xs
xsm
sm
md
lg

เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 11

ชิณถือโทรศัพท์รอทรงวุฒิรับสาย แต่ทรงวุฒิไม่รับกระทั่งสายตัด

“ทรงวุฒิทำไมไม่รับโทรศัพท์” ชิณบ่นกดวางสายหงุดหงิด “แล้วใครจะมาเปลี่ยนยางให้”
กะละแมโพล่งขึ้น “ฉันเปลี่ยนให้เอง”
ชิณเหลียวขวับ “เธอเนี่ยนะ”
“อื้อ” กะละแมพยักหน้า
“เธอทำเป็นเหรอ” ชิณไม่อยากจะเชื่อ
“เดี๋ยวจะทำให้ดู ถ้าอยากรู้ก็ไปเอายางอะไหล่กับเครื่องมือมา”
ชิณฉุนนิดๆ “นี่เธอสั่งฉันเหรอ”
“แล้วมีคนอื่นอีกไหมถ้าไม่ใช่คุณ ถ้าไม่ไปหยิบมาให้ก็เปลี่ยนเอง”
ชิณอึกอักๆ ก่อนจะยอม “เออๆ ฉันไปหยิบให้ก็ได้แต่!!ทำให้ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ อย่าหวังเลยว่าจะได้สั่งฉันอีกเป็นรอบสอง”
ชิณเอาโทรศัพท์มือถือไปเก็บไว้ในรถ แล้วเดินไปทางท้ายรถเพื่อหยิบยางอะไหล่... ชิณเดินกลับมาหากะละแมพร้อมกับกลิ้งยางอะไหล่มาด้วย
“ทำดีๆ ล่ะ ถ้ารถฉันพังเธอต้องรับผิดชอบ”
“ฉันเคยทำงานอู่ซ่อมรถ เปลี่ยนยางแค่นี้สบายมาก” กะละแมมองหาเครื่องมือ “ไหนล่ะเครื่องมือ เอามาแต่ยางอะไหล่ ไม่เอาเครื่องมือมา ฉันจะเปลี่ยนได้ไหม”
“ก็มีแค่สองมือจะให้ถือมาได้ยังไงหมด”
“ก็รีบไปเอามาสิ ชักช้าเดี๋ยวก็ให้ทำเองซะเลย...รีบสิเร็ว ยังจะยืนมองหน้าอีก”
“เออ...จำไว้เลย...ฉันเอาคืนแน่!” วางยางแล้วเดินไปท้ายรถ
กะละแมมองตามยิ้มสะใจเล็กๆ ที่ได้แกล้งชิณ
ชิณเดินกลับมาแล้วก็ยื่นประแจถอดน็อตล้อกับแม่แรงยกรถให้กะละแม
“เอาไป” กะละแมรับไป “จะเอาอะไรอีกไหม”
“ไม่แล้ว”
กะละแมใช้ประแจถอดน็อตล้อเสียบเข้าไปที่น็อตล้อแล้วก็เหยียบขย่มๆ เพื่อคลายน็อตอย่างคล่องแคล่ว ชิณมองอย่างทึ่ง เฮ้ย...ทำเป็นจริงๆ

ทางด้านฉายตะวันมองจากหน้าบ้าน เห็นติ่งกับตุ้งแช่เล่นน้ำทะเลกันอย่างสนุกสนาน แล้วก็วิ่งมาลากโต๊ดที่นอนอาบแดดอยู่บนเตียงผ้าใบที่ชายหาดลงทะเลไป
ฉายตะวันยิ้มขำๆ เอ็นดู “ฉันดีใจนะที่เห็นทุกคนมีความสุข”
แจ่มที่คอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ ชะโงกหน้ามอง...อยากออกไปเล่นน้ำด้วย
“น่าสนุกนะคะคุณท่าน แจ่มก็อยากเล่นน้ำเหมือนกัน”
“เดี๋ยวทำงานเสร็จแล้วก็ไปเล่นสิ ฉันอนุญาต”
แจ่มยิ้มแฉ่ง “ขอบคุณค่ะคุณท่าน” แล้วก็นึกได้ “ว่าแต่คุณชิณทำไมยังมาไม่ถึงอีกล่ะคะ”
“นั่นสิ นานผิดปกติ ฉันลองโทรตามหน่อยดีกว่า”
ฉายตะวันกดโทรศัพท์หาชิณ...แล้วรอสาย

โทรศัพท์มือถือของชิณวางอยู่ในรถมีสายเรียกเข้าเป็นชื่อที่เมมไว้ว่า “แม่” เสียงเบามาก แต่ชิณกับกะละแมที่เปลี่ยนยางอยู่ข้างนอกไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง
ชิณยืนมองกะละแมเหยียบขย่มๆ ประแจถอดน็อตล้อแล้วก็รู้สึกไม่ดีที่ปล่อยให้กะละแมทำคนเดียว
“ให้ฉันช่วยไหม”
“ทำไม่เป็นก็อยู่เฉยๆ เถอะน่า”
“ฉันเป็นผู้ชายแรงเยอะกว่าเธอ ให้ฉันเหยีบไอ้นี่ให้ก็ได้” ชิณไม่ยอม
“ไม่ต้อง ฉันทำเองได้” กะละแมพูดไปเหยียบประแจไป
“ไม่ให้ฉันช่วยแล้วอย่ามาว่าฉันแล้งน้ำใจที่หลังก็แล้วกัน”
กะละแมไม่สนใจ ออกแรงเหยียบประแจสุดฤทธิ์ แดดจ้ามากกะละแมก็ไม่บ่น
ชิณเห็นหน้ากะละแมมีเหงื่อออก ชิณเดินไปเปิดประตูรถด้านหลังแล้วมุดหัวเข้าไปหาร่มที่เบาะหลัง แต่มือปัดโดนเป้ของกะละแม พัดที่โน้ตข้อมูลฮวงจุ้ยเสียบอยู่เกือบจะหล่นแต่ไม่หล่น...ชิณไม่เห็น หยิบร่มออกมาแล้วก็ปิดประตูรถ แล้วก็เดินไปกางให้กะละแม
กะละแมกำลังเปลี่ยนล้ออยู่ ทันใดนั้นก็มีร่มเลื่อนมากางให้ กะละแมชะงักนิดๆ…ก็เงยหน้ามาเห็นชิณยืนเก๊กทำไม่รู้ไม่ชี้
“ขอบใจ”
ชิณปากแข็ง “ขอบใจทำไม...ฉันกางให้ตัวเอง” ทำเป็นมองเมินไปทางอื่น
กะละแมทำประแจหลุดกระเด็นห่างออกไป เลยเดินไปเก็บ...ชิณถือร่มตามไปกางให้โดยอัตโนมัติไม่ทันรู้ตัว กะละแมชะงักหันมา
“ตามมากางให้ตัวเองเหรอ”
ชิณสะอึก เออใช่...แล้วก็เก๊กต่อ “ก็พอดียืนนานมันเมื่อยก็เลยเดินเปลี่ยนอิริยาบถนิดหน่อย” ชิณเก๊กกางร่มให้ตัวเอง
กะละแมส่ายหน้าระอาใจนิดๆ แล้วก็กลับมาเปลี่ยนยางต่อ”
ชิณทำเก้อๆแล้วก็ค่อยๆขยับเดินมากางร่มให้ กะละแมเปลี่ยนยางไปอมยิ้มไป

ติ่งกับตุ้งแช่เล่นน้ำสนุกสนานจนเย็นย่ำ...แต่โต๊ดไม่ได้มีความสุขด้วยเลย
“พวกเอ็งจะเล่นก็เล่นกันไปสองคนสิวะ...มายุ่งอะไรกับข้า”
โต๊ดจะหนีขึ้นจากทะเลติ่งกับตุ้งแช่ตามมาฉุดลงไปในทะเลอีก
“โธ่น้า...นานๆ จะได้มาทะเลสักที เล่นน้ำให้เป็นบุญทะเลหน่อยเถอะ”
“ใช่พ่อ แช่อยากให้พ่อพักผ่อนบ้าง”
“ให้พ่อพักผ่อนอย่างอื่นก็ได้นี่ พ่อไม่อยากเล่นน้ำ” โต๊ดเดินขึ้นฝั่ง “เอ็งเล่นกันเหอะ ข้าจะไปอาบน้ำแล้ว”
ทรงวุฒิเดินมาหาโต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ ยืนอยู่ที่ชายหาดแล้วตะโกนเรียก
“น้าโต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ ไปอาบน้ำกันได้แล้ว ผมกำลังจะเตรียมทำบาบีคิว จะได้ไปกินกัน มีของทะเลสดๆ เพียบเลยนะ”
ติ่งกะตุ้งแช่หูผึ้งร้องพร้อมกัน “อาหารทะเล!”
ติ่งกับตุ้งแช่ตาโตจะได้กินของดีๆ รีบวิ่งแซงโต๊ดไปเลย
“งั้นฉันรีบไปอ่านน้ำก่อนนะ” ติ่งวิ่งไปเลย
“พี่ติ่งรอแช่ด้วย”
ติ่งกับตุ้งแช่วิ่งแข่งกันเข้าบ้าน
โต๊ดส่ายหน้า “อ้าวๆๆ เฮ้ยแค่ได้ยินว่ามีของกิน รีบวิ่งไปเลยนะ...เฮ่อ..ไอ้พวกนี้นี่”
โต๊ดเดินมาถึงที่ทรงวุฒิยืนอยู่ ทรงวุฒิบอก
“แล้วรีบลงมากินนะน้าโต๊ด”
“ได้ๆๆ แป๊ปนึงนะ” โต๊ดรีบเดินไป
ทรงวุฒิเดินตามไป แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็นรถของจักกาย แล่นเข้าไปจอดที่หน้าบ้านพักของจักกายที่อยู่รั้วติดกับบ้านพักชิณ
“รถใคร”

ทรงวุฒินึกสงสัย

รถตู้จักกายจอดอยู่หน้าบ้าน ศจี อาม่า โทฟู่ และจักกายเปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถ

“ขอโทษนะที่ม่าให้แวะไหว้พระนานไปหน่อย เลยมาถึงกันซะเย็น” อาม่าเกรงใจสุดๆ
“ไม่เป็นไรครับ นานๆ ที” จักกายยิ้มๆ
อาม่ามองบ้านพัก “บ้านน่าอยู่ดีนะ”
จักกายยิ้ม “ซื้อไว้ตั้งแต่สมัยคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่น่ะครับ ซื้อไว้คนละหลังกับพ่อไอ้ชิณ” จักกายมองไปทางบ้านพักของชิณ “หลังนั้นน่ะครับ”
อาม่าพยักหน้า “อ๋อ...แสดงว่ารู้จักกัน”
“เมื่อก่อนพ่อกายกับพ่อคุณชิณเป็นเพื่อนกัน แต่ตอนนี้ไม่ถูกกัน”
“อ้าว...ทำไมถึงทะเลาะกันล่ะ”
จักกายทำหน้าลำบากใจ ไม่อยากจะเล่าอะไรมาก
ศจีช่วยตอบ “เรื่องธุรกิจน่ะค่ะอาม่า”
“อ๋อ...ต้องเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดแน่ๆ ม่าเห็นในหนังจีนมีเยอะแบบเนี้ย”
“ทำนองนั้นล่ะครับ เราเข้าบ้านกันดีกว่า” ว่าแล้วจักกายพาอาม่าเข้าบ้าน
ศจีเดินไปขนกระเป๋าที่ท้ายรถ โทฟู่มองไปทางบ้านชิณแล้วก็คิดถึงกะละแม
“ไอ้แมจะมาถึงหรือยังนะ”

กะละแมที่โทฟู่นึกห่วงยังอยู่ที่ริมถนน ยืนมองยางรถที่เปลี่ยนใหม่เรียบร้อยแล้วก็ยิ้มอย่างภูมิใจ
“เรียบร้อย”
ชิณยังถือร่มกางให้กะละแมอยู่ เห็นหน้ากะละแมเลอะคราบดำๆ แล้วก็มีเหงื่อเต็มไปหมด เลยล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วส่งให้กะละแม
“เช็ดหน้าซะ มอมแมยังกะลูกมะ...” ชิณเกือบหลุดว่าลูกหมา แต่รีบเปลี่ยนเป็น “...แมว”
กะละแมจะรับผ้าเช็ดหน้ามา แต่พอเห็นมือตัวเองดำปี๋ทั้งสองข้างก็ชะงักไม่กล้าจับผ้าเช็ดหน้า
ชิณเห็นแล้วรำคาญเลยเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับๆ หน้าให้กะละแมแบบไม่ตั้งใจ แต่พอรู้ตัวก็ชะงัก...ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย
กะละแมยืนนิ่งอึ้งๆ เขินๆ
ชิณเองก็เก้อๆ ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน “เสร็จแล้วก็ขึ้นรถสิ จะได้รีบเดินทางต่อ ป่านนี้แม่ฉันรอแย่แล้ว”
กะละแมได้สติก็รีบขึ้นรถ
ชิณหุบร่มแล้วเปิดประตูรถด้านหลัง แล้วโยนร่มเข้าไป...ร่มกระแทกพัดของกะละแมที่เสียบอยู่ที่เป้อย่างหมิ่นเหม่หล่นลงพื้นรถ...ชิณกำลังจะเอื้อมมือไปเก็บให้ แต่กะละแมที่นั่งอยู่เบาะหน้าก็ยืดมือมาเก็บไปได้ก่อน
“ฉันเก็บเอง”
ชิณมองกะละแมอย่างสงสัย แล้วปิดประตูรถด้านหลัง แล้วก็วิ่งอ้อมเข้าไปนั่งในรถตรงที่คนขับ
ชิณมองพัดในมือกะละแม “พัดอะไรทำไมให้ฉันเก็บไม่ได้”
“ก็พัดของฉัน ฉันก็ต้องเก็บเองสิ” แล้วก็ย้อนคำพูดชิณ “อย่ามัวมาสนใจพัดฉันเลย แม่คุณรออยู่ไม่ใช่เหรอ รีบไปเถอะ”
ชิณมองหน้ากะละแมแล้วก็มองพัดในมือที่กะละแมกำไว้แน่นด้วยความอยากรู้ว่าพัดนี้สำคัญยังไงทำไมหวงนัก

ที่ริมรั้วบ้านพักเย็นนั้น เห็นอาม่าชะเง้อมองไปบ้านชิณอยากเจอพวกกะละแม โทฟู่เดินเข้ามาหาอาม่า
“ม่าทำไร”
อาม่าตกใจเล็กน้อย “ก็มองหาไอ้โต๊ด ไอ้แม ไอ้แช่ ไอ้ติ่งไง ตั้งแต่มาถึงยังไม่เจอเลย”
“นั่นสิ ไม่รู้มาถึงหรือยัง โทรไปหาไอ้แม ไอ้แมก็ไม่รับ”
“จะโทรทำไมเสียเวลา ก็ไปหาเลย” อาม่าจะไปโลด
โทฟู่ดึงอาม่าไว้ “ใจเย็นก่อนม่า ฉันขอไปถามคุณจักกายเค้าก่อนดีกว่า ให้เค้าพาไปจะได้ไม่น่าเกลียด”
“เออใช่ๆ ก็ได้ๆ” อาม่าเห็นด้วย
โทฟู่เดินออกไปเลย
อาม่าเสียดายนิดๆ เพราะร้อนใจ อยากเจอพวกกะละแม

ฉายตะวันกับแจ่ม นั่งรอชิณอยู่ที่หน้าบ้านพัก แจ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก แต่ก็ติดต่อไม่ได้
“คุณชิณไม่รับสายเลยค่ะคุณท่าน” แจ่มว่าพลางกดโทร.อีกครั้ง
“ไม่ต้องโทรแล้วแจ่ม”
ฉายตะวันบอกเมื่อมองไปเห็นรถชิณแล่นเข้ามา

รถชิณแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ชิณกับกะละแมลงจากรถ ฉายตะวันกับแจ่มเดินเข้ามาหา
“ทำไมมาช้าจัง เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” ฉายตะวันเป็นห่วง
“รถเสียครับแม่ เลยเสียเวลานิดหน่อย”
ฉายตะวันตกใจ “ตายจริง แล้วเป็นอะไรกันหรือเปล่า” มองชิณแล้วก็มองกะละแม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ต้องออกแรงเปลี่ยนล้อรถนิดหน่อย หนูขอตัวไปอาบน้ำนะคะ เลอะเทอะไปหมดแล้ว”
ตะวัน เห็นสภาพกะละแมมอมแมมจริงๆ
“ไปเถอะจ้ะ”
กะละแมมองเดินไปหยิบกระเป๋าที่วางไว้เบาะหลังแล้วเดินเข้าบ้าน
ฉายตะวันพูดกับชิณ “ป่ะ...เข้าบ้านกัน ไปอาบน้ำอาบท่า แล้วจะได้มาทานข้าวกัน”
“ครับแม่”

ชิณกับฉายตะวันเดินเข้าบ้านไป

กะละแมสะพายเป้เดินเข้ามาในบ้านพัก ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่ ที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่เรียบร้อยแล้วเดินออกมาพอดี

“โห...อาบน้ำประแป้งกันหอมฉุยเชียวนะ”
“ทำไมมาช้าจัง” ติ่งสงสัย
“รถยางแตกน่ะ เลยเสียเวลาเปลี่ยนยางนิดหน่อย” กะละแมบอก
โต๊ดพยักหน้า “อ๋อ..งั้นเอ็งก็รีบไปอาบน้ำไป เดี๋ยวจะได้มากินข้าวกัน นั่นน่ะห้องเอ็ง” โต๊ดชี้มือไปที่ห้องหนึ่ง
“จ้ะ”
ตุ้งแช่รีบบอก “อาบน้ำแล้วรีบตามมานะพี่แม เดี๋ยวฉันจะเตรียมของชอบไว้ให้”
ติ่งกับตุ้งแช่รีบวิ่งออกไป...อยากกินของดีจะแย่...โต๊ดตาม ส่วนกะละแมเดินเข้าห้องไป

ด้านจักกายคุยอยู่กับศจีที่หน้าบ้าน
“ไอ้ชิณมันเลิกทำห้างที่ซอยมหาลาภแล้ว และที่มันมาที่นี่เพราะจะมาดูที่ทำโครงการใหม่ แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นโครงการอะไร”
ศจีเลขานักสืบรับอาสา “ดิฉันจะสืบให้ค่ะ”
จักกายเห็นโทฟู่เดินใกล้เข้ามา เลยรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ขอบคุณมากนะคุณศจี ที่ช่วยเตรียมบ้าน เตรียมทุกอย่างไว้ให้อย่างดี คุณไปพักผ่อนเถอะ”
“ค่ะ” ศจีเดินเข้าบ้านไป
โทฟู่เดินเข้ามาหาจักกายท่าทางซีเรียส
“ผมจะพาคุณไปหาเพื่อนที่บ้านโน้น พร้อมหรือยัง”
“เดี๋ยว...ก่อนจะไป ฉันมีเรื่องจะถามคุณ...” จักกายรอฟัง “ฉันอยากรู้เรื่องคุณชิณกับไอ้แม”
จักกายมองโทฟู่...สีหน้าจริงจัง

ส่วนชิณอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินออกมาจากห้อง จ๊ะเอ๋กับกะละแมที่เดินออกจากห้องมาพอดี...ชิณเห็นกะละแมใส่ชุดน่ารักกว่าทุกวันก็ชะงักเล็กน้อย...น่ารักเหมือนกันเว้ย
กะละแมรู้ตัวว่าถูกมองก็เขิน จะเดินหนี ชิณเก๊กขรึมเข้ม ปากร้ายเหมือนเดิม
“ทำไม อยู่ใกล้ฉันมันน่าอึดอัดนักหรือไง ถึงได้แต่คอยจะเดินหนี นั่งมาบนรถด้วยกันก็ปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา คงจะอึดอัดมากล่ะสิ”
กะละแมตอกหน้า “ใช่ อึดอัดมาก ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้คนที่ชอบอารมณ์เสีย ขี้หงุดหงิด แล้วก็คอยจับผิดคนอื่นตลอดเวลา”
“ถ้าไม่มีความผิดให้จับ ก็ไม่เห็นต้องกลัวถูกจับผิด” ชิณแขวะ
“ฉันไม่ได้กลัว แต่ไม่อยากอยู่ใกล้…ไม่อยากอยู่ใกล้ก็คือไม่อยากอยู่ใกล้ เข้าใจมั้ย”
ชิณขึ้นเสียง “ไม่เข้าใจ”
ฉายตะวันเดินเข้ามา
“คุยอะไรกันกระหนุงกระหนิงเชียว” สองคนงง...ตรงไหน? “นี่อาบน้ำเสร็จแล้วก็ออกไปทานข้าวกันดีกว่า”
“ค่ะ” กะละแมยิ้มแหยๆ
ชิณเดินคู่กับฉายตะวันนำหน้าไป กะละแมเดินตามหลัง...เห็นฉายตะวันกับชิณเดินควงกันไป...เป็นภาพน่ารักๆ ระหว่างแม่กับลูก กะละแมเห็นแล้วก็รู้สึกว่าชิณโชคดีที่มีแม่แบบฉายตะวัน

ขณะเดียวกัน โทฟู่มองหน้าจักกายแล้วก็ถาม
“คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณชิณชอบไอ้แม”
“ของแบบนี้ผู้ชายด้วยกันมองกันออก”
โทฟู่ยังไม่ค่อยเชื่อนัก “มั่วหรือเปล่า”
“ไม่มีมั่ว มีแต่แม่น! ผมรู้จักชิณมาตั้งแต่เด็ก ผมยังไม่เคยเห็นมันสนใจใครเท่ากะละแม”
“สนใจเพราะไม่ไว้ใจหรือเปล่า? คุณชิณมองไอ้แมในแง่ร้ายจะตาย”
“ตอนแรกอาจจะใช่ แต่นานๆไปจากจับผิดกลายเป็นอยากใกล้ชิดโดยไม่รู้ตัว เพื่อนคุณเป็นผู้หญิงมีเสน่ห์ ใครอยู่ใกล้ๆก็อยากจะรู้จักให้มากขึ้น แต่สำหรับผมพอรู้จักแล้วก็แค่นั้น...ไม่ได้อยากสนใจต่อ...แต่กับไอ้ชิณมันไม่ใช่”
โทฟู่คิดตาม “ฉันก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี” แล้วนึกเอะใจ “นี่...แล้วถ้าคุณชิณชอบจริงๆ คุณจะตามไปแย่งไอ้แมเพื่อเอาชนะเค้าอีกหรือเปล่า”
“ไม่! แย่งมาได้ก็เท่านั้น ไม่เห็นสนุก...ทำอย่างอื่นสนุกกว่า”
“ทำอะไร”

จักกายไม่ตอบ แต่จิกตาแล้วยิ้มร้ายออกมาทางสีหน้า

เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 11 (ต่อ)

อาหารทะเลมากมายย่างอยู่บนเตาปิ้ง ดูน่ากินมาก...แจ่มกับทรงวุฒิช่วยกันปิ้ง มีการจัดพื้นที่แบ่งเป็นสองส่วน...ส่วนแรกเป็นซุ้มศาลาจัดเก้าอี้ไว้ 2 ที่ สำหรับฉายตะวันกับชิณ

ส่วนที่สองอยู่ถัดมาไม่ไกลนัก เป็นโต๊ะแบบธรรมดามีโต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ นั่งกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย เปลือกกุ้ง เปลือกปู เศษอาหาร กองเต็มจาน
ฉายตะวันกับชิณเข้าไปนั่งในซุ้มเห็นเก้าอี้ไม่พอ แจ่มยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟพอดี
ฉายตะวันบอกกับแจ่ม “แจ่ม...ไปเอาเก้าอี้มาให้หนูกะละแมตัวนึงไป”
แจ่มเดินไป
กะละแมเกรงใจรีบบอก “หนูขอไปนั่งกับพวกน้าโต๊ดดีกว่าค่ะ”
“ทำไมล่ะ นั่งด้วยกันก็ได้” ฉายตะวันถาม
“คือ...หนูจะปรึกษาน้าโต๊ดเรื่องดูฮวงจุ้ยพรุ่งนี้น่ะค่ะ”
“อ้าวเหรอ”
ชิณแทรก “ปล่อยเค้าไปเถอะครับแม่ เค้าคงไม่อยากกินกับพวกเรา คงกลัวโดนจับผิด...วัวสันหลังหวะก็แบบนี้แหละครับ”
ฉายตะวันเอ็ด “ชิณ”
ชิณลอยหน้าไม่รู้สึกอะไร
กะละแมตัดบท “หนูขอตัวนะคะ”
กะละแมเดินไป...ชิณมองตามในใจชิณก็อยากให้อยู่

กะละแมเดินตรงมาที่โต๊ะโต๊ด
“กะละแมมาๆ มานั่งนี่”
กะละแมนั่งลงข้างโต๊ด แล้วมองตุ้งแช่กับติ่งที่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
“กินไม่รอกันเลยนะพี่ติ่ง ไอ้แช่”
ตุ้งแช่เลื่อนจานกุ้งให้ “นี่ไงแช่แกะกุ้งไว้ให้พี่แมเนี่ย”
“ดีมากน้องรัก”
กะละแมกำลังจะหยิบกุ้งเข้าปาก เสียงโทฟู่ก็ดังขึ้น
“ไอ้แม”
กะละแม ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่ หันขวับไปมอง

ส่วนที่โต๊ะชิณ แจ่มรายงานข่าว “คุณท่านคะ ดูโน่นสิคะ”
ชิณ ฉายตะวัน หันไปทางที่แจ่มชี้ให้ดู
เห็นโทฟู่ยืนโบกมือให้กะละแมอยู่อีกฝั่งของรั้วบ้าน...มีจักกาย อาม่า และศจียืนอยู่ด้วย จักกายยิ้มให้กะละแมแล้วก้มหัวทักทาย
ชิณจิกตาไม่พอใจวุ้ย และมองจักกายงงๆ
“มาได้ไง”

จักกายยืนอยู่หน้าโต๊ะชิณ โทฟู่กับอาม่ายืนอยู่ข้างๆ ศจียืนเยื้องไปทางด้านหลัง ยืนเฝ้าระวังเหมือนเป็นบอดี้การ์ด
“พอดีผมได้ข่าวว่ากะละแมเค้ามาที่นี่ ก็เลยตามมา” จักกายพูดกับฉายตะวันแต่ตาเหล่มองชิณ
ชิณชะงักกึก...หมั่นไส้เว้ย
กะละแมนึกได้รีบแนะนำ “คุณนายคะ...นี่อาม่าค่ะ เป็นญาติผู้ใหญ่ของหนูเอง แล้วนี่ก็โทฟู่เพื่อนตั้งแต่เด็กค่ะ อาม่าเป็นอาม่าของโทฟู่ค่ะ”
“สวัสดีค่ะ” โทฟู่ไหว้
“สวัสดีจ้ะ” ฉายตะวันมองศจี “แล้วคนนั้นมาด้วยกันหรือเปล่าจ๊ะ”
จักกายแนะนำ “คุณศจีเป็นเลขาผมครับ”
ศจีน้ำเสียงเข้มแข็ง “สวัสดีค่ะ”
ทรงวุฒิยืนข้างๆ ถึงกับสะดุ้งนิดๆ…โห โดนอ่ะ!
ขณะที่ฉายตะวันตกใจนิดๆ “สวัสดีจ้ะ”
“เข้มแข็งดีนะคะคุณท่าน” แจ่มว่า
“เข้มแข็งแต่ก็แอบอ่อนหวาน” ทรงวุฒิส่งสายตาหลีสุดๆ
ฉายตะวันส่ายหน้ากับทรงวุฒิแล้วหันมาทางจักกาย “เชิญทุกคนทานข้าวด้วยกันนะ เดี๋ยวให้ทรงวุฒิเอาเก้าอี้มาเพิ่มให้”
ฉายตะวันกำลังจะเรียกทรงวุฒิ แต่จักกายขัดขึ้นก่อน
“ขอบคุณที่ชวนครับ แต่ผมขอไปนั่งกับกะละแมที่โต๊ะดีกว่าครับ” จักกายมองหน้ากะละแม “ขับรถมาตั้งไกลขอนั่งใกล้ๆ ให้ชื่นใจหน่อยนะครับ”
กะละแมชะงักเหล่ๆ มอง จักกายอารมณ์ไหนเนี่ย โทฟู่มองจักกายแล้วก็มองชิณ อาม่ามองโทฟู่แล้วก็มองชิณตาม
เห็นชิณจี๊ดดดด....หน้าบึ้งทันที

“ก็ได้จ้ะ ตามสบายนะ” ฉายตะวันออกปากอนุญาต

กะละแม จักกาย และโทฟู่เดินไป อาม่ากับศจีเดินตาม...พอห่างจากโต๊ะฉายตะวันมาแล้วโทฟู่ก็หยุดเดิน รั้งจักกายไว้ ปล่อยให้อาม่ากันศจีเดินไปก่อน

“คุณกำลังจะลองของใช่ไหม” โทฟู่ถาม
“คุณจะได้รู้ว่าสิ่งที่ผมคิดไม่ผิด”
จักกายยิ้มอย่างมั่นใจ
ไฟที่เตาปิ้งบาบีคิวกำลังลุกโชติช่วง โหมกระหน่ำมาก ทรงวุฒิกับศจีกำลังยืนปิ้งบาบีคิวกันอยู่ ที่เตาบาบีคิวมีทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา เนื้อหมู
ครู่ต่อมาทรงวุฒิคีบอาหารใส่จานไปถามศจีไป หน้าตากะลิ้มกะเหลี่ยสุดๆ
“สวัสดีครับ ผมชื่อทรงวุฒิครับ”
“ดิฉันทราบแล้วค่ะ”
“ดีใจนะครับเนี่ย ชื่อผมอยู่ในความทรงจำของคุณด้วย” ทรงวุฒิยิ้มให้
ศจีไม่ยิ้มตอบ มองหน้าทรงวุฒิกลับนิ่งๆ
“ข้อมูลบริษัทคู่แข่งแค่นี้ ดิฉันจำได้หมด ดิฉันมีข้อมูลทุกอย่างของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ facebook twitter instagram ดิฉันมีครบ”
ทรงวุฒิหันมาพูดกับตัวเอง “เข้มอ่ะ โดน” แล้วหันมาพูดกับศจี “คุณทราบข้อมูลของผมหมดแบบนี้ แต่ผมยังไม่ทราบข้อมูลอะไรของคุณเลย งั้น...คุณพอจะบอกข้อมูลของคุณกับผมบ้างได้ไหมครับ ทั้งบีบี เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ facebook twitter instagram เผื่อว่าเราจะได้สานสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนข้อมูลทางธุรกิจกันน่ะครับ”
ศจีแจกแจงกลับเป็นข้อๆ “ดิฉันชื่อศจี เป็นเลขาของคุณจักกาย บริษัทเกษมคอนสตรัคชั่น บริษัทที่เจ้านายคุณแยกตัวออกมา ส่วนเรื่องข้อมูลอื่นๆ ทั้งที่อยู่ บีบี เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ facebook twitter instagramถ้าคุณอยากรู้ ก็ต้องใช้ความสามารถสืบเอาเอง ส่วนเรื่องสานสัมพันธ์แลกเปลี่ยนข้อมูลทางธุรกิจคงไม่จำเป็น เพราะเราเป็นคู่แข่งกัน และดิฉันก็ไม่ชอบผูกมิตรกับศัตรู ส่วนจานนี้” ศจีหยิบจานอาหาร “ดิฉันขอ”
พูดจบศจีก็ถือจานกุ้งเดินออกไปหาจักกายทันที ทิ้งให้ทรงวุฒิอึ้งๆ ตั้งรับไม่ทัน ทรงวุฒิมองตามศจี ปลื้มมากๆ
“เข้ม เป๊ะ ชอบ โดนสุดๆ” ทรงวุฒิเคลิ้มสุดๆ

ศจีถือจานอาหารมาวางไว้ที่หน้าจักกาย ส่วนตัวเองก็ลงไปนั่งข้างจักกาย ทรงวุฒิเดินตามเข้ามานั่งข้างๆศจี ยังตามตอแยไม่เลิก
จักกายนั่งอยู่ข้างๆ กะละแม ส่วนโทฟู่นั่งอยู่ข้างกะละแมอีกด้านหนึ่ง มีอาม่านั่งถัดมาจากโทฟู่ ส่วน โต๊ด ติ่ง ตุ้งแช่ ตั้งหน้าตั้งตากินอยู่อีกฝั่ง
จักกายจัดการตักนั่นตักนี่ให้กะละแม เอาใจสุดๆ
จักกายตักปลาให้ “กินปลานะแม จะได้ฉลาดๆ” เหมือนหลอกด่า
กะละแมมองหน้าจักกายแปลกใจ
“เป็นอะไร ผีเข้าเหรอ หรือไม่สบายจนเพี้ยน”
“เอาน่า....มีคนทำให้ก็กินๆ ไปเถอะ หรืออยากจะให้ป้อนด้วย”
จักกายยิ้มหวานให้กะละแม สร้างภาพให้ชิณเห็น
“ไม่ต้อง ฉันกินเองได้”
จักกายไม่สนใจ ยังคงตักอาหารใส่จานกะละแมต่อ ติ่ง โต๊ด และตุ้งแช่ มองท่าทีของจักกายงงๆ
อาม่ามองท่าทีของจักกาย แล้วหันไปมองโทฟู่ เห็นโทฟู่มองไปที่ชิณ
อาม่าขมวดคิ้ว พยายามประเมินสถานการณ์ ‘เกิดอะไรขึ้น’ อาม่ามองไปที่ชิณอีกครั้ง

ส่วนที่โต๊ะชิณ แจ่มกำลังยกอาหารมาให้ฉายตะวันตาก็มองไปที่จักกายกับกะละแม อยากรู้อยากเห็นสุดๆ
“คุณจักกายกับคุณกะละแมเอาอกเอาใจกันน่าดู คุณนายว่าเค้าเป็นแฟนกันหรือเปล่าคะ”
ฉายตะวันเอ็ดเอา “แล้วจะไปยุ่งอะไรกับเค้าล่ะ มันเรื่องของเค้า” แต่อดมองตามไม่ได้ “แต่ถ้าเป็นก็ดีนะ กะละแมก็เป็นคนดี จักกายก็เหมือนลูกเหมือนหลาน ฐานะก็มั่นคงดี ถ้าเป็นคู่นี้ฉันก็สนับสนุน”
“จริงด้วยค่ะคุณนาย คุณจักกายก็หล่อ คม เพอร์เฟคท์! ส่วนกะละแมก็น่ารัก แจ่มเชียร์ค่ะ!” แจ่มออกหน้าออกตาสุดฤทธิ์

ชิณสะอึก! หน้าหงิก ไม่พอใจ แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ กินอาหารต่อ

ทางด้านจักกายแกะกุ้งให้กะละแม คอยเทคแคร์ดูแล และเอาใจใส่มากๆ

“กินกุ้งนะ ผมอุตส่าห์แกะ เกิดมาไม่เคยทำให้ใคร คุณคนแรก” จักกายยิ้มหวาน
แจ่มดูอยู่ ออกอาการเขิน
“ดูสิคะคุณนาย มีแกะกุ้งให้กันด้วย เห็นแล้วอยากมีคนมาแกะกุ้งให้แบบนี้บ้างจัง”
ชิณกำลังจะแกะกุ้งอยู่เหมือนกัน ก็ชะงัก วางกุ้งลง ไม่กินแล้ว เสียอารมณ์

จักกายตักแกงขึ้นมาเป่าๆ ให้กะละแม แจ่ม ยังไม่หยุดยุ่งเรื่องชาวบ้าน รายงานละเอียดยิบ
“ดูๆ ดูสิคะ มีเป่าให้กันด้วยค่ะคุณนาย” แจ่มพูดเองเขินเอง ราวกับเค้าทำให้ตัวเอง
ชิณกำลังตักแกงอยู่เหมือนกัน วางช้อนลง ไม่พอใจสุดๆ ขณะที่จักกายแกล้งจะป้อนแกงกะละแม
“ระวังร้อนนะ”
“นี่จะบ้าเหรอ มาป้อนทำไมเนี่ย” กะละแมด่า แล้วมองหน้าโทฟู่เกรงใจเพื่อน
โทฟู่แอบมองชิณจับอาการ อาม่าแอบมองโทฟู่
จักกายยังคงเอาช้อนจ่ออยู่ที่ปากกะละแม
“กินเถอะน่า ถ้าไม่กิน ผมก็จะป้อนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะยอมกิน”
“บ้าป่ะเนี่ย”
“ใช่! บ้ามากด้วย กินเร็ว เมื่อย”
กะละแมจำต้องอ้าปากกินอย่างไม่เต็มใจ เพราะจักกายจ่อมาจนถึงปาก

แจ่มพูดต่อ อย่างใสซื่อ สนับสนุนความรักกะละแมกับจักกายเต็มที่ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าทำให้ชิณหึง
“ว้าย ป้อนให้กันด้วยค่ะคุณนาย...สวีท โรแมนติกมากๆ อย่างกับพระเอกในซีรี่ย์เกาหลีป้อนให้นางเอกเลย”
ชิณตักหมูเข้าปากด้วยความหวง ชิณเคี้ยวหมูในปากอย่างเคียดแค้น สีหน้า โหดๆ คิดว่าหมูเป็นจักกาย
ส่วนจักกายเอื้อมมือไปเช็ดซอสที่เลอะริมฝีปากให้กะละแม ดูหวานกันมากๆ
แจ่มรายงายต่อ
“อู้ย...มีเช็ดปากกันด้วยค่ะ ถ้าเป็นในละครที่แจ่มดูนะคะ จะให้เด็ดต้องใช้ปากเช็ด” อาการเหมือนเชียร์คู่จิ้นในละคร
ฉายตะวันตัดบท “นี่แจ่ม...หยุดยุ่งเรื่องชาวบ้านได้แล้ว เรื่องของเธอคือนี่...” ชี้ไปที่จานกุ้ง “แกะกุ้ง”
ชิณเห็นด้วย “ใช่ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ”
“ถูก! ปล่อยให้คนรักเค้ามีโอกาสได้ดูแลกันเถอะ” คำพูดแม่ ทำเอาชิณสะอึกนิดๆ “มันเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่ใช่เรื่องของเรา”
แจ่มหน้าเจื่อน “ค่ะคุณนาย แจ่มก็แค่อยากให้เค้าสองคนรักกันก็เท่านั้นเอง” แล้วหันมาแกะกุ้งให้คุณนายต่อ
ชิณรวบช้อน กินอะไรไม่ลงแล้ว ฉายตะวัน แจ่มหันไปมอง แปลกใจ
“ผมอิ่มแล้วครับ!”

จักกาย หันมาถามกะละแม
“ที่จริงบ้านผมก็อยู่กันแค่สี่คน ที่เหลือตั้งเยอะ ที่นี่อยู่กันตั้งหลายคน ผมว่าคุณไปนอนกับผมก็ได้นะ”
กะละแม ติ่ง โต๊ด ตุ้งแช่ อาม่า ศจี รวมทั้งทรงวุฒิหันขวับมาหาจักกายด้วยความตกใจ ‘หะ?’
“ชวนไปนอนเนี่ยนะ! เฮ้ย มันจะมากไปหรือเปล่า เห็นน้องฉันเป็นอะไรหะ” ติ่งฉุน
“เดี๋ยวครับใจเย็น ไม่ต้องตกใจ ผมไม่ได้จะให้คุณไปนอนกับผม ผมหมายถึงให้คุณไปนอนกับโทฟู่ที่บ้านผม” จักกายแจกแจงอย่างละเอียด
ทุกคนถอนหายใจโล่งอก
โทฟู่พยายามชวน “ดีเลยไอ้แม ไปนะ เราไม่ได้นอนคุยกันตั้งนานแล้ว”
โทฟู่รอฟังคำตอบ
กะละแมคิดๆ ก่อนบอกตกลง “อืม...ไปก็ไป”
โทฟู่ดีใจ
“ถ้างั้นเดี๋ยวดิฉันจะไปจัดห้องใหญ่ให้แทนนะคะ คุณกะละแม โทฟู่ อาม่าจะได้นอนสบายๆ ไม่เบียดกัน” ศจีว่า
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้ว งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” ศจียิ้มให้แล้วลุกขึ้นจะไปจัดห้อง
ทรงวุฒิได้ทีหันไปถามศจี
“เอ่อ แล้วไม่ทราบว่า มีห้องว่างสำหรับผมสักห้องมั้ยครับ”
ศจีหันมามอง สายตาดุๆ พูดหน้านิ่งๆ “ขอโทษนะคะ ดิฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น” แล้วเดินหนีไป
ทรงวุฒิอึ้งก่อนจะยิ้มออกมา อย่างพอใจ
“แรง อย่างนี้แหละ ใช่เลย”

ชิณโพล่งออกมาอย่างตกใจ
“เธอจะไปนอนกับไอ้กายเหรอ”
ฉายตะวัน กับชิณนั่งอยู่ที่โต๊ะ แจ่มยืนรับใช้อยู่ใกล้ๆ ส่วนกะละแมยืนอยู่ใกล้ๆฉายตะวัน
“นอนกับคุณจักกาย” แจ่มแซวเล่น “เห็นหน้าหวานๆแบบนี้ไวไฟเหมือนกันนะ” พลางเอาไหล่กระทบไหล่กะละแมเขินๆ พูดเองอายเอง
“แมจะไปนอนกับเพื่อนที่บ้านคุณจักกาย ไม่ได้จะไปนอนกับคุณจักกาย” กะละแมบอก
แจ่มยิ้มๆ “ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ชิณหึงไม่รู้ตัว ไม่ยอมให้ไป
“ไม่ได้! ยังไงก็ไม่ได้” ทุกคนมองหน้าชิณ ห๊ะ... ชิณพยายามแถ “ยังไม่ทันไรก็ลืมหน้าที่แล้ว แม่ฉันจ้างเธอมาทำงาน ไม่ได้ให้มาฮันนีมูน หรือสวีทกับผู้ชาย”
กะละแมชักสีหน้าอ้าปากจะด่า แต่ฉายตะวันพูดขึ้นก่อน
“ก็โตๆ กันแล้ว เราก็ไม่ได้มาทัศนศึกษากันซะหน่อย ฉันไม่บังคับหรอกจ๊ะ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ก็กลับมาให้ทันไปดูฮวงจุ้ยก็แล้วกันนะจ๊ะ”
ชิณไม่ยอม “แม่ครับ”
“ขอบคุณนะคะคุณนาย”
แจ่มแซวขำๆ “อย่าสวีทกันดึกนักนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นไม่ไหว” แจ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะพี่แจ่ม”
“ไม่ต้องมาปฎิเสธหรอก พี่เข้าใจ... ดูดู อายหน้าแดงใหญ่แล้ว” แจ่มแซวใหญ่
ชิณได้ยินก็ไม่พอใจสุดๆ ทั้งหึง ทั้งห่วง
กะละแมพูดกับฉายตะวัน “งั้นหนูขอตัวไปเก็บกระเป๋าก่อนนะคะ”

กะละแมเดินเข้าบ้านไป ชิณมองตามเซ็งๆ …ไปจริงๆ เหรอ?

เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 11 (ต่อ)

กะละแมอยู่ในห้องพักแล้ว กำลังเก็บของใช้ลงกระเป๋าพร้อมกับหวนคิดถึงคำพูดที่ชิณกล่าวอย่างขัดเคืองและกิริยาฉุนเฉียว

“ไม่ได้! ยังไงก็ไม่ได้ ยังไม่ทันไรก็ลืมหน้าที่แล้ว แม่ฉันจ้างเธอมาทำงาน ไม่ได้ให้มาฮันนีมูน หรือสวีทกับผู้ชาย”
กะละแมดึงตัวเองกลับมา สีหน้าเซ็งๆ แล้วก็เก็บของต่อ แอบเศร้านิดๆ

กะละแมเดินถือกระเป๋าออกมาที่หน้าบ้าน ชิณนั่งดักรอกะละแมอยู่ที่เก้าอี้ม้าหิน พอชิณเห็นกะละแมเดินมา ก็พูดลอยๆ หาเรื่องทันที
“เสน่ห์แรงเหลือเกินนะ มีผู้ชายตามมาแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของถึงที่นี่”
กะละแมหันมาตามเสียง เห็นชิณนั่งอยู่ กะละแมเซ็งพยายามเดินหนี ไม่อยากต่อปากต่อคำ
ชิณเห็นว่ากะละแมเดินหนีก็รีบลุกจากม้าหิน แล้วเดินตามไปหาเรื่องกะละแมต่อไม่ลดละ
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ เธอกับไอ้กายมีเวลานอนคุยกันทั้งคืน ทำไม? จะวางแผนทำลายบริษัทฉันยังไงอีกหล่ะ ห๊ะ”
กะละแมหยุดเดินแล้วหันมาพูดกับชิณเซ็งๆ
“เรื่องธุรกิจของคุณสองคน ฉันไม่เกี่ยว อย่าดึงฉันเข้าไป”
ชิณกวนต่อ “จะไปรู้เหรอเพราะเธอทำให้โครงการในซอยมหาลาภต้องพังไป...ใครจะไปรู้...ที่มันตามมานี่อาจจะมาทำแข่งกับฉันอีกก็ได้ ถ้าเธอไม่เป็นพวกเดียวกับมัน คงไม่รีบหอบผ้าหอบผ่อนไปนอนกับมัน”
“ฉันไปนอนที่บ้านเค้า ไม่ได้ไปนอนกับเค้า ช่วยพูดให้ถูกด้วย แต่จะว่าไปถึงฉันจะนอนหรือไม่นอน มันก็เรื่องของฉัน ไม่ใช่เรื่องของคุณ อย่ายุ่ง”
“ทำไมจะยุ่งไม่ได้”
“แล้วทำไมคุณถึงยุ่งได้ บอกเหตุผลมาหน่อยสิ”
ชิณตะแบงต่อ คิดหาทางออก “เอ่อ...ก็เธอเป็นเด็กทุนแม่ฉัน แล้วแม่ฉันก็จ้างเธอมาทำงาน”
ชิณแกล้งทำเป็นแนะนำ แต่จริงๆ พยายามหว่านล้อมไม่อยากให้กะละแมไปนอนบ้านจักกาย
“นี่...ถ้าเธออยากแสดงความโปร่งใสว่าไม่ได้สมคบคิดกับมัน เธอก็ต้องอยู่ที่นี่ นอนที่นี่จนกว่าจะดูฮวงจุ้ยเสร็จ” ชิณแถ...อ้างไปเรื่อย “ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ฉันแค่ไม่ไว้ใจ ไม่อยากให้ข้อมูลทางบริษัทของฉันรั่วไปถึงศัตรู!”
“คุณไม่ต้องห่วง ถึงฉันไปนอนบ้านโน้นข้อมูลของคุณก็ไปไม่ถึงจักกายแน่ๆ”
กะละแมพูดจบก็เดินไปบ้านจักกาย
“นี่กะละแมกลับมาคุยให้รู้เรื่องก่อนกะละแม! ฉันยังพูดไม่จบเลย”
ชิณเจ็บใจ ที่รั้งกะละแมไม่สำเร็จ
“บ้าจริงๆ...ฮึ่ย”
ชิณหงุดหงิดทำเป็นไม่พอใจทั้งที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเริ่ม “หวง” และแอบหึงโดยไม่รู้ตัว

ค่ำนั้นจักกายกำลังเดินเล่นอยู่กับโทฟู่ที่ริมทะเล จักกายเอ่ยขึ้น
“เชื่อหรือยังว่าไอ้ชิณมันชอบเพื่อนคุณ
“มันก็น่าสงสัย แต่พิสูจน์ไม่ได้ว่าเค้าชอบไอ้แมจริงหรือเปล่า”
“งั้นผมแกล้งมันอีกดีกว่า แกล้งทำเป็นจีบกะละแมให้มันหงุดหงิดเล่น สนุกดี”
โทฟู่มองหน้าจักกายอย่างไม่พอใจ “นี่คุณ...เล่นกับความรู้สึกของคนแบบนี้มันไม่สนุกเลยนะ”
“สนุกจะตาย เห็นมันหึง! หวง! ไม่รู้ตัว ทั้งสนุก ทั้งสะใจ”
“ไม่รู้หรือไง เวลามีคนมาทำแบบนี้กับคนที่คุณรู้สึกดีด้วย มันจี๊ดขนาดไหน ถึงแม้ว่าคุณชิณจะเป็นศัตรูของคุณ แต่คุณก็ไม่น่าเล่นกับความรู้สึกเค้าแบบนี้ อีกอย่างนะ ฉันคิดว่าเรื่องในอดีตระหว่างพ่อคุณกับพ่อเค้า คุณน่าจะให้อภัยเค้าได้แล้ว” โทฟู่เตือนอย่างหวังดี
“ไม่มีทาง” จักกายเสียงแข็ง “ผมไม่มีวันให้อภัยมันง่ายๆ”
“คุณนี่ก็แปลกเนอะ ชีวิตมีทุกอย่างที่ทำให้คุณมีความสุขกลับหาความทุกข์ใส่ตัวเอง เค้าเรียกว่า “บุญมีแต่กรรมบัง” เด็กนอกอย่างคุณเข้าใจหรือเปล่า”
จักกายงง “อะไร บาป บุญ เวร กรรม อะไร...ไม่เข้าใจ”
โทฟู่หน่ายใจ “เฮ่อ…ไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้ว ไปคิดเอาเอง ดีนะ ที่รู้ตัวว่าไม่ได้ชอบเพื่อนฉัน เพราะถ้ายังคิดถึงแต่เรื่องการแก้แค้น เอาชนะไร้สาระแบบนี้ คุณไม่มีทางที่จะรักใครได้”
โทฟู่ส่ายหน้าแล้วก็เดินเข้าบ้านไป จักกายมองตามด้วยความไม่เข้าใจ..เอาไรของเค้านะ

คืนนั้นโทฟู่เดินเข้ามาส่ายหน้าด้วยความเซ็ง เปิดประตูเข้าไปในห้องพักแล้วก็ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นกะละแมนั่งรออยู่หน้าประตูพอดีเป๊ะ แถมจิกตามองมาอย่างแรง
“ไอ้แม...มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“มาเมื่อไหร่ก็ช่างเหอะ ฉันมีเรื่องสำคัญกว่านั้นจะต้องคุยกับแกให้รู้เรื่อง” กะละแมลุกขึ้น “แกกับคุณจักกายกำลังรวมหัวกันทำอะไร บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ทำอะไร…ไม่มี๊” โทฟู่ปฏิเสธเสียงสูง
“ฉันไม่เชื่อ มันจะต้องมีอะไรแน่ๆ จู่ๆนายนั่นมาทำหวานใส่ฉันทำไม ในเมื่อเค้าก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าฉันก็ไม่ได้ชอบ บอกมาวางแผนทำอะไรกัน”
โทฟู่ อึกอักๆ
“ไม่มีอะไรจริงๆ เค้าก็แค่อยากจะทำดีกับแก มันก็แค่นั้นแหละ”
กะละแมมองหน้าแล้วก็ทำตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคิดแผนได้
“เค้าจะมาทำดีกับฉันทำไม ในเมื่อเค้าก็รู้อยู่แล้วว่าเค้าไม่ได้ชอบฉัน และเค้าก็รู้ว่าคนที่เค้าชอบเป็นใคร” กะละแมยิ้มกริ่มเจ้าเล่ห์
โทฟู่สะดุดกึก อยากรู้ “ใครเหรอ คุณกายเค้าชอบใคร”
“ถ้าแกอยากรู้ แกก็ต้องบอกมาก่อน ว่าแกกับจักกายวางแผนทำอะไรกันอยู่ ถ้าแกบอกฉัน ฉันก็จะบอกแกว่า..จักกายเค้าชอบใคร”
กะละแมทำหน้าเหนือกว่าอย่างแรง โทฟู่คิด...แล้วก็ตัดสินใจตอบ
“คือ..คุณกายเค้าอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่างให้ฉันเห็น”
กะละแมงวยงง “พิสูจน์อะไร”
“พิสูจน์ว่า...คุณชิณเค้าชอบแก”
“ห๊ะ! นายชิณเนี่ยนะชอบฉัน”

กะละแมเหวอ รู้สึกประหลาดใจอย่างแรง! 

ด้านชิณพลิกตัวไปมา นอนไม่หลับ ในใจร้อนรุ่มกระวนกระวาย แล้วในที่สุดก็ลุกขึ้น หอบหมอนหอบผ้าห่มเดินออกจากห้องไปเลย

ส่วนกะละแมฟังโทฟู่พูดจบก็ร้องโวยวายไม่ยอมรับ
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”
“ฉันก็บอกเค้าไปเหมือนกัน แต่เค้าบอกว่า เค้ารู้จักคุณชิณมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเห็นเค้าสนใจใคร เท่ากับแก”
“บ้า! เว่อร์ คิดไปได้ ฉันว่านายจักกายว่างเกินไปแล้ว ไร้สาระ”
กะละแมไม่เชื่อเด็ดขาด
โทฟู่คิดแล้วก็ถาม “ฉันบอกแกแล้วนะ..แล้วแกล่ะ บอกได้ยังว่าคุณกาย....เค้าชอบใคร”
กะละแมมองหน้าโทฟู่ “ก็...แกไง”
โทฟู่เลิกคิ้ว “แกไหน”
“ก็แกนั่นแหละ ไอ้ฟู่! นายจักกายเค้าชอบแก ชอบมากหรือชอบน้อยไม่รู้ รู้แต่ว่าชอบ และแก...ก็ชอบเค้าด้วย”
“ไอ้บ้า ไม่จริง”
“ฉันไม่ได้บ้า แกนั่นแหละ ไอ้...ไม่รู้ตัว”
กะละแมด่ากลับ โทฟู่ผงะนิดๆ
“แกชอบเค้า และเค้าก็ชอบแกไม่ได้ชอบฉัน นี่คือเรื่องจริง ! ส่วนเรื่องที่เค้าบอกว่าคุณชิณชอบฉัน....มั่ว! เป็นไปไม่ได้”
กะละแมพูดจบก็หันหลัง นอน ทำเป็นไม่เชื่อสุดๆ โทฟู่มองกะละแมนอนหันหลังให้ก็คิดแล้วก็อมยิ้มนิดๆ “จริงเหรอ”
ส่วนกะละแมพอหันหลังให้โทฟู่ จากที่ทำเป็นไม่สนใจ ก็ฉุกคิด “จริงอ่ะ?”

ฉายตะวันนั่งอยู่บนเตียง ส่วนชิณก็วางหมอน วางผ้าห่มที่โซฟาข้างเตียง ฉายตะวันถามอย่างแปลกใจปนเอ็นดู
“นึกยังไงวันนี้ถึงได้มานอนกับแม่ ห๊ะ”
“ก็ผมรักแม่ อยากนอนกับแม่ อยากอยู่ใกล้ๆ แม่บ้าง ไม่ได้เหรอครับ”
“ไม่ต้องมาอ้อนเลย...ถ้าตอนเด็กทำมันก็น่ารักอยู่หรอก แต่นี่โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้ว ว่าไงบอกแม่มาตรงๆ นะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ถึงได้มานอนกับแม่”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็แค่ไม่อยากนอนคนเดียว”
“ไม่อยากนอนคนเดียว ก็รีบหาเมียสิ” ฉายตะวันวกเข้าเรื่องเดิมอีก
ชิณเซ็ง “โธ่แม่...คุยกันทีไรก็วกเข้าเรื่องนี้ทุกที”
“ก็แม่เป็นห่วงเราเรื่องนี้นี่! แม่ถามจริงนะชีวิตนี้เราไม่คิดจะแต่งงานจริงๆ เหรอ”
“คิดครับ แต่มันก็ยังไม่เจอคนที่ใช่ เวลาที่ใช่ อะไรหลายๆ อย่างที่ใช่”
“จะใช่ไปถึงไหน ห๊ะ แม่ถามตรงๆนะ เราเป็นเกย์หรือเปล่า”
ชิณตกใจลุกพรวดออกมาจากตักฉายตะวัน
“แม่! ผมผู้ชายทั้งแท่ง ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ”
ชิณล้มตัวลงนอนที่หมอนงอนๆ
“ก็มันผิดปกติจริงๆนี่ แม่ว่าเราอย่ามองความรักในแง่ร้ายให้มากนักเลย แม่ว่าที่เราหงุดหงิดเอาแต่ใจตัวเอง อาจเป็นเพราะเราอยู่คนเดียวใช้ชีวิตโสดมากเกินไปทำแต่งานเคร่งเครียดตลอดเวลา ถ้าเรามีความรัก เราอาจจะมีความสุขขึ้น ได้ยิ้มและหัวเราะมากกว่านี้ก็ได้นะลูก”
ชิณทำเป็น แกล้งกรนเสียงดัง
“พอแม่พูดก็เป็นอย่างนี้ทุกที” ฉายตะวันส่ายหน้าระอา
ชิณแกล้งทำเป็นนอนหลับ ฉายตะวันมองชิณที่แกล้งหลับอยู่ แล้วก็ส่ายหน้าก่อนจะล้มตัวลงนอน

ชิณนอนอยู่บนเตียงค่อยๆลืมตาขึ้น คิดถึงคำพูดของฉายตะวัน
“ถ้าเรามีความรัก เราอาจจะมีความสุขขึ้น ได้ยิ้มและหัวเราะมากกว่านี้ก็ได้นะลูก”
ชิณคิด...หรือว่าจะจริง

ที่ห้องพัก กะละแมเองก็นอนไม่หลับเหมือนกันกับชิณ สีหน้าครุ่นคิดนึกถึงสิ่งที่โทฟู่บอก
“พิสูจน์ว่า...คุณชิณเค้าชอบแก”
กะละแมเหวอ “ห๊ะ นายชิณเนี่ยนะชอบฉัน”
“แต่เค้าบอกว่า เค้ารู้จักคุณชิณมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเห็นเค้าสนใจใคร เท่ากับแก”
กะละแมดึงตัวเองกลับ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด....จริงเหรอ..?

ชิณและกะละแมอยู่กันคนละที่ แต่เริ่มมีประกายความรักเล็กๆ งอกงามขึ้นกลางใจโดยที่ทั้งสองคนไม่รู้ตัว

รุ่งเช้าวันต่อมา พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าไกล ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่ง แข่งกับเสียงกรนของโต๊ดที่ดังออกมาจากบ้านพักริมทะเลของชิณ

โต๊ดนอนกรนเสียงดังมากๆ จนตุ้งแช่กับติ่งนอนไม่หลับ ลุกตื่นขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“โว้ย...มานอนริมทะเล หรือมานอนในโรงสีวะเนี่ย เฮ้อ...พ่อใครวะ” ติ่งหัวเสียหันมาโทษตุ้งแช่ในอาการงัวเงีย
ตุ้งแช่ยิ้มแหะๆ …พ่อฉันเอง
“ฉันขอออกไปนอนฟังเสียงคลื่นดีกว่า เสียงกรนพ่อแกสุดจะทนจริงๆ” ติ่งเดินออกจากห้องไปอย่างหงุดหงิด
“ฉันไปด้วยพี่ติ่ง...”
ตุ้งแช่ตามไป ส่วนโต๊ดนอนกรนต่อไปไม่รู้เรื่องรู้ราว

เวลาเดียวกันดูเหมือนชิณจะนอนหลับไม่ลงเช่นกัน เขาเดินวนไปมาหน้าบ้านกระวนกระวายใจ รอว่ากะละแม เมื่อไหร่จะกลับ
เสียงตุ้งแช่เรียกดังขึ้น “คุณชิณ”
ชิณตกใจสะดุ้งเล็กน้อย หันมาเห็น ติ่งกับตุ้งแช่
“คุณชิณตื่นเช้าจังเลยนะครับ
“นอนไม่ค่อยหลับน่ะ สงสัยจะนอนผิดที่ เอ่อ...แล้วนี่กะละแมกลับมาหรือยัง” ชิณโกหก
“ผมก็ไม่ทราบแต่ยังไม่เห็น...มันจะตื่นหรือยังก็ไม่รู้ ดูท่าเมื่อคืนมันคงไม่ได้นอนง่ายๆ” ติ่งพูดกำกวม
“หะ? ทำไมไม่ได้นอน ทำอะไร” ชิณมีเคือง
“ก็คุยกะไอ้ฟู่ไงครับ สองคนนี้อยู่ด้วยกันทีไร เม้าธ์กระจาย” ติ่งบอก ชิณรู้สึกโล่งอก
ตุ้งแช่เสริม “ใช่ครับ เม้าธ์โต้รุ่งตลอดครับ”
“คุณชิณจะให้ผมโทร.ตามหรือเปล่าครับ” ติ่งถาม
ชิณรีบบอก “ไม่เป็นไร! ฉันก็แค่ถามเฉยๆ กลัวจะกลับมาดูฮวงจุ้ยให้ไม่ทัน” พร้อมกับทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน เสียการเสียงาน เสียเวลาฉันเปล่าๆ”
ชิณทำท่าหงุดหงิดแล้วก็เดินเข้าบ้านไป
ติ่งอดคิดกังวลไม่ได้
“วันนี้ไอ้แมมันต้องดูฮวงจุ้ยนี่หว่า...มันพร้อมหรือยังวะเนี่ย”

เวลาผ่านไป กะละแมถือพัดที่จดโพยสคริปการดูฮวงจุ้ยไว้เต็มในมือ ยืนรออยู่หน้าบ้านพัก กะละแมแอบดูโพยขณะที่พัดไปด้วยพร้อมกับทบทวน “ตามตำราวิชาโอรสสวรรค์ ฮวงจุ้ยก็คือวิชาว่าด้วยการเปลี่ยนชีวิต ฮวงคือลม จุ้ยคือน้ำ ฮวงจุ้ยก็คือลมกับน้ำ”
เสียงแจ่มแหลมเข้ามา “คุณแมคะ”
กะละแมตกใจรีบหุบพัด หันไปตามเสียง เห็นแจ่มยืนเรียกอยู่ไกลๆ
“เชิญทางนี้เลยค่ะรถจะออกแล้วค่า”
“ค่า...”
กะละแมรีบเสียบพัด แต่เสียบพลาด พัดไม่เข้ากระเป๋า...ร่วงลงพื้นโดยที่กะละแมไม่รู้ตัว…กะละแมเดินไปไม่ทันสังเกต

สักครู่หนึ่งรถตู้ของชิณขับออกไปจากหน้าบ้านพักแล้ว จักกายเดินเข้ามาสวนกันไปแค่นิดเดียว
จักกายบังเอิญเหยียบพัดที่กะละแมทำตกไว้ จักกายก้มลงไปหยิบ กางพัดออกมาดู แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นโพยจดไว้เต็มพัด
ดูเหมือนจะเป็นสคริปบทพูดการดูฮวงจุ้ยของกะละแมจดไว้ละเอียดยิบ เต็มไปหมด
“แม่ลูกคู่นี้โดนเค้าหลอกว่าเป็นร่างทรงไม่พอ ยังโดนหลอกว่าดูฮวงจุ้ยเป็นอีก โง่ทั้งแม่ทั้งลูก ฮึฮึฮึ”
จักกายยิ้มเยาะ แล้วก็มองตามรถไป
“เธอจะโชคดีเอาตัวรอดได้อีกหรือเปล่านะ กะละแม”
จักกายส่ายหน้านิดๆ เอือมหน่อยๆ

ตรงกลางลานที่ดินริมทะเล กะละแมยืนหน้าซีดเหงื่อตก มือจับอยู่ที่กระเป๋าสะพาย ในตำแหน่งที่ควรจะมีพัดเสียบอยู่ แต่ทว่า พัดหาย!
โต๊ดสังเกตเห็นนึกสงสัย “เป็นอะไรวะไอ้แม”
“พัดหาย” กะละแมบอกเสียงแปร่งๆ
โต๊ดงง “พัดหาย ? พัดอะไรวะ ?
“พัดที่ฉันจดโพยตำราฮวงจุ้ยอ่ะดิ พัดหาย”
โต๊ดตกใจ “เฮ้ย...ฉิบหายแล้ว”
“ทำยังไงดีน้า งานนี้ซวยแน่ๆ”
โต๊ดคิดแล้วก็พูดขึ้น “ข้ามีแผนสอง”
กะละแมฉงน หะ?
โต๊ดกระดิกนิ้วเรียกกะละแมให้เอาหูมาใกล้ๆ กะละแมยื่นหน้าไปที่โต๊ด โต๊ดซุบซิบอะไรบางอย่างกับกะละแม ทันใดนั้นเสียงชิณก็ดังขึ้น
“กระซิบอะไรกัน”
โต๊ดสะดุ้ง กะละแมพยายามทำนิ่งๆ
ชิณเดินนำเข้ามา...ฉายตะวันตาม มีแจ่มกางร่มให้ ทรงวุฒิปิดท้าย คล้ายยอดี้การ์ด
“มะ...มะ...ไม่มีอะไรครับ” โต๊ดติดอ่าง
“ถ้าไม่มีก็รีบๆดูฮวงจุ้ยได้แล้ว จะได้รู้กันไปเลยว่ามืออาชีพอย่างเจ้าแม่น่ะมั่ว..หรือ..แม่นขนาดไหน”
กะละแมพยายามทำนิ่ง และก็พูดตอกกลับ แบบเนียนๆ เหมือนผู้หยั่งรู้
“แม่นหรือไม่แม่น...คุณนายคงต้องเป็นคนบอกเอง ฉันก็แค่พูดไปตามที่เห็น”
“แล้วเธอ..เห็นอะไร” ชิณยื่นหน้ามาท้าทาย
“ฉันเห็นว่าที่ผืนนี้กำลังจะถูกพัฒนาทำเป็นคอนโดสำหรับผู้สูงอายุ”
ฉายตะวันทึ่ง ปนตกใจ “หนูรู้ได้ยังไง”
ที่แท้โต๊ดแอบกระซิบบอกกะละแมแล้วก่อนมา
“ที่ดินที่จะไปดูวันนี้ ข้าไปแอบได้ยินมาว่า คุณนายจะเอาไปทำคอนโดผู้สูงอายุ”
กะละแมแหลต่อ “หนูนิมิตเห็นอย่างนั้นค่ะ” ยิ้มเอาหน้าสุดๆ
ชิณเบ้หน้า แต่ฉายตะวัน สีหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
“อย่างนี้แหละครับ ดูฮวงจุ้ยด้วย เป็นร่างทรงด้วย เลยแม่นสองเด้ง” โต๊ดภูมิใจ
“ไหนๆ หนูกะลแมก็รู้แล้วว่าฉันจะทำอะไร งั้นเราก็ดูฮวงจุ้ยกันแบบเจาะลึกเลยดีกว่า ดูทีละจุดว่าควรจะสร้างอะไรตรงไหน ขอแบบละเอียดยิบ ศาสตร์ชั้นสูงเลยนะจ๊ะ”
กะละแมงานเข้า “หะ...ดะ...ได้ค่ะๆๆ” ยิ้มฝืด ซวยแล้ว ไม่น่าเลยกรู
“อย่าพลาดนะ ฉันจะเอาใจแช่ง อุปส์! เอาใจช่วย”

ชิณพูดพลางยิ้มกวน

เจ้าแม่จำเป็น ตอนที่ 11 (ต่อ)

โต๊ดรีบส่งหล่อแก หรือ เข็มทิศจีน ให้กะละแมอย่างรวดเร็ว

“นี่ครับ! อุปกรณ์สำหรับดูฮวงจุ้ย” โต๊ดยัดเยียดให้สุดฤทธิ์
กะละแม หะ มองหล่อแกเหวอๆ ...เตรียมมาตอนไหนวะ
โต๊ดกระซิบ “หล่อแก”

หล่อแกอยู่ในมือกะละแมแล้ว
“อะไร? ของเล่นอะไรอีกหะ”
“ไม่ใช่ของเล่นแต่นี่คือ....หล่อแก” กะละแมบอก
ชิณทำเป็นได้ยินไม่ชัด “หะ หลอกแม่”
ฉายตะวันสะดุ้ง
“ไม่ใช่ !! หล่อแก คือเข็มทิศจีน ใช้สำหรับดูฮวงจุ้ย”
โต๊ดรีบช่วยเสริม “ใช่ครับ เป็นหลักการผสมผสานธรรมชาติทั้งแปดชนิด”
“แปดชนิด? มีอะไรบ้าง” ชิณแกล้งทำเป็นอยากรู้
“ก็มี ดิน น้ำ ลม ไฟ...เอ่อ...”
กะละแมจำได้แค่นี้ หันไปขอความช่วยเหลือจากโต๊ด ‘ช่วยด้วย’ โต๊ดพยายามช่วยใบ้
“เอ่อ...” โต๊ดชี้ไปที่ภูเขา “มีภูเขา” โต๊ดชี้ไปที่ทะเล “ทะเล...” โต๊ดทำปากคำว่าสาป “สาป...เอ่อทะเลสาป” โต๊ดชี้ไปที่ท้องฟ้า “ฟ้า แล้วก็...” โต๊ดชี้ไปที่ฟ้า แล้วทำปากว่า สายฟ้า แต่กะละแมเห็นนก “แล้วก็...นก”
“มีนกด้วยเหรอ? ไม่คุ้นเลย” ชิณเหน็บ
“เอ่อ...นกก็เป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตไง คุณจะถามมากทำไมให้เสียเวลา”
“ใช่ตาชิณ เราต้องดูที่อีกตั้งเยอะ” กะละแมพยักหน้าใช่ๆ “ไปกันเถอะจ๊ะกะละแม”
ฉายตะวันเดินนำไป แจ่มถือร่มตาม กะละแมรีบเดินตาม โต๊ดประกบ ชิณมองตามแล้วก็เดินคุมเชิงไป
ทรงวุฒิยืนรออยู่ที่เดิม มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง

ระหว่างนั้นมีรถคันหนึ่งขับเข้ามาจอด หน้าต่างรถฝั่งคนขับค่อยๆเปิดลงมา เห็นว่าเป็นศจีเลขาจักกายนั่งอยู่ในรถ ศจีมองลอดแว่นตากันแดดออกมาเท่ๆ ท่าทางเหมือนนักสืบกำลังสอดแนม

กะละแม วางมาดเป็นซินแส เดินนำทุกคนไปรอบๆ ที่ดิน เล่นละครสุดๆ
“ฮวงคือลม จุ้ยคือน้ำ ที่ดินของคุณนาย มีทั้งฮวง มีทั้งจุ้ย ถือว่าเป็นที่ๆ ดีมากๆ”
กะละแมหยุดเดินแล้วเอาหล่อแกออกมาหมุนๆ วัดองศา เพื่อดูว่าที่ตรงนี้ตกตำแหน่งอะไร
หล่อแก หมุนมาหยุดที่ตัวอักษรจีนตัวหนึ่ง กะละแมอ่านไม่ออก
“ที่ตรงนี้ตกตำแหน่ง...” กะละแมคิดๆ ว่าจะมั่วว่าอะไรดี
“อ่านไม่ออกล่ะสิ” ชิณแขวะ
“มันตัวเล็กเลยอ่านไม่ถนัดต่างหาก พอดีแสงมันจ้า ตาไม่ค่อยสู้แสง” แกล้งทำเป็นเพ่ง “ที่ตรงนี้ตกที่ตำแหน่งเฮา”
“เฮาอะไรของเธอ” ชิณไม่ลดละ
“ตำแหน่งเฮา ก็คือ...ไทเฮา หมายถึงคนแก่ที่มีบารมี ถ้าคุณนายสร้างคอนโดบริเวณนี้จะดีมากค่ะ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับทั้งพลังงานหยินและหยางโดยตรง ช่วยทำให้สุขภาพผู้อยู่อาศัยแข็งแรง” กะละแมแถอย่างแรง
ฉายตะวันดีใจ “อย่างนี้ก็เหมาะสำหรับคอนโดผู้สูงอายุเลยเนอะชิณ” ชิณเบ้หน้า
“แหม เหมาะเจาะจริงๆ ด้วยครับ” โต๊ดช่วยสุดๆ
กะละแมอธิบายต่อ “ตามตำราลักษณะนี้เค้าเรียกว่า มังกรผงาดฟ้า ด้านหลังเป็นเต่าดำ ด้านขวามีเสือขาว ซ้ายมีมังกรเขียว ข้างหน้ามีสายน้ำและหงส์แดง แล้วยิ่งปีนี้เป็นปีมังกรคะนองน้ำแล้วด้วย ยิ่งมีแต่เฮง” กะละแมมั่วโคตรๆ
โต๊ดคอยช่วย พยักหน้าเป็นลูกคู่ให้ ส่วนฉายตะวัน ทรงวุฒิงงๆ แต่ก็พยายามทำเป็นเข้าใจ
“หมู หมา กา ไก่ อะไรของเธอ เลิกพร่ำได้แล้ว” ชิณทนไม่ไหว “ผมจะพิสูจน์ให้แม่เห็นว่ายัยนี่หลอกแม่” หันมาเอาเรื่องกับกะละแม “ถ้าเธอไม่ได้มั่ว เธอต้องตอบได้ว่าไอ้หล่อแกของเธอเนี่ย มันหมายถึงอะไรบ้าง ฉันจะโทร.ถามซินแสฮวงจุ้ย ถ้าเธอตอบไม่ตรงมีเรื่องแน่” ชิณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
กะละแมโต๊ดตกใจหน้าซีด
“หน้าซีดเลยไปไม่ถูกล่ะสิ” ชิณเยาะ
กะละแมไม่รู้จะเอาตัวรอดยังไง คิดๆๆ แล้วก็ คิดออกปิ๊ง กะละแมชี้นิ้วไปที่โขดหิน แล้วก็ทำท่าช็อกเหมือนเห็นผีขึ้นมาทันที
ฉายตะวันตกใจ “หนูกะละแมเป็นอะไรจ๊ะ”
กะละแมพาเปลี่ยนเรื่อง “นะ..นะ..หนู...หะ..หะ...เห็นเจ้าที่ค่ะ”
“นี่เธออย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ”
กะละแมพูดตาลอยๆ “ผู้ชายแก่ๆ ผมทรงมหาดไทย มือถือไม้เท้า สูบไปป์ ใส่เสื้อขาว โจงกระเบนน้ำตาล ท่านบอกว่าโมโหคุณชิณมาก”
“สูบไปป์อยู่แล้วเอาปากที่ไหนพูด” ชิณจับผิดทุกเม็ด
กะละแมหน้าซีดโกหกไม่เนียน
ฉายตะวันอึ้ง ตกใจ “เดี๋ยวก่อน” คิดตาม “...ผมทรงมหาดไทย มือถือไม้เท้า สูบไปป์ ใส่เสื้อขาว โจงกระเบนน้ำตาล ใช่เลย! คุณตาฉันเอง”
ชิณ โต๊ด ทรงวุฒิเหวอ
“คุณทวดของลูกท่านรักที่ผืนนี้มาก” ฉายตะวันหันมาจ้องหน้ากะละแม “ท่านว่าไงอีกบ้างจ๊ะ”
“ท่านบอกว่า ให้คุณชิณเคารพเจ้าที่เจ้าทางบ้าง ไม่งั้นเดี๋ยวจะเจอเคราะห์หนัก”
ชิณหัวเราะ “ไม่ต้องเดี๋ยวหรอกมั้ง ฉันว่าฉันเจอแล้ว” ชี้หน้ากะละแม “เคราะห์หนักของฉันก็คือเธอ”
ฉายตะวันปราม “ชิณ เลิกลบหลู่บรรพบุรุษตัวเองได้แล้ว กะละแมคุณตาท่านพูดอะไรอีกหรือเปล่า”
“ท่านบอกให้คุณชิณหัดทำบุญทำทานซะบ้าง ถวายสังฆฑานสัก 9 วัดก็ดี แล้วก็ ระวังคำพูดปากเปราะมากๆ แล้วจะซวย ท่านไปแล้วค่ะ”
“คุณตา....ขอบคุณที่มาเตือนนะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ”
ฉายตะวันยกมือไหว้รอบๆ ลืมเรื่องการดูฮวงจุ้ยไปเลย
กะละแมโล่งอกเอาตัวรอดไปได้

ระหว่างนั้น มีกล้องไอโฟนของใครคนหนึ่ง จับภาพกะละแม ชิณ โต๊ด ฉายตะวัน แจ่ม และทรงวุฒิที่กำลังดูฮวงจุ้ยอยู่ เสียงดังแชะๆๆๆ

ตรงบริเวณที่ดินริมทะเล ตอนกลางวัน จอโทรศัพท์ไอโฟนกำลังถ่ายภาพกะละแมดูฮวงจุ้ย แชะๆๆๆ โดยศจีกำลังถ่ายภาพอยู่

ศจีกดส่งภาพไปให้จักกาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถ่ายรูปต่ออีกครั้งอย่างเมามันส์
จังหวะนั้นทรงวุฒิโผล่หน้ามาในภาพแบบเต็มจอภาพ พร้อมกับเคาะประตูรถเรียก ศจีตกใจ กว้างเผยให้เห็นว่าทรงวุฒิมายืนอยู่ตรงหน้าศจี
ทรงวุฒิยิ้ม “นี่แอบมาสอดแนมใช่มั้ยครับเนี่ย” พลางดึงโทรศัพท์มือถือออกมาดู
ศจีหน้าเจื่อนตกใจสุดขีดโดนจับได้
“เอ่อ...คือ...”
“ภาพคมชัดครบทุกการเคลื่อนไหวแบบนี้ อย่าปฎิเสธให้เสียเวลาเลยครับ มานี่เลยดีกว่า”
ทรงวุฒิเปิดประตูรถออกมา “ผมขอโทษนะครับ ที่ต้องแบบนี้ แต่ผมทำตามหน้าที่”
ทรงวุฒิจับศจีออกมาจากรถ

ระหว่างนั้นแจ่มหันไปเห็นสองคน เพ่งมาที่ทรงวุฒิกับศจี พูดซื่อๆ
“นั่นคุณศจีเลขาคุณจักกายนี่คะ”
ชิณ กะฉายตะวัน หันไป
“มาได้ยังไง แล้วมาทำไม”
ชิณคิดๆ แล้วก็หันขวับมาทางกะละแม ทำเอากะละแมสะดุ้งนิดๆ
“มองฉันทำไม? ฉันไม่เกี่ยวอะไรด้วยนะ”
“เดี๋ยวก็รู้ว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว”
ชิณพูดจบก็ลากกะละแมไปทันที กะละแมร้องด้วยความตกใจ
“คุณชิณจะพาฉันไปไหน”
ฉายตะวัน โต๊ด และแจ่ม มองตามด้วยความแปลกใจ...จะไปไหนกัน?

ทรงวุฒิดึงศจีเข้ามาในบ้านพักของจักกาย ตามด้วยชิณดึงกะละแมเข้ามา ท่าทางเหมือนตำรวจคุมตัวผู้ต้องหา
“นี่ฝีมือแกใช่มั้ย”
จักกายกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ เงยหน้าขึ้นมาเห็นศจีก็ยิ้ม ไม่สะทกสะท้าน
“วันหลังถ้าจะส่งคนมาสืบ ก็หามืออาชีพหน่อยนะ จะได้ไม่หน้าแตก”
จักกายมองไปทางกะละแมงงๆ ‘อ้าว...ถูกจับมาด้วยเรอะ’ กะละแมยักไหล่....งงเหมือนกัน
“ฉันยอมรับว่าฉันสั่งให้คุณศจีไปสืบเรื่องที่ดินแก แต่กะละแมไม่เกี่ยว” ชิณส่ายหน้า..ไม่เชื่อ “วันหลังถ้าจะเอาเรื่องใคร ก็หัดถามให้ดีกว่านี้หน่อยนะ จะได้ไม่หน้าแตกทีหลัง” จักกายย้อนเอา
ชิณชักสีหน้า ไม่ยอม
“เป็นไง ชัดเต็มสองหูหรือยัง ว่าฉันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ฉันไม่เชื่อ ถ้าไม่เกี่ยว แล้วแกจะรู้ได้ยังไง ว่าฉันจะไปดูที่ที่ไหน เมื่อคืน” ชิณหันมาพูดกับกะละแม “เธอคงจะบอกมันไปหมดแล้วละสิ หนอนบ่อนไส้”
กะละแมผงะ “นี่อย่ามาใส่ร้ายกันนะ ฉันไม่ได้คุยอะไรกับเค้าสักนิด และที่สำคัญฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ที่คุณจะให้ฉันไปดู มันอยู่ที่ไหน? ฉันจะบอกคนอื่นได้ไง”
ชิณชะงัก ทรงวุฒิรีบแทรก
“กะละแมพูดถูกนะครับคุณชิณ”
ชิณหันขวับมา ทรงวุฒิผงะ ถอยออก จักกายพูดขึ้นน้ำเสียงเยาะๆ รู้ทัน
“ที่แกร้อนรนขนาดนี้ ..เพราะกลัวว่าฉันจะตามไปเปิดแข่งอีกหรอ ไม่ต้องกลัว ฉันทำแน่” ชิณเชิดหน้ามองจักกาย..ไอ้นี่กวนบาทีจริง “อย่าลืมสิ ฉันก็มีที่ติดทะเลเหมือนกัน ไม่ว่าแกจะทำอะไร ฉันก็จะทำแข่งกับแกหมดทุกอย่าง” จักกายยิ้มร้าย “และฉันก็ต้องชนะทุกครั้ง”
ชิณยืนอึ้ง โมโหมาก
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก เด็กเมื่อวานซืนอย่างแก ถ้าไม่ใช้วิธีสกปรก อย่าหวังเลยว่าจะชนะ แน่จริงก็สู้กันซึ่งๆหน้าสิเว้ย แล้วจะได้รู้ว่าแก...ไม่มีวันชนะคนอย่างฉัน”
ชิณพูดจบก็กระชากลากกะละแมออกไปด้วย
กะละแมร้องลั่น “เฮ้ย...นี่คุณ....!”
กะละแมโวยวายแต่ก็โดนลากไป ทรงวุฒิทำเนียนหันมาลากศจีไปเหมือนกัน
“ไป”
แต่ศจีไหวตัวทันเกร็งตัวไว้ ทำหน้าดุ ทรงวุฒิหันมาทำสะดุ้ง แหะๆ
“แหะๆ ขอโทษที..ลืมตัว ไปก่อนนะครับ” ยิ้มแห้งๆให้แล้วก็รีบเดินตามเจ้านายออกไป
จักกายมองตามนิดๆ....คิดถึงคำพูดของชิณ
ส่วนทรงวุฒิเดินออกมาจากห้องไป

อาม่ายืนอยู่อีกมุมหนึ่ง ได้ยินว่าจักกายจะแข่งกับชิณอีกแล้วก็เป็นห่วง

ชิณลากกะละแมมาถึงที่หาดทรายหน้าบ้านพัก กะละแมยังโวยไม่หยุด

“นี่คุณ...ปล่อยได้แล้ว” กะละแมบิดมือออกจนได้ “นี่ฉันขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ถึงคุณจะไม่เชื่อ แต่ฉันไม่ได้เป็นหนอนบ่อนไส้ เอาเรื่องภายในของบริษัทคุณไปบอกจักกาย ฉันอาจจะมีพฤติกรรมบางอย่าง หรือ...หลายอย่างที่ไม่ไว้ใจ แต่ฉันไม่เคยคิดรวมหัวกับคนอื่นมาทำร้ายคุณท่าน...รวมไปถึง...ตัวคุณ”
กะละแมเน้นคำตอนท้าย ชิณชะงักนิดๆ ไม่เชื่อ
“เธอเนี่ยนะ ไม่เคยคิดร้ายกับฉัน”
กะละแมย้อน “แล้วบอกได้หรือเปล่า...ว่าฉันเคยคิดร้ายกับคุณตอนไหน”
ชิณนิ่งคิด
“ลองคิดดูดีๆ...ตั้งแต่เจอกัน ตอนคุณขับรถชนฉัน คุณก็มองฉันในแง่ร้าย หลังจากนั้นพอคุณรู้ว่าฉันเป็นร่างทรง คุณก็ไม่เคยมองฉันในแง่ดี”
ชิณสะอึก เออ จริงๆ
กะละแมพูดต่อ “ฉันไม่เถียง และไม่ขอแก้ตัวอะไรทั้งนั้น ฉันยอมรับว่าฉันไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องทุกอย่าง...แต่อย่างเดียว ที่ฉันพูดได้อย่างเต็มปาก .. ฉันไม่เคยคิดจะหักหลังคุณและแม่ของคุณ”
กะละแมพูดตรงๆ ด้วยความอึดอัดใจ แววตาจริงใจ น้ำตาแอบคลอๆ นิดๆ ด้วยความอึดอัดใจที่เก็บมานาน
ชิณฟังนิ่งๆ แต่ในใจ รู้สึกได้ถึงความจริงที่แฝงอยู่
กะละแมพูดต่ออีก “บุญคุณที่ท่านมีต่อฉันและครอบครัว ชีวิตนี้ฉันจะไม่ลืม! ถ้าฉันลืมตาอ้าปากได้เมื่อไหร่ ฉันจะต้องทดแทนให้ได้”
กะละแมพูดจบก็เดินพรวดๆ เข้าไปในบ้าน ชิณได้แต่ยืนอึ้ง รู้สึกแปลกๆ จะเชื่อ หรือไม่เชื่อ...แต่ลึกๆในใจ เขาเริ่มสัมผัสถึงอะไรบางอย่างในตัวกะละแมที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน


ที่ห้องนั่งเล่นบ้านพัก ฉายตะวันโพล่งขึ้นมา
“เห็นมั้ย แม่บอกแล้วว่าหนูกะละแมเค้าไม่รู้เรื่อง”
ชิณกำลังคุยกับฉายตะวันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
“โธ่แม่ ที่ไอ้กายมันพูดแบบนั้น มันอาจจะเตี๊ยมกันไว้ก็ได้ สรุปผมไม่ไว้ใจทั้งคู่นั้นแหละ”
“เรื่องนี้แม่ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ แม่ว่าชิณท่าจะมีเคราะห์จริงๆ ดูสิโครงการนี้ ขนาดเรายังไม่ทันจะทำอะไรเลย จักกายก็จะมาแข่งอีกแล้ว เมื่อวานรถก็ยางแตก...เฮ้อ...เมื่อไหร่ชิณจะหมดเคราะห์หมดโศกสักทีนะ”
“แม่ครับ...มันไม่เกี่ยวกันเลยนะครับ”
ชิณท้วง ฉายตะวันไม่ฟัง “ไม่รู้ละ แม่ว่ากลับไปกรุงเทพคราวนี้ ชิณต้องไปทำบุญชุดใหญ่ ทำให้หมดเลยนะ ทั้งทำบุญโลงศพ ถวายสังฆทาน ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง แล้วก็ทำบุญให้คุณทวดด้วย รู้หรือเปล่า”
ชิณมองฉายตะวันเซ็งๆ …แม่นะแม่
ฉายตะวันพูดถึงตาแล้วก็ดราม่าขึ้นมาทันที
“แม่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากะละแมจะติดต่อกับวิญญาณของคุณตาได้ หนูกะละแมเป็นเด็กพิเศษจริงๆ”
ชิณมองแม่แล้วก็ส่ายหน้า...ไปกันใหญ่แล้ว


ไม่นานต่อมา รูปถ่ายคุณตาของชิณแปะอยู่ที่ฝาผนังห้องนอน เป็นภาพผู้ชายแก่ๆ ผมทรงมหาดไทย มือถือไม้เท้า สูบไปป์ ใส่เสื้อขาว โจงกระเบนน้ำตาล ใต้ภาพเขียนชื่อ “คุณตาเชิด” กะละแมไหว้รูปถ่ายคุณตาอยู่
“ขอบคุณนะคะคุณทวดที่ช่วยหนู ถ้าไม่ได้รูปคุณทวด หนูคงจะแย่แน่ๆ”
กะละแมเงยหน้าขึ้นมา เห็นคุณตากำลังจ้องมาที่กะละแม อู๊ย...น่ากลัว
“หนูขอโทษที่เอาชื่อคุณทวดมาอ้าง แต่มันจำเป็นจริงๆ ค่ะ หนูขอโทษจริงๆ นะคะ” กะละแมยกมือท่วมหัว “ขอโทษค่า”
ทันใดนั้นเสียงจิ้งจกร้องทัก เหมือนเป็นลาง กะละแมแอบกลัว
“เอ่อ.....ยังไงกลับไปกรุงเทพฯ แล้วจะรีบทำบุญไปให้นะคะ หนูลานะคะ”
กะละแมหลอนรีบเดินออกไป


พัดของกะละแมอยู่ในมือจักกาย และกำลังส่งให้ติ่ง
ติ่ง ยืนอยู่กับตุ้งแช่ สองคนมองงงๆ
“ฝากคืนกะละแมด้วย บอกเค้าด้วยว่า “ติดหนี้” ผมอยู่”
จักกายยิ้มร้ายแล้วก็เดินกลับไป ติ่งมองงงๆ ตุ้งแช่รีบหยิบพัดจากมือติ่งมาคลี่ดู
“พัดโพยฮวงจุ้ยพี่แมนี่...พี่ติ่งว่า ไอ้พี่ขี้เก๊กเนี่ยมันจะรู้หรือเปล่าว่าพี่แมดูฮวงจุ้ยไม่เป็น”
ติ่งคิด แล้วก็ตอบ “ข้าว่ารู้ว่ะ....” ดึงพัดกลับมา “ตกลงไอ้จักกาย มันจะเป็นพวกเรา หรือมันจะศัตรูกับเรากันแน่”
ติ่งมองพัดแล้วก็คิด ตุ้งแช่งง

อาม่านั่งอยู่ที่ระเบียงบ้านพักริมทะเลของจักกาย ยังคิดถึงเรื่องที่ได้ยิน เห็นจักกายเดินเข้ามา
อาม่าหันไปเรียก
“คุณ”
จักกายหันมา
“จะรีบกลับหรือเปล่า? ถ้าไม่รีบอาม่าขอถามอะไรสักหน่อยสิ”
จักกายเดินมาหา
“ไม่รีบครับ..อาม่ามีอะไรถามมาได้เลยครับ”
อาม่ามองหน้า “ที่พาม่ามาที่นี่ ไม่ได้อยากจะพาคนแก่มาเที่ยวใช่มั้ย”
จักกายชะงักนิดๆ พยายามยิ้มกลบเกลื่อน “ทำไมอาม่าคิดแบบนั้น ผมพาม่ามาเพราะอยากให้มาพักผ่อน ม่าบอกเองว่าไม่เคยมา ผมก็พามานี่ไงครับ”
จักกายยิ้มแสนดี อาม่ามองมาอย่างไม่เชื่อ ตอบกลับตรงๆ
“แน่ใจนะว่าไม่ได้มาเพราะเหตุผลทางธุรกิจ”
จักกายสะอึก อาม่าพูดต่อ
“ม่ากับโทฟู่ก็เป็นคนธรรมดา เราไม่ได้มีเงินทองมากมาย ไม่มีธุรกิจที่ต้องแข่งขันกับใคร แต่เราสองคน...ก็มีจิตใจ มีความรู้สึก ถ้ารู้ว่าโดนหลอกใช้มันก็เจ็บเป็นเหมือนกัน”
เสียงโทฟู่ดังเข้ามา
“นี่คุณ...ฉันเก็บของเสร็จแล้วนะ จะกลับกันเลยเหรือเปล่า”
โทฟู่เดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง โทฟู่ยิ้มสดใส จักกายหันไปมองโทฟู่ อาม่าพูดต่อ
“ความไว้ใจมันสร้างขึ้นมายาก แต่มันโดนทำลายได้ง่ายมาก” จี๊ดใจ จักกายหันกลับมามองอาม่าอีกครั้ง “เราสองคนไว้ใจคุณนะ .... รักษามันไว้ดีๆ” อาม่าจับไหล่จักกายพลางบอก “ถึงเวลากลับบ้านกันได้แล้ว”
อาม่ายิ้มอย่างเมตตา แล้วก็เดินไปหาโทฟู่

ส่วนจักกายยืนอยู่ที่เดิมครุ่นคิด... แอบรู้สึกผิดเล็กๆ

ติดตาม "เจ้าแม่จำเป็น" ตอนที่ 12
กำลังโหลดความคิดเห็น