รากบุญ ตอนที่ 12
พิสัยแหกปากสุดเสียงแต่เสียงก็ไม่ออก เขากลัวสุดชีวิตจนหน้าซีดตัวสั่น “ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
พิสัยพยายามจะดิ้นแต่แขนขาของเขาก็เหมือนถูกตรึงไว้จนขยับไม่ได้
ทันใดนั้นประตูห้องก็ค่อยๆ เปิดออก
พิสัยมีสีหน้าที่มีความหวังขึ้นมา เขาพยายามแหกปากร้องแต่เสียงไม่ออก “ช่วยด้วย”
ทันทีประตูห้องเปิดกว้างเขาก็เห็นวิญญาณชูจิตยืนอยู่หน้าประตูห้องในสภาพหน้าซีดขาว น้ำตาไหล พิสัยช็อคยิ่งกว่าเดิม เขาดีดตัวหนีจนหลุดจึงเด้งตัวไปชิดหัวเตียงด้วยอาการหวาดกลัวที่สุด
ชูจิตพูดนิ่งๆ ทั้งน้ำตา “พิสัย เธอฆ่าพี่ได้ลงคอ เธอทำกับพี่ได้ยังไง”
พิสัยฉวยปืน “ไป อย่ามายุ่งกับกู ไปให้พ้น”
พิสัยหลับหูหลับตายิงปืนไปทั่วห้องคล้ายคนสติแตกด้วยความหวาดกลัว
เจติยาและนิษฐาที่ถูกมัดมือมัดเท้านั่งหลับพิงผนังห้องอยู่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงดังโวยวายของพิสัย
จากห้องนอนที่อยู่ข้างๆ นิษฐาและเจติยาสบตากันด้วยความสงสัย ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงพิสัยโวยวายดังขึ้นมาอีก
“อย่าเข้ามา ไปๆ อย่าเข้ามา ฉันกลัวแล้ว”
นิษฐามีแววตางงๆ ขณะที่เจติยากลับยิ้มดีใจเพราะรู้ทันทีว่าใครมาช่วยเธอ
พิสัยหนีลงบันไดมาที่โถงพร้อมกับหอบกระเป๋าที่ปริมเอามาให้และปืนติดตัวตลอดเวลา พิสัยกวาดตามองไปทั่วโถงด้วยความหวาดกลัว แล้วก็เหมือนเห็นอะไรอีกเขาจึงแหกปากร้องลั่นด้วยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนจะหกล้มล้มลุกคลุกคลานแต่ก็รีบพาตัวเองไปเปิดประตูโถงอย่างร้อนรนแล้ววิ่งเตลิดหนีออกไปจากบ้านทันที
เจติยาและนิษฐาพยายามใช้หัวไหล่ช่วยขยับผ้าปิดปากของอีกฝ่ายจนผ้าที่ผูกปากหลวมและหลุดออกจนได้
“นายพิสัยเป็นอะไร ร้องเหมือนเจอผี” นิษฐาสงสัย
เจติยายิ้มพอใจ “สมน้ำหน้า” เจติยาเหลือบตามองไปด้านหลังของนิษฐาแล้วก็ยิ้มดีใจ “คุณท่าน”
นิษฐาตาเบิกโพลง เธอหันขวับไปมองด้านหลังแต่ก็ไม่เห็นใคร
“คุณท่านอะไรของแก” นิษฐาชักใจไม่ดี
เสียงชูจิตดังขึ้น “ปลอดภัยแล้วหนูเจ พิสัยหนีเตลิดไปแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วนะ”
เจติยาเงยมองใครสักคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนิษฐา
“ขอบคุณมากค่ะคุณท่าน” เจติยาพูด
นิษฐาขนลุกซู่ด้วยความกลัว “แม่คุณลาภิณเหรอ”
“ใช่ คุณท่านมาช่วยพวกเรา” เจติยาตอบ
นิษฐากลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ “อยู่ไหน”
“ข้างหลังเธอ”
นิษฐาหลับตาปี๋แล้วพนมมือไหว้ “ไปรึยัง บอกท่านนะว่าไม่ต้องมาให้ฉันเห็นนะ ฉันไม่ชอบ ฉันจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้”
เจติยายิ้มบางๆ “ท่านไปแล้วล่ะ”
นิษฐาค่อยโล่งอก เธอลืมตาขึ้นทันทีที่ลืมตานิษฐากลับเห็นเงาของชูจิตสะท้อนอยู่ที่กระจกหน้าต่างห้อง นิษฐากรีดร้องลั่นพร้อมกับดีดตัวไปหาเจติยาพร้อมกับซุกหน้ากับตัวเจติยา
“อะไรของแก” เจติยาถาม
“ฉันเห็นคุณท่านแล้ว อยู่ที่หน้าต่าง”
“ท่านมาดี มาช่วยเรา ไม่ต้องกลัวหรอกน่ะ รีบมาช่วยกันแก้เชือกก่อนเถอะ เดี๋ยวมันจะย้อนกลับมาอีก”นิษฐายังกลัวจึงก้มหน้าซุกเจติยาไม่ยอมขยับ เจติยาได้แต่ถอนหายใจเพราะเซ็งเพื่อน
ลาภิณ นวัชและตำรวจ 2 นายเดินมาที่รถนิษฐาที่จอดหลบมุมอยู่ท้ายซอย โดยมีเศษใบไม้กิ่งไม้ปกคลุมอยู่บนหลังคารถ นวัชส่องไฟฉายเข้าไปดูในรถ ลาภิณมองด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ไม่มีใคร” นวัชบอก
ลาภิณมีท่าทางโล่งใจ
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนแหกปากร้องโวยวายด้วยความหวาดกลัวดังมา
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
ลาภิณจำได้ “เสียงน้าพิสัย”
นวัชและตำรวจทุกนายกระชับอาวุธปืนวิ่งไปยังซอยที่ได้ยินเสียงทันที ทันใดนั้น พิสัยก็วิ่งหนีตายกระหืดกระหอบมาอย่างคนที่กลัวจนสติแตก
พิสัยทำท่าเตะต่อยอาละวาดมั่วไปหมด “ไป อย่าตามมา ฉันกลัวแล้ว ไปให้พ้น”
ลาภิณตกใจเพราะนึกไม่ถึง “น้าพิสัย”
นวัชและตำรวจรีบเข้าไปจับตัวพิสัยทันที พิสัยอาละวาดไม่ยอมให้จับแต่ก็สู้แรงไม่ได้
พิสัยเห็นลาภิณ “ต้น ช่วยอาด้วย น้ากลัวแล้ว” พิสัยยกมือไหว้จนท่วมหัว
ลาภิณเข้าไปกระชากคอเสื้อพิสัยแล้วคาดคั้นเสียงแข็ง “เจอยู่ไหน” ลาภิณจ้องพิสัยเขม็ง
นิษฐาพยายามยกแขนให้เจติยาใช้ปากกัดเชือกที่ผูกมือไว้ให้ขาด ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกกระแทกเปิดโครมเข้ามา สองสาวตกใจมาก ลาภิณและนวัชรีบวิ่งเข้ามาในห้องด้วยความเป็นห่วง พอเห็นเจติยาปลอดภัยลาภิณก็ดีใจมากจนลืมตัวจึงตรงเข้าไปกอดเจติยาเอาไว้ นวัชอดที่จะอึ้งไปไม่ได้ นิษฐาเหล่มองเพื่อนแล้วก็อยากได้กอดบ้างจึงทำร้องไห้ฟูมฟายเรียกหานวัช
“พี่หมวด”
นวัชรีบตรงเข้าไปหา นิษฐาสำออยร้องไห้ฟูมฟายเบียดนวัชจนนวัชต้องสวมกอดเธอ
นวัชกอดปลอบ “ไม่ต้องร้องนะ ปลอดภัยแล้ว”
นิษฐาแอบยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับเหลือบตามองไปที่เจติยา
เจติยาเขิน “หายใจไม่ออก”
ลาภิณยอมขยับตัวออกเพราะเขินเหมือนกัน
“จะไม่ช่วยแก้มัดรึไง” เจติยาถาม
ลาภิณยิ้มกริ่มก่อนจะช่วยแก้มัดให้เจติยาที่ยิ้มเขิน ส่วนนิษฐายังฟอร์มร้องไห้ฟูมฟายให้นวัชกอดปลอบใจอยู่
พิสัยมีอาการหวาดกลัวแบบคนประสาทหลอน เขาซุกตัวอยู่ที่มุมห้องขังพร้อมกับกรอกตามองไปทั่ว พิสัยมองไปตามมุมมืดๆ ของห้องขังทีละมุมแต่ก็ไม่มีใคร พิสัยโล่งใจ ทันใดนั้นศพย้งก็ตกโครมลงมาตรงหน้า พิสัยแหกปากร้องลั่นพร้อมกับกระโจนหนีไปเหยียบศพปองที่นอนตายอยู่อีกมุม ศพปองลืมตาโพลงแล้วจับขาพิสัยเอาไว้
พิสัยร้องไห้อย่างสติแตก “ปล่อยกู” พิสัยแหกปากลั่น “คุณตำรวจ ช่วยผมด้วย เอาผมออกไปที ผีเต็มห้องขังไปหมดเลย”
ตำรวจเวร 2 นายยืนมองมาที่พิสัยก็เห็นว่าพิสัยอยู่คนเดียวในห้องขังและกำลังแหกปากร้องโวยวาย ทำท่าเหมือนถูกจับขาเอาไว้ ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร
“ผมกลัว ช่วยผมด้วย ผีจับขาผมเอาไว้คุณตำรวจ”
“ท่าจะประสาทหลอน” ตำรวจนายหนึ่งพูด
“หรือไม่ก็แกล้งบ้า” ตำรวจอีกนายส่ายหน้า
แล้วตำรวจสองนายก็พากันเดินออกไป
“คุณตำรวจอย่าทิ้งผมไป ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ผมกลัว”
พิสัยกระโจนไปเขย่ากรงห้องขังด้วยความหวาดระแวง ก่อนจะวิ่งหนีไปทั่วห้องแล้วไปนั่งคุดอยู่มุมห้องขัง
ด้วยท่าห่อตัว กุมหัวตัวเองพร้อมหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว
ภาพนิ่งพิสัยกับลาภิณคนละครึ่งจอปรากฏที่หน้าจอโทรทัศน์ พร้อมกับเสียงผู้ประกาศข่าวกำลังเล่าข่าว
“สรุปว่าฆาตกรที่ทำการสังหารโหดนางชูจิต บูรณิน เจ้าของธุรกิจจัดงานศพครบวงจรอันดับหนึ่งของประเทศไทย ที่แท้ก็คือน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง เราไปฟังภาพการแถลงข่าวกันเลยนะคะ”
เจติยาที่แต่งตัวจะไปทำงานและนทีที่แต่งชุดนักเรียนกำลังดูข่าวจากทีวี
เจติยากดรีโมทปิดโทรทัศน์ “จบซะที”
นทีพูดนิ่งๆ “ไม่ต้องกลัวผมหรอกนะพี่เจ ผมฆ่าพี่ไม่ลงหรอก”
เจติยาเหล่มองน้องชาย “ที่พูดเนี่ยจะให้ซึ้ง หรือให้สบายใจ หรืออารมณ์ไหน ฉันเดาไม่ถูก”
มยุรียิ้มๆ “แม่ไม่มีมรดกเหลือให้เราสองคน ขนาดต้องมาแย่งชิง จนฆ่ากันตายหรอกจ้ะ”
“จะฆ่ากันเพราะเกี่ยงใช้หนี้แทนแม่มากกว่า” นทีแซว
มยุรีดุแบบยิ้มๆ “เดี๋ยวเถอะเจ้านที ถึงแม่จะไม่รวยก็ไม่สร้างหนี้สินทิ้งไว้ให้พวกเราหรอกย่ะ ไปเรียนได้แล้ว พูดมาก”
เจติยายิ้มๆ แล้วยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะแม่”
นทียกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
เจติยาและนทีเดินออกไปจากบ้าน เจติยากอดคอนทีแล้วพากันเดินออกไป มยุรีมองตามลูกทั้งสองคนที่ปรับความเข้าใจกันได้แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ
ปริมเทยาจำนวนหนึ่งออกจากขวดใส่มือที่สั่นเทาจนเต็มฝ่ามือ ปริมมองยาด้วยท่าทางลังเลและสับสนในความคิด ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของปริมก็ดังขึ้น ปริมสะดุ้งตกใจก่อนจะจำเสียงเรียกเข้าที่ตั้งพิเศษเอาไว้ได้
ปริมดีใจมาก “พ่อ”
ปริมมือไม้สั่นพร้อมกับกรอกยาลงขวดแล้วรีบไปหยิบโทรศัพท์มากดรับ
ปริมคุยโทรศัพท์มือถือแล้วร้องไห้ “คุณพ่อ ช่วยปริมด้วยนะคะ ปริมถูกใส่ร้าย ปริมไม่รู้เรื่อง ไอ้พิสัยมันหลอกใช้ปริม คุณพ่อต้องช่วยปริมนะคะ ปริมไม่ยอมติดคุกเด็ดขาด ถ้าปริมติดคุก ปริมจะฆ่าตัวตาย ได้ยินมั้ยคะคุณพ่อ” ปริมฟังพ่อแล้วร้องไห้ฟูมฟาย
ปริมเหวี่ยงโทรศัพท์ไปบนเตียง เธอหันไปหยิบขวดยามาเทเพื่อจะกินแต่มือก็สั่นไม่ยอมหยุดเพราะจะกินก็ยังไม่กล้า ปริมทนไม่ไหวจึงกรีดร้องลั่นห้องเพื่อระบายความเครียดแล้วปาขวดยาทิ้งก่อนจะฟุบหน้าร้องไห้ฟูมฟายเพราะกลัวความผิดจะมาถึงตัวและกลัวความลับแตก
เจติยาเดินสะพายเป้เข้าบริษัทมาอย่างอารมณ์ดี เธอยิ้มแย้มทักทายคนโน้นคนนี้มาตลอด ทันใดนั้นเจติยาก็เห็นปองและย้งยืนหน้าขาวซีดรออยู่หลังต้นไม้ตกแต่งสำนักงาน เจติยาผงะไปด้วยความตกใจ เธอเหล่มองพนักงานแล้วทำเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทำหยุดเดินเช็คข้อความแต่แอบพูดกับปองและย้งไม่ให้ผิดสังเกต
เจติยาทำเป็นก้มหน้าเช็คโทรศัพท์แต่แอบพูดคุยกับปองและย้งเบาๆ “มาดักรอฉันทำไม ไปคุยที่ห้องแต่งศพดีมั้ย”
“ไม่จำเป็น เรากำลังจะไปแล้ว” ปองบอก
“เธอทำให้ทุกคนรู้ความชั่วของไอ้พิสัยแล้ว พวกเราก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจอีก” ย้งพูด
ทันใดนั้นลาภิณก็เดินผ่านมา ลาภิณเห็นเจติยายืนพูดอยู่คนเดียวก็หยุดมองด้วยความแปลกใจ
เจติยายิ้มรับ “ถ้างั้นก็ขอให้โชคดี ชาติหน้าถ้าได้เกิดใหม่ ก็อย่าทำตัวแบบนี้อีกแล้วกัน”
ปองรำคาญ “ไม่ต้องมาสอนพวกฉันหรอก เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”
วิญญาณปองและย้งจ้องเจติยาเขม็งก่อนจะเลือนหายไป
เจติยาเหยียดปากด้วยความหมั่นไส้ใส่
ลาภิณเดินเข้ามาหาเจติยา “คุยกับใครอยู่เหรอเจ”
เจติยาสะดุ้งเฮือก
“โทษที ตกใจเหรอ” ลาภิณถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ ปองกับย้งกำลังจะไปใช้กรรมของเค้า ก็เลยมาลาน่ะค่ะ”
ลาภิณร้อนใจ “แล้วคุณแม่ไปรึยัง”
เจติยาหันมองไปทางด้านหลังของลาภิณ
ลาภิณหันขวับไปตามสายตาเจติยาแต่ก็ไม่เห็นใคร
“ยังค่ะ”
ลาภิณหันมามองหน้าเจติยา
“ฉันขอคุยกับคุณแม่ได้มั้ย” ลาภิณถาม
เจติยาหน้านิ่งไปคล้ายกำลังรับฟังอะไรบางอย่างแล้วจึงตอบลาภิณ “ไปที่ห้องทำงานคุณดีกว่าค่ะ”
ลาภิณยิ้มดีใจออกมา
ลาภิณหันไปมองรอบๆ ตัวภายในห้องทำงานของเขา โดยมีเจติยาอยู่ใกล้ๆ
“คุณแม่อยู่ตรงไหน” ลาภิณถาม
เจติยายิ้มบางๆ “ท่านอยู่ข้างหลังคุณค่ะ”
วิญญาณชูจิตยืนอยู่ข้างหลังลาภิณ ลาภิณหันขวับไปมองก็เห็นแต่ความว่างเปล่า
“คุณอยากพูดอะไรก็พูดได้เลยค่ะ คุณท่านรับรู้ทุกอย่าง เพียงแต่คุณไม่เห็นแล้วก็ไม่ได้ยินท่านเท่านั้นเอง”
ลาภิณค่อยๆ คุกเข่าลงต่อหน้าวิญญาณชูจิต แล้วลาภิณก็ก้มลงกราบเท้าชูจิต ชูจิตก้มมองลูกชายแล้วก็น้ำตาคลอ
ลาภิณเงยหน้าขึ้นมาพนมมือไหว้ชูจิตด้วยใบหน้าเศร้าๆ “ผมขอโทษที่เคยพูดจาล่วงเกินคุณแม่ไป ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ”
ชูจิตยิ้มบางๆ “แม่ไม่เคยโกรธต้นหรอกลูก ต้นเป็นลูกที่ดีของแม่เสมอ”
เจติยาบอกต่อให้ลาภิณฟัง
“คุณท่านไม่เคยโกรธคุณ ท่านบอกว่าคุณเป็นลูกที่ดีของท่านเสมอ”
ลาภิณยิ้มออกมาด้วยความสบายใจ
ชูจิตมองลาภิณด้วยสีหน้าเสียใจ “แม่ต่างหากที่ทำอะไรไม่คิด จนต้นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“ท่านต่างหากที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน” เจติยาพูดให้ลาภิณฟัง
“ไม่จริงเลยครับ ผมมันเหมือนเด็กไม่รู้จักโต เอาแต่โกรธแม่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง โกรธทั้งๆ ที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าคุณแม่รักผมมากที่สุด” ลาภิณน้ำตารื้นขึ้นมา “กว่าจะสำนึกได้ มันก็สายเกินไปแล้ว”
ชูจิตยิ้มบางๆ แล้วพูดทั้งน้ำตาคลอ “ไม่มีคำว่าสายหรอกต้น แม่ให้อภัยต้นเสมอ แล้วแม่ก็ไม่ได้ไปไหน วิญญาณแม่จะอยู่ดูแลต้นตลอดไป”
เจติยาเงียบที่ได้ยินแบบนั้น เธอมีสีหน้าไม่สบายใจเพราะไม่เห็นด้วย
“คุณแม่ว่าอะไรเหรอเจ”
เจติยาเลือกพูดแค่บางส่วน “คุณท่านบอกว่าไม่มีคำว่าสาย ท่านให้อภัยคุณเสมอ”
ชูจิตมองมาที่เจติยาทำนองว่าทำไม่พูดให้หมด
“คุณท่านไม่ควรทำแบบนั้น” เจติยาเอ่ยขึ้น
ลาภิณลุกขึ้นยืนซักเจติยาทันที “คุณแม่พูดอะไรอีกเจ”
เจติยาเลือกที่จะพูดอย่างอื่น “คุณท่านบอกว่ารักคุณมากที่สุดค่ะ”
ลาภิณหันมองไปทางชูจิตแล้วก็น้ำตาคลอ “ผมก็รักแม่มากที่สุดครับ”
ชูจิตมองลาภิณแล้วก็น้ำตาท่วมตา ลาภิณยืนนิ่ง เหมือนมีลมอ่อนๆ พัดใส่ตัว เขารู้สึกอบอุ่นประหลาดจนน้ำตาเอ่อท่วมขึ้นมา
ลาภิณงง “เกิดอะไรขึ้นเหรอเจ”
เจติยาน้ำตาคลอ “คุณท่านกอดคุณอยู่ค่ะ”
ลาภิณน้ำตาไหลซึมออกมา เจติยาเห็นวิญญาณชูจิตกำลังสวมกอดลาภิณที่ยืนนิ่ง ชูจิตร้องไห้ ก่อนที่เธอจะถอยออกห่างลาภิณแล้วมองหน้าเจติยา
“คงได้เวลาที่ฉันต้องไปแล้วใช่มั้ย” ชูจิตถาม
เจติยาพยักหน้ารับ
ชูจิตหันไปพูดกับเจติยาแบบน้ำตาท่วม “ขอบใจเธอมากนะเจ ฉันเป็นหนี้บุญคุณเธอจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว”
เจติยาน้ำตาคลอ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณท่าน อย่าคิดว่าเป็นหนี้บุญคุณให้ต้องติดค้างกันอีกเลยนะคะ”
ลาภิณมองเจติยางงๆ ว่าพูดเรื่องอะไรกัน ทันใดนั้นก็เกิดลำแสงสว่างจ้าส่องลงมาที่ชูจิต ชูจิตเงยหน้ามองไปตามลำแสง
“ลาก่อนหนูเจ”
เจติยาบอกลาภิณ “คุณท่านกำลังจะไปแล้วค่ะ”
ลาภิณน้ำตารื้น “ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้วนะครับแม่ ผมจะดูแลบริษัทของเราอย่างดีที่สุด ผมจะไม่ทำตัวให้วิญญาณพ่อกับแม่ต้องผิดหวังอีกแล้ว”
ชูจิตยิ้มดีใจจนน้ำตาคลอ แทนที่วิญญาณชูจิตจะจางหายไป แต่ลำแสงสว่างจ้ากลับดับวูบหายไปส่วนวิญญาณชูจิตยังคงอยู่
ทั้งชูจิตและเจติยาต่างก็งง
เจติยาตกใจมาก “คุณท่าน”
ลาภิณประหลาดใจ “มีอะไรเหรอเจ”
เจติยาทำหน้าตางุนงง
เจติยาและทวีกำลังคุยกันที่สวนหย่อมของบริษัท
ทวีแปลกใจมาก “ทำไมวิญญาณคุณชูจิตถึงยังอยู่ล่ะ”
“เจก็งงค่ะลุง ที่ผ่านมาไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย พอเจทำตามคำขอสำเร็จ วิญญาณก็จะไป”
“หรือว่างานที่คุณท่านขอให้เจช่วยยังไม่สำเร็จ”
เจติยาคิดตาม “คุณท่านขอให้เจช่วยคุณลาภิณ ตอนนี้คุณพิสัยก็ถูกจับแล้ว ก็น่าจะหมดห่วงได้แล้วนี่คะ”
ทวีคิดทบทวน “เป็นไปได้มั้ยว่าคุณต้นยังไม่ปลอดภัย คุณท่านเลยมีห่วง ไม่ยอมไปไหน ทั้งที่เจก็ทำตามคำขอไปแล้ว”
เจติยาหันไปมองหน้าทวีด้วยความติดใจสงสัย
เจติยาพูดหน้าเครียด “แต่มันก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วนี่คะลุง หรือว่ายังมีศัตรูคนอื่นอีก” เจติยาฉุกคิด “ใช่นายปราณรึเปล่าคะ”
“ไม่น่าใช่ ปราณต้องการแค่กล่องรากบุญเท่านั้น ถ้าคุณต้นไม่ไปขวาง ทางเค้า เค้าก็ไม่ทำอะไรหรอก”
เจติยาแปลกใจ “ทำไมลุงถึงได้แน่ใจนักล่ะค่ะ เรายังไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นดีพอ”
ทวีหน้าเครียดขึ้นมา “ลุงว่าลุงเคยเจอนายปราณคนนี้มาแล้วนะ”
เจติยานึกไม่ถึง “จริงเหรอคะ ลุงเจอเค้าที่ไหนคะ”
“นานมากแล้ว ลุงพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวอยู่ แต่มันเหมือนความจำเรื่องนายคนนี้จะขาดๆ หายๆ”
เจติยาสนใจมาก “จะใช่คนเดียวกันเหรอคะ”
“ลุงก็ไม่แน่ใจนักหรอก แต่จากลักษณะที่เจเล่าให้ลุงฟัง เหมือนกันมาก” ทวีมีสีหน้าเครียดขึ้นมา “แต่ถ้าเป็นคนเดียวกัน ก็เป็นไปได้ว่าปราณอาจจะไม่ใช่คน”
เจติยาตกใจมาก “ไม่ใช่คน แล้วเค้าจะเป็นอะไรล่ะคะ เค้าไม่เหมือนกับพวกวิญญาณที่เจเคยเจอนะคะลุง”
“นี่แหละที่ลุงก็ยังไม่เข้าใจ บางที...”
ทันใดนั้นโอ้เอ้ก็วิ่งเข้ามาหาขัดจังหวะการสนทนา
“ลุง” โอ้เอ้เรียก
ทั้งสองคนหันไปมอง
“หายมาอยู่นี่เอง มีศพเข้ามาครับลุง”
“เดี๋ยวค่อยคุยกันต่อ” ทวีรีบเดินตามโอ้เอ้ไป
เจติยาถอนใจออกมาด้วยสีหน้าเครียดๆ ก่อนจะเดินตามทวีไป ทันทีที่เจติยาเดินไป ปราณก็มายืนมองตามทวีไปด้วยสีหน้าขึงขังไม่พอใจ
เจติยาสะพายเป้กลับเข้ามาในห้องนอนโดยที่มีสีหน้าใช้ความคิดตลอดเวลา พอเข้ามา เธอก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นกล่องรากบุญวางอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิม
เจติยาถอนใจ “ตื้อจริงๆ กลับมาจนได้” เจติยาเดินมาเท้าสะเอวมองกล่องรากบุญ “ตกลงชีวิตนี้เราจะไม่มีทางพรากจากกันจริงๆ ใช่มั้ย”
พูดจบกล่องรากบุญก็เปล่งแสงออกมา เจติยาตกใจจึงถอยห่างออกไปเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ปรากฏ “เหรียญดาวทุกข์” ขึ้น 2 เหรียญพร้อมๆ กัน
“ได้สองเหรียญจริงๆ ด้วย”
เจติยาหยิบเหรียญทั้งสองอันขึ้นมาดูก่อนจะวางซ้อนทับกัน ทันทีที่เหรียญทั้งสองถูกวางประกบกันก็เกิดเงาน้ำรูปหน้าของปราณลอยออกมาจากเหรียญ เจติยาตกใจจึงโยนเหรียญทิ้งทำให้เหรียญลอยไปติดข้างกล่องตามตำแหน่งของมัน
เจติยายังคงมีสีหน้าตกใจไม่หาย เธอพยายามตั้งสติและมีความหวังว่าถ้าตีปริศนาเรื่องปราณให้แตก อาจจะช่วยหยุดการทำงานของกล่องรากบุญได้
ทวีและ โอ้เอ้กำลังช่วยกันทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการแต่งศพ
ทวีทำงานไปพูดไปแบบยิ้มๆ “ทำไมวันนี้ขยันนักล่ะเจ้าโอ้เอ้ ทุกทีเห็นมาสายกลับก่อน วันนี้ออกเวรเป็นชั่วโมงแล้วยังอยู่ช่วยงานลุงอีก”
โอ้เอ้พูดหน้านิ่งๆ เสียงขรึม “ผมมีงานค้างต้องทำอีกเยอะ”
“งานอะไรของแกวะไอ้โอ้เอ้”
โอ้เอ้ยิ้มมุมปาก “จัดการพวกปากมาก”
ทวีงง “แกไปมีเรื่องกับใครมาอีกล่ะ”
โอ้เอ้ยิ้มแปลกๆ “ลุงว่าคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น พยายามบอกความลับของคนอื่น สมควรโดนเล่นงานยังไง”
ทวีมองหน้าโอ้เอ้อย่างงงๆ
ทันใดนั้น โอ้เอ้ก็กลายร่างเป็นปราณ
ทวีตกใจและกลัวสุดๆ “แก”
ปราณยิ้มอำมหิตพร้อมกับพุ่งเข้าใส่ทวีเหมือนตะครุบเหยื่อ
ทวีวิ่งหนีออกมาแบบไม่คิดชีวิตจนมาเจอกับเจติยาที่เดินสะพายเป้สวนมาตามทางเดินในบริษัท
ทวีกลัวสุดๆ “หนูเจช่วยลุงด้วย”
เจติยาตกใจ “เกิดอะไรขึ้นคะลุง”
ทวีเหนื่อยหอบ “ปราณจะฆ่าลุง”
เจติยาตกใจมาก “มันอยู่ไหนคะ” เจติยาโมโห “เจจะจัดการกับมันเอง”
“ห้องแต่งศพ”
เจติยารีบเดินนำไปพอเลี้ยวมุมตึกก็เจอทวีอีก เจติยาตกใจมากที่เกิดภาพซ้ำแบบนี้
ทวีกลัวสุดๆ “หนูเจช่วยลุงด้วย”
เจติยางงมากจึงมองไปด้านหลังก็ไม่เห็นทวีอยู่ที่เดิมแล้ว พอเจติยาหันกลับมาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวและร้องลั่นเมื่อพบว่าทวีที่ยืนอยู่ตรงหน้าอยู่ในสภาพซีดเผือดเหมือนศพ คอหักพับลงมาก่อนจะล้มลงใส่เจติยา เจติยากรีดร้องสนั่น
เช้าวันใหม่ เจติยานั่งเล่าความฝันให้นิษฐาฟังในรถของนิษฐาที่มาจอดรับหน้าบ้าน
นิษฐาไม่สบายใจตาม “ฝันร้ายกลายเป็นดีนะแก”
“ฉันไม่สบายใจเลยฐา โทรหาลุงก็ไม่รับเลย” เจติยาบอก
“นอนอยู่มั้ง แกเข้าเวรดึกไม่ใช่เหรอ”
เจติยาพยักหน้ารับ
“ถ้าแกไม่สบายใจ ไม่ต้องไปเป็นเพื่อนฉันก็ได้นะ”
“งั้นแวะไปส่งฉันที่บริษัทก่อนได้มั้ย”
นิษฐายื่นมือไปตบตักเจติยาเบาๆ ก่อนจะออกรถ
รากบุญ ตอนที่ 12 (ต่อ)
เจติยาเดินเข้ามาในบริษัทด้วยความไม่สบายใจพอเข้ามาก็เห็นโอ้เอ้กำลังจับกลุ่มคุยกับพนักงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
โอ้เอ้หันไปเห็นเจติยา “พี่เจ” โอ้เอ้รีบเดินไปหาด้วยน้ำตารื้น “พี่รู้ข่าวลุงรึยัง”
เจติยาใจหายวูบแล้วถามเสียงสั่นด้วยความกลัว “เกิดอะไรขึ้นกับลุงเหรอโอ้เอ้” เจติยามีสีหน้ากลัวคำตอบ
“ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันพี่ ผมมาถึงก็เจอลุงแกนอนสลบอยู่ที่พื้นห้อง ผมก็เลยรีบโทรเรียกรถพยาบาล”
เจติยาร้อนใจจึงรีบซัก “แล้วตอนแกเข้ามาเจอ ลุงยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย”
โอ้เอ้น้ำตาท่วมขึ้นมา “ผมไม่แน่ใจนะพี่ เค้าปั๊มหัวใจลุงแล้วพาขึ้นรถพยาบาลไปเลย” โอ้เอ้ยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตาก่อนที่มันจะไหลออกมา
ลาภิณเดินหน้าเครียดเข้าล็อบบี้มา เจติยา โอ้เอ้ และพนักงาน รีบกรูไปหาลาภิณเพื่อฟังความคืบหน้าอาการของทวีด้วยความเป็นห่วง
เจติยาซักทันที “ลุงทวีเป็นไงบ้างคะ”
ลาภิณหน้าเครียด “ลุงหัวใจวายกระทันหัน แต่หมอปั๊มหัวใจขึ้นมาได้” ลาภิณเงียบไปอึดใจ
ทุกคนโล่งอกพอจะยิ้มออก
“ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะต้องแต่งหน้าให้ลุงวีซะแล้ว” โอ้เอ้ยิ้มออก
“ปากเหรอแก” เจติยาฟาดโอ้เอ้ฉาดใหญ่
ลาภิณหน้าขรึม “แต่ช่วงที่หัวใจหยุดเต้นไป สมองลุงทวีขาดอ็อกซิเจน ตอนนี้อาการยังโคม่าอยู่”
ทุกคนอึ้งกันไปด้วยความเศร้าทันทีที่ได้ยินข่าวร้าย เจติยาหน้าเครียดขึ้นมาทันทีเพราะรู้ดีว่าที่ทวีเจ็บครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ทวีนอนป่วยเป็นเจ้าชายนิทราอยู่บนเตียงโดยมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตเต็มไปหมด วิญญาณของทวีซ้อนขึ้นมาในร่างและพยายามจะออกจากร่างแต่ก็ไม่สำเร็จ
ทวีอ้อนวอน “ปล่อยฉันออกไป ปล่อยฉันออกไป”
ทันใดนั้นปราณก็ก้มหน้าลงมามองทวีด้วยสีหน้าสาแก่ใจ
ปราณยิ้มหยัน “จะให้ฉันปล่อยแก เพื่อให้วิญญาณแกไปบอกความลับของฉันน่ะเหรอะ ฉันไม่โง่หรอก” ปราณขำเยือกเย็นก่อนจะยืดตัวขึ้น
ทวีขยับตัวไม่ได้จึงได้แต่กรอกตามองปราณ
ปราณจ้องทวีด้วยสายตาอำมหิต “วิญญาณแกจะถูกขังอยู่ในร่างนี้ตายก็ไม่ตาย เป็นก็ไม่เป็น รอดูความหายนะของเจติยาไปอย่างทุกข์ทรมาน” ปราณหัวเราะด้วยความสะใจ
วิญญาณทวีพยายามจะออกจากร่างจึงดิ้นรนสุดฤทธิ์แต่ก็ไม่เป็นผล วิญญาณที่ซ้อนขึ้นมาค่อยๆ กลับเข้าไปในร่างได้แต่ปล่อยให้ร่างนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่แบบนั้น
ลาภิณขับรถมาส่งเจติยาที่หน้าบ้าน เจติยามีท่าทีเซื่องซึมเพราะไม่สบายใจเรื่องทวี
ลาภิณสังเกตสีหน้าเจติยา “ยังไม่สบายใจเรื่องลุงทวีอยู่เหรอ”
เจติยาพยักหน้ารับอย่างเครียดๆ “ค่ะ ยิ่งไปเห็นสภาพลุงเป็นเจ้าชายนิทราแบบนั้นแล้ว เจก็ยิ่งรู้สึกผิด ถ้าเจไม่ดื้อคิดจะทำลายกล่องรากบุญ แต่ยอมส่งต่อให้คนอื่นแบบที่คุณพ่อคุณทำ ลุงก็คงไม่ต้องมารับเคราะห์แบบนี้”
“แต่ถ้ากล่องตกไปอยู่ในมือน้าพิสัย จะมีคนต้องเดือดร้อนมากกว่านี้อีกเยอะเลยนะ ฉันเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอนะเจ”
เจติยาชำเลืองมองหน้าลาภิณ
“อย่าโทษตัวเองอีกเลย ถ้าจะมีคนผิด ก็คือกล่องรากบุญนั่นแหละ ไม่ใช่เธอหรอก” ลาภิณมองหน้าเจติยา แล้วยิ้มให้กำลังใจ
เจติยาและลาภิณสบตากันด้วยความรู้สึกเข้าใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงตบกระจกหน้าต่างรถดังขึ้น เจติยาสะดุ้งโหยงพอหันไปมองพบว่าคนตบกระจกคือนทีที่กำลังยิ้มแป้นให้ เจติยาเปิดประตูกระแทกออกไป
“มีอะไร”
นทียิ้มทะเล้น “ขอโทษที่ขัดจังหวะ กำลังจะหอมแก้มกันรึเปล่า”
เจติยาเขิน “ทะลึ่งใหญ่แล้วนะนที”
ลาภิณอมยิ้ม
“ออกไปทานข้าวกันมั้ยครับคุณต้น ผมเพิ่งสอบเสร็จ อยากคลายเครียด” นทีชวน
ลาภิณรีบรับข้อเสนอทันที “ก็ดีเหมือนกันนะ เจก็กำลังเครียด ไปหาอะไรทานอร่อยๆ ผ่อนคลายมั่งก็ดีนะ”
“เจอยู่เป็นเพื่อนแม่ดีกว่าค่ะ”
“แม่ไม่อยู่บ้านหรอกพี่เจ วันนี้วันเกิดเจ้าของตลาด เค้ามีงานเลี้ยงกัน” นทีเบ้หน้า “ผมไม่อยากกินข้าวฝีมือพี่เจ”
“ฉันก็ไม่อยากทำให้แกกินหรอกย่ะ” เจติยาค้อนใส่น้องชาย
ลาภิณรีบตัดบท “ขึ้นรถสินที ชักช้าทำไมอยู่ล่ะ” ลาภิณขยิบตาให้
นทียิ้มกริ่มอย่างรู้ทัน “ผมล็อคบ้านก่อนครับ” นทีรีบวิ่งไปล็อคกุญแจรั้ว
เจติยาหันไปค้อนใส่ลาภิณ ลาภิณได้แต่อมยิ้มกรุ้มกริ่ม
ณ เอเชียทีคยามเย็น ลาภิณ เจติยา และนทีเดินดูร้านรวงต่างๆ ลาภิณใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปให้เจติยาและนทีตามมุมต่างๆ ลาภิณ เจติยา และนทีมานั่งรถรางเล่น ลาภิณแอบชำเลืองมองหน้าเจติยาเป็นระยะๆ นทีแอบมองแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน ทั้งสามคนนั่งกินอาหารในร้าน ลาภิณจับตามองเจติยาแล้วยิ้มเอ็นดู เจติยาหันไปมอง ลาภิณยิ้มค้างแล้วรีบหลบสายตาทำเป็นดื่มน้ำ เจติยาเขิน
ยามค่ำ เจติยาเดินตามหานที ลาภิณเดินตามมายิ้มๆ
“นทีโตแล้วไม่หลงทางหรอกน่ะ”
“ไวจริงๆเลย” เจติยามองหา
“เดี๋ยวเราจะกลับค่อยโทรตามก็ได้ ให้น้องเค้าได้เดินเล่นดูอะไรที่เค้าชอบมั่งเถอะ”
เจติยาแขวะ “เข้าอกเข้าใจกันซะจริงนะคะ”
ลาภิณยิ้ม “เราไปหาไอติมทานเล่นกันดีกว่า”
เจติยาค้อนใส่ลาภิณ ลาภิณเดินนำไป เจติยาเดินตามไปห่างๆ
นทีแอบมองอยู่ ก่อนจะยกแบงค์พันขึ้นมาจุ๊บ
“ขอบคุณครับคุณต้น” นทียิ้มแล้วเดินไปหาที่ช็อป
ลาภิณและเจติยายืนกินไอศกรีมช็อคโกแล็ตที่ริมแม่น้ำพร้อมคุยกันไป
“นทีเล่าว่าเธอไม่เคยมีแฟนจริงๆ เหรอ” ลาภิณถาม
เจติยาแทบสำลัก “ไอ้น้องปากมากไ
ลาภิณยิ้มๆ “อย่าไปว่าน้องเลย ถ้านทีไม่ช่างพูด ฉันก็อดรู้น่ะสิว่าเธอไม่ได้ชอบหมวดนวัช”
เจติยาอึ้งก่อนจะพูดแดกดันใส่ “ใครจะรูปหล่อเจ้าเสน่ห์มีแฟนได้เยอะแยะเหมือนกับคุณล่ะ” เจติยาเหยียดปากใส่
ลาภิณยิ้ม “เธอรู้มั้ยว่าฉันไม่เคยจีบใครเลยนะ”
เจติยาหมั่นไส้ “จะคุยว่าเสน่ห์แรงถูกผู้หญิงจีบก่อนว่างั้นเถอะ”
“เปล่า ฉันเขิน ไม่รู้จะพูดยังไง”
“อ้าว แล้วผู้หญิงเค้าจะรู้ได้ไงว่าคุณชอบเค้า”
ลาภิณแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันก็ซื้อไอติมช็อคโกแล็ตเลี้ยงเค้าน่ะสิ”
“ไม่เข้าท่า” เจติยาจะหันไปกินไอศกรีมต่อแล้วก็ชะงักมองไอศกรีมช็อคโกแล็ตตรงหน้า
ลาภิณอมยิ้มแล้วพูดต่อ “หลังจากนั้นฉันก็จะพามาคุยกันริมแม่น้ำ” ลาภิณกวาดตามองวิวแม่น้ำพร้อมพูดต่อ “ตอนค่ำๆ บรรยากาศดีๆ”
เจติยากรอกตาไปมองแม่น้ำตรงหน้า พอจะเข้าใจนัยที่ลาภิณต้องการสื่อถึงตน
ลาภิณยิ้ม “นี่ล่ะวิธีจีบสาวของฉัน”
เจติยานิ่งไปเพราะหน้าชาอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วรู้มั้ยว่าฉันจะทำอะไรต่อ”
เจติยาหันมองหน้าลาภิณ ลาภิณยื่นมือมาจับกุมมือเจติยาเอาไว้ เจติยาอึ้งเพราะตั้งตัวไม่ทัน
ลาภิณยิ้ม “รุ่งขึ้นก็เป็นแฟนกันเลย”
เจติยาเขินมากก่อนจะมีสีหน้ารั้นอยากเอาชนะ “แล้วถ้าผู้หญิงเค้าไม่ชอบคุณ ดึงมือออกล่ะ” เจติยาตั้งท่าจะดึงมือออก
“ฉันก็จะหอมแก้มแทน” ลาภิณจ้องหน้าเจติยาแล้วจะทำจริงๆ
เจติยาชะงักไปแล้วก็ไม่กล้าดึงมือออก “คงใช้ลูกเล่นนี้บ่อยล่ะสิ”
“เธอคนแรก สำเร็จซะด้วย” ลาภิณยิ้ม
เจติยาค้อนใส่ด้วยความหมั่นไส้
ลาภิณจ้องตาเจติยา “ฉันดีใจที่ได้บอกให้เธอรู้” สีหน้าลาภิณมีแววเศร้า “ฉันกลัวว่ามันจะสายเกินไปอีก”
เจติยาและลาภิณมองตากัน
เจติยาเขินแล้วดึงมือออก “เจ้าเล่ห์”
ลาภิณยื่นหน้ามาหอมแก้มเจติยาทันที เจติยาตกใจมาก
ลาภิณพูดหน้าขี้เล่น “ฉันเตือนเธอแล้ว ทางที่ดียอมให้ฉันจับมือเอาไว้จะดีกว่า” ลาภิณเลื่อนมือไปกุมมือเจติยาแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้อีก
เจติยาเขินจนหน้าร้อนผ่าวแต่ก็ไม่กล้าดึงมือออกแล้ว ลาภิณยิ้มอารมณ์ดีจับมือเจติยาไม่ยอมปล่อย เจติยาค้อนใส่แต่ก็แอบอมยิ้มดีใจ ทั้งคู่จับมือกันกินไอศครีมริมแม่น้ำพร้อมทั้งพูดคุยกันไป
พิสัยมีอาการหวาดผวาตลอดเวลาที่อยู่ในห้องขัง เขาซุกตัวอยู่ที่มุมห้อง ขอบตาดำเพราะไม่ได้นอน เขากรอกตามองไปรอบๆ แล้วก็แหกปากร้องด้วยความหวาดผวาขึ้นมาอีก ตำรวจนายหนึ่งเดินมาดูพิสัยด้วยความสมเพชเวทนา พิสัยเหลือบตามองเห็นตำรวจหน้าประตูห้องขังก็ร้องออกมา
“ไป อย่าเข้ามา ฉันกลัวแล้ว อย่าเข้ามา”
ตำรวจนายนั้นได้แต่ส่ายหน้าด้วยความสงสาร ทันใดนั้นก็มีลมวูบนึงปะทะหน้านายตำรวจคนนั้น เขาตาแข็งเหมือนถูกสะกดจิต ตำรวจนายนั้นเอากุญแจออกมาไขปลดล็อคห้องขังพิสัย ทันทีที่ประตูเปิดร่างนายตำรวจก็หมดสติไปหน้าห้องขัง
ปราณก้าวข้ามร่างนายตำรวจเข่าไปในห้องขังแล้วเดินตรงไปหาพิสัย “พิสัย”
พิสัยค่อยๆ เหลือบตามองพอเห็นหน้าปราณก็จะแหกปากร้องด้วยความหวาดกลัวแต่ปราณจิกนิ้วทั้งห้าลงกลางหัวพิสัย แสงสว่างวูบออกจากมือปราณก่อนที่พิสัยจะนิ่งไปแล้วมีสีหน้างงๆ เล็กน้อย ปราณถอยห่างออกไปมองดูพิสัย
พิสัยเห็นปราณก็โมโห “ไอ้ปราณ แกหายหัวไปไหนมา รู้มั้ยว่าฉันต้องโดนอะไรบ้าง”
ปราณตวาดสวนทันที “หุบปาก แล้วรีบหาทางออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
“แกจะให้ฉันแหกคุกเหรอ ฉันรู้ว่าแกช่วยฉันได้ง่ายมาก แต่หลังจากนั้นล่ะ ฉันไม่ต้องหลบหนีไปตลอดชีวิตเหรอ ลองฉันไม่มีเงินยังงี้ ไอ้ทนายไม่โผล่หัวมาช่วยประกันตัวฉันหรอก”
“แกไม่มีเงิน แต่ทาสของแกมี”
พิสัยมองหน้าปราณแล้วคิดตาม
ปริมสวมแว่นดำเดินหน้าเครียดออกจากลิฟท์ตรงมาที่ล็อบบี้คอนโด ทนายพิสัยที่นั่งรออยู่ลุกขึ้นยืนรับ ปริมเดินมากระแทกตัวนั่งลง
“มีธุระอะไรกับฉันอีก อย่าดึงฉันเข้าไปวุ่นวายด้วยอีกเลย แค่นี้ขาฉันก็เหยียบอยู่ในตารางข้างนึงแล้ว”
“คุณได้เหยียบทั้งสองขาแน่ถ้าคุณพิสัยเปลี่ยนคำให้การ ยืนยันตามคำกล่าวหาของเจติยากับเพื่อน”
ปริมหงุดหงิด “มีธุระอะไรก็รีบพูดๆ มา”
“คุณพิสัยต้องการเงินประกันตัว”
“เงินเค้าไม่มีรึไง”
“มี แต่โดนอายัดไว้หมดเพราะโดนคุณต้นฟ้องถ้าคุณยอมช่วย คุณพิสัยฝากผมมาบอกว่าจะคืนทุกอย่างที่คุณอยากได้ทั้งหมด”
ปริมเงียบไปเพราะคิดว่าทุกอย่างจะได้จบไปสักที
ทนายความพิสัยขับรถมาจอดที่จอดรถย่านช็อปปิ้งเอาท์ดอร์ เขาลงจากรถเดินตรงไปที่ร้านกาแฟที่ปริมนั่งสวมแว่นดำรออยู่ ทนายเดินตรงเข้าไปหาแล้วให้ของบางอย่างกับปริม ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนที่ปริมจะรีบเดินออกมาจากร้านอย่างเร่งรีบ นวัชซึ่งนั่งอยู่ในรถกับตำรวจลูกน้องจับตามองอยู่
ปริมขับรถออกไปจากลานจอดรถ
นวัชสั่งลูกน้อง “ตามไป”
ตำรวจขับรถตามปริมไปห่างๆ
ปริมเดินเข้ามาในห้องล็อกเกอร์ชายในสปอร์ตคลับแล้วตรงเข้าไปที่ตู้ล็อคเกอร์หนึ่ง ผู้ชายที่อยู่ในห้องล็อคเกอร์หันมามองอย่างงงๆ ปริมไม่สนใจรีบหยิบกุญแจที่ได้จากพิสัยมาดูหมายเลขล็อกเกอร์ก่อนจะไขกุญแจเปิด
ตู้ล็อคเกอร์ พอเปิดตู้ล็อคเกอร์ออกเธอก็เห็นซองเอกสารเก็บไว้อย่างดี
ปริมรีบแง้มซองดูก็เห็นภาพลับของเธอบางส่วนและทรัมป์ไดรฟที่พิสัยเซฟรูปไว้ ปริมดีใจ พับซองเก็บใส่กระเป๋าถือทันทีแล้วปิดล็อคเกอร์ พอหันกลับไปปริมก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นนวัชกับตำรวจอีกนายยืนอยู่ข้างหลัง
นวัชยิ้มให้ “สวัสดีครับคุณปริม”
ปริมตกใจมาก “คุณมาทำอะไร”
“ผมตามทนายคุณพิสัยมา เลยพบว่าเค้ามาเจอกับคุณ แล้วให้ของบางอย่างกับคุณ แล้วคุณก็รีบมาที่นี่ทันที”
ปริมหลบสายตา คิดหาทางเอาตัวรอด
“ผมชักไม่เชื่อที่คุณกับคุณพิสัยให้การเอาไว้ ผมอยากให้คุณไปให้ปากคำเพิ่มเติมด้วยครับ” นวัชบอก
ปริมสวนทันที “ฉันพูดไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะพูดอีก”
“ขอดูเอกสารที่คุณเพิ่งเอามาจากล็อคเกอร์ได้มั้ยครับ”
ปริมหน้าซีดเผือดพร้อมกอดกระเป๋าถือไว้แน่น
“คุณไม่มีสิทธิ์ นี่มันของส่วนตัวของฉัน”
นวัชยิ้ม “ของส่วนตัวคุณทำไมมาอยู่ในห้องล็อคเกอร์ผู้ชายล่ะครับ”
ปริมหน้าเสียเพราะจนมุมเถียงไม่ออก เธอรู้สึกเครียดกลัวและอายที่ความลับจะแตก
ปริมนั่งร้องไห้ด้วยความอับอาย โดยมีนวัชนั่งกระอักกระอ่วนใจอยู่ตรงข้าม นวัชปิดซองเอกสารแล้วเลื่อนส่งคืนปริม
ปริมร้องไห้แล้วแว๊ดใส่ “สะใจคุณแล้วใช่มั้ย ได้หลักฐานสมใจมั้ยล่ะ”
นวัชหน้าเสีย “ผมขอโทษ แต่ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมรับรองว่าจะไม่ให้เรื่องนี้เสียหายมาถึงคุณเด็ดขาด”
“ฉันเสียจนไม่เหลืออะไรให้เสียอีกแล้ว”
“ทำไมคุณถึงไม่แจ้งความล่ะครับ”
“คุณเป็นผู้ชายก็พูดได้สิ ถ้าเป็นข่าวออกไป ฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง จะไปสู้หน้าใครได้ ฉันถึงต้องทนให้มันข่มขู่ หลอกใช้ จนฉันต้องเสียคุณต้นให้กับเพื่อนคุณไงล่ะ” ปริมร้องไห้ออกมา
นวัชพูดไม่ออก
“ฉันไปได้แล้วใช่มั้ย” ปริมคว้าเอกสารเดินฉับๆ ออกไปจากห้องแล้วปิดประตูโครม
นวัชได้แต่เงียบไปเพราะอดที่จะสงสารปริมไม่ได้
เจติยาและนิษฐาต่างอึ้งเมื่อนวัชเล่าเรื่องทั้งหมด ทั้งสามคนมาคุยกันอยู่ที่สวนสวยแห่งหนึ่ง เจติยาเงียบกริบมีสีหน้าเคร่งเครียดใช้ความคิดจนหลุดออกจากการสนทนาไป
“ตอนแรก ฐาก็โกรธเค้ามากนะคะ แต่พอได้ฟังยังงี้แล้วนอกจากจะโกรธไม่ลงแล้วยังสงสารด้วยซ้ำ”
เจติยาถอนใจออกมา “แล้วคดีของคุณปริมจะเป็นยังไงต่อคะ”
“คุณปริมเธอคงไม่ยอมพูดเรื่องที่โดนนายพิสัยแบล็คเมล์แน่นอน เพราะฉะนั้นเรื่องคดีก็คงต้องว่าไปตามกฎหมาย” นวัชถอนใจด้วยความสงสาร “น่าเห็นใจคุณปริมที่สุดเลย”
“ต้องคิดซะว่าเป็นกรรมเก่าล่ะค่ะ ทั้งสวยทั้งรวยแต่กลับโชคร้ายต้องกลายเป็นคนเลวทั้งที่ไม่ได้อยากเป็น” นิษฐาเห็นใจ
เจติยาสงสารมาก “คุณปริมเธอโชคร้ายมามากพอแล้ว ไม่ควรมีใครไปทำร้ายจิตใจเธอซ้ำเติมอีก” เจติยาน้ำตาไหลออกมา
นวัชและนิษฐาสบตากันเพราะยังไม่เข้าใจนักว่าเจติยาหมายถึงอะไร
“เจขอเดินเล่นเดี๋ยวนะคะ”
เจติยาลุกขึ้นแล้วน้ำตาก็ไหลมาอีก สีหน้าของเธอนิ่งขรึม แววตาเด็ดเดี่ยว เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว
นวัชขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาจอดที่หน้าบ้านเจติยา เขาถอดหมวกกันน็อคแล้วหันมองรถนิษฐาที่ขับตามมาจอดต่อท้าย เจติยามีท่าทางซึมๆ เดินลงมาจากรถ ทันใดนั้นลาภิณก็ขับรถมาจอดต่อท้ายรถนิษฐา ก่อนจะลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“กลับมากันพอดีเลย” ลาภิณยิ้ม
นิษฐาชำเลืองมองหน้าเจติยาอย่างไม่สบายใจนัก หลังจากคุยกับเจติยามาในรถจึงรู้ว่าเพื่อนคิดอะไรอยู่ลาภิณเปิดท้ายรถแล้วหยิบถุงใส่อาหารออกมา “วันนี้ผมซื้ออาหารมาเพียบเลย เดี๋ยวทานข้าวเย็นด้วยกันนะครับ” ลาภิณยิ้มแย้มให้นวัชและนิษฐา
เจติยาพูดหน้านิ่ง “เราไปนั่งรถคุยกันก่อนดีมั้ยคะคุณต้น”
ลาภิณงงๆ เล็กน้อย
นิษฐาเข้าไปช่วยถือถุงใส่ของ “ฐาเอาเข้าไปไว้ในบ้านให้ค่ะ”
ลาภิณเห็นสีหน้าเจติยาก็ไม่สบายใจแต่ก็เปิดประตูให้ “เชิญครับ”
เจติยาเข้าไปนั่งในรถ ลาภิณฝืนยิ้มให้นวัชและนิษฐาก่อนจะขึ้นรถแล้วถอยออกไป
“สงสารคุณต้นจริงๆ ไม่น่ามาวันนี้เลย” นิษฐาบอก
นวัชเดินมาหานิษฐา “ทำไมเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก เข้าบ้านกันเถอะ” นิษฐาหันไปกดกริ่ง
นวัชคว้าแขนนิษฐาให้หันกลับมาหาเขา
“คุยอะไรกันมาในรถ เล่ามาเดี๋ยวนี้เลย” นวัชมีสีหน้าคาดคั้น
นิษฐาได้แต่ถอนใจยาว
ลาภิณปาดรถเข้าจอดข้างทางอย่างร้อนใจหลังจากฟังเจติยาจนจบ เจติยาปาดน้ำตาออก เพื่อเก็บอาการเอาไว้
ลาภิณเครียดมาก “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าปริมเค้าจะโดน...” ลาภิณหยุดพูดเล็กน้อย เพื่อเลือกใช้คำพูดที่ไม่รุนแรง “ข่มเหงแบบนั้น อาจจะเป็นแผนการให้พ้นความผิดก็ได้”
เจติยาเครียด “คุณพูดแบบนี้ ไม่ดูถูกคุณปริมเกินไปหน่อยเหรอคะ”
“ฉันไม่ได้ดูถูก แต่ฉันเห็นมากับตาตัวเอง” ลาภิณถอนใจ “เธอจำตอนที่วิญญาณฉันออกจากร่างได้มั้ย ฉันไปหาปริม แล้วก็ได้เห็นปริมอยู่กับน้าพิสัยกับตา ฉันถึงได้หายโง่”
“แน่ใจเหรอคะว่าที่คุณเห็นคือทั้งหมด ไม่ใช่แค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วคิดต่อไปเอง”
ลาภิณชะงักไปเล็กน้อย
“แต่ที่พี่หมวดเล่ามีหลักฐานยืนยัน คุณปริมเธอถูกบังคับให้ต้องทำเลวคุณไม่สงสารเธอเลยรึไง” เจติยาน้ำตารื้น “จริงๆ แล้วคุณปริมรักคุณมาก รักคุณไม่เคยเปลี่ยน”
ลาภิณและเจติยาหันมาจ้องตากัน
เจติยาน้ำตาคลอ “ถ้าฉันต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบคุณปริม ฉันก็คงทำเหมือนกับเธอ ฉันต้องทำทุกวิธีเพื่อรักษาคนรักของฉันเอาไว้ให้ได้” เจติยาน้ำตาไหล
“เธอกำลังจะบอกให้ฉันกลับไปหาปริมใช่มั้ย”
“คุณปริมคือผู้หญิงที่น่าสงสารและน่าเห็นใจที่สุดคนนึงที่ฉันเคยเจอมาในชีวิต” เจติยาน้ำตารื้นขึ้นมาอีกอย่างกลั้นไม่อยู่ “คุณก็คงไม่อยากซ้ำเติมคนที่รักคุณและคุณก็รักเธอมาก ให้ต้องเสียใจมากไปกว่านี้ใช่มั้ยคะ”
ลาภิณน้อยใจ “แต่ถ้าปริมเป็นเธอตอนนี้ เค้าคงไม่ตัดสินใจผลักไสฉันไปให้คนอื่นแน่”
เจติยาอึ้งๆ ไป
ลาภิณตัดพ้อ “แสดงว่าฉันคิดไปเองคนเดียว เธอยังไม่ได้ชอบฉันมากพอ”
เจติยาหลบสายตาไปก่อนจะตัดสินใจพูด “จริงๆ เราก็ไม่ได้เหมาะสมกันเลยในทุกๆ ด้าน”
ลาภิณหยุดกึก มองเจติยาแล้วรับฟังอย่างตั้งใจ
“เผอิญฉันเข้ามาในช่วงที่คุณไม่มีใคร” เจติยายักไหล่ “คุณก็เลยเกาะขอนไม้ท่อนนี้เอาไว้ เพื่อคุณจะได้ไม่ต้องจมน้ำ”
ลาภิณเงียบกริบเพราะคิดตาม
“ถึงเวลาที่คุณต้องปล่อยขอนไม้ให้มันลอยไปตามทางของมัน ส่วนคุณก็กลับขึ้นฝั่ง ไปอยู่ที่ที่คุณควรอยู่ได้แล้ว”
“เธอต้องการแบบนั้นจริงๆ ใช่มั้ย” ลาภิณจ้องหน้าเจติยารอฟังคำตอบ
เจติยาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างเพราะไม่กล้าสู้ตา “ปากฉันพูดยังไง ใจฉันก็คิดยังงั้น”
ลาภิณพยักหน้ารับทั้งที่เสียใจมาก เขาผุนผันออกไปจากรถแล้วปิดประตูโครม
เจติยาน้ำตาท่วมตาขึ้นมาก่อนจะพูดต่อเบาๆ “แต่ไม่ใช่ฉันไม่เสียใจ” เจติยาสะอื้น น้ำตาไหลพร้อมกับเบือนหน้าไปอีกทาง
ลาภิณยืนพิงประตูรถ พยายามสงบสติอารมณ์ สะกดความเสียใจเอาไว้
เวลาผ่านไป ลาภิณยืนซึม เขาถอนใจแล้วเปิดประตูรถก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแล้วปิดประตูโครม ลาภิณถอนใจออกมาแรงๆ ก่อนจะถอยรถออกไปจากซอย นทีวิ่งออกมาจากบ้านมามองตามแต่ก็เรียกไม่ทันแล้ว
เจติยาวิ่งกลับเข้ามาในห้องนอน เธอยกสองมือปาดน้ำตาแล้วสูดหายใจลึก พยายามจะเข้มแข็งให้ได้
เจติยาเดินมายืนมองหน้าตัวเองที่กระจกโต๊ะเครื่องแป้ง
“จะร้องไห้ไปทำไม มันไม่ใช่อยู่แล้ว เราไม่ได้เหมาะสมกันเลย เค้าแค่เหงา ไม่มีใคร เดี๋ยวเค้าก็เจอคนอื่น” เจติยาสูดหายใจลึก “เสียใจตอนนี้ก็ดี เจ็บน้อยที่สุดแล้ว” เจติยามองหน้าตัวเองในกระจกนิ่ง ก่อนจะหมดแรงทรุดตัวลงนั่งแล้วถอนใจยาวออกมาอย่างเหนื่อยใจ
กลางคืน ลาภิณเอื้อมมือจะไปกดกริ่งที่หน้าห้องพักคอนโดของปริม แต่ก็ชะงักมือค้างไว้
ลาภิณเกิดลังเลขึ้นมาว่าจะเอายังไงดี ใจนึงก็ห่วงและสงสารปริม แต่อีกใจก็ยังไม่เชื่อปริมนัก และก็เริ่มหลงรักเจติยาจนตัดใจลำบาก ลาภิณนึกถึงตอนที่ตัวเองเป็นวิญญาณแล้วไปเห็นปริมคุยกับพิสัย ลาภิณถึงกับกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อเพราะโกรธแค้นปริมกับพิสัยอย่างที่สุด
/ทันใดนั้นเสียงเจติยาก็ดังในหัว “แต่ที่พี่หมวดเล่ามีหลักฐานยืนยัน คุณปริมเธอถูกบังคับให้ต้องทำเลว คุณไม่สงสารเธอเลยรึไง จริงๆแล้วคุณปริมรักคุณมาก รักคุณไม่เคยเปลี่ยน”
ลาภิณสงบสติอารมณ์เพราะสงสารที่ปริมต้องเจอเรื่องเลวร้าย เขาตัดสินใจกดกริ่ง ไม่มีเสียงตอบ ลาภิณกดกริ่งซ้ำแต่ก็ข้างในก็ยังเงียบ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรหาระหว่างรอปริมรับสายก็กดกริ่งซ้ำอีก เขาพบว่าปริมปิดมือถือ
ลาภิณตัดสินใจหยิบกระเป๋าเงินออกมาหยิบคีย์การ์ดสำรองที่เขามีออกมาแล้วเปิดประตูเข้าไป แล้วเขาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นปริมนอนเสียชีวิต ในสภาพหน้าซีดเผือด ตาเบิกโพลง น้ำลายฟูมปากอยู่กลางโถงคอนโด
ลาภิณตกใจสุดขีด “ปริม”
ลาภิณรีบวิ่งเข้าไปประคองศพปริมขึ้นมา เขาเอามืออังลมหายใจแต่ปริมก็ไม่มีลมหายใจแล้ว ลาภิณกอดศพปริมเอาไว้ด้วยสีหน้าแววตาช็อค
รากบุญ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ณ ลานจอดรถ โรงพยาบาล ลูกน้องพ่อของปริมเดินนำและรายล้อมป้องกันพ่อปริมขณะเดินกลับมาขึ้นรถที่ลานจอดรถ พิสัยที่ดักรออยู่รีบตรงเข้ามายกมือไหว้
“สวัสดีครับท่าน”
ลูกน้องรีบดาหน้ามาคุ้มกันทันที
“ผมพิสัยน้องชายพี่ชูจิตไงครับ”
พ่อปริมจำได้ “มีอะไร”
“ผมไม่รบกวนเวลาท่านนานหรอกครับ เพียงแต่ผมมีเรื่องเกี่ยวกับการตายของคุณปริม อยากจะเรียนให้ท่านทราบครับ”
พ่อปริมหน้าเครียด “เรื่องอะไร”
“ท่านคงยังไม่ทราบว่าสาเหตุที่คุณปริมเลิกกับคุณต้น”
พ่อปริมถอนใจ “มีอะไรก็รีบพูดมา เดี๋ยวนักข่าวแห่ตามมา ฉันขี้เกียจตอบคำถาม”
“ครับท่าน คือ คุณปริมทนความเจ้าชู้คุณต้นไม่ไหวเลยขอเลิกน่ะครับ”
ทันใดนั้นเงาของชูจิตก็ปรากฏขึ้นที่กระจกหน้าต่างรถที่จอดอยู่ข้างๆ แล้วจ้องมองพิสัยด้วยสีหน้าโกรธเคือง
พิสัยพูดต่อ “คุณปริมกับผมเริ่มมาคบหากัน คุณต้นเลยไม่พอใจมาก” พิสัยปั้นหน้าเศร้า “ผมไม่คิดเลยว่าคุณต้นจะทำกับคุณปริมได้ขนาดนี้”
วิญญาณชูจิตโกรธมาก
“โกหก เธอจะทำร้ายต้นไปถึงไหนพิสัย” ชูจิตหันไปพูดกับพ่อปริม แต่ไม่มีใครได้ยิน “อย่าไปเชื่อนะคะท่าน พิสัยต้องการจะยืมมือท่านทำร้ายต้น”
“คุณกำลังจะบอกว่าปริมถูกต้นฆ่าตายงั้นเหรอ” พ่อปริมถาม
“ท่านลองคิดดูสิครับ ว่าเค้าสองคนกำลังมีปัญหากัน แล้วคุณต้นก็เป็นคนไปเจอศพคนแรก ไม่มีพยานรู้เห็นด้วย มันไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอครับ”
“ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง ในเมื่อคุณกับต้นมีเรื่องฟ้องร้องกันอยู่ แถมคุณยังเป็นผู้ต้องหาฆ่าพี่สาวตัวเองด้วย”
พิสัยปั้นหน้าเศร้า “เรื่องพี่จิต ผมไม่ได้ทำจริงๆครับ ผมถูกจัดฉากใส่ความ จะให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้ คุณปริมเองก็รู้เรื่องนี้ดี ถึงได้ช่วยประกันตัวผมออกมาไงครับ ถ้าท่านไม่เชื่อ ลองไปเช็คดูก็ได้ครับ ถ้าคุณปริมไม่ไว้ใจผม จะยอมเสี่ยงเสียเงินตั้งหกล้านไปประกันตัวผมทำไม”
พ่อปริมหน้าเครียดเพราะใช้ความคิดหนัก
ชูจิตโมโหจนน้ำตาซึม “ทำไมแกถึงเลวได้ขนาดนี้พิสัย หยุดทำร้ายต้นซะทีเถอะ ฉันไม่น่าหลงผิดเลี้ยงงูเห่าอย่างแกเลย ฉันอยากจะฆ่าแกนัก”
วิญญาณชูจิตตรงเข้าไปจะบีบคอพิสัยแต่กลับทะลุร่างพิสัยไปและไม่สามารถทำอะไรพิสัยได้แม้แต่น้อย ชูจิตมีสีหน้าเคียดแค้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่ร้องไห้ออกมา พิสัยสะแหยะยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นพ่อปริมเริ่มจะคล้อยตามคำพูดตน
เช้าวันรุ่งขึ้น นักข่าวรออยู่หน้าโรงพักเต็มไปหมด พอนวัชเดินออกมา นักข่าวก็กรูกันเข้าไปสัมภาษณ์ทันที
“ขอโทษนะคะผู้หมวด ไม่ทราบว่าตอนนี้คดีคุณปริมไปถึงไหนแล้วคะ”
“ข่าวลือที่ว่าคุณลาภิณทะเลาะกับคุณปริมรุนแรง จนพลั้งมือทำให้คุณปริมตาย จริงรึเปล่าครับ”
“ผมเป็นแค่ตำรวจชั้นผู้น้อยนะครับ ให้สัมภาษณ์อะไรไม่ได้” นวัชบอก “ผลชันสูตรก็ยังไม่ออก ใจเย็นๆ รอท่านผู้บัญชาการแถลงข่าวดีกว่านะครับ ขอบคุณครับ” นวัชรีบเดินเลี่ยงไป
นักข่าวต่างหงุดหงิดและเสียดายที่ไม่ได้ข่าวจึงหันไปจับกลุ่มหารือกัน
โทรศัพท์มือถือของลาภิณกำลังสั่นพร้อมแสดงสายเรียกเข้าแต่ไม่มีเสียงเรียกเข้า ลาภิณเดินเข้ามาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดตัดสาย เขาถอนใจออกมาแล้วมีสีหน้าซึมเศร้า เพราะทั้งช็อคเรื่องปริมแล้วก็เครียดกับข่าวที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของลาภิณก็สั่นขึ้นมาอีก ลาภิณดูเบอร์โชว์แล้วรีบกดรับ
เจติยากำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถือกับลาภิณอยู่ที่มุมหนึ่งของบริษัทนิราลัย
“เจรู้ข่าวแล้วนะคะเจไม่เชื่อหรอกค่ะ ไม่มีสาเหตุอะไรเลยที่คุณต้องทำแบบนั้น”
“ขอบใจมากเจ” ลาภิณบอก
“แล้วคุณจะทำยังไงต่อคะ”
ลาภิณถอนใจออกมา “ก็คงต้องรอผลชันสูตรก่อน เพราะฉันไม่มีพยาน” ลาภิณมีสีหน้าเป็นห่วงขึ้นมา “ตอนนี้ข่าวกำลังดัง เธออย่าเพิ่งติดต่อกับฉันเลยนะ ฉันไม่อยากให้เธอถูกโยงเข้ามาเกี่ยวข้อง เดี๋ยวจะเสียชื่อไปด้วย”
เจติยาหน้าขรึมลง “แต่ถ้าคุณมีอะไรให้เจช่วย ก็บอกได้เลยนะคะ เจไม่กลัวเสียชื่อหรอกค่ะ ถ้ามันจะช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของคุณได้”
ลาภิณซึ้งใจ “ขอบใจมากที่เธอยืนอยู่ข้างฉันมาตลอด” ลาภิณพูดจริงจัง “แต่ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้เธอต้องมาเสียชื่อเพราะฉันเด็ดขาด”
เจติยายิ้มปลื้มใจที่ลาภิณให้เกียรติเธอขนาดนี้
ทันใดนั้นก็มีลมหนาววูบพัดผ่านเจติยา เธอหนาวสะท้านจนต้องหันไปมองข้างๆ ปลายผมเจติยาถูกยกลอยขึ้นช้าๆ เจติยาสะดุ้งเฮือกหันมองด้านหลังอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่เห็นใคร ปลายผมเจติยาตกลงที่เดิม
“ทำไมเงียบไปล่ะเจ” ลาภิณถาม
เจติยาตัดบท “เออ เจไปทำงานก่อนนะคะ” เจติยากดตัดสายไป
เจติยาหันมองไปรอบตัวแต่ก็ไม่มีใคร เธอจึงเดินกลับไปทางห้องแต่งศพ เงารางๆ ช่วงขาของผู้หญิง 2 ข้างเดินเท้าเปล่าตามติดเจติยาไปทุกฝีก้าว
พิสัยกำลังหัวเราะสะใจอยู่ในห้องที่คอนโด โดยมีปราณยืนหน้าบึ้งอยู่ใกล้ๆ
พิสัยหัวเราะสะใจ “ตอนแรกฉันก็เสียดายหรอกนะที่นังปริมมันตาย แต่จะว่าไปนังนี่มันใช้ประโยชน์ได้คุ้มจริงๆ ขนาดตายไปแล้ว ยังใช้แต่งเรื่องไปเล่นงานไอ้ต้นได้อีก”
ปราณส่ายหน้าเบื่อๆ “แกมีจิตริษยาลาภิณจนเกินไป ไม่ว่าจะทำอะไรก็ก้าวไม่พ้นลาภิณซะที แกถึงต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้”
พิสัยอารมณ์เสีย “แล้วทีแกล่ะ วันๆ แกก็คิดถึงแต่ไอ้กล่องเฮงซวยนั่นอย่างเดียว ไม่เห็นเคยจะช่วยฉันจริงจังซะที”
พิสัยถอนใจด้วยความเซ็งก่อนจะหันขวับไป ชูจิตยืนขวางและจ้องพิสัยด้วยสายตาอาฆาต โกรธจัด
แต่พิสัยไม่เห็นจึงเดินทะลุร่างชูจิตเดินเข้าห้องนอนไป
ปราณยิ้มเยาะใส่ชูจิต “เธอไม่เหลือพลังอะไรอีกแล้ว”
ชูจิตมองปราณด้วยสายตากลัวๆ
“คำร้องขอของเธอที่มีต่อกล่องรากบุญมันเป็นจริงไปแล้ว ตอนนี้เธอก็แค่วิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด เพราะห่วงลูกก็เท่านั้นเอง” ปราณว่า
ชูจิตโมโห “ที่ฉันไม่ไปเกิด เพราะฉันจะอยู่รอดูความพินาศของแก กับไอ้น้องเลวของฉันต่างหาก”
ปราณหัวเราะเยาะ “แค่จะปรากฏร่างให้คนเห็นยังทำไม่ได้เลย หวังสูงเกินไปรึเปล่า”
ปราณมองชูจิตด้วยสายตาดูถูกก่อนจะเลือนหายไป ทิ้งให้ชูจิตยืนกระวนกระวายด้วยความร้อนใจอยู่คนเดียว
เจติยานั่งปรับทุกข์กับทวีที่ห้องไอซียู เจติยาจับมือทวีเอาไว้
“ลุงเป็นแบบนี้ก็ดีไปอย่างนะคะ ไม่ต้องมารับรู้เรื่องวุ่นวายอะไรอีก” เจติยาถอนใจออกมา
ทวีมีแววตาหวาดกลัวขึ้นมาพร้อมกับมองไปด้านหลังของเจติยา
เจติยาจับมือทวีพร้อมพูดไปด้วย “โอ้เอ้เข้มแข็งขึ้นเยอะเลยนะคะลุง ไม่ขี้กลัวเหมือนเดิมแล้ว ช่วยแบ่งเบางานให้เจได้เยอะเลย ลุงสบายใจได้แล้วนะคะ”
เจติยาสังเกตแววตาทวีดูหวาดกลัวและมองไปด้านหลังเธอ
“มีอะไรรึเปล่าคะ”
เจติยาหันมองไปด้านหลังแต่ก็ไม่เห็นใคร
“ลุงพักผ่อนเถอะค่ะ เจจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนลุงอีกซักพักนึง” เจติยายิ้มให้ทวี ก่อนหยิบตำราเรียนขึ้นมาอ่านทบทวน
ทวีพยายามจะเตือนเจติยาแต่ขยับปากขยับตัวไม่ได้ แววตาของเขาสั่นระริก น้ำตาไหลออกมาทางหางตาด้วยความหวาดกลัว วิญญาณปริมยืนประกบเกาะติดเจติยาอยู่ที่ด้านหลังตลอดเวลา
เจติยาเดินเข้าซอยบ้านมาตามลำพังตอนหัวค่ำ แสงไฟจากถนนสาดลงมาทำให้เห็นเงาเจติยาพาดไปข้างๆ ระหว่างที่เจติยาเดินอยู่ จู่ๆ เงาเจติยาก็แตกเป็นสองเงา เงาหนึ่งเดินนำเงาเจติยาไปข้างหน้า เจติยาเดินใช้ความคิดไปเพลินๆ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเงาดำของคนเดินนำหน้าตนไปทั้งๆ ที่ไม่มีคนเดินแซงเธอไปสักคน เจติยาเพ่งมองที่เงาดำนั่น ทันใดนั้นเงานั้นก็ดีดขึ้นมายืนกลายเป็นผีปริมในระยะประชิดทันที
เจติยาร้องด้วยความตกใจแล้วผงะถอยไป ปริมหน้าซีดเผือด จ้องเจติยาด้วยสายตาเกลียดชัง
เจติยาเริ่มตั้งสติได้ “คุณต้องการความช่วยเหลืออะไรคะ”
ปริมยิ้มเหี้ยม “คนอย่างฉันน่ะเหรอ จะลดตัวมาขอความช่วยเหลือจากแก” ปริมพุ่งเข้าหาเจติยาแล้วหายไป
เจติยาวูบหลบ ปริมมาปรากฏขึ้นด้านหลังเจติยา
“ฉันมาเอาชีวิตแก” สีหน้าแววตาของปริมทั้งดุดันและอาฆาต
เจติยาจะดีดตัวหนีแต่ก็ทำไม่ได้ เจติยาอึดอัดและหายใจไม่ออก คล้ายกำลังถูกบีบคอ
“ตายซะเถอะ” ปริมมีแววตาอาฆาต พร้อมกับปาดมือเข้าบีบคอเจติยาอีก
พอปริมสัมผัสตัวเจติยาก็มีแสงสว่างวูบขึ้นที่ตัวของเจติยา ปริมถูกแสงสว่างจนปวดแสบปวดร้อน ต้องรีบชักมือกลับด้วยความหวาดกลัว
เจติยาแปลกใจ เธอคิดทบทวนอยู่ครู่นึงก่อนจะฉุกคิด “ฉันรู้แล้ว คุณมาหาฉันได้ ก็เพราะอำนาจของกล่องรากบุญ แต่เพราะฉันเป็นเจ้าของกล่อง คุณเลยทำอันตรายฉันไม่ได้”
ปริมเจ็บแค้นใจ เธอจ้องเจติยาด้วยสายตาอาฆาตแล้วจะเข้ามาทำร้ายอีก แต่ทันทีที่ปริมแตะต้องตัวเจติยาก็แสบร้อนแทบไหม้จนทนไม่ได้ต้องรีบหายตัวหนีไป เจติยายังรู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง
ลาภิณขับรถออกจากบ้านเพื่อไปทำงานตอนเช้าวันใหม่ รถของลาภิณขับออกมาได้ไม่ไกลนัก ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด ลาภิณตกใจมากรีบเบรคทันที แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังล้มลงไป ลาภิณรีบลงจากรถไปดูอาการเห็นผู้ชายคนนั้นนอนสลบอยู่บนพื้น
ลาภิณตกใจมาก “เป็นยังไงบ้างคุณ”
ผู้ชายคนนั้นลืมตาขึ้นแล้วใช้ที่ช็อตไฟฟ้า ช็อตใส่ลาภิณทันที ผู้ชายคนนั้นยืนขึ้นแล้วแสยะยิ้มพร้อมกับมองลาภิณด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ลาภิณถูกช็อตจนตัวชาล้มลงไปกับพื้น และขยับไม่ได้ ได้แต่มองผู้ชายคนนั้นด้วยความหวาดกลัว
พ่อปริมเดินเข้ามาในโรงแรมมาพร้อมลูกน้องตอนสาย นวัชที่ถือแฟ้มรออยู่แล้วรีบเดินเข้าไปหาทันที
นวัชตะเบ๊ะ “สวัสดีครับท่าน”
“ผมต้องรีบไปประชุมนะหมวด คงคุยนานไม่ได้”
“ผมจะมาเรียนท่าน เรื่องผลชันสูตรศพคุณปริมครับ” นวัชยื่นแฟ้มให้
พ่อปริมรีบรับแฟ้มมาอ่านแล้วก็หน้าเสียไป
“ผลชันสูตรยืนยันว่าคุณปริมฆ่าตัวตายแน่นอนครับ”
พ่อปริมถอนใจออกมาด้วย่ทาทางเครียดๆ
นวัชพูดเบาลงพอให้ได้ยินกันแค่ 2 คน “ก่อนที่คุณปริมจะเสีย ผมได้เชิญตัวคุณปริมมาให้ปากคำ และได้รู้ความลับบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตายก็ได้ครับ”
พ่อปริมมองหน้านวัชด้วยแววตาสงสัย
“ถ้าไม่รบกวนเวลาท่านจนเกินไป ผมขอคุยเป็นการส่วนตัวซักครู่จะได้มั้ยครับ”
พ่อปริมมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
นวัชเล่าให้พ่อของปริมฟัง พร้อมๆ กับภาพวันเกิดเหตุที่ปราฏขึ้นในหัวของทั้งคู่
ปริมกำลังกดดูภาพในโทรศัพท์มือด้วยสีหน้าเจ็บแค้นใจจนแทบคลั่ง น้ำตาของเธอไหลท่วมตา
นวัชเล่าให้พ่อปริมฟัง “เราพบทั้งภาพและคลิปลับใหม่ในโทรศัพท์มือถือของคุณปริม”
ปริมลุกขึ้นโทรศัพท์ไปด่าพิสัยด้วยความโกรธเกรี้ยวกราด เธอร้องไห้ด้วยความเครียดและ
บีบคั้นอย่างถึงที่สุด ก่อนจะปาโทรศัพท์มือถือทิ้งไปที่เตียง แล้วกรีดร้องพร้อมกุมหัวอย่างคนคุ้มคลั่งและสติแตก
“คนที่ส่งภาพมาและคนที่คุณปริมโทรกลับไปหาเป็นคนเดียวกัน คือ คุณพิสัย” นวัชบอกพ่อปริม
ปริมวิ่งพรวดพราดด้วยความทรมานออกมาจากห้องนอนก่อนจะมาล้มลงที่ห้องโถง เธอพยายามตะเกียกตะกายจะไปที่หน้าประตูห้อง แต่หมดแรงเฮือกสุดท้ายไปเสียก่อน ปริมมีอาการชักตาตั้ง น้ำลายฟูมปากแล้วขาดใจตายกลางโถงบ้าน
“เราสันนิษฐานว่าคุณปริมเกิดเปลี่ยนใจ อยากจะออกไปขอความช่วยเหลือ แต่ว่ามันสายเกินไป” นวัชบอก
นวัชและพ่อปริมมานั่งคุยกันที่ร้านอาหารของโรงแรม พ่อปริมมีสีหน้าเจ็บแค้นใจมาก
“ตอนนี้โทรศัพท์มือถือปริมอยู่ไหน” พ่อปริมถามเสียงเครียด
นวัชเห็นใจ “เราเก็บรักษาไว้อย่างดี ท่านไม่ต้องกลัวว่าภาพจะหลุดเลยครับ”
“ไอ้พิสัย ไอ้สารเลว” พ่อปริมโกรธแค้น
“ประเด็นที่ว่าคุณลาภิณจะฆาตกรรมคุณปริม ผมว่าไม่มีเหตุจูงใจอะไรให้ทำ น่าจะไปหาเพื่อปรับความเข้าใจมากกว่า”
พ่อปริมชะงักไปกับเรื่องลาภิณ ก่อนจะมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด
ลาภิณถูกรุมซ้อมจนน่วมและหมดสภาพอยู่กับพื้นโกดังร้าง ลูกน้องของพ่อปริม 2-3 คน รุมล้อมลาภิณเอาไว้โดยที่ทุกคนใส่หน้ากากโม่งปิดบังโฉมหน้ากันหมด
“เฮ้ย พอแล้ว เสียเวลา จะได้รีบกลับๆกันซะที” คนหนึ่งตะโกนบอกเพื่อน
ลูกน้องอีกคนชักปืนออกมาเล็งไปที่ลาภิณ ลาภิณเหลือบตามองแล้วก็ต้องทำใจเพราะหมดสภาพจะหนีได้ ลูกน้องพ่อปริมเหนี่ยวไกจะยิง
ลาภิณตั้งสติพร้อมกับทำใจ “ลาก่อนเจ” ลาภิณกวาดตามองหา “คุณแม่ รอรับผมไปด้วยนะครับ” ลาภิณหลับตา รอรับความตาย
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของลูกน้องพ่อปริมที่ถือปืนก็ดังขึ้น
ลูกน้องพ่อปริมดูเบอร์แล้วกดรับ “ครับท่าน”
ลาภิณค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตนยังไม่ตาย
ลูกน้องพ่อปริมฟังอีกฝ่ายแล้วก็หน้าเครียด “ไม่มีใครเห็นแน่นอนครับ...ครับ” ลูกน้องพ่อปริมกดตัดสาย
ก่อนบอกทุกคน “หนีเร็ว” แล้วเขาก็รีบวิ่งนำออกไป
ลูกน้องคนอื่นๆ ยังงงแต่ก็รีบวิ่งตามออกไป ลาภิณถอนใจยาวออกมาอย่างโล่งอกที่รอดตายหวุดหวิด เขารวมแรงเฮือกสุดท้ายล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง
รากบุญ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ที่บ้านลาภิณ เจติยากำลังทำแผลให้ลาภิณโดยมีนวัช และนิษฐา ยืนดูอยู่ใกล้ๆ
“คุณต้นพอจะรู้มั้ยคะว่าพวกมันเป็นใคร ใช่พวกนายพิสัยรึเปล่าคะ” นิษฐาถาม
“ไม่น่าใช่ลูกน้องนายพิสัยหรอก ฟังจากที่คุณลาภิณเล่ามา ก็เดาไม่ยาก” นวัชบอก
“ถ้าเดาไม่ยากก็ตามไปจับเลยสิคะพี่หมวด”
นวัชหันไปมองหน้าลาภิณเป็นเชิงถาม
“ผมไม่เอาเรื่องหรอกครับหมวด ผมมั่นใจว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด เค้ารู้ความจริงจากหมวดถึงได้ปล่อยผม ให้มันจบๆ ไปเถอะครับ ทางเค้าก็สูญเสียมามากพอแล้ว”
“ถ้าคุณต้องการอย่างงั้น ก็ได้ครับ” นวัชบอก
เจติยาและนิษฐาหันมามองหน้ากันอย่างงงๆ เล็กน้อย
นวัชตัดบท “พี่จะกลับแล้ว ฐากลับพร้อมพี่เลยแล้วกันนะ”
นิษฐาหันมองหน้านวัชอย่างงงๆ เล็กน้อย
นวัชขยิบตาให้คล้ายต้องการบอกว่าเปิดโอกาสให้สองคนนั้นได้อยู่ด้วยกันเถอะ
นิษฐายิ้มเพราะเข้าใจจึงรีบเสริม “งั้นเจอยู่ปฐมพยาบาลคุณลาภิณไปก่อนนะ เค้าไม่มีใคร น่าสงสารออก” นิษฐายิ้มกระเซ้า
เจติยาหันไปทำหน้าดุใส่นิษฐา
“ฝากเจด้วยนะครับ” นวัชบอกลาภิณ
เจติยาหันไปค้อนใส่นวัชอีกคน
“ไม่ต้องห่วงครับ เย็นๆ ผมจะให้คนขับรถพาไปส่งที่บ้าน” ลาภิณบอก
นวัชยิ้มกระเซ้าเจติยา “พี่กลับก่อนนะ”
นิษฐารีบลุกไปเกาะแขนนวัช “ถ้าอาการคุณลาภิณแย่ลง เธอต้องอยู่เฝ้ากะดึกก็โทรไปบอกนะ จะให้นทีเอาเสื้อผ้ามาให้” นิษฐาส่งสายตาแซว
เจติยามีสีหน้าเจ็บใจนิษฐาและนวัชที่เดินเกาะแขนยิ้มแย้มพากันออกไปจากบ้าน ลาภิณอมยิ้ม เจติยาใช้หางตามองลาภิณ
“ยิ้มอะไร” เจติยาทำหน้าบึ้งๆ เพื่อกลบเขิน
ลาภิณพูดหน้าตาย “ถ้าเกิดคืนนี้ผมไข้ขึ้นจะทำยังไง” ลาภิณส่งสายตาอ้อนเจติยา
“ก็กินยาสิคะ แค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอก” เจติยาจะลุกหนีด้วยความเขิน
ลาภิณจับมือเจติยาเอาไว้ ก่อนจะจ้องตาด้วยสีหน้าจริงจัง “นึกว่าจะไม่ได้กลับมาเห็นหน้าเธอแล้วซะอีก”
เจติยาอึ้งไปเพราะใจหายวูบเหมือนกัน ลาภิณดึงเจติยามาสวมกอดเอาไว้ เจติยาไม่ขัดเขินกลับซบหน้าลงกับอกลาภิณด้วยความดีใจเช่นกัน ทันใดนั้นก็มีวิญญาณผู้หญิงเคลื่อนผ่านทั้งสองไปอย่างรวดเร็ว โดยที่เจติยาและลาภิณไม่รู้ตัว
นวัชเดินอย่างรวดเร็วออกมาหน้าบ้านโดยมีนิษฐาเกาะแขนเดินตามออกมาด้วย ทั้งคู่ตรงไปหารถตำรวจที่จอดอยู่หน้าบ้าน
“ขึ้นรถเร็วๆ เข้า” นวัชบอก
“จะรีบร้อนไปไหนคะ” นิษฐาถาม
“ถ้าขืนชักช้า นายพิสัยอาจจะไม่โชคดีเหมือนคุณลาภิณ” นวัชก้าวขึ้นรถตำรวจทันที
นิษฐามีสีหน้างงๆ ก่อนจะก้าวขึ้นรถไป
ลูกน้องของพ่อปริมหลายคนกำลังเฝ้าตามจุดต่างๆ หน้าคอนโดพิสัยพร้อมทั้งคอยสังเกตคนผ่านไปผ่านมา พิสัยซุ่มมองดูอยู่ห่างจากคอนโดพอสมควร เขาแต่งตัวรัดกุม ใส่หมวกใส่แว่นดำ
พิสัยเห็นบรรดาลูกน้องพ่อปริมอยู่เต็มไปหมดก็มีสีหน้าหวาดกลัว เขารอจังหวะแล้วก็รีบชิ่งหนีไปทันที
พิสัยทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงในห้องพักเล็กๆ ด้วยความหงุดหงิด
“มีคอนโดสบายๆ ก็ไม่ได้อยู่ แถมยังโดนตามล่าอีก ซวยอะไรยังงี้วะ”
ปราณเดินเข้ามาหาพิสัย
“ฉันบอกแกแล้ว ว่าให้ก้าวข้ามลาภิณไปซะที เอาไว้แกมีทุกอย่างเหนือกว่ามันเมื่อไหร่ ค่อยมาล้างแค้นก็ยังไม่สาย” ปราณส่ายหน้าด้วยความระอา “นี่ถ้าฉันไม่มาเตือนให้แกหนี แกคงกลายเป็นศพไปแล้ว”
พิสัยหงุดหงิด “หยุดซ้ำเติมกันซะทีเถอะน่ะ”
ปราณหยิบเงินออกมาปึกนึงก่อนจะโยนลงตรงหน้าพิสัย พิสัยเห็นเงินก็ตาเบิกโพลงด้วยความละโมบ
“แค่นี้ คงพอให้แกเอาตัวรอดได้ หรือว่าแกต้องการอะไรอีกก็บอกมา ฉันจะจัดการให้”
พิสัยเอาเงินมานับแล้วยิ้มแย้มพอใจ
ปราณเดินพูดไปรอบๆ ตัวพิสัย “ถ้าแกได้เป็นเจ้าของกล่องรากบุญ แกก็จะขอพรให้พ้นผิดทั้งหมดได้ง่ายเหมือนดีดนิ้ว”
พิสัยหยุดนับเงิน เขาเงยหน้ามองปราณแล้วมีสีหน้าคิดตาม
ปราณหยุดเดินแล้วมายืนเผชิญหน้า “ฉันเสียเวลามากับแกมากเกินไปแล้ว” ปราณมีน้ำเสียงขึงขังแบบออกคำสั่ง “ฉันให้เวลาแก 3 วัน แกต้องเป็นเจ้าของกล่องรากบุญให้ได้”
“3 วันเองเหรอ”
ปราณจ้องหน้าพิสัยด้วยแววตาดุดัน “นี่คือโอกาสสุดท้ายของแก”
พิสัยหน้าเครียดขึ้นมา เพราะเขาจนตรอกและไม่มีทางเลือกแล้ว
เจติยาเดินถือจานอาหารกับแก้วน้ำของลาภิณที่เขากินเสร็จแล้วเข้ามาในครัวที่มีคนรับใช้กำลัง
เช็ดจานที่ทำความสะอาดเสร็จแล้วอยู่ เจติยาเอาจานมาวางไว้ที่อ่างล้างจานแล้วเตรียมจะล้าง
“เดี๋ยวหนูล้างเองค่ะคุณ” คนรับใช้บอก
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เธอไปพักทานข้าวก่อนเถอะ”
เจติยาเปิดน้ำล้างจาน สาวใช้เดินออกไปจากครัว เจติยาหยิบฟองน้ำมาเพื่อจะล้างจาน ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงเดินมายืนข้างๆ เจติยาเห็นชายเสื้อของผู้หญิงคนนั้นจากหางตาก็นึกว่าเป็นคนรับใช้
“ไม่เป็นไรจ้ะ ไปทานข้าวเถอะ”
เจติยาหันไปมองแล้วก็ตกใจมากที่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ คือวิญญาณปริมที่หน้าซีดเผือด ทันใดนั้นวิญญาณปริมก็พุ่งเข้าสิงเจติยาทันที
ลาภิณกำลังอ่านแฟ้มเอกสารการประชุมของบริษัทอยู่ที่โซฟารับแขก เจติยาเดินนิ่งๆ ออกมาหาลาภิณ
ลาภิณเหลือบตามอง “จะกลับรึยังครับ”
เจติยาพูดหน้านิ่ง “ยังค่ะ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
ลาภิณเหลือบตามองเพราะรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย “นั่งสิ”
เจติยาเดินมานั่งเบียดข้างลาภิณในลักษณะหลังตรง หน้าเชิด
ลาภิณรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อยเพราะมั่นใจว่าเจติยาไม่น่าจะกล้ามานั่งเบียดเขาแบบนี้
ลาภิณยิ้มให้ “อยากคุยอะไรล่ะครับ” เขาวางแฟ้มลงที่โต๊ะกลางโซฟา
เจติยาชำเลืองมองลาภิณแล้วก็น้ำตารื้นขึ้นมา “คุณต้นยังรักปริมอยู่รึเปล่าคะ”
ลาภิณงงเล็กน้อย “ถามทำไมเหรอ”
“ฉันอยากรู้”
ลาภิณหน้าขรึมลง “ปริมคือความรักครั้งแรกของฉัน”
เจติยายิ้มออกด้วยความดีใจเป็นที่สุด
ลาภิณมองหน้าเจติยา “แต่กับเธอ เราอาจจะไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรัก แต่เพราะความที่เราช่วยเหลือกัน ผ่านเรื่องร้ายๆมาด้วยกัน มันเลยทำให้เราได้เรียนรู้ได้เข้าใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ” ลาภิณทำสายตาอ่อนโยน “จนตอนนี้ฉันมั่นใจว่าเธอคือผู้หญิงที่ฉันรักมากที่สุด”
รอยยิ้มเจติยาเหือดแห้งไปกายเป็นน้ำตาเอ่อขึ้นมาแทน ไม่ใช่เพราะปลาบปลื้มแต่มาจากความเจ็บช้ำ
ลาภิณเลื่อนมือไปจับกุมมือเจติยาแล้วก็ต้องสะดุ้ง “ทำไมมือเธอเย็นเฉียบขนาดนี้ล่ะ”
เจติยามีแววตาแข็งๆ ปนอิจฉาก่อนจะดึงมือออก
เจติยาโมโหมาก “แล้วระหว่างฉันกับปริม คุณรักใครมากกว่ากัน”
ลาภิณยิ่งสงสัยหนัก “ทำไมถามอย่างงี้ล่ะ”
เจติยาเสียงแข็ง “คุณตอบมาเถอะน่ะ”
ลาภิณคิดอยู่ครู่นึง “ฉันไม่อยากโกหกเธอหรอกนะ ตอนแรกฉันคิดกับเธอแค่เพื่อนร่วมงานจริงๆ แต่พอฉันเข้าใจผิดเรื่องปริมกับน้าพิสัย...”
เจติยาสวนขึ้นมา “ถ้าไม่เกิดเรื่องนายพิสัย คุณก็ยังรักปริมอยู่ใช่มั้ยคะ”
“ใช่” ลาภิณหน้าเศร้าลง “แต่ตอนนี้เรื่องฉันกับปริมมันจบแล้วล่ะ”
“ถ้าปริมยังไม่ตาย คุณจะเลิกกับเจแล้วกลับไปหาปริมมั้ย”
ลาภิณแปลกใจมาก “เธอพูดอะไรของเธอ เธอเป็นฝ่ายขอเลิกกับฉัน แล้วขอให้ฉันกลับไปหาปริมเองไม่ใช่เหรอ”
เจติยาหน้าเสียเพราะไม่เคยรู้ว่าเจติยาจะเป็นคนดีแบบนี้ เจติยาที่ถูกปริมเข้าสิงเลยอึกๆอักๆทำอะไรไม่ถูก
ลาภิณฉุกคิดได้ จึงลุกขึ้นจ้องหน้าเจติยา “ปริม นั่นคุณใช่มั้ย”
เจติยาทำอะไรไม่ถูก เลยลุกเดินหนีออกไปจากบ้านด้วยใบหน้านิ่งเครียด ลาภิณมองตามออกไปด้วยความแปลกใจและเป็นห่วง
เจติยาที่ถูกสิงโดยวิญญาณปริมเดินร้องไห้ น้ำตาคลอมาที่สนามข้างบ้าน แล้ววิญญาณปริมก็ออกจากร่างเจติยาเล่นเอาเจติยาทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยความอ่อนแรง วิญญาณปริมหันมามองหน้าเจติยาด้วยน้ำตานองหน้าเพราะเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เธอก็รู้ว่าไม่ใช่ความผิดของใครแม้แต่เจติยาที่เธอชอบโทษอยู่เป็นประจำ
ปริมร้องไห้ “แกได้ยินแล้วใช่มั้ย ถ้าคุณต้นไม่เข้าใจผิด คนที่เค้ารักก็คือฉัน เค้ายังรักฉันอยู่ ไม่ใช่แก” ปริมน้ำตาไหลต่อเนื่อง
เจติยาหน้านิ่งขรึมก่อนจะพยุงตัวไปนั่งพักที่ม้าสนาม
ปริมช้ำใจมาก “แต่ก็อย่างที่คุณต้นบอกนั่นแหละ เรื่องระหว่างฉันกับเค้ามันจบแล้ว ตอนนี้เธอคือปัจจุบัน ฉันเป็นอดีตไปแล้ว”
เจติยาเข้าใจความรู้สึก “แต่คุณปริมคะ”
ปริมพูดสวนขึ้น “หุบปาก แกไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ถึงมันจะไม่ใช่ความผิดของแก แต่ฉันก็เกลียดแกอยู่ดี ยิ่งรู้ว่าแกพยายามจะสละเค้าให้ฉัน ฉันก็ยิ่งเกลียดแกมากยิ่งขึ้น” ปริมน้ำตาไหลออกมา
เจติยานิ่งเงียบด้วยหน้าตาไม่สบายใจ
“คุณต้นไม่ใช่สิ่งของ อย่ามาเที่ยวยกเค้าให้ผู้หญิงคนไหนอีก ไม่ยังงั้นฉันจะตามรังควาญแก ไม่ให้อยู่เป็นสุขไปตลอดชีวิตเลยคอยดูสิ” ปริมมีสีหน้าแววตาดุดันแต่น้ำตายังคงไหล
เจติยาอึ้งปนงง เธอเงยหน้ามองปริมเพราะไม่มั่นใจว่าปริมต้องการสื่ออะไร
พูดจบวิญญาณปริมก็เลือนหายไป พร้อมๆ กับที่ลาภิณเดินตามออกมา
ลาภิณมองหา “เจ...”
เจติยาลุกขึ้นหันหน้าไปหาลาภิณ
“ปริมมาใช่มั้ย” ลาภิณถาม
เจติยาน้ำตาคลอ “ค่ะ”
ลาภิณเป็นห่วง “เธอปลอดภัยนะ”
เจติยาพยักหน้ารับ
ลาภิณเข้ามาสวมกอดเจติยาเอาไว้ เจติยากอดลาภิณแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกทั้งดีใจที่ปริมอโหสิให้และสงสารโชคชะตาของปริม
เช้าวันใหม่ นทีถือตะกร้าจ่ายตลาดเดินตามหลังมยุรีออกจากบ้าน เพื่อจะไปจ่ายตลาด เจติยารีบตามออกมา
“ไม่ต้องล็อคค่ะแม่ เจไปด้วยค่ะ” เจติยาตามออกมาแล้วล็อคประตูรั้ว
“วันนี้มีเวรตอนบ่ายไม่ใช่เหรอพี่” นทีถาม
“ตั้งใจจะแวะไปเยี่ยมลุงทวีก่อน” เจติยาบอก
“ดีแล้วลูก ลุงเค้าไม่มีลูกหลานที่ไหนแล้ว เจหมั่นไปดูแลเค้าก็ดีแล้วล่ะ”
สามคนแม่ลูกเดินคุยกันไปด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส พิสัยที่ซุ่มดูอยู่มองตามทั้งสามคนไปด้วยสายตาร้ายเพราะมีแผนการ
เจติยาเปิดประตูห้องไอซียูเข้ามาก็เห็นลาภิณกำลังนั่งเฝ้าทวีอยู่ข้างเตียง โดยที่ทวียังนอนหลับสนิท
“อ้าว คุณต้น”
ลาภิณยิ้มทักทาย “ใจตรงกันเลยนะ”
เจติยายิ้มรับ ก่อนจะเข้ามาจับมือทวี
“คุณหมอบอกรึยังคะว่าจะให้ย้ายลุงทวีไปห้องปกติได้เมื่อไหร่”
“น่าจะอีกวันสองวัน แต่ฉันกะว่าจะให้ลุงไปอยู่ที่บ้าน แล้วก็จ้างพยาบาลพิเศษมาดูแล ลุงทวีเค้ามีบุญคุณกับคุณพ่อมาก ยังไงฉันก็ต้องตอบแทนลุงเค้า” ลาภิณบอก
เจติยายิ้มบางๆ ด้วยความดีใจที่เห็นลาภิณเอาใจใส่ทวี เธอเดินเข้ามาจับมือทวี
เจติยาบอกกับทวี “เจมาเยี่ยมนะคะลุง”
ลาภิณจับตามองเจติยา “เมื่อคืนตอนที่ปริมเข้าสิงเธอ เธอได้ยินเรื่องที่ฉันคุยกับปริมมั้ย”
เจติยาแอบเขิน “ถามทำไมคะ”
ลาภิณยิ้มขี้เล่น “เมื่อคืนฉันรู้สึกว่าฉันพูดดีมากๆ เลย ถ้าให้พูดบอกเธอซ้ำอีกครั้ง กลัวจะไม่ดีเท่าเมื่อคืน” ลาภิณยิ้มกรุ้มกริ่ม
เจติยาเหยียดปากหมั่นไส้
ลาภิณลุกมายืนข้างเจติยาแล้วจับมือเจติยาเอาไว้ พร้อมพูดบอกทวี “หายให้ทันงานของเรานะครับลุง”
เจติยาเขินมาก “งานอะไรของคุณ พูดให้ดีๆ นะ” เจติยาใช้อีกมือมาหยิกพุงลาภิณ
ลาภิณยิ้มกริ่มไม่ตอบ
ลาภิณเดินคุยกับเจติยามาตามทางเดินในโรงพยาบาล
“พรุ่งนี้ธนาคารจะปล่อยเงินกู้งวดสุดท้ายให้แล้วนะ” ลาภิณบอก
เจติยายิ้มแย้มด้วยความดีใจ “ดีใจด้วยค่ะ”
ลาภิณถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้ว”
“ฟ้าหลังฝนก็ยังงี้ล่ะค่ะ”
ลาภิณยิ้มรับเพราะมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของเจติยาก็ดังขึ้นเตือนว่ามีคนส่งคลิปเข้ามา เจติยาดูโทรศัพท์มือถือด้วยความแปลกใจแล้วก็เปิดดู ในคลิปเป็นภาพมยุรีและนทีกำลังถูกจับมัดมือเท้า มัดปาก พยายามดิ้นรนอยู่ในกระท่อม ไม่กี่วินาทีแล้วคลิปก็จบ
เจติยาตกใจสุดๆ “แม่”
ลาภิณเห็นสีหน้าตกใจของเจติยาก็แปลกใจ “มีอะไรเหรอ”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเจติยาก็ดังขึ้นอีก
เจติยาดูเบอร์แล้วรีบกดรับทันทีด้วยความโมโห “อย่ามายุ่งกับแม่กับน้องฉันนะ”
เสียงพิสัยดังแว่วออกมาจากโทรศัพท์
“ได้ดูคลิปแล้วสินะ”
พิสัยกำลังคุยโทรศัพท์มือถือโดยมีปราณยืนมองอยู่ใกล้ๆ
“ถ้าอยากให้แม่กับน้องเธอปลอดภัย เธอก็คงรู้นะว่าต้องเอาอะไรมาแลก ตอนนี้ฉันอยู่ที่สวนของพี่จิต ถามไอ้ต้นดูก็แล้วกันว่าอยู่ที่ไหน” พิสัยกดตัดสายไป
มยุรีและนทีพยายามดิ้นรน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ปราณยิ้มพอใจ “แกน่าจะทำอย่างงี้ซะแต่แรก ไม่งั้นป่านนี้แกก็ได้เป็นเจ้าของกล่องรากบุญไปตั้งนานแล้ว”
“คนอย่างฉัน ถ้าไม่จนตรอกจริงๆ ฉันไม่มีวันเอาตัวเข้ามาเสี่ยงขนาดนี้หรอก” พิสัยจ้องหน้าปราณ “ขอให้กล่องนั่นวิเศษสมราคาคุยของแกจริงๆ เถอะ”
ปราณยิ้มมั่นใจ พิสัยหันไปมองนทีและมยุรี ที่โดนจับมัดอยู่ ทั้งคู่มองพิสัยด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่จะหันมาสบตากันด้วยความรู้สึกกลัว
ลาภิณและเจติยากำลังคุยกับนวัชด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่ห้องทำงานนวัช
“เจไม่ต้องห่วงนะ พี่ขอกำลังตำรวจไว้พร้อมแล้ว พอถึงเวลาเจก็ไปตามนัด แล้วพี่จะนำกำลังเข้าไปจับกุมนายพิสัยเอง” นวัชบอก
ลาภิณและเจติยาชำเลืองมองหน้ากันโดยยังไม่สบายใจนัก เพราะรู้ว่าพิสัยเจ้าเล่ห์มาก น่าจะอ่านเกมนี้ออก
นวัชสงสัย “ตกลงนายพิสัยจะยอมปล่อยคุณน้ากับนทีแลกเปลี่ยนกับอะไรเหรอเจ”
เจติยาชะงักไปเล็กน้อย “ก็เป็นกล่องโบราณใบนึงน่ะค่ะ”
นวัชตกใจเพราะนึกไม่ถึง “กล่องโบราณเนี่ยนะ”
“ค่ะ”
นวัชอึ้งไป ก่อนจะขำออกมา “มันเป็นกล่องซ่อนลายแทงขุมทรัพย์เอาไว้รึไง นายพิสัยถึงได้กล้าเสี่ยงทำความผิดเพิ่มให้ตัวเองเข้าไปอีก”
เจติยา และลาภิณหันไปสบตากันเพราะทั้งคู่รู้ดีว่ากล่องรากบุญเป็นยิ่งกว่ากล่องมหาสมบัติเสียอีก