รากบุญ ตอนที่ 8
นวัชเดินหน้าเครียดออกมาจากโถงบ้านเจติยา ส่วนนิษฐาดักรอเขาอยู่
นิษฐาหน้าบึ้งตึง “ที่พี่หมวดพูด หมายความว่ายังไงคะ”
นวัชหน้าเครียด “พี่พูดอะไรเหรอะ นี่พี่กำลังเครียดนะฐา เราอย่ามาหาเรื่องพี่อีกได้มั้ย”
นิษฐาโมโห “ฐาไม่ได้หาเรื่อง แต่พี่พูดแขวะฐา หาว่าฐาหนีเอาตัวรอดทิ้งให้เจถูกจับ”
นวัชโมโห “ก็แล้วมันจริงมั้ยล่ะ”
“พี่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ พี่ไม่มีสิทธิมาตัดสินว่าฐาเห็นแก่ตัวแบบนั้น” นิษฐาเสียใจจนน้ำตาคลอ “ตอนนั้นเจกับฐาวิ่งหนีมาด้วยกัน แต่เจหกล้มขาเจ็บ ก็เลยให้ฐาหนีมาก่อนเพื่อจะได้ตามคนไปช่วย ดีกว่าถูกจับไปทั้งสองคน แล้วอย่างงี้ จะเรียกว่าฐาทิ้งเพื่อนเอาตัวรอดได้ยังไงคะ”
นวัชอึ้งไปเพราะเถียงไม่ออก
นิษฐาน้ำตาคลอ “ที่พี่แขวะฐา ก็เพราะคนที่หนีกลับมาได้คือฐา ไม่ใช่เจ ใช่มั้ยคะ ลองเป็นฐาถูกจับไปสิ พี่คงไม่ว่าเจแบบนี้” นิษฐาน้ำตาไหลออกมาด้วยความน้อยใจ เธอจ้องหน้านวัชทั้งที่น้ำตาท่วมตาจนมองแทบไม่ชัด “ถ้าเลือกได้ พี่คงอยากให้คนที่ถูกจับไปคือฐามากกว่า” นิษฐาน้ำตาไหล
นวัชรู้สึกผิด “ไม่ใช่นะฐา พี่ไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น”
นิษฐาซับน้ำตาด้วยความน้อยใจ “แต่สิ่งที่พี่พูดออกมา มันแปลความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฐารู้ค่ะ ว่าสำหรับพี่ ฐาไม่มีความสำคัญเท่าเจอยู่แล้ว”
“ฐาคิดมากไปใหญ่แล้ว”
“ฐาไม่ได้คิดมาก แต่ฐาเลิกคิดเข้าข้างตัวเองต่างหาก”
นวัชถอนใจออกมา “พี่ขอโทษนะฐา พี่พูดไปเพราะอารมณ์ ไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น”
นิษฐาน้ำตาคลอ “ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ พี่หมวดมีสิทธิ์คิดแบบนี้อยู่แล้วไม่ได้ผิดอะไร ก็แค่ฐาไม่ควรกลับมาแทนเจก็เท่านั้นเอง” นิษฐาน้ำตาไหลด้วยความน้อยใจสุดๆ เพราะชอบเขามากก็ยิ่งน้อยใจมาก
นิษฐาสะบัดหน้าเดินซับน้ำตาออกไปจากบ้าน นวัชหน้าเสียเพราะรู้สึกผิดที่ด่วนว่านิษฐา โดยไม่ฟังเหตุผลของเธอก่อน
ปองวางกระแทกถาดอาหารลงบนโต๊ะต่อหน้าเจติยา และชูจิต
ชูจิตมองอาหารในถาดเพราะเครียดจนกินไม่ลง “ฉันกินไม่ลงหรอก เอากลับไปเถอะ”
ปองยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้ากินไม่ลง ก็เซ็นสัญญายกหุ้นให้คุณพิสัยซะสิคุณนาย จะได้กลับบ้านไปกินอาหารร้านหรูๆ”
ชูจิตเสียงแข็ง “ฉันไม่มีทางยกหุ้นของฉันให้คนเนรคุณเด็ดขาด”
ปองตะคอก “งั้นก็กินๆ เข้าไปซะ อย่ามาเรื่องมาก เดี๋ยวเข้ามาเก็บ อย่ามาบ่นหิวแล้วกัน”
ปองเดินออกจากห้องไปพร้อมกับปิดประตูกระแทกเสียงดัง เจติยาไม่สนใจ เธอเดินไปคว้าจานข้าวมากินหน้าตาเฉย
ชูจิตเหล่มองด้วยความหงุดหงิด “นี่เธอยังกินลงอีกเหรอ”
เจติยายิ้มบางๆ “กินไม่ลงก็ต้องกินค่ะ ไม่งั้นจะไม่มีแรงเอาไว้ด่ากับพวกมัน คุณท่านก็ควรจะทานซะหน่อยนะคะ ตั้งแต่เช้าเพิ่งทานไปนิดเดียวเอง”
ชูจิตหงุดหงิด “ใครจะกินลง ฉันเครียดจะตายอยู่แล้ว”
“เครียดไปก็เท่านั้นล่ะค่ะ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่หลังเดียวไม่ติดใคร มีทะเลรอบด้าน มีคนคุมเข้มตลอด ยังไงเราก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว”
ชูจิตยิ้มประชด “รู้ตัวเหมือนกันเหรอะ ฉันเห็นท่าทางเธอ นึกว่ามาพักผ่อนตากอากาศซะอีก”
เจติยายิ้ม “เอาไว้หนีไปได้ก่อน แล้วค่อยไปตากอากาศก็ได้ค่ะ”
“ก็ไหนเธอบอกว่ามีคนคุมเต็มไปหมด หนีไม่ได้ไงล่ะ พูดจาเรื่อยเปื่อย ไร้แก่นสารจริงๆ เด็กสมัยนี้” ชูจิตค้อน
“ถ้าจะหนีไปทื่อๆ ก็คงไม่ได้หรอกค่ะ แต่ถ้าเราตั้งสติแล้วรอโอกาสก็ไม่แน่ เพราะคนพวกนี้ไม่ใช่มืออาชีพ ไม่รอบคอบเท่าไหร่”
ชูจิตแปลกใจ “เธอรู้ได้ไง”
เจติยาชี้ไปที่ถาดอาหาร “ก็อย่างช้อนสังกะสีกับแก้วนี่ไงคะ จริงๆเราสามารถเอามาใช้เป็นอาวุธได้ ถ้าเค้ารอบคอบ ก็น่าจะใช้ช้อนกับแก้วพลาสติกมากกว่า”
ชูจิตชำเลืองมองไปที่ถาดอาหารแล้วก็เห็นตามอย่างที่เจติยาพูด
“แล้วเมื่อคืน เจก็มีเพื่อนมาด้วย ป่านนี้คงหนีกลับไปแจ้งตำรวจแล้ว วันนี้พรุ่งนี้ ตำรวจตามมาช่วยคุณท่านได้แน่นอน”
ชูจิตมองเจติยาด้วยความทึ่ง เพราะยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้นอกจากจะไม่ตกใจแล้ว เจติยายังนิ่ง คิดอ่านละเอียด เป็นที่พึ่งได้อีกต่างหาก
“ทานอาหารตุนพลังเอาได้ดีกว่าค่ะคุณท่าน” เจติยาบอก
ชูจิตถอนใจก่อนจะค้อนใส่แล้วก็ยังลังเลแต่แล้วก็คว้าจานอาหารมากินอย่างไม่เต็มใจนัก เจติยาชำเลืองมองชูจิตแล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจขึ้น
ปอง ย้ง และลูกน้องคนอื่นๆ กำลังล้อมวงกินเหล้าร้องรำทำเพลงกันอยู่หน้าบ้านพักริมทะเลที่ใช้ขังชูจิตกับเจติยา ปราณค่อยๆเดินเข้ามาที่หน้าบ้าน
ย้งหันไปเห็นปราณก็ถามเพื่อนๆ ด้วยเสียงเมา “นั่นใครวะ”
ทุกคนหันไปมองปราณ
ปราณจะเดินเข้าข้างในบ้านพัก
ย้งโมโหจึงลุกขึ้นยืนขวางหน้าปราณ “เฮ้ย มึงจะลองดีกับกูเหรอ”
ปราณจ้องหน้าย้ง เพียงแค่สบตาย้งก็ทรุดลงกับพื้นหลับสนิทไปทันที
ปองตกใจ “เอ็งทำอะไรไอ้ย้งวะ” ปองชักปืนออกมา “ตายซะเถอะมึง”
ปราณหันไปจ้องหน้าปองและลูกน้องคนอื่นๆ ปองและลูกน้องก็ล้มทั้งยืน ทั้งหมดล้มลงไปนอนกับพื้น เพราะโดนปราณสะกดจนหลับไปหมด ปราณสะแหยะยิ้มดูถูก ปล่อยให้พวกปอง ย้ง หลับเกลื่อนอยู่กับพื้น ปราณมีสีหน้าแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านพักที่เจติยาและชูจิตถูกขังอยู่ด้านใน
ประตูห้องนอนที่ขังชูจิตกับเจติยาถูกเปิดออก ปราณยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู เจติยาตกใจตื่น พอเห็นปราณเธอก็รีบปลุกชูจิต
เจติยาเขย่าตัวชูจิต “คุณท่านคะ คุณท่าน”
ชูจิตหลับเป็นตายเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ทันใดนั้นไฟในห้องก็สว่างขึ้นเอง ปราณเดินเข้ามาในห้อง
“มันไม่ตื่นหรอก เพราะฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอสองคนเท่านั้น” ปราณเน้นชื่อ “เจติยา”
เจติยาตกใจ “คุณรู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ คุณเป็นใครกันแน่”
“ฉันชื่อปราณ เธอรู้แค่นั้นก็พอ ฉันมีข้อเสนอมาให้เธอ ถ้าเธอตกลง ฉันจะช่วยเธอกับชูจิตออกไปจากที่นี่ แล้วจัดการส่งพิสัยเข้าคุก มันจะไม่มีโอกาสกลับมารบกวนเธอกับชูจิตอีกเลย สนใจมั้ยล่ะ”
เจติยาหน้าขรึมลง “คุณรู้เรื่องขนาดนี้เลยเหรอะ งั้นแสดงว่าสิ่งที่คุณต้องการแลกเปลี่ยน มันต้องสำคัญมาก”
ปราณยิ้มน้อยๆ “ฉลาดมาก บางทีเธอก็ฉลาดเกินไป” ปราณจ้องหน้า “ฉันต้องการกล่องรากบุญเป็นข้อแลกเปลี่ยน”
เจติยาตกใจสุดๆ “นี่คุณรู้เรื่องกล่องรากบุญด้วยเหรอ” เจติยาฉุกคิด “รึว่าคุณจะเป็นเจ้าของกล่องคนเก่า” เจติยานึกทบทวน “แต่ลุงทวีบอกว่าทุกคนเป็นเจ้าของกล่องได้คนละครั้งเดียวเท่านั้น”
ปราณพูดขัดขึ้น “อย่าพยายามหาคำตอบเลยเจติยา ตอบมาแค่ตกลงหรือไม่ตกลงก็พอ”
เจติยามีสีหน้าคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ
“ถ้าเธอตกลง ก็ออกปากสละความเป็นเจ้าของกล่องซะ แล้วให้กล่องเป็นผู้เลือกเจ้าของกล่องคนใหม่ด้วยตัวมันเอง”
เจติยาหน้าเครียด “ไม่ ฉันไม่รู้ว่าคุณหรือเจ้าของคนใหม่ จะเอากล่องไปทำอะไร ถ้าเป็นเรื่องไม่ดี ก็จะยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นมากขึ้น ฉันขอเลือกที่จะทำลายกล่องรากบุญซะดีกว่า”
ปราณโมโหมากแต่ก็พยายามระงับอารมณ์เต็มที่ “คิดให้ดีเจติยา เธอไม่อยากออกไปจากที่นี่เหรอ เผลอๆพิสัยอาจจะฆ่าเธอกับชูจิตปิดปากก็ได้นะ”
“ฉันรู้ แต่ฉันเชื่อว่าฉันเอาตัวรอดได้ ดีกว่าให้กล่องรากบุญ ต้องตกไปอยู่ในมือของคนที่อันตราย”
ปราณโมโหมาก “เธอมันโง่ที่สุด มีอำนาจวิเศษอยู่ในมือแท้ๆ ยังคิดจะทำลายมันทิ้งอีก ฉันพยายามพูดดีๆ กับเธอแล้วแต่เธอยังกล้าปฏิเสธ แล้วเธอจะเสียใจ” ปราณมีสีหน้าโกรธจัด
ทันใดนั้น ไฟในห้องก็ติดๆดับๆ ตามอารมณ์โกรธของปราณ สักพักไฟก็สว่างจ้าขึ้น แต่ปราณไม่อยู่ในห้องแล้ว ส่วนประตูก็ปิดเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เจติยาตกใจจนหน้าซีดเผือดเพราะไม่รู้ว่าเผชิญกับอะไรกันแน่ เธอได้แต่พึมพำชื่อชายลึกลับคนนั้นออกมา “ปราณ”
เช้าวันใหม่ ตำรวจจำนวนหนึ่งกำลังค้นหาหลักฐานเพื่อช่วยเหลือเจติยาอยู่บริเวณที่เจติยาพบกับชูจิต ในขณะที่ตำรวจอีกกลุ่มหนึ่งกำลังสอบถามชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้น นวัชเดินเข้ามาหาลาภิณ ปริม และนิษฐา
ลาภิณร้อนใจ “ได้เรื่องว่ายังไงบ้างครับหมวด”
“ทางตำรวจท้องที่เค้าจะใช้ที่นี่เป็นจุดตั้งต้น แล้วออกค้นหาในรัศมีสิบกิโลเมตร ถ้ายังไม่เจอ ก็ค่อยขยายรัศมีการค้นหาเพิ่มขึ้นครับ” นวัชรายงาน
ลาภิณพยักหน้ารับทราบก่อนจะหันไปพูดกับนิษฐา “คุณฐาจะกลับไปพักที่โรงแรมก่อนมั้ยครับ ถ้ามีอะไรคืบหน้า เดี๋ยวผมโทรไปบอกเอง”
“ไม่ล่ะค่ะ ฐาห่วงเจ ขออยู่ที่นี่ดีกว่า” นิษฐาเหล่นวัช “จะได้ไม่มีใครมาแขวะว่าฐาทิ้งเพื่อนอีก” นิษฐาค้อนใส่นวัช
นวัชหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย
“แล้วปริมล่ะครับ จะกลับไปคอยที่โรงแรมมั้ย” ลาภิณถาม
ปริมปั้นยิ้ม “ไม่ล่ะค่ะ ปริมก็ห่วงคุณแม่เหมือนกัน ขออยู่กับคุณต้นที่นี่ดีกว่า”
ลาภิณยิ้มรับก่อนจะหันไปคุยกับนวัชต่อ ย้งแอบดูอยู่เห็นลาภิณกับตำรวจเต็มไปหมดก็ยิ่งเครียดเพราะกลัวโดนจับ
ปองและย้งกำลังคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านพักริมทะเล
ปองร้อนใจ “ไอ้ลาภิณมันมาด้วยตัวเองเลยเหรอวะ”
ย้งเครียด “ก็จับแม่มันมาทั้งคนนี่หว่า ตำรวจงี้เพียบเลย งานนี้มึงกับกูซวยแน่ๆ”
ปองชักกลัว “เอาไงดีวะ”
“เหลือทางเดียวแล้วล่ะ เราต้องหนีเอาตัวรอดก่อน”
“แล้วมันสองคนล่ะ”
“ก็ต้องพามันหนีไปด้วย ถ้าพลาดท่ายังไง ก็ยังพอใช้พวกมันเป็นตัวประกันได้”
“แล้วเราจะหนีไปที่ไหนดีวะ” ย้งถาม
เจติยาปล่อยแก้วน้ำตกลงพื้นจนแตก โดยมีชูจิตยืนมองด้วยความงง
ชูจิตแปลกใจ “ทำอะไรของเธอ เดี๋ยวได้โดนบาดเอาหรอก”
เจติยาหยิบเศษแก้วขึ้นมาชิ้นนึง “เก็บไว้เป็นอาวุธค่ะ”
“เธอจะเอาเศษแก้วแค่เนี้ยไปสู้กับพวกมันรึไง ประสาท” ชูจิตทำสีหน้าเหยียดๆ เพราะดูถูกความคิดของเจติยา
“ไม่ได้เอาไปสู้หรอกค่ะ เมื่อกี๊คุณท่านก็ได้ยินแล้วว่าพวกมันจะพาเราไปอยู่ที่อื่น”
ชูจิตแปลกใจ “แล้วไง”
เจติยายิ้มรับ “แสดงว่าพวกมันต้องถูกตำรวจตามกดดัน ถึงได้คิดจะย้ายที่ซ่อน หนีไปทางถนนคงลำบาก เพราะอาจจะเจอตำรวจตั้งด่าน เหลือทางเดียว มันต้องพาเราหนีไปทางทะเลแน่ๆ”
ชูจิตมีสีหน้ากังวลปนกลัว
“ถ้าเราไม่รีบฉวยโอกาสหนีตอนนี้ ต่อไปคงยากแล้วล่ะค่ะ คุณท่าน”
ชูจิตอึ้งไปแต่ก็เห็นด้วยกับความคิดของเจติยา
เรือกำลังแล่นฝ่าคลื่นลมออกไปกลางทะเล เจติยาและชูจิตถูกจับมัดโดยมีปองกับย้งนั่งคุยกันอยู่ ลูกน้องพิสัยอีกคนเป็นคนขับเรือ
“อีกนานมั้ยวะไอ้ปองกว่าจะถึงเกาะของเอ็ง” ย้งถาม
“อีกสองสามชั่วโมงได้ ก็เรือที่เอ็งหามา มันช้าเหลือเกินนี่หว่า” ปองว่า
“หามาได้ก็บุญแล้ว”
เจติยากำลังใช้เศษแก้วที่แอบซ่อนมาตัดเชือกที่มัดแขนเธอกับชูจิตอยู่ทีละนิดๆโดยไม่มีใครรู้ และแล้วเจติยาก็ตัดเชือกจนขาด เจติยาและชูจิตหันมาสบตากัน ปองเดินผ่านหน้าเจติยาไป จังหวะนั้นเองเจติยาก็จับตามองที่ปืนของปองที่เหน็บอยู่ที่ด้านหลัง เจติยาฉวยโอกาสแย่งปืนของปองมาท่ามกลางความตกใจของทุกคน
ปองขู่ “วางปืนลงนะมึง” ปองทำท่าจะเดินเข้าไป
“อย่าเข้ามานะ” เจติยาเล็งปืน
ย้งแอบอ้อมมาอีกทาง
ชูจิตเหลือบไปเห็นก็รีบเตือน “มันมาทางนั้น”
เจติยาหันปืนเล็งไปทางย้ง ชูจิตรีบไปหลบอยู่หลังเจติยาอย่างกลัวๆ
ย้งยิ้มเยาะ “น้ำหน้าอย่างแก จะกล้ายิงเร้อ เอาซี้ แน่จริงก็ยิงเลย” ย้งทำท่าจะเข้าไปหาเจติยา
เจติยาจวนตัวเลยหลับตาปี๋แล้วยิงปืนมั่วๆ ปองและย้งรีบหาที่หลบกันวุ่นวายไปหมด เจติยายิงจนหมดกระสุนก่อนจะขว้างปืนทิ้ง
เจติยาหันไปบอกชูจิต “โดดค่ะ”
ชูจิตตกใจกลัวจึงมีท่าทางเงอะๆ งะๆ เจติยาจับชูจิตกัดฟันลากกระโดดลงทะเลไปด้วยกันทันที พวกปองและย้งตั้งสติได้รีบตามไปมองข้างเรือ แต่เจติยาและชูจิตก็ดำน้ำหายไปแล้ว
“โดดตามลงไปสิวะไอ้ย้ง” ปองสั่ง
“มึงโดดสิ กูว่ายน้ำไม่เป็น” ย้งบอก
“กูก็ไม่เป็น”
ปองและย้งหงุดหงิดแล้วรีบเดินหาสองคนนั้นไปรอบๆ เรือ
เจติยาประคองชูจิตขึ้นชายหาดอย่างทุลักทุเล
ชูจิตเหนื่อยหอบ “ดีนะ ที่ห่างจากฝั่งไม่มาก ไม่งั้นฉันจมน้ำตายเพราะแผนการบ้าๆของเธอไปแล้ว”
เจติยายิ้มๆ “แต่คุณท่านว่ายน้ำเก่งเหมือนกันนะคะ”
ชูจิตค้อนใส่ ขณะนั้นเองเธอก็เหลือบไปเห็นคนนอนอยู่ตรงหาดทรายห่างออกไปไม่มาก
ชูจิตดีใจสุดๆ “ตรงนั้นมีคนนี่” ชูจิตรีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาทันที “คุณคะ คุณ ช่วยด้วยค่ะ”
เจติยารีบเดินตามชูจิตไป พอไปถึงชูจิตก็ต้องช็อกสุดขีดเมื่อคนๆนั้นเป็นเด็กสาววัยรุ่นที่นอนตายเกยหาด หน้าซีด ตาเบิกโพลง
ชูจิตกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจสุดขีด
เจติยารีบวิ่งเข้าไปดูแล้วก็ต้องอึ้ง เจติยานึกถึงตอนที่เธอกับนิษฐาออกตามหาเด็กสาวคนนี้...
เจติยาดูรูปถ่ายในมือแล้วถอนใจ “น้องเอ๊ย ป่านนี้จะเป็นไงบ้างนะเนี่ย”
เจติยาจำได้เพราะหน้าตาของศพเหมือนในรูปเป๊ะ เธอพึมพำ “ใช่แน่ๆ”
ทันใดนั้นมือของศพก็คว้าแขนเจติยาหมับแล้วก็ชะโงกหน้าขึ้นมาพูด
“บอกความจริง”
เจติยาตกใจจนสะดุ้งเฮือกเพราะไม่คิดว่าจะเจอศพร้องขอความช่วยเหลือตอนนี้
ปริมกำลังวางจานอาหารลงบนโต๊ะอาหารในห้องพักที่โรงแรม โดยที่ลาภิณกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โซฟา
ปริมปั้นยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปหาลาภิณ “คุณต้นคะ ทานข้าวค่ะ”
ลาภิณเครียด “ผมยังทานไม่ลงหรอกปริม คุณทานเถอะ”
“ทานไม่ลงก็ต้องแข็งใจทานค่ะ วันนี้คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้วถ้าไม่ทาน อะไรอีก เดี๋ยวจะไม่มีแรงนะคะ”
ลาภิณหน้าขรึมด้วยความสงสัย “อยากรู้จริงๆ ว่าพวกมันจับตัวคุณแม่ไปทำไม”
ปริมรีบตัดบทเพราะเริ่มกังวล “คงเรียกค่าไถ่อย่างที่ตำรวจเค้าสันนิษฐานนั่นล่ะค่ะ”
ลาภิณส่ายหน้า “แล้วทำไมป่านนี้พวกมันยังไม่ติดต่อกลับมาอีกล่ะ บอกตรงๆนะ ผมสังหรณ์ว่าน้าพิสัยจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
ปริมชะงักไปเล็กน้อย “ไม่มั้งคะ ยังไงก็พี่น้องกัน แล้วปริมก็ไม่เคยเห็นน้าพิสัยมีปัญหาอะไรกับคุณแม่เลย คุณแม่คุณรักเค้าออกจะตายไป”
“นั่นแหละที่ผมยังแปลกใจ หรือคุณแม่ไปรู้ความลับอะไรของเค้าเข้า”
ปริมหน้าเสียทันที เพราะลาภิณเริ่มสันนิษฐานใกล้เคียงความจริงเข้าไปทุกที
นวัชกำลังคุยโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นวัชห่วงเจติยา “ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเลยเหรอ” นวัชฟัง “เออ...เข้าใจ คดีนี้มันอยู่นอกเขตข้า แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ เลยนะ” นวัชฟัง “โอ.เค. ขอบใจมาก”
นวัชกดตัดสาย พอหันกลับไปก็เห็นนิษฐายืนมองอยู่
นิษฐาจะเดินเลี่ยงออกไป นวัชรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวสิฐา”
นิษฐายังปั้นปึง
นวัชถอนใจ “จะโกรธกันไปถึงไหนครับ พี่ยอมรับว่าพี่พูดไม่ดี แต่พี่ก็ขอโทษแล้วไง”
“ถ้าขอโทษ เพราะแค่อยากให้มันจบๆไป ก็ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ถ้าลึกๆ พี่หมวดยังเห็นว่าฐาผิด คำขอโทษมันก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ”
นวัชชักหงุดหงิด “แล้วเรามารู้ได้ไงว่าใจลึกๆพี่คิดยังไง หาเรื่องไม่เข้าท่า”
รากบุญ ตอนที่ 8 (ต่อ)
นิษฐาโมโห “พี่พูดทำร้ายจิตใจฐา แล้วยังจะว่าฐาหาเรื่องไม่เข้าท่าอีกเหรอคะ”
นวัชหงุดหงิด “ก็แล้วมันจริงมั้ยล่ะ พี่ผิดพี่ก็ยอมรับแล้ว จะงอนกันไปถึงไหน”
“ฐาจะงอนหรือไม่งอน มันก็ไม่สำคัญกับพี่อยู่แล้วนี่” นิษฐาสะบัดหน้าพรืดแล้วเดินไปขึ้นลิฟท์
นวัชถอนใจก่อนจะมองตามด้วยความเหนื่อยใจ
ปองถูกพิสัยตบจนหน้าสะบัด พวกลูกน้องคนอื่นๆพากันกลัวหัวหด
พิสัยโมโหสุดขีด “มึงปล่อยให้หนีไปได้ยังไงวะ” พิสัยกระชากคอเสื้อปอง “ผู้หญิงแค่สองคนยังไม่มีปัญญา ไม่ได้ความ” พิสัยผลักปองออกไปอยากแรง
ปองเซล้มไปกับพื้นทราย เขามีสีหน้าเจ็บใจและขบกรามแน่นเพื่อสะกดอารมณ์เอาไว้ ย้งกับลูกน้องอีกกลุ่มรีบเข้ามาหา
“ได้เรื่องแล้วครับคุณพิสัย” ย้งบอก
“ว่าไงวะ”
“มีคนเห็นผู้หญิงสองคน ลักษณะคล้ายกับสองคนนั่น โบกรถขนมะพร้าวเข้าตัวเมืองไปเมื่อเย็นนี้เองครับ”
พูดจบ พิสัยก็ถีบย้งเข้าไปเต็มๆ
พิสัยโมโหสุดขีด “นี่เหรอวะได้เรื่องของมึง ได้เข้าคุกน่ะสิ”
ย้งเซจนเกือบล้มและจ๋อยสนิท
“พวกมันไปถึงตัวเมืองเมื่อไหร่ ได้พาตำรวจมาลากคอพวกมึงแน่” พิสัยบอก
ย้งกลัว “แล้วเราจะทำไงดีล่ะครับคุณพิสัย”
“ก็ตามไปดักสิวะ” พิสัยขบกรามแน่น “หาตัวเจอเมื่อไหร่” พิสัยหยุดพูดแล้วมีสีหน้าใช้ความคิด แววตาเหี้ยมเกรียม
ปราณยืนมองพิสัยอยู่ด้วยความสนใจ ปราณยิ้มพอใจในความโหดเหี้ยมและโลภโมโทสันของพิสัย ปราณคิดว่าคนแบบนี้สมควรจะเป็นเจ้าของกล่องรากบุญมากที่สุด
แผงลอยขายอาหารตั้งอยู่ข้างทาง ผู้คนมากมายเดินไปเดินมา ชูจิตเดินตามเจติยามาด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ทั้งปวดเมื่อย ทั้งเพลียสุดๆ
ชูจิตเหนื่อยมาก “นี่เราจะไปไหนกันเหรอ”
“หนูมีธุระนิดหน่อยน่ะค่ะ” เจติยาบอก
ชูจิตไม่พอใจ “ตอนนี้มีธุระอะไรสำคัญกว่าไปหาตำรวจอีกไม่ทราบ”
เจติยากำลังลังเล ทันใดนั้นวิญญาณของกิ่ง สาววัยรุ่นที่ถูกฆ่าตายก็ยื่นหน้ามากระซิบข้างหูจนเจติยาสะดุ้งเล็กน้อย
“ไม่ทันแล้ว ต้องรีบไปช่วยคนเดี๋ยวนี้”
เจติยาหันไปมองทางกิ่งแต่ก็ไม่มีกิ่งอยู่แล้ว
“ธุระหนูเป็นเรื่องด่วนจริงๆ ค่ะคุณท่าน คุณท่านไปหาตำรวจก่อนแล้วกันนะคะ เดี๋ยวหนูตามไป” เจติยาบอก
ชูจิตตวาดแว๊ด “เกิดไอ้พวกนั้นตามมาทัน ฉันจะทำยังไงล่ะ”
เจติยาอ่อนใจ ชูจิตก็เร่ง วิญญาณกิ่งก็เร่งจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
เจติยาเดินกวาดตามองหาด้วยสีหน้าร้อนใจมาตามทางเดินในอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง โดยมีชูจิตเดินตามหลังและบ่นมาตลอดทาง
ชูจิตโมโห “เธอมันบ้าไปแล้ว แทนที่จะไปหาตำรวจ มีใครจะเป็นจะตายรึไง ถึงต้องมาให้ได้”
เจติยาหน้าจ๋อย “หนูก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มันก็คล้ายๆอย่างงั้นล่ะค่ะ”
ชูจิตมีสีหน้าไม่พอใจมากแต่ไปคนเดียวก็กลัวจะเอาตัวไม่รอด เจติยาเดินมาถึงหน้าห้องๆหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองวิญญาณของกิ่ง กิ่งพยักหน้าให้เป็นการบอกเจติยาว่ามาถูกห้องแล้ว เจติยาเคาะประตูห้อง
ชูจิตแปลกใจ “เธอรู้จักเจ้าของห้องเหรอ”
“ไม่รู้จักหรอกค่ะ” เจติยาบอก
ชูจิตงงๆ และกำลังจะวีน แต่ศักดิ์ ชายวัยห้าสิบที่มีฐานะดีก็เปิดประตูห้องออกมาก่อน
“มาหาใครครับ” ศักดิ์ถาม
“ฉันมาหาศรกับไหม” เจติยาบอก
ศักดิ์ตกใจสุดๆ ก่อนจะรีบเก็บอาการ “ที่นี่ไม่มีคนชื่อนี้หรอก มาผิดห้องแล้ว”
ศักดิ์จะปิดประตูแต่เจติยารีบดันประตูไว้ก่อนจะผลักประตูเข้าไป ท่ามกลางความตกใจของชูจิต
เจติยาจ้องหน้าศักดิ์ “ศรกับไหม คือเด็กที่ถูกหลอกมาขายบริการให้คุณไงล่ะ จริงๆ ยังมีกิ่งอีกคน แต่คุณฆ่าเธอไปแล้ว”
ศักดิ์ตกใจมากก่อนจะตะคอกด้วยความโกรธจัด “เลอะเทอะออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้เลย”
ชูจิตหน้าเสีย “ขอโทษค่ะฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ” ชูจิตรีบดึงมือเจติยา “ไปสิเจติยา”
เจติยาเหลือบตามองไปที่โซฟาแล้วก็ตกใจแทบช็อค เพราะที่โซฟามีศพของกิ่งที่ศีรษะเต็มไปด้วยเลือด น่าหวาดกลัวอยู่ในสภาพที่ตาย
เจติยาชี้ไปที่โซฟา “กิ่งตายที่โซฟานั่น”
ศักดิ์หน้าซีดเผือดไป ศพกิ่งเงยหน้าหันมามองเจติยาแล้วพูดกับเจติยา
“พวกมันหลอกหนูกับเพื่อน ว่ามีงานให้ทำ” กิ่งชี้หน้าศักดิ์ “แล้วมันก็ขายหนูให้ไอ้ผู้ชายคนนี้ มันเป็นพวกวิปริต พอหนูไม่ยอม มันก็เลยฆ่าหนู”
เจติยาจ้องหน้าศักดิ์เขม็ง “คุณฆ่ากิ่งแล้วเอาศพไปทิ้งทะเลเพื่อทำลายหลักฐาน แล้วตอนนี้ คุณก็กำลังจะทำแบบเดียวกันกับศรกับไหม”
ศักดิ์ตกใจสุดขีด “แกเป็นใคร แกต้องการอะไร”
กิ่งเดินนำไปที่ห้องน้ำด้านใน เจติยาผลักอกศักดิ์ออกไปอย่างแรงแล้วรีบวิ่งตามกิ่งไปท่ามกลางความตกใจของศักดิ์และชูจิต เจติยาเปิดประตูห้องน้ำออกแล้วก็ต้องผงะเมื่อเจอศรกับไหม เด็กสาวในวัยเดียวกับกิ่ง ถูกมัดมือมัดเท้า แถมมัดปากไม่ให้ส่งเสียงร้อง ส่วนเนื้อตัวก็เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกซ้อมกำลังนอนอ่อนแรงอยู่บนพื้นห้องน้ำ
ชูจิตตกใจสุดๆ เพราะนึกไม่ถึงว่าจะเจอเด็กสองคนนี้จริงๆ ทันใดนั้นศักดิ์ก็ตามไปจิกหัวเจติยาลากออกมา เจติยากระทืบเท้าศักดิ์จนศักดิ์เจ็บจึงเผลอปล่อยมือที่จิกหัวเจติยา เจติยาผลักศักดิ์กระเด็นออกไปแล้วจะวิ่งไปคว้าไม้กอล์ฟ แต่ศักดิ์ตรงเข้ามาล็อกคอเจติยาไว้ได้ทัน ก่อนจะเหวี่ยงเจติยาไปที่โซฟาแล้วตามไปบีบคอเจติยาทันทีกะเอาให้ตาย
เจติยาพยายามจะดึงมือศักดิ์ออกแต่สู้แรงไม่ไหว เธอใกล้จะขาดลมหายใจ ทันใดนั้นไม้กอล์ฟอันหนึ่ง ก็ฟาดเข้าเต็มหัวของศักดิ์จนศักดิ์เลือดไหลอาบลงไปนอนหมดสติอยู่กับพื้น ชูจิตเป็นคนใช้ไม้กอล์ฟฟาดใส่ศักดิ์ ชูจิตตกใจรีบทิ้งไม้กอล์ฟด้วยความหวาดกลัว เจติยาหลุดมาได้ก็ไอโขลกเพราะโดนบีบคอจนหายใจไม่ออกและเกือบแย่ไปเหมือนกัน
ตำรวจพาศรและไหมออกมาจากคอนโดโดยใช้ผ้าคลุมใบหน้าไว้ ในขณะที่ศักดิ์ถูกตำรวจจับใส่กุญแจมือ ทั้งที่ศีรษะยังมีเลือดไหลอยู่ ท่ามกลางคนมามุงดูมากมาย เจติยากำลังยืนมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ ทันใดนั้นวิญญาณของกิ่งก็ปรากฎขึ้นที่ด้านหลังของเจติยาในสภาพปกติ
เจติยาสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันไปพูดกับกิ่ง “ถึงพี่จะเริ่มชินกับผีแล้วก็เถอะนะ แต่อย่ามา เงียบๆ แบบนี้ได้มั้ย”
กิ่งยิ้มบางๆ “หนูมาขอบคุณพี่ค่ะที่ช่วยเพื่อนหนูไว้ ถ้าพี่มาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว เพื่อนหนูคงไม่รอดแน่”
เจติยายิ้มรับ “ไม่ต้องขอบใจหรอกจ้ะ พี่เต็มใจช่วยเราอยู่แล้ว” เจติยาหน้าเศร้าลง “แต่ถ้าพี่รู้เรื่องเร็วกว่านี้ บางที กิ่งอาจจะไม่ต้องตายก็ได้”
ทันใดนั้นชูจิตก็เดินเข้ามาหาเจติยาเงียบๆ และมีสีหน้าสงสัยที่เห็นเจติยาพูดอยู่คนเดียว
“หนูต้องไปแล้ว ขอบคุณพี่อีกครั้งนะคะ ถ้ามีโอกาส หนูคงได้ตอบแทนพี่บ้าง”
วิญญาณของกิ่งเลือนหายไป
ชูจิตมองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยถาม “เธอคุยอยู่กับใครน่ะ”
เจติยาสะดุ้งแต่ตีหน้าตาย “ไม่มีนี่คะ หนูก็บ่นพึมพำของหนูไปเรื่อย”
“ฉันไม่ได้แก่จนตาฝ้าฟางนะ ฉันเห็นอยู่กับตา เลี้ยงกุมารทองเป็นเพื่อนรึไง”
เจติยาได้แต่ยิ้มแหยๆ เพราะไม่รู้จะพูดยังไง
ชูจิตทำสีหน้าหมั่นไส้ “เธอนี่มีลับลมคมในซะเหลือเกินนะ ทั้งเรื่องที่มาช่วยคนที่นี่ แล้วยังรู้อีกว่าใครเป็นฆาตกร”
เจติยายิ้มแหยๆ “มันอธิบายยากน่ะค่ะท่าน เอาไว้มีเวลา แล้วหนูจะเล่าให้ท่านฟังนะคะ”
ชูจิตค้อนด้วยความหมั่นไส้ “ฉันก็ไม่ได้อยากรู้นักหนาหรอก” ชูจิตตัดบท “แล้วเราจะไปให้ปากคำต่อที่โรงพักได้รึยัง หรือว่ามีธุระต้องไปช่วยใครที่ไหนต่ออีกไม่ทราบ”
เจติยายิ้มแหยๆ “ไปได้แล้วค่ะ เออ แล้วท่านจะบอกตำรวจรึเปล่าคะ ว่าคุณพิสัยอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด”
ชูจิตหน้าเจื่อนไปเพราะพอถึงเวลาจริงๆ เธอก็ห่วงน้องชายจนลังเลไม่กล้าตัดสินใจ เจติยามองหน้าชูจิต แล้วรอฟังคำตอบ
ลาภิณและปริมรีบเดินไปหานวัชกับนิษฐาที่รออยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมตอนกลางคืน
ลาภิณร้อนใจเพราะเป็นห่วงชูจิตและเจติยา “เจอคุณแม่กับเจแล้วเหรอครับหมวด”
“ครับ ตอนนี้อยู่ที่โรงพัก เพื่อนผมเพิ่งโทรมาบอก” นวัชบอก
“แล้วคุณแม่กับเจเป็นยังไงบ้างครับ” ลาภิณถามต่อ
“ปลอดภัยทั้งสองคนครับ”
ลาภิณมีสีหน้าโล่งอก
ปริมกลัวซวยไปด้วย “แล้วจับตัวคนร้ายได้รึเปล่าคะ”
“ไม่ได้ครับ ทั้งคู่หนีออกมาเอง” นวัชบอก
ปริมแอบมีสีหน้าโล่งอกยิ่งกว่ารู้ว่าทั้งคู่ปลอดภัย
“แต่ก็คงอีกไม่นานหรอกค่ะ ป่านนี้คงให้ปากคำสาวไปถึงตัวการแล้วล่ะ” นิษฐาบอก
ปริมชะงักไปเล็กน้อยเพราะอดกังวลขึ้นมาไม่ได้
ลาภิณดีใจสุดๆ “งั้นเรารีบไปโรงพักกันดีกว่าครับ ผมอยากเจอคุณแม่แล้ว”
ปริมทำสีหน้ามีแผนการ “เอ่อ คุณต้นคะ ปริมลืมมือถือไว้บนห้อง ขอกลับขึ้นไปเอาก่อนนะคะ” ปริมรีบเดินเลี่ยงไป
“เร็วๆ นะปริม”
“ค่ะ”
ทุกคนนั่งรอที่ล็อบบี้โรงแรม พอพ้นสายตาทุกคนปริมก็ล้วงโทรศัพท์มือถือมาโทรออกด้วยสีหน้าร้อนใจ
เจติยาและชูจิตนั่งรออยู่ในห้องสอบสวน
“รอซักครู่นะครับ ท่านสารวัตรติดอีกคดีอยู่ อีกเดี๋ยวก็คงมาครับ” ตำรวจนายหนึ่งบอก
ชูจิตยิ้มแย้ม “ไม่เป็นไรค่ะ”
ตำรวจนายนั้นเดินเลี่ยงออกไปจากห้อง เจติยาเหล่มองชูจิตเหมือนมีเรื่องอยากจะพูด แต่ยังกล้าๆ กลัวๆ
ชูจิตเห็นอาการก็เดาได้ “เธอมีอะไรจะพูดก็พูดมา”
“ทำไมท่านถึงไม่บอกตำรวจไปล่ะคะ ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของคุณพิสัย” เจติยาถาม
ชูจิตอึกๆอักๆ เธอลังเลเพราะยังรักน้องอยู่ “ใครว่าฉันไม่บอกล่ะ เดี๋ยวเจอท่านสารวัตรฉันก็บอกเองแหละ จะได้ไม่ต้องเล่าหลายๆรอบ” ชูจิตมีสีหน้าลำบากใจ
เจติยาชักระแวง “คุณท่านคงไม่ได้รักน้อง จนยอมปล่อยให้เรื่องนี้เงียบไปหรอกนะคะ”
ชูจิตอึ้งเมื่อเจอเจติยาพูดแทงใจดำก็ไปไม่ถูก
ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับที่มีคนๆหนึ่งเข้ามาในห้อง ชูจิตและเจติยาหันกลับไปมองเพราะนึกว่าเป็นสารวัตร แต่แล้วทั้งสองก็ต้องตกใจเพราะคนที่เดินเข้ามาเป็นพิสัย
เจติยารีบยืนบังชูจิตไว้ “ที่นี่โรงพักนะคุณพิสัย”
พิสัยถอนใจก่อนทำหน้าขรึม “ฉันไม่โง่หรอกน่ะ ฉันก็แค่อยากจะคุยกับพี่สาวของฉัน...ถอยไป”
ชูจิตพยักหน้าให้เจติยา เจติยายอมหลบทางให้ พิสัยเดินเข้าไปหาชูจิต โดยที่เจติยาคอยจับตาดูอยู่ตลอด แล้วทั้งเจติยาและชูจิตก็ต้องอึ้งเพราะคิดไม่ถึง เมื่อจู่ๆ พิสัยก็คุกเข่าแล้วก้มลงกราบแทบเท้าของชูจิต ชูจิตก้มมองพิสัยแล้วก็น้ำตารื้นขึ้นมาเพราะเธอรักน้องชายมาก
พิสัยปั้นหน้าเศร้า “ผมมากราบขอโทษพี่จิตครับ ขอบคุณพี่จิตที่ยังเมตตา ไม่บอกใครว่าเป็นฝีมือผม”
ชูจิตกลั้นน้ำตาแล้วเชิดหน้า “ก่อนมาคงมีสายรายงานหมดแล้วสิ แต่เธอเข้าใจผิดนะพิสัย ถึงยังไง พี่ก็ต้องแจ้งความแล้วเล่าความจริงทั้งหมดให้ตำรวจฟังอยู่ดี”
“ผมทราบครับ ผมไม่ได้มาขอให้พี่จิตยกโทษให้ผมหรอกครับ เพียงแต่ผมอยากมาบอกพี่ ว่าผมไม่ได้คิดจะทำร้ายพี่เลย ผมเพียงแค่ต้องการหุ้นของนิราลัยเท่านั้น” พิสัยบอก
เจติยาขัดขึ้นมา “ถึงยังไงก็ผิดอยู่ดีแหละค่ะ คุณไม่มีสิทธิจับตัวใครไปบีบบังคับให้ยกอะไรให้ทั้งนั้นแหละ ถึงจะเป็นพี่สาวก็เถอะ”
พิสัยเหล่มองเจติยาด้วยสายตาเจ็บใจ ก่อนจะตีหน้าเศร้าพูดกับชูจิตต่อ “พี่มีบุญคุณกับผมท่วมหัว ที่ผมทำไป ก็เพราะผมน้อยใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ถึงยังไง ผมก็ไม่มีวันทำร้ายพี่จิตได้หรอกครับ ผมอยากให้พี่เชื่อผมข้อนี้”
เจติยากลัวชูจิตใจอ่อน “อย่าหลงคารมเค้านะคะคุณท่าน”
“เธอเงียบก่อนเถอะเจติยา” ชูจิตว่า
เจติยาจ๋อยไป
พิสัยปั้นหน้าเศร้า บีบน้ำตาคลอ “พี่เล่าความจริงให้ตำรวจฟังเถอะครับ ถ้าผมทนรับความผิดไม่ไหว ผมก็คงได้ไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่เร็วขึ้นก็เท่านั้นเอง”
ชูจิตตกใจมาก “พิสัย”
พิสัยก้มหน้าบีบน้ำตา เจติยาเหล่มองพิสัยด้วยสีหน้าไม่เชื่อ
“เธอออกไปก่อนไป” ชูจิตบอกเจติยา
เจติยาหน้าเสียเพราะรู้ว่าชูจิตใจอ่อนแน่ “คุณท่านคะ”
ชูจิตน้ำตาคลอ “ฉันขอล่ะ ฉันอยากคุยกับน้องตามลำพัง”
เจติยาเซ็งสุดๆ แต่ก็ยอมออกจากห้องไป พิสัยก้มหน้าแต่หางตามองไปทางเจติยาก่อนจะอมยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยความพอใจที่พี่สาวใจอ่อนกับตน
ลาภิณประคองชูจิตกลับเข้ามาในบ้าน โดยมีเจติยาและปริมเดินตามหลังมาอีกที ปริมค้อนเจติยาด้วยสีหน้าหมั่นไส้ตลอดเวลา
“น่าเสียดายนะครับ ที่ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร ไม่อย่างงั้น ผมจะลากคอเข้าคุกให้หมดเลย” ลาภิณบอก
ชูจิตพูดหน้านิ่ง “ก็แค่พวกเรียกค่าไถ่ธรรมดา ช่างมันเถอะต้น ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ”
เจติยาแอบถอนใจเซ็งๆ เพราะชูจิตช่วยน้องชายจนได้
ปริมเหล่เจติยา “ขอบใจนะจ๊ะที่ตามมาส่ง ป่านนี้ที่บ้านเธอคงเป็นห่วงเธอแย่แล้ว เดี๋ยวฉันจะให้คนขับรถไปส่งที่บ้านนะ”
“เดี๋ยวก่อน ที่แม่ให้เจเค้าตามมาด้วย เพราะมีธุระจะคุยกับเค้า”ชูจิตหันไปพูดกับเจติยา “เธอตามฉันขึ้นไปข้างบน”
เจติยารับคำ “ค่ะ คุณท่าน”
เจติยาเดินตามชูจิตขึ้นชั้นบน
ปริมมองตามด้วยความหมั่นไส้ “ดูคุณแม่จะเอ็นดูแม่นี่ขึ้นเยอะเลยนะคะ เมื่อก่อนเห็นเรียกนังเด็กนั่นนังเด็กนี่ เดี๋ยวนี้เรียกเจยังงั้นยังงี้” ปริมเหยียดปาก
“ถูกจับตัวไปด้วยกัน แถมยังพากันหนีออกมาอีก ก็ต้องสนิทกันขึ้นเป็นธรรมดาล่ะปริม” ลาภิณบอก
ลาภิณเดินไปทิ้งตัวลงนั่งเหยียดให้สบายที่โซฟา ทิ้งให้ปริมยืนหงุดหงิดเจ็บใจ ที่ชูจิตไม่เอ็นดูตนเหมือนก่อนแต่หันไปเอ็นดูเจติยาแทน
ชูจิตหยิบสร้อยทองคำขาวมีจี้เพชรเล็กๆห้อยอยู่ออกมาจากกล่องกำมะหยี่ ก่อนจะยื่นให้เจติยา
“ฉันให้ แทนคำขอบคุณที่เธอช่วยฉันเอาไว้”
เจติยายิ้มบางๆ แต่ไม่ยอมรับสร้อย “คุณท่านก็ช่วยชีวิตหนูไว้เหมือนกัน ถือว่าหายกันเถอะค่ะ ส่วนสร้อย หนูคงรับไว้ไม่ได้เพราะมันมีค่ามากเกินไป”
ชูจิตหน้าหงิกงอ “เธอนี่ยังไงนะ ผู้ใหญ่ให้ของก็รับไปเถอะ แล้วมันก็ไม่ใช่ของแพงอะไรนักหนาหรอก”
เจติยาอึกๆอักๆ เพราะลำบากใจที่จะรับสร้อย “แต่...”
“ฉันรู้ว่าเธอหยิ่งในศักดิ์ศรี แล้วที่เธอช่วยฉันก็ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน แต่อย่าถึงกับต้องให้ฉันขอร้องกราบกรานเธอให้รับเอาไว้เลยนะ”
เจติยาหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกเลยไหว้ขอบคุณชูจิตก่อนจะรับสร้อยมา
“ท่านคะ หนูมีเรื่องอยากจะถามท่าน”
ชูจิตขัดขึ้นมาทันที “เรื่องพิสัยใช่มั้ย”
เจติยาพยักหน้ารับ
“ฉันรู้ว่าเธอคงไม่พอใจที่ฉันยอมปล่อยเค้าไป แต่เธอไม่เคยมีลูก เธอไม่เข้าใจหรอก ฉันรักพิสัยเหมือนลูกในไส้ ถึงเค้าจะทำเรื่องเลวร้ายขนาดไหน ฉันก็ทำร้ายเค้าไม่ลง” ชูจิตมีสีหน้าเศร้าเพราะผิดหวัง
เจติยาหน้าขรึมไป “ถึงหนูจะไม่เคยเป็นแม่ แต่ก็เคยเห็นแม่ที่เป็นเหมือนกับคุณท่านประจำค่ะ” เจติยาแอบถอนใจเซ็งเพราะเธอหมายถึงแม่ของตัวเอง
ชูจิตมองเจติยาด้วยสีหน้ามีคำถาม
เจติยารีบเปลี่ยนเรื่อง “แต่คุณพิสัย เค้าอาจจะกลับมาทำร้ายคุณท่านอีกก็ได้นะคะ”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ธุระของเธอ”
เจติยาจ๋อยไป
รากบุญ ตอนที่ 8 (ต่อ)
“แต่ยังไง ฉันก็อยากจะขอให้เธอปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ที่จริงมันก็ไม่ยุติธรรมกับเธอนักหรอก เพราะเธอก็เป็นผู้เสียหาย แต่ถือว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน”
เจติยาอึ้งไปเพราะชูจิตพูดมาขนาดนี้เธอก็เกรงใจ
“ค่ะคุณท่าน”
ชูจิตตัดบทเปลี่ยนเรื่อง “เธอนี่อะไรก็ดีอยู่หรอกนะ เสียแต่หัวรั้นไปหน่อย แล้วก็ชอบทำตัวมีลับลมคมในซะเรื่อย”
เจติยายิ้ม
ชูจิตหน้าขรึมลงก่อนจะจ้องหน้าเจติยา “แต่ฉันก็ยังคาใจอยู่ไม่หาย ว่าทำไมคุณสารัชถึงให้หุ้นกับเธอ”
เจติยายิ้มค้าง
“ถึงคราวนี้เธอจะช่วยฉันไว้ แต่เรื่องนั้นมันยังไม่จบหรอกนะ” ชูจิตค้อนด้วยสายตาหึงๆ ก่อนจะลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ “ออกไปได้แล้ว”
เจติยาหน้าเจื่อนปนเซ็งก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา
พิสัยโยนเงินปึกนึงให้ปองและย้ง
พิสัยสั่งหน้าบึ้งตึง “พวกแกไปหาที่กบดานซักพัก”
ย้งหยิบเงินมาแล้วยิ้มดีใจกับปอง
“ตกลงคุณชูจิตจะไม่เอาเรื่องคุณพิสัยแน่เหรอครับ” ปองถาม
พิสัยตะคอก “เออสิวะ ก็ฉันลงทุนกราบแทบเท้า แถมยังต้องยอมลาออกจากนิราลัยแล้วนี่”
“ถึงขั้นต้องออกเลยเหรอครับ” ย้งถาม
พิสัยยิ่งโมโห “เออ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมึงทำพลาด กูจะตกที่นั่งลำบากขนาดนี้เหรอะ ไปให้พ้นๆ หน้ากูเลย”
ปองและย้งรีบออกไปจากห้อง โดยปองมีท่าทางเซ็งๆเบื่อพิสัย ในขณะที่ย้งมีท่าทางกลัวๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นที่ด้านหลังพิสัย พิสัยรีบหันกลับไป เขาเห็นปราณกำลังหยิบของตั้งโชว์ของเขาขึ้นมาดู พิสัยตกใจลุกขึ้นยืน
“แกเป็นใคร เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง มากับไอ้ปองไอ้ย้งเหรอ”
ปราณยิ้มๆ แล้วเดินเข้าหาพิสัย
พิสัยรีบเดินไปเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบปืนออกมาขู่ทันที
ปราณมองพิสัยหัวจรดเท้า “เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ทะยานอยากไม่สิ้นสุด แถมยังโหดเหี้ยมอำมหิตอีก คนอย่างแก มันช่างเหมาะสมจริงๆ”
พิสัยเห็นปราณไม่ตอบแถมยังด่าเขาอีกก็โมโหเลยจะยิงปืนใส่ปราณ แต่พิสัยกลับบังคับมือตัวเองไม่ได้ จู่ๆ ก็หันปืนใส่ตัวเอง พิสัยต้องใช้มืออีกข้างมาฝืนไว้
พิสัยตกใจสุดๆ กลัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ปราณขำเยือกเย็นก่อนจะเดินมาดึงปืนออกจากมือพิสัย
พอปราณดึงปืนออกไป พิสัยก็หายจากอาการประหลาดทันที
พิสัยชักกลัว “แกเป็นใครกันแน่” พิสัยถอยห่าง
ปราณยิ้ม “แกไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เอาเป็นว่าถ้าแกยอมช่วยฉัน ฉันจะให้แกเป็นเจ้าของกล่องรากบุญคนใหม่ก็แล้วกัน”
พิสัยสงสัย “กล่องรากบุญ พูดเรื่องอะไรของแก” พิสัยมีสีหน้ากลัวๆ
ปราณสะแหยะยิ้มร้าย
นิษฐากำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมหลังจากเพิ่งอาบน้ำสระผมและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ โทรศัพท์มือถือของนิษฐาดังเป็นสัญญาณบอกว่ามีเมสเสจเข้ามา นิษฐากดดูเมสเสจทำให้เห็นว่าเป็นนวัชที่เมสเสจเข้ามา
นิษฐาอ่านข้อความออกเสียง “ใจคอจะโกรธกันจนตายเลยรึไง” นิษฐาเบ้ปากใส่โทรศัพท์ แต่ก็แอบอมยิ้ม
มีเสียงบอกว่าเมสเสจเข้ามาอีก นิษฐาเลยกดดู
“เดินมาที่หน้าต่างหน่อยสิครับ”
นิษฐาเดินไปเปิดผ้าม่านแล้วมองออกไป เธอเห็นนวัชยืนถือป้ายขนาดใหญ่ที่วาดเป็นตัวการ์ตูนเด็กชายกำลังร้องไห้ พร้อมกับมีตัวหนังสือเขียนว่า “ยกโทษให้พี่ด้วยนะครับ”
นิษฐาค้อนใส่ “ประสาท” นิษฐาแอบอมยิ้มชอบใจ
นิษฐาสวมเสื้อคลุมชุดนอนเดินออกมาหานวัชที่หน้าบ้าน
นวัชยิ้มรับ ก่อนลดป้ายลง “หายโกรธพี่แล้วใช่มั้ย”
นิษฐาค้อน “ฐาอายเพื่อนบ้านหรอกค่ะ”
นวัชยิ้ม “พี่ขอโทษอีกครั้งก็แล้วกัน” นวัชถอนหายใจโล่งอกก่อนจะยิ้มแย้ม “ค่อยสบายใจหน่อย เครียดมาซะตั้งหลายวัน”
“สบายใจเพราะเจปลอดภัย หรือเพราะฐายกโทษให้พี่กันแน่คะ”
“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ พี่ไม่ชอบทะเลาะกับใครนานๆ โดยเฉพาะกับเพื่อนดีๆอย่างฐา” นวัชยิ้มแย้ม “นี่ดีนะ ที่เจเค้าแนะนำพี่ว่าควรง้อฐายังไง ไม่งั้นพี่ก็คงจนปัญญา”
นิษฐาอึ้งไป
“เห็นเจบอกว่าฐาชอบฉากง้อแบบนี้ในหนังเรื่องนึง เรื่องอะไรเหรอ พี่จะไปหามาดูมั่ง ดูซิว่าพี่ง้อได้ดีเท่าพระเอกในเรื่องรึเปล่า”
นิษฐาน้อยใจหนักกว่าเดิม “เทียบไม่ติดหรอกค่ะ เพราะพระเอกในเรื่องนั้นเค้าคิดเอง ทำจากใจของเค้าจริงๆ”
นวัชจ๋อย “ก็พี่ไม่รู้จริงๆ นี่ ว่าจะทำยังไงให้ฐาหายโกรธได้ซะที”
นิษฐาน้ำตาคลอ เธอสะบัดหน้าพรืดเดินกลับเข้าบ้านไป
“ฐา” นวัชเรียก
นิษฐาเดินเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับมาอีก
นวัชบ่นพึมพำ “ตกลงงอนต่อ หรือไงเนี่ย” นวัชได้แต่ถอนใจส่ายหน้าเพราะไม่เข้าใจ
เช้าวันใหม่ เจติยาสะพายเป้เดินเข้าบริษัทมา พอเจอใครเธอก็ทักทายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ทันใดนั้นปริมก็เดินออกมาจากข้างใน พวกพนักงานเห็นปริมก็รีบไหว้ ปริมพยักหน้ารับแล้วเหล่มองเจติยาแบบเหยียดๆ แต่แล้วปริมก็เหลือบเห็นสร้อยคอของเจติยาเข้า ปริมรีบปรี่เข้าไปดูสร้อยของเจติยาท่ามกลางความตกใจของทุกคน
ปริมจำได้ว่าเป็นสร้อยของชูจิตก็โมโห “เธอไปได้สร้อยนี้มาจากไหน”
เจติยาตอบด้วยความตกใจ “คุณท่านให้เจค่ะ”
ปริมริษยาขึ้นหน้า “โกหก สร้อยเส้นนี้คุณพ่อซื้อให้คุณแม่เป็นเส้นแรก ดีไซน์แบบนี้ฉันจำไม่ผิดหรอก คุณแม่หวงมาก เธอขโมยคุณแม่มาใช่มั้ย”
เจติยาโมโหจึงปัดมือปริมที่จับสร้อยอยู่ออกไป “ดูถูกกันเกินไปแล้วนะคะ”
“ถอดสร้อยมาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”
เจติยาจ้องหน้าปริม “คุณท่านให้ฉันแล้ว ถ้าคุณอยากได้ ก็ต้องไปขอจากคุณท่านก่อน ฉันไม่กล้าให้คุณโดยพลการหรอกค่ะ” เจติยาจะเดินไป
ปริมโมโหมาก “ฉันบอกให้ถอดมาไงล่ะ” ปริมเข้าไปพยายามดึงสร้อยออกจากคอเจติยา “ถอดมาเดี๋ยวนี้”
เจติยาปัดป้องไม่ยอมให้ปริมดึงออกไป ทั้งสองยื้อยุดกันจนเล็บของปริมข่วนเข้าที่คอของเจติยาเป็นแผล แถมสร้อยก็ถูกกระชากจนขาดทำให้ปริมเอาไปได้ เจติยาโกรธจัด เธอกำหมัด จ้องหน้าปริมเขม็งจนปริมก็เกรงไปเหมือนกันเมื่อเห็นเจติยาเอาจริงขึ้นมา
ปริมรีบเดินเลี่ยงไปอย่างเร็ว เจติยามองพนักงานที่ล้อมวงดูอยู่ด้วยตาขวาง พนักงานกระจัดกระจายกันออกไปด้วยความกลัว เจติยาถอนใจพรวดก่อนจะส่ายหน้าเซ็งๆ
ชูจิตหยิบสร้อยที่ขาดเส้นนั้นมายื่นให้ลาภิณ โดยมีปริมทำสีหน้าเคืองๆ อยู่ใกล้ๆ
ชูจิตพูดสีหน้านิ่ง “ต้นช่วยเอาสร้อยไปต่อ แล้วเอาไปคืนเจติยาให้ด้วย แม่ให้เค้าแล้ว ไม่อยากเสียคำพูด”
ลาภิณรับสร้อยมา “ครับคุณแม่”
ปริมริษยา “ทำไมคุณแม่ต้องให้สร้อยยัยนั่นด้วยคะ ไหนคุณแม่เคยบอกว่ารักสร้อยเส้นนี้มาก เพราะเป็นของขวัญชิ้นแรกที่คุณพ่อซื้อให้ไงคะ”
“แบบสร้อยเส้นนี้มันต้องเด็กสาวๆ ใส่ถึงจะสวย” ชูจิตบอก
“ปริมก็เคยขอคุณแม่ ขอซื้อต่อด้วยซ้ำแต่คุณแม่ไม่ให้” ปริมมีสีหน้าน้อยใจมาก
ชูจิตพูดหน้านิ่ง “ก็เจติยาเค้าช่วยชีวิตแม่เอาไว้แม่ก็เลยอยากให้ของตอบแทนเค้า ให้มากกว่านี้เค้าไม่มีทางรับหรอก ต้นก็น่าจะรู้จักนิสัยเด็กคนนี้ดี”
“ครับแม่ แต่ผมว่าให้สร้อยเส้นนี้น้อยไปหน่อย มันมีคุณค่าทางจิตใจของคุณแม่ แต่ไม่ได้มีราคามากมายอะไร”
“แค่นี้เค้ายังจะไม่รับเลย” ชูจิตถอนใจ
ปริมขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจปนอิจฉาที่ชูจิตให้ความสำคัญเจติยามากขึ้นทุกที
ลาภิณไม่ค่อยสบายใจ “ปริมน่าจะมาถามคุณแม่ก่อน ไปมีเรื่องกับพนักงานแบบนี้ น่าอายจะตายไป”
ปริมโมโห “ถ้าพนักงานนั่นไม่ใช่เจติยา คุณต้นจะว่าปริมยังงี้รึเปล่าคะ”
ลาภิณไม่พอใจ “เอาอีกแล้วนะปริม”
ชูจิตพูดตัดบททันที “ต้นไปจัดการตามที่แม่สั่งได้แล้วจ้ะ”
“ครับคุณแม่” ลาภิณเดินออกไปจากห้อง
ปริมหงุดหงิด “ปริมกลับก่อนนะคะคุณแม่” ปริมไหว้ลาแล้วจะเดินออกไป
ชูจิตพูดขึ้น “ถึงรูปจะถูกทำลายไปหมดแล้ว แต่ก็ใช่ว่าเรื่องไม่เคยเกิดขึ้นหรอกนะ”
ปริมตกใจมากจนหน้าเสียแต่พยายามเก็บอาการ “คุณแม่พูดเรื่องอะไรคะ”
ชูจิตยิ้มเย็นชา “ช่างเถอะ จะรีบกลับไม่ใช่เหรอะ” ชูจิตก้มหน้าทำงานต่อ
ปริมหน้าซีดเผือดและหายใจไม่ทั่วท้อง เธอรีบเดินออกไปจากห้องทันที
ทวีทายาที่แผลที่คอให้เจติยา โดยมีโอ้เอ้อยู่ใกล้ๆ
เจติยาแสบแผล “โอ๊ย แสบค่ะลุง”
“ทายาแค่นี้ทำใจเสาะไปได้” ทวีว่า
“นั่นสิลุง ไปบู๊กับโจร โดดลงทะเลมาแล้ว แค่นี้มาทำร้องโอดโอย” โอ้เอ้แซว
“ไม่รู้อะไรอย่าทำมาพูดเลยโอ้เอ้ พี่ได้สู้กะใครที่ไหน หนีอย่างเดียวก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว”
ลาภิณเดินเข้ามาในห้อง ทุกคนหันไปมอง
ลาภิณพูดกับเจติยา “คุณแม่ให้ฉันเอาสร้อยไปต่อให้ เสร็จเมื่อไหร่ฉันจะเอามาคืนให้เธอนะ”
เจติยาเซ็ง “งั้นฝากคุณคืนคุณท่านไปเลยได้มั้ยคะ ฉันไม่อยากมีปัญหากับคุณปริมอีก”
โอ้เอ้กระเซ้า “คราวนี้โดนเล็บข่วน คราวหน้าสงสัยจะโดนปาดคอ”
ทวีดุ “ไอ้โอ้เอ้ เดี๋ยวจับเย็บปากซะเลย” ทวีรีบหันไปพูดกับลาภิณ “ขอโทษด้วยนะครับคุณต้น”
ลาภิณยิ้มจ๋อยๆ “ไม่เป็นไรครับลุง โอ้เอ้เค้ามีสิทธิ์คิดแบบนั้นได้ปริมเค้าผิดจริงๆ ผมก็อยากมาขอโทษเจเค้าเรื่องนี้เหมือนกัน” ลาภิณหันไปพูดกับเจติยา “ขอโทษแทนปริมด้วยนะ แต่เรื่องสร้อย คุณแม่ยังยืนยันอยากให้เธอเก็บเอาไว้ อย่าปฏิเสธน้ำใจท่านเลยนะ”
“จะดีเหรอคะ คุณปริมเธอไม่พอใจมากบอกว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของขวัญชิ้นแรกที่คุณสารัชซื้อให้คุณท่าน”
“โอ้โห ของสำคัญขนาดเนี้ย ไหงคุณชูจิตถึงมายกให้พี่เจล่ะครับ หรือว่าอยากบอกอะไรรึเปล่า” โอ้เอ้สงสัย
ทวียัดสำลีเข้าปากโอ้เอ้ทันที
“พูดมากนัก” ทวีเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน
โอ้เอ้ถุยออกมา “ลุงอ้ะ แหวะ...เช็ดศพมารึยังเนี่ย” โอ้เอ้รีบไปล้างปากที่อ่างน้ำ
เจติยาและลาภิณสบตากันเล็กน้อย เจติยารีบหลบสายตาไป
ลาภิณยักไหล่แล้วตัดบท “คุณแม่คงตั้งใจตอบแทนน้ำใจเธอจริงๆ รับไว้เถอะนะ”
เจติยาจำใจ “ค่ะ” ลึกๆ เจติยาก็ยังแอบแปลกใจที่ชูจิตให้ความสำคัญเธอขนาดนี้
“ว่าง่ายยังงี้ คนกลางอย่างฉัน ค่อยสบายใจหน่อย” ลาภิณยิ้มสบายใจให้เจติยา
เจติยาไม่กล้าสู้หน้าและรับยิ้มลาภิณ เธอเดินเลี่ยงไปเก็บอุปกรณ์ทำแผลแก้เก้อ
พิสัยลงจากรถที่จอดที่ลานจอดรถพร้อมคุยโทรศัพท์มือถือมาด้วย
พิสัยคุยมือถืออย่างหงุดหงิด “มาถึงแล้ว จะให้เซ็นอะไรก็เตรียมไว้ให้พร้อมเลย ฉันจะมาให้วันนี้วันเดียว” พิสัยกดตัดสายอย่างหัวเสีย แล้วจะเดินเข้าตึกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นปราณยืนดักรออยู่
ปราณยิ้มขำ “เรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่าหัวเสียเลยน่า มาตกลงเรื่องของเราดีกว่า” ปราณเดินไปหาพิสัย “ถ้าแกช่วยฉัน แกจะได้มากกว่าที่แกมีอยู่เป็นร้อยเป็นพันเท่า”
“แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร ผู้วิเศษรึไง...บอกตามตรง ฉันไม่เชื่อเรื่องกล่องรากบุญอะไรที่แกพูดวันนั้น นิทานหลอกเด็ก”
ปราณยิ้มหยัน “แกเชื่อเรื่องพลังจิตมั้ยล่ะ ฉันเป็นผู้มีสัมผัสพิเศษมีอำนาจมากมายกว่าที่แกจะคิดได้ ที่ฉันพิสูจน์ให้แกเห็นคราวก่อน ยังไม่พออีกรึไง”
พิสัยนิ่งไป ลึกๆ เขาก็กลัว แต่ก็แอบมีสีหน้าเจ้าเล่ห์ขึ้นมา “ถ้าแกมีอำนาจขนาดนั้นจริง ช่วยให้ฉันไม่ต้องตกงานจากที่นี่ได้มั้ยล่ะ”
ปราณสะแหยะยิ้ม อย่างรู้ทัน “เตรียมรับโทรศัพท์”
พิสัยงงๆ เขาจะอ้าปากพูด แต่เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดขึ้นมาซะก่อน
พิสัยหยิบมือถือมาดูเบอร์ก่อนจะกดรับสาย “ครับพี่จิต...” พิสัยฟัง “อยู่ที่ลานจอดรถครับ...ครับ จะขึ้นไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” พิสัยกดตัดสายก่อนจะหันกลับไปมองทางปราณแต่ปราณก็ไม่อยู่แล้ว
ชูจิตกำลังคุยกับพิสัยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในห้องทำงาน
ชูจิตหน้าเครียด “โครงการร่วมลงทุนนี่ เธอเป็นคนบุกเบิกมาตั้งแต่แรก ถ้าเธอไม่สานต่อ นักลุงทุนก็คงขาดความมั่นใจ”
พิสัยดีใจมาก “ขอบคุณมากครับพี่จิตที่ให้โอกาสผมอีกครั้ง ผมจะทำงานเต็มที่ไม่ให้พี่ผิดหวังเลยครับ”
ชูจิตหน้านิ่ง “อย่าเพิ่งดีใจไปพิสัย เธอเป็นคนรับผิดชอบงานนี้ก็จริง แต่ก็แค่หุ่นเชิด เธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรทั้งนั้น การที่พี่ยังไม่ให้เธอออก ไม่ได้หมายความว่าพี่อภัยให้เธอแล้ว”
พิสัยปั้นหน้าเศร้า “ผมทราบครับพี่จิต ผมไม่กล้าหวังถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
ทันใดนั้นพิสัยก็ได้ยินเสียงปราณก้องอยู่ในหัว
“เชื่อรึยังว่าฉันทำได้”
พิสัยหันไปมองรอบๆ อย่างหน้าเสีย
เสียงปราณดังก้อง “อย่าลืมสัญญาของเรา”
พิสัยยังคงกวาดตามองไปข้างๆ
ชูจิตแปลกใจ “มีอะไรพิสัย”
“เปล่าครับ”
พิสัยทำไม่รู้ไม่ชี้แต่แอบยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เพราะชักจะเชื่อในพลังจิตพิเศษของปราณขึ้นมาแล้ว
เจติยาเดินสะพายเป้กลับเข้ามาในบ้านแต่ประตูโถงบ้านเจติยาปิดสนิทจนผิดปกติ เจติยาบิดลูกบิดจึงพบว่าประตูล็อคเปิดไม่ออก เธอมองไปที่พื้นก็เห็นรองเท้านักเรียนของนที และรองเท้าของมยุรีอยู่ครบ
เจติยาแปลกใจ “รองเท้าก็อยู่ แล้วล็อคบ้านทำไมเนี่ย”
เจติยาเปิดเป้ หยิบกุญแจออกมาไขประตูโถงเข้าไป
“แม่คะ ล็อคประตูบ้านทำไม...” เจติยาตกใจ “แม่ นที”
มยุรีและนทีถูกจับมัดมีผ้าปิดปากนั่งอยู่กับพื้นบ้าน เจติยารีบเข้าไปแก้มัดทันที
มยุรีห่วงลูก “รีบหนีเร็วเจ มีโจรปล้นบ้าน”
“จะหนีทำไมล่ะแม่ โทรตามตำรวจมาจับมันสิ มันยังอยู่ข้างบนเลย” นทีบอก
ทันใดนั้น โจร 2 คนซึ่งเป็นลูกน้องพิสัยก็เดินถือกล่องรากบุญลงมาจากชั้นบน ลูกน้องพิสัยเห็นเจติยามาช่วยแก้มัดนทีกับมยุรีได้ก็ตกใจ
เจติยาเห็นกล่องรากบุญก็ตกใจมาก “แกจะเอากล่องนั่นไปไหน เอาไปไม่ได้นะ”
ลูกน้องพิสัยตกใจรีบวิ่งหนีออกไปจากบ้านทันที เจติยารีบวิ่งกวดตามออกไปติดๆ
มยุรีเป็นห่วงจึงรีบลุกตามไปหน้าประตู “เจ อย่าตามไปลูก เจ...”
เจติยาวิ่งไล่ลูกน้องทั้งสองของพิสัยมาตามซอย ลูกน้องพิสัยพยายามวิ่งหนี แต่เจติยาก็วิ่งตาม
ไม่ลดละ ลูกน้องพิสัยวิ่งหนีจนเหนื่อยหอบ ทันใดนั้นปราณก็เดินเข้าขวางหน้าลูกน้องพิสัยเอาไว้
ลูกน้องพิสัยเหนื่อยหอบ “ได้ของมาแล้วครับ” ลูกน้องพิสัยยื่นกล่องรากบุญให้
ปราณรับกล่องมาพร้อมกับยิ้มพอใจ “ทำดีมาก แล้วฉันจะบอกพิสัยให้ตบรางวัลพวกแก”
ทันใดนั้นเจติยาก็ตามมาถึงพอดี
“คืนกล่องมานะ” เจติยาตกใจที่เห็นปราณ “คุณ...”
ปราณสั่งลูกน้องพิสัยทั้งสองคน “ไปได้แล้ว”
ลูกน้องพิสัยรีบวิ่งหนีไปทันที
“คุณขโมยกล่องไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าของกล่องมีได้คนเดียวเท่านั้น แล้วกล่องจะเปลี่ยนมือได้ ก็ต่อเมื่อฉันเอ่ยปากสละมัน หรือไม่ก็ยกกล่องให้คนอื่น ซึ่งฉันจะไม่ยอมทำทั้งสองอย่าง”
“ยังมีอย่างที่สามเจติยา” ปราณมองเจติยาด้วยสายตาน่ากลัว “ถ้าเธอตาย กล่องก็เป็นอิสระ”
เจติยาอึ้งไปครู่ ก่อนจะยิ้มเล็กๆ “ฉันรู้แต่คงมีเหตุผลบางอย่างที่คุณไม่ฆ่าฉัน ไม่งั้นคุณคงทำไปแล้วล่ะ ไม่เลือกที่จะขโมยมันมาหรอก”
ปราณยิ้มขำ “ฉันเสียดายเธอจริงๆเจติยา เธอแตกต่างจากเจ้าของกล่องทุกคนที่ผ่านมา แต่มีสิ่งที่เธอพูดผิดอยู่อย่างนะ ฉันไม่ได้ขโมยเพราะฉันเป็นเจ้าของกล่องอยู่เสมอ”
“ไม่จริง ถ้าคุณเป็นเจ้าของมัน คุณจะขโมยมันออกมาทำไม”
“เพราะฉันต้องการจะบอกเธอน่ะสิ ว่าถ้าเธอยังดื้อรั้นไม่ยอมสละความเป็นเจ้าของกล่อง” ปราณมีสีหน้าแววตาอำมหิต “คนใกล้ตัวเธอทุกคนจะต้องเดือดร้อน เหมือนที่แม่กับน้องเธอโดนวันนี้”
เจติยาโมโห จ้องหน้าปราณแล้วฮึดสู้ “ฉันไม่มีวันให้กล่องกับแกเด็ดขาด”
เจติยาเข้าไปดึงกล่องจากมือปราณทันที ปราณดึงกล่องไว้ไม่ยอมให้เจติยาดึงคืนไป
ทันใดนั้น มือของปราณที่จับกล่องอยู่ก็ร้อนจนกลายเป็นสีแดงก่ำ ปราณเจ็บปวดสุดๆ จนยอมปล่อยกล่อง เจติยาผงะหงายหลังล้มไปกับพื้นทันทีที่ปราณปล่อยกล่อง พอเจติยาตั้งหลักได้ก็เงยหน้ามองหาปราณแต่ก็ไม่เห็นแล้ว เจติยากอดกล่องรากบุญไว้แน่นพร้อมกับกวาดตามองหาปราณแต่ก็ไม่เจอ เจติยามีสีหน้าแปลกใจกับการปรากฎตัวของปราณเป็นที่สุด
ปราณยืนมองออกไปนอกหน้าต่างห้องของพิสัยด้วยสีหน้าอำมหิต พิสัยเดินเซ็งๆมานั่งที่โซฟา
พิสัยพูดอย่างเซ็งๆ “ไม่รู้จะยุ่งยากอะไรนักหนา ถ้าอยากได้กล่องนั่นมากขนาดนี้ ก็ส่งคนไปเก็บนังเด็กนั่นซะก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นต้องรอให้มันยอมยกให้เองเลย”
ปราณหันไปพูดกับพิสัย “ถ้าทำแบบนั้นได้ คงมีการฆ่าชิงกล่องรากบุญกันรายวัน”
พิสัยยักไหล่ไม่แคร์ “ใครดีใครได้ก็ถูกต้องแล้วนี่”
“แต่คนที่ฆ่าเจ้าของกล่อง จะไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของคนต่อไป เพราะเจ้าของกล่องจะต้องตายตามอายุขัย หรือไม่ก็ต้องตายเพราะทำงานที่วิญญาณร้องขอไม่สำเร็จเท่านั้น” ปราณบอก
พิสัยถอนใจเซ็งๆ “กฎเกณฑ์ยุ่งยากวุ่นวายซะเหลือเกิน”
“แต่นายก็จำเป็นต้องรู้เอาไว้ ถ้าอยากเป็นเจ้าของกล่องคนต่อไป”
“ก็ขอให้กล่องมันวิเศษจริงๆ อย่างที่นายอวดอ้างเถอะ สรุปว่าแค่ทำให้เจติยาสละความเป็นเจ้าของ หรือไม่ก็ยกกล่องให้ฉันก็พอใช่มั้ย”
“ใช่ ฉันเคยพยายามหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จซะที” ปราณเจ็บใจ “จิตใจของเจติยาเที่ยงตรงและกล้าหาญเกินไป”
พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าบังคับข่มขู่แล้วไม่สำเร็จ ก็ใช้ไม้นวมซิ”
ปราณมองพิสัยด้วยความสงสัย พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยความมั่นใจ
รากบุญ ตอนที่ 8 (ต่อ)
เจติยาถือกล่องรากบุญที่มีเหรียญติดอยู่สองเหรียญและมองดูกล่องรากบุญด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะยิ่งนานเธอก็ยิ่งกลัวกล่องรากบุญมากขึ้นทุกที
เจติยาเครียด “อีกครั้งเดียวเท่านั้น แล้วฉันก็จะไม่ต้องเห็นแกอีก”
กล่องรากบุญในมือเจติยาส่งแสงแวววาวขึ้นมาเหมือนไม่พอใจความคิดของเจติยา
เช้าวันรุ่งขึ้น เจติยายืนคอยน้องชายด้วยความหงุดหงิดอยู่ที่หน้าบ้าน เธอเหลือบดูนาฬิกาแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ สักพักนทีในชุดนักเรียนก็เดินเซ็งๆออกมาจากข้างในบ้าน
เจติยาหงุดหงิด “ทำไมช้านักล่ะ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก”
นทีเซ็ง “สายนิดสายหน่อยจะเป็นอะไร อย่าเว่อร์ไปหน่อยเลยพี่เจ”
เจติยาหงุดหงิด “คนเราต้องมีความรับผิดชอบ ต้องตรงต่อเวลา ไม่ควรเพาะนิสัยไม่ดีตั้งแต่ตัวเท่านี้”
นทีเอามืออุดหูแล้วเดินหนีเจติยาไป
เจติยาโมโห “นที อย่ามาทำแบบนี้กับพี่นะ” เจติยาจะเดินตาม
ทันใดนั้นพิสัยก็ขับรถเข้ามาหาเจติยา เจติยางงเล็กน้อย
พิสัยลงจากรถแล้วยิ้มทักทาย “มอร์นิ่ง”
เจติยานึกไม่ถึงแต่ก็ยกมือไหว้ “คุณพิสัยมีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ”
“เปล่าหรอก ฉันได้ยินมาว่าเมื่อวานมีโจรขึ้นบ้านเธอ ฉันเป็นห่วงก็เลยแวะมาดู”
เจติยาทั้งอึ้งทั้งงง “คุณรู้ได้ยังไงคะ”
พิสัยยิ้ม “แค่เธอบอกกับร้อยเวรว่าทำงานที่นิราลัย เรื่องก็ถึงหูฉันแล้ว”
เจติยาหน้าขรึมเพราะไม่รู้พิสัยจะมาไม้ไหน
นทีเซ็ง “ไหนว่าไม่ควรไปสายไงพี่เจ แล้วเมื่อไหร่จะไปซะที”
พิสัยยิ้มใจดีให้นที “กำลังจะไปโรงเรียนเหรอ งั้นให้พี่ไปส่งแล้วกัน”
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันกับน้อง”
เจติยายังพูดไม่จบ นทีก็พูดสวนขึ้น “ขอบคุณครับพี่ นานๆจะได้นั่งรถหรูๆไปโรงเรียนซะที”
นทีเปิดประตูรถด้านหลังแล้วขึ้นไปนั่งหน้าตาเฉย พิสัยมองเจติยาแล้วยิ้มให้
“เธอต้องนั่งหน้านะ ถ้าไม่อยากให้ฉันต้องกลายเป็นคนขับรถประจำตัวของเธอ”
เจติยาเซ็งสุดๆ แต่ก็ต้องเลยตามเลย เธอเดินไปขึ้นรถฝั่งข้างคนขับ พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์เพราะไม่คิดว่านทีจะช่วยเปิดโอกาสให้เขาง่ายขนาดนี้
พิสัยขับรถพาเจติยาและนทีมาจอดหน้าโรงเรียน
นทีไหว้พิสัย “ขอบคุณครับพี่” นทีหันไปพูดกับเจติยา “พี่เจ ตังค์” นทีแบมือ
เจติยาควักเงินห้าสิบบาทยื่นให้นที “เอาไป ใช้เงินประหยัดๆหน่อยล่ะ ไม่ต้องกินให้หมดก็ได้”
พิสัยหัวเราะ “ห้าสิบบาทยังต้องให้ประหยัดอีกเหรอเจ ข้าวจานเดียวยังไม่พอเลย ถ้าน้องไม่อิ่มล่ะ” พิสัยหยิบแบงค์ห้าร้อยยื่นให้นที “อ้ะ พี่ให้”
นทีตาโตด้วยความดีใจ
เจติยารีบดึงแบงค์ห้าร้อยจากมือพิสัยมาทันที “ขอบคุณนะคะ แต่ฉันอยากให้น้องรู้จักประหยัดมากกว่า” เจติยาหันไปพูดกับนที “ไปเรียนได้แล้วนที”
นทีชักสีหน้าเซ็งๆ ก่อนจะลงจากรถแล้วเดินเข้าโรงเรียนไป เจติยาวางแบ็งค์ห้าร้อยไว้บริเวณเกียร์รถของพิสัย
เจติยายกมือไหว้ “ขอบคุณนะคะ” เจติยาจะลงจากรถ
“จะลงไปไหนล่ะ ไปด้วยกันสิ”
เจติยาระแวง “คุณพิสัยจะไปไหนคะ”
พิสัยขำ “ก็ไปนิราลัยน่ะสิ เราทำงานที่เดียวกันไม่ใช่เหรอะ หรือว่าฉันจำอะไรผิด”
เจติยามีท่าทางระแวงเพราะไม่ไว้ใจพิสัย
พิสัยยิ้มแบบรู้ทัน “นทีก็เห็นว่าเธอมากับฉัน คนแถวบ้านเธอก็เห็นแล้วฉันจะไปกล้าทำอะไรเธอ”
เจติยาหน้าเจื่อนที่พิสัยรู้ทัน พิสัยยิ้มขำๆ แล้วก็ขับรถออกไป เจติยานั่งเกร็งๆ เพราะกังวลว่าพิสัยจะมาไม้ไหนกันแน่
พิสัยขับรถมาจอดในที่จอดรถของบริษัทนิราลัย พอรถจอดสนิท เจติยาก็รีบลงจากรถทันที
“ขอบคุณนะคะ” เจติยาจะเดินหนีไป
พิสัยรีบลงตามมา “เดี๋ยวสิ ทำไมต้องกลัวฉันขนาดนี้ด้วย ฉันก็แค่อยากจะขอบคุณเธอเท่านั้นเอง”
เจติยาแปลกใจจึงหันกลับมาคุยด้วย “ขอบคุณเรื่องอะไรคะ”
พิสัยปั้นหน้าจ๋อย “เธอก็รู้ว่าฉันทำอะไรไม่ดีเอาไว้ จริงๆเธอก็มีสิทธิ์เอาผิดฉันได้ แต่เธอไม่ทำ ฉันถึงอยากขอบคุณเธอไงล่ะ”
เจติยาถอนใจออกมา “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ที่ฉันไม่แจ้งความเอาผิดคุณ ก็เพราะคุณชูจิตขอเอาไว้ คุณไปขอบคุณพี่สาวคุณจะดีกว่าค่ะ”
พิสัยปั้นหน้าเศร้า “ถึงยังไงฉันก็ต้องขอบคุณเธอ” พิสัยแสร้งปั้นสีหน้ารู้สึกผิด “ฉันนี่มันแย่จริงๆ ปล่อยให้ความโลภครอบงำจิตใจจนทำเรื่องเลวๆ กับพี่สาวตัวเองได้ลงคอ”
เจติยาเห็นพิสัยสำนึกผิดก็ชักเห็นใจ “ถ้าคุณสำนึกผิดได้ ก็ดีแล้วล่ะค่ะ ฉันเองก็ไม่ติดใจอะไรแล้วล่ะ”
พิสัยยิ้มแย้มแล้วฉวยโอกาสจับมือเจติยา “ขอบคุณมากนะเจ ได้ยินแบบนี้ฉันสบายใจขึ้นเยอะเลย”
เจติยาตกใจเพราะตั้งตัวไม่ทันที่พิสัยมาจับมือถือแขนเธอ ทันใดนั้นลาภิณก็ขับรถพาปริมเลี้ยวเข้ามาที่จอดรถแล้วเห็นเข้าพอดี ทั้งสองคนต่างชะงักเพราะนึกไม่ถึง ทั้งสี่คนสบตาเห็นกันพอดี
ปริมนึกไม่ถึง “ปริมตาฝาดไปรึเปล่าคะเนี่ย”
เจติยารีบดึงมือออกแล้วเดินก้มหน้าก้มตาเดินนำออกไปทันที ลาภิณมองตามเจติยาไปเล็กน้อย
ปริมเหล่ๆลาภิณแล้วยิ้ม “ไม่รู้มากิ๊กกันตอนไหนนะคะ”
ลาภิณหน้านิ่งๆ “เรื่องของเค้า ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราเลย” ลาภิณขับรถไปเข้าที่จอด
พิสัยเหล่มองตามรถลาภิณไป
พิสัยกำลังคุยกับปริมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
พิสัยยิ้มขำ “เห็นด้วยเหรอ”
ปริมสงสัย “ตกลงยังไงกันเนี่ย”
“หึงเหรอ”
ปริมทำสีหน้ารังเกียจ “สะอิดสะเอียน”
พิสัยยิ้มกวนๆ “เด็กมันก็น่าสนอยู่หรอกนะ แต่ฉันอยากได้อย่างอื่นมากกว่า”
ปริมสงสัย “อะไรเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ ข้อตกลงของเรามีแค่ฉันช่วยเธอ ให้ได้แต่งงานกับไอ้ต้น แล้วเธอก็ช่วยฉันให้ได้หุ้นของนิราลัยแลกกับ” พิสัยทำหน้ากวนๆ “ภาพลับ” พิสัยยิ้มสะใจ “นอกนั้นไม่เกี่ยวกัน”
ปริมเจ็บใจมาก “นี่ยังหวังจะได้หุ้นอีกเหรอะ ไม่ติดคุกก็บุญเท่าไหร่แล้ว คืนหลักฐานทั้งหมดมาให้ฉันดีกว่า เราจะได้จบๆกันไป”
พิสัยขำกวนๆ “คืนก็โง่น่ะสิ เก็บไว้อย่างงี้แหละ เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้เรียกใช้เธอได้อีก”
ปริมโมโหมาก “ไอ้บ้านี่” ปริมจะเข้าไปฟาดพิสัยให้สมแค้น
พิสัยจับปริมกระชากเอาไว้แล้วจ้องหน้าด้วยสายตาดุดัน
ปริมเกลียดพิสัยเป็นที่สุด “ไปลงนรกซะ” ปริมกระชากตัวออกแล้วสะบัดหน้าเดินออกจากห้องไป พร้อมกับปิดประตูเสียงดังใส่พิสัย
พิสัยขำสะใจที่กดหัวปริมไว้ได้
เจติยาเดินหน้านิ่งๆ เอาแฟ้มรายงานมาให้ลาภิณที่ยืนรออยู่หน้าห้องแต่งศพ
“ได้แล้วค่ะ” เจติยายื่นแฟ้มให้ลาภิณ
ลาภิณรับแฟ้มไปเปิดดู
“ทีหลัง คุณให้เลขาฯ ลงมาเอาขึ้นไปให้ก็ได้นะคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา” เจติยาบอก
ลาภิณเซ็นชื่อในแฟ้ม “บริษัทฉัน ฉันจะไปไหนมาไหนไม่ได้รึไง”
“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกค่ะ แต่ฉันเห็นว่าเซ็นรับทราบแค่นี้มันเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร”
ลาภิณส่งแฟ้มคืน
“หมดธุระแล้วใช่มั้ยคะ ฉันต้องรีบทำงานต่อ” เจติยาบอก
ลาภิณพูดขัดขึ้น “ฉันเห็นว่าเธอเป็นเพื่อนคนนึงหรอกนะเลยอยากมาเตือน”
เจติยาชะงักแล้วหันกลับมามอง
“น้าพิสัยเค้าไม่ใช่คนดีอะไร อยู่ห่างๆ เค้าไว้ เป็นดีที่สุด”
“นี่คุณคงเห็นตอนที่คุณพิสัยมาส่งฉันใช่มั้ยคะ จริงๆมันไม่มีอะไรเลย”
“จับมือถือแขน สนิทสนมกันขนาดนั้น ยังจะว่าไม่มีอะไรอีกเหรอ ต้องหอมแก้มกันรึไง”
เจติยาจ้องหน้าอย่างไม่พอใจนัก “เค้าก็แค่อยากขอบคุณฉันเท่านั้นเอง”
ลาภิณยักไหล่อย่างไม่เชื่อ “คนอย่างน้าพิสัยเนี่ยนะจะลดตัวมาขอบคุณพนักงานตัวเล็กๆอย่างเธอ” ลาภิณขำ
เจติยาพูดหน้านิ่ง “แสดงว่าคุณท่านยังไม่ได้เล่าให้คุณฟัง”
“แล้วคุณแม่มาเกี่ยวอะไรด้วย เธอเลิกอ้างคนโน้นคนนี้ซะทีเถอะ จริงๆเธอจะชอบใครจะคบกับใครก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันฉันแค่ไม่อยากเห็นเธอถูกหลอกก็เท่านั้นเอง”
เจติยาไม่พอใจ “ฉันไม่ได้คบกับคุณพิสัย แล้วก็ไม่ได้คบกับใครทั้งนั้น คุณตะหาก เห็นอะไรครึ่งๆกลางๆแล้วมาคิดแต่งเรื่องเอาเองตลอด”
ลาภิณไม่พอใจ “ฉันมาเตือนเธอเพราะหวังดียังมีหน้ามาแขวะฉันอีก เล่นกับไฟ ยังไม่รู้ตัว” ลาภิณจ้องหน้า “ขยันบริหารเสน่ห์ดีนัก ระวังเถอะ รถผู้บริหารจะชนกับรถตำรวจ” พูดจบลาภิณก็เดินกลับออกไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เจติยาคิดตามแต่ก็ยังงงๆ “อะไรวะ...” เจติยาตะโกนออกไป “นี่คุณลาภิณ ฉันไม่เข้าใจ”
ลาภิณหยุดหน้าลิฟท์แล้วหันไปจ้องหน้า “รู้อยู่แก่ใจ” ลาภิณเดินเข้าลิฟท์ไป
“กวนประสาท” เจติยาเหยียดปากใส่ก่อนจะเดินกลับไปห้องแต่งศพ
เจติยากำลังกดน้ำเย็นจากเครื่องทำน้ำเย็นด้วยใบหน้าหงิกงอเพราะยังเคืองลาภิณอยู่
เจติยาดื่มน้ำไปบ่นไป “เที่ยวจับคู่คนโน้นคนนี้ ว่างมากรึไง”
ป้อม หญิงวัยสามสิบปลายๆ ที่ขาพิการข้างนึงใช้เครื่องถูพื้นทำความสะอาดผ่านมา
ป้อมยิ้มทักทาย “บ่นอะไรคะคุณเจ งึมงำๆ อยู่คนเดียว”
เจติยายิ้มรับ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่ป้อม เจอคนพูดจากวนๆ มาน่ะค่ะ ก็เลยหงุดหงิดนิดหน่อย”
ป้อมยิ้มขำ
ทันใดนั้นพนักงานหญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเจติยา
“น้องเจ พี่นึกว่าออกเวรไปแล้วซะอีก ไปหาที่ห้องแต่งศพก็ไม่เจอ”
“มีอะไรเหรอคะพี่” เจติยาถาม
“คุณชูจิตให้มาตามน้องเจไปพบค่ะ เห็นว่าจะไปงานเลี้ยงน้ำชาตอนบ่าย เลยอยากให้น้องเจไปด้วย”
เจติยาแปลกใจมาก “ให้เจไปด้วยเหรอคะ” เจติยาทั้งอึ้งทั้งงง
ที่ร้านอาหาร ปริมรวบช้อนไม่ยอมกินอาหารต่อด้วยสีหน้าบึ้งตึง ในขณะที่ลาภิณและชูจิตยังกินอาหารกลางวันกันอยู่
“อ้าว อิ่มแล้วเหรอปริม” ลาภิณถาม
ปริมหน้าบึ้งตึงแต่พยายามระงับอารมณ์เต็มที่ “ค่ะ”
ชูจิตที่ยังกินอาหารต่อพูดแขวะแบบรู้ทัน “อิ่ม หรือไม่พอใจที่แม่จะพาเจไปงานเลี้ยงด้วยกันจ๊ะ”
ปริมตอบหน้าบึ้งตึง “ปริมไม่กล้าไม่พอใจคุณแม่หรอกค่ะ เพียงแต่ปริมไม่เข้าใจ ว่าคุณแม่คิดยังไงถึงอยากดึงมันขึ้นมาร่วมสังคมกับพวกเรา”
“เจเค้ากำลังจะจบปริญญาตรีแล้วนะจ๊ะ ถือว่าเป็นคนมีการศึกษา แถมเป็นเด็กจิตใจดี” ชูจิตแอบแขวะ “ไม่มีลับลมคมใน ประพฤติตัวดีงามทั้งต่อหน้าและลับหลัง”
ปริมหลบสายตาเพราะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ชูจิตยิ้ม “จะติดก็ตรงที่จน แต่คนเราเลือกเกิดไม่ได้จริงมั้ย จะให้แม่ถือเป็นข้อรังเกียจเค้า ก็ดูจะใจแคบเกินไปหน่อย”
ลาภิณชำเลืองมองแม่เล็กน้อยด้วยความรู้สึกแปลกๆ ว่าแม่ชื่นชมเจติยาจนออกนอกหน้าไปแล้ว
“แล้วที่สำคัญ เค้าเคยช่วยชีวิตแม่เอาไว้” ชูจิตมองหน้าปริมแล้วปั้นยิ้ม “บอกตรงๆนะจ๊ะ เวลานี้แม่เชื่อใจใครได้ยากเหลือเกิน จะมีก็แต่หนูเจนี่แหละ ที่แม่รู้สึกไว้ใจได้มากที่สุด”
ปริมกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อและพยายามระงับอารมณ์สุดๆ
ลาภิณยิ้มกระเซ้า “ผมรู้สึกว่าตั้งแต่โดนจับตัวไปด้วยกัน คุณแม่จะหลงเสน่ห์เด็กนั่นน่าดูนะครับ”
“เวลาที่เราได้อยู่ใกล้ชิดกับคนจิตใจดี เราจะสัมผัสได้นะต้น มันจะมีความสุขใจแปลกๆ รู้สึกว่าโลกมันน่าอยู่ขึ้น” ชูจิตยิ้ม “จนเราอยากจะหาสิ่งดีๆ หยิบยื่นให้กับเค้า”
ปริมขบฟันแน่นด้วยความหมั่นไส้ปนอิจฉาชนิดถ้าได้ยินคำชมอีกเพียงคำเดียวก็คงจะทนไม่ไหวแล้ว
“ถ้าต้นได้ใกล้ชิดกับเค้าก็คงจะหลงเสน่ห์เหมือนกับแม่นั่นล่ะ เอ๊ะ..หรือว่าหลงไปแล้วไม่รู้ตัว” ชูจิตขำ
ลาภิณหน้าเหวอไปเล็กน้อยที่แม่พูดแบบนี้ต่อหน้าปริม
ปริมทนไม่ไหว “ขอโทษนะคะคุณแม่ พอดีปริมนึกขึ้นได้ว่านัดเพื่อนเอาไว้ ขอตัวกลับก่อนนะคะ” ปริมไหว้ลาแล้วลุกเดินออกไปทันที
ลาภิณตกใจ “ปริม เดี๋ยวสิปริม” ลาภิณหันไปพูดกับชูจิต “เดี๋ยวผมมานะครับคุณแม่”
ลาภิณรีบตามปริมออกไปทันที
ชูจิตหยิบโทรศัพท์มากดโทรออกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไงคะคุณเจี๊ยบ แปลงโฉม สาวน้อยของฉันไปถึงไปไหนแล้วคะ” ชูจิตฟังแล้วยิ้มพอใจ “งั้นอีกซักพักจะแวะไปรับ ขอบคุณมากค่ะ” ชูจิตกดตัดสาย
ชูจิตยิ้มมุมปากอย่างมีแผนเพราะใจจริงเธอไม่อยากได้ปริมเป็นลูกสะใภ้แล้วเลยต้องบีบด้วยวิธีนี้
ลาภิณเดินตามปริมที่เดินลิ่วออกจากร้านมาจนทัน
“คุยกันก่อนสิปริม”
ปริมโมโหมาก “คุณแม่ทำกับปริมเกินไป ลดเกรดปริมไปเทียบกับมันได้ยังไงปริมมันหัวเน่าตกกระป๋องไปแล้วใช่มั้ยคะ”
“คิดมากน่าปริม คุณแม่แค่กำลังหลงปลื้มเด็กนั่น อยากจะตอบแทนบุญคุณบ้างก็เท่านั้นเอง”
“คุณไม่ใช่ปริม ไม่มีวันเข้าใจหรอกค่ะ”
ลาภิณได้แต่ถอนใจ
ปริม เจ็บใจไม่หาย “คราวก่อนก็ให้สร้อยที่ปริมอยากได้ คราวนี้ก็จะพาออกงาน คุณจะไม่ให้ปริมคิดอีกเหรอคะว่าคุณแม่อยาก ให้นังเจขึ้นมาแทนที่ปริม”
ลาภิณแปลกใจที่ปริมคิดแบบนี้ “ทำไมคุณแม่ต้องทำอย่างงั้นด้วย ผมว่าไม่มีเหตุผล”
ปริมชะงักไปแล้วก็หน้าเจื่อนเพราะเธอรู้ว่าทำไมชูจิตถึงทำแบบนี้แต่บอกลาภิณไม่ได้
“เห็นมั้ย คุณก็ตอบไม่ได้ ผมถึงบอกไงว่าปริมคิดมากเกินไป” ลาภิณยกมือขึ้นแนบแก้มปริมทั้งสองข้าง “อย่าน้อยใจไปเลยนะ เดี๋ยวเราไปงานเลี้ยงกับคุณแม่พร้อมกัน”
ปริมดึงมือลาภิณออก “คุณไปกับคุณแม่เถอะค่ะ ปริมรับไม่ได้หรอก ถ้าจะต้องทนนั่งร่วมโต๊ะกับมัน”
ปริมสะบัดหน้าพรืดแล้วเดินจ้ำพรวดออกไปอย่างหัวเสีย ลาภิณได้แต่มองตามก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความอ่อนใจ
บริกรของโรงแรมกำลังเสิร์ฟน้ำชาพร้อมขนมให้ลาภิณและบรรดาเพื่อนๆของชูจิต
“ระหว่างรอคุณแม่ เราคุยคอนเส็ปท์งานไปพลางๆ ก่อนแล้วกันนะครับ” ลาภิณบอก
ทันใดนั้น บริกรก็เปิดประตูห้องนำชูจิตและเจติยาเข้ามา เจติยาแต่งหน้าแต่งตัวน่ารักสมเป็นผู้หญิง ต่างจากลุ๊คลุยๆ ที่ทุกคนเห็นจนชินตา ลาภิณเห็นเจติยาลุ๊คนี้ก็อมยิ้มอย่างไม่คุ้น เจติยาเขินๆ และมีท่าทางเก้ๆกังๆ เพราะไม่ค่อยชิน
ชูจิตยิ้มทักทาย “ขอโทษนะคะที่มาช้าไปหน่อย พอดีแวะไปรับหลานสาวมาด้วยน่ะค่ะ”
ลาภิณยิ้มค้างจนกลายเป็นอึ้งที่ได้ยินแม่แนะนำเจติยาว่าเป็นหลานสาว ส่วนเจติยาเองก็งงไม่แพ้กัน
ชูจิตหันไปพูดกับเจติยา “เจจ๊ะ ไหว้คุณป้ากับคุณอาซะสิลูก”
เจติยาอึ้งๆแต่ก็ต้องตามน้ำด้วยการไหว้เพื่อนชูจิตทุกๆคน “สวัสดีค่ะ”
ลาภิณและเจติยาสบตากันเล็กน้อย ทั้งสองต่างมีสีหน้างงๆ และมีคำถามเต็มหัวไปหมด
ชูจิตยิ้มแย้ม “เจ ไปนั่งข้างพี่ต้นเค้าไป”
เจติยาอึ้งจนแทบจะเดินไม่ถูกเลยทีเดียว ชูจิตเดินไปนั่งกับเพื่อนๆ ลาภิณลุกขึ้นลากเก้าอี้ให้เจติยา เจติยาหน้าร้อนผ่าวขณะเดินไปนั่งเพราะทั้งอึ้งปนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน
ลาภิณลากเก้าอี้ให้เจติยานั่งพร้อมกระเซ้าเบาๆ “ไม่เจอกันแป๊บเดียว กลายเป็นหลานสาวคุณแม่ไปแล้วเหรอ”
เจติยาพูดเบาๆ ด้วยหน้าบึ้งตึง “ฉันก็งงไปหมดแล้วเนี่ย ท่านให้ใส่ชุดอะไรก็ไม่รู้ เดินจะไม่ออกอยู่แล้ว”
ลาภิณพูดเบาๆ “ทำหน้าบึ้งอีก ทุกคนมองอยู่เห็นมั้ย”
เจติยารีบปั้นยิ้มให้กับทุกๆคน ลาภิณเดินไปนั่งพร้อมเหล่มองแม่ด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม ชูจิตทำไม่รู้ไม่ชี้และจิบน้ำชาไปอย่างอารมณ์ดี
ลาภิณขับรถมาส่งเจติยาถึงหน้าบ้าน หลังจากจอดรถที่หน้าบ้านเจติยาทั้งคู่ก็ยังคุยกันอยู่ในรถ
“ฉันก็ไม่เข้าใจว่าคุณแม่คุณพยายามทำอะไรอยู่” เจติยาบอก
“ก็คงขอบคุณเธอในวิธีของท่านนั่นแหละ”
เจติยาหันมามองหน้าลาภิณ
“ไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะ ปวดหัวเปล่าๆ คุณแม่คงซึ้งใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำเพื่อช่วยชีวิตท่าน ก็เลยอยากตอบแทนให้สาสม”
เจติยาหน้าเบ้เล็กน้อย “ฟังดูเหมือนแก้แค้นนะคะ”
“เอาเถอะ ผู้ใหญ่เค้ามีความสุขก็ปล่อยเค้า เธอเองก็มีแต่ได้”
เจติยาชะงักแล้วจ้องหน้าลาภิณ “เอ๊ะ คุณนี่ใช้คำพูดแปลกๆนะคะ ฉันควรจะปลื้มใจมั้ยเนี่ย” เจติยาก้าวลงจากรถ “อ้อ ฝากเรียนคุณท่านด้วยนะคะ ว่าฉันซักชุดเสร็จเมื่อไหร่ จะเอาไปคืนค่ะ”
“ไม่ต้องคืนหรอก เธอเก็บไว้เถอะ”
เจติยาพูดเสียงแข็ง “ไม่เด็ดขาดค่ะ มันแพงเกินไป แล้วฉันก็ไม่มีทาง...”
ลาภิณพูดสวนขึ้น “แต่เธอใส่แล้วสวยดีนะ”
เจติยาชะงักไปเพราะถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ลาภิณยิ้ม “เป็นอะไร ไม่เชื่อเหรอ เธอใส่แล้วสวยจริงๆ ตอนฉันเห็นเธอมากับคุณแม่ ฉันยังนึกเลยว่าเธอก็น่ารักดีเหมือนกัน น่าจะแต่งตัวยังงี้ทุกวัน”
เจติยาเขิน ไปต่อไม่ถูกจึงทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง “หมดเวลางานแล้วค่ะ” เจติยาปิดประตูรถใส่ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “พูดอะไรออกไปเนี่ย” เจติยาจะเดินเข้าบ้าน
ลาภิณรีบตามออกมา “เดี๋ยวสิ”
เจติยาหันไปมอง
“ฉันไปต่อสร้อยให้แล้วนะ” ลาภิณยื่นสร้อยให้
“ขอบคุณค่ะ” เจติยายื่นมือไปรับ
ลาภิณแกล้งโยนขึ้นฟ้า แล้วคว้ากลางอากาศก่อนจะขำๆ
เจติยาจ้องหน้าลาภิณด้วยสีหน้ากวนๆปนโมโหเล็กๆ
ลาภิณยิ้ม “คืนให้ดีๆ ก็ได้ครับ” ลาภิณยื่นสร้อยให้
เจติยากระชากสร้อยมาทันที
พอแย่งสร้อยได้เจติยาก็จะหันกลับเข้าบ้านแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นนวัชกับนิษฐายืนมองอยู่ในรั้วบ้าน ลาภิณยิ้มให้ทุกคนก่อนจะขึ้นรถขับออกไป