xs
xsm
sm
md
lg

รากบุญ ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รากบุญ ตอนที่ 7 
ชูจิตเจ็บช้ำและผิดหวังมาก “นี่ฉันชุบเลี้ยงอสรพิษเอาไว้ข้างตัวมาตลอดเวลาเลยเหรอคุณปุ่น” น้ำตาของชูจิตเอ่อคลอท่วมตาขึ้นมา
ปุ่นได้แต่เงียบเพราะไม่กล้าออกความเห็นอะไร ชูจิตขบกรามแน่นด้วยความเจ็บช้ำใจที่น้องชายเนรคุณได้ขนาดนี้

เจติยาและนิษฐากำลังลงจากรถของนิษฐาซึ่งมาจอดในที่จอดรถของห้างสรรพสินค้า โดยที่เจติยามีท่าทางเคร่งเครียดตลอดเวลา
นิษฐามองหน้าเจติยา “จะหน้าหงิกไปถึงไหนยะ”
เจติยารู้ดีว่าจะบอกเพื่อนเรื่องผีเคมีก็ไม่ได้จึงถอนใจ “ช่างฉันเถอะน่ะ”
“เออ ช่างมันก็ดีแล้ว ไหนๆ ก็มาช็อปเป็นเพื่อนฉันทั้งที ทำตัวให้เบิกบานหน่อยสิยะ”
เจติยากำลังจะเดินไปกับนิษฐา ทันใดนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นชูจิตกำลังเดินมาที่รถแต่จู่ๆ ก็หยุดเดิน แล้วเอามือค้ำเสาปูนลานจอดรถ
เจติยาเพ่งมอง “คุณชูจิตนี่นา”
ชูจิตเปิดกระเป๋าถือหยิบยาดมขึ้นมาดมแล้วแข็งใจเดินต่อมาที่รถ แต่เธอก็รู้สึกเหมือนจะหน้ามืดจึงเกาะรถพยุงตัวไว้ เจติยารีบวิ่งเข้ามาหาชูจิตทันที โดยมีนิษฐาวิ่งตามมาติดๆ
“ท่านคะ” เจติยาเรียก
ชูจิตตกใจ เธอหันมามองหน้าเจติยา
เจติยาเห็นท่าทางชูจิตแปลกๆ “ท่านเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
ชูจิตหน้าเครียด “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
ชูจิตแข็งใจหยิบกุญแจรถกดรีโมทเปิดประตูแล้วจะเดินไปขึ้นรถแต่ก็หน้ามืดจึงวูบไปทั้งยืนท่ามกลางความตกใจของเจติยาและนิษฐา เจติยาเข้าไปประคองไว้ได้ทันก่อนที่ชูจิตจะล้มหัวฟาดพื้นไป

คนรับใช้ 2 คนกำลังเอายาลดความดันให้ชูจิตที่นอนพักในห้องรับแขกที่บ้านกินโดยมีเจติยาและนิษฐาอยู่ใกล้ๆ
“คุณท่านจะให้ตามหมอมั้ยคะ” เจติยาถาม
“ไม่ต้อง” ชูจิตเปิดกระเป๋าถือแล้วหยิบเงิน 2พันบาทยื่นให้เจติยา
เจติยาแปลกใจ “อะไรกันคะ”
“ค่าที่เธอช่วยฉันไงล่ะ รับไปสิ คนอย่างฉันไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร”
เจติยาอึ้งไปแต่นิษฐากลับเป็นฝ่ายทนไม่ได้เสียเอง
นิษฐาดึงเงินมาจากมือชูจิต “เค้าให้รับก็รับไว้สิเจ ขืนไม่รับ เดี๋ยวเจ้านายแก ก็ความดันขึ้นมาอีกหรอก”
ชูจิตใช้หางตามองนิษฐา
นิษฐาพูดประชด “รับเงินไปซะจะได้จบกัน เหมือนไม่เคยเป็นหนี้บุญคุณกันมาก่อน คุณท่านเค้ารับไม่ได้หรอกนะ ที่ต้องเป็นหนี้บุญคุณพนักงานระดับล่างอย่างเธอ เพราะลองเธอรับไว้ไม่ทันสิหัวกระแทกพื้น เป็นอัมพาตไปแล้วก็ไม่รู้”
ชูจิตนิ่งไป
เจติยาปรามเพื่อน “ฐา...” เจติยาตัดบท “คุณท่านไม่เป็นไรแล้ว งั้นพวกเรากลับก่อน อย่าลืมให้คนไปเอารถด้วยนะคะ”
เจติยายกมือไหว้ลาก่อนจะลากนิษฐาออกไปสวนกับปริมที่เดินเข้ามาพอดี
ปริมเห็นเจติยาก็ของขึ้นทันทีจึงถามเสียงห้วน “มาทำอะไร กลับออกไปได้แล้ว”
เจติยาตอบหน้าบึ้งตึง “ฉันไปเจอคุณชูจิตไม่สบายระหว่างทาง ก็เลยพามาส่ง กำลังจะกลับอยู่แล้ว คุณไม่ต้องไล่หรอก”
นิษฐาหมั่นไส้แทนเพื่อน “เจ๊นี่เป็นใครเหรอแก หัวหน้าแม่บ้านเหรอะ แต่งตัวเยอะนะ”
ปริมเจ็บใจมากจึงจะอ้าปากด่า แต่เจติยาไม่อยากมีเรื่องเลยลากนิษฐาออกไปก่อน เจติยาดึงแขนนิษฐาออกไปจากห้อง นิษฐายังไม่วายมองยั่วโมโหปริมตลอดเวลา ปริมมองตามด้วยความหมั่นไส้ ชูจิตกุมหัวแล้วความดันก็ทำท่าจะขึ้นหนักกว่าเดิม
ปริมรีบเดินไปหาชูจิต “คุณแม่ไม่สบายเหรอคะ เป็นอะไรมากรึเปล่าคะ”
ชูจิตตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “ความดันขึ้นเหมือนเดิมนั่นล่ะ”
“งั้นเดี๋ยวปริมพาคุณแม่ขึ้นไปพักผ่อนข้างบนดีกว่านะคะ” ปริมบอก
ชูจิตตัดบท “ไม่ต้องหรอกจ้ะ เดี๋ยวให้พวกเด็กๆดูแลแม่เอง หนูมีธุระอะไรกับแม่ ไว้ค่อยคุยทีหลังนะ” ชูจิตพยักหน้าให้คนรับใช้
คนรับใช้เข้ามาประคองชูจิตลุกขึ้นแล้วเดินเลี่ยงไป ปริมมองตามด้วยสีหน้าบึงตึงเพราะไม่พอใจที่ชูจิตหมางเมินกับตน คนรับใช้อีกคนกำลังเก็บกระเป๋าถือและแฟ้มเอกสารของชูจิตเพื่อเอาไปให้ชูจิตที่ห้อง แต่ด้วยความซุ่มซ่ามเลยเผลอทำกระเป๋าถือหล่นจนของในกระเป๋ากระจายออกมาซึ่งในนั้นมีซองใส่ภาพถ่ายของปริมที่นักสืบไปถ่ายมาด้วย
ปริมหันไปต่อว่าคนรับใช้โดยยังมองไม่เห็นภาพถ่าย “ซุ่มซ่ามจริงๆเลย”
คนรับใช้รีบเก็บอย่างลนลาน ทันใดนั้นปริมก็เหลือบไปเห็นซองใส่ภาพถ่ายที่หล่นออกมา โดยมีภาพถ่ายบางภาพแลบโผล่ออกมาด้วย ปริมหยิบมาดูว่าเป็นภาพอะไรแล้วก็ต้องตกใจแทบช็อคเมื่อเห็นว่าเป็นภาพเปลือยของตนกับพิสัยนั่นเอง

ปริมนัดพิสัยออกมาพบที่สวนสาธารณะด้วยความร้อนใจ
พิสัยตกใจสุดๆ “เป็นไปไม่ได้ รูปจะไปอยู่ที่พี่จิตได้ยังไง”
ปริมโกรธมาก “ก็ฉันเห็นมากับตา จะมาโกหกเพื่ออะไร แกจะหักหลังฉันใช่มั้ย”
“ฉันจะทำไปเพื่ออะไร”
“แล้วแกนึกลามกยังไง ถึงได้ปรินท์ภาพออกมาด้วย” ปริมถาม
“ก็เอาไว้ขู่เธอน่ะสิ”
ปริมอึดอัดใจมากจนห้ามใจไม่อยู่จึงตรงเข้าไปฟาดพิสัยไม่ยั้งพร้อมร้องไห้ไปด้วย
พิสัยจับตัวปริมเขย่า “หยุดบ้าซะทีได้มั้ย มาช่วยกันคิดหาทางแก้ปัญหาก่อนเถอะ”
ปริมสะบัดตัวออกไปซับน้ำตา

พิสัยเครียด “เห็นฉันในรูปมั้ย”
ปริมหันมาจ้องหน้า “เลือกปรินท์มาช็อตไหนมั่งล่ะ น่าจะรู้อยู่แก่ใจ”
พิสัยกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ “พี่จิตเอามาได้ยังไง”
“แกเอาไปลืมทิ้งไว้ที่ไหน” ปริมถาม
“ฉันไม่เคยเอารูปพวกนี้ออกไปจากห้อง แล้วห้องฉันก็ไม่เคยมีใครเข้าไปตอนที่ฉันไม่อยู่ด้วย” พิสัยมีสีหน้าครุ่นคิดด้วยความเครียด
“ล่าสุดเอาใครไปนอนล่ะ”
“ก็เธอนั่นแหละ”
“ไอ้ทุเรศ” ปริมจะตบหน้า
พิสัยหลบแล้วจับมือเอาปริมเอาไว้ทัน เขามีสีหน้าฉุกคิด “หรือว่าไอ้ทนายปุ่น” พิสัยมีหน้าเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

นิษฐาและเจติยาถือของพะรุงพะรังทั้งถุงช็อปปิ้งและถุงขนมผลไม้เข้ามาในโถงบ้าน
นิษฐาวางของลง “ฉันพาแกมาส่งโดยสวัสดิภาพแล้ว กลับล่ะย่ะ”
“แล้วอย่าโดนใครจับตัวไปอีกล่ะ ฉันขี้เกียจตามไปช่วย”
“ปากเหรอยะ”
เจติยาขำๆ
ทันใดนั้นนวัช มยุรี และนทีก็ช่วยกันยกอาหาร เครื่องดื่มมากมายออกมาจากข้างใน
นวัชยิ้มแย้ม “มาพอดีเลยเจ พี่ซื้ออาหารมาเยอะแยะเลย มาช่วยกันทานหน่อย”
เจติยาแปลกใจ “พี่หมวดซื้อมาทำไมเยอะแยะคะ”
มยุรียิ้มแย้ม “หมวดเค้าซื้อมาฉลองที่ได้เลื่อนขั้นน่ะจ้ะ แม่ว่ากินอีกเจ็ดวันยังไม่หมดเลยมั้งเนี่ย”
นวัชยิ้มแย้ม “ยังไม่ได้เลื่อนตอนนี้หรอกครับ แต่ผู้กำกับเค้ายืนยันมาแล้ว”
“ดีใจด้วยค่ะพี่หมวด” เจติยาบอก
“ขอบคุณครับ” นวัชหันไปพูดยิ้มแย้มกับเจติยา “แต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะเจนะ เจช่วยพี่คลี่คลายคดีตั้งหลายคดี พี่ถึงได้มีความดีความชอบขนาดนี้”
เจติยายิ้มปลื้มใจ ส่วนนิษฐาหน้าตูมเพราะแอบงอนปนหึง
นทีวางอาหารบนโต๊ะกลางเสร็จก็ใช้มือหยิบอาหารขึ้นมากินทันที
มยุรีตีมือนที “ตายแล้วนที น่าเกลียด กินก่อนได้ยังไง”
“ก็มันหิวแล้วนี่ครับแม่ มัวแต่คุยกันอยู่ได้”
“ไม่เป็นไรครับ ทานกันเลย...เปิดงานเลยฐา”นวัชบอก
นิษฐาแอบค้อนๆ แล้วตีหน้าตาย ก่อนจะนั่งลงตักอาหารหน้าตาเฉย
เจติยางงๆ “อ้าว แกไม่กลับบ้านแล้วเหรอะฐา”
นิษฐาตีหน้าตาย “ปาร์ตี้ไม่มีฉันจะหนุกอะไร นทีนั่งข้างพี่นี่เลย”
นมีรีบมานั่งข้างนิษฐาก่อนที่ทั้งคู่จะหยิบน่องไก่มาชนกัน
มยุรียิ้มๆ แล้วส่ายหน้า “เข้าคู่กันเลย” มยุรีเดินมานั่งข้างๆ นที
นวัชยิ้มให้เจติยา “นั่งเลยจ้ะเจ คนสำคัญของงาน”
เจติยายิ้มเขิน “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”
นิษฐาเหล่ๆ มองพร้อมทิ้งค้อน นวัชลากเก้าอี้ให้เจติยานั่ง
เจติยายิ้ม “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้พี่หมวด...ขอบคุณค่ะ” เจติยานั่งลง
พอเจติยานั่งลงก็เห็นวิญญาณเคมีที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็หันหน้ามองมาด้วยสีหน้าโกรธเพราะหึงหวงเจติยาสุดๆ

เจติยาเดินกลับเข้ามาในห้องนอนหลังกินเลี้ยงเสร็จ พอเข้ามาเธอก็เห็นเคมีนั่งหันหลังให้ตนอยู่บนเตียง
เจติยาตกใจเล็กน้อย “พี่บอกแล้วไงเคมี ว่าอย่าเข้ามาอยู่ในห้องพี่โดยที่พี่ไม่ได้อนุญาต”
เคมีหันมาแต่หัวในสภาพน่ากลัวแบบตอนตาย
เจติยาสะดุ้งก่อนจะพูดพึมพำ “หันมาทั้งตัวก็ได้”
เคมีลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งมายืนประชิดเจติยาอย่างรวดเร็ว
เคมีโมโหหึง “ไหนพี่เจบอกว่าตำรวจนั่นไม่ใช่แฟนไง แล้วกินข้าวกับมันทำไม
เจติยาชักโมโห “ไร้สาระน่าเคมี พี่หมวดเค้ามาเลี้ยงขอบคุณแล้วจะไม่ให้พี่กินได้ยังไง” เจติยาฉุกคิด แล้วก็หยุดจ้องหน้า “แล้วที่จริงมันก็เรื่องส่วนตัวของพี่ ไม่ใช่เรื่องอะไรของเคมีที่จะมาโกรธพี่เลยนะ”
เคมีโมโหหึง เขาคว้าข้อมือเจติยาไว้ “พี่พูดยังงี้ได้ไง”
เจติยาตกใจ “นี่เธอจับตัวพี่ได้ด้วยเหรอ”
เคมีสวมกอดเจติยาไว้ด้วยความโมโหหึง “ผมรักพี่ครับ”
เจติยาตกใจจนตาเบิกโพลง

เจติยาหอบผ้าห่ม หมอน เดินเข้าห้องนทีแล้วตรงมาขึ้นเตียง นทีปิดประตูห้องด้วยความเซ็ง
นทีโวยวาย “อย่าบอกนะว่าพี่จะมาขอนอนห้องผม”
“ทีแกโดนผีหลอก ยังไปนอนห้องฉันได้เลย” เจติยาบอก
นทีตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด “นี่ไอ้โชคยังไม่ไปจากบ้านเราอีกเหรอ”
“ไม่ใช่โชค แต่เป็นเคมี เพื่อนแกนั่นแหละ”
นทีอึ้งไปนึกไม่ถึงก่อนจะหัวเราะลั่น
เจติยาโมโห “หัวเราะบ้าอะไร ตลกนักเหรอะ รู้มั้ย ฉันจะโดนผีเพื่อนแกปล้ำแล้ว”
นทีหัวเราะชอบใจ “ท่าทางเคมีมันจะรักพี่จริงๆ นะเนี่ย ตอนอยู่มันก็แอบปิ๊งพี่ ตายก็ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ”
เจติยาชะงักไป “นี่เคมีแอบชอบพี่จริงๆ เหรอะ” เจติยาอึ้งพร้อมรอฟังน้องชายอย่างอยากรู้

เช้าวันต่อมา เจติยาเดินลิ่วมาตามทางเดินโดยมีเคมีเดินตามมาง้อตลอด
เคมีรู้สึกผิด “ผมขอโทษครับพี่เจ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ พี่เจอย่าโกรธผมเลยนะครับ”
เจติยาไม่ยอมพูดด้วย เธอหันไปคุยกับพนักงานที่เดินผ่านมา
“พี่จุ๋มคะ ใบรับศพเมื่อวานนี้ เจยังไม่ได้เซ็นรับเลยนะคะ”
“พี่ขอโทษทีจ้ะ เมื่อวานนี้พี่ติดประชุม กะว่าจะเอาไปให้น้องเจเซ็นวันนี้แหละ เดี๋ยวพี่เอาไปให้นะ” จุ๋มบอก
เจติยายิ้มรับ “ค่ะ”
เจติยาเดินเลี่ยงมา เคมีรีบตามมาดักหน้าทันที
“คุยกับผมบ้างสิพี่เจ อย่าเงียบแบบนี้ได้มั้ย”
เจติยาเดินทะลุตัวเคมีไปโดยไม่พูดกับเคมีแม้แต่คำเดียว เคมีมองตามด้วยความหงุดหงิด

ลาภิณกำลังยืนรอลิฟท์อยู่ในบริษัท เจติยาเดินมาที่ลิฟท์
ลาภิณยิ้มทักทาย
เจติยายิ้มรับ “สวัสดีค่ะ”
ทันใดนั้นวิญญาณของเคมีก็เข้ามาสิงร่างลาภิณต่อหน้าต่อตาเจติยา
เจติยาตกใจมาก “ไปสิงร่างคุณลาภิณทำไม ออกไปเดี๋ยวนี้นะเคมี”
ลาภิณยิ้มแย้มแล้วพูดจาด้วยท่าทางเหมือนเคมีทุกประการ “ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ พี่เจจะยอมคุยกับผมเหรอ” ลาภิณจับมือเจติยา “คราวนี้พี่เจหนีผมไม่ได้แล้ว ตกลงพี่เจจะยอมยกโทษให้ผมได้รึยัง”
เจติยาโมโห “พี่จะไม่คุยอะไรกับเราทั้งนั้น” เจติยาออกคำสั่ง “ออกจากร่างคุณลาภิณเดี๋ยวนี้”
“ไม่เอา ถ้าพี่เจไม่ยกโทษให้ผม ผมจะไม่ออกจากร่างนี้เด็ดขาด”
ทันใดนั้นเสียงปริมก็ดังขึ้น “คุณต้น”
ทั้งคู่ตกใจก่อนจะหันไปมองตามเสียงก็เห็นปริมยืนถมึงทึงด้วยความโกรธจัด
ปริมโมโหมาก “ปล่อยมือมันเดี๋ยวนี้นะคุณต้น”
เจติยาตกใจจึงรีบสะบัดมือออก
ลาภิณงง หันไปถามปริม “คุณเป็นใคร”
ปริมฟิวส์ขาดจึงตรงเข้ามาผลักเจติยาออกไป แล้วตั้งท่าจะทำร้ายด้วยความโมโหจนคุมอารมณ์ไม่อยู่
ลาภิณโมโหมากจึงเอาตัวเข้าขวาง
ปริมโกรธ “นี่คุณปกป้องมันเหรอ” ปริมทุบตีลาภิณไม่ยั้ง “คุณกล้าปกป้องมันต่อหน้าฉันเหรอ หลงมันมากใช่มั้ย”
เคมีในร่างลาภิณเอามือปิดป้อง แต่เคมีก็รู้สึกกลัวมากเพราะไม่เคยเจอแบบนี้
เจติยาตกใจรีบเข้าไปห้าม “อย่าค่ะคุณปริม”
ปริมผลักเจติยาออกมาแล้วตามมาทุบตีลาภิณไม่ยั้งจนวิญญาณของเคมีตกใจกลัวมากทนไม่ไหว จึงออกจากร่างลาภิณไป ลาภิณกำลังยืนงงๆ ที่เจอปริมเข้ามาทุบตี
ลาภิณทั้งเจ็บทั้งตกใจ “โอ๊ย” ลาภิณจับมือปริมไว้ด้วยความโมโห “อะไรของคุณเนี่ยปริม มาตีผมทำไม”
ปริมจ้องหน้าลาภิณด้วยสายตาแข็งกร้าวเพราะโกรธจัด ส่วนลาภิณก็โมโหที่ถูกตีไม่มีเหตุผลเช่นกัน มีเพียงเจติยาที่อยากจะเป็นลมเรื่องที่วุ่นอยู่แล้วก็ยิ่งวุ่นขึ้นไปอีก ปริมจ้องหน้าลาภิณน้ำตาคลอ เธอสะบัดหน้าพรืดเดินเลี่ยงไป
ลาภิณถามเจติยาด้วยความงง “เกิดอะไรขึ้นเหรอเจ”
“ฉันอยากตาย” เจติยาเดินหัวเสียเลี่ยงออกไปอีกคน
ลาภิณได้แต่ยืนงงจัดว่าเกิดอะไรขึ้น

ปริมกำลังฟ้องชูจิตต่อหน้าลาภิณและพิสัย
ปริมโมโหมาก “ปริมทนต่อไปไม่ไหวแล้วนะคะคุณแม่ คุณต้นหยามปริมเกินไป”
ลาภิณไม่พอใจ “ผมไปหยามคุณตรงไหน คุณต่างหากที่เข้ามาทุบตีผมต่อหน้าพนักงาน”
ปริมโกรธมาก “กินอยู่กับปาก ลองปริมไม่ไปเห็นสิ คงจูบปากกันไปแล้ว”
“น้อยๆ หน่อยเถอะหนูปริม มีไม่กี่คนหรอกที่จะทำเรื่องไร้ยางอายขนาดนั้นได้” ชูจิตใช้หางตามองพิสัยกับปริมคล้ายต้องการแอบด่า
ปริมชะงักไปเล็กน้อย พิสัยเหล่มองชูจิตเพื่อสังเกตท่าทาง
พิสัยรีบปราม “น้าว่าเราค่อยๆ คุยกันดีกว่า คนกันเองทั้งนั้น” พิสัยหันไปพูดกับลาภิณ “คุณต้นครับ น้าว่าเรื่องมันก็ไม่มีอะไร อย่าให้มันบานปลายเลย ขอโทษหนูปริมซะก็สิ้นเรื่อง”
ลาภิณโมโหมาก “ผมผิดอะไรต้องขอโทษ”
ปริมยิ่งโกรธ “คุณต้น”
ชูจิตตัดบท “แม่ว่าเราสองคนมีปัญหาแบบนี้มาหลายครั้งแล้วนะ มันน่าจะจบได้ซะทีแล้วล่ะ”
ลาภิณคิดว่าแม่เข้าข้างปริมอีกแล้ว “คุณแม่จะให้ผมขอโทษในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำอย่างงั้นเหรอครับ”
“เปล่า แต่แม่คิดว่าเรื่องงานหมั้นน่าจะระงับไว้ก่อน” ชูจิตบอก
พิสัยและปริมต่างก็ชะงัก ทั้งสองแอบสบตากัน
“ลองทะเลาะกันบ่อยๆ แบบนี้ แม่กลัวว่าจะไปไม่รอด ขืนถอนหมั้นขึ้นมากลางคัน หรือว่าแต่งไปแล้วต้องหย่ากัน อายคนเค้าเปล่าๆ แม่ว่ารอให้ทั้งสองคนเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่านี้ก่อน ค่อยคิดเรื่องนี้กันใหม่”
พิสัยและปริมอึ้งไปเพราะไม่คิดว่าชูจิตจะฉวยโอกาสหักคอระงับงานหมั้นแบบนี้
ลาภิณชักไม่สบายใจ “แต่งานก็เตรียมไปเยอะแล้วนะครับคุณแม่ ยกเลิกแบบนี้จะตอบแขกผู้ใหญ่ยังไงล่ะครับ”
“ก็นอกจากคุณพ่อหนูปริมแล้ว ก็ยังไม่ได้เรียนเชิญใครไม่ใช่เหรอลูก เอาไว้แม่ไปอธิบายให้ท่านฟังเอง” ชูจิตพูดกับปริม “หนูปริมเห็นว่ายังไง”
ปริมพูดไม่ออก เธออึกๆอักๆ แล้วก็มีน้ำตาคลอก่อนจะพูดตัดบท “ปริมกลับก่อนนะคะคุณแม่” ปริมยกมือไหว้แล้วเดินออกไปจากห้องทันที
ลาภิณยักไหล่ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งแล้วทิ้งศีรษะหงายไปข้างหลังก่อนจะถอนหายใจออกมา
“มีธุระอะไรกับพี่อีกมั้ยพิสัย” ชูจิตหันไปถาม
“ไม่มีครับ” พิสัยตอบ
“งั้นพี่ขอทำงานต่อ”
“ครับ”
พิสัยหันเดินออกไปพร้อมกับขบกรามด้วยความเจ็บใจ ชูจิตเหลือบตามองลูกชายด้วยสายตาไม่สบายใจเพราะเป็นห่วงมาก

เจติยาเดินตามหาเคมีด้วยความโมโห แต่เธอมองไปรอบๆก็ไม่เห็นใคร
เจติยาโมโหมากจึงตะโกนลั่น “นายเคมี ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ อยากจะคุยกับพี่นักไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมไม่ออกมาล่ะ”
เจติยามองหาแต่เคมีก็ยังไม่ยอมออกมา
“เคมี พี่บอกให้ออกมาไงล่ะ ถ้าไม่ยอมออกมา ก็อย่ามาให้พี่เห็นหน้าอีกเลย”
วิญญาณเคมีค่อยๆปรากฏตัวขึ้นด้วยท่าทางกลัวๆ
เคมีกลัวจนลนลาน “ผมขอโทษครับพี่เจ ผมแค่อยากจะปรับความเข้าใจกับพี่เท่านั้นเอง ไม่ได้อยากให้พี่เจต้องเดือดร้อนเลยครับ”
เจติยาโมโหมาก “ตอนนี้มันไม่ใช่แค่พี่คนเดียวแล้วที่เดือดร้อน ทำไมเราถึงต้องทำแบบนี้ด้วย”
เคมีจ๋อยสนิท “ก็ผมหึงพี่นี่ครับ”
แม้จะรู้อยู่แล้วแต่เจติยาก็ยังอดอึ้งไม่ได้
“ผมชอบพี่จริงๆนะครับพี่เจ ชอบจนไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้พี่ทั้งนั้น”
เจติยากุมหัวหาที่นั่งเพื่อตั้งสติ
เคมีเดินตามพูด “ผมไม่เคยชอบใครแบบนี้มาก่อนเลย แล้วก็ไม่เคยมีใครมาชอบผมด้วย ผมไม่หล่อ หุ่นก็ไม่ดี ไม่ใช่นักกีฬา คุยก็ไม่หนุก ผมมีดีอย่างเดียวก็แค่เรียนเก่ง” เคมีทำสีหน้าเศร้าๆ

รากบุญ ตอนที่ 7 (ต่อ)

เจติยาเหลือบตาขึ้นมองหน้าเคมีด้วยสีหน้าเข้าใจ
เคมีระบายความในใจด้วยสีหน้าซึมเศร้าและน้ำตารื้น “แต่ผมก็อยากมีแฟนกับเค้าเหมือนกัน อยากจูงมือไปเที่ยวไหนกับแฟนแบบคนอื่นบ้าง” เคมีอายเล็กน้อย “อยากให้เค้ามาหอมแก้มผม” เคมีซึมๆ เพราะรู้สึกผิด “แต่ถ้ามันทำให้พี่เจต้องเดือดร้อน ผมก็ขอโทษอีกทีนะครับ ผมจะไม่ทำอีก”
เจติยาถอนใจเพราะเริ่มเข้าใจเคมีมากขึ้นเรื่อยๆ “แล้วเราอยากจะไปเที่ยวไหนล่ะ พี่จะได้ไปเป็นเพื่อน”
เคมีดีใจสุดๆ “จริงเหรอครับ”
เจติยาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเห็นใจ “เผื่อมันจะช่วยให้เคมีหลุดพ้นจากเรื่องที่ใจยึดติดอยู่นี้ไปได้ซะที” เจติยายิ้มบางๆ ให้เคมี


เวลาผ่านไป เจติยากับวิญญาณเคมีแต่งตัวเหมือนกันเดินมาทางหน้าสวนสนุก เจติยารู้สึกว่าชุดดูกระชากวัยไปสักนิดและยังไม่ใช่สไตล์เธอด้วย
เจติยาอายตัวเองสุดๆ “นี่เราต้องแต่งชุดเหมือนกันด้วยเหรอ ไม่มีใครเห็นเธอซะหน่อย ทำไมต้องแต่งแบบนี้ด้วยล่ะ”
“ก็ผมฝันเอาไว้แบบนี้นี่ครับ”
เจติยายิ้มแหยๆ และรู้สึกอยากจะบ้าตาย
เคมีจับมือเจติยาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เข้าไปกันเถอะครับพี่เจ”
เคมีลากแขนเจติยาวิ่งไปกับเขาอย่างมีความสุข เจติยาวิ่งตามแขนตัวเองที่ถูกดึงไปข้างหน้าทำให้คนที่มาเที่ยวหันมองด้วยความรู้สึกแปลกๆ

เจติยาและเคมีกำลังทิ้งตัวนั่งพักอยู่ที่ม้านั่งมุมหนึ่ง
เคมียิ้มแย้ม “สนุกสุดๆไปเลยครับ ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยมีความสุขแบบนี้เลยครับพี่เจ”
“แน่ล่ะสิ เราเหนื่อยไม่เป็นแล้วนี่ ส่วนพี่กระดูกข้อต่อจะหลุดอยู่แล้ว” เจติยานวดเข่าตัวเองไปมา
เคมียิ้มแย้มอย่างมีความสุข
เจติยามองหน้าเคมีแล้วยิ้มบางๆ “เคมีรู้มั้ย ว่าการที่เรามาเที่ยวกันวันนี้ ไม่ต้องเป็นแฟนกันก็มาได้นะ เป็นเพื่อนกัน ก็เที่ยวด้วยกันได้”
เคมีจ๋อยๆ “แต่ผมอยากมีแฟนมากกว่าเพื่อนนี่ครับ”
“ไม่ใช่ทุกคนจะต้องมีแฟนหรอกนะเคมี พี่เองก็ไม่เคยมีแฟนเหมือนกัน”
เคมีแปลกใจ “สวยๆ อย่างพี่เจเนี่ยนะครับ ไม่เคยมีแฟน”
เจติยายิ้มรับ “ขอบใจสำหรับคำชมนะ” เจติยาทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา “พี่ไม่เคยมีแฟนจริงๆ แต่พี่ก็อยู่ของพี่ได้ แล้วก็มีความสุขดีด้วย”
“แล้วพี่เจไม่เหงาเหรอครับ”
เจติยายิ้มก่อนจะส่ายหน้า “พี่มีปัญหาให้แก้เกือบทุกวันแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเหงาล่ะ ไหนจะเรื่องแม่ เรื่องนที เรื่องงาน เรื่องเรียน แล้วยัง...” เจติยาไม่อยากพูดถึงเรื่องของลาภิณ “อีกสารพัด” เจติยามองหน้าเคมี “บางคนเกิดมาเพื่ออยู่คนเดียว ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว” เจติยาชี้นิ้วขึ้นฟ้าเพื่อบอกว่าฟ้ากำหนด “บางทีพี่อาจจะเป็นคนคนนั้นก็ได้”
เคมีพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเศร้าๆ
เจติยายักไหล่ไม่แคร์ “แล้วทำไมเราต้องมาโหยหากับสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ด้วยล่ะ สู้ทำสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วว่าเราเก่ง เราดี มีความสามารถ ให้ใจเรามีความสุขไม่ดีกว่าเหรอ”
เคมีนิ่งไปเพราะคิดตามที่เจติยาพูด

นทีเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเอง ขณะที่เดินผ่านห้องนอนของเจติยา จู่ๆประตูห้องนอนเจติยาก็เปิดเอง นทีแปลกใจจึงมองเข้าไปในห้อง เขาเห็นกล่องรากบุญวางอยู่บนโต๊ะ กล่องรากบุญเปล่งแสงเรืองรอง เหมือนเชื้อเชิญให้นทีเข้ามาหา
นทีรู้สึกสนใจเลยเดินเข้ามาในห้องแล้วเข้าไปหยิบกล่องรากบุญขึ้นมาดู ทันใดนั้น ก็มีลมวูบหนึ่งพุ่งเข้าปะทะใบหน้าของนที นทีชะงักค้างตัวแข็งทื่อเหมือนต้องมนต์สะกด ปราณยืนยิ้มเย็นชาอยู่ด้านหลังนที
ปราณยิ้มเย็นชา “ที่จริง เด็กอย่างแกไม่คู่ควรกับกล่องรากบุญเลยแม้แต่น้อย ความปรารถนาของแกก็มีแต่เรื่องโง่เขลา จิตใจก็อ่อนแอ แต่ในเมื่อฉันไม่มีทางเลือก แกก็ต้องเป็นเจ้าของกล่องรากบุญคนต่อไปไปก่อน”
นทีตาค้างเพราะโดนมนต์สะกด “พี่เจคงไม่ยอมหรอก”
“ก็ใช้ความตายของแกเป็นเครื่องต่อรองซิ เจติยารักแกมาก ถ้าแกจะต้องตายต่อหน้า เธอต้องเอ่ยปากยกกล่องรากบุญให้แกแน่นอน”
“ใช้ความตายต่อรอง ความตายต่อรอง” นทีเดินทื่อๆออกไป “ความตายต่อรอง”
นทีเดินออกไปจากห้อง
ปราณมีสีหน้าแววตาอำมหิต “ถึงฉันทำร้ายเธอไม่ได้ แต่ฉันก็เปลี่ยนเจ้าของกล่องได้ ลาก่อนเจติยา” ปราณสะแหยะยิ้มที่มุมปาก

นวัชและนิษฐาช่วยมยุรีถือหม้อข้าว หม้อแกง มีดช้อนส้อม ฯลฯ กลับเข้ามาในบ้านหลังจากที่มยุรีขายข้าวแกงหมดแล้ว
มยุรียิ้มแย้ม “ขอบใจมากนะจ๊ะ วางไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวแม่จัดการเอง”
นิษฐายิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฐาต้องอยู่รอเจอยู่แล้ว เดี๋ยวฐาช่วยค่ะแม่” นิษฐาเหล่นวัชเพราะจะกันท่า “พี่หมวดกลับไปก่อนก็ได้นะคะ”
“อ้าว ทำไมไล่กันอย่างงี้ล่ะ บ้านพี่อยู่ติดกันแค่นี้เอง กลับเมื่อไหร่ก็ได้” นวัชบอก
นิษฐาแอบค้อนด้วยความหมั่นไส้
ทันใดนั้นนทีก็เดินตัวแข็งทื่อเหมือนไร้วิญญาณลงบันไดมา
“นที แม่เก็บแกงเลียงไว้ให้นะ จะกินข้าวเลยมั้ย” มยุรีถาม
นทีเดินตาแข็งไปที่ตะกร้าใส่มีด ช้อนส้อม ก่อนจะหยิบมีดขึ้นมา
มยุรีแปลกใจ “จะเอามีดไปทำอะไรน่ะลูก”
นทีมองมีดนิ่ง “ใช้ความตายต่อรอง เพื่อเป็นเจ้าของกล่อง”
นทีเดินถือมีดจะออกจากบ้าน
นวัชชักเอะใจ เลยเข้าไปขวางนทีไว้ “นที จะไปไหน เอามีดมาให้พี่ก่อน” นวัชจะแย่งมีดจากมือนที
นทีโกรธจัดจึงคว้าคอเสื้อนวัชแล้วเหวี่ยงจนนวัชกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงด้วยแรงมหาศาลผิดมนุษย์ ท่ามกลางความตกใจของทุกคน นทีเอามีดชี้หน้าทั้งคู่ ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ตน เขามีแววตาแข็งกร้าวน่าหวาดกลัว

เจติยาและเคมีกำลังคุยกันที่ม้านั่งตัวเดิม
“ผมน่าจะใช้ความฉลาดของผมให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้” เคมีบอก
เจติยายิ้มรับและพยักหน้าให้
เคมีมองหน้าเจติยา “แต่ผมรักพี่เจจริงๆ นะครับ ไม่งั้นผมจะหึงหวงพี่ทำไม ตอนมีผู้ชายคนอื่นมาใกล้ชิดพี่”
“เคมีไม่เคยมีความรัก แล้วรู้ได้ไง ว่านั่นเป็นความรักแบบชายหญิง ไม่ใช่แค่ความรู้สึกแบบน้องชายหวงพี่สาว” เจติยาถาม
เคมีอึ้งไปเพราะตอบไม่ได้
เจติยาหน้าขรึมลง “พี่เองโตจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่เข้าใจเลย”
เคมีคิดตามก่อนจะหน้าจ๋อยลง “พี่เจอาจจะพูดถูก ขนาดตายแล้ว ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าความรักจริงๆเป็นยังไง”
“พี่มั่นใจอย่างเดียวว่าความรักที่จริงแท้แน่นอนที่สุดคือความรักของพ่อกับแม่นะเคมี ไม่มีใครรักเรามากกว่า 2 คนนี่แล้วล่ะ” เจติยากระซิบ “ถึงจะจู้จี้ขี้บ่น ลำเอียงไปบ้างก็เถอะ”
เคมีขำก่อนจะถอนใจยาวออกมาอย่างโล่งอก “ผมหมดเรื่องค้างคาใจแล้วครับพี่เจ อย่างน้อยก็รู้ว่าพี่เจก็ไม่เคยมีแฟนเหมือนกัน ผมไม่ใช่ตัวประหลาด”
“เด็กเอ๊ย คิดอะไรยังงั้นล่ะ แต่งตัวเหมือนกันยังงี้สิประหลาด อายเค้าจะตาย”
เคมีขำๆ “พี่นี่ไม่โรแมนติกเอาซะเลย ถึงได้ไม่มีแฟนซะที”
“เคมี” เจติยาค้อนใส่
เคมียิ้มกว้างอย่างสบายใจ “วันนี้ผมสบายใจจังเลย อย่างน้อยก็ได้ออกเดทกับคนที่เราแอบปลื้มสุดๆ”
เจติยายิ้มเอ็นดู “ขนาดนั้นเลย”
“ผมอยากไปจากที่นี่แล้วล่ะ”
เจติยายิ้มสบายใจ “ไปเถอะเคมี”
เคมียิ้มขี้เล่น “คนรักกันเค้าลากันยังไงเหรอครับ ใช่” เคมีทำปากจุ๊บๆ “รึเปล่า”
“ทะลึ่ง”
เคมีนิ่งไปก่อนจะหันมองไปรอบๆตัวแล้วลุกขึ้นยืน “ผมต้องไปแล้วล่ะพี่เจ”
เจติยาลุกขึ้นยืนตาม “โชคดีนะเคมี”
เคมียกมือบ๊ายบายแล้วตั้งท่าจะหันเดินไป
“เดี๋ยวเคมี” เจติยาเดินเข้าไปสวมกอดเคมีเอาไว้ “พี่น้องเค้าลากันแบบนี้จ้ะ”

เคมีผละตัวออกมามองหน้าเจติยาด้วยน้ำตาคลอ “ขอบคุณครับพี่เจ ลาก่อนนะครับ”
เจติยาน้ำตาคลอก่อนจะหอมแก้มเคมีอย่างนุ่มนวล
เคมีน้ำตาไหลซึมออกมานี่เป็นหอมแรกจากหญิงสาวที่เขาเพิ่งจะเคยได้รับ เคมีค่อยๆ จางหายไปพร้อมรอยยิ้มทั้งน้ำตา
เจติยาได้แต่ยืนซึมก่อนจะถอนใจยาวออกมาแล้วเดินกลับออกไปอย่างเหงาๆ เธอเดินกลับออกไปสวนกับคู่หนุ่มสาวที่เดินควงแขนกัน คู่สามีภรรยาเดินจูงลูกและผู้คนมากมาย มีเพียงเจติยาที่เดินตามลำพัง

นทีถือมีดโดยไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ สีหน้าแววตาของเขาแข็งกร้าวน่ากลัว ในขณะที่นวัชก็ยังเจ็บอยู่ นิษฐาและมยุรีก็กลัวเพราะไม่รู้ว่านทีเป็นอะไร มยุรีร้องไห้ตลอดเวลาด้วยความเป็นห่วงลูก
มยุรีร้องไห้ “นทีเป็นอะไร นี่แม่นะลูก จำแม่ไม่ได้เหรอ”
นิษฐากลัวแต่ก็เป็นห่วงนที “วางมีดลงเถอะนที พี่ขอนะ วางมีดเถอะ”
ทันใดนั้นนทีก็ปล่อยมีดตกลงพื้น ทุกคนจ้องมองมาที่นทีเป็นตาเดียวด้วยความงง
นทีมึนๆ งงๆ “มองผมทำไมครับ มีอะไรเหรอ”
ทุกคนนึกไม่ถึงที่จู่ๆนทีก็ได้สติ นวัชรีบเข้าไปหยิบมีดที่ตกอยู่ทันที นทีมองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีด้วยความแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น

นัยตายักษ์แกะสลักบนกล่องรากบุญเปล่งแสงสีแดงออกมาพร้อมกับมีแสงพวยพุ่งออกจากกล่อง ทันใดนั้นแสงก็หายไปพร้อมกับเหรียญสีดำที่ปรากฏขึ้นบนปากยักษ์อีกครั้ง ปราณมองเหรียญที่ปรากฏขึ้น ด้วยความเจ็บใจ
ปราณขบกรามแน่น “รอดไปอีกจนได้” ปราณมีแววตาโกรธจัดเพราะเจ็บแค้นใจที่สุด


เจติยา นวัช นิษฐา และมยุรีต่างจับจ้องไปที่นทีซึ่งนั่งอยูที่โถงบ้านเป็นตาเดียวกัน
นทีรู้สึกกดดันจนทนไม่ไหว “ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รู้เรื่อง จำอะไรไม่ได้ จะมาคาดคั้นอะไรกับผมนักหนา”
“เราก็ไม่ได้อยากคาดคั้นอะไรเธอหรอกนะนที แต่เธอถือมีดแล้วก็ไล่ทำร้ายพวกเราจริงๆ ไม่เชื่อก็ถามคุณน้าดูสิ คุณน้าเป็นแม่เธอ คงไม่หลอกเธอหรอก” นิษฐาบอก
นทีอึ้งไปเพราะเถียงไม่ออก
มยุรีหน้าเครียด “แม่ก็ไม่เข้าใจนะที ว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น แต่ลูกน่ากลัวมาก แม่ไม่เคยเห็นลูกเป็นแบบนี้มาก่อนเลย”
เจติยาเครียดหนักแต่ก็ตัดใจพูด “นที ยอมรับกับพี่มาตรงๆ เราใช้ยาอะไรรึเปล่า”
นทีโมโหมาก “ตกลงเรื่องอะไรเลวๆ ผมต้องทำหมดเลยใช่มั้ย คราวนี้อัพยา คราวหน้าก็คงหาว่าผมฆ่าคนตาย”
“อย่าเพิ่งโกรธสินที เจเค้าก็มีสิทธิ์สงสัย พี่ก็สงสัย ถ้าใครมาเห็นสิ่งที่นทีทำ มันก็อดคิดไม่ได้หรอก” นวัชบอก
นทีโมโหมาก “แต่พี่เจไม่เห็น ฟังจากพวกพี่เล่าทั้งนั้น จะไปรู้อะไร” นทีหันไปพูดกับแม่ “แม่เชื่อใจผมใช่มั้ยครับ ถึงผมจะเล่นพนัน โดดเรียน แต่เรื่องยาผมไม่เคยยุ่ง”
มยุรีอึกๆอักๆ เพราะเธอเห็นสิ่งที่นทีทำจึงไม่กล้าบอกว่าเชื่ออีก
นทีโมโหมาก “นี่แม่ก็ไม่ไว้ใจผมอีกคนเหรอ”
เจติยาไม่พอใจ “อย่ามาขึ้นเสียงกับแม่นะนที ที่พวกเราสงสัย ก็เพราะเป็นห่วงแก กลับเนื้อกลับตัวตอนนี้ยังไม่สายนะ”
“เออๆ ผมมันเลว ขโมยของ ติดยา ฆ่าคน ฝีมือผมทั้งนั้นล่ะ พอใจรึยังล่ะ”
นทีเดินหงุดหงิดขึ้นข้างบนไป มยุรีได้แต่ถอนใจออกมา เจติยามีสีหน้าหนักใจ นิษฐาได้แต่โอบไหล่เพื่อน แล้วตบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ในขณะที่นวัชยังติดใจว่านทีอาจจะอัพยาจนขาดสติจึงมีอาการแบบนั้น

เช้าวันใหม่ ชูจิตกำลังอ่านรายงานการตรวจสอบของปุ่นอยู่ โดยมีปุ่นยืนอยู่ใกล้ๆ
ชูจิตเครียดหนักเพราะรู้สึกเจ็บใจพิสัย “ฉันก็พอจะรู้หรอกนะว่าเค้าไม่ซื่อ แต่ไม่คิดเลยว่าจะกล้ายักยอกไปมากขนาดนี้”
“ก็ไม่แปลกหรอกครับ ที่คุณชูจิตจะคิดไม่ถึง นิราลัยมีกำไรมากกว่าที่คนอื่นคิดเยอะ ถึงจะรั่วไหลขนาดนี้ มันก็ยังไม่ผิดสังเกตหรอกครับ” ปุ่นบอก
ชูจิตเจ็บใจ “แล้วนี่เมื่อไหร่ เราถึงจะเอาผิดกับพิสัยได้คะคุณปุ่น”
“อีกวันสองวัน หลักฐานทุกอย่างก็คงครบสมบูรณ์ครับ ช่วงนี้คุณจิตต้องระวังตัวให้มากๆ นะครับ ถ้าคุณพิสัยรู้ว่าเรากำลังรวบรวมหลักฐานเล่นงานเค้าอยู่ เค้าอาจจะทำอะไรที่เราคาดไม่ถึงก็ได้”
ชูจิตหน้าเสีย “คุณปุ่นคิดว่าเค้าจะกล้าทำร้ายฉันเหรอคะ ฉันเป็นพี่สาวที่เลี้ยงเค้ามาตั้งแต่เล็กแต่น้อยนะคะ”
“ผมพูดกันเอาไว้เท่านั้นน่ะครับ”
ชูจิตมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าพิสัยจะทำร้ายตนได้ลงคอ

ชูจิตเดินออกมาจากสำนักงานแล้วตรงมาขึ้นรถของตัวเองที่จอดอยู่ โดยมีคนขับรถคอยเปิดประตูให้ ปองแอบดูชูจิตอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง หลังจากสะกดรอยตามจนรู้ความเคลื่อนไหวของชูจิตทุกอย่าง

พิสัยกำลังคุยโทรศัพท์มือถือกับปองด้วยสีหน้าเครียดที่คอนโดของเขา โดยมีย้งยืนอยู่ใกล้ๆ
พิสัยเครียดหนัก “เอ็งแน่ใจนะว่าไม่ผิดคน” พิสัยฟัง “งั้นเอ็งตามต่อไป ถ้ามีอะไร ข้าจะโทรไปสั่งอีกที”
พิสัยกดวางสายด้วยสีหน้าเครียดสุดๆ
“นึกแล้วไม่มีผิด ต้องเป็นฝีมือไอ้ทนายปุ่นแน่ๆ”
ย้งกลัว “แล้วอย่างงี้ เราจะติดคุกกันหมดรึเปล่าครับคุณพิสัย”
พิสัยตะคอก “กูจะไปรู้เหรอว่าพี่จิตกับไอ้ทนายมีหลักฐานอะไรมั่ง ถ้าเอ็งปอดแหกนัก ก็หนีไปเลยไอ้ย้ง”
ย้งหน้าเสีย “ผมไม่ทิ้งคุณพิสัยไปตอนนี้หรอกครับ ที่ถามก็เผื่อจะหาทางช่วยอะไรคุณพิสัยได้บ้างเท่านั้นเอง”
“เอ็งจะช่วยอะไรข้าได้วะ”
“ผมมีเพื่อนซี้ มันชื่อเชิด เป็นมือปืน คนในวงการมือปืนไม่มีใครไม่รู้จัก ถ้าคุณพิสัยสนใจ ผมพอจะติดต่อมันได้นะครับ”
พิสัยอึ้งไปเพราะเริ่มลังเลว่าจะทำยังไงต่อไปดี

ลาภิณเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานก็เห็นปริมกำลังจัดดอกกุหลาบใส่แจกันอยู่ทั่วห้อง ลาภิณประหลาดใจ
“จะมีใครมาพบผมเหรอครับ” ลาภิณถาม
“เปล่าหรอกค่ะ ปริมเห็นห้องคุณไม่มีดอกไม้เลยซักดอก ก็เลยเอามาจัดให้ คุณจะได้สดชื่นเวลาทำงานไงคะ” ปริมฝืนยิ้มบางๆ เพราะยังไม่สบายใจมาก เธอมีน้ำตาคลอแต่ก็ก้มหน้าจัดดอกไม้ต่อ
ลาภิณมองปริมนิ่งๆ “ถ้าปริมยังรู้สึกผิดเรื่องวันก่อนอยู่ล่ะก็ ลืมมันไปซะเถอะ ผมไม่ติดใจอะไรแล้วล่ะ ผมเองก็ลืมไปหมดแล้วเหมือนกัน”
ปริมปั้นหน้าจ๋อย “ถ้าคุณแม่ยอมให้อภัยปริมอย่างคุณต้นก็คงจะดีนะคะ”
ลาภิณจับมือปริมไว้ “คุณแม่ไม่ได้โกรธอะไรคุณหรอก อย่าคิดมากสิ”
“ถึงขนาดระงับงานหมั้น ยังไม่เรียกว่าโกรธอีกเหรอคะ” ปริมทำหน้าเสียใจ “ปริมคงจะทำตัวน่ารำคาญเกินไป เอะอะก็วีน โวยวาย หาเรื่องร้อนใจไปฟ้องคุณแม่ได้ตลอด ท่านถึงได้ไม่เอ็นดูปริมเหมือนเมื่อก่อน”
“ไม่หรอกครับ คุณแม่ก็เหมือนเดิมน่ะแหละ เพียงแต่ท่านอาจจะเห็นว่าเรายังไม่พร้อมจริงๆก็ได้ เลยให้เลื่อนไปก่อน” ลาภิณยิ้มบางๆ “แต่ถ้าปริมยังไม่สบายใจผมจะคุยกับคุณแม่ให้อีกทีดีมั้ย”
ปริมยิ้มดีใจ ก่อนจะกอดแขนและซบไหล่ลาภิณ “ขอบคุณค่ะ” ปริมอ้อน “คุณต้นคะ เราไม่ได้ดินเนอร์ด้วยกันนานแล้วนะ เย็นนี้คุณว่างรึเปล่าคะ”
ลาภิณลังเลเพราะมีงานอยู่ “เย็นนี้เหรอ”
ปริมจ๋อย “ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรค่ะ ปริมชินแล้วล่ะ ยังไงงานก็ต้องสำคัญกว่าปริมอยู่แล้ว” ปริมเศร้าไป
ลาภิณเห็นสีหน้าปริมแล้วก็สงสาร “ปริมอยากไปทานที่ไหนล่ะ” ลาภิณฝืนยิ้มให้
ปริมยิ้มดีใจแล้วกอดลาภิณเอาไว้แน่น

รากบุญ ตอนที่ 7 (ต่อ)
ปริมออกจากห้องทำงานของลาภิณพอปิดประตูลงเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรออกหาพิสัยทันที
“งานที่คุณสั่งเรียบร้อยแล้วนะ นี่ตกลงคุณคิดจะทำอะไรกันแน่”
“ไม่ต้องถามมากมายน่ะ ถ่วงไอ้ต้นให้อยู่กับเธอให้นานที่สุดก็แล้วกัน” พิสัยสั่ง
ปริมเริ่มระแวง “คุณวางแผนการชั่วร้ายอะไรไว้อีก บอกฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“ฉันสั่งอะไรก็ทำไปเถอะน่ะ” พิสัยกดตัดสาย
ปริมเจ็บใจที่ตกเป็นเบี้ยล่างพิสัยตลอด

เจติยาเพิ่งสอบเสร็จ เธอกำลังเดินไปหานิษฐาที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นิษฐาคุยมือถืออย่างเคร่งเครียด “ค่ะ ได้ค่ะพี่ ค่ะ สวัสดีค่ะ” นิษฐากดตัดสาย
เจติยายิ้ม “เป็นอะไรแก ทำข้อสอบไม่ได้เหรอ”
นิษฐาหน้าเครียด “เปล่า เด็กที่มูลนิธิหายตัวไป นี่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วด้วย แต่ยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย”
เจติยาไม่สบายใจไปด้วย “แล้วแกมีอะไรให้ฉันช่วยรึเปล่า”
“แกไปกับฉันได้มั้ย”
“ไปไหน”
“ก่อนน้องเค้าออกจากมูลนิธิ เค้าบอกว่าจะไปทำงานกับเพื่อนที่ต่างจังหวัด ทิ้งเบอร์กับที่อยู่ญาติเพื่อนไว้ให้ ฉันว่าจะลองไปสอบถามดูหน่อย”
“ได้สิ สอบเสร็จแล้วนี่ แล้วแกจะไปเมื่อไหร่ล่ะ” เจติยาถาม

เจติยาถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินลงมาจากชั้นสอง โดยมีมยุรีเดินตามมา ส่วนนิษฐานั่งรออยู่ที่โถงบ้าน นทีนั่งเล่นเกมส์จากมือถืออยู่โดยไม่สนใจใคร
“ต้องไปเดี๋ยวนี้เลยเหรอ กว่าจะไปถึงก็มืดค่ำกันพอดี” มยุรีทักท้วง
“มันจำเป็นน่ะค่ะแม่” เจติยาบอก
“เราไม่รู้ว่าเด็กเป็นอะไรรึเปล่า ยิ่งเจอตัวเร็วเท่าไหร่มันก็ยิ่งดีเท่านั้นค่ะแม่” นิษฐาเสริม
มยุรีพยักหน้าเข้าใจ
“เจจะโทรมารายงานตัวเป็นระยะๆ นะคะแม่”
มยุรีพยักหน้ารับอย่างไม่สบายใจนัก “จ้ะ เดินทางปลอดภัยนะลูก”
เจติยาหันไปพูดกับนที “ดูแลแม่ดีๆนะนที ไม่ใช่ออกไปเที่ยวทั้งคืนล่ะ”
นทีมองหน้าเจติยาด้วยสีหน้าเย็นชาแล้วลุกเดินขึ้นบ้านไป
เจติยาได้แต่ส่ายหน้าอย่างอารมณ์เสีย “นที...”
มยุรีรีบตัดบทเพราะกลัวลูกจะทะเลาะกัน “รีบไปเถอะเจ”
เจติยาเห็นแม่ปกป้องน้องตลอดก็ฮึดฮัดออกจากบ้านไป
นิษฐาไหว้ลา “ไปก่อนนะคะคุณแม่ สวัสดีค่ะ”
มยุรีรับไหว้ นิษฐาเดินออกไปจากบ้าน มยุรีถอนใจแล้วเดินไปทางครัว ปราณยืนมองทุกคนอยู่ที่มุมห้องแต่ไม่มีใครเห็น ปราณหันมองตามเจติยาไปทางหน้าบ้านแล้วสะแหยะยิ้ม

ปุ่นเดินออกมาจากสำนักงานทนายแล้วตรงไปที่รถของเขาที่จอดอยู่ ทันใดนั้นเชิดที่ดักรออยู่ก็ตรงเข้าประชิดตัวปุ่นพร้อมกับใช้ปืนจี้ไปที่ด้านหลังของปุ่นทันที ปุ่นตกใจสุดๆ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร เชิดก็ขู่ขึ้นก่อน
“อย่าโวยวาย ถ้าไม่อยากตาย”
ปุ่นกลัวสุดๆ “อย่าทำอะไรฉันเลย อยากจะได้อะไร เอาไปเลย”
“ขึ้นรถ” เชิดสั่ง
ปุ่นกลัวจนตัวสั่น เขาเปิดประตูรถด้านคนขับออกก่อนที่จะขึ้นไปนั่ง เชิดดันทนายปุ่นให้กระเถิบไปนั่งที่เบาะข้างๆ ก่อนที่เชิดจะขึ้นไปนั่งด้านคนขับแทน เชิดขับรถพาปุ่นออกไปทันที

เชิดขับรถพาปุ่นมาถึงที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีบ้านคนและรถสัญจรไปมา
ปุ่นกลัวตาย “อยากได้รถ ได้ของอะไร ก็เอาไปเลยนะ ขออย่างเดียว ไว้ชีวิตฉัน ปล่อยฉันไปเถอะนะ”
เชิดยิ้มเหี้ยม “ข้าปล่อยเอ็งไปแน่ แถมจะปล่อยเอ็งไปสู่ที่ชอบๆด้วย”
ทันใดนั้นแสงไฟจากปลายปากกระบอกปืนก็สว่างวาบขึ้น พร้อมกับเสียงปืนที่ดังตามมา
เชิดก้าวลงจากรถพร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“ย้ง กูเอง ทางกูเรียบร้อยแล้ว มึงล่ะ”
“อีกอึดใจเดียว รับรองไม่เหลืออะไรแน่” ย้งบอก

ย้งสวมโม่งกำลังทำลายกล้องวงจรปิดเพื่อไม่ให้บันทึกภาพพวกตน ส่วนปองกำลังสาดน้ำมันไปทั่วสำนักงานทนายความของปุ่นเพื่อเตรียมเผาทำลายหลักฐาน

ลาภิณและปริมเดินมาที่โต๊ะซึ่งจองไว้ในผับหรูแห่งหนึ่ง
ปริมยิ้ม “นั่งเล่นซักพักค่อยกลับนะคะ”
ลาภิณอยากกลับไปสะสางงานต่อ “แต่ผมว่ามันดึกแล้วนะปริม คุณบอกแค่ทานข้าวนี่นา ไว้มาวันหลังไม่ดีเหรอ”
ปริมออดอ้อน “ก็อารมณ์มันพาไปนี่คะ วันนี้ปริมมีความสุขม๊ากมาก อยากอยู่กับคุณต้นนานๆ”
ลาภิณอึกๆอักๆ เพราะอยากกลับมากกว่า
ปริมปั้นหน้าจ๋อย “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณอยากกลับก็ตามใจคุณ มันก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่หรอก”
ลาภิณเริ่มใจอ่อน “ไหนๆ ก็มาแล้ว นั่งซักพักก็ได้”
“ขอบคุณค่ะ” ปริมหอมแก้มลาภิณฟอดใหญ่
ลาภิณปั้นยิ้ม ในขณะที่ปริมแอบโล่งอกเพราะกลัวผิดแผน

ชูจิตกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนอนด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“แล้วคุณปุ่นรู้รึยังว่าไฟไหม้” ชูจิตฟังอีกฝ่ายด้วยความร้อนใจ “อะไรกัน ไฟไหม้สำนักงานทั้งที ยังติดต่อคุณปุ่นไม่ได้อีกเหรอ แล้วนี่ดับไฟได้รึยัง ทางตำรวจว่ายังไงบ้าง” ชูจิตฟังอีกฝ่าย “ไม่รู้อะไรซักอย่าง งั้นฉันจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ เธอรออยู่ที่นั่นแหละ”
ชูจิตกดวางสายด้วยสีหน้าหงุดหงิดร้อนใจ ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ชูจิตพูดอย่างหงุดหงิด “เข้ามา”
พิสัยเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้ามาในห้อง
ชูจิตหน้าเสียเพราะไม่คิดว่าเป็นพิสัย “อ้าว พิสัย”
พิสัยปั้นหน้าเครียด “ผมได้ข่าวว่าสำนักงานของคุณปุ่นถูกวางเพลิง พี่จิตทราบข่าวรึยังครับ”
“เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ล่ะ” ชูจิตหน้าเครียด
พิสัยปั้นหน้าเป็นห่วง “นี่ผมยังติดต่อคุณปุ่นไม่ได้เลย คุณปุ่นดูแลเรื่องสัญญาให้เราทั้งหมด ถ้าไฟไหม้เอกสาร เรื่องใหญ่แน่ๆ” พิสัยทำเป็นร้อนใจ “ผมจะออกไปที่สำนักงานก่อน เผื่อจะกู้สัญญาอะไรไว้ได้บ้าง เดี๋ยวได้เรื่องยังไงแล้วผมจะโทรหานะครับ” พิสัยทำท่าจะเดินเลี่ยงไป
ชูจิตระแวงเพราะกลัวพิสัยจะไปเจอเอกสารที่ไว้เอาผิดพิสัยจึงรีบเรียกไว้ “เดี๋ยวพิสัย รอพี่เปลี่ยนชุดก่อน พี่ไปด้วย” ชูจิตเดินไปเลือกชุดที่ตู้เสื้อผ้า
“ผมรอข้างล่างนะครับ” พิสัยมองไปที่ชูจิตด้วยสีหน้านิ่ง

พิสัยกำลังขับรถของชูจิตโดยมีชูจิตนั่งมาด้วย ชูจิตคุยโทรศัพท์มือถือ
“ดับไฟได้ก็ดีแล้ว แล้วตึกข้างๆ ล่ะเสียหายมากมั้ย” ชูจิตฟังอีกฝ่าย “อีกเดี๋ยวฉันจะถึงแล้วล่ะ” ชูจิตกดตัดสาย
ชูจิตมองถนนแล้วก็เริ่มรู้สึกผิดสังเกต
ชูจิตแปลกใจ “เอ๊ะ สำนักงานคุณปุ่นไม่ได้ไปทางนี้นี่พิสัย”
“แถวนั้นผับเยอะ รถติดจะตายไป ขับอ้อมหน่อย ถึงเร็วกว่า” พิสัยบอก
ชูจิตพยักหน้ารับก่อนจะหยิบมือถือจะกดโทรออกอีก
“พี่จิตจะโทรหาใครเหรอครับ” พิสัยถาม
“โทรหาต้นน่ะสิ เวลามีเรื่องทีไร หายตัวทุกทีเลย”
พิสัยดึงโทรศัพท์มือถือออกจากมือของชูจิตทันที
ชูจิตตกใจ “จะทำอะไรพิสัย”
พิสัยกดล็อกเซนทรัลล็อคประตูทันที ชูจิตตกใจเพราะรู้สึกได้ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีกับตนแน่ๆ
“แกจะพาพี่ไปไหน”
พิสัยหน้าเครียด “พี่จิตนั่งเงียบๆเถอะ เดี๋ยวก็รู้” พิสัยขับรถไปต่อ
ชูจิตเหล่มองพิสัยพร้อมทั้งคิดหาทางแก้ไข

นิษฐากำลังเอารูปเด็กสาวที่หายไปให้ชาวบ้านที่ต่างจังหวัดดู ชาวบ้านส่ายหน้าบอกว่าว่าไม่เห็น ก่อนจะกลับเข้าตึกแถวแล้วปิดประตูอย่างรำคาญ เจติยาเดินถือรูปเด็กสาวเข้ามาหานิษฐา
“ได้เรื่องมั้ยเจ” นิษฐาถาม
เจติยาส่ายหน้า “ไม่รู้ว่าเรามามืดไปรึเปล่า หรือเด็กพวกนี้ไม่มีใครชอบก็ไม่รู้ ถามญาติคนไหนก็ส่ายหน้าทุกคนเลย”
“ถ้าครอบครัวอบอุ่นสมบูรณ์ จะมาให้มูลนิธิฉันอุปการะเหรอยะ” นิษฐาดูนาฬิกาข้อมือ “ห้าทุ่มกว่าแล้ว ฉันว่าเราหาที่นอนก่อนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้ค่อยตามหาอีกที่ ถ้าไม่เจอจริงๆค่อยกลับ”
“แล้วแต่แกละกัน ฉันมาช่วยแกนี่” เจติยาดูรูปถ่ายในมือแล้วก็ถอนใจ “น้องเอ๊ย ป่านนี้จะเป็นไงบ้างนะเนี่ย”

พิสัยขับรถพาชูจิตมาไกลขึ้นเรื่อยๆ จนชูจิตหวาดกลัวมากขึ้น
“นี่เรามาไกลมากแล้วนะพิสัย เธอจะพาพี่ไปทำอะไรกันแน่”
พิสัยนิ่งเงียบไม่ตอบ เขามีสีหน้าเย็นชาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชูจิตกลัวมาก “พี่เป็นคนเลี้ยงเธอมานะพิสัย เลี้ยงเธอ รักเธอเหมือนลูกในไส้ เธอคงไม่คิดจะทำร้ายพี่ได้ลงคอหรอกนะ”
พิสัยพูดหน้านิ่งๆ “ผมไม่เคยลืมบุญคุณของพี่จิตหรอกครับ ถ้าไม่มีพี่ผมก็คงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้”
ชูจิตเริ่มใจชื้นขึ้นบ้าง พิสัยพูดต่อ
“แต่ผมก็ช่วยงานพี่กับพี่สารัชมาตลอด ลูกพี่เองยังทำงานไม่ได้เศษเสี้ยวของผมด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ผมก็ควรมีส่วนในนิราลัยเหมือนกัน แต่นี่ผมกลับไม่มีแม้แต่หุ้นเดียว สู้ไอ้แก่ทวีกับเด็กล้างศพนั่นยังไม่ได้เลย พี่ว่าผมจะไม่รู้สึกน้อยใจบ้างเลยเหรอครับ”
ชูจิตเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “พี่เข้าใจนะ แต่มันเป็นพินัยกรรมของคุณสารัช เธอจะให้พี่ทำยังไงล่ะ”
พิสัยตะคอกกลับ “ก็เพราะพี่สารัชลำเอียง ไม่เคยคิดว่าผมเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง เค้าเห็นผมเป็นแค่ขี้ข้าไงครับ” พิสัยมีสีหน้าแววตาเจ็บช้ำ
ชูจิตสัมผัสได้ถึงความริษยาที่เก็บกดอยู่ในใจน้องชายของเธอ

นิษฐาขับรถโดยมีเจติยานั่งมาด้วย
เจติยามองไปรอบๆ “ไหนยะโรงแรมของแก ฉันว่าเราหลงมาไกลแล้วนะเนี่ย”
“ก็มันไม่ใช่ถิ่นฉันนี่ยะ ก็ต้องมีหลงบ้างแหละ” นิษฐามองทาง “ฉันเริ่มคุ้นๆแล้ว เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายแล้วขับตรงไปอีกหน่อยก็ถึงแล้วย่ะ”
ทันใดนั้นเจติยาก็เห็นนิษฐาขับผ่านทางที่จะเลี้ยวไป
เจติยางง “อ้าว ไหนแกบอกว่าจะเลี้ยวซ้ายไง แล้วทำไมไม่เลี้ยวล่ะ”
นิษฐาหน้าซีดเผือด “ฉันบังคับรถไม่ได้เจ เมื่อกี๊ฉันหักเลี้ยวแล้ว แต่ทำไมมันไม่ไปไม่รู้”
เจติยาชักกลัว “เป็นไปได้ยังไง”
นิษฐาตกใจมาก “ไม่รู้ แกดูสิ ฉันเหยียบเบรกอยู่เห็นมั้ย แต่มันไม่ยอมเบรก” นิษฐากลัวมาก “รถเป็นอะไรก็ไม่รู้ ทำไงดีแก”
เจติยาตกใจมากจึงรีบเข้าไปช่วยนิษฐาจับพวงมาลัยแล้วเหยียบเบรก แต่เหยียบเท่าไหร่รถก็ไม่ยอมหยุดสักที เจติยาตัดสินใจดึงเบรกมือแต่ก็ดึงไม่ขึ้น ปราณนั่งยิ้มเพราะใช้อำนาจบังคับทุกอย่างอยู่ที่เบาะหลัง

พิสัยยังคงขับรถพาชูจิตไปเรื่อยๆ
ชูจิตกลัวพิสัย “แต่เธอก็ได้ไปไม่น้อยนะพิสัย ไหนจะมรดกที่คุณพ่อคุณแม่ทิ้งไว้ให้ แล้วยังเงินเดือนจากนิราลัยอีก” ชูจิตแอบแขวะ “ถ้ารวมที่เธอทุจริตไปด้วย พี่ว่าเธอก็เศรษฐีคนหนึ่ง แล้วเธอยังต้องการอะไรอีก”
พิสัยตะคอก “ก็ต้องการนิราลัยน่ะสิครับ พี่รู้มั้ยว่าผมใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของ นิราลัยมานานแค่ไหนแล้ว รับรองว่าผมบริหารงานดีกว่าไอ้ลูกชายไม่เอาถ่านของพี่แน่ๆ”

“เธอจะเอานิราลัยไปได้ยังไง นิราลัยเป็นของตระกูลบูรณินมาตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณสารัชแล้ว ถ้าพี่ยกนิราลัยให้เธอ แล้วพี่จะเอาหน้าไปพบคุณสารัชได้ยังไง”
“งั้นอีกครึ่งนึงของนิราลัย พี่ยกให้ผมได้มั้ยล่ะ ไอ้ต้นก็ได้ไปตั้งครึ่งนึงแล้ว ส่วนของพี่ก็ยกให้ผมก็แล้วกัน”
“ไม่ได้ ยังไงพี่ก็ทำไม่ได้ เธอเอาสมบัติส่วนตัวพี่ไปทั้งหมดพี่ก็ไม่ว่า แต่พี่ให้นิราลัยกับเธอไม่ได้เด็ดขาด”
พิสัยขบกรามแน่นด้วยความแค้น “ถ้าพี่คิดยังงี้ เกิดอะไรขึ้นก็อย่ามาโทษผมก็แล้วกัน โทษความลำเอียงของพี่เองเถอะ ที่ไอ้ทนายนั่น มันต้องตายก็เพราะพี่นั่นแหละ”
ชูจิตตกใจมาก “นี่เธอฆ่าคุณปุ่นเหรอพิสัย”
พิสัยยิ้มร้ายที่มุมปากและมีสายตาเลือดเย็น ชูจิตตกใจจนหน้าซีดเผือดเพราะนึกไม่ถึงว่าน้องชายจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้

เจติยากับนิษฐากำลังช่วยกันหยุดรถ แต่ทำยังไงรถก็ไม่หยุด แถมยังแล่นไปตามทางได้เองโดยไม่มีใครบังคับ
นิษฐาตกใจสุดๆ “หยุดสิ ทำไมไม่หยุดล่ะ บอกให้หยุด ไอ้รถเฮงซวย”
เจติยาพยายามตั้งสติ “ฉันว่ามันไม่ได้เป็นที่รถแล้วล่ะฐา ถ้าเบรกแตกหรือรถมีปัญหา มันต้องพุ่งตกถนนไปแล้วสิ แต่นี่มันเหมือนมีใครมาบังคับรถแทนเรามากกว่า”
นิษฐาหน้าซีดเผือด “มาพูดบ้าๆ อะไรตอนมืดๆเปลี่ยวๆ แบบนี้ล่ะเจ” นิษฐาปล่อยมือแล้วยกมือไหว้พระแทน
เจติยาตัดสินใจลองปล่อยมือมั่ง
นิษฐาตกใจมาก “แกปล่อยมือทำไมเจ”
รถยังคงวิ่งตรงไปตามทาง
“เห็นมั้ยแก รถวิ่งของมันเอง” เจติยาบอก
นิษฐากลัวมาก “พ่อจ๋าแม่จ๋า เจ้าป่าเจ้าเขา ช่วยลูกช้างด้วย”
ปราณยิ้มขำๆ ที่เจติยาเพิ่งรู้
ทันใดนั้นก็มีแสงไฟจากรถที่ขับสวนมาส่องมาต้องใบหน้าของเจติยาและนิษฐา
นิษฐาตกใจสุดๆ “เฮ๊ย เจ รถ!”
เจติยาตกใจจนแทบช็อค เจติยาและนิษฐาช่วยกันเหยียบเบรกและหักพวงมาลัยกันสุดชีวิต

พิสัยเห็นรถของนิษฐาพุ่งเข้ามาหารถที่เขาขับก็บีบแตรลั่น “เมารึไงวะ”
ชูจิตได้โอกาสเลยเข้าไปแย่งพวงมาลัยจากพิสัยทันที พิสัยตกใจแล้วพยายามปัดชูจิตออก แต่ชูจิตไม่ยอมแพ้เพราะถ้าขืนให้พิสัยขับรถพาตนไปเรื่อยๆ คงไม่รอดแน่ รถชูจิตขับเป๋ไปเป๋มาเพราะพิสัยกับชูจิตกำลังสู้เพื่อแย่งพวงมาลัยกัน

เจติยากับนิษฐาช่วยกันสุดชีวิต แต่ก็ยังบังคบรถไม่ได้ รถยังคงพุ่งตรงเข้าหารถของชูจิต เจติยาและนิษฐา กลัวสุดๆ เพราะคิดว่าไม่รอดแน่ ทั้งสองกรีดร้องออกมาลั่นรถ รถทั้งสองคันกำลังจะประสานงากัน ทันใดนั้นรถของนิษฐาก็หยุดสนิท ในขณะที่รถของชูจิตหักหลบไปได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
จังหวะนั้นเจติยาเหลือบเห็นชูจิตในรถที่เพิ่งหักหลบไปกำลังร้องขอความช่วยเหลือ และโดนผู้ชายคนขับผลักไปกระแทกประตูรถ แม้จะเพียงแวบเดียว แต่เธอก็มั่นใจว่าเป็นชูจิตแน่นอน
นิษฐายังนั่งหลับตาปี๋เพราะกลัวสุดๆ
เจติยาเขย่าตัวนิษฐา “ฐา รถหยุดแล้วลืมตาสิ”
นิษฐาค่อยๆ เผยอลืมตามองเจติยา “นี่ฉันตายแล้วเหรอ แกเห็นวิญญาณฉันใช่มั้ยเจ”
“ตั้งสติหน่อย ยังไม่มีใครตายทั้งนั้นล่ะ”
นิษฐามองสำรวจรถและเนื้อตัวตัวเอง พอเห็นว่ายังอยู่ครบก็ดีใจสุดๆ
“เรายังไม่ตายจริงๆ ด้วย”
เจติยาร้อนใจ “รถแกใช้ได้รึยัง ตามรถคันเมื่อกี๊ไปหน่อยสิ”
นิษฐาแปลกใจ “มีอะไรเหรอ”
“รีบตามไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง” เจติยามีสีหน้าร้อนใจ
นิษฐากลับรถแล้วขับตามรถของชูจิตไปทันที ปราณยืนมองรถของนิษฐาที่ขับตามไปอยู่ริมทาง แล้วยิ้มร้ายเพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนต้องการ

รากบุญ ตอนที่ 7 (ต่อ)
นวัชที่สวมชุดนอนแล้วกำลังคุยโทรศัพท์มือถือกับเจติยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เจแน่ใจนะว่าไม่ได้จำคนผิด”
เจติยากำลังคุยโทรศัพท์มือถือโดยที่นิษฐาเป็นคนขับรถ
“คุณชูจิตแน่นอนพี่หมวด รถก็ของคุณชูจิต ในรถมีการต่อสู้ขัดขืนกันเรื่อยๆ นะคะ แต่เจไม่เห็นหน้าคนขับ ไม่รู้ว่าเป็นใคร”
“งั้นเจค่อยๆ ตามไปนะ แต่อย่าใกล้มาก” นวัชเป็นห่วง “ถ้าเกิดอะไรขึ้นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยตัวเองก่อน อย่าบุ่มบ่ามทำอะไรลงไปเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ” เจติยาเพ่งมองตามรถคันหน้าไป
นวัชคุยโทรศัพท์ “งั้นเดี๋ยวพี่จะรีบประสานกับตำรวจทางนั้นให้ เจตามไปแค่รู้ว่ามันพาคุณชูจิตไปไหนก็พอ”
“ได้ค่ะพี่หมวด” เจติยาฟัง “ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” เจติยากดวางสาย
นิษฐาลุ้น “พี่หมวดเค้าถามอะไรถึงฉันบ้างมั้ย”
“หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้จะถามทำไมล่ะ”
นิษฐาน้อยใจ “ก็น่าจะห่วงกันบ้างไรบ้าง”
“ประสาท”
นิษฐาเบะปากอย่างเซ็งๆ ที่ไม่ได้รับความสนใจอีกแล้ว
เจติยาชี้ไปที่รถชูจิต “รถจอดแล้ว เอาไงดีฐา”
“งั้นจอดตรงนี้แหละแก แล้วค่อยๆ เดินเข้าไป จะได้ไม่มีใครเห็น”
นิษฐาดับไฟหน้าแล้วขับรถเลี้ยวเข้าจอดข้างทางทันที

เจติยาและนิษฐาเห็นลูกน้องของพิสัยพาตัวชูจิตลงจากรถ เพื่อจะเอาไปขึ้นรถตู้อีกคันหนึ่งที่จอดอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่พิสัยกำลังยืนหันหลังสั่งงานลูกน้องอีกคนนึงอยู่ทำให้เจติยาและนิษฐาไม่เห็นหน้าพิสัย ชูจิตถูกพาขึ้นรถตู้ไป
เจติยาเป็นห่วง “แย่แล้ว” เจติยาจะตามไป
นิษฐารีบดึงแขนเจติยาไว้ “จะบ้าเหรอเจ เข้าไปใกล้กว่านี้เดี๋ยวก็ถูกจับหรอก”
“แต่มันกำลังจะพาตัวคุณชูจิตไปแล้วนะแก” เจติยาบอก
“พาก็พาสิ มันเป็นหน้าที่ของตำรวจเค้า เราทำได้แค่นี้แหละ”
เจติยายังไม่ยอม “อย่างน้อย เห็นเลขทะเบียนรถตู้ก็ยังดี จะได้...”
เจติยายังพูดไม่จบก็มีแสงจากไฟฉายส่องมาทางเจติยา
ลูกน้องพิสัยตวาดเสียงดัง “เฮ้ย นั่นใครวะ”
เจติยาและนิษฐาตกใจมาก ทั้งสองรีบวิ่งหนีทันที

เจติยาและนิษฐาวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่เพราะความมืดทำให้เจติยาสะดุดหกล้ม
เจติยาเจ็บขา “โอ๊ย”
นิษฐารีบเข้าไปดูเพื่อน “เป็นไงบ้างเจ”
เจติยาห่วงเพื่อน “แกรีบหนีไปก่อน โทรหาพี่หมวดให้มาช่วยฉัน”
“จะบ้าเหรอเจ ฉันทิ้งแกไม่ได้หรอก เราต้องไปด้วยกัน” นิษฐาจะเข้าไปประคอง
เจติยาเตือนสติเพื่อน “ถ้าเราถูกจับได้ทั้งคู่ล่ะแก จะไม่มีใครมาช่วยเราเลยนะ รีบไปฐา เสียงพวกมันใกล้เข้ามาแล้วนะ”
นิษฐาได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาแล้วจริงๆ
เสียงลูกน้องพิสัยดังขึ้น “แกอ้อมไปดูตรงโน้น”
“ไปเร็วๆ สิ อยากตายกันหมดรึไง” เจติยาเร่ง
นิษฐาห่วงเพื่อนมาก “ระวังตัวนะแก เพื่อนพี่หมวดคงอยู่แถวๆนี้ล่ะ” นิษฐารีบวิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือ
เจติยายันตัวลุกขึ้นแต่ขาก็ยังกะเผลกอยู่ ทันใดนั้นลูกน้องพิสัยก็วิ่งเข้ามาล้อมเจติยาไว้ ก่อนที่พิสัยจะเดินตามมา
เจติยาตกใจมากเพราะนึกไม่ถึง “คุณพิสัย”

เจติยาถูกปองเหวี่ยงเข้าไปในห้องนอนที่มีชูจิตนั่งอยู่ก่อนแล้ว โดยมีพิสัยและย้งยืนมองอยู่
เจติยาหันไปจ้องหน้าพิสัย “คุณชูจิตเป็นพี่สาวแท้ๆของคุณนะ คุณทำกับท่านแบบนี้ได้ยังไง”
ชูจิตชำเลืองมองหน้าเจติยาเล็กน้อย
พิสัยตะคอก “ไม่ใช่เรื่องของแก สาระแนนัก อยู่ดีไม่ว่าดี”
ปองเจ็บใจ “นังนี่มันตัวแสบเลยครับคุณพิสัย ที่ผมต้องถูกไล่ออกจากงานก็เพราะมันนี่แหละ” ปองจ้องหน้าเจติยาแล้วยิ้มเหี้ยม “คราวนี้ ถึงตาฉันเอาคืนบ้างแล้ว”
เจติยาหวาดกลัว
“พวกแกอย่าทำอะไรเด็กคนนี้เลย เค้าไม่เกี่ยวอะไรด้วย” ชูจิตหันไปพูดกับพิสัย “พิสัย เธอปล่อยพี่กับเด็กนี่ไปเถอะ แล้วพี่ให้สัญญา ว่าพี่จะไม่เอาเรื่องเอาราวกับแกที่ทำเรื่องบ้าๆวันนี้”
“คิดว่าผมไร้สมองรึไงพี่จิต ผมลงทุนลงแรงไปเท่าไหร่แล้ว ถ้าพี่ไม่ยอมเซ็นยกหุ้นนิราลัยให้ผม ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่เลย”
พิสัยเดินออกไปจากห้องอย่างไม่แยแส
“เนรคุณ ทุเรศที่สุด” เจติยาว่า
ปองสะกิดย้งแล้วพูดกระเซ้า
“เมียหลวงกับกิ๊กจับมือกันแล้วโว้ย”
ปองและย้งหัวเราะชอบใจ ก่อนจะเดินตามพิสัยออกไปแล้วปิดประตูขังทั้งคู่ไว้ในห้อง ชูจิตและเจติยาชำเลืองมองหน้ากันแบบอึ้งๆ ชูจิตสะบัดหน้าค้อนแล้วไม่ยอมคุยด้วย เธอเดินเมินไปทางอื่น เจติยาถอนใจอย่างหนักใจเพราะเรื่องกิ๊กนี่อธิบายยังไงชูจิตก็ไม่ยอมรับฟังสักที

คนรับใช้กำลังจัดอาหารเช้าอยู่ในห้องรับประทานอาหารบ้านลาภิณ ลาภิณที่แต่งตัวเตรียมจะไปทำงานเดินเข้ามาในห้องอาหาร
ลาภิณแปลกใจ “นี่คุณแม่ยังไม่ลงมาอีกเหรอะ รึว่าออกไปแล้ว”
“เปล่าค่ะ คือ...” คนรับใช้อึกๆอักๆ เพราะไม่รู้จะพูดยังไง
“มีอะไรก็พูดมาสิ อ้ำๆอึ้งๆอยู่นั่นแหละ”
“เมื่อคืนคุณพิสัยมาที่นี่ค่ะ มาแป๊บเดียวแล้วก็กลับไป แต่พอหนูเอายาก่อนนอนขึ้นไปให้ คุณท่านก็ไม่อยู่แล้วค่ะ จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นเลย สงสัยจะออกไปกับคุณพิสัยตั้งแต่เมื่อคืนน่ะค่ะ”
ลาภิณตกใจแล้วตวาดไป “แล้วทำไมไม่รีบบอกฉันล่ะ”
คนรับใช้กลัว ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของลาภิณก็ดังขึ้น
ลาภิณดูเบอร์แล้วไม่คุ้นแต่ก็กดรับ “สวัสดีครับ..” ลาภิณฟัง “ฐาไหนครับ” ลาภิณฟัง “อ๋อ จำได้แล้วครับ มีอะไรเหรอครับ”
ลาภิณมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฟังนิษฐาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด

ที่ห้องประชุม พิสัยแกล้งทำหน้าเหรอหราตกอกตกใจ
“ผมไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ นะครับ”
นวัชในชุดตำรวจกำลังสอบถามพิสัย โดยมีลาภิณ ปริม นิษฐา คนรับใช้และตำรวจ อยู่ด้วย
“แต่เมื่อคืนคุณไปที่บ้านคุณลาภิณแล้วออกไปพร้อมกับคุณชูจิตไม่ใช่เหรอครับ” นวัชถาม
“ผมไปที่บ้านคุณต้นจริงครับหมวด แต่ผมมาบอกพี่จิตเรื่องที่สำนักงานทนายความของคุณปุ่นไฟไหม้แล้วก็กลับออกไป พี่จิตไม่ได้ออกไปกับผมนะครับ” พิสัยตีหน้าตาย
ลาภิณหน้าเครียด “ถ้าแม่ผมไม่ได้ออกไปกับน้า แล้วแม่ผมจะหายตัวไปได้ยังไง”
พิสัยขำกวนประสาท “พี่จิตถูกจับมัดเอาไว้ในบ้านรึไงครับ ถึงไปไหนมาไหนเองไม่ได้”
ลาภิณมีสีหน้าเจ็บใจ แต่ก็พยายามคุมสติ “แต่คุณนิษฐาก็ยืนยันว่าเห็นคุณแม่ถูกจับตัวไป”
พิสัยหันไปพูดกับนิษฐา “คุณเห็นพี่จิตถูกจับตัวไปใช่มั้ยครับ แล้วคุณจำได้รึเปล่า ว่าคนที่จับตัวพี่จิตไป หน้าตาเป็นยังไง ใช่ผมแน่เหรอ”

นิษฐาหน้าเจื่อน “เอ่อ ตอนนั้นมันมืดมาก ฉันก็เห็นไม่ค่อยถนัดหรอกค่ะ เห็นแต่คุณชูจิตนั่งรถมากับผู้ชายคนนึง แล้วก็ถูกส่งต่อไปให้ผู้ชายอีกกลุ่ม พาขึ้นรถตู้ไปเท่านั้นเอง”
“นั่นไง...แล้วเด็กรับใช้ก็เห็นแค่ผมมาแล้วกลับออกไป สันนิษฐานเอาเองว่าออกไปกับผม” พิสัยหันไปพูดกับคนรับใช้ “สุดา เธอเห็นพี่จิตขึ้นรถไปกับฉันรึเปล่า”
คนรับใช้อึกๆอักๆ “เอ่อ...”
พิสัยจ้องหน้าคนรับใช้ “เห็นกับตาเธอเองนะ ไม่ใช่คิดเอาเอง”
“คือหนูเห็นแต่ตอนคุณพิสัยมาน่ะค่ะ ซักพักก็ได้ยินเสียงรถคุณพิสัยขับออกไป”
พิสัยขำๆ แล้วส่ายหน้าก่อนจะหันไปพูดกับลาภิณ “เห็นมั้ยครับคุณต้น ไม่มีใครยืนยันได้ซักคนว่าพี่จิตไปกับน้า” พิสัยปั้นหน้าเศร้า “น้ารู้นะ ว่าคุณต้นมีอคติกับน้า แต่พี่จิตเป็นพี่สาวแท้ๆของน้า น้าจะทำร้ายพี่ตัวเองได้ยังไงกัน คุณนี่ไม่รู้จักโตซะทีนะครับ” พิสัยส่ายหน้า
ลาภิณขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจที่ไล่ไม่จนแล้วยังโดนพิสัยย้อนอีก
“ที่น้าพิสัยพูดก็มีเหตุผลนะคะคุณต้น ตอนนี้เรามาช่วยกันตามหาตัวคุณแม่ก่อนดีกว่าค่ะ” ปริมหันไปพูดกับนวัช “คุณตำรวจ ต้องการพยานหลักฐาน อะไรเพิ่มอีกรึเปล่าคะ”
“ถ้ายังงั้น ผมขอไปสอบปากคำคนอื่นๆ ในบ้านเพิ่มเติมนะครับคุณลาภิณ” นวัชบอก
ลาภิณหน้าเครียด “เชิญตามสบายครับหมวด”
“ผมคงไม่ต้องตามไปนะครับ มีงานต้องสะสางเยอะเลย แล้วก็ไม่ต้องห่วงนะ” พิสัยยักไหล่แบะท่ากวนประสาท “ผมไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด” พิสัยขำๆ แล้วส่ายหน้า
ลาภิณขบกรามแน่น
“ผมไปทำงานได้แล้วใช่มั้ยครับคุณตำรวจ” พิสัยถาม
“เชิญครับ”
พิสัยอมยิ้มกวนๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องประชุม นวัชและนิษฐาสบตากันเล็กน้อย ลาภิณถอนหายใจแรงออกมา ในขณะที่ปริมแอบมองตามพิสัยไปด้วยสีหน้าติดใจสงสัยว่าพิสัยจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ปริมตามพิสัยเข้าห้องทำงานมาติดๆ แล้วรีบกดล็อคประตู พิสัยถอนใจเดินไปทิ้งตัวนั่งโซฟาในห้องแรงๆ
“ฝีมือคุณใช่มั้ย” ปริมถาม
“อย่ามาหาเรื่องฉันหน่อยเลย” พิสัยว่า
“คิดว่าฉันรู้ไม่ทันคุณเหรอ พี่สาวตัวเองแท้ๆ ยังทำได้ลงคอ จิตใจคุณทำด้วยอะไร”
พิสัยโมโหจึงบีบกรามปริม “แหกปากให้ดังอีกสิ ตำรวจยังออกไปไม่พ้นลิฟท์เลย ฉันจะได้ไปอยู่ในคุก แล้วเธอก็จะได้เป็นนางเอกหนังโป๊สมใจ”
ปริมผลักพิสัยออกไปด้วยความฉุนเฉียวก่อนจะขบกรามแน่น เธอมองพิสัยด้วยความเกลียดชัง ก่อนจะสะบัดหน้าไปทางอื่น
“ที่ฉันทำไป เธอก็ได้ประโยชน์ด้วย ไม่งั้นป่านนี้พี่จิตเฉดหัวเธอออกไปจากชีวิตลูกชายสุดที่รักเค้านานแล้ว”
ปริมโมโหจัด “ยังมีหน้ามาพูดอีก เรื่องวุ่นวายทั้งหมดมันก็เพราะแกเป็นต้นเหตุ แกมันตัวการทำลายชีวิตฉัน”
“ฉันก็กำลังช่วยแก้ไขอยู่นี่ไง หัดใช้สมองหน่อยสิ” พิสัยชี้ออกไปทางประตูห้อง “โน่น ตามกลับไปที่บ้านไอ้ต้นเดี๋ยวนี้เลย มีเรื่องอีกมากที่เธอต้องไปทำ แล้วหวังว่าฉันคงไม่ต้องบอกนะ ว่าเธอต้องทำอะไรบ้าง”
ปริมมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด แม้จะโกรธพิสัยแต่สิ่งที่พิสัยพูดก็ฟังดูมีเหตุผล

ปริมเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น พอเข้ามาก็เห็นลาภิณกำลังคุยมือถืออยู่ด้วยสีหน้าเครียด
“ขอบพระคุณมากครับท่าน ยังไงผมคงต้องขอรบกวนท่าน ช่วยคุณแม่ผมด้วยนะครับ” ลาภิณฟัง “ครับ ขอบพระคุณมากครับ” ลาภิณกดตัดสายไป
ปริมทำสีหน้าเป็นห่วงก่อนจะเข้ามานั่งข้างๆ แล้วจับมือลาภิณ “คุณต้นคะ ปริมบอกคุณพ่อให้แล้ว ท่านกำลังหาทางช่วยคุณแม่อยู่”
“ขอบใจมากนะปริม” ลาภิณถอนใจหน้าเครียด “สมควรแล้ว ที่น้าพิสัยชอบดูถูกผม พอเกิดเรื่องขึ้นมาทีไร ผมได้แต่วิ่งหาคนอื่นให้ช่วย ทำอะไรเองไม่ได้ซักอย่าง”
“คุณแม่หายตัวกะทันหันแบบนี้ เป็นใครก็ทำอะไรไม่ถูกทั้งนั้นล่ะค่ะคุณต้นอย่าตำหนิตัวเองเลยนะคะ”
ลาภิณมีสีหน้ามั่นใจ “จริงๆ ผมสงสัยน้าพิสัยมากที่สุด”
ปริมชะงักไปเล็กน้อย

“แต่มันไม่มีพยานเอาผิดเค้าได้ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง” ลาภิณมีสายตาแข็งกร้าวเอาจริง “แต่ถ้าคุณแม่ผมเป็นอะไรขึ้นมา ผมไม่ปล่อยเค้าไว้แน่ รวมทั้งคนที่ช่วยเหลือเค้าทั้งหมดด้วย ผมจะเอาเข้าคุกให้หมดเลย”
ปริมหน้าเสียทันทีเพราะเธอก็มีส่วนจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดไปไกลเลยค่ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเค้าดีกว่า ส่วนคุณต้น กลับไปเคลียร์งานที่นิราลัยให้เรียบร้อยก่อนเถอะ อย่าปล่อยให้น้าพิสัยเค้าฉวยโอกาสช่วงนี้ได้อีกนะคะ”
ลาภิณพยักหน้ารับก่อนจะบีบมือปริมไว้ “ขอบใจนะปริมที่เตือนสติผม ยังดีนะที่ผมยังมีคุณอยู่ ไม่งั้นผมคงไม่เหลือกำลังใจจะคิดอ่านทำอะไรแล้ว”
ปริมยิ้มรับแล้วสวมกอดลาภิณเอาไว้ ลาภิณถอนใจเครียดๆ ออกมา เขากอดปริมเพื่อซึมซับกำลังใจเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่ปริมมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ทั้งกังวลและกลัวความจะแตกเป็นที่สุด

ปริมค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนของชูจิตเข้ามา พอปริมปิดประตูเธอก็รีบค้นห้องนอนชูจิตทันทีอย่างระมัดระวัง ปริมค้นตู้ ลิ้นชัก โต๊ะทำงาน เตียงนอนจนทั่วแต่ก็ไม่เจออะไร ปริมหงุดหงิด เธอกวาดตามองไปทั่วห้อง ก่อนจะตั้งสติแล้วค้นหาใหม่อีกรอบ

มยุรีกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยมีนวัช นิษฐา และนทีคอยปลอบอยู่ใกล้ๆ
มยุรีสะอึกสะอื้น “ทำไมถึงบุ่มบ่ามอย่างงี้ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
นวัชหน้าเครียด “ผมเชื่อว่าตอนนี้เจคงยังไม่เป็นอันตรายอะไรหรอกครับ เพราะแค่ที่พวกมันจับตัวคุณชูจิตไป ก็เสี่ยงมากพออยู่แล้ว คงไม่อยากทำร้ายเจ สร้างปัญหาให้ตัวเองเพิ่มขึ้นอีกหรอกครับ”
มยุรีสะอึกสะอื้น “หมวดคะ ที่พวกมันจับตัวเจ้านายเจไป เพื่อจะเรียกเงินค่าไถ่รึเปล่าคะ ถ้าเค้ายอมจ่าย พวกมันก็คงจะปล่อยตัวเจออกมาด้วยใช่มั้ยคะ” มยุรีซับน้ำตา
“ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ แต่ตอนนี้ยังไม่มีการติดต่อกลับมา เราคงยังสรุปอะไรไม่ได้” นวัชบอก
นทีเซ็ง “แล้วถ้าเกิดพวกมันเรียกค่าไถ่พี่เจอีกคนจะทำไงล่ะแม่ เราจะเอาเงินจากไหนไปจ่าย โอ๊ย..หาเรื่องจริงๆเลยพี่เจ ไม่ใช่เรื่องของตัวเองซะหน่อย ไม่รู้จะเข้าไปยุ่ง ให้ญาติพี่น้องเดือดร้อนไปด้วยทำไม”
“ทำไมพูดอย่างงี้ล่ะนที พี่เค้าถูกจับตัวไป เราไม่ห่วงบ้างรึไง” มยุรีว่า
“ก็ผมพูดเรื่องจริงนี่แม่ บ้านเรามีเงินซะที่ไหนล่ะ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา มันก็ซวยแม่อีก”
มยุรีโมโห “มันก็ไม่เท่ากับตอนที่เราติดหนี้พนันหรอกนที ถ้าตอนนั้นเจไม่ช่วยไว้ ป่านนี้ไม่รู้แกโดนซ้อมตาย หรือหนีเตลิดเปิดเปิงไปไหนแล้ว ทีตัวเองทำล่ะไม่คิด ที่พี่เค้าล่ะซ้ำ อย่างงี้มันใช้ได้เหรอ”
นทีโมโหปนน้อยใจ “ตอนนี้ผมไม่ใช่ลูกรักของแม่แล้วนี่ ทำอะไรก็เลวไปหมด”
นทีหงุดหงิดเดินออกจากบ้านไป นวัชและนิษฐาได้แต่ถอนใจออกมา มยุรีเห็นนทีแสดงท่าทางแบบนี้ ก็ร้องไห้เสียใจขึ้นมาอีก
นิษฐาสงสาร “อย่าร้องไห้เลยค่ะคุณน้า นทียังเด็ก ใช้อารมณ์นำความคิดอารมณ์เย็นลงเดี๋ยวน้องก็จะคิดได้เอง” นิษฐารู้สึกผิด “ที่จริงแล้ว เป็นเพราะเจต้องการช่วยหนูแท้ๆ เลยยอมถูกจับไป”
นวัชหงุดหงิดเพราะห่วงเจติยามากจนพลั้งปาก “ใช่เจเค้ามีน้ำใจ ไม่ทิ้งเพื่อนเอาตัวรอดหรอก” นวัชหน้าเครียดเพราะเป็นห่วงเจติยามาก
นิษฐาเหล่นวัชเพราะไม่พอใจที่นวัชแขวะเธอ ในขณะที่นวัชมีท่าทางเย็นชาทำไม่รู้ไม่ชี้ นิษฐาแอบรู้สึกน้อยใจขึ้นมาไม่ได้
อุบัติเหตุ ตอนที่ 7
อุบัติเหตุ ตอนที่ 7
นนทลีนั่งพิงประตูรถ เหมือนคนหมดแรง หัวใจห่อเหี่ยวท้อแท้ ในหัววนเวียนไปด้วยคำพูดของอารุมที่ทิ้งท้ายก่อนจากกัน ‘ผมไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งที่คุณคิดมันผิด แล้วมันก็ทำให้คุณกลายเป็นคนที่ผมไม่รู้จักเลย นนทลีที่เคยทำตัวมีค่ามากกว่านี้หายไปไหน’ นนทลีน้ำตาไหลออกมาอีกเพราะความเจ็บใจ แต่สมองหวนนึกถึงความหลังเก่าๆ ที่เธอกับอารุมหวานกัน...เธอกับเขาเดินจูงมือกันในสวนสวยๆ...นั่งซบกันมองดูพระอาทิตย์ตกริมน้ำ...นั่งเล่นกันกลางทุ่งหญ้า หยิบเอาต้นไม้เล็กๆ มาพันเป็นแหวน แล้วยืนให้กันละกันใส่ ก่อนจะยิ้มขวยเขินแล้วนั่งซบกันต่อ...อารุมเป่าเค้กวันเกิดร่วมกับเธอ...นนทลียิ่งนึกก็ยิ่งเจ็บปวดเหมือนคนมีคนเอามีดแทงหัวใจ น้ำตาไหลไม่หยุด แท็กซี่ถามขึ้น “ตกลงจะไปไหนครับ” นนทลีได้สติ เอามือป้ายน้ำตา พยายามคิด เหลือบมองป้ายแสงไฟพราวอยู่ตามทางของแหล่งเที่ยวกลางคืน
กำลังโหลดความคิดเห็น