน้าฉันทำไม คิดจะหลอกอะไรน้าฉันอีก”
“อย่าร้อนตัวน่า คนอื่นเค้าไม่ได้เป็นเหมือนเธอสักหน่อย จะได้ตีสนิทกับคนอื่นเพื่อหลอกใช้ หลอกเอาเงิน หรือไม่ก็หลอกให้ชื่นชมบูชา”
กะละแมตาลุกวาวด้วยความโกรธ
“คุณกลับไปได้แล้ว แล้วอย่ามายุ่งกับน้าฉันอีก ถ้าจะมาหาเรื่องก็มาหาที่ฉัน ไม่ต้องใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ”
“ทำไม?...กลัวฉันจะใช้วิธีเดียวกับที่เธอใช้กับแม่ฉันเหรอ”
“ฉันไม่เคยหลอกใช้แม่คุณ” กะละแมเถียง
“ฉันไม่เชื่อ...แต่ยังไงก็ขอบใจนะที่ช่วยแนะทางให้ คอยดูนะ ฉันจะทำให้น้าเธอตายใจ มาเข้าข้างฉัน เหมือนกับที่เธอทำกับแม่ฉัน ถ้าเธอเลิกยุ่งกับแม่ฉันเมื่อไหร่ ฉันก็ปล่อยน้าเธอเมื่อนั้น”
ชิณหันมายิ้มอย่างสะใจให้กะละแมทิ้งท้ายก่อนไป
“ได้ข่าวว่า น้าเธอกำลังมองหาที่เปิดสำนักใหม่...ถ้าเจอเมื่อไหร่อย่าลืมบอกด้วยล่ะ...ฉันจะตามไปปิดเหมือนสำนักเก่าของเธอ”
ชิณจ้องตากับกะละแมเป็นเชิงท้าทาย...เอาจริงนะครับ...แล้วหันหลังเดินกลับไปที่รถ ก่อนขึ้นรถมีการตะโกนโบกมือร่ำลาโต๊ดในบ้าน ด้วยความสนิทสนม
“ไปก่อนนะครับน้าโต๊ด ไว้วันหลังเจอกันที่เดิมครับ”
โต๊ดอยู่ในบ้านตะโกนตอบอย่างเป็นปลื้ม
“ครับๆ โชคดีครับ”
ชิณก็ขับรถออกไปแล้ว ทิ้งกะละแมยืนฟึดฟัดฮึดฮัดอยู่คนเดียว ไอ้บ้านี่!!
ที่โต๊ะอาหารบ้านฉายตะวันค่ำนั้น กิมเอ็งรวบช้อน ใบหน้ายิ้มแย้ม
“อาหารอร่อยมาก ขอบคุณคุณพี่มากนะคะที่ชวนเราสองคนแม่ลูกมาทานข้าว”
“เล็กๆ น้อยๆ จ้ะ อีกอย่างที่ฉันชวนทั้งสองคนมาเพราะมีเรื่องจะคุยด้วย”
สองแม่ลูกตั้งใจฟัง
“เรื่องอะไรคะคุณป้า” มิ้วตื่นเต้น
“เรื่องหนูกะละแม”
สองแม่ลูกหน้าตึงขึ้นมาทันที
ฉายตะวันพูดต่อ “กะละแมบอกว่า กิมเอ็งกับมิ้วต่อว่าเค้าเรื่องที่มาหลอกใช้ฉันเพื่อจับชิณ”
สองคนมองหน้ากัน มิ้วปรี๊ดหันมา
“กะละแมไปฟ้องคุณป้าแบบนั้นเหรอคะ”
“เค้าไม่ได้ฟ้องแต่ป้าคาดคั้น จนหนูกะละแมยอมเล่า ป้าไม่เข้าใจ ทำไมเธอสองคนถึงคิดว่าฉันจะโง่ถูกหลอกได้ง่ายๆ”
กิมเอ็งเห็นฉายตะวันโกรธเลยรีบพลิกสถานการณ์
“เราไม่ได้คิดว่าคุณพี่โง่นะคะ และเราสองคนแม่ลูกไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นเลยนะคะ กะละแมเค้ามีหลักฐานอะไรมายืนยันหรือเปล่าคะ ว่าเราสองคนพูด”
“ใช่ค่ะ กะละแมใส่ร้ายเราสองคน คงอยากจะกำจัดเราให้ห่างจากคุณป้า ถ้ามิ้วยืนยันว่ามิ้วกับคุณแม่ไม่ได้พูด คุณป้าจะเชื่อใคร ระหว่างเราสองคนกับยัยร่างทรงกะละแม”
ฉายตะวันตอบนิ่งๆ แต่หนักแน่น
“ป้าคงต้องเชื่อกะละแม”
มิ้วอึ้ง “หะ! ทะ...ทำไมคะคุณป้า ทำไมคุณป้าเชื่อมัน แต่ไม่เชื่อมิ้ว”
“เพราะกะละแมไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกป้า”
“มีสิคะ...ทำไมจะไม่มี มันอยากให้คุณป้าเกลียดเราสองคนไงคะ”
มิ้วโมโหหยุดไม่อยู่...กิมเอ็งสะกิดๆ ก็ไม่ได้ผล
“และที่สำคัญ มันอยากได้พี่ชิณ พี่ชิณทั้งหล่อ ทั้งรวย แถมเป็นลูกคนเดียว สมบัติตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ใครได้ไปก็สบายทั้งชาติ มิ้วรู้ว่ามันอยากได้พี่ชิณใจจะขาดอยู่แล้ว”
กิมเอ็งเสียงดัง “มิ้ว”
มิ้วเริ่มได้สติ...ฉิบหาย หลุดไปเป็นพวงเลย
ฉายตะวันเงียบ มองหน้าสองแม่ลูก
“เอาเถอะ...ป้าไม่ห้าม ถ้ามิ้วจะมีความคิดอย่างนี้ แต่ป้าไม่ชอบที่ไปทำแบบนั้นกับกะละแม เอาไว้มิ้วเปลี่ยนความคิดได้เมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน”
ฉายตะวันพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที กิมเอ็งรีบเรียกไว้
“คุณพี่คะ...คุณพี่”
ฉายตะวันไม่ยอมหยุดเดิน หนีขึ้นห้องไปเลย
กิมเอ็งหยุดเรียกแล้วชักสีหน้า แววตาวาวโรจน์โกรธแค้นอาฆาตกะละแมสุดๆ
“นังกะละแม มันกล้าทำแบบนี้ เท่ากับเป็นการประกาศสงครามชัดๆ”
เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 7 (ต่อ)
เช้าวันนั้น โทฟู่ยืนอยู่หน้าบ้านเช่าหลังใหม่ของกะละแม กดออดแล้วก็ยืนรอ ทันใดนั้นเอง จักกายก็ก้าวเท้าเข้ามาแล้วก็มายืนอยู่ข้างๆ โทฟู่ค่อยๆ หันไป พอเห็นหน้าจักกายก็สะดุ้งตกใจ
“เอ้ยคุณมาได้ยังไง”
“ผมก็ไปดักรอคุณที่หน้าปากซอยตั้งแต่ตีสี่ แล้วก็ขับรถตามรถเมล์ที่คุณขึ้นมาเรื่อยๆ”
“นี่คุณสะกดรอยตามฉันมาเหรอ”
จักกายยังไม่ทันตอบ กะละแมเปิดประตูหน้าบ้านมา เห็นโทฟู่ยืนอยู่กับจักกายก็งง
“ไอ้ฟู่”
โทฟู่หันไปเห็นกะละแมก็หน้าเสีย
กะละแมมองจักกายเซ็งๆ แล้วก็หันหลังเข้าบ้านไปเลย ไม่สนใจ โทฟู่รีบเรียกไว้
“ไอ้แม เฮ้ย คุยกันก่อนไอ้แม”
กะละแมไม่หันกลับมา แต่ตุ้งแช่เดินออกมาในชุดนักเรียนหน้างงๆ
โทฟู่รีบเรียกไว้ “แช่ เปิดประตูให้พี่หน่อย”
กะละแมกำลังจะเดินหลบออกไปทางประตูหลัง โทฟู่รีบเข้ามาจับแขนไว้สองคนคุยกันอยู่ตรงมุมหนึ่งในบ้าน
“ไอ้แม แกเข้าใจฉันผิดนะเว้ย”
กะละแมหันมาเอาเรื่อง “แกพาหมอนั่นมาทำไม”
“ไม่ได้พามา...เขาแอบสะกดรอยตามฉันมา” โทฟู่บ่นอุบ “ไม่น่าพลาดเลย”
“แต่มันก็พลาดไปแล้ว ฉันดีใจที่แกมาเยี่ยมฉัน แต่ถ้ามีนายนี่มาด้วย ฉันไม่อยากคุย ตอนนี้ฉันเจองานเข้าหลายเรื่องแล้ว ไม่อยากมีงานงอก เขามากับแก แกดูแลเองก็แล้วกัน ฉันจะรีบไปติว”
กะละแมเดินหลบไปทางหลังบ้าน โทฟู่ดึงไว้
“ฉันขอโทษจริงๆ นะ”
“ไม่เป็นไร...ฉันรู้ว่าแกไม่ตั้งใจ เดี๋ยวฉันจะหลบออกทางหลังบ้าน แกช่วยกันเขาไว้หน่อยแล้วกัน”
โทฟู่รับปาก “อือ”
กะละแมเดินไปเลย
โทฟู่มองตามกะละแม แล้วหันกลับไปมองในบ้าน...นายไฮโซนะ หาเรื่องให้ฉันจริงๆ
จักกายยืนอยู่ในบ้าน มองไปรอบๆ เห็นบ้านรกมาก แล้วก็พูดลอยๆ
“รกขนาดนี้ อยู่กันได้ยังไง”
ตุ้งแช่กำลังเตรียมตัวจะไปโรงเรียน หันมามอง แล้วก็พูดตรงๆ
“ปกติก็ไม่รกหรอกครับ แต่เมื่อวันก่อนมีคนมาถล่ม”
จักกายปากดีอีก “เจ้าหนี้เหรอ”
“เปล่าครับ...เจ้ามือหวยกับลูกชายมัน ตัวพ่อมาสั่งให้พี่แมเลิกใบ้ห้วย ตัวลูกจะมาฉุดพี่แม”
จักกายตกใจร้อง...หะ! รู้สึกเป็นห่วงกะละแมขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร เสียงโทฟู่ก็ดังเข้ามา
“นี่คุณ..มาช่วยยกของหน่อยสิ”
จักกายหันไป เห็นโทฟู่ยืนอยู่คนเดียว
“ยกอะไร”
“ก็ยกของน่ะ มาเหอะน่า เห็นเดี๋ยวก็รู้เอง”
จักกายเอะใจ “แล้วกะละแมอยู่ไหน”
“ก็..อยู่ในบ้านนี่แหละ เดี๋ยวมันก็ออกมา คุณมาช่วยฉันยกของก่อน เดี๋ยวก็ได้เจอ (มาลากไปเลย) ไปเร็ว”
โทฟู่ลากจักกายไป ด้านหลัง นอกหน้าต่าง ข้างบ้าน เห็นกะละแมกำลังจะแอบย่องออกไป ตุ้งแช่เห็นพอดี
“อ้าวพี่แม...ไหนว่าจะไปโรงเรียนพร้อมกัน ทำไมไปไม่เห็นบอกเลย”
จักกายหันไป กะละแมเห็นก็รีบวิ่งหนีไปต่อหน้าเฉยเลย จักกายหน้าเสียหันมาทางโทฟู่
โทฟู่ยิ้มแห้งๆ ทำเป็นไม่รู้เรื่อง แหะๆๆๆ จักกายรู้ทันทีว่าเป็นแผนของทั้งสองคน จักกายหน้าเสียนิดๆ ทั้งไม่พอใจและแอบน้อยใจ
ครู่ต่อมาชามโจ๊กวางอยู่บนโต๊ะแล้ว จักกายไม่กิน โทฟู่กินไปมองหน้าจักกายไป เป็นห่วงนิดๆ
“ไมไม่กิน ? หรือว่ากินโจ๊กไม่เป็น”
จักกายคิดแล้วก็ถาม “ทำไมกะละแมต้องหนีผมด้วย ผมน่ารังเกียจตรงไหน”
โทฟู่วางช้อน แล้วมองหน้าจักกายจริงจัง
“คุณไม่ได้น่ารังเกียจ แต่คุณกำลังมีปัญหา”
จักกายงง “ปัญหาอะไร”
“ปัญหาในการเข้าสังคม” จักกายงงใหญ่ “คุณเพิ่งมาจากต่างประเทศ เพื่อนก็ไม่มี พ่อแม่ก็เสียชีวิตหมดแล้ว ตอนนี้..คุณเหงามากรู้หรือเปล่า”
จักกายไม่เชื่อ “ผมเนี่ยนะเหงา เฮอะ”
“ถ้าไม่เหงา แล้วจะมาเฝ้าหน้าบ้านฉันตั้งแต่ตี 4 ทำไม” จักกายชะงักเออจริง “นอนไม่หลับล่ะสิ เลยหาอะไรทำฆ่าเวลา”
จักกายหลบตาแทนคำตอบว่า “ใช่”
“บางทีคุณอาจจะไม่ได้ชอบไอ้แม หรือไม่ได้อยากจะเจอมันจริงๆ ก็ได้ แต่คุณไม่มีอะไรทำ รวย ว่าง เวลาเหลือ ก็เลยคิดว่าทำแบบนี้แล้วไอ้แมมันจะปลื้ม แต่มันไม่ปลื้มหรอก เพราะคุณไม่ได้ทำจากใจ คุณแค่ทำตามอารมณ์”
“แล้วใจกับอารมณ์มันต่างกันยังไง” จักกายงงต่อ
“โอ้ยยย..ถามแบบนี้ รู้เลยว่าไม่เคยรักใคร ? ใช่หรือเปล่า”
จักกายอึ้ง คิดๆ
“ไม่รู้สิ ไม่แน่ใจ...แล้วเธอเคยรักใครหรือเปล่า”
โทฟู่มองหน้าจักกายแล้วก็ตอบ
“เคย...” จักกายรอฟัง “รักอาม่าไง อาม่าเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เด็ก มีกันอยู่สองคน ฉันรักอาม่าที่สุด”
จักกายหัวเราะขำ แล้วหันมาเล่นมุก “แล้วผมต้องเป็นอาม่าให้กะละแมด้วยหรือเปล่า...เค้าถึงจะรักผม”
โทฟู่ขำๆ “เออ...ก็ลองดูสิ มันอาจจะได้ผลก็ได้”
แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะให้กันเบาๆ เป็นบรรยากาศยามเช้าที่แสนสดใส จักกายมองโทฟู่ที่กำลังกินโจ๊กอย่างเป็นธรรมชาติ จนจักกายชักอยากจะกินบ้าง เลยหยิบช้อนมาตักโจ๊กเข้าปาก ตอนแรกก็ชิมนิดๆ ตอนหลังก็กินเอาๆ ...อร่อยเว้ย
โทฟู่มองจักกายแล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข
กิมเอ็งตีหน้าเศร้าสลดขณะอยู่ต่อหน้าชิณ มิ้วนั่งข้างๆ ทรงวุฒิยืนฟังอยู่ด้วย
“น้าต้องขอโทษคุณชิณจริงๆ นะคะ ที่เป็นคนชักนำคุณพี่เข้าสู่วงการทรงเจ้าของเจ้าแม่มหาลาภไทรทอง จนทำให้คุณพี่ต้องไปเจอพวก 18 มงกุฎ น้าก็ไม่คิดว่าพวกมันจะร้ายกาจขนาดนี้ คิดแค่ว่าจะพาคุณพี่ไปดูดวงเพื่อความสบายใจ ที่ไหนได้...มันเกาะคุณพี่ไม่ปล่อย”
มิ้วใส่ต่อ “ตอนนี้มิ้วเริ่มเห็นด้วยกับพี่ชิณแล้วค่ะ ว่าพวกนั้นเป็นนักต้มตุ๋น หลอกลวงประชาชน แถมยังให้หวยชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านงมงายอบายมุข ใบ้หวยมั่วๆ บางงวดก็ถูก บางงวดก็ไม่ถูก”
ทรงวุฒิเสนอหน้า “ถึงไม่ถูกแต่ก็เฉียดนะครับ”
ชิณเหล่ ทรงวุฒิหุบปากถอยหลังไป
“ผมดีใจที่คุณป้ากับมิ้วตาสว่างสักที”
กิมเอ็งแอบค้อนที่ถูกเรียกป้า รีบแทรกทันที
“คุณน้าค่ะ” แล้วก็ยิ้มจิก ทำหน้าเด็กมาก
มิ้วพูดต่อ “ดีที่เรารู้ทันพวกมัน แต่คุณป้าน่ะสิคะ นับวันก็ยิ่งหลงมันมากขึ้น แล้วมันยังเอาเรื่องทุนมาบังหน้าเพื่อเข้าหาคุณป้าอีก มิ้วล่ะเป็นห๊วง...เป็นห่วง”
ชิณคิดหนัก
กิมเอ็งมองแล้วรีบเสริม “จริงค่ะ คุณพี่น่ะหลงยัยเด็กร่างทรงนั่นมาก เรียกว่าจะเอาอะไรก็แทบจะประเคนให้ทุกอย่าง คุณชิณต้องระวังไว้นะคะ ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะหลอกขออะไรคุณพี่อีก”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมคอยระวังอยู่ ไม่ว่าพวกนั้นจะมาไม้ไหน ผมไม่มีทางปล่อยให้มันครอบงำคุณแม่มากไปกว่านี้”
ชิณขมวดคิ้วเครียด...ความวิตกมีให้เห็นในแววตา
มิ้วกับกิมเอ็งแอบยิ้มให้กันที่เป่าหูชิณสำเร็จ
มิ้วกับกิมเอ็งเดินออกมาที่หน้าออฟฟิศ ด้วยหน้าตาเบิกบานมาก
“แผนการเป่าหูคุณชิณสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แผนขั้นต่อไป”
กิมเอ็งพยักหน้าให้ลูกสาว มิ้วยิ้มร้ายแล้วกดโทรศัพท์โทร.ออก
ติ่งกำลังนั่งเล่นเกมในมือถือ ไร้สาระสุดๆ เห็นมิ้วโทร.มาก็ยิ้มแฉ่ง
“คุณมิ้ว!” กดรับ “สวัสดีครับ”
มิ้ว ใส่เป็นชุด
“ฝากบอกยัยร่างทรงน้องสาวแกด้วยนะ อย่าคิดว่าใส่ร้ายฉันลับหลังแล้วจะทำอะไรฉันได้ ลูกไม้ตื้นๆ ฉันรู้ไม่ทันหรอกย่ะ มันทำแบบนี้เท่ากับประกาศตัวเป็นศัตรูกับฉัน ระวังตัวไว้ให้ดี คนอย่างฉันไม่มีวันปล่อยให้มันชนะ บอกมันด้วย”
มิ้วกระแทกหูโทรศัพท์ใส่อย่างแรงด้วยความสะใจ
“ร้ายได้โล่มากค่ะลูกแม่”
กิมเอ็งยิ้มปลื้ม...ให้ท้ายประสาลูกชั่วแม่เลว มิ้วก็ยิ้มภูมิใจซะงั้น
ขณะที่กะละแมนั่งอ่านหนังสืออยู่ ติ่งเดินมาหน้าหงิก
“ไอ้แม แกไปทำอะไรคุณมิ้วของฉันหะ”
กะละแมหันมางงๆ “อะไร...ฉันจะไปทำอะไรเขาได้ แล้วจะทำไปทำไมล่ะ ช่วยอธิบายให้กระจ่างหน่อยสิ”
“ก็คุณมิ้วโวยวายใส่ฉันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเหมือนเกลียดชังฉันซะเต็มประดา” ติ่งพูดพร้อมกับทำหน้าเจ็บปวด “ตอนแรกฉันก็นึกว่าฉันไปทำอะไรให้ไม่พอใจ แต่จริงๆ แล้ว” หันมาทางกะละแม “เพราะแก! ไปทำให้เขาไม่พอใจ”
กะละแมงง “ฉันเนี่ยนะ! ฉันไปทำอะไร”
“จะไปรู้แกเหรอ...แกลองนึกดูดีๆสิ ว่าไปทำอะไรให้เขาเดือดร้อนจนต้องพาลมาด่าฉันแบบนี้ เขาบอกว่า ... แกไปใส่ร้ายเค้าลับหลัง เค้าเลยโกรธไม่ยอมปล่อยให้แกชนะ อะไรทำนองเนี้ยะ”
กะละแมคิดไปมา จนกระทั่ง...นึกออกถึงตอนพูดกับฉายตะวัน
“หรือว่า...”
ฉายตะวันนั่งกินข้าวอยู่กับชิณ มีแจ่มคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ ชิณเงยหน้ามองแม่แล้วก็พูดขึ้น
“เมื่อกลางวันผมเพิ่งได้คุยกับมิ้วกับคุณน้ากิมเอ็งเรื่องกะละแม”
“แม่รู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว ไม่ต้องเล่าหรอก”
“แม่รู้เรื่องอะไรเหรอครับ” ชิณสงสัยเพราะมีหลายเรื่อง
“ก็เรื่องที่สองคนนั้นไปว่าหนูกะละแมน่ะสิ”
ชิณงง “เรื่องอะไรครับ”
“พวกเขาคิดว่าหนูกะละแมสนใจเรา และใช้แม่เป็นสะพานข้ามมาหาเราน่ะสิ...” ชิณสำลัก...ไอ...แค่กๆ...ทำช้อนหล่น “แต่แม่ถามหนูกะละแมแล้ว”
ชิณตื่นเต้นอยากรู้สุดขีด “แล้วเขาว่าไงครับ” ลุ้นๆ
“เขายืนยันว่าเขาไม่เคยคิด และไม่เคยแม้แต่จะสนใจผู้ชายอย่างลูกเลย” ชิณหน้าเสีย “เขาบอกว่าเราน่ะ ปากไม่ดี ชอบว่าเขา และก็ไม่ใช่สเป็คเขาแม้แต่นิดเดียว ถ้าได้ไปเป็นสามีมีหวังเครียดตาย” พูดไปขำไป “แม่เลยยิ่งแน่ใจว่า เขาน่ะไม่ได้สนใจลูกจริงๆ”
ชิณกำมือแน่น...พึมพำด้วยความแค้น
“กล้าดียังไงมาพูดถึงฉันแบบนี้”
ฉายตะวันรู้ทัน “เป็นอะไร...หรือทนไม่ได้...ที่มีผู้หญิงไม่สนใจ”
ฉายตะวันพูดแทงใจดำ ชิณหน้าเสีย แอบผิดหวังเบาๆ
“ผมอิ่มแล้ว...ขอตัวก่อนนะครับ”
ชิณลุกไปเลย ฉายตะวันอมยิ้มขำๆ ไม่เคยเห็นชิณงอนแบบนี้มานานแล้ว
จักกายกลับมาที่คอนโด ห้องหรูหรากว้างขวางใหญ่โต และตกแต่งอย่างทันสมัย แต่กลับดูเงียบเหงา เขานั่งดูทีวีอยู่เพียงลำพัง
ครู่ต่อมาจักกายเปลี่ยนช่องไปมาด้วยอาการเซ็งๆ ไม่รู้จะดูอะไร หน้าจอทีวีเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่รายการสารคดีชุมชน
จักกายมองไปที่จอทีวี กลับเห็นเป็นภาพกะละแมเดินอยู่ในจอทีวี แล้วหันมายิ้มให้เขา จักกายสลัดภาพในความคิดออก อึ้งๆ งงๆ ตัวเองว่าเห็นกะละแมได้ไง
จักกายยิ้ม แล้วคิดถึงกะละแมในอิริยาบทน่ารักๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทั้งคู่เจอกัน กะละแมเอาน้ำเต้าหู้ให้จักกาย
“น้ำเต้าหู้ 1 แก้ว”
ตอนกะละแมเอาของมาคืนที่ออฟฟิศ
“ฉันเอาของมาคืน”
จนถึงเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่กะละแมวิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตา
จักกายยิ้มขำแล้วก็คิดหนัก
“ผมต้องทำไงดีนะ”
จังหวะนั้นเองจักกายคิดถึงคำพูดของโทฟู่ที่ร้านโจ๊ก
“อาม่าเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เด็ก มีกันอยู่สองคน ฉันรักอาม่าที่สุด”
“แล้วผมต้องเป็นอาม่าให้กะละแมด้วยหรือเปล่า...เค้าถึงจะรักผม
“เออ...ก็ลองดูสิ มันอาจจะได้ผลก็ได้”
เวลาต่อมาภาพสภาพบ้านเช่าของกะละแมที่เละเทะผุดขึ้นมาในความคิด
ขณะที่จักกายยืนอยู่ในบ้าน มองไปรอบๆ เห็นสภาพบ้านรกมาก แล้วตุ้งแช่ก็พูดขึ้นมาลอยๆ
“เจ้ามือหวยกับลูกชายมัน ตัวพ่อมาสั่งให้พี่แมเลิกใบ้ห้วย ตัวลูกจะมาฉุดพี่แม”
จักกายดึงตัวเองกลับมา รู้สึกเป็นห่วงกะละแมจับใจ ชายหนุ่มมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ ปิ๊ง!
รุ่งเช้าจักกายพาตัวเองมาอยู่ที่ร้านเต้าหู้ซอยมหาลาภ และกำลังพูดกับโทฟู่และอาม่าอย่างจริงจัง
“ผมมีห้องว่างสำหรับกะละแมและครอบครัว”
โทฟู่กับอาม่านั่งฟังอยู่ตรงข้าม สอนคนมองหน้ากัน แล้วก็หันมาทางจักกาย
“นี่คุณจะชวนกะละแมไปอยู่ด้วยเนี่ยนะ” โทฟู่ถามงงๆ
“นั่นสิ..คิดอะไรอยู่เนี่ย” อาม่าก็งง
จักกายอธิบายชวนงง “ก็เพื่อนคุณโดนเจ้ามือหวยรังควานอยู่ ผมเลยจะใช้โอกาสนี้ดูแลเขาแบบที่อาม่าดูแลคุณ”
อาม่างง “ม่าเกี่ยวไรด้วย”
โทฟู่บอกเบาๆ “เอาน่า..เดี๋ยวค่อยเล่า”
จักกายพูดต่อ “วิธีนี้อาจทำให้เขาสนใจผม อย่างที่คุณรักอาม่าก็ได้”
อาม่าสะดุ้งอีก “ม่าอีกแล้ว..ตกลงยังไงกันเนี่ย”
“ใจเย็นม่า...เดี๋ยวเล่า”
จักกายพูดต่อ “ผมให้เลขาจัดห้อง พร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกไว้ทุกอย่างแล้ว แค่ขนของเข้าไป ก็อยู่ได้ทันที”
โทฟู่มองหน้าจักกายอย่างปวดตับ เชื่อเขาเลย
“นี่คุณก่อนจะจัดเตรียมสถานที่...ถามเพื่อนฉันหรือยังว่าอยากได้หรือเปล่า หัดถามความคิดเห็นคนอื่นบ้างนะ”
“ทำไมผมจะไม่ถาม ผมก็กำลังจะถามคุณอยู่นี่ไง”
อาม่าทนไม่ไหวพูดแทรก “จะถามอะไร...เกี่ยวกับม่าอีกหรือเปล่า”
จักกายหันมาตอบยิ้มๆ “ไม่เกี่ยวครับ”
“อ๋อ…แล้วไป”
จักกายหันมาทางโทฟู่ “ผมจะถามคุณว่า...คุณจะไปบอกกะละแมให้ผม หรือจะให้ผมไปบอกเอง”
“ก็ไปบอกพร้อมกันเนี่ยแหละ” โทฟู่ว่า
อาม่าแทรกอีก “แล้วม่าต้องไปด้วยหรือเปล่า”
โทฟู่กะจักกายหันมาพูดพร้อมกัน “ไม่ต้องหรอกจ้ะ” / “ไม่ต้องหรอกครับ”
“อ๋อ..ไม่ต้องนะ”
โทฟู่ยิ้มแหะๆ กับอาม่า “ไม่ต้องจ้ะ”
ก่อนจะหันมาทางจักกาย
“ฉันช่วยพูดให้คุณได้ แต่ไอ้แมจะไปหรือไม่ไปฉันไม่รู้”
พอฟังจักกายกับโทฟู่จบกะละแมบอกเสียงดังฟังชัด
“ฉันไม่ไป!”
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่สะดุ้งหันขวับมาทางกะละแม
“เฮ้ย”
จักกายผิดหวัง โทฟู่มองอย่างเห็นใจ
“แกไม่ไปแล้วแกจะอยู่ที่นี่ไหวเหรอ”
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ รีบกรูมาหากะละแม พร้อมกับเกลี้ยกล่อม
“นั่นสิ ข้าไม่มีเงินจ่ายค่าเช่านะโว๊ย เงินที่จะต้องซ่อมบ้านหลังนี้ให้เค้าก็ไม่มี ถ้าเอ็งขืนอยู่ต่อ เจ้าของบ้านมันเอาพวกเราตายแน่” โต๊ดนำร่อง
ติ่งตาม “ใช่ แล้วไหนจะไอ้พวกเจ้ามือหวยอีก พวกมันโหดยิ่งกว่าหมาท้ายซอย! ข้ายังไม่ได้แต่งงานกับคุณมิ้ว ข้ายังไม่อยากตาย”
กะละแมเริ่มคิด..เออว่ะ
ตุ้งแช่ปิดจ๊อบ “ใช่พี่แม ที่นี่มันไม่ปลอดภัย! ไม่รู้ว่าไอ้พวกนั้นจะบุกมาอีกเมื่อไหร่ ถ้ามันมาตอนที่พ่อกับพี่ติ่งไม่อยู่เหมือนครั้งที่แล้ว ฉันต้องตายแน่ๆ”
กะละแมดูหนักใจ มองหน้าจักกายอีกที อดคิดไม่ได้ว่า...ไอ้นี่จะไว้ใจได้เปล่าวะ?
“แม”จักกายตีซี้เรียกสนิทสนมขึ้นมาทันที “ยังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้ก็ได้ ไปดูที่พักที่ผมเตรียมไว้ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป”
โทฟู่ช่วยพูด “ก็ดีนะ ไปป่ะ เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน ไปดูด้วยกันหมดนี่แหละ แล้วช่วยกันตัดสินใจ”
ติ่ง ตุ้งแช่ โต๊ด พยักหน้าหงึกๆๆ แล้วก็หันมามองกะละแมสีหน้าอ้อนวอน และรอคำตอบ
นาทีนั้นกะละแมกดดัน อึดอัดๆ แล้วก็ตัดสินใจ
“ก็ได้ ฉันจะไป”
จักกายยิ้มพอใจ กะละแมรีบดักคอ
“แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่นะ ฉันแค่ขอไปดูก่อนเท่านั้นนะ”
กะละแมประกาศความคิดอย่างชัดเจน
ทุกคนอยู่ที่ห้องคอนโดอันหรูหราตระการตาซึ่งศจีเลขาจักกายจัดไว้รออย่างเรียบร้อย โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ อึ้งร้องออกมาพร้อมกัน
“ไฮโซอ่ะ”
ทุกคนยืนอยู่กลางห้องชุดสุดหรู มองไปรอบๆ ห้อง ตาลอยๆ ปลื้มๆ ไม่เคยเห็นห้องหรูหราอย่างนี้มาก่อน นี่มันสวรรค์ชัดๆ!
ศจียืนอยู่ข้างๆ หันมาพูดพร้อมรอยยิ้ม
“อันนี้ยังไม่ค่อยเท่าไหร่นะคะ ยังไม่ถึงกับไฮโซ แค่ระดับคนชั้นกลาง”
ศจียิ้มให้ทั้ง 3 คน ไม่ได้แดกดัน แต่พูดความจริงอันระคายหู 3 หนุ่มอึ้งไปนิดๆ ศจีพูดต่อ
“ห้องชุดนี้ มีแค่สามห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องนั่งเล่น เข้าออกด้วยคีย์การ์ด” ส่งคีย์การ์ดให้คนละใบ “มีโทรศัพท์ภายใน โทรทัศน์ และเคเบิ้ล ดูบอลได้ ดูละครย้อนหลังของ เอ็กแซ็กท์ กับ ซีเนริโอ ก็ได้ ทุกเช้าจะมีแม่บ้านมาทำความสะอาด นำเสื้อผ้าไปซัก และเตรียมอาหารให้ทั้ง 3 มื้อ ไม่ทราบว่าโอเคหรือเปล่าคะ ต้องการอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า”
ศจีหันมาถามโต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ ฝ่ายโต๊ดระล่ำระลักบอกด้วยความปลาบปลื้มใจ
“ไม่แล้วครับ แค่นี้ก็...สุดๆ แล้วครับ”
จักกายยิ้มพอใจ หันมามองกะละแมที่ยังรักษาท่าทีนิ่งๆ อยู่ โทฟู่ก็พลอยมองกะละแมลุ้นไปด้วย
ศจียิ้มแย้มแล้วพูดต่อ “ส่วนเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ชั้นนี้เป็นของคุณจักกายทั้งหมด ด้านนี้จะเป็นห้องชุดของพวกคุณ พอเปิดประตูออกไปอีกฝั่งหนึ่งจะเป็นห้องของคุณจักกายค่ะ”
ทุกคนหันขวับไปมองจักกายระแวดระวัง โทฟู่มองจักกายไม่ไว้ใจสุดๆ ‘อย่าทำอะไรเพื่อนฉันนะ’
จักกายรู้ทันเลยรีบบอก “ไม่ต้องห่วง ผมไม่มีคีย์การ์ด ถ้าพวกคุณไม่อนุญาตผมก็เข้ามาไม่ได้”
ศจีส่งนามบัตรให้โต๊ด “นามบัตรดิฉันค่ะ ถ้ามีอะไรก็สายตรงมาได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
โต๊ดรับนามบัตรจากศจีมายิ้มๆ
ศจีหันมาทางเจ้านาย จักกายพยักหน้าให้ เป็นเชิงว่าไปได้ ศจีหันมายิ้มกับทุกคน “โชคดีค่ะ”
โต๊ดกับติ่งค้อมหัวอย่างเกรงใจ “ขอบคุณครับๆ”
ตุ้งแช่ยกมือไหว้ลาศจี “สวัสดีครับ”
ศจีเดินออกไป จักกายบอกกับทุกคน
“ผมสั่งแม่บ้านให้ดูแลอำนวยความสะดวกให้พวกคุณทุกอย่าง ถ้ามีอะไรก็เรียกใช้แม่บ้านได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ ยิ้มรับราวกับว่าจะอยู่แล้ว
จักกายหันไปยิ้มให้กะละแมด้วยความมั่นใจว่ากะละแมน่าจะชอบ กะละแมยังหน้านิ่ง
“ไม่ต้องยิ้มเลย ฉันยังไม่ได้ตอบตกลง ขอพวกฉันปรึกษากันอีกทีก่อน” พยักหน้าไปที่ประตู คล้ายจะไล่ “เชิญ”
“โอเค...ได้คำตอบก็บอกผมแล้วกัน”
จักกายเดินออกจากห้องไป ประตูปิด
ติ่งกับตุ้งแช่เฮลั่นด้วยความดีใจ...ตุ้งแช่วิ่งวนรอบห้อง ติ่งลูบคลำเฟอร์นิเจอร์หรูๆ ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ใช้ กะละแมมองทุกคนด้วยสายตาพิฆาตดุๆ ทุกคนชะงัก หงอย จ๋อยกันไป
เย็นย่ำ เห็นจักกายมายืนอยู่หน้าห้องรอฟังคำตอบสีหน้าลุ้นๆ
โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ โทฟู่ กะละแมนั่งปรึกษากันอยู่ที่โต๊ะกินข้าว
“เอ็งจะคิดอะไรอีกวะไอ้แม บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ อยู่ฟรีกินฟรี” โต๊ดบอก
“ฉันว่ามันไม่น่าไว้ใจ มาทำดีแบบนี้ มีอะไรแอบแฝงเปล่าก็ไม่รู้” กะละแมว่า
“มันก็ยังดีกว่าโดนเจ้ามือหวยพวกนั้นทำร้ายนะพี่แม” ตุ้งแช่เอ่ยขึ้น
“แต่พี่ว่าพวกนั้นมันก็ดีกว่าคนที่ร้ายกับเราลับหลัง พวกที่ร้ายกับเราตรงๆ อย่างน้อยเราก็รู้ว่ามันกำลังจะทำอะไร”
ติ่งเซ็ง “เอ็งคิดเยอะไปปะวะไอ้แม”
โทฟู่เสริม “ฉันว่า..คนอย่างจักกายไม่มีอะไรแอบแฝงหรอก เขาก็แค่เป็นพวกขี้เหงา ชอบเอาแต่ใจ ชอบเอาชนะ ขาดความรัก ดูไปก็ออกจะน่าสงสารด้วยซ้ำไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรหรอก” โทฟู่ลืมตัวพูดเป็นชุด
กะละแมหันมามองหน้าโทฟู่...เอ๊ะ ยังไง ?
ติ่งแซว “เป็นชุด รู้ลึก รู้จริง รู้เยอะเชียวนะ เป็นอะไรกันปะเนี่ย”
โทฟู่อายม้วน “บ้า! จะเป็นอะไร ก็แค่คนรู้จัก” รีบเปลี่ยนเรื่อง “ตกลงแกจะทำไงไอ้แม”
กะละแมลังเล คิดๆ ก่อนบอก “ขอฉันคุยกับเค้าตัว ตัว ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ”
กะละแมลุกขึ้นยืนสีหน้ามั่นใจ แล้วก็เดินออกไปเลย
ทุกคนตกใจ ติ่งกะตุ้งแช่ร้องพร้อมกัน
“เฮ้ย!! ไอ้แม” / “เฮ้ย!! พี่แม”
กะละแมเดินดุ่ยออกไปเลย
“มันจะไปคุยอะไรกับเค้าวะ” โต๊ดสงสัย
โทฟู่มองตามกะละแม สีหน้าครุ่นคิด…นั่นสิ จะคุยอะไร
ติดตาม "จ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 8