ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 12 อวสาน
รถของนันณภัสแล่นมาจอดที่หน้าบ้านพักตากอากาศ นันณภัสเดินเข้ามาพร้อมขนมในมือถุงใหญ่ เรียวเดินตามหลัง พอดีกับไทเดินออกมาหน้าบ้าน นันณภัสกับไทจึงเจอหน้ากันนันณภัสอึ้งเล็กน้อย
“คุณพัด”
ไททักทายนันณภัสอย่างนอบน้อม
“ไม่นึกว่าจะเจอนายที่นี่”
“ท่านประธานส่งผมมาครับ เดี๋ยวสักพักพอมีคนมาเปลี่ยนผมก็จะกลับแล้ว”
นันณภัสรับรู้และรู้สึกดีใจที่เจอหน้าไท แต่ยังไม่ทันที่จะสนทนากันต่อ แพรไหมก็เดินออกมาเธอแสดงสีหน้าดีใจเมื่อเห็นนันณภัส
“พัด”
“แพรไหม”
ทั้งคู่เข้ากอดกันอย่างสนิทสนม
“ไม่เจอกันนานยังสวยเหมือนเดิมนะ”
“เธอก็เหมือนกัน นี่ฉันมีขนมร้านที่เธอชอบมาฝากด้วยนะ”
“ขอบใจนะ ไปหาคุณพ่อกัน”
นันณภัสเดินไปกลับแพรไหมแต่ไม่วายที่จะหันมามองไท ไททำหน้านิ่งไม่หวั่นไหว เขามองเรียวแล้วเลี่ยงไปเดินออกไปนอกบ้าน
พีทคุยโทรศัพท์เป็นประโยคสุดท้ายกับโจก่อนวางสาย
“ได้ อีกยี่สิบนาทีเจอกัน” พีทวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ลิลลี่มองแววตามีความหวัง “ฉันจะไปหาอะไรดื่ม ไปด้วยกันไหม” พีทหันมาถามลิลลี่
“ไม่ล่ะ ไม่อยากไปขัดความสุขกับพวกสาวๆ ของเธอ”
พีทยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ลิลลี่รีบหยิบเอาการ์ดของเธอที่เตรียมมาออกมาจากกระเป๋า แล้วรีบเอาเปลี่ยนกับการ์ดของพีททันที ขณะที่ลิลลี่กำลังจะวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม พีทก็ออกมาเห็นพอดี สีหน้าพีทไม่ค่อยพอใจ
“ทำอะไรน่ะ”
ลิลลี่สะดุ้งแล้วแก้ตัว
“เอ่อ เปล่า แค่ อยากดูโทรศัพท์”
“ว่าใครโทรมาบ้างหรือ”
“ผู้หญิงไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร มันก็ต้องมีการหึงกันบ้าง” พีทยิ้มอย่างพอใจเขาเดินเข้าไปกระซิบกับลิลลี่
“ทีนี้เข้าใจความรู้สึกที่เธอทิ้งฉันไปหรือยัง”
ลิลลี่แกล้งทำเป็นตามน้ำแต่ในใจกระหยิ่ม
อีกด้านหนึ่งแป้งนั่งดื่มเครื่องดื่มอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ แถวท่าเรือ ปลายฟ้าเดินเข้ามาหาแป้งแล้วทักทายอย่างอารมณ์ดี
“ไงแป้ง มีอะไรหรือถึงได้นัดฉันมาด่วน”
แป้งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ฟ้า ฉัน”
“มีอะไรแป้ง แกเป็นอะไร”
“ฉัน ฉัน สอบผ่านแล้ว”
ปลายฟ้าตาโตด้วยความดีใจ แล้วกุมมือแป้งเขย่า
“จริงหรือแป้ง ดีใจด้วยนะ แต่ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วยล่ะ”
“เราก็ต้องจากกันน่ะสิ เพื่อนรัก”
ปลายฟ้ายิ้มแล้วให้กำลังใจ
“แกคิดว่าฉันจะไม่ตามแกไปหรือ อาทิตย์หน้าก็ถึงคิวฉันสอบแล้ว”
แป้งยิ้มได้แล้วให้กำลังใจปลายฟ้า
“แกต้องเอาให้ได้นะ เราจะได้ไปลุยออสเตรียด้วยกัน”
“แน่นอนอยู่แล้ว เราสองสาวพริตตี้ เกรียน จะลุยออสเตรียด้วยกัน”
“อย่างนั้น ไปฉลองกันให้เต็มที่เลยมื้อนี้แป้งเลี้ยงเอง พี่ เก็บตังค์”
ลิลลี่เอาการ์ดโทรศัพท์ของพีทไปให้โอตี่ โอตี่เปิดดูจึงเห็นเป็นคลิปที่พีทถ่ายเอาไว้จริงๆ โอตี่ยิ้มออกมา
“ดีมาก ขอบใจนะ แล้วเรื่องบ้านพักตากอากาศล่ะ”
“ตอนนี้ใช้รับรองเพื่อนเจ๊พัด ที่มาจากเมืองนอก” โอตี่แปลกใจ “ไม่มีอะไรแล้วฉันไปก่อนนะ เสียเวลาช็อปปิ้ง”
ลิลลี่ลุกออกไป เบ็ตตี้กับโอตี่สงสัยสิ่งที่ลิลลี่บอก
“เพื่อนยายพัด ยายพัดมีเพื่อนแก่ขนาดนั้นเลยหรือ”
“กลัวจะแก่ไม่จริงน่ะสิ”
โอตี่มองการ์ดที่ลิลลี่เอามาให้ในใจมีแผนสีหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์
“เรื่องนั้นเธอไปจัดการ ฉันจะเรียกหุ้นส่วนของเรามารับเงินปันผล” โอตี่กดโทรศัพท์มือถือถึงพีท แล้วพูดสาย
“ว่าไงหุ้นส่วน ได้เวลามารับเงินปันผลแล้วนะ ฉันจะรอที่ผับ”
โอตี่วางสายแล้วยิ้มอย่างพอใจ
วันนี้ไทมีนัดกับฉัตร พอได้เวลาไทจึงเดินออกมาที่รถมอเตอร์ไซค์ เรียวเดินมาคุยด้วย
“ท่าทางนายรีบกลับ”
“ใช่ ฉันมีธุระ”
เรียวรับรู้แต่อยากจะช่วยนันณภัส
“ไม่อยู่คุยกับคุณพัดสักครู่หรือ”
“วันหลังก็ได้”
บอดี้การ์ดคนที่มาเปลี่ยนมาพอดีเขาทักทายไท
“โทษที มาช้าไปหน่อย นายกลับได้แล้วล่ะ ฉันรับช่วงเอง”
“ขอบใจ”
ไทแตะมือกับบอดี้การ์ด บอดี้การ์ดเดินเข้าไปข้างใน ไทกำลังจะขึ้นรถ เรียวยืนมองอยู่ไม่ห่างนัก นันณภัสเดินออกมาแล้วมองไท ไทชำเลืองดูก็เห็นว่านันณภัสยืนอยู่ที่หน้าประตู เขามองหน้านันณภัสแบบมีมรรยาทแล้วตัดสินใจขับมอเตอร์ไซค์ออกไป
โอตี่คอยพีทอยู่ที่สนามบอลของผับ มีลูกน้องคอยเอาบอลมาตั้งให้เตะ เขาพยายามเตะลูกให้เข้าประตูที่อยู่ไกลออกไป ลูกบอลเข้าประตูบ้างไม่เข้าบ้าง พีทเดินเข้ามาอีกมุมหนึ่งเขาเตะบอลเข้าประตูเดียวกันกับที่โอตี่เตะอยู่ อย่างสวยงาม ทุกคนหันไปมอง พีทเดินเข้ามาใกล้ คู่ค้าสองคนของโอตี่และลูกน้องรายล้อมพีท
“แม่นดีนี่” โอตี่เอ่ยชม
“ไม่ต้องพูดมาก รีบจัดสรรมา ฉันมีนัด”
“ใจเย็นสิพี่”
“ใช่ เป็นแค่หุ้นลม อย่ามาทำเป็นเบ่งดีกว่า”
“ไอ้สองตัวนี่ใคร” พีทถามโอตี่
“อ๋อ เป็นคนที่อยากกระทืบแกน่ะสิ”
พีทหยิบโทรศัพท์ออกมาขู่
“คงยากหน่อยนะ เพราะว่าแค่พวกแกหายใจถูกฉัน เพื่อนฉันก็จะส่งคลิปอันนี้ให้ตำรวจทันที”
“เหรอ แต่ก็แปลกนะคลิปแบบแก ฉันก็มี เหมือนกันเปี๊ยบเลย”
โอตี่เอาโทรศัพท์ที่ฉายโปรเจคเตอร์ได้ฉายที่กำแพง เห็นเป็นคลิปที่พีทถ่ายเอาไว้ พีทหน้าเสียรีบเปิดคลิปในโทรศัพท์แต่ไม่มีคลิปเพราะการ์ดหายไป
“เป็นไปได้ยังไง”
“ไม่บอก ไง พร้อมจะโดนกระทืบหรือยัง”
สิ้นคำโอตี่ทุกคนเข้าไปรุมเล่นงานพีท ทั้งมือเท้าและไม้เบสบอล โอตี่ยืนดูอย่างสะใจ
คู่ค้าของโอตี่กับลูกน้องขับรถเอาพีทมาทิ้งที่หน้าบ้านบุ๊น พีทกลิ้งลงมาจากรถ การ์ดของบุ๊นเห็นจึงวิ่งมาที่พีท บางส่วนวิ่งไล่รถไปแต่ไม่ทัน การ์ดคนหนึ่งมาประคองพีทจึงเห็นหน้าพีทบวมปูด
“คุณพีท”
การ์ดมีสีหน้าตกใจ
ไทนั่งดื่มเบียร์อยู่ตามลำพังที่ท่าเรือตรงที่พบกับฉัตรเป็นประจำ ข้างๆ ยังมีเบียร์อีกเป็นแพ็ค ฉัตรเดินเข้ามาหา แล้วนั่งข้างๆ
“นึกแล้วว่าเอ็งต้องมาที่นี่”
ไทหันมาถาม
“ทำไมหรือ”
“ก็เอ็งติดเบียร์ข้าอยู่ไง”
ฉัตรยิ้มแล้วเปิดเบียร์ดื่ม
“นายมนัสยังไม่ตาย”
จู่ๆ ไทก็บอกขึ้นมา ฉัตรถึงกับสำลักเบียร์
“จริงหรือ”
“จริง ทุกวันนี้นายบุ๊นดูแลรักษาตัวเขาอยู่”
“รักษาหรือ”
“เป็นอัมพาต”
“แสดงว่านายมนัสถูกยิงแล้วไม่ตาย”
“แต่มีคนจัดฉากว่าเขาตายแล้ว”
“เพื่อความปลอดภัย”
ไทพยักหน้ารับ ห่างออกไปอาเพียวซุ่มดูอยู่ เขาเห็นว่าฉัตรคุยกับไท แต่ไม่ได้ยินคำพูด
“มันรู้จักกันด้วยหรือ”
อาเพียวพึมพำออกมาอย่างแปลกใจ
“แสดงว่านายบุ๊นเป็นคนดี” ฉัตรยังคุยกับไทต่อโดยไม่รู้ว่าอาเพียวแอบซุ่มดูอยู่
“น้าเชื่ออย่างนั้นหรือ”
ไทย้อนถาม ฉัตรมีสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ
“ไม่ ข้าอยากจะถามเอ็งสักหน่อยว่า เท่าที่เอ็งอยู่กับนายบุ๊นมาเขาเป็นคนยังไง”
“เป็นคนเงียบขรึม เดาใจยาก คิดอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครรู้ว่าคิดอะไร ชอบเก็บตัว”
“เก็บตัว”
“ใช่ ผมเห็นเขาชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้องห้องหนึ่งบางทีก็อยู่เป็นวันเลย”
“เอ็งเคยเข้าไปไหม”
“ไม่ มันเหมือนเป็นห้องที่เขาหวงมาก คนเดียวที่ได้เข้าไปคือลุงฮวด มือขวาของเขา”
“อยากรู้จังว่าในห้องนั้นมีอะไร”
ไทก็อยากรู้เหมือนกัน ทั้งคู่จบการสนทนาแล้วหันมาดื่มเบียร์กันต่อ
ขณะนั้นบุ๊นนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกในคอนโดพีท อาฮวดนั่งไม่ติดเพราะความเป็นห่วงและแค้นคนที่ทำพีท หมอพินิจกับพยาบาลเดินออกมาจากห้องนอนพีท บุ๊นลุกขึ้นถามอย่างใจเย็น
“เป็นยังไงบ้าง”
“สาหัสเอาการ ทำไมไม่พาไปโรงพยาบาล”
“ไม่อยากให้ถึงหูตำรวจ”
หมอพินิจพนักหน้าอย่างเข้าใจ
“ผมเข้าใจเถ้าแก่ ผมจะทิ้งพยาบาลไว้ให้ดูแลนะ”
“ขอบใจหมอ”
บุ๊นตรงเข้าไปหาพีทในห้อง อาฮวดตามไปแล้วยืนที่หน้าประตู
“ป๊า”
“ใคร”
พีทมีแววตาแค้นและกล้ำกลืน
“โอตี่”
“เรื่องอะไร”
พีทน้ำตาเอ่อ
“ป๊า ผมขอโทษ ผมมันอวดดีเอง ผมนึกว่าผมเก่งแล้ว คิดว่าแน่แล้ว แต่มันไม่ใช่ ถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมป๊า ทำแบบนี้กับผม ป๊าต้องการสอนผม ต้องการให้ผมเรียนรู้ แต่ผมมันโง่เองครับ”
อาฮวดยืนฟังแล้วกำมือแน่นด้วยความแค้น บุ๊นกุมมือลูกชายเอาไว้อย่างให้กำลังใจ
“ทำไมถึงพลาดได้ล่ะ”
พีทแววตาเจ็บใจ
“ลิลลี่ ผมไว้ใจเธอมากไป”
“ลิลลี่รู้อะไรบ้าง”
“ทุกอย่าง”
พีทหน้าสลดอย่างสำนึกผิด บุ๊นเข้าใจจึงพูดปลอบใจ
“ไม่ต้องพูดแล้ว พักซะ ป๊าเข้าใจลูกทุกอย่าง” ทั้งคู่สบตากัน บุ๊นเดินออกมาด้วยความกล้ำกลืน อาฮวดเดินตามออกมา “เพิ่มคนมาเฝ้าอีก”
“จะไปคุยกับท่านมังกรไหมครับ”
บุ๊นรู้ว่าอาฮวดจะทำอะไรจึงพูดปราม
“ใจเย็น ฉันเจ็บปวดกว่านายหลายเท่านัก”
“แต่ครั้งนี้ทางโน้นทำรุนแรงเกินไปนะครับ”
บุ๊นใจเย็นแต่แววตาแค้น
“ฉันรู้ แต่บางครั้งเราก็ต้องรอ เรื่องมนัสสำคัญกว่า”
บุ๊นแววตากร้าวและเมื่อพูดจบก็เดินนำออกไป อาฮวดเดินตามไป
ไทเดินมาส่งฉัตรที่รถ
“ขับรถดีๆ ล่ะ”
“จะให้ขับรถดียังไง ไม่มีเงินซื้อโว้ย เอ็งน่ะ ระวังตัวด้วยก็แล้วกัน ดูลีลาของนายบุ๊นไปก่อน อย่าบุ่มบ่าม เข้าใจไหม”
ไทยิ้มรับ เขารู้ว่าฉัตรเป็นห่วงเขาอย่างจริงจัง
“ทราบครับผู้กอง” พลันสายตาไทก็เหลือบไปเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ เขาสงสัยแต่ไม่รู้ว่าอาเพียวนั่งอยู่ข้างใน
“รถคันนั้นมันจอดอยู่นานแล้วนะ”
“ช่างเถอะ มันคงจอดงีบมั๊ง”
อาเพียวเหมือนรู้ตัวเขารีบขับรถออกไปอย่างไม่มีพิรุธ แต่ไทสงสัยเขามองตาม
“ข้าไปล่ะ”
ฉัตรบอกแล้วขับรถออกไป ไทยืนมองรถเคลื่อนออกไปจนสุดตา
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่มังกรนั่งจิบกาแฟ อาเพียวรายงานเรื่องไทกับฉัตร มังกรนั่งนิ่งสีหน้าครุ่นคิด
“บอดี้การ์ดคนใหม่ของพี่ใหญ่มันรู้จักไอ้ผู้กองนั่นด้วยหรือ”
“ครับ ท่าทางมันสนิทกันมาก”
“มันเป็นใครกันแน่ หรือมันเป็นสายตำรวจ”
“มันก็ไม่แน่ครับ”
“มันชักจะยุ่งไปกันใหญ่แล้ว ฉันอยากรู้จังไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร มาจากไหน” ลิลลี่เดินผ่านมากำลังจะไปทำงาน มังกรมองลิลลี่แล้วคิดอะไรได้จึงเรียกไว้ “ลิลลี่”
“ขา”
“มานี่หน่อยซิ ป๊ามีอะไรถามหน่อย”
ลิลลี่เดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี
“มีอะไรหรือป๊า”
“หนูพอจะรู้ไหมว่าบอดี้การ์ดคนใหม่ของลุงบุ๊นเป็นใคร มาจากไหน”
ลิลลี่สงสัยในคำถามแต่ก็ตอบแบบไร้เดียงสา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม
“อ๋อ เขาชื่อนายไท เคยเป็นเจ้าหน้าที่สวนสัตว์มาก่อน”
“ไท นามสกุลอะไร”
“นามสกุลเขาจำได้ง่ายมา ไท ธัญธรณี เคยเห็นบัตรที่หน้าอกเขาบ่อยๆ” มังกรกับอาเพียวถึงกับสะอึกมองหน้ากันแบบไม่เชื่อ “ไม่มีอะไรแล้วลิลลี่ไปทำงานนะ”
“ไปเถอะ”
มังกรหน้าเครียดขึ้นมาทันที
ติดตาม "ดุจตะวันดั่งภูผา" ตอนที่ 12 อวสาน (ต่อ) เวลา 9.00 น.
ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 12 อวสาน (ต่อ)
ฉัตรขับรถมากับคู่หูคนหนึ่ง คู่หูหาวและบ่น
“เฮ้อ ปลุกซะเช้าเลย อย่าลืมคิดค่าล่วงเวลาให้ด้วยนะ”
“ล่วงเวลา ถุย ฟังแล้วอยากจะเอาเสาไฟฟ้าเบรกรถจริงๆ” คู่หูตกใจ
“อย่านะน้า แหมพูดแค่นี้ทำใจน้อย นี่ น้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะทำแบบนี้”
“แน่ใจสิวะ ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือน่ะสิ เดี๋ยวถึงแล้วเอ็งจอดซุ่มคอยข้าอยู่ข้างนอกก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องบอกฉันก็ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว”
ฉัตรมองหน้าคู่หูเซ็งๆ
บุ๊นเดินออกมาหน้าบ้านโดยมีอาฮวด ไทและบอดี้การ์ดอีกสองคนเดินตามไป ก่อนออกไปบุ๊นหันไปสั่งแม่บ้าน
“ฉันจะกลับมารับอาหารเช้าที่บ้านนะ”
“ค่ะ”
บุ๊นเดินออกไป ไท อาฮวดและบอดี้การ์ดเดินตามไป
ฉัตรมาถึงบ้านบุ๊นพอดีกับที่บุ๊นออกไปแล้ว แม่บ้านกับบอดี้การ์ดเดินมาหาฉัตร บอดี้การ์ดจำฉัตรได้
“มีธุระอะไรหรือครับ คุณตำรวจ”
“ขอพบท่านประธานบุ๊นหน่อยสิ”
“ท่านไม่อยู่ ไปออกกำลังกาย”
“คงไม่ได้ไปทั้งวันล่ะมั้ง”
บอดี้การ์ดมองหน้าแม่บ้าน แม่บ้านพยักหน้า
“เชิญเข้ามารอข้างในก่อนค่ะ”
ฉัตรยิ้มแล้วเข้าไปในบ้าน
บุ๊นเดินมาหยุดที่ชายหาดแล้วสูดอากาศอย่างสดชื่น อาฮวดยืนอยู่ไม่ห่าง ส่วนไทและบอดี้การ์ดยืนเฝ้าระวังอยู่อีกมุมหนึ่ง บุ๊นทำท่าเหวี่ยงแขนไปมาแล้วถามอาฮวด
“เตรียมเรื่องมนัสหรือยัง”
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ”
บุ๊นพยักหน้ารับแล้วออกกำลังกายต่อ
ขณะนั้นฉัตรนั่งรอบุ๊นอยู่ที่ห้องรับแขก แม่บ้านเอาน้ำชามาเสิร์ฟ
“ตามสบายนะคะ”
“ขอบใจจ้ะ”
แม่บ้านเดินออกไป ฉัตรจิบน้ำชาชมความงามในบ้านบุ๊น แล้วมองไปรอบๆ
นันณภัสมาถึงที่ทำงานแต่เช้า พอปลายฟ้านันณภัสเธอจึงลุกขึ้นยืนทักอย่างนอบน้อม
“ท่านรองประธาน”
นันณภัสพยักรับตามมรรยาทแล้วเดินเข้าห้องไป เรียวตามเข้าไปติดๆ พอเขช้ามาในห้องนันณภัสทรุดนั่งอย่างอารมณ์เสีย
“ใครกันนะ ทำกับพีทได้ถึงขนาดนี้ นายพอจะรู้ไหม นายเรียว”
“ไม่ทราบครับ แต่ถึงยังไงท่านประธานคงไม่ยอมหรอกครับ”
“เมื่อไหร่จะจบเรื่องแบบนี้เสียทีนะ”
นันณภัสก้มหน้าทำงาน
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เรียวออกไปนอกห้องเจอปลายฟ้า ปลายฟ้าถามเรียว
“นี่ นายเรียว นายจะเจอหัวหน้าหรือเปล่า”
“คิดว่าเจอ มีอะไรหรือ”
“อืม ไม่มีอะไรหรอก”
ปลายฟ้าอยากจะฝากไปบอกว่าอย่าลืมที่นัดกันไว้เย็นนี้แต่เปลี่ยนใจไม่พูด เรียวเดินจากไป
ฉัตรนั่งรอบุ๊นอยู่นานเขามองนาฬิกาทุกเรือนที่มีอยู่ในบ้านรวมทั้งของเขาเองด้วย
“มันไปออกกำลังกายกันที่กรุงเทพหรือเปล่าวะ เฮ้อ เมื่อย”
ฉัตรลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจและเมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าบ้านโล่งไม่มีคนรักษาความปลอดภัย ฉัตรจึงคิดอะไรได้บางอย่าง แล้วมองหาห้องที่ไทเคยพูดถึง
“ห้องนั้น อืม ไอ้ไทบอกว่าอยู่ชั้นล่างนี่หว่า” พลันสายตาของฉัตรก็หันไปเห็นห้องๆ หนึ่งห่างออกไปอีกช่วงผนัง
“ห้องนั้นหรือเปล่า”
ฉัตรถือวิสาสะเดินไปในห้องนั้นอย่างระวัง
ประตูห้องลับค่อยๆ เปิดออก ฉัตรเดินเข้ามาพร้อมกับปิดประตู ภายในห้องตกแต่งด้วยหัวสัตว์และของเก่าๆ มีปืน หมวก และภาพถ่ายสมัยก่อนเต็มไปหมด ฉัตรมองด้วยความทึ่ง
“แม่เจ้าโว้ย นึกว่าห้อง พรานล่าสมบัติพระศุลี”
ฉัตรตรงไปที่โต๊ะทำงานของบุ๊นแล้วเริ่มลื้อค้น เขาเห็นรูปถ่ายที่บุ๊นเอาขึ้นมาดูซึ่งภายในรูปมีภาพมนัส บุ๊น มังกร และเทอดพ่อของไท อยู่ด้วยกัน ฉัตรแอบหยิบมาใบหนึ่งแล้วคิดจะใส่กระเป๋าแต่เปลี่ยนใจเอาใส่ในเป้ากางเกง
“นี่คงเป็นบุ๊นแอนด์เดอะแกงค์น่ะสิ”
ฉัตรค้นไปจนเห็นโฉนดที่ปากช่อง 3 ฉบับ มีชื่อบุ๊นอยู่ด้านหลังทั้งสามโฉนดแต่เป็นการออกจากเอกสารสิทธิ์ ส.ค. 1
“ชัดเลย” ฉัตรรีบเอาโทรศัพท์มือถือถ่ายโฉนดเอาไว้ เมื่อค้นไปอีกฉัตรก็เจอพินัยกรรม “นี่มัน...”
ฉัตรรีบถ่ายเอาไว้อีก ฉัตรหันหลังไปหาของที่ตู้หนังสือด้านหลังห้อง พลันเสียงบุ๊นก็ดังขึ้น
“หาเจอหรือยัง”
“ยังเลย”
ฉัตรบอก แต่พอนึกได้จึงหันขวับกลับมา ฉัตรเบิกตาโพลงเมื่อเห็นบุ๊น บุ๊นฟาดด้วยด้ามปืนลูกซองยาวจนฉัตรหมดสติทันที ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องเสียงดัง
“ลากตัวออกไป”
เมื่อฉัตรฟื้นขึ้นก็เห็นบุ๊น อาฮวด ไทและบอดี้การ์ด 2 คนยืนคุมอยู่ ขณะที่คู่หูของฉัตรถูกมัดอยู่บนเก้าอี้และถูกซ้อมจนน่วมเหมือนกัน บุ๊นมองหน้าฉัตรแววตาเข้ม
“ตื่นแล้วหรือ”
ฉัตรมองหน้าบุ๊นอย่างท้าทาย
“แหม กำลังฝันดี ไม่น่าปลุกเลย” ฉัตรหันไปมองคู่หู “อ้าว เอากะเขาด้วยหรือ”
“กลัวพี่จะได้ผลงานคนเดียวน่ะสิ”
ไทมองฉัตรอย่างเห็นใจแต่เก็บความรู้สึกเอาไว้
“ผู้กองเข้ามาในห้องผมทำไม”
“ผมหลงทาง”
บุ๊นเพยิดหน้าให้อาฮวด อาฮวดซัดไปที่ปลายคางฉัตรหนึ่งหมัด ไทมองแล้วข่มใจ ฉัตรหัวเราะออกมา
“นี่แกกล้าซ้อมตำรวจเลยหรือ”
อาฮวดยิ้มแต่แววตาเหี้ยม
“จริงสิ ฉันลืมไป งั้นฉันให้คนอื่นซ้อมแทนก็แล้วกัน ไท”
อาฮวดมองไปทางไท แล้วใช้สายตาสั่งให้ซ้อมฉัตร ไทมีสีหน้าไม่ดีมองหน้าฉัตรกับคู่หู ฉัตรเห็นใจไทจึงจ้องตาไทอย่างไม่หวั่น
“เอาสิ ใครก็ได้ มา แกชื่ออะไรนะ อ๋อ ไท มา ข้าไม่กลัวเจ็บหรอก”
ไทไม่ค่อยกล้า บุ๊นมองไทด้วยสายตาเข้มประมาณเร่งให้ลงมือ ไทตัดสินใจซ้อมฉัตรทันที ฉัตรถูกไทซ้อมจนน่วมจึงสลึมสลือบอกออกมา
“ก็ได้ ผมเข้ามาหาหลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับคดีที่ยิงลูกสาวคุณ คดีที่คุณถูกลอบยิง คดีสังหารนายเจียง แล้วก็รวมไปถึงคดีเก่าๆ”
ฉัตรพูดจบก็สลบไป ขณะที่คู่หูถูกซ้อมจนสลบไปก่อนหน้านี้แล้ว บุ๊นจ้องตาฉัตรที่สลบอยู่
“ค้นตัวดูซิ”
ไทเข้าไปค้นตัวฉัตรแต่ไม่พบอะไร
“ไม่มีอะไรครับ นอกจากปืน”
“ปล่อยเขาไป”
อาฮวดรับคำ ไทโล่งอกและรู้สึกว่าบุ๊นเป็นคนที่เหี้ยมและเลือดเย็นคนหนึ่งจนเขารู้สึกกลัว
รถของลูกน้องบุ๊นแล่นมาจอดที่กองขยะกองใหญ่แล้วลากฉัตรกับคู่หูที่สลบออกมาทิ้งบนกองขยะก่อนจะขับรถออกไป
บุ๊นเข้ามาในห้องลับกับอาฮวดแล้วเปิดลิ้นชักดูข้าวของจึงพบว่ารูปหายไป บุ๊นนึกแค้นฉัตรจึงระเบิดอารมณ์ด้วยการทุบโต๊ะ
“มันน่า จริงๆ ไอ้ผู้กองเหลือเดนนี่”
“มีอะไรหายไปบ้างหรือเปล่าครับ”
“รูปถ่าย ช่างมันเถอะ มันจะเอาไปทำอะไรได้”
บุ๊นเปิดลิ้นชักเอาโฉนดออกมาดู แล้วหยิบหนังสือโอนที่ดินใส่กระเป๋าเอกสารแล้วเดินออกไปกับอาฮวด
เย็นวันนั้นเมื่อกลับถึงบ้านพักปลายฟ้านั่งอยู่หน้าบ้านซ้อมเชลโล่และรอไท แต่ไทก็ยังไม่กลับมาสักที
“ทำไมหัวหน้ายังไม่กลับอีกนะ”
ไทเดินมาตามทางแถวท่าเรือแล้วก็พบมังกรจอรถดักรออยู่ มังกรลดกระจกลง
“ขอเวลาคุยเดี๋ยวสิ”
“ผมไม่ว่าง”
ไทบอกแล้วเดินจากไป
“ถ้าฉันจะคุยเรื่อง เทอด ธัญธรณี นายคงพอจะว่างสินะ”
ไทชะงักหันขวับมามองมังกรทันที
ฉัตรกับคู่หูยังคงนอนสลบอยู่ที่กองขยะ มีคนเก็บขยะสองคนกำลังปลดทรัพย์ของฉัตรกับคู่หู ฉัตรรู้สึกตัวแล้วตกใจ พลางชักปืนออกมาขู่
“เฮ้ย คนยังไม่ตาย ไปไกลๆ เลย เดี๋ยวพ่อยิงไส้แตก”
คู่หูงัวเงียลุกขึ้นมา
“โอย เรายังไม่ตายใช่ไหมพี่”
“ยัง แต่กำลังจะตายถ้าไม่รีบออกไปจากไอ้กองนรกนี่ เหม็นฉิบ”
ทั้งคู่โซซัดโซเซออกจากกองขยะ
มังกรกับไทยืนคุยกันโดยมีอาเพียวยืนคุมเชิงอยู่ที่รถ
“ตอนที่พ่อเธอถูกลอบยิงเธอคงอายุราว 14 - 15 ปี สินะ”
“ใช่ ผมกำลังจะอายุครบ 15 ปี” มังกรเดินไปมาดูเชิงไทจนไทอึดอัด “พูดธุระของเรามาดีกว่า”
“เทิดกับฉันสนิทกันมาก ฉันเตือนเขาแล้วเรื่องที่ดิน”
“ผมพอจะทราบเรื่องนี้มาบ้าง”
“พี่ใหญ่ต้องการได้ที่ดินผืนนี้มากเพราะสำรวจแล้วว่าข้างใต้มีสายแร่ทองคำมูลค่ามหาศาล”
“พวกคุณสองคน รวมทั้งนายมนัสจึงวางแผนที่จะให้พ่อผมออกโฉนดที่ดินผืนนี้”
“แต่พ่อเธอกลับลำ ไม่ยอมทำพี่ใหญ่จึงเก็บเสียเพื่อให้คนที่มารับตำแหน่งต่อทำแทน”
“แล้วนายมนัสล่ะ”
“นายมนัสเซ็นรับรองโครงการสำรวจว่าไม่มีอะไรใต้ดินเพื่อที่ทางราชการจะได้ไม่สงสัยอะไรเราจะได้ออกโฉนดได้ง่ายขึ้น”
“แล้วใครยิงนายมนัส”
“ฉันเอง แล้วลองทายดูสิว่าใครบงการ”
มังกรบอกเป็นนัยๆ ไทแววตากร้าวแต่เก็บอารมณ์
“แล้วทำไมท่านประธานถึงมาดูแลครอบครัวเขา”
“เพราะฉันทำงานพลาดนายมนัสไม่ตาย พี่ใหญ่จึงเก็บนายมนัสเอาไว้เป็นพยานแล้วใช้แบล็คเมล์ฉัน เพื่อจะฮุบโฉนดไว้คนเดียว”
“แต่ครั้งนี้คุณเป็นคนจัดการ”
“จะให้ฉันทำยังไง พี่ใหญ่ใช่เรื่องนี้กดหัวฉันมาหลายปีแล้ว เพราะโฉนดสามผืนนั้น ถ้าไม่เชื่อนายลองไปดูให้เห็นกับตาก่อนก็ได้” มังกรยิ้มแล้วมองไท “ฉันหมดธุระแล้ว”
มังกรเดินไปขึ้นรถ อาเพียวขับออกไป ไทมองตามสีหน้าครุ่นคิด
ไทปรากฏตัวขึ้นที่หน้าบ้านบุ๊นแล้วเดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่มีใครสงสัย ภายในบ้านปลอดคนพอดีไทจึงรีบเดินเข้าไปในห้องลับของบุ๊น พอเข้ามาในห้องไทเดินไปค้นที่โต๊ะจึงพบโฉนดที่ดินที่ปากช่อง ด้านหลังโฉนดเป็นชื่อบุ๊น
“จริงด้วย”
ไทมีสีหน้าแค้น
ที่หน้าบ้านขณะนั้นเรียวขับรถมาส่งนันณภัส นันณภัสลงจากรถเดินเข้าบ้านเรียวจึงเอารถเข้าไปจอด นันณภัสดินผ่านห้องลับไปแล้วได้ยินเสียงบางอย่างในห้อง นันณภัสนึกสงสัยจึงเดินไปดู ขณะนั้นไทหยิบปืนไรเฟิลซึ่งเป็นกระบอกแบบเดียวกันกับที่อาเพียวใช้ยิงเทอด ไทหยิบปลอกกระสุนมาเทียบพบว่ามันเข้ากันได้พอดี...เวลาเดียวกันมีเสียงเปิดประตูมาจากข้างหลังไท ไทหันขวับยกปืนจ่อไปที่เป้าหมาย นันณภัสยืนอยู่ที่หน้าประตูสีหน้าแปลกใจ
“ไท”
“คุณพัด”
ไทหน้าเข้ม
“นี่มันอะไรกัน นายเข้ามาในนี้ทำไม”
“ค้นหาความจริง”
นันณภัสทำหน้างงไม่เข้าใจ บุ๊น อาฮวด เรียว เดินเข้ามา ในมืออาฮวดกับเรียวมีปืนจ่อมาที่ไท
“แล้วเจอหรือยังล่ะ” บุ๊นถามเสียงเรียบ
“คิดว่าเจอแล้ว” ไทบอกแววตาเข้มท่าทางไม่กลัว “ผมใช้ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอุปสรรค ต่างๆ นานา เพื่อตามหาเจ้าของกระสุนอันนี้ กระสุนที่พรากทุกอย่างไปจากผม”
“นายจะยิงฉันหรือ”
“อย่านะไท นี่มันเรื่องอะไรคะคุณพ่อ” นันณภัสถามอย่างตกใจ
“ไม่มีอะไรหรอกลูก เรียวพาพัดออกไป”
เรียวจะทำตามคำสั่งแต่นันณภัสปฏิเสธ
“ไม่ พัดจะอยู่ที่นี่ ไทฉันขอร้องเถอะ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกัน”
ไทไม่สนใจนันณภัสเขามองนันณภัสแล้วหันมาพูดกับบุ๊น
“คุณรู้เรื่องทุกอย่าง ทำไมถึงเอาผมมาทำงานด้วย”
“ฉันรู้สึกผิดมั้ง”
“ผิดที่สั่งฆ่าพ่อผมน่ะหรือ”
ไทถามเสียงเข้ม ในมือกำปืนไว้แน่นพร้อมที่จะระเบิดกระสุนออกมา แววตาบุ๊นหม่นลงพร้อมกับถอนหายใจ
“ฉันไม่ได้สั่งฆ่าพ่อเธอ”
“ไม่มีผู้ต้องหาคนไหนยอมรับสารภาพง่ายๆ หรอก นายมนัส นายเจียง คนพวกนี้ล่ะ คุณก็ไม่ได้สั่งฆ่าด้วยหรือ” ไทโยนโฉนดใส่บุ๊น “ที่ดินพันกว่าไร่ที่คุณบังคับให้พ่อผมทุจริตเซ็นรับรองข้อความเท็จเพื่อคุณจะได้ครอบครองมันคนเดียว”
“เปล่า แต่ตรงกันข้ามฉันพยายามปกป้องพวกเขา”
“ปกป้องเอาไว้เพื่อตัวเองจะได้เอาไว้แบล็คเมล์น้องชายคุณน่ะหรือมิน่าล่ะนายมังกรถึงไม่กล้ากับคุณสักเรื่อง”
“นายไม่เข้าใจหรอก”
“ถึงยังไงผมก็ไม่สนใจว่าคุณจะทำอะไรกับใคร แต่สำหรับพ่อผม คุณต้องชดใช้ วันนั้นเป็นทั้งวันเกิดและวันตายของพ่อผม มันเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นและจบลงในวันเดียว เหมือนวันนี้”
อาฮวดกับเรียวกระชับปืนแววตากร้าว ไทจ้องตาบุ๊น ภาพอดีตของไทผุดขึ้นมาในมโนภาพ ตอนที่พ่อไทตาย/ ตอนที่ไทอยู่กับพ่อแบบที่มีความสุข ไทจึงเหนี่ยวไกปืนทันที
“ไท อย่า”
นันณภัสร้องห้ามอย่างตกใจแล้วรีบเอาตัวมาบังบุ๊นไว้ ทุกคนตะลึง นันณภัสค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น เรียวยิงปืนใส่ไท ไทยิงสวนออกไปแล้วทะยานหนีออกนอกห้องไป ไทหนีออกมาจากระเบียงแล้วถูกยิง เรียววิ่งตามไป บุ๊นมีสีหน้าตระหนกสั่งอาฮวด
“เรียกรถพยาบาลเร็ว”
อาฮวดรีบวิ่งออกไปทำตามคำสั่ง บุ๊นกอดนันณภัสที่แน่นิ่งหน้าเศร้า แววตาเป็นกังวล
ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 12 อวสาน (ต่อ)
ไทเพิ่งรู้สึกว่าบาดเจ็บที่หน้าท้องเลือดไหลโชกแต่เขายังฝืนวิ่งออกมาที่ป่าหลังบ้านโดยมีเรียวตามมาติดๆ ไทวิ่งทะลุมาถึงท่าเรือแล้ววิ่งไปสุดที่สะพาน เรียวตามมาทันแล้วยืนจ่อปืนตรงหน้าไท
“นายทำแบบนี้ทำไม”
“ถ้าเป็นนายนายก็ต้องทำแบบฉัน” เรียกระชับปืนแน่นหมายจะยิงไท “ยิง เมื่อนายมีโอกาส”
เรียวละล้าละลัง ไทจ้องปืนไปที่เรียว ห่างออกไปอาเพียวซุ่มจ้องยิงไทอยู่ ลูกปืนของอาเพียวถูกที่ไหล่ของไทจน ไทกระเด็นตกน้ำไป เรียวตกใจเพราะเขาไม่ได้ยิงจึงรีบวิ่งไปดูรอบๆ แต่ไม่เห็นใคร
สองวันต่อมา ปลายฟ้าเปิดประตูออกมารับอากาศแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นไทนอนสลบอยู่ที่พื้น ปลายฟ้ารีบนั่งลงประคองไท
“หัวหน้า” ไทยังคงสลบแน่ยิ่ง ปลายฟ้าเห็นมีเลือดซึมจากแผลที่ไทถูกยิง “ตายแล้ว”
ปลายฟ้าประคองไทเข้ามาในบ้านพักแล้วทำแผลให้ไท จากนั้นก็เอาน้ำเช็ดตามตัวและใบหน้าอย่างตั้งใจและสงสาร ปลายฟ้าเช็ดเสร็จแล้วลุกเอากะละมังไปเก็บ ไทเริ่มรู้สึกตัว ขยับตัวลืมตาขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ปลายฟ้ารีบเข้ามากอดไทอย่างลืมตัวน้ำตาเอ่อ
“หัวหน้า ฉันคิดว่าจะไม่ได้เจอหัวหน้าอีกแล้ว”
ไทรู้สึกดีและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เขาเจ็บแผล แต่ก็กอดปลายฟ้าเอาไว้แล้วพูดปลอบใจ
“ฉันยังไม่ตายซะหน่อยยายบ๊องส์ คุณพัดเป็นยังไงบ้าง”
“เชอะ ตื่นมาก็ถามถึงกันเลย ข่าวว่าว่าเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว เรื่องมันเป็นยังไงกัน”
“มันสั่งฆ่าพ่อฉัน” ไทบอกเสียงเข้มจนปลายฟ้าตกใจ
“หา”
“เธอยังทำงานที่นั่นอยู่หรือเปล่า”
“ทำสิ แต่อาทิตย์หน้าก็ต้องออกแล้ว ฉันต้องไปสอบแล้วล่ะ ฉันว่าตอนนี้หัวหน้าหนีไปก่อนดีกว่าถ้าพวกนั้นรู้ว่าหัวน้ายังไม่ตายหัวหน้าคงไม่ปลอดภัยแน่” ปลายฟ้าบอกอย่างเป็นห่วง
“ไม่ ฉันยังมีงานที่ต้องสะสางอีก”
ปลายฟ้าเป็นห่วงแต่ไม่รั้งไว้เพราะรู้จักนิสัยไท
“เอ่อ งั้นก็ระวังตัวด้วยนะหัวหน้า”
ไทพยักหน้า สีหน้าแววตามั่นใจ
โอตี่กับมังกรนั่งคุยกันอยู่ที่บ้านด้วยท่าทางจริงจัง
“ลูกไอ้เทอด หมดเสี้ยนหนามไปอีกหนึ่ง” มังกรหัวเราะในลำคอ
“แต่ดาบฆ่าคนของป๊า มันเชือดไม่ถูกที่ลุงบุ๊นยังหายใจสะดวกอยู่เลย”
“แต่ก็ต้องเจ็บใจที่ลูกสาวต้องมาพิการแบบนี้”
“ลูกชายก็เดี้ยง ลูกสาวก็มาเป็นง่อย เวรกรรมคงตามทันแล้วสินะ”
“ฉันว่าถ้าแกแน่ใจแล้วว่าในบ้านหลังนั้นมีไอ้มนัสกับลูกสาวมันล่ะก็เราควรจะลงมือได้แล้ว อีกอย่างอาเพียวก็ปิดปากลูกไอ้เทอดไปแล้วจะได้ไม่มีใครปูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก”
มังกรมองไปที่อาเพียวเหมือนจะยืนยัน อาเพียวพยักหน้ารับ
“ได้เลยแด๊ด จัดไป อย่าให้เสีย”
โอตี่ดึงแก้มของมังกรอย่างมันเขี้ยว เหมือนผู้ใหญ่ดึงแก้มเด็ก มังกรทำหน้าเซ็ง
ฉัตรเดินออกมาจากร้านปริ๊นเอกสาร เขาถือกระดาษที่เพิ่งปริ๊นออกมามันเป็นหนังสือโอนที่ดิน ไทซุ่มอยู่บริเวณต้นไม้พอเห็นฉัตรเดินออกมาจึงรีบเรียก
“น้าฉัตร”
ฉัตรหันไปพอเห็นว่าเป็นไทก็ดีใจ
“ไอ้ไท” ไทโผเข้ากอดฉัตร ฉัตรคลายวงแขนออกมองไทไปทั่วตัว “โทรมมาเชียว เอ็งรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เอ็งดังใหญ่แล้วนะ”
ไทพยักหน้าเข้าใจแล้วแสดงความเสียใจ
“น้า ฉันขอโทษ”
“ข้าเข้าใจ ถ้าเอ็งไม่ทำอย่างนั้นมีหวังโดนทั้งคู่ เออนี่ข้ากำลังอยากพบเอ็งอยู่พอดี”
“มีอะไรหรือ”
“นายบุ๊นยกที่ดินสามแปลงที่ปากช่อง คืนราชพัสดุ” ไทมีสีหน้าแปลกใจ “นี่เอกสารที่นายบุ๊นกำลังเตรียมโอนที่ดิน”
ไทรับไปดูแล้วมองฉัตรด้วยสีหน้าสงสัย
ต่ อ จ า ก ต อ น ที่ แ ล้ ว
ไทนั่งอ่านพินัยกรรมจบ และดูเอกสารโฉนดที่ดินด้วยสีหน้าสงสัย
“ทำไมบุ๊นต้องยกที่ดินสามแปลงนั้นคืนราชการ”
“ก็แสดงว่าเขากลับใจน่ะสิ หรือไม่เขาเอาที่ดินไว้เพื่อไม่อยากให้ใครบางคนคิดชั่วๆ เอาสมบัติของบ้านเมืองไปเป็นของตัวเอง”
“หมายความว่ายังไง”
“บริเวณที่ดินกว่าพันไร่นั้นมีการสำรวจพบสายแร่ทองคำมูลค่ามหาศาล แต่ใครบางคนบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยให้นายมนัสเซ็นรายงานเป็นเท็จ ส่วนนายเทอดพ่อของนาย อาจจะไม่ยอมเซ็นออกโฉนด จึงต้องถูกเก็บแล้วเปลี่ยนคนที่มารับตำแหน่งให้เซ็นแทน ซึ่งดูตามหลักฐานและรูปการแล้ว มันจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก...”
ไทคิดตามที่ฉัตรบอกแล้วนึกถึงวันที่คุยกับแพรไหม
“ดีที่ลุงบุ๊น มาช่วยฉันเอาไว้ ท่านกับพ่อฉันเป็นเพื่อนรักกันมาก แล้วมีอีกคนนะคะ ชื่อลุงเทอด ฉันจำได้ว่าลุงเทอดมาทานอาหารที่บ้านบ่อยๆ เห็นว่าลุงเทอดมีลูกชายคนหนึ่งแต่ฉันไม่เคยเจอ เขาเรียนที่กรุงเทพน่ะค่ะ แล้วก็มีอีกคนหนึ่งเป็นน้องลุงบุ๊นชื่ออามังกร คนนี้ไม่ค่อยได้มาแต่วันที่พ่อถูกยิงเขามีปากเสียงกับพ่อเรื่องอะไรก็ไม่ทราบนะคะ”
“จับตัวคนยิงได้ไหมครับ”
“ไม่ได้ค่ะ ช่างเถอะเรื่องมันก็นานมาแล้ว” แพรไหมเปลี่ยนเรื่องแล้วยื่นหนังสือให้ไท “อ่านฆ่าเวลาไหมคะ”
ไทรับหนังสือไปอย่างนอบน้อมสีหน้าพอใจ
“ขอบคุณครับ”
“ตามสบายนะคะ”
แพรไหมเดินขึ้นไปชั้นบน ไทมองตามแล้วมองหนังสืออย่างพอใจและแปลกใจที่มนัสก็ชอบหนังสือเล่มนี้
ไทพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เขาเจ็บใจตัวเองที่ถูกมังกรหลอก
“มังกร โธ่เว้ย”
ไททุบรถด้วยกำปั้นด้วยความเจ็บใจ
“เฮ้ยรถข้าบุบหมด เอ็งเป็นอะไรของเอ็งวะ”
“ผมทำผิดไปจริงๆ”
ไทหน้าเศร้า ฉัตรไม่เข้าใจ
บุ๊นพานันณภัสนั่งรถเข็นมาที่สวนสาธารณแห่งหนึ่งโดยมีอาฮวดกับเรียว ยืนระวังอยู่ห่างๆ บุ๊นเข็นพลางคุยกับนันณภัสพลาง
“เสียใจไหมที่ต้องเป็นแบบนี้”
“ก็ยังดีกว่าให้ไทเข้ายิงคุณพ่อ”
บุ๊นรู้สึกผิดที่ลูกต้องมารับกรรม
“พ่อขอโทษ”
“คุณพ่อไม่ผิดหรอกค่ะ เพียงแต่นายไทเขาไม่เข้าใจเองแต่ลูกก็ไม่ได้โกรธนายไทนะ”
“เพราะลูกรักเขา”
นันณภัสมองหน้าบุ๊นแล้วยอมรับ
“ค่ะ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว”
บุ๊นรู้สึกสงสารลูกสาวจับใจ บุ๊นรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ เขาจึงชำเลืองตาไปรอบๆ
แล้วเมื่อนันณภัสลับไปแล้วบุ๊นจึงเรียกคนที่ซุ่มอยู่ออกมา
“ออกมาได้แล้ว”
ไทปรากฏกายขึ้น
“ไท”
อาฮวดชักปืนออกมาจ่อไปที่ไท บุ๊นมองหน้าไทแล้วสั่งอาฮวด
“ฮวด ปล่อยเขา นายมีอะไร”
“ผมเข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว” บุ๊นหัวเราะเบาๆ
“มันสายไปแล้วบางอย่างสูญเสียไป มันเรียกกลับคืนไม่ได้”
“แต่มันอาจจะทดแทนได้”
บุ๊นจ้องหน้าไทเห็นแววตาไทจริงจัง เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง
“นายต้องการอะไร”
ไทหยิบปลอกกระสุนที่ใช้ยิงพ่อเขาออกมา
“ต้องการให้เจ้าของปลอกกระสุนนี้ชดใช้”
อาฮวดเห็นแววตาที่แน่วแน่ของไท บุ๊นเตือนไท
“ถ้านายคิดว่าทุกคนต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำล่ะก็ แล้วลูกสาวฉันใครจะชดใช้ สิ่งสำคัญที่เราควรจะทำในเวลานี้ก็คือ ช่วยชีวิตนายมนัส พาเขากลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายกับลูกสาวเขาอย่างมีความสุข อย่าต้องให้เขามารับกรรมแบบพ่อนายเลย นายจะเอาด้วยไหมล่ะ ลองกลับไปคิดดู”
บุ๊นพูดจบแล้วก็เดินออกไป
ไทนั่งทบทวนคำพูดของบุ๊นและคำพูดของฉัตรที่ห้ามปรามเรื่องล้างแค้นอยู่ในห้อง ในมือเขามีปลอกกระสุนที่สังหารพ่อของเขา สีหน้าไทคิดหนัก ข้างๆ มีหนังสือที่เทอดซื้อให้เขาในวันเกิดวางอยู่
ไทชำเลืองมองมัน ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไทลุกขึ้นมาเปิดประตูจึงพบว่าเป็นปลายฟ้า
“หัวหน้า เป็นยังไงบ้าง”
ปลายฟ้าถามอย่างเป็นห่วง ไทปั้นสีหน้ายิ้มให้
ไทกับปลายฟ้าเดินคุยกันมาตามชายหาด
“แสดงว่าหัวหน้าเข้าใจผิด”
“ใช่ คุณพัดเลยต้องมาเป็นแบบนี้เพราะฉัน”
“น่าสงสารคุณพัดนะ แล้วหัวหน้าจะทำยังไง”
“ผิดแล้วก็ต้องแก้ไข ฉันมีวิธีของฉัน”
“แล้วเรื่องพ่อของหัวหน้าล่ะ”
“บางครั้งคนเราก็ต้องทำอะไรบางอย่าง แม้รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันเป็นสิ่งที่ผิด แต่สำหรับฉันมันคือความจำเป็น”
ปลายฟ้ามองหน้าไทแบบไม่เข้าใจ
รถปิคอัพหลังคาสูงแบบตู้ทึบภายนอกมีป้ายชื่อของบริษัทบริการฉีดปลวกแล่นมาจอดที่หน้าบ้านพักตากอากาศของบุ๊น พยาบาลออกมาต้อนรับ ขณะนั้นเบ็ตตี้ใช้กล้องจากปืนสไนเปอร์ส่องดูอยู่อีกมุมหนึ่ง
“มาฉีดปลวกหรือคะ”
พยาบาลถาม เรียวซึ่งปลอมเป็นคนฉีดปลวกตอบรับ
“ครับ”
บอดี้การ์ดตรวจดูความเรียบร้อยแล้วพยักหน้าอนุญาต
“เชิญค่ะ”
เรียวขับรถเข้าไปในบ้าน พยาบาลปิดประตูรั้วบ้าน เบ็ตตี้มองตามรถเข้าไปจนลับตาแล้วรีบรายงานโอตี่
“มีรถฉีดปลวกเข้าไป”
โอตี่ติดต่อทางวิทยุสื่อสารกับเบ็ตตี้ โอตี่อยู่กับลูกน้อง 3 คนและรถหนึ่งคันเตรียมพร้อม
“ดูมันไปก่อน”
ขณะนั้นแพรไหมกำลังให้อาหารทางสายยางกับมนัส พยาบาลเข้ามารับช่วงต่อ
“มาดิฉันจัดการเอง”
“ขอบคุณค่ะ ใครมาหรือคะ”
“พนักงานฉีดปลวกค่ะ”
“เหรอคะ งั้นฉันไปดูแลเขาหน่อยดีกว่า”
แพรไหมเดินออกไป
ด้านนอกเห็นว่ามีพนักงานฉีดปลวกสองคนซึ่งก็คือบอดี้การ์ดกับเรียว ทั้งคู่ลังใช้เครื่องมือฉีดปลวกในพื้นดินอยู่
“ต้องการอะไรก็บอกนะคะ” แพรไหมเดินเข้ามาบอก
“ครับ”
เรียวทำงานต่อไป
ที่หน้าบ้านขณะนั้นรถของอาฮวดวิ่งมาตามถนน เบ็ตตี้เห็นรถวิ่งเข้ามาที่หน้าบ้านจึงใช้กล้องเล็งเห็นเป็นอาฮวดกับหมอ บอดี้การ์ดเปิดประตูให้รถอาฮวดเข้าไปข้างใน เบ็ตตี้รีบรายงานโอตี่
“พวกมันมากันแล้วท่าทางจะมีหมอมาด้วย”
โอตี่ยิ้มพอใจแล้วสั่งลูกน้อง
“ได้เวลาเชือดแล้ว”
อาฮวดกับหมอพินิจเข้ามาที่ห้องมนัส พบกับแพรไหมและพยาบาล หมอพินิจเข้าไปดูอาการมนัสด้วยสีหน้าพอใจ
“ดูดีขึ้นมากนี่”
“สงสัยได้อยู่ใกล้ลูกสาวมั๊งคะ”
แพรไหมยิ้ม อาฮวดรู้สึกดี หมอพินิจตรวจอาการมนัสต่อไป
โอตี่กับลูกน้องมาสมทบกับเบ็ตตี้ที่ซุ่มดูบ้านพักตากอากาศของบุ๊นอยู่
“เป็นยังไงบ้าง”
“ยังไม่มีอะไรเคลื่อนไหว”
โอตี่รับรู้แล้วหยิบกล้องส่องทางไกลมาส่องดูแล้ววางแผนบุกในใจ สักพักรถฉีดปลวกก็ขับออกไป โอตี่มีสีหน้าพอใจแล้วสั่ง
“ลงมือได้”
โอตี่กับลูกน้องเคลื่อนตัวเข้าไป เบ็ตตี้เล็งปืนคอยระวังต่อ
ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 12 อวสาน (ต่อ)
โอตี่บุกเข้าไปที่หน้าบ้าน ลูกน้องสามคนยิงใส่บอดี้การ์ด เบ็ตตี้ซุ่มยิงบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านบนตกลงมาแล้วเล็งไปที่คนอื่น เบ็ตตี้ยิงเปิดทางให้โอตี่กับลูกน้องเข้าไปด้านใน
จังหวะหนึ่งลูกน้องโอตี่คนหนึ่งกำลังจะเข้าไปในบ้าน แต่มีปืนยิงพุ่งสวนมาจากอีกฝั่งหนึ่ง ลูกน้องโอตี่ล้มลงขาดใจ เบ็ตตี้มีสีหน้าแปลกใจมองหาคนยิงแต่ไม่เจอใคร เธอยังคงต้องยิงเปิดทางต่อ
โอตี่ยังบุกเข้าไปในบ้านแล้วฆ่าบอดี้การ์ดจนหมด เขาสั่งลูกน้องที่เหลืออีกสองคนค้นแล้วตรงไปที่ห้องมนัส
ลูกน้องตรงเข้าไปในห้องแต่แล้วระเบิดก็ระเบิดตูมขึ้นมา ลูกน้องทั้งสองคนตายคาที่ส่วนโอตี่กระเด็นไปกระแทกข้างฝา
“มีอะไร”
เบ็ตตี้ถามมาอย่างตกใจ
“กับดัก นายมนัสไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครอยู่เลย” โอตี่วิ่งออกมาข้างนอก ไทซึ่งซุ่มอยู่ยิงใส่โอตี่ที่ขาล้มลง “โอ๊ย ใครมันอยู่ไหน”
เบ็ตตี้กวาดกล้องส่องหาที่มาของปืนแล้วไปเจอไทกำลังเล็งมาที่กล้องของเธอพอดี
“จ๊ะเอ๋”
ไทเหนี่ยวไกทันที ลูกกระสุนพุ่งเข้าใส่เบ็ตตี้สิ้นลมทันที โอตี่รับรู้แบบสังหารณ์ใจแล้วเรียกเบ็ตตี้
“เบ็ตตี้ เบ็ตตี้”
ไทยิงใส่โอตี่เป็นชุดโอตี่วิ่งหนีไป ไทลดสายตาจากกล้องแล้วมองโอตี่สีหน้าแค้นแล้วเคลื่อนตัวตามไป
บุ๊นนั่งอยู่ที่มุมโปรดของบ้าน ตรงหน้ามีกระดานหมากรุกฝรั่งซึ่งบุ๊นกำลังเดินหมากเป็นตารุกฆาต
“แกคิดว่าฉันรู้ไม่ทันแกหรือไงมังกร ในเมื่อแกเอาดีไม่ได้มันก็ถึงเวลาที่แกต้องชดใช้กรรมแล้ว...รุกฆาต”
สีหน้าและแววตาบุ๊นเข้มมองกระดานจริงจัง
มังกรกับอาเพียวและลูกน้องมังกรรายล้อมอยู่หน้าคลับเฮ้าส์ราวกับกำลังรอต้องรับใครคนหนึ่ง สักครู่ก็มีรถลีมูซีนคันหรูแล่นมาจอดเทียบ คนที่ลงมาคือนายวันชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหนึ่งที่มีอำนาจ
“สวัสดีครับท่าน รัฐมนตรีวันชัย เชิญครับ”
“แหม ไม่ต้องพิธีมากหรอก เรามันคนกันเอง เรียกวันชัยเหมือนเดิมก็ได้”
วันชัยยิ้มแย้มเดินเข้าไปในห้องกับมังกร
ขณะนั้นฉัตรกับคู่หูซื้อกาแฟอยู่ในร้านกาแฟข้างถนน ระหว่างนั้นมีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขี่มาที่รถฉัตรแล้วเอาซองสีน้ำตาลปึกใหญ่วางไว้ที่หน้ารถแล้วขี่จากไป ฉัตรกับคู่หูเดินถือกาแฟออกมาจากร้านกาแฟ ฉัตรบ่น
“อุตส่าห์โดนซ้อมแทบตาย ยังหาหลักฐานจับนายมังกรไม่ได้เลย”
“ก็ต้องหากันต่อไป ก็มันหน้าที่เรานี่”
ฉัตรหันไปเห็นซองสีน้ำตาลที่หน้ารถแล้วเดินไปหยิบออก พลางบ่น
“เห็นรถข้าเป็นถังขยะหรือไงวะ เอ้า เอ็งเอาไปทิ้งซิ”
ฉัตรหลับหูหลับตาส่งให้คู่หู คู่หูรับไปแล้วสังเกตเห็นว่าจ่าหน้าซองถึงฉัตร
“อ้าว นี่มันจ่าหน้าซองถึงพี่นี่”
“ไหนดูซิ” ฉัตรรับมาเปิดดู เห็นเป็นเอกสารเก่าๆ มากมาย เขาคลี่มันดูหน้ากระโปรงรถ “นี่มันเอกสารคดียิงนายเทอด นายมนัสและ ก็การทุจริตที่ดินนี่”
“ไหน”
ทั้งคู่อ่านข้อความไปมา
“สุดท้ายมันก็เป็นนายมังกรจริงๆ คราวนี้ดิ้นไม่หลุดแน่”
รถฉีดปลวกวิ่งไปตามถนนทางลัด คนขับรถดึงหน้ากากออกเห็นเป็นเรียว คนที่นั่งข้างๆ ดึงหน้ากากออกเห็นเป็นแพรไหม
“ขอบคุณนะคะ”
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ”
แพรไหมยิ้มให้เรียว เรียวยิ้มรับ
ภายในตู้ท้ายกระบะ มนัสนอนบนเปลอย่างดีมีอุปกรณ์การแพทย์ครบ พยาบาลและหมอพินิจนั่งยิ้มอยู่ข้างๆอาฮวดนั่งอารักขาอยู่
มังกรนั่งดื่มเครื่องดื่มกับรัฐมนตรีวันชัยด้วยท่าทางสบายใจ
“แน่ใจนะว่าคุณมังกรกำลังจะได้ที่ดินผืนนั้นมา”
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่ ตอนนี้ลูกชายผมคงกำลังดำเนินการอยู่ พยานปากสุดท้ายกำลังจะพูดไม่ได้อีกต่อไป”
ทั้งคู่ชนแก้วกัน
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นโอตี่วิ่งหนีไทมาถึงกลางลานของตึกร้างแห่งหนึ่ง ไทปรากฏกายขึ้น โอตี่ยกปืนเล็งไปที่ไทแล้วยิงทันที แต่กระสุนหมด เขาตั้งท่ามวยเป็นเชิงว่าจะต่อสู้กับไทด้วยมือเปล่า
“มา”
ไทยิ้มรับ
“ได้ ฉันจะฝังแกตรงนี้ ทำหลุมศพให้สวยเลย”
โอตี่เบิกตากว้างด้วยความโมโหแล้ววิ่งเข้ามาต่อสู้กับไท แต่สุดท้ายแล้วโอตี่สู้ไทไม่ได้จึงถูกไทฆ่าตาย
“แกไปคนเดียวคงเหงาสินะ เดี๋ยวฉันจะส่งพ่อกับลิ่วล้อแกตามไป”
ไทบอกเสียงเข้ม
มังกรกับรัฐมนตรีวันชัยยังเจรจาธุรกิจที่ดินกันอยู่ที่คลับเฮ้าส์
“โครงการนี้ผมจะหาทุนมาเอง เต็มที่ไม่น่าจะเกินหมื่นล้าน ส่วนท่านวันชัยก็...”
“ผมรู้ว่าจะต้องทำยังไง ผมจะตั้งคณะกรรมการทำงานสำรวจใหม่ เมื่อนั้นเราก็จะขายสัมปทานให้รัฐบาล แล้วก็รวยเละ”
มังกรมีท่าทางชอบใจแล้วชวนดื่ม
“ดื่ม”
อย่างไม่คาดฝันฉัตรกับตำรวจบุกเข้ามาอย่างนิ่มนวล
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” มังกรถามอย่างไม่พอใจ
“เรื่องคดีบงการฆ่า คดีฆาตกรรมแล้วก็คดีเรื่องการมีส่วนร่วมในการทุจริตออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ พอไหม”
ฉัตรบอก มังกรหน้าซีด
“แกเอาอะไรมาพูด ไหนหลักฐาน ขืนพูดมั่วๆ ฉันฟ้องแกติดคุกแน่”
“คำให้การของพยานที่เคยเป็นลูกน้องคุณไง แล้วก็เอกสารบางอย่างที่ตำรวจหาไม่เจอ แต่พอดีมีพลเมืองดีเขาค้นมาให้”
มังกรหน้าซีดแล้วขอให้วันชัยช่วย
“ท่าน ท่านต้องช่วยผมนะ”
วันชัยทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ช่วยอะไรหรือ ผมไม่ขอยุ่งดีกว่า ไปพวกเรากลับ”
วันชัยเดินจากไปอย่างไม่แยแส ฉัตรชูกุญแจมืออย่างยียวน มังกรหน้าสลดในใจแค้น
“พี่ใหญ่”
วันต่อมาไทถือดอกไม้มาหาบุ๊นที่บ้าน บุ๊นกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่เขามองไทแล้วชวนให้นั่ง ไทนั่งลงคุยกับบุ๊นอย่างเข้าใจทุกอย่าง
“ท่านประธานรู้มาตลอดว่านายมังกรจะทำอะไร”
“ใช่ เพียงแต่ฉันรอเวลา และตอนนี้มังกรก็ชดใช้ให้ฉันแล้ว” บุ๊นยิ้มพอใจ แล้วมองมาที่ดอกไม้ในมือไท “ดอกไม้สวยดีนี่”
ไทยิ้มรับอย่างเต็มใจ
“ถึงเวลาที่ผมต้องชดใช้ท่านแล้ว”
บุ๊นมีสีหน้าพึงพอใจ
เรียวเข็นรถให้นันณภัสชมสวนอยู่เพลิน ไทก็ปรากฏตัวพร้อมดอกไม้ แววตานันณภัสฉายความดีใจออกมาเมื่อเห็นไท
“ไท”
ไทยิ้มรับแล้วมองเรียว เรียวรับรู้สีหน้าเขาเศร้าเล็กน้อยแล้วเดินจากไปอย่างมีมรรยาท ไทยื่นดอกไม้ให้นันณภัส นันณภัสดีใจมาก เอื้อมมือมากุมมือไทแล้วยิ้มอย่างยินดี
“ฉันคิดว่านายจะไม่มาหาฉันอีกแล้ว”
ไทแอบถอนหายใจแล้วยิ้มให้นันณภัส
“ใช่ ผมจะไม่มาหาคุณอีกแล้ว... แต่ผมจะอยู่ดูแลคุณตลอดไป”
นันณภัสดีใจสุดขีดเธอพยุงตัวขึ้นมากอดไทน้ำตาเอ่อด้วยความปิติ
“นายจะไม่ทิ้งฉันไปจริงๆ นะ”
“ครับ หายเร็วๆ นะ”
ทั้งคู่กอดกันด้วยความรัก แต่ในใจไทยังมีปลายฟ้า แววตาจึงดูเศร้าๆ
“ในที่สุดการเดินทางผมก็มาถึงปลายทาง อะไรทำให้ผมแน่ใจน่ะหรือ เพราะผมมองไม่เห็นว่าผมจะจากที่นี่ไปได้ยังไง คนดีๆ ที่แสนบริสุทธิ์คนหนึ่งต้องมารับกรรมที่ผมก่อเอาไว้ เหตุผลแค่นี้ก็เกินพออยู่แล้ว แม้ว่าใจผมจะโหยหาใครบางคนแต่ก็คงต้องปล่อยให้สายลมพัดผ่านไป”
วันต่อมาไทยืนรอปลายฟ้าอยู่ที่มุมหนึ่งของวิทยาลัยดนตรี ปลายฟ้าแบกเชลโล่เดินเข้ามาหาไทด้วยสีหน้าสดชื่น
“ไง มารอนางเอกหรือ” ไทยิ้มให้ปลายฟ้า
“เปล่า มารอเธอ วันนี้สอบใช่ไหม”
“ใช่สิ”
“ไปออสเตรียให้ได้นะ”
“แน่นอน แล้วหัวหน้าล่ะ จะไปที่ไหนต่อ” ปลายฟ้าย้อนถาม ไทส่ายหน้า
“ฉันเจอปลายทางของฉันแล้วล่ะ”
ไทหันไปที่มุมตรงข้ามจึงเห็นนันณภัสนั่งรถเข็นรออยู่ที่รถ ปลายฟ้าหันไปมองตามไทใจหล่อนวูบ น้ำตาเอ่อออกมาไม่รู้ตัว ไทฝืนยิ้มให้ปลายฟ้าก่อนบอกลา
“ขอให้เธอโชคดีนะ ลาก่อน”
ไทตัดใจหันหลังเดินจากไป ปลายฟ้ามองตามไปน้ำตาเอ่อ แล้วตัดสินใจเรียกไท
“ไท” ไทหันมามองปลายฟ้า ปลายฟ้าจ้องหน้าไทแล้วตัดสินใจพูดสิ่งที่ขัดต่อความรู้สึก “โชคดีนะ ไท”
ทั้งคู่จ้องหน้ากันสักพักแล้วต่างคนต่างหันหลังเดินจากกัน ปลายฟ้าร้องไห้ออกมา
ไทเดินมาหานันณภัสแล้วเข็นรถเธอขึ้นรถขับออกไป
ปลายฟ้านั่งหน้าเศร้าตั้งสายเชลโล่เตรียมตัวสอบ สักครู่มีเจ้าหน้าที่มาเรียก
“คนต่อไป ปลายฟ้า”
“ค่ะ”
ปลายฟ้าลุกเข้าไปในห้องสอบ
ภายในห้องสอบปลายฟ้ายื่นโน้ตให้อาจารย์แหม่มแล้วเดินไปเตรียมตัวที่เก้าอี้กลางห้อง อาจารย์แหม่มมองโน้ตแล้วสงสัย
“ทำไมคราวนี้เลือกเพลงเศร้าล่ะ”
ปลายฟ้าสีหน้าเศร้า
“อยากเปลี่ยนสไตล์บ้างค่ะ”
“อืม ก็ดี ดูหน้าตาเธอตอนนี้ก็ไม่ต่างจากเพลงเท่าไหร่หรอกพร้อมแล้วบอกนะ”
ปลายฟ้ารับคำเบาๆ แล้วทำสมาธิ
ปลายฟ้าสีเชลโล่อย่างตั้งใจและไพเราะมากเพราะเธอเล่นจากอารมณ์ส่วนลึกจริงๆ เมื่อเล่นเพลงจบปลายฟ้าเงยหน้ามองอาจารย์แหม่มพร้อมกับน้ำตาที่ไหนออกมา เพื่อนและเจ้าหน้าที่เข้ามาฟังอยู่ด้านหลังอาจารย์ ทั้งหมดอึ้ง ตะลึงในความเพราะ ใครคนหนึ่งปรบมือเปาะแปะ หลายคนปรบตามจนเสียงกระหึ่ม ทุกคนยิ้มให้กำลังใจปลายฟ้าและยกนิ้วให้ อาจารย์แหม่มพยักหน้าให้อย่างพอใจ
“สมหวังเสียทีนะ ปลายฟ้า”
1 เดือนผ่านไป ไทเข็นรถให้นันณภัสนั่งอยู่หน้าบ้าน ไทแต่ชุดสูทผูกเน็คไทที่ปลายฟ้าซื้อให้ นันณภัสมีท่าทางสดชื่นและแต่งตัวไปทำงาน บุ๊นเดินเข้ามาทัก อาฮวดเดินตามหลังบุ๊นเข้ามา
“เป็นยังไงท่านประธานคนใหม่”
“คุณพ่อน่ะ ไม่เห็นต้องมาเรียกอย่างนี้เลย”
“ก็มันถึงเวลาที่พ่อต้องวางมือแล้วนี่ จริงไหมฮวด”
อาฮวดยิ้มสีหน้าอิ่มเอิบ
“ครับ”
“คุณพ่อจะไปไหนแต่เช้าคะ”
บุ๊นมองที่ไทแวบหนึ่ง
“พ่อจะไปโอนที่คืนทางราชการเขา จะได้จบเรื่องกันเสียที” ไทรู้สึกยินดีไปด้วย “แล้วนี่รองประธานยังไม่มาหรือ”
บุ๊นพูดยังไม่ทันขาดคำพีทก็เดินเข้ามา พีทแต่งตัวแบบนักบริหาร แล้วตีหน้าเหรอหรา
“ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่าครับ”
ทุกคนมองพีทอย่างเอ็นดู
“ไม่หรอก ท่านรองประธานแต่ถ้าไม่มีไปประชุมก็อาจจะพลาดอะไรดีๆ นะ”
ทุกคนยิ้มมีความสุข แต่ไทมีสีหน้าหม่นๆ พีทสังเกต
ไทเข็นรถให้นันณภัสมาตามทางเดินที่จะไปห้องประชุม พีทเดินตามไม่ห่าง ตามมาด้วยเรียว ไทเข็นรถมาถึงหน้าห้องประชุมแล้วมีเลขามารับช่วงต่อ
“เชิญค่ะคุณพัด”
“ไปพีท เข้าประชุมได้แล้ว”
พีทมองไทอยากคุยด้วย
“เจ๊เข้าไปก่อน ผมขอคุยกับบอดี้การ์ดหน่อย”
นันณภัสพยักหน้ารับแล้วเลขาก็เข็นเข้าห้องไป เรียวแยกออกไป ไทมองหน้าพีท
“มีอะไรหรือครับ”
“มีคนอยากคุยด้วย” ไทงง พีทเปิดคลิปในโทรศัพท์แล้วส่งให้ไท “เอ้า เธอส่งมาเมื่อเช้าก่อนขึ้นเครื่อง ถ้าใครโทรมารับให้ด้วยนะ”
พีทพูดเสร็จแล้วเดินเข้าห้องไป ไทยืนหลบมุมดูคลิปในโทรศัพท์พีท
ในคลิปเป็นภาพปลายฟ้ากำลังพูดกับกล้องส่งต่อถึงไท สีหน้าเธอแกล้งทำเป็นสดชื่น
“หวัดดีไท นายคงเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุขแล้วใช่ไหม ตอนนี้ฉันกำลังจะบินไปถึงปลายฟ้าแล้วนะ ขอบใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ขอบใจสำหรับช่วงเวลาที่ดีในชีวิต ฉันไม่รู้ว่าจะได้เจอนายอีกเมื่อไหร่ อืม...นายดูแลตัวเองด้วยนะ รักและเอาใจใส่คุณพัดเขามากๆ ถึงเขาจะโชคร้ายที่เดินไม่ได้ เขาก็ยังโชคดีที่มีคนอย่างนายอยู่ข้างกายไปตลอดชีวิต เฮ้อ ฉันไม่อยากพูดคำนี้เลย แต่มันไม่มีคำอื่นดีไปกว่านี้แล้ว...ลาก่อนนะไท”
ไทนัยน์ตาแดงแต่กล้ำกลืนเอาไว้
บุ๊นนั่งตกปลาอยู่คนเดียว ขณะที่อาฮวดยืนอยู่ข้างๆ และโต๊ะอีกตัวซึ่งเคยเป็นที่นั่งของมังกรกับว่างเปล่า
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะต้องมานั่งตกปลาคนเดียว มังกรเอ๊ยคนเรามันเปลี่ยนแปลงกันยากจริงๆ นั่งสิฮวด”
อาฮวดอึกอัก กลัวๆ กล้าๆ “นั่งเถอะ”
อาฮวดนั่งแล้วให้ความเห็น
“ถ้าพอและหยุดตั้งแต่แรกก็คงไม่มีวันนี้หรอกครับ”
“นั่นสิ จากเด็กกุ๊ยข้างถนน มายืนบนถนนแห่งเงินตราได้ก็นับว่าได้ดีอย่างมหาศาลแล้ว เฮ้อ นี่ลิลลี่เป็นยังไงบ้าง”
“ย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้วครับ คงไม่อยากสู้หน้าใคร”
บุ๊นพยักหน้ารับรู้ แล้วคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามความเห็นของฮวด
“ฉันว่าจะให้พัดแต่งงานกับนายไท นายเห็นเป็นยังไง”
อาฮวดรู้สึกสะดุดในใจแต่ก็ให้ความเห็นแบบกลาง
“ถ้ามองในมุมคุณพัดก็น่าจะมีความสุขแต่ถ้ามองในมุมของไทผมไม่แน่ใจ”
“ฉันสนแค่ลูกสาวฉันเท่านั้น”
บุ๊นเสียงแข็งขึ้น แล้วเหวี่ยงเบ็ดออกไป อาฮวดรับรู้แล้วเงียบ การสนทนาจบลง
คืนนั้นไทเดินมาที่รถมอเตอร์ไซค์กำลังจะกลับบ้าน พีทเดินเข้ามาหา
“นายรู้เรื่องหรือยัง”
“เรื่องอะไรหรือครับ”
พีทถอนหายใจมองหน้าไท
“เรื่องที่ป๊าจะให้นายแต่งงานกับเจ๊พัด”
ไทวูบในใจเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับช้าๆ
“อาฮวดพูดให้ฟังแล้ว”
“แล้วไง นายปฏิเสธใช่ไหม”
“เปล่า ผมตกลง”
พีทแทบอยากจะชกหน้าไท
“นี่นายบ้าหรือเปล่า แล้วนายเอาปลายฟ้าไปไว้ที่ไหน”
“ปลายฟ้าไม่เกี่ยวอะไรกับผม”
พีทดึงคอเสื้อไท
“ไม่เกี่ยวได้ยังไง ปลายฟ้ารักนาย รักจนหมดใจ และฉันก็รู้ว่านายก็รักเขา”
ไทจับมือพีทออกจากคอเสื้อ
“ถามจริงๆ มันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
พีทมองออกไปยังท้องทะเลที่มืดมิด
“ฉันรักปลายฟ้า ถึงปลายฟ้าจะไม่รักฉัน ฉันก็ยังรักเธอ” ไทอึ้งหันมามองพีท “ฉันอยากให้คนที่ฉันรักมีความสุข และคนที่จะทำให้ปลายฟ้ามีความสุขไปตลอดชีวิตก็คือนาย”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“เรื่องอื่นฉันอาจจะโง่ แต่เรื่องนี้ฉันว่าฉันฉลาดกว่านายเยอะ”
“ปลายฟ้าเขาก็ไปสู่ปลายฝันของเขาแล้ว ผมว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมันดีกว่าผมขอตัวนะ”
ไทเดินจากไป พีทเซ็งแล้วตะโกนไล่หลัง
“นายมันหลอกตัวเอง”
พีทมองตามไทแล้วคิดที่จะทำอะไรสักอย่าง
ไทนั่งกินเบียร์อยู่คนเดียวที่ท่าเรือ ไทนึกถึงเหตุการณ์ระหว่างเขากับปลายฟ้าซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไทมีความสุข แล้วไทก็ยิ้มออกมา
“เธออยู่ไหนนะยายบ๊องส์”
วันต่อมาไทพานันณภัสหัดเดินด้วยเก้าอี้สามขาที่สนามหญ้า นันณภัสเดินแล้วล้มๆ ลุกๆ ไทต้องคอยประคองตลอด เรียวยืนมองอย่างอิจฉาอยู่ห่างๆ อาฮวดเดินเข้ามาด้านหลังแล้วตบไหล่เรียวเบาๆ
“ไปทำงานได้แล้ว”
“ครับ”
เรียวเดินจากตรงนั้นไปอย่างเสียดาย อาฮวดเข้าใจความรู้สึกเรียว
ทางด้านนันณภัส เธอดูมีความสุขเมื่ออยู่กับไท แต่ลึกๆ แล้วนันณภัสเป็นกังวลเพราะรู้ว่าไททำตามหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ แต่นันณภัสเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ในใจไม่แสดงออกมา
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้ครับ” ไทบอกขึ้นมา
“ดีเหมือนกัน”
ไทอุ้มนันณภัสมานั่งที่รถ
“ผมเอาของไปเก็บก่อนนะครับ”
ไทบอกแล้วเดินจากไป นันณภัสมองตามสายตาหม่นในใจสับสนและเศร้า
อาฮวดเดินมากับเรียว แล้วมาที่รถที่จอดอยู่หน้าบ้าน บุ๊นเดินถือของออกมาอาฮวดรับของแล้วเปิดประตูให้บุ๊น บุ๊นเข้าไปในรถ เรียวทำหน้าที่ขับรถ
“ออกรถได้”
เรียวขับรถเคลื่อนออกไป
คืนนั้นนันณภัสนั่งซึมเหม่อมองมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเธอกับไท เสียงเคาะประตูดังขึ้น นันณภัสตื่นจากภวังค์
“เข้ามาสิคะ”
บุ๊นเปิดประตูเข้ามา
“เป็นยังไง ยังไม่นอนหรือ”
“นอนไม่หลับค่ะ”
“คิดเรื่องนายไทหรือ”
“เขาไม่ได้รักพัดเลยใช่ไหมคะ”
บุ๊นมองออกไปนอกหน้าต่าง
“พ่อทำได้แค่นี้แหละลูก”
“พัดเข้าใจค่ะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาพัดคิดว่าพัดมีความสุข แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยค่ะคุณพ่อ พัดเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรักไม่ใช่การครอบครอง มันคงถึงเวลาแล้วค่ะคุณพ่อ”
อย่างไม่คาดคิด นันณภัสลุกขึ้นจากเก้าอี้รถเข็นแล้วเดินมาหาบุ๊น บุ๊นหันไปมองด้วยสีหน้าตกใจ
“พัด”
“มันไม่มีประโยชน์ที่จะหลอกตัวเองต่อไปแล้วล่ะค่ะ”
บุ๊นพยักหน้าเข้าใจ นันณภัสโผเข้ากอดบุ๊น
“ลูกตัดสินใจถูกแล้วล่ะ”
เช้าวันต่อมาไทมาหานันณภัสตามปกติ แต่เช้าวันนี้ไทพบเพียงเก้าอี้รถเข็นและมีกระดาษเขียนข้อความเอาไว้
ไทแปลกใจขณะหยิบขึ้นมาอ่าน
“นายไม่ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นฉันดังเช่นทุกวัน และก็ไม่ต้องแปลกใจที่ฉันไม่อยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ เพราะความจริงแล้วฉันไม่ได้เป็นอะไรและสามารถเดินไปไหนมาไหนได้เหมือนคนปกติทั่วไป นายคงคิดว่าฉันหลอกนาย แต่ไม่ใช่หรอก ฉันหลอกตัวเองต่างหาก หลอกว่าวันหนึ่งนายคงจะรักฉัน แต่ยิ่งนานวันมันยิ่งห่างเหิน เพราะฉันรู้ว่าในใจของนายมีแต่ปลายฟ้าเท่านั้น และในใจปลายฟ้าก็มีแต่นายคนเดียว ไปตามหาเธอให้เจอนะ ลาก่อน...พัด”
ไทรู้สึกงง บุ๊นเดินออกมา
“ท่านประธาน คุณพัด”
“พัดไม่ได้เป็นอะไรหรอก มันเป็นความคิดโง่ๆ ของฉันเอง”
ไทนิ่งไม่มีคำพูดและไม่โกรธ
“คุณพัดล่ะครับ”
“พัดไปพักผ่อนที่ไหนสักแห่ง ช่างเถอะ พัดคงจะไม่เจอเธออีกแล้วล่ะ เธอเป็นอิสระแล้ว ไปตามทางที่ยายพัดบอกเถอะ ความสุขของเธอรออยู่ที่นั่น”
ไทมองหน้าบุ๊น เป็นครั้งแรกที่แววตาบุ๊นดูอ่อนโยนกับเขามาก
“ครับ”
ไทหันหลังเดินออกไป
“ไท ขอบคุณนะ”
ไทหันมายิ้มให้อย่างจริงใจแทนคำตอบก่อนจะเดินจากไป
ที่หน้าผาริมทะเล นันณภัสยืนเหม่อมองออกไปที่ทะเลโดยมีเรียวยืนอยู่ไม่ห่าง นันณภัสมีสีหน้าหม่นและเศร้า
เรียวเข้าใจความรู้สึกเธอจึงพูดปลอบใจ
“คุณพัดไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้”
“ฝืนต่อไปมันก็ไม่มีประโยชน์หรอกเรียว ไทเขาไม่ได้รักฉันเลย ที่เขาอยู่กับฉันทำดีกับฉันก็เพราะว่าเขาต้องการชดใช้ ในสิ่งที่เขาทำลงไป และฉันรู้ดีว่าฉันไม่ต้องการแบบนั้น ฉันอยากได้หัวใจมากกว่าตัวเขา”
เรียวเข้าใจแล้วตัดสินใจพูด
“ก็จริงครับ คุณพัดควรอยู่กับคนที่เขารักคุณมากกว่าที่จะไปอยู่กับคนที่คุณรักเขา”
นันณภัสเข้าใจความหมายของเรียว
“ฉันรู้นะเรียว รู้มาตลอดว่านายคิดยังไงกับฉัน แต่ความรู้สึกมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ฉันเห็นนายเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ที่ดีคนหนึ่งรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยทุกครั้งที่มีนายอยู่ใกล้ๆ” เรียวใจหายแต่ก็พอใจที่ได้พูดความในใจออกไป “นายคงไม่โกรธฉันนะ”
“ไม่หรอกครับ อย่างน้อยผมก็ได้พูดในสิ่งที่ผมอยากพูดออกมาแล้ว”
นันณภัสหันมายิ้มให้เรียวอย่างเข้าใจ เรียวยกนาฬิกาดูแล้วเตือนนันณภัส
“มาเถอะครับ เช้านี้มีประชุมไม่ใช่หรือ”
นันณภัสยิ้มรับ แล้วเดินไปกับเรียว
1 ปีผ่านไป ไทกลับมาทำงานที่สวนสัตว์เหมือนเดิม
“นี่คงเป็นครั้งแรกของผมที่ เดินทางกลับมาที่เก่า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ตลอดหนึ่งปีที่ไปผ่านมาผมมีความหวังบางอย่างที่ต้องรอ และมันอาจเป็นการรอไปตลอดชีวิต”
พี่ธงเดินเข้ามาหาไทอย่างอารมณ์ดี
“เป็นไงไท เหนื่อยไหม”
“นิดหน่อยพี่ ไหนบอกว่าจะมีเด็กฝึกงานมาไง”
พี่ธงยิ้มแย้ม
“เดี๋ยวก็มา รับรองว่าช่วยผ่อนแรงไทไปได้เยอะเลยล่ะ เพราะเด็กกลุ่มนี้มาจากวิทยาลัยเกษตร”
เด็กกลุ่มหนึ่งประมาณ 5 คน เดินเข้ามาหาพี่ธงกับไท
“สวัสดีครับ”
ไทมองอย่างไม่เชื่อสายตา
“โอ้โห พี่ธงประชดหรือเปล่าเนี่ย มาเป็นฝูงเลย”
“เอาน่า รับๆ ไปเถอะ ไป พาเด็กไปเริ่มงานกันได้แล้ว”
ไทพยักหน้ารับด้วยความพอใจ และหนักใจพร้อมๆ กัน
ไทเดินนำเด็กฝึกงานมาที่เพนียดช้างแล้วแจกงาน
“นี่คือเพนียดช้าง เราจะให้อาหารเขาวันละสามมื้อ เก็บกวาดเช้าเย็น และให้น้ำตอนกลางวัน ตอนนี่เราจะให้อาหารกับเก็บกวาดกันก่อน เอ้าทุกคนแยกย้ายกันทำงานได้”
เด็กฝึกงานแยกย้ายกันทำงาน ไทเดินดูอย่างพอใจเห็นว่าเด็กๆ ช่วยกันทำงานอย่างแข็งขัน แต่เมื่อมองผ่านไปเห็นด้านหลังเด็กฝึกงานผู้หญิงคนหนึ่งยืนเฉยๆ ไทจึงปราม
“นี่เธอ เธอน่ะ ช่วยเพื่อนทำงานสิ”
ไทเดินไปหาเด็กฝึกงานคนนั้น เด็กฝึกงานคนนั้นหันหน้าหาไทช้าๆ จึงเห็นว่าเป็นปลายฟ้า
“มีอะไรหรือหัวหน้า”
ไทถึงกับตะลึง ในใจอยากจะเข้าไปกอดเธอ
“ปลายฟ้า”
ปลายฟ้ายิ้มน่ารัก
“หวัดดี”
ปลายฟ้ากับไทเดินคุยกันมาที่สวนนก
“ทำไมหัวหน้าถึงกลับมาที่นี่ล่ะ”
“ไม่รู้สิ ฉันคงไม่อยากเดินทางแล้วมั้ง แล้วเธอล่ะ”
“ฉันตั้งใจมาหาหัวหน้า ฉันเรียนจบ ได้สิ่งที่ฉันใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตแล้ว ฉันก็เลยมาตามหาสิ่งที่ฉันเฝ้ารอมาตลอดชีวิตเหมือนกัน”
ปลายฟ้ามองตาไทอย่างซึ้ง ไทกุมมือปลายฟ้าอย่างทะนุถนอม
“ฉันถึงรอเธออยู่ที่นี่ไง เพราะฉันคิดว่าวันหนึ่งเธอต้องกลับมา”
ปลายฟ้ายิ้มแล้วซบลงที่ไหล่ของไท
“หัวหน้าอ่ะ”
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกเรียกฉันว่าหัวหน้าเสียทีนะ”
“ไม่ได้หรอก เป็นหัวหน้าแล้ว...”
ไทแทรกขึ้นทันที
“ต้องเป็นหัวหน้าตลอดไป เธอเคยพูดแล้ว นอกจาก...”
“นอกจาก เราจะเป็นแฟนกัน”
ปลายฟ้าเขินแล้วยิ้ม
“อุตส่าห์รอขนาดนี้ยังไม่ใช่แฟนอีกเหรอ”
“ใช่ก็ได้”
ไทกับปลายฟ้าโอบกอดกันอย่างมีความสุข และเดินเคียงคู่กันไปด้วยสีหน้าที่ดูอิ่มเอิบเต็มที่
จ บ บ ริ บู ร ณ์