ไฟมารตอนที่ 7
สรวงขับรถพากรรณนรีมาจอดที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง กรรณนรีมองอย่างตื่นเต้นอดเป็นปลื้ม และดีใจแทนภาพิศขึ้นมาไม่ได้ เพราะนึกว่าสรวงเตรียมภาพิศมาทานข้าวที่นี่
“โห! นี่คุณตั้งใจพาคุณภาพิศมาโรงแรมหรูขนาดนี้เลยเหรอ”
สรวงยิ้มขำๆ “เปล่า....พามาเพราะเป็นเธอ”
กรรณนรีหัวเราะ พูดเย้า “ขนาดนั้นเชียว” พลางตั้งท่าจะเปิดประตู
สรวงบอกขึงขัง “หยุด! อย่าเพิ่ง” รีบลงรถวิ่งอ้อมมาเปิดประตูรถให้พร้อมโค้งตัวลง
กรรณนรีหัวเราะขำหลิ่วตามอง สรวงรีบบอก
“มองทำไม ก็..คนขับรถไง”
กรรณนรียกมือชี้ล้อๆ “เหมือน เหมาะจริงๆ”
“ได้ทีขี้แพะไหลเลยนะ”
กรรณนรีหัวเราะขำ “ได้ทีขี่แพะไล่”
สรวงหัวเราะร่า ยิงมุกตลก “ตึ่งโป๊ะ รอเดี๋ยว”
กรรณนรีฉงน “อะไรอีก”
สรวงเปิดประตูรถด้านหลัง คว้าสูทหรูมาสวมทับ กรรณนรีมองปลื้ม
“จะสวยคนเดียวรึไง? ให้ฉันหล่อบ้างสิ มะ” สรวงเย้ากางแขนออก
กรรณนรียิ้มปลื้ม ยื่นมือไปควงแขนสรวง สองคนยิ้มให้กัน เดินเคียงกันไป โดยไม่รู้ว่าเพื่อนของสุขหฤทัยเห็น รีบยกมือถือถ่ายรูป กดส่งไปให้สุขหฤทัยทันที
สุขหฤทัยอยู่ที่บ้าน เสียงโทรศัพท์ดังสุขหฤทัยสวมชุดนอนเดินมารับ เปิดดูเห็นเป็นรูปกรรณนรีกอดแขนสรวงเดินเคียงกันไป
สุขหฤทัยตาค้าง “สรวง”
เสียงโทรศัพท์ดังอีก คราวนี้เป็นสัญญาณโทร.เข้าสุขหฤทัยรีบกดรับ
“เห็นแล้วใช่มั้ย?” เพื่อนถาม
สุขหฤทัยปากสั่นเสียงสั่นของขึ้น “เห็นแล้ว”
“แล้วแกจะทำยังไง”
“คุณหญิงแม่เห็นแค่เอสเอ็มเอส Miss U ของยังขึ้น นี่มากอดกันให้ฉันเห็น แกคิดว่าฉันจะไปนั่งสวดมนต์ทำสมาธิเหรอ?” สุขหฤทัยโกรธจนตัวสั่นกดเบอร์เพื่อนทิ้งอย่างฉุนเฉียว
ทางด้านสรวงควงแขนกรรณนรีมาที่โต๊ะตรงมุมหนึ่ง สรวงเลื่อนเก้าอี้ให้กรรณนรีนั่งลง
สรวงถือโอกาสหอมที่หน้าผากกรรณนรีเบาๆ พลางบอก “เดี๋ยวผมมานะ” ชายหนุ่มวางโทรศัพท์บนโต๊ะ
“ค่ะ” สรวงเดินออกไป กรรณนรีนั่งยิ้มอย่างมีความสุข
ระหว่างเสียงมือถือดัง กรรณนรีมอง เห็นเป็นชื่อสุขหฤทัยโทร.มา
“คุณฤทัย” กรรณนรีหน้าบึ้ง หึงสรวงโดยไม่รู้ตัว
สุขหฤทัยกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า สีหน้าโกรธขึ้ง แต่งตัวไปด่าไป ระบายอารมณ์กับข้าวของประดามีในมือ
“กล้ามากสรวง ที่ไม่รับสาย” จู่ๆ นึกได้ “นังกรรณรี” กดโทร.ออกหากรรณนรีทันที
เสียงมือถือดัง กรรณนรีมองเห็นเป็นชื่อสุขฤทัย โกรธ แต่รับ “กรรณนรีค่ะ”
“ฉันรู้แล้วว่าเป็นแก ไม่ได้โทร.ผิดหรอก”
“คุณมีธุระอะไร”
“แกไปโรงแรมกับสรวง”
กรรณนรีย้อน “แล้วไง”
“นังหน้าด้าน ฉกแฟนฉันไปแล้วยังจะกล้าถามฉันอีกว่า แล้วไง? อย่างหนาจริงๆ เลยนะแกกรรณรี” สุขหฤทัยคำราม
กรรณนรีโต้ “คุณสรวงไม่เคยบอกฉันว่าคุณเป็นแฟนเค้า
“มุกน้ำเน่าของผู้หญิงที่พร้อมจะแย่งแฟนคนอื่น งั้นแกดูนี่เลย”
สุขหฤทัยกดส่งรูปให้กรรณนรีดู เป็นรูปสรวงกำลังกอดสุขหฤทัยที่ริมสระ
“แกคิดดูแล้วกัน อยู่ข้างนอกยังขนาดนั้น แล้วถ้าอยู่ในห้องนอนสองต่อสอง ฉันกับสรวงจะขนาดไหน”
กรรณนรีกดสายทิ้ง สีหน้าโกรธจัด ผลุนผลันออกไป
เป็นจังหวะเดียวกับที่สุขหฤทัยหยิบรองเท้าออกมาจากชั้นวางลงโกรธ “กล้าวางสายใส่ฉันเหรอนังตัวดี” เดินลิ่วออกจากห้องมา
สรวงเดินเข้ามาพร้อมช่อดอกไม้เป็นกุหลาบสวย เดินตรงมาถึงที่โต๊ะทว่ากรรณนรีไม่อยู่แล้ว
สรวงหันถามบริกร “คุณผู้หญิงล่ะ”
“ออกไปแล้วครับ”
สรวงงงคว้ามือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกไป
ช่างบังเอิญเหลือแสน ภรตกับนายแพทย์บุญยิ่งมาทานข้าวด้วยกันที่โรงแรมแห่งนี้ สองคนเดินออกมา บุญยิ่งบอก
“พ่อแวะคุยกับเพื่อน เดี๋ยวตามไป”
“ผมรอที่รถนะครับ”
บุญยิ่งเดินไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะ ภรตเดินแยกออกไป
กรรณนรีวิ่งร้องไห้ออกมา แต่อาการรีบร้อนกรรณนรีเกิดหกล้ม ภรตเดิน ออกมาจากโรงแรมเห็นพอดี
“กาว” ภรตรีบวิ่งมาประคองกรรณนรี
กรรณนรีประหลาดใจ “พี่ภรต”
ภรตยิ่งตกใจที่เห็นกรรณนรีร้องไห้ “กาวเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
“กาว..กาว” กรรณนรีพูดไม่ออก ได้แต่สะอื้นฮักๆ
สรวงวิ่งตามมาเห็นสองคนประคองกันอยู่ สรวงทั้งโมโห ทั้งโกรธ ทั้งหวง ระคนด้วยความไม่เข้าใจ หมดอารมณ์โรแมนติก โยนช่อดอกไม้ทิ้ง แล้วเดินลิ่วมาฉุดมือกรรณนรีกระชากตัวถามอย่างฉุนเฉียว
“นี่มันเรื่องอะไรกรรณนรี”
ภรตฉุนกึก กระชากกรรณนรีคืน บอกเสียงกร้าว
“ปล่อยกาว”
กรรณนรียืนอยู่ตรงกลางถูกยื้อแย่งโดยผู้ชายสองคน
สรวงเสียงเข้ม “คุณนั่นแหละต้องปล่อย กาวมากับผม”
ภรตไม่ยอม “แต่กาวจะกลับกับผม ปล่อย”
สรวงมองจ้องภรตอย่างโกรธเกรี้ยว “อยากปากห้อยมากกว่าเดิมใช่มั้ยคุณ” เงื้อมือจะต่อย
“ปล่อย” กรรณนรีสะบัดแขนออกจากสองชายอย่างแรง
สองหนุ่มร้องพร้อมกัน “กาว” / “กรรณนรี”
“ไม่กลับกับใครทั้งนั้น จะกลับเอง”
กรรณนรีเดินไปอย่างฉุนเฉียว สองหนุ่มตามติด สรวงเร็วกว่ากระชากมือกรรณนรีได้ก่อน
“เธอต้องมากับฉัน” สรวงลากแขนกรรณนรีไปเลย
“ปล่อยฉัน ปล่อยๆๆ”
“ปล่อยกาวนะคุณสรวง” ภรตจ้องหน้าสรวงอย่างเอาเรื่อง
ภรตจะตามไป แต่พนักงานวิ่งมาบอก
“คุณครับ...คุณพ่อคุณตกบันไดครับ”
ภรตลังเลห่วงพ่อ หันไปมองเห็นสรวงลากกรรณนรีไปที่รถอย่างแรง ภรตจำต้องกลับเข้าไป
บุญยิ่งนั่งบนเก้าอี้ ภรตประคองเดินออกมา บุญยิ่งเอ่ยขึ้น
“พ่อไม่เป็นไร แค่เดินไม่ระวัง แล้วตกลง กาวไปกับคุณสรวง”
ภรตหน้าหมอง ท่าทางเป็นห่วงกรรณนรีไม่หาย “ครับ”
“ไม่มีอะไรมั้ง ลูกบอกเองนี่ กาวกับคุณสรวงรักกัน” บุญยิ่งอมยิ้มอย่างอารมณ์ดีพูดเย้า “แล้วคนรักกัน... ตบจูบ กระชากลากถู เป็นเรื่องธรรมดา”
บุญยิ่งพูดเล่น แต่ภรตหน้าหมอง เสียใจอย่างเห็นได้ชัด
สรวงขับรถมาหน้าตาบึ้งตึง กรรณนรีโกรธไม่หาย บอกเสียงดัง
“จอดรถเดี๋ยวนี้นะ”
สรวงย้อนเหน็บแนม “กลัวนายภรตมันจะตามไม่ทันหรือไง”
“ใช่” กรรณนรีบอกเสียงดัง
สรวงเบนรถเข้าข้างทางเบรกรถกะทันหัน จนกรรณนรีหัวทิ่ม
“โอ๊ย!”
สรวงตาขวาง พูดเสียงดุ “ลงไปเลย กลัวนายภรตจะตามไม่ทันนัก ก็ลงไปเลย”
กรรณนรีโกรธไม่พูดสักคำ จับประตูจะเปิด สรวงคว้าตัวกรรณนรีเข้ามากอด
“ไม่มีวันที่ผมจะปล่อยให้คุณไปหานายภรต” สรวงหวงหึง ใช้แรงปล้ำจูบกรรณนรีอย่างดุดัน
“ปล่อยฉัน” กรรณนรีตบหน้าสรวงเสียงดังเผียะ
สรวงโกรธจัด “กรรณนรี” กระชากร่างกรรณนรีเข้ามากอดปล้ำจูบอีก
เสียงมือถือของสรวงดัง แต่สรวงไม่ยอมรับ
สุขหฤทัยเดินหน้าหงิกตรงมาที่รถ
“ต้องทำอะไรกันอยู่แน่ๆ ถึงไม่รับสายฉัน อึ้ย!!” กดโทร.จิกอีก
เสียงโทรศัพท์ดังไม่หยุด สรวงชักรำคาญ “จะโทร.มาทำไมตอนนี้”
กรรณนรีเห็นเบอร์โชว์เป็นชื่อสุขหฤทัย
“คุณฤทัย” กรรณนรีคว้ามือถือสรวงมา
สรวงหยุดกึก “กรรณนรี” กระชากคืนแล้วออกรถไปไม่เปิดโอกาสให้กรรณนรีลง “มีอะไร”
กรรณนรีร้องขึ้นทันที “ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย”
สรวง “กรรณนรี”
สุขหฤทัยได้ยิน ยิ่งโกรธมากเป็นทวี “นังกรรณรี!” แหกปากตะโกนออกมา “กลับมาเดี๋ยวนี้นะคะสรวง ไม่งั้นฉันจะไปอาละวาดคุณเดี๋ยวนี้ กลับมา”
สรวงไม่ยอมวิสาสะด้วย ตัดสายทิ้ง สุขหฤทัยร้องกรี๊ด
“สรวง” สาวแสบปามือถือทิ้งร้องไห้โฮ
สองคนนั่งรถมาด้วยกันตามทาง สรวงตะคอกใส่กรรณนรี
“รู้มั้ยกรรณนรี เธอกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”
“คุณต่างหากเป็นคนทำ” กรรณนรีตกใจ เห็นสรวงขับรถออกนอกเส้นทาง “คุณจะไปไหน” “ไปไหนก็ได้ที่มีแค่เธอกับฉัน”
หน้าตาของสรวงดุดัน กรรณนรีจับรถแน่นสรวงขับรถเร็วราวกับเหาะ
ทางด้านสุขหฤทัยพาตัวเองมาร้องห่มร้องไห้อยู่ต่อหน้าคุณหญิงสุดา ใน
“ฤทัยไม่ยอมนะคะคุณหญิงแม่ สรวงไปกับนังนั่น”
สุดาเหนื่อยใจ “แล้วฤทัยจะให้แม่ทำยังไง? ลำพังตัวแม่ ยังแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้เลย”
“คุณหญิงแม่ก็คิดๆๆๆ สิคะ..นังกรรณรีมันเป็นลูกนังภาพิศ เราจะทำยังไงพวกมันถึงจะเจ็บจะแสบกัน”
สุดาปลอบ “เรื่องแบบนี้ต้องค่อยๆ คิด”
“กว่าจะคิดได้ นังกรรณรีมันก็แย่งสรวงไปกอดแล้ว ฤทัยจะไปตามสรวง”
สุขหฤทัยหุนหันจะไป สุดายื้อมือรั้งเอาไว้
“จะไปตามที่ไหน”
“ไม่รู้ แต่ฤทัยอยู่เฉยๆไม่ได้ค่ะ” สุขหฤทัยสะบัดสุดตัว ร่างถลาเซไปชนกับประตูรั้วห้องโถงอย่างแรง
“โอ๊ย” สุขหฤทัยเจ็บมาก ทั้งกายและใจ ยิ่งเห็นเลือดไหลก็ร้องกรี๊ด “แอร๊ย...เลือด”
สุดาเข้าไปช่วย “แม่บอกแล้วไง ให้ใจเย็นๆ”
สุขหฤทัยกอดสุดาร้องไห้สะอึกสะอื้นโวยวายลั่น “จะให้ฤทัยเย็นได้ยังไง? สรวงไปกับนังนั่นฮือๆๆ”
สองคนกอดกันร้องไห้ที่ประตู ตรงโถงใหญ่ในบ้าน
อารักษ์เดินออกมามอง พลางส่ายหน้าอย่างระอา ไม่ได้ยินที่สองคนคุยกัน
ฝนเทสายลงมาอย่างหนักตลอดทาง กว่าสรวงจะขับรถมาถึงที่บ้านพัก ก็เป็นเวลาค่อนรุ่ง ชายหนุ่มจอดรถ บอกเสียงดุดัน
“ลงมา”
“ไม่”
“ฉันบอกให้ลง” สรวงกระชากเสียง
“ไม่ๆๆๆๆๆๆ” กรรณนรีผลักไสทุบตีสรวงไปมา
“ไม่ลงดีๆ ใช่มั้ย” สรวงมองด้วยสายตากร้าว
กรรณนรีมองอย่างหวั่นกลัว “คุณจะทำไม”
“ก็อย่างงี้ไง” สรวงลงจากรถมากระชากประตูฝั่งกรรณนรีนั่งเปิดออกแล้วดึงกรรณนรีอย่างแรง “ลงมานี่”
กรรณนรีร้องสุดเสียงขืนตัวไว้ “ม่าย....”
“พูดดีๆ ไม่ชอบ”
สรวงไม่ฟังเสียง กระชากกรรณนรีลงมาแล้วช้อนตัวอุ้ม เดินลิ่วเข้าไปข้างในบ้าน กรรณนรียิ่งดิ้น สรวงก็ยิ่งกอด ไม่มีใครยอมใคร
สรวงเอาตัวกระแทกเปิดประตูห้อง ก่อนจะโยนกรรณนรีลงบนเตียงสุดแรง
สรวงตะคอกในอาการเหนื่อยหน่าย ปนระอา “เลิกบ้าได้รึยัง”
กรรณนรีสวนคำ “คุณน่ะสิบ้า”
สรวงขึ้นเสียง “ฉันบ้าที่ไหน ? อุตส่าห์ทำเซอร์ไพร้ส์ไปเอาดอกไม้มาให้ พอออกมา กลับเจอเธอทำเซอร์ไพร้ส์ไปกับนายปากห้อยนั่น”
กรรณนรีสวนออกมาอีก “เค้าชื่อภรต”
“ฉันจะเรียกเค้าปากห้อย”
“พาล” กรรณนรีค้อนขวับ
“จะทำไม” สรวงปราดเข้าไปหา นั่งลงข้างๆ กรรณนรีขยับออก สรวงโมโห “ขยับตัวออก นี่ถ้าเป็นนายปากห้อยนั่นคงขยับเข้าใกล้สินะ” กระชากร่างกรรณนรีมากอดอย่างหึงหวง
“ใช่! เพราะปากเค้าห้อยเสน่ห์ไม่เหมือนนาย” กรรณนรีกระแทกเสียงใส่ “ปากเสีย”
“กรรณนรี” สรวงเดือดดาล ปล้ำกรรณนรีลงบนเตียง ทั้งหึงทั้งโกรธ “ตกลงเธอชอบเค้าใช่มั้ย” สรวงโถมตัวปล้ำจูบ ถูกกรรณนรีผลักออก “ก็เหมือนที่นายชอบยัยฤทัยนั่นแหละ”
“ฉันชอบที่ไหน” สรวงเถียงลั่น
“ใช่ไม่ใช่ เค้าก็บอกว่าเป็นแฟนนาย แล้วเค้าก็โทร.มาด่าฉัน” น้ำเสียงเครือสั่น “ส่งรูปที่
นายกับเค้า..กอดกันมาให้ดู” กรรณนรีร้องไห้ออกมา “ไหนนายบอกว่า...เราสองคนต้องไม่สร้างปัญหา แล้วทำไมนายทำกับฉันอย่างนี้”
สรวงตกใจ ดึงกรรณนรีมากอด เปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนโยนรักใคร่ “ฉันขอโทษ...ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นเพราะ” กรรณนรีมองอย่างตั้งใจฟัง สรวงพูดอ่อนโยน จริงจัง ลึกซึ้ง ทุกน้ำคำ
“ฉันหึง ฉันหวงฉันรักเธอ กรรณนรี”
กรรณนรีตกใจระคนดีใจ “คุณสรวง”
“ฉันรักเธอ..รักมากจริงๆ” สรวงค่อยๆ ประคองร่างกรรณนรีลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน จ้องมองด้วยสายตาลึกซึ้ง อ่อนหวาน
กรรณนรีมองตอบสายตาสายตาลึกซึ้งผูกพันไม่แพ้กัน ขณะที่สรวงโน้มหน้าลงต่ำประจงจูบที่ริมฝีปากสวย อย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา
เกริกมองดูนาฬิกา เห็นเวลาตีสี่แล้ว กาวินทร์เดินลงมา
“อะไรพ่อ”
“หมู่นี้กาวกลับดึกทุกวันเลย” เกริกมองนาฬิกาสีหน้าเป็นกังวล
“พ่อโทร.ไปตามกาวหน่อยสิ ไม่งั้นกาวชอบทำงานเพลิน” กาวินทร์เดินเข้าครัวไป
เกริกหยิบมือถือ กดโทร.หากรรณนรี
เป็นเวลาเดียวกับที่สรวงกอดกรรณนรีไว้แน่น ก่อนจะก้มลงจูบที่หน้าผากไล่ลงมาที่จมูก สองสายตาสบประสานกัน สรวงพูดอย่างลึกซึ้ง จริงจัง
“ฉันรักเธอ ..แล้วเธอล่ะรักฉันบ้างมั้ยกรรณรี?”
กรรณนรีมองสรวง รู้สึกเต็มตื้น น้ำตาคลอ “รักสิคะ..ฉันรักคุณมากคุณสรวง”
สรวงยิ้มพราย ก้มลงจูบที่ริมฝีปากกรรณนรีแผ่วเบา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กรรณนรีจูบตอบคนที่รักโดยไม่ขัดขืน
สองคนกอดกันแนบแน่น แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะดำดิ่งเตลิดไปตามแรงปรารถนา เสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดขึ้น ทั้งสองคนสะดุ้ง เฮือก ได้สติ กรรณนรีรีบคว้ามือถือมามองหน้าสรวง อย่างกังวล
“พ่อ”
สรวงรีบบอก “รีบรับโทรศัพท์ท่าน ฉันจะอยู่เงียบๆ” สรวงกอดกรรณนรีจากด้านหลังนิ่งๆ
แต่ยื่นใบหน้ามาคลอเคลียแถวแก้มกรรณนรีตลอดเวลา
กรรณนรีรีบสาย ปรับเสียงเป็นปกติ “คะพ่อ”
“ตีสี่แล้ว งานยังไม่เสร็จอีกเหรอลูก”
สรวงหอมกรรณนรีฟอดหนึ่ง กรรณนรีค้อนขวับ
กรรณนรีรีบบอก “เสร็จแล้วค่ะพ่อ กาวกำลังจะกลับบ้านพอดี”
“งั้นรีบกลับมาเร็วๆ นะ.....พ่อจะรอ พ่อเป็นห่วง”
“ค่ะพ่อ” รีบวางสาย “แบตหมดพอดี ไม่งั้นพ่อห่วงแน่ กลับเร็วค่ะ”
สรวงคว้าตัวกรรณนรีมากอดอย่างรักใคร่ ทะนุถนอมไม่ใช่หื่นหิว ยั่วยิ้ม “ใครให้กลับ”
“ฉันนี่ล่ะจะกลับ” กรรณนรีเขินๆ
สรวงอ้อนสุดขีด ทั้งเสียงและแววตา “อยู่ต่ออีกนิดนึง”
“ไม่เอาค่ะ” กรรณนรีส่งสายตาอ้อนๆ อ่อนหวาน “พาฉันกลับได้แล้วค่ะคุณสรวง...เร็ว”
“ขอชื่นใจก่อน” สรวงดึงมาจูบอีก ก่อนยื่นหน้าเอียงแก้มตัวเองให้กรรณนรีท่าทีขำๆ “อ่ะ!เธอชื่นใจฉัน”
กรรณนรียิ้มเขิน “มัวแต่ชื่นใจกันไปมา เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับกันพอดี” ฉุดมือสรวง “กลับเร็วค่ะ”
สรวงยื้อมือไว้ “เดี๋ยวก่อน” ยื่นแก้มให้อีก
“คุณสรวง”
สรวงยิ้ม พลางชี้แก้มตัวเอง “เร็ว”
กรรณนรีทำหน้าอ่อนใจ ก่อนยื่นจมูกไปหอมเร็วๆ ที่แก้มสรวงทีหนึ่ง สรวงดึงกรรณนรีเข้ามาหอมเร็วๆ กรรณนรีทุบสรวงไปมา สรวงหัวเราะร่า
“เอ้า! กลับๆ ฉันไม่แกล้งเธอแล้ว” สรวงลุกขึ้นมาโอบพากรรณนรีออกมาไป ย้ำคำหวานจากก้นบึ้งของหัวใจ “ฉันรักเธอนะ กรรณรี”
กรรณนรียิ้มหวาน “ฉันก็รักคุณค่ะ”
สองคนยิ้มให้กัน ก่อนที่สรวงจะพากรรณนรีออกจากห้องไปขึ้นรถ สองคนเดินเคียงกันไปกระหนุงกระหนิง
ไฟมารตอนที่ 7 (ต่อ)
ตอนสายวันต่อมา ภาพิศมาออกกำลังกายสำหรับคนท้องอยู่ที่ฟิตเนส ดวงหน้าผ่อนคลาย ดูเปี่ยมสุข สักครู่หนึ่งจึงเดินไปพักหยิบมือถือออกมา กดโทร.ออก หาสรวง แต่ติดต่อไม่ได้ ภาพิศกดเบอร์กรรณนรี แต่ก็ติดต่อไม่ได้อีกเช่นกัน
ภาพิศเริ่มกังวล ตัดสินใจโทร.ไปที่เบอร์บ้านนายพลอารักษ์ แม่บ้านมารับสาย
“บ้านพลตรีอารักษ์ อริยวรรตค่ะ”
“ฉันภาพิศ คุณสรวงอยู่มั้ย”
“คุณสรวงไม่อยู่ค่ะ...คุณภาพิศมีธุระอะไรหรือคะ”
สุดาเดินมาได้ยินพอดี เดินมาคว้าโทรศัพท์ทันที
“ไม่ว่าเธอจะตายโหงตายห่า เป็นสัมภเวสีผีเร่ร่อนก็ไม่ต้องมาขอส่วนบุญจากลูกชายฉัน”
สุดาด่าเป็นชุด โดยไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง อารักษ์เดินลงมาจากชั้นบนได้ยินพอดี
ภาพิศหัวเราะเยาะ “ไหนเราว่าจะปรองดองกันไงคะคุณหญิงพี่..แล้วไหงผีเจาะปากมาพูดขนาดนี้คะ? อุ๊ย! มีหนอนหล่นออกมาด้วย”
สุดาสวนกลับ “หนอนมันก็หล่นออกมาจากปากเธอไงยะ? อ้อ! ไม่ใช่แค่ปาก แต่หนอนมันชอนไชออกมาตามเนื้อตามตัวของเธอเต็มไปหมด เพราะเธอมันเน่า อย่ามายุ่งกับลูกชายฉันอีก”
สุดากระแทกหูโทรศัพท์บอกแม่บ้าน “ถ้านังภาพิศมันโทร.มาอีกด่ามันเลย” แล้วเดินออกไป แม่บ้านทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม
อารักษ์กลุ้มใจสุดๆ ภาพิศเองก็ดูจะกังวลไม่น้อย
สรวงขับรถมาส่งกรรณนรีที่หน้าบ้าน สองหนุ่มสาวจับมือกันตลอดเวลา สรวงมองละห้อย
“ทำไมวันนี้บ้านเธออยู่ใกล้จัง”
“ยังจะมาพูดดีอีก...วันนี้คุณขับรถช้ามาก ถึงบ้านซะสายเลย”
สรวงโน้มตัวเข้ามาใกล้บอกเสียงอ้อน “ก็ฉันอยากอยู่กับเธอนานๆ นี่”
“กลับได้แล้วค่ะ ฉันจะรีบเข้าบ้าน”
“วันหลังมีโอกาส..เราไปขอบคุณคุณภาพิศด้วยกันนะ” สรวงยิ้มแย้ม
กรรณนรีเต็มตื้นขึ้นมา “คุณเลิกเกลียดเค้าแล้วเหรอคะ”
“ก็รักลูกสาวเค้าแล้วนี่..จะเกลียดได้ยังไง” สรวงสารภาพดื้อๆ
“ขอบคุณค่ะคุณสรวง ขอบคุณจริงๆ”
สรวงกุมมือกรรณนรีแน่น “ฉันรักเธอกรรณนรี” พร้อมกับยกมือขึ้นจูบอย่างแผ่วเบา “แล้วเจอกันจ้ะ”
กรรณนรีลงจากรถ เดินเข้ามาในรั้วบ้าน สรวงขับรถแล่นออกไป เกริกมองเห็นทุกเหตุการณ์
กรรณนรีเดินตัวลีบเข้ามาในบ้าน รู้สึกผิดจนไม่กล้าสบตาเกริก ยกมือไหว้แล้วเดินเลี่ยงไปชาร์ตแบตมือถือก่อนจะหันมาชวนคุย
“พ่อโทร.หากาวอีกหรือเปล่าคะ พอดีมือถือกาวแบตหมด”
“แล้วคิดว่าพ่อโทร.หรือเปล่าล่ะ? กาวบอกจะออกจากออฟฟิศตั้งแต่ตีสี่ แล้วกาวเพิ่งมาถึงบ้านเดี๋ยวนี้” เกริกเหน็บ
“พอดี...กาวมีงานด่วนนิดหน่อยค่ะ”
เกริกเสียงเครือ โกรธนิดๆ “กาวคิดว่าพ่อไม่เห็นเหรอ?” กรรณนรีเงียบกริบ เกริกว่าต่อ “พ่อนั่งจ้องตั้งแต่มีรถมาจอด แล้วกาวลงมาจากรถเค้าแล้ว” กรรณนรีหน้าซีดหนักกว่าเดิมอีก “หายไปกับผู้ชายทั้งคืนแปลว่าอะไรกาว”
กรรณนรีรีบปฏิเสธปากคอสั่น “เปล่านะคะพ่อ ไม่ใช่อย่างที่พ่อคิด”
เกริกย้อนถามเสียงเครือ “แล้วมันคืออะไร? ไหนบอกพ่อมาซิกาว มันคืออะไร”
กรรณนรีอึ้งนิ่งงันไป พูดไม่ออก
เวลาเดียวกันภาพิศเดินสีหน้ากังวลตรงไปที่ลานจอดรถของฟิตเนสแห่งนั้น ก่อนจะกดโทร.หากรรณนรี
กรรณนรีไม่ทันตอบพ่อเสียงมือถือดังขึ้น กรรณนรีสะดุ้งมองเมื่อเห็นเป็นเบอร์ภาพิศ กรรณนรีหน้าซีด เกริกเข้าใจผิดว่าเป็นสรวง
“มันโทร.มาใช่มั้ย? เอามานี่พ่อจะคุยกับมันเอง” เดินมาจะคว้ามือถือ
กรรณนรีปิดทันที “ไม่ใช่เค้าค่ะพ่อ”
“แล้วใคร”
“แขกรับเชิญของกาว”
เกริกไม่เชื่อ “กาวกำลังโกหกพ่อ”
“เปล่าค่ะ กาวไม่ได้โกหก”
กาวินทร์เดินเข้ามา “เดี๋ยวผมคุยกับน้องเองพ่อ” คว้าข้อมือกรรณนรี “มะกาว”
สองคนออกไป เกริกมองตามอย่างโกรธขึ้ง ยังคิดว่ากรรณนรีโกหก จึงเดินตามไป
ส่วนภาพิศมองมือถือด้วยความไม่สบายใจ
ภายในห้องกรรณนรี กาวินทร์พากรรณนรีเข้ามา แล้วปิดประตูลง
“พี่ไม่อยากจะด่าแกหรอกนะกาว เพราะเราก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว แต่แกกำลังโกหก”
“กาวไม่ได้โกหกจริงๆ นะพี่แก้ว คนที่โทร.มาไม่ใช่คุณสรวง”
“แล้วใคร?”
“แม่...แม่โทร.มา”
เกริกที่แอบฟังอยู่ด้านนอกได้ยิน ก็ตกใจ คาดไม่ถึง กรรณนรีบอกต่อ
“แล้วพี่แก้วจะให้กาวคุยกับแม่ต่อหน้าพ่อเหรอ”
กาวินทร์นิ่ง เสียงอ่อนลง “มันก็จริง...งั้นเดี๋ยวพี่จะช่วยแกโกหกพ่อเอง...รีบอาบน้ำไป
ทำงาน”
“ค่ะ”
เกริกยิ้มออกมาน้อยๆ ดวงตาที่บ่งบอกว่าโกรธลูกเมื่อครู่หายไปจนสิ้น
ไม่นานนักเกริกเดินเข้ามาในห้อง ตรงไปที่หัวเตียง หยิบรูปของครอบครัวขึ้นมาดู เกริกมองภาพอย่างตื้นตันใจ ค่อยๆ เอามือลูบไล้รูปนุดี หรือภาพิศในวันนี้ หน้าตาบ่งบอกว่าคิดถึงมากเหลือเกิน แต่แล้วพลันสีหน้าก็เจื่อนลงไปเมื่อนึกถึง คำพูดที่ภาพิศบอกว่าตนคิดถึงลูก แต่ไม่อยากยุ่งกับเกริก เกริกหน้าเศร้าแต่ยังยิ้มได้
“แค่เธอคิดถึงลูก แค่นี้ก็พอนุดี แค่นี้ก็พอ”
เกริกกอดตระกองรูปแนบอก คิดถึงเมียที่ทิ้งไปเหลือแสน
ในวันต่อมาเสียงมือถือดังขึ้น ภาพิศวิ่งมารับ
“ค่ะท่าน”
อารักษ์จอดรถอยู่ข้างทาง “ภารอสายซักครู่นะ ฉันจะโทร.หาคุณหญิงสุดา”
ภาพิศอดกังวลไม่ได้ ว่าจะคุยอะไร “ค่ะท่าน” อารักษ์โทร.หาสุดา
สุดาอยู่ที่บ้าน เสียงโทรศัพท์ดัง จึงกดรับสาย “ค่ะคุณ”
“คุณหญิง...ตอนนี้ภาพิศอยู่ในสายด้วยนะ เราจะคุยกันสามสาย”
สายตาของสุดากับภาพิศ แต่ละคนต่างเกร็งๆ ว่าจะคุยอะไรกัน
สุดากับภาพิศ แต่ละคนท่าทางคิดหนัก น้ำเสียงของอารักษ์ที่ฟังออกว่าหนักใจดังก้อง
“ผมอยากให้เราอยู่กันด้วยความเข้าใจ เป็นไปได้มั้ย ถ้าเราสามคนจะทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัวเดียวกันซักที”
ภาพิศ กับสุดานิ่งงันไป ต่างคนต่างคิด
“ผมจะรออยู่ที่ร้าน...หวังว่า...คงเจอคุณทั้งสองคน”
สุดาและภาพิศชั่งใจอย่างหนัก ว่าจะไปหรือไม่ไป
อารักษ์ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าร้านอาหาร ลุ้นๆ ว่าสุดากับภาพิศจะมาหรือไม่
สักครู่หนึ่งภาพิศซึ่งแต่งตัวสวยเดินมาทางซ้าย อารักษ์หันไปเห็นยิ้มอย่างโล่งใจ แต่สีหน้าก็ยังเป็นกังวล อยู่ดี ไม่รู้ว่าสุดาจะมาหรือเปล่า
สุกครู่ต่อมาสุดาก็เดินมาจากทางขวา อารักษ์ยิ้มกว้างโล่งใจ ภาพิศ กับสุดาเดินมา อารักษ์กางแขนออก ให้สองคนควงแขน เดินเคียงกันเข้าไปในร้านเท่ สามคนเมียผัว
บริกรนำอารักษ์ ภาพิศ และสุดาไปยังโต๊ะเอาท์ดอร์ที่จัดเตรียมไว้ กลางสวนสวยๆ บรรยากาศร่มครึ้มด้วยสีเขียวของพรรณไม้นานาพันธุ์ สามคนสวมชุดขาวในสไตล์ของตัวเอง เหมือนงานเลี้ยงในสวนกลายๆ โต๊ะถูกจัดอย่างหรูหราสวยงามเป็นพิเศษ มีกุหลาบประดับโต๊ะ
อารักษ์ยิ้มแย้ม “ผมดีใจมาก ที่คุณสองคนมา...เพราะแสดงให้ผมรู้ว่า..เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
สุดากับภาพิศยิ้มให้กัน แต่ในดวงตาฉาบไว้ด้วยความระแวงระวัง ต่างไม่ไว้ใจกัน
สุดายิ้มจริงใจให้อารักษ์ “ฉันทำเพื่อคุณค่ะ”
ภาพิศยิ้มหวาน “ภาก็ทำเพื่อท่านค่ะ”
“ขอบใจมาก ขอบใจจริงๆ” อารักษ์เอื้อมมือไปกุมมือทั้งสองคนไว้ “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังไงผมก็อยากให้คุณสองคนปรองดองกันนะ”
สองคนยิ้มให้กันและกัน “ค่ะ”
ระหว่างนั้นบริกรเดินถือช่อดอกกุหลาบสีแดงเหมือนกันสองช่อมาให้ อารักษ์ ยื่นให้สุดา และภาพิศพร้อมกัน
“สำหรับภรรยาที่ผมรัก ทั้งสองคน” อารักษ์บอกเสียงนุ่มนวล
ภาพิศ กับสุดารับยิ้ม สามคนยิ้มให้กัน
“ขอตัวซักครู่นะ” อารักษ์บอกแล้วเดินออกไป
ภาพิศกับสุดาหันมามองหน้ากัน พร้อมรอยยิ้มที่แปลความหมายไม่ออก
อารักษ์เดินเข้าไปในบริเวณร้าน บริกรเดินนำพาเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ที่ด้านในมี เพชรเพื่อน
ของอารักษ์นั่งรออยู่ ทันทีที่ประตูปิดอารักษ์ถามขึ้น
“เรียบร้อยใช่มั้ยเพื่อน”
“จัดให้เพื่อนตามที่ขอ เชิญ...ตามสบาย” เพชรตบไหล่อารักษ์แล้วเดินออกไป
อารักษ์นั่งนิ่ง จดสายตามองจ้องที่จอมอนิเตอร์ เห็นเป็นภาพภาพิศกับสุดา ชัดเจน อารักษ์เหมือนจะลุ้นอะไรอยู่
ที่ด้านนอก มีกล้องแอบซ่อนอยู่โดยมีเมียหลวง เมียน้อยไม่รู้เรื่องใดๆ ส่วนใต้โต๊ะก็ติด Wireless ไว้เรียบร้อย ภาพิศกับสุดานั่งเผชิญหน้ากัน ใบหน้าสองคนเปื้อนรอยยิ้ม แต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวนัก
“เธอว่า...เมียน้อย จะหมดไปจากโลกนี้ได้มั้ย” สุดายิ้มขณะถาม
ภาพิศยิ้มเย้ย “ไม่ได้....ตราบใดที่ผู้ชาย ต้องทนอยู่กับเมียหลวง”
อารักษ์อยู่ในห้องได้ยินทั้งเสียงเห็นทั้งภาพ สุดายิ้ม ยกสองแขนขึ้นมาวางพาดบนโต๊ะ ยื่นหน้าเข้าใกล้ภาพิศ หากมองเผินๆ ก็ดูเหมือนสองคนจะถูกคอกัน
“ก็คงเหมือนเราสองคน เมียหลวง เมียน้อย” สุดาเย้ยกลับ
ภาพิศต่อให้ “หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์โลก ที่ไม่มีทางปรองดองกันได้”
สุดายิ้มร้าย “พาราลิมปิกเพิ่งจบลง”
ภาพิศยิ้มร้ายตอบ “ธาราลิมปิกก็กำลังเริ่มต้น ส่วนภรรยาลิมปิกไม่ต้องรอถึงสี่ปี” สองคนมองสู้สายตากันแบบไม่มีใครยอมใคร “แต่จะเกิดขึ้นทุกวัน”
“เธอกับฉัน ต้องฟาดฟันกันต่อไปภาพิศ”
“ฉันก็ยอมคุณต่อหน้าท่านอารักษ์เท่านั้น ให้มันรู้ไป ระหว่างคุณกับฉัน ใครจะแน่กว่าใคร”
ภาพิศกับสุดา ยิ้มให้กันแต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีใครยอมใคร ส่วนด้านในสีหน้านายพลอารักษ์ มีแต่ความหนักใจ
ขณะที่อารักษ์เดินหน้าขรึมออกมาในอาการหนักใจ สุดากับภาพิศ ยิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หายไปไหนคะ..เราสองคนรอตั้งนาน” สุดาเอ่ยขึ้น
“ผมนึกว่า...ผมมาเร็วไปซะอีก เพราะเท่าที่ดู...คุณสองคนยังคงมีเรื่องคุยกันอีกเยอะ” มองจ้องจับกิริยาทั้งสองคน “ทั้งเรื่องพาราลิมปิก ธาราลิมปิค และภรรยาลิมปิค”
ภาพิศกับสุดาสะอึก ใจหล่นวูบหน้าถอดสี
ครางออกมาพร้อมๆ กัน “คุณคะ” / “ท่านคะ”
อารักษ์ยกมือห้าม “ไม่ต้องพูด....เป็นความผิดของผมเอง ที่คิดว่าเอาอยู่ แต่ความจริง มันก็เป็นแค่ความฝัน ที่ผมหลอกตัวเอง”
อารักษ์เดินออกไปทันที ภาพิศกับสุดาหน้าซีดเผือดได้แต่เรียก
“คุณคะ” / “ท่านคะ”
ทว่าอารักษ์ไม่หันกลับมาแล สองคนกลุ้มใจหนัก
นายแพทย์บุญยิ่งนั่งทานข้าวอยู่กับภรต เสียงมือถือดัง บุญยิ่งรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ว่าไงท่าน” บุญยิ่งแซว
อารักษ์จอดรถอยู่ข้างทาง หน้าตาหมองหม่น “ว่าจะไปพักที่บ้านชายทะเลหน่อย”
บุญยิ่งฟังจากน้ำเสียงอารักษ์ ชักเป็นห่วง “มีอะไรรึเปล่า”
“อยากพัก ถ้านายว่างก็แวะไปเที่ยวแล้วกัน”
“โอเค.แล้วเจอกัน”
บุญยิ่งวางสาย ภรตจ้องพ่อตาเขม็ง
ขณะที่สองพ่อลูกเดินตรงไปยังที่จอดรถ ภรตเอ่ยถามขึ้น
“ท่านอารักษ์จะไปบ้านพักชายทะเลเหรอครับ”
“ฮื่อ! คงจะปวดหัว อย่างว่า..เมียสองต้องห้าม”
“งั้นคุณพ่ออย่าบอกเรื่องคุณสรวงกับกาวนะครับ ไม่อย่างนั้นท่านปวดหัวมากกว่าเดิมแน่ คุณหญิงสุดาก็คงไม่ยอม”
บุญยิ่งยิ้ม บอกลูกชาย “พ่อจะรูดซิบปากให้แน่นเลย”
ขณะที่สรวงนั่งทำงานอยู่ อารักษ์โทร.มาหา
“ครับคุณพ่อ”
อารักษ์ยังอยู่ในรถข้างทางที่เดิม “สรวง..พ่อจะไม่อยู่บ้านซักระยะฝากดูแลแม่ แล้วก็ภาพิศ
ด้วยนะ”
“คุณพ่อจะไปไหน”?
อารักษ์แค่นหัวเราะ บอกเสียงขื่น “ทำใจ...ไม่มีอะไรหรอก..พ่ออยากพักผ่อน คิดทบทวนอะไรซักหน่อย ฝากแม่แล้วก็ภาพิศด้วยแล้วกัน....เค้าท้องอยู่ พ่อเป็นห่วง”
สรวงวางสาย รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดบิดา
คืนนั้นสรวงเดินเข้ามาในบ้าน ไม่ได้คิดติดใจอะไรเรื่องอารักษ์แล้ว แต่ถามสุดาเป็นเชิงปรารภ
“ทำไมจู่ๆ คุณพ่อถึงอยากไปพักผ่อนครับ”
สุดายิ้มกลบเกลื่อน เหมือนไม่มีอะไร “คงเครียดเรื่องงานมั้งลูก”
สรวงยิ้มตอบ “ก็ดีนะครับ คุณพ่อทำงานหนักมานาน คุณแม่ไม่ไปด้วย”
“ไม่ดีกว่า แม่ไม่ชอบอยู่เงียบๆ”
สรวงยิ้มแย้มท่าทีร่าเริง จับมือสุดาแกว่งไปมา “งั้นวันหลังเราไปแดนซ์กันมั้ยครับ”
“ถ้าสรวงอยากไปนะ”
สรวงหัวเราะชอบใจ พูดอ้อนมารดา “ผมรักคุณแม่จัง”
“แม่ก็รักสรวงมากจ้ะ”
สรวงยิ้มแย้มกอดสุดาแน่น สุดากอดตอบด้วยสีหน้าเศร้า กังวล ต่างกันสุดขั้วกับบุตรชาย
สรวงกับกรรณนรีไปเที่ยวด้วยกันสองคน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
เดินจูงมือเล่นริมทาง ก่อนจะพากันแวะทานข้าวในร้านอาหารข้างทาง
จังหวะต่อมาสองคนขี่จักรยานเล่นในสวนสาธารณะ สุดท้ายสรวงยื่นดอกไม้ให้ กรรณนรีรับมา สรวงฉวยโอกาสแอบหอมกรรณนรีฟอดใหญ่ กรรณนรีค้อนขวับ
ไม่นานต่อมา สองคนวิ่งเล่น หยอกล้อกันไปมาในทะเล อย่างมีความสุข
ขณะเดียวกันอารักษ์ เดินทอดอารมณ์อยู่ชายทะเล กิริยาท่าทางสุดเซ็ง และเบื่อหน่ายสถานการณ์ในชีวิตยามนี้เหลือเกินแล้ว
ค่ำคืนนั้น ภาพิศท่าทางวิงเวียน ขณะโทร.หาอารักษ์ แต่ปลายสายติดต่อไม่ได้ ภาพิศโทร.หาแฉล้ม
“ว่าไงคะคุณ” แฉล้มรับสาย
ภาพิศถอนหายใจเบื่อๆ “ฉันติดต่อท่านอารักษ์ไม่ได้”
“โทรศัพท์แบตหมดหรือเปล่า? ไม่งั้นก็อาจจะอยู่ในที่ไม่มีสัญญาณ”
“ไม่ใช่มั้ง...ฉันกลัวจะเป็นแผนคุณหญิงสุดา กักตัวท่านไว้”
“คุณหญิงสุดาแพ้คุณราบคาบไปแล้ว ไม่กล้าทำอะไรหรอก คุณลองโทร.ใหม่แล้วกัน"
แฉล้มวางสายไป
ภาพิศกดสายโทร. หาอารักษ์ แต่ไม่ติด ท่าทางภาพิศกังวลหนัก ขณะเดียวกันสุดาก็กดโทร. หาอารักษ์ แต่ก็โทร.ไม่ติดเหมือนกัน กิริยาท่าทางสองคนกังวล หน้าตาไม่สบายใจ สุดาพึมพำเบาๆ
“หรือจะเป็นแผนนังภาพิศ”
สุดากดสายโทร.หาสุขหฤทัย
ด้านสุขหฤทัยเจ็บตัวหัวแตกมีผ้าพันอยู่ เนื้อตัวมีรอยช้ำจากการล้มชนประตู กำลังคุยโทรศัพท์กับสุดา
“ใช่ค่ะต้องเป็นแผนเอาคุณพ่อไปกกของนังภาพิศแน่ๆ....คุณหญิงแม่ก็เห็นฤทธิ์เดชของพวกมันไม่ธรรมดา นี่ถ้าฤทัยไม่เจ็บ...ฤทัยไปจัดการนังกรรณรีไปแล้ว”
“แล้วนี่แม่จะทำยังไง” สุดาหารือ
“ทำยังไงก็ได้ค่ะ ที่จะทำให้มันสองคนแม่ลูกไม่มีความสุข” สุขหฤทัยตาวาววับ “เดี๋ยวฤทัยจะจัดการเอง”
วันต่อมาภาพิศขับรถออกมาจากบ้าน สุดาซึ่งหลบมุม จอดรถรออยู่ ขับตามไปติดๆ
ภาพิศแวะมาออกกำลังกาย ที่สถานออกกำลังกายสำหรับคนตั้งครรภ์ ซึ่งลงคอร์สทั้ง การเล่นโยคะในน้ำ โปรแกรมธาราบำบัด และนวดตัวในกระแสน้ำวน
สุดาตามเข้ามาลอบมองภาพิศอย่างเกลียดชัง ภาพิศออกกำลังกายจนจบคอร์ส ก็เดินออกมาด้านนอก สุดาเดินหลบฉากไปอย่างรวดเร็ว
สุดาหลบเข้ามาในห้องน้ำ กวาดสายตามองไปรอบๆ พอไม่เห็นใครสุดาก็คว้าขวดสบู่เหลว ออกมามาเทราดลงที่พื้น จากนั้นรีบออกไปรวดเร็ว หลบมุมแอบมอง สักครู่หนึ่งภาพิศเดินมาเข้าในห้องน้ำ สุดาแอบมองด้วยใจระทึก
ภาพิศเดินเข้าไปด้านใน เท้าเหยียบเข้าที่สบู่เหลว
ภาพิศตกใจร้องลั่น “ว๊าย”
สุดาได้ยินเสียงก็ยิ้มอย่างสาแก่ใจ โดยไม่รู้ว่ามือของภาพิศคว้าประตู และยันกำแพงไว้ได้ทัน
พร้อมๆ กับเสียงภาพิศร้อง สุดาก็เห็นคนวิ่งกันเข้าไปในห้องน้ำ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ”
“เปล่าค่ะ โชคดีที่ฉันคว้าประตูได้ทัน” ภาพิศบอก
สุดาได้ยินก็รู้สึกหงุดหงิด แผนพลาดขณะที่คนด้านในเอ่ยขึ้นอีก
“พิเรนทร์จริงๆ คนทำสบู่หล่นหกใส่พื้น ไม่ระวังเลย”
สุดาหน้าหงิกรีบเดินหลบไปอย่างว่องไว
สุดาเดินฮึดฮัดตรงไปที่รถ ส่วนภาพิศที่อยู่ในสถานออกกำลังกาย และยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อเดินออกมามองไปที่ลานจอดรถพอดี ในสายตาภาพิศเหมือนจะเห็นคุณหญิงสุดา แต่ขณะที่ภาพิศกำลังเพ่งสายตาเขม้นมอง คนรู้จักก็เดินมาทัก
“อ้าว! คุณภาพิศ”
ภาพิศหันมาหายิ้มทักทาย “คุณก้อย”
“ตะกี้ได้ยินว่าลื่นล้มในห้องน้ำ เป็นไรหรือเปล่าคะ” คนชื่อก้อยถาม
“ไม่ค่ะ คราวหลังคงต้องระวัง”
“ค่ะ ยิ่งท้องอ่อนๆยิ่งต้องระวังมากๆ” ก้อยยิ้มให้แล้วเดินออกไป
ภาพิศเหลียวไปมองที่ลาดจอดรถไม่เห็นสุดาแล้ว ภาพิศทำหน้าสงสัย
วันต่อมา สรวงนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ ชายหนุ่มบิดเนื้อบิดตัวไล่ความเมื่อย ก่อนจะหยิบมือถือมากดโทร.ออก
ขณะเดียวกันกรรณนรีนั่งเขียนต้นฉบับ ทำงานอยู่ในออฟฟิศ สัญญาณไลน์ดัง กรรณนรีรับมาเปิดดู เห็นเป็ลไลน์จากสรวงส่งรูปตุ๊กตามาทัก เป็นตุ๊กตายกมือน่ารักทักกัน กรรณนรีส่งตอบกลับไปด้วยไลน์ สองคนนั่งยิ้มส่งไลน์ทักทายกันไปมา คนละสองสามรูป กิริยาสองคนดูกุ๊กกิ๊กผ่อนคลาย
นิคกับมะยมมองอยู่ สองคนชะโงกหน้ามอง
มะยมกัด “คนอินเลิฟเป็นงี้เนอะ”
นิคหมั่นไส้ “เออ...เป็นเอามาก แค่มองโทรศัพท์ก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
“มัวแต่เล่นไลน์ ระวังพี่จ๋า” มะยมแซวแรง “ปลดออกจากงานนะแก”
กรรณนรีตัดบท “โอเคๆ งั้นรีบทำงาน”
กรรณนรีกดส่งไลน์ให้สรวงอีกที เป็นรูปหัวใจ สรวงนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะวางมือถือลงทำงานต่อ
เสียงมือถือดัง สรวงชะโงกหน้ามองชื่อ ชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นหงุดหงิดทันที
ไฟมารตอนที่ 7 (ต่อ)
สุขหฤทัยแต่งตัวสวยเช้ง เดินมาที่รถพลางคุยโทรศัพท์ พูดเสียงดุ
“ตอนนี้สรวงอยู่ที่ไหนคะ?”
สรวงหงุดหงิด “อยู่ที่ไหน ทำไมผมต้องบอกคุณ”
“เพราะฤทัยเป็นแฟนคุณ”
“แฟน..ไม่ใช่เจ้าชีวิต”
สุขหฤทัยบอกรัวเร็ว “แต่ฤทัยเคยบอกสรวงแล้วว่าจะไปไหนมาไหน อยู่ที่ไหนให้รายงานฤทัยตลอด”
สรวงชักฉุนตอกกลับเสียงเข้ม “ผมไม่ใช่ผู้ต้องหาของคุณ”
สุขหฤทัยขึ้นเสียงดังกว่า “แต่คุณเป็นแฟน และแฟนก็ควรทำหน้าที่ของแฟน ตามอย่างที่
แฟนต้องการ”
“ถ้าการเป็นแฟนมันยากขนาดนั้น งั้นเราเลิกกันดีกว่า” สวยกดวางสายทันที
สุขหฤทัยกรี๊ดแตก ตกใจที่ถูกวางสาย “สรวง...ฤทัยไม่ยอมนะ ฤทัยไม่เลิก” เปิดประตูรถอย่างฉุนยเฉียว “หาเรื่องเลิกกับฉันเพื่อไปหานังนั่นเหรอ ไม่มีทาง”
สุขหฤทัยขับรถทะยานออกอย่างโกรธเกรี้ยว
มะยม กรรณนรี และนิค ต่างคนต่างทำงานกันไป อยู่คนละมุม กรรณนรีง่วนอยู่หน้าคอมพ์ มะยมกำลังซีร็อกซ์ ขณะที่นิคกำลังส่งแฟกซ์ ระหว่างนั้นมีเพื่อนร่วมงานเดินผ่านไปมา แล้วตะโกนคุยกันไปมา
กรรณนรีเงยหน้าจากคอมพ์รับสายโดยไม่ได้ดูชื่อนึกว่าเป็นบอกอจ๋า “คะ...พี่จ๋า”
สรวงพูดสายขณะกำลังจะเดินออกจากบริษัท “ผมเอง”
กรรณนรีหัวเราะ “โทษทีค่ะไม่ได้มอง”
มะยมกับนิคกระโจนกันเข้ามาประกบกรรณนรี ทำท่าขอแจมฟังด้วย
“ผมมีประชุมข้างนอก ประชุมเสร็จ เดี๋ยวผมไปรับ แล้วเจอกัน”
“ค่ะ” กรรณนรียิ้ม แล้ววางสาย
“นิค...ต่อไปแกเตรียมทำข่าวนักข่าวสาว พบรักไฮโซหนุ่มด้วยนะโว๊ย” มะยมแซว
นิคถาม “ว่าไงกาว”
“ไม่รู้” กรรณนรียิ้มเขิน ก้มหน้าทำงานอย่างมีความสุข
สรวงยิ้มกริ่มหน้าตามีความสุข ขณะเดินผ่านมาจะออกนอกออฟฟิศแล้ว เจอนพแซว
“อยากรู้จริงๆ คุณภาพิศจัดอะไรให้นายเซอร์ไพร้ส์ แค่เดทแรกก็ทำให้นายลืมทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว”
“ใช่...ผมเซอร์ไพร้ส์...เซอร์ไพร้ส์จริงๆที่ได้เจอกรรณนรี” สรวงยิ้มตาเป็นประกาย
“แปลว่า...”
สรวงยิ้มย่อง “ผมไปเดทกับเค้ามา”
นพตาโตคาดไม่ถึง “โห!” ครวญเพลงแซว “เมื่อไหร่ที่อยู่ใกล้เธอ ฉันรู้สึกราวกับเคลิ้มไป
ไม่เป็นตัวเอง ไม่เหมือนเคย...”
สรวงหัวเราะ “ร้องเพราะนะเนี่ย น่าพาไปเตะบอล” ตบไหล่หยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี “แล้วเจอกันพี่นพ”
สรวงเดินออกไป นพมองตามพร้อมกับอมยิ้มพลอยดีใจไปด้วย
จังหวะที่สรวงขับรถออกไปท่าทางมีความสุขล้น ชายหนุ่มไม่รู้ว่าสุขหฤทัยหน้าตาบึ้งตึงเอาเรื่องเลี้ยวรถเข้ามาหน้าบริษัท พอดี
นพคุยงานอยู่กับเลขา สุขหฤทัยเดินหน้าบูดเข้ามา เลขารีบบอก
“คุณสรวงไม่อยู่ค่ะ”
“สรวงไปไหน”
เลขาเงียบกริบ สุขหฤทัยหันมามองนพตาขวาง
“บอกมาว่าสรวงไปไหน” จ้องหน้านพ “ว่าไงคะพี่นพ สรวงไปไหน”
“ไม่ทราบครับ ผมไม่ได้เป็นผู้จัดการสรวง”
“อย่ามาพูดแบบนี้กับฤทัยนะคะ” สุขหฤทัยเอากระเป๋าทุบนพทันที “ฤทัยยังไม่ได้คิดบัญชีที่พี่
นพฟ้องสรวงว่าฤทัยเอารูปมาติดออฟฟิศเลยน่ะ” ทุบตีพัลวัน
นพเบี่ยงตัวหลบ ชักฉุน “แล้ววันนี้ถ้าสรวงรู้อีกว่าคุณมาวุ่นวายที่นี่จะเป็นยังไง”
สุขหฤทัยมองตาเขียว “นี่พี่นพจะฟ้องสรวงอีกใช่มั้ยคะ”
นพถอนหายใจเบื่อหน่าย “ผมว่าคุณฤทัยเอาเวลาไปบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์คดี
เมาแล้วขับ ดีกว่ามาไล่ตามนายสรวงนะครับ” นพเดินหนีเข้าห้องไปทันที
สุขหฤทัยร้องกรี๊ดด โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
สุขหฤทัยขับรถมาตามทางหน้าตาเคียดขึ้ง พร้อมกดโทรศัพท์
“ฉันไม่ยอม คอยดูนะ ฉันจะไปประจานนังกรรณรีถึงหน้าบ้านเลย”
สุขหฤทัยเร่งเครื่อง เหยียบจนมิด
เย็นนั้นขณะที่กาวินทร์กลับจากทำงานจอดรถเสร็จ กำลังจะเดินเข้าบ้าน เห็นรถคันหนึ่งวิ่งมาเฉี่ยวเกือบชน กาวินทร์มองตาขวาง
“ขับรถยังไง”
กาวินทร์เดินปรี่เข้าไปหา เห็นเป็นสุขหฤทัยที่มองจ้องอยู่ เหยียดริมฝีปาก พอกาวินทร์เดินมา
ใกล้ก็เปิดประตูออกมากระแทกใส่กาวินทร์อย่างแรง
“โอ๊ย” กาวินทร์ ร้องลั่น
สุขหฤทัยยิ้มพอใจแววตาเหี้ยมเกรียม “เก็บเสียงไว้ร้องตอนน้องแกตายดีกว่า”
“คุณพูดแบบนี้คุณนั่นแหละจะตายก่อนน้องผม” กาวินทร์ปราดเข้ามากระชากร่างสุดแรง
สุขหฤทัยดิ้นรนขัดขืน “ปล่อยฉัน เอาเวลาไปสั่งสอนน้องแกดีกว่า ว่าอย่าหน้าด้านแย่ง
แฟนคนอื่น”
กาวินทร์เย้ย “สงสัยแฟนคนอื่นจะหน้าแย่ง”
สุขหฤทัยฉงน “หมายความว่าไง”
“ก็คุณไง...ที่กำลังแย่งแฟนน้องผม...นี่ถ้าอยากมีแฟนผมสงเคราะห์ให้ก็ได้”
กาวินทร์ดึงสุขหฤทัยเข้ามาจูบอย่างรวดเร็ว สุขหฤทัยไม่ทันตั้งตัว ตกใจร้องกรี๊ด กาวินทร์ฉวยโอกาสผลักสุขหฤทัยเข้าไปตรงเบาะหลังแล้วโถมตัวตามลงไป ปลุกปล้ำกอดจูบ สุขหฤทัยทั้งผลักทั้งดิ้นรนขัดขืนสุดแรง
“ปล่อยฉันนะ ปล่อย”
“ปล่อยทำไม? อุตส่าห์มายั่วถึงที่” กาวินทร์ยั่วล้อ “ไม่ถึงใจตรงไหน บอกแล้วกันนะที่รัก”
สุขหฤทัยโกรธจนตัวสั่น “อื้อ” ตบเผียะ
กาวินทร์ตะคอกเสียงดัง “ยัยขี้ไคล” โถมตัวกอดจูบหนักมากขึ้น
ระหว่างนั้นมาลินีเดินถือกระเช้าน่ารักๆ ใส่ขนมเดินมา เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนัวเนียกันอยู่ตรงเบาะหลังรถ
มาลินีตกใจ “ต๊าย!ใครมาทำอะไรแถวนี้”
มาลินีหลับหูหลับตาเดินผ่าน แต่ขณะกำลังจะผ่านรถก็ได้ยินเสียงก่นด่า
“ไอ้บ้าแก้ว ปล่อยฉันนะ ปล่อย”
“ไม่ปล่อย”
มาลินีสะดุ้งเฮือก เหลียวขวับกลับไปมองทันที “พี่แก้ว”
สุขหฤทัยเริ่มเหนื่อยล้า เสียงเริ่มอ่อนลง
“ปล่อย”
กาวินทร์ยิ้ม...ท่าทีอ่อนลง “รู้มั้ย...ตอนคุณทำหน้าอย่างนี้ เสียงอย่างนี้ คุณน่ารัก น่าจูบ
ที่สุดเลย”
จังหวะนั้นกาวินทร์กับสุขหฤทัยมองสบตากัน สายตาที่มองกันเริ่มแปลกๆ กาวินทร์ประกบจูบสุขหฤทัยที่ริมฝีปาก ในจังหวะที่มาลินีเดินเข้ามาใกล้เห็นกับตา
“พี่แก้ว”
สองคนได้สติ สุขหฤทัยผลักกาวินทร์ออกจากรถ
“ออกไป”
จากนั้นสุขหฤทัยก็วิ่งอ้อมขึ้นรถขับออกไป กาวินทร์เรียก
“คุณฤทัยๆๆๆ” หันมามองมาลินีที่ยืนหน้าซีด ถามเสียงเกรี้ยวกราด “มดทำอะไร”
มาลินีวางกระเช้าขนมลงตรงโต๊ะในบ้าน พลางถามกาวินทร์ เสียงเครือ
“มดสิ...ต้องถามพี่แก้ว ว่าพี่แก้วทำอะไร”
กาวินทร์ทำไก๋ “พี่ทำอะไร”
มาลินีเสียงสั่น “ก็ทำ..ทำอย่างที่พี่แก้วทำ มดถามจริงๆ พี่แก้วไม่อายคนบ้างรึไงคะ ถึงได้มาทำอะไรข้างถนนแบบนี้”
กาวินทร์ย้อน “ไม่อาย คนที่มาแอบมองพี่สิต้องอาย”
มาลินีตกใจ “พี่แก้ว”
“เลิกยุ่งกับพี่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพี่ซะทีมด เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
มาลินีน้ำตาไหลพราก “พี่แก้ว”
กาวินทร์ใจหาย มองด้วยความสงสารแต่ก็เหนื่อยใจ “พี่ไม่อยากพูดอะไรแรงๆ ..แต่พี่...จำเป็นต้องพูด” ทำหน้ายุ่งยากใจ “ก่อนที่ทุกอย่างมันจะ...ยุ่งมากไปกว่านี้” ตอนท้านกาวินทร์พูดเน้นคำ “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เลิกยุ่งกับพี่ซักที”
“ค่ะ” มาลินีร้องไห้โฮ วิ่งเตลิดออกไป กาวินทร์ทำหน้าเหนื่อยใจ
มาลินีวิ่งร้องไห้มาตามทางเจอเข้ากับภรตพอดี ภรตตกใจ คว้ามือมาลินีไว้
“มด”
“พี่ภรต” มาลินีรีบปาดน้ำตา
“เป็นอะไร”
มาลินีไม่ตอบ พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาคลอเบ้าอยู่ดี
เด็กรับใช้บ้านภาพิศออกมาทิ้งขยะ แล้วเปิดประตูทิ้งไว้ สักครู่หนึ่งเหมือนมีคนมองมาที่ประตูและเคลื่อนตัวเข้าไปในบ้าน
สุดาแอบลอบเข้ามาในบ้าน กวาดสายตามองหาภาพิศ แต่ไม่เห็น สุดาค่อยๆ ย่องเข้าไปด้านใน
ภาพิศนั่งครุ่นคิดกังวลอยู่ในห้องนอน จังหวะหนึ่งเหมือนเห็นคุณหญิงสุดามา ภาพิศทำหน้าไม่แน่ใจ ก่อนสะบัดหน้าบอกตัวเอง
“คิดมาก”
ภาพิศเดินไปเดินมา และรู้สึกเหมือนมีคนมองตลอดเวลา จน ภาพิศเหลียวขวับไปมอง สุดาที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านรีบฉากหลบ ภาพิศเดินเข้าไปใกล้ สุดาทำหน้าแปลกใจ
สุดาคิดในใจ “คุณอารักษ์ก็ไม่ได้มาหามันนี่”
ขณะที่สุดาจะย่องออกไป จู่ๆ มีมือใครคนหนึ่งมาตะปบที่ไหล่หมับ สุดาตกใจร้องกรี๊ด
“ว๊าย”
หันมาเห็นภาพิศกำลังยิ้มยั่ว “ร้องทำไมจ้ะแมวขโมย” จ้องตา “เอ๊ะ!หรือจะเป็นนางแมวยั่ว
สวาท ตามมายั่วท่านถึงที่” กวาดมองเหยียดทั่วตัว “แต่ดูจากสารรูป เหนียงยานขนาดนี้คงเป็นได้แค่” ตาโต “ยั่วโมโห” กระชากผมหันมาหา “เข้ามาในบ้านฉันทำไม”
สุดาโกรธแต่ยังยิ้มออก “อย่าเสียงดังสิคะ...อุ๊ยๆ หนอนหล่น....เดี๋ยวพี่ช่วย” สุดาพลิกตัวกลับกระชากภาพิศกลับจนหน้าหงาย
สองคนจ้องหน้ากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ฉันบอกคุณแล้วใช่มั้ยต่างคนต่างอยู่” ภาพิศว่า
“แล้วที่ฉันมาเนี่ย ฉันเหยียบตาปลาเธอหรือไง? บ้านก็เงินสามีฉัน ข้าวของทุกอย่างในนี้ก็ของสามีฉันทั้งนั้น และแม้กระทั่งตัวเธอ” มองอย่างดูถูก “สามีฉันก็ซื้อได้ด้วยเงิน” เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเย้ย “แล้วทำไม ฉันจะเหยียบไม่ได้” ก่อนจะผลักภาพิศออกสุดแรง
ภาพิศเซไปนิดๆ มองจ้องหน้าสุดาเขม็ง
“อย่าปากเก่งให้มันมากนัก นอกซะจาก เธอมั่นใจว่าจะไม่ทำอย่างฉัน เพราะท่านไม่มีทางที่จะหยุดที่เธอ”
พูดจบสุดาก็เดินเชิดออกไป สีหน้าภาพิศดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนสองคนเดินมาตามทางริมน้ำสวย ท่าทางมาลินีดูเศร้าสร้อย บอกด้วยน้ำตาคลอๆ
“จริงๆ มดก็รู้ว่านะคะพี่ภรต...ว่า...พี่แก้วไม่ได้รักมด แต่พอพี่แก้ว” พูดแทบไม่ออก “พูดออกมาแบบนี้ มดก็อดน้อยใจไม่ได้”
ภรตยิ้มปลอบ “พี่เข้าใจ....เพราะพี่ก็เคยเป็นอย่างมด กาวเองก็ไม่เคยสนใจพี่...แต่พี่ก็รู้สึกดีที่ได้ทำเพื่อกาว และพี่ก็รู้สึกไปเอง ว่า ณ ช่วงเวลานั้นพี่คือคนสำคัญของกาว”
มาลินีเริ่มยิ้มได้ “มีค่าเวลาเธอเหงา”
ภรตพยักหน้า “ฮื่อ! ตอนนี้พี่เลยไม่เศร้า แล้วก็ไม่อยากให้มดเศร้าด้วย เพราะเราเต็มใจทำให้เค้า”
มาลินียิ้มออกมาได้ “มันก็จริง...เราเต็มใจทำให้เค้าเอง”
ภรตยิ้มย่องที่เห็นมาลินีดีขึ้น “รู้มั้ย รักจะมีค่าก็ต่อเมื่ออะไร”
มาลินีจ้องหน้ารอฟัง “อะไรคะ”
“รักเหมือนกัน” ภรตบอก
สองคนยกมือขึ้นมาตบกันร้อง “ฮิ้วว....” หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ภรตหันหน้ามาหามาลินีโดยการวิ่งถอยหลัง
“ป่ะ...ไปหาอะไรแพงๆ ซักยี่สิบ สามสิบบาทกินดีกว่า”
“แพงมากเลย”
มาลินีหัวเราะ ก่อนจะวิ่งไปกับภรตตรงไปที่รถเข็นขายของแถวนั้น ซื้อของง่ายๆ มากิน
ครู่ต่อมา ภรตกับมดนั่งกินข้าวเหนียว หมูปิ้ง ลูกชิ้น ท่าทางรีแลกซ์สบายๆ ดูสนิทสนมกัน ชี้ชมบรรยากาศริมน้ำสวยแห่งนั้น
คนอื่นดูเหมือนจะมีความสุข ทว่าสุขหฤทัยขับรถมาหยุดจอดข้างทาง ร้องไห้ออกมาด้วยความปวดร้าวใจ ทั้งโกรธ ทั้งแค้นกรรณนรี
คืนนั้นสองสาวเดินออกมาที่หน้าออฟฟิศ สตาร์ อินเทรนด์ มะยมทำท่านึกอะไรขึ้นมาได้
“ว้าย! ฉันลืมตอกบัตร แกกลับไปก่อนเลยกาว”
“แล้วเจอกัน”
กรรณนรีเดินออกไป มะยมวิ่งกลับไปตอกบัตรในออฟฟิศ
กรรณนรีเดินออกมาเจอ เจอสรวงที่โผล่พรวดออกไปยิ้มเผล่ให้ เบื้องแรกกรรณนรีตกใจ นึกว่าเป็นโจรมุมตึก!
พอเห็นเป็นสรวง กรรณนรีก็หัวเราะ “คุณนี่มันจริงๆ เลย”
สรวงยิ้มยื่นมือให้ กรรณนรียื่นมือออกไป สรวงจับมือกรรณนรีแน่นพากันเดินไป
ส่วนที่ด้านหลังสองหนุ่มสาว มะยมยืนมองคลี่ยิ้มกว้างออกมา สุขใจไปกับเพื่อนเลิฟ นิคตามมายิ้มขำ
“เห็นแล้วฟินเนอะ...อยากมีแฟนกับเค้ามั่ง”
มะยมมองตามตาละห้อย ประชดชีวิตท่าทีน่าขัน “ฉันก็อยากมี แล้วก็เชื่อด้วยว่าคนไทยเกินหนึ่งล้านคนอยากมีแฟนแต่หาไม่ได้”
“ทำไม๊..มันถึงยากนักวะ...หกสิบกว่าล้านคนจะหาซักคนก็ไม่มี” นิคผสมโรง
“นั่นสิ”
สองคนแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี
“เนื้อคู่....คุณอยู่ไหน? ทำไมไม่ตามหาฉันซักที” มะยมครวญ
สองคนหันมาหัวเราะกันสนุก
อีกมุมไม่ไกลนัก สุขหฤทัยนั่งซุ่มอยู่ในรถ จดสายตาจ้องมองสรวงที่พากรรณนรีขึ้นรถขับออกไป แววตาสุขหฤทัยวาวโรจน์
-
สรวงขับรถมาตามทาง มีกรรณรีนั่งมาด้วย สรวงยื่นมือซ้ายมาจับมือกรรณนรีกอบกุมเอาไว้ตลอดเวลา สองคนสบตากัน ก่อนที่สรวงจะจอดรถตรงริมน้ำสวย พากรรนรีลงมาเดินเกี่ยวแขนตรงไปที่บริเวณริมน้ำ
สุขหฤทัยแอบขับรถตามมาค่อยๆ เลื่อนกระจกลง สายตาที่มองมายังสรวงมีทั้งความรัก และความแค้น ก่อนจะขับรถออกไป
สุขหฤทัยขับรถมาจอดที่ข้างทางริมน้ำ ห่างออกมา กดโทรศัพท์น้ำตาคลอเบ้า เจ็บปวดรวดร้าวกับภาพบาดตาที่เห็น
“สรวงหักหลังฤทัย คุณพ่อต้องจัดการนังหน้าด้านให้ฤทัยนะคะ”
น้ำเสียงสุขหฤทัยฟังดูเหี้ยมเกรียม ขณะบอกให้บิดามาจัดการสรวง และกรรณนรี
ไฟมารตอนที่ 7 (ต่อ)
สรวงจับมือกรรณนรีเดินเล่นอยู่ตรงริมน้ำสวยแห่งนั้นอย่างสุขใจ
“ผมชอบบรรยากาศแบบนี้จัง เงียบ สงบ มีแค่เราสองคน”
กรรณนรีหัวเราะ “มีสองคนที่ไหนคะ? โน่น..อยู่กันเต็มเลย”
กรรณนรีบุ้ยใบ้ไปทางด้านอื่นริมน้ำ เห็นหนุ่มสาวหลายคู่ คลอเคลียกันอยู่ตามมุมต่างๆ
สรวงขำ หยอดหวานท่าทีเขินอาย “แสดงว่า..สายตาผมมีแค่คุณคนเดียว ผมเลยมองไม่เห็นใคร”
“เน่าเลย..คุณสอระวง เน่าอีกแล้ว”
สรวงฉุนทำเป็นขึงขัง เสียงดุใส่ “ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ชอบให้คุณเรียกสอระวง”
“แต่ฉันชอบ...เพราะเวลาคุณโกรธ...” กรรณนรีพูดพลางยื่นหน้าเข้าหายิ้มยั่ว “คุณจะ...”
สรวงคาดโทษ “อ๋อ! อยากให้ผมจูบ”
พลางสรวงจะคว้าตัวกรรณนรีมาสำเร็จโทษ กรรณนรีรู้ทัน หัวเราะร่าแล้ววิ่งหนี สองคนวิ่งไล่กันอย่างร่าเริง
ขณะที่กรรณนรีวิ่งหนีมา...แต่แล้วต้องหยุดชะงัก เมื่อจู่ๆ มีนักเลงสองคนมาขวางหน้า กรรณนรี ผิดสังเกต หยุดกึก สรวงวิ่งตามมาเกือบชนเอา ทั้งสรวงและกรรณนรีมองคนร้าย ที่ย่างเท้าเข้ามาหาอย่างเอาเรื่อง
หนึ่งคนร้ายยักคอยักไหล่มาดกวน “หวานจริงหวานจังนะจ้ะหนูจ๋า”
“รักมากใช่มั้ย? ขอฉันยืมนังนี่ไปหวานหน่อย มานี่”
คนร้ายอีกคนจะเข้ามากระชากกรรณนรี สรวงถลันตัวออกมายกเท้าถีบใส่คนร้ายและเหวี่ยงกรรณนรีพ้นไปทางอื่น สรวงตั้งท่าปกป้องกรรณนรีเต็มที่ คิวบู๊หนึ่งต่อสองของสรวงเท่สุดๆ กรรณนรีตกใจ สอดส่ายสายตามองหาอาวุธพร้อมกับร้องตะโกนขึ้น
“ไฟไหม้ค่ะไฟไหม้ ช่วยด้วยๆๆๆ”
จังหวะนั้นสรวงเพลี่ยงพล้ำ โดนคนร้ายคนหนึ่งเหวี่ยงอย่างแรง จนล้มลงไป คนร้ายอีกคนจะเข้ามาฉุดกรรณนรี ถูกกรรณนรียกเท้าถีบเต็มแรง
สรวงตั้งหลักได้กระโจนถีบคนร้าย ฉุดกรรณนรีคืนมา สรวงโดนต่อยร่วงลงไปอีก คนร้ายหมายจะฉุดกรรณนรีอีก
ระหว่างนั้นผู้คนแถวนั้น ต่างวิ่งกรูกันเข้ามา ในมือมีขวดน้ำ ถุงน้ำ เป็นอาวุธ
“ช่วยด้วยค่ะ” กรรณนรีร้อง
พลเมืองดีขว้างขวดน้ำ และข้าวของที่หาได้แถวนั้นใส่คนร้ายพัลวัน สองวายร้ายเห็นท่าไม่ดีวิ่งหนีไป กรรณนรีรีบวิ่งเข้าไปหาสรวง พร้อมกับมีพลเมืองดีเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง
“เจ็บมากมั้ยคุณ”
“ไม่เป็นไรครับ” สรวงบอก
กรรณนรี กับสรวงพึมพำขอบคุณ
ในเวลาเดียวกัน สุขหฤทัยโทรศัพท์อยู่ ด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด
“ทำไมพวกแกไม่ได้เรื่องอย่างนี้ ไปไหนก็ไปเลยนะก่อนที่ฉันจะให้คุณพ่อกระทืบพวกแก” วางสาย ตาวาวโรจน์ โกรธจัด “ยังไงฉันก็ไม่ให้แกมีความสุขกับสรวง กรรณนรี”
ส่วนสรวงกับกรรณนรีนั่งอยู่ในรถที่ข้างทาง กรรณนรีทำแผลให้ สรวงร้องโอดโอยเป็นระยะ
“ก็ไหนตะกี้ว่าไม่เป็นไรคะ”
สรวงยิ้มจนตาหยี “อ้าว!ก็ผมไม่ได้อ้อนเค้านี่...ผมอ้อนคุณ”
“คุณก็อ้อนฉันอยู่แล้วทุกวัน...ไปหาหมอเถอะค่ะ”
สรวงอิดออด บ่ายเบี่ยง “ไม่เอา ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก..บอกแล้วไง ว่าอยากอ้อนคุณ”
สรวงกุมมือกรรณนรียกมาแนบแก้มทำตาหวานซึ้ง ก่อนพูดเสียงจริงจัง
“ผมรู้สึกแปลกๆ”
“อะไรคะ”
“ก็คนร้ายพวกนั้น....พูดเหมือนรู้จักเรา”
กรรณนรีไม่เชื่อ “เค้าจะรู้จักได้ยังไงล่ะคะ?...ฉันว่าเค้าหมั่นไส้คุณน่ะแหละ” ดึงจมูกสรวงอย่างหมั่นเขี้ยว "หวานเกิ๊น ดึกแล้ว กลับกันได้แล้วค่ะ”
สรวงยิ้มร่า ขับรถออกไป
ส่วนภาพิศอยู่ในห้องนอน ท่าทางไม่สบายใจ เสียงของสุดาดังก้องในหัว
“อย่าปากเก่งให้มันมากนัก นอกซะจาก เธอมั่นใจว่าจะไม่ทำอย่างฉัน เพราะท่านไม่มีทางที่จะหยุดที่เธอ”
ภาพิศส่ายหน้า สลัดหัวคิด ว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่จริง แต่ดวงตาบอกว่าหวั่นไหวและกังวลเอามากๆ
กลางดึกนิคนั่งปั่นต้นฉบับทำงานไป หาวหวอดๆ มะยมแซว
“นั่งหาวอยู่ได้ ขี้เกียจชะมัดเลยแกไอ้นิค เดี๋ยวฉันไปเอากาแฟมาให้” มะยมเดินไปเลย
นิคตะโกนตามหลัง “ขอบใจนะจ้ะมะยมคนสวย ขอกาแฟ”
มะยมหันกลับมาพูดแทรกขึ้น “กาแฟสองช้อน น้ำตาลหนึ่ง ไม่ใส่ครีม” เดินไปต่อ
นิคพูดขำๆ “รู้ใจอย่างนี้ น่าพาไปเลี้ยงไว้ที่บ้านจริงๆ”
นิคก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
ในขณะที่มะยมชงกาแฟอยู่ จู่ๆ มีมือของใครคนหนึ่งมากระชากมะยมออกอย่างแรง
มะยมร้อง “ว๊าย” ด้วยความตกใจ
นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาเที่ยงคืน บรรยากาศเงียบกริบ ยินเสียงนาฬิกาบอกเวลาน่ากลัว นิคเงยหน้าขึ้นมามอง เพื่อนร่วมงานกลับไปหมดแล้ว
“กลับไปตั้งแต่ตอนไหน” นิคกวาดตามองหามะยม ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ มะยมหายไหน
บรรยากาศทั่วทั้งออฟฟิศ เงียบกริบ เหมือนในหนังผี หลอนๆ นิคเดินมา เห็นไฟ ในออฟฟิศ
ดับไปหลายดวงแล้ว ทั้งออฟฟิศดูมืดๆ น่ากลัว นิคร้องเรียก
“มะยม มะยม” เงียบกริบไม่มีเสียงตอบ “มะยม”
นิคเดินผ่านมาตรงมุมห้อง ทันใดนั้น มีผีตัวหนึ่งโผล่หน้ามา มีผ้าขาวคลุมตัว สวมหน้ากากผี
นิคตกใจร้องลั่น “เฮ๊ย” พอนิคหันหลังหลบก็มาเจอผีผมดำ หน้าขาวอีกตัว โดยไม่รู้ว่าเป็นมะยมซึ่งเอาผมลงปรกหน้า แล้วทาหน้าขาวเหมือนผีญี่ปุ่น
นิคร้องลั่น “เฮ๊ย” อารมตกใจนิคยกเท้ายันเปรี้ยงอย่างแรง ร่างมะยมถลาล้มลงไปกองคาพื้น
“โอ๊ยย”
“เฮ้ย! ผีอะไรร้องได้”
มะยมคราง “ฉันเอง”
สวิทช์ไฟถูกเปิดสว่างขึ้น นิคเห็นมะยมนั่งผมดำหน้าขาวหมดสภาพ ดูตลกมากกว่าน่ากลัว
มะยมนั่งบนเก้าอี้ ยังอยู่ในสภาพปลอมเป็นผี มีนิคนั่งที่พื้น คอยทายานวดเท้าให้ มะยมบ่น
“เท้าหนักชะมัดเลยแก ดีนะที่ฉันแค่เท้าซ้น ถ้าฉันทะลุข้างฝาไปแกจะว่าไง”
“ฝัง!” นิคกระแทกเสียงขณะนวดข้อเท้าให้
มะยมแหกปากร้องลั่น “ฝัง”
“ก็นึกพิเรนทร์อะไร มาทำผีหลอกฉันฮึมะยม”
มะยมบุ้ยใบ้ไปทางเพื่อนร่วมกองอีกคน “ก็ป้าไก่ไง เค้าเห็นแกง่วง เลยทำผีหลอก”
นิคหันไปมองป้าไก่กะเทยรุ่นพี่ ที่หน้าตาน่ากลัว นั่งจ้องเขม็งอยู่ ท่าทีน่าขัน
“อย่างป้าไก่แค่นั่งเฉยๆก็หลอนแล้ว” นิคแซซ
“เดี๋ยวแกได้กลายเป็นผีจริงๆ ไอ้นิค” กะเทยรุ่นพี่สะบัดหน้าเดินออกไป
นิคนวดให้มะยมอยู่ “แกนี่จริงๆ เลย...เจ็บมากมั้ย”
“ถามได้..ถูกถีบขนาดนั้น ใครจะไม่เจ็บ..แต่ก็..ขอบใจนะ...ที่อุตส่าห์นวดให้”
นิคเย้า “ไม่ได้ฟรี..ชั่วโมงละ 200 โว๊ย”
นิคพูดพลางก้มหน้าก้มตานวดขาให้อย่างเป็นห่วง มะยมอมยิ้มเป็นปลื้ม
รุ่งเช้าภาพิศตื่นขึ้นมาพร้อมกับทอดสายตามองเตียงอันกว้างใหญ่ ที่มีตัวเองนอนอยู่คนเดียวอย่างเดียวดาย จู่ๆ ภาพิศก็เกิดอาการมวนท้อง ลงจากเตียงวิ่งเข้าไปในห้องน้ำโก่งคออาเจียน
สักครู่หนึ่งจึงเดินออกมาท่าทีอิดโรยอ่อนแรง พลางทรุดตัวนั่งลงบนเตียง ก่อนจะหยิบมือถือมากดโทร.ออก แต่ก็ติดต่ออารักษ์ไม่ได้เหมือนเดิม
ตกกลางคืนภาพิศอาเจียนหนัก มีแฉล้มซึ่งแวะมาเยี่ยมช่วยประคองภาพิศมานั่ง เช็ดหน้าเช็ดตาให้
“ลองโทร.อีกทีแล้วกันคุณ..เผื่อจะติดต่อท่านได้” แฉล้มยื่นมือถือให้
ภาพิศรับมากดโทร.แล้วบอกเสียงแห้งโหย “ท่านไม่เปิดเครื่อง”
แฉล้มหงุดหงิดแทน “มีอะไร ทำไมผู้ชายไม่พูดตรงๆ ชอบหนีปัญหาด้วยวิธีนี้” มองจ้องภาพิศบ่นพึมพำ “คุณเองก็กำลังท้องกำลังไส้ ไม่ห่วงลูกในท้องบ้างรึไง”
ภาพิศนิ่ง รู้ดีว่าที่อารักษ์ปิดมือถือ ติดต่อไม่ได้เพราะได้ยินที่สุดากับตัวเองคุยห้ำหั่นกันที่ร้านอาหาร
“คุณไปหาท่านที่บ้านดีมั้ยคะ? เผื่อคุณหญิงสุดาจะไม่ให้ท่านมา”
ในเวลาต่อมา ภาพิศมาหาคุณหญิงสุดาตามคำแนะนำของแฉล้ม พอเดินเข้ามาในห้องโถง สุดาซึ่งอยู่หันมาเห็น ก็หัวเราะเหยียดเย้ย
“ไง? สุดท้ายเธอก็ต้องมาตามหาท่าน ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าปากดีปากเก่งให้มันมาก”
“ฉันไม่ได้มาทะเลาะ ถ้าท่านไม่อยู่ ฉันก็จะกลับ” ภาพิศบอกเสียงเรียบ ขณะทรุดตัวลงนั่ง
สุดาเสียงเครือ เจ็บปวดในใจ “เข้าใจความรู้สึกของฉันวันนั้นแล้วใช่มั้ย”
ภาพิศหันมามองสุดา สุดาพูดต่อ สายตาไม่ได้เกลียดชัง แต่เจ็บช้ำระกำใจ
“แต่ฉันก็ยังดีกว่าเธอหน่อย ที่ฉันไม่เคยหอบลูกในท้องไปตามหาสามี”
สุดากับภาพิศมองหน้ากัน ดวงตามีน้ำเอ่อคลอทั้งคู่
ภาพิศขับรถมาตามทาง น้ำตาไหลริน ทุกข์ใจแสนสาหัว เช่นเดียวกับสุดาที่อยู่ในบ้านก็ร้องไห้ออกมาปิ่มจะขาดใจเหมือนๆ กัน
ผู้หญิงสองคน เจ็บปวด ทุกข์ใจ ไม่มีใครมีความสุขเลย
นิคประคองมะยมที่ขายังเจ็บอยู่ ไม่ได้สวีทหวาน เหมือนเพื่อนประคองเพื่อนแต่เห็นความสนิทสนมที่ก่อตัวมากขึ้น จังหวะหนึ่งนิคถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ขาแกยังเจ็บ ไม่รู้แกจะออกมาทำงานทำไมมะยม”
“ขืนไม่มา แกได้บ่นฉันกับกาวอีก ว่าฉันเอาเปรียบแก” มะยมเย้า
นิคหัวเราะพูดเล่นๆ “เคยที่ไหนเล่า...แค่ไม่มีแกแล้วมันเหงาเท่านั้นเอง”
มะยมอึ้งไปนิดแอบดีใจ แต่นิคไม่ทันเห็น และบอกอีกว่า
“ช่วงนี้ไม่มีข่าวอะไรมันส์ๆ เลยว่ะ เบื่อ”
มะยมหัวเราะเอามือตบไหล่ประสาเพื่อนซี้ “ขนของหนีน้ำท่วม ยังมันส์ไม่พออีกเหรอไอ้นิค? ถ้าเบื่อมากนัก” ทำท่าไปด้วย “ไปขัดพื้นคอนโดฉันก็ได้ ฝนตกแป๊บเดียวน้ำขึ้นถึงนี่” ชี้ที่หน้าแข้ง
“โอ!แค่พูดถึงน้ำท่วม ก็สยองแล้ว อย่าพูดเลยแก ไป” นิคกอดคอไปผ่านร้านขายเครื่องดนตรี
มะยมเรียกไว้ “เดี๋ยว”
นิคฉงน “อะไร”
มะยมวิ่งเข้าไปในร้านหยิบอูคูเลเล่ตัวหนึ่งขึ้นมาดู ตาเป็นประกาย “ฉันอยากได้”
นิคชะงัก “เล่นเป็นด้วยเหรอ?”
“เป็นสิ...เพื่อนฉันเคยให้ยืมเล่น” มะยมเล่นโชว์พอหอมปากหอมคอ
นิคยุส่ง “งั้นก็ซื้อเล้ย ฉันอยากฟังแกเล่น ฝีมือจะบาดแก้วหูขนาดไหน”
มะยมค้อนขวับ “ฝีมือมีเว้ย แต่เงินไม่มี” พลางลูบคลำด้วยความอยากได้ “ไว้มีเงินค่อยมาซื้อ”
นิคแอบมองอูคูเลเล่ ก่อนหันมามองมะยมแว่บหนึ่ง สายตาเหมือนนึกอะไรอยู่ มะยมไม่ทันเห็นเพราะมัวแต่มองอูคูเลเล่ จังหวะนั้นนิคเห็นคุณหญิงสุดาเดินผ่านหน้าไป
นิคฉุดมะยมท่าทีร้อนใจ “เร็วมะยม
มะยมยื้อ “ก็บอกแล้วไงขอดูก่อน”
นิคบอกรัวเร็ว “คุณหญิงสุดา อาจจะมีข่าวเด็ดอะไรนะแก”
มะยมหันขวับรีบวางอูคูเลเล่ นิคฉุดมะยมไปทันที มะยมเดินตามแรงลากในสภาพขากะเผลกๆ
นิคจับมือมะยม แอบมองตามคุณหญิงสุดาจากคนละฝั่ง เห็นสุดาเดินซื้อของคนเดียวอาการเหงาๆ ไร้ซึ่งพิษสงฤทธิ์เดช สองคนแอบมองอย่างประหลาดใจ
“ท่าทางคุณหญิงเหงาๆ เนอะมะยม”
“ฮื่อ! น่าสงสารจัง”
“เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย”
“สามีมีเมียน้อย ต่อให้ทำตัวเป็นแม่พระยังไง ก็ทำใจไม่ได้หรอก”
“ถ้าฉันมีแฟน ฉันไม่ทำอย่างนี้หรอก สงสารแฟนฉัน” นิคว่า
มะยมมองนิคแอบดีใจ “ทำเป็นพูดดี...หาให้มันได้ก่อนเถอะแก”
นิคบอกเสียงจริงจัง “ฉันพูดจริงนะมะยม ฉันสงสารคุณหญิง แล้วก็สงสารคุณภาพิศด้วย ผู้หญิงสองคนต้องถูกผู้คนรุมด่า เพราะผู้ชายคนเดียว”
“ถึงจะยังไง ฉันก็ตำหนิคุณภาพิศมากกว่า รู้ทั้งรู้ ว่าท่านอารักษ์มีคุณหญิงอยู่แล้ว จะมายุ่งทำไม”
นิคเห็นมะยมขึงขังอินจัดก็อดขำไม่ได้ “ตกลง...ที่มาเนี่ย ได้ข่าวอะไรมั้ย”
“ไม่....เมาท์แต่เช้าอย่างเดียวเลย วันนี้”
สองคนหัวเราะกันสนุก มองไปที่คุณหญิงสุดาที่ท่าทางเซื่องๆ สีหน้าเหมือนคิดอะไรในใจ
ด้านสุดาเดินซื้อของ พลางหยิบมือถือมาคุย
“ฤทัย...แม่คิดอะไรออกแล้ว.. ออกมาหาแม่หน่อย”
พูดเพียงเท่าสุดาก็วางสาย ยิ้มร้ายเหมือนมีแผนการเด็ด
ค่ำนั้น ภายในร้านอาหาร สองคนนั่งคุยกัน สุขหฤทัยฟังแล้วตาโต ระริกระรี้
“แผนของคุณหญิงแม่เทพมากเลยค่ะ... ถ้าทุกอย่างสำเร็จ นังภาพิศกับนังกรรณรีมันกระอักเลือดตายแน่”
“ยิงปืนนัดเดียว...นกตายทั้งฝูง” สุดาบอก
สองคนหัวเราะชอบใจ
“แต่ก่อนนกจะตาย ฤทัยขอเอาเท้าขยี้เล่นให้มันสะใจหน่อยนะคะ”
สุขหฤทัยหัวเราะเริงร่า สีหน้าหมายมาด
วันต่อมาที่ร้านอาหารแห่งนั้น สุดากับสุขหฤทัยนั่งรออยู่ กรรณนรีเดินเข้ามาไหว้สุดา แล้วมองสองคนอย่างแปลกใจ
“คุณสองคนมีธุระอะไร”
“ไม่ได้ให้เธอไปเขียนด่านังภาพิศหรอกน่า” สุดาเย้า
กรรณนรีหน้าตึง “งั้นมีอะไรก็พูดมา”
“แย่งท่านอารักษ์กลับมาจากนังภาพิศ” สุขหฤทัยบอก
กรรณนรีหน้าซีดเผือด สุดาและภาพิศมองจ้องจับสังเกต กรรณนรีเอ่ยขึ้น
“พวกคุณบ้าไปแล้ว”
“ไม่ได้บ้าหรอกจ้ะ สติยังดีทุกอย่าง ถึงได้จ้างลูกน้อง หักหลังลูกพี่...เธอจะเอาเท่าไหร่ว่ามา” สุดายิ้มในสีหน้า
“เก็บเงินไว้ยัดปากผีพวกคุณดีกว่าค่ะ” กรรณนรีเดินพรวดออกไป
“นังกรรณรี” สุขหฤทัย จะตาม
สุดาดึงมือรั้งไว้ “ไม่เอาน่าฤทัย”
สุขหฤทัยมองตามแววตาวาวโรจน์ มีแต่ความชิงชังโกรธเกลียดกรรณนรี
กรรณนรีเดินมาตามทาง ยังโกรธสุดาและสุขหฤทัยไม่หาย ก่อนจะหยุดนิ่ง นึกเป็นห่วงภาพิศขึ้นมา จึงโทร.หา
ภาพิศท่าทางอ่อนแรงประสาคนท้อง และใจไม่ค่อยดีเรื่องอารักษ์รับสายอยู่ที่บ้าน
“อ้าว! หนูก้าง ไม่ได้คุยกันนานเลย เป็นยังไงบ้าง”
“ฉันสบายดีค่ะ”
ภาพิศยิ้มอ่อนโยน ถามเสียงอาทร “กับคุณสรวง...ไปกันได้ดีใช่มั้ย”
“เราเป็นเพื่อนกันค่ะ”
“คุณสรวงชอบหนู และฉันจะดีใจมาก ถ้าต่อไปหนูกับคุณสรวงจะรักกัน”
กรรณนรีตื้นตัน น้ำตารื้น ถามไถ่ “คุณสบายดีนะคะ”
ภาพิศหน้าเจื่อนไป “อืมห์! ถ้าจะให้ตอบแบบสร้างภาพ ก็คงสบายดี...แต่ถ้าไม่...ช่วงนี้ฉันมีเรื่องนิดหน่อย”
กรรณนรีใจหายยิ่งห่วง “อะไรคะ ฉันช่วยคุณได้มั้ย”
ภาพิศยิ้มเอ็นดู ตอบเลี่ยง “จะมาแพ้ท้องแทนฉันเหรอ?... ฉันไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ ขอบใจที่เป็นห่วง ขอให้หนูกับคุณสรวงไปกันได้ด้วยดีนะ”
ภาพิศวางสาย กรรณนรีสงสารและเห็นใจแม่ ได้แต่ตะโกนก้องบอกตัวเองในใจ
“ฉันไม่มีวันร่วมหัวกับคนใจร้ายพวกนั้น ทำลายแม่เป็นอันขาด”
เห็นกรรณนรีหน้าเศร้า มะยมกับนิคชะโงกหน้ามามอง
“เงินเดือนออก ทำไมหน้าเศร้าอ่ะ” มะยมแซว
“นั่นสิ....ฉันหักลบกลบหนี้ ทั้งเดือน เหลืออยู่ห้าพันยังไม่เห็นเศร้าเลย” นิคว่า
กรรณนรีกลบเกลื่อน “เศร้าที่ไหนล่ะ? แค่คิด...จะเอาเงินเดือนไปใช้หนี้อะไรก่อนดี”
“เกิดเป็นมนุษย์เงินเดือนนี่น่าเศร้าใจจริงๆ” นิคยิ้มเย้ยชีวิต “ดราม่ามะ”
มะยมสวนออกมา “มากกกกกก... นี่..วันนี้วันเกิดฉันไปหาอะไรอร่อยกินดีกว่า”
นิคบอกทันที “ไม่เอาอ่ะ..เหลืออยู่ห้าพัน ขืนไปเดือนนี้ได้กินแกลบ”
“ฉันก็ไม่ว่างมีนัด..ไว้วันหลังแล้วกัน” กรรณนรีบอก จังหวะนั้นเสียงมือถือดังกรรณนรีรีบรับ “คะพี่จ๋า..ค่ะๆ”
มะยมจ๋อยไม่มีใครสนใจเดินจ๋อยๆ ออกไป กรรณนรี กับนิค ก้มหน้าก้มตาทำงาน นิคแอบมองมะยมแวบหนึ่ง ก่อนเดินเลี่ยงออกไป
นิคพุ่งมาที่ห้าง เดินเข้ามาในร้านขายเครื่องดนตรี ตรงไปที่อูคูเลเล่ กวาดตามอง หยิบมาอันหนึ่ง
“นี่เท่าไหร่ครับ”
“2,999 บาทครับ” คนขายบอก
นิคเสียงดัง “2,999” นิคหน้าม่อย ก่อนหน้านี้เงินเดือนออก แต่หักหนี้ทุกสิ่งอย่างเหลือเพียง
5,000 บาท
“ไม่แพงหรอกน้อง มีทั้งเครื่องตั้งเสียงดิจิตอล สายอกีล่า กระเป๋า ตารางคอร์ด คุ้ม” คนขายการันตี
“รู้ครับว่าคุ้ม แต่ผมไม่มีเงิน” นิคหยิบๆ จับๆ ไปมา ดูออกว่าอยากได้มาก “ผมจะเอาไปให้เพื่อน”
คนขายแซว “ให้แฟนล่ะซี้” นิคยังไม่ทันตอบ คนขายยิ้มว่าต่อ “อ่ะ...งั้นพี่ลดให้พิเศษ 2,500
ขาดตัว”
นิคคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเงินออกมานับจากกระเป๋า เป็นแบงค์พันห้าใบ และตัดสินใจหยิบมา 3 ใบ “โอเค.ครับ” คนขายรับมาทอนคืนให้ห้าร้อย
“ห่อของขวัญให้ด้วย ขอบคุณครับ” นิคบอก
คนขายหยิบอูคูเลเล่ไป นิคถือเงินสองพันห้า มองเงินน้อยนิดในมือที่ต้องกระเบียดกระเสียนใช้ แต่นิคยิ้มพรายทั้งหน้า
เย็นนั้นกรรณนรีเดินออกมาจากออฟฟิศพร้อมกับมะยม เจอสรวงรออยู่ในรถ กรรณนรีออกตัวบอกกับมะยม
“คุณสรวงมาแล้ว..ไปก่อนนะ”
“แล้วเจอกัน”
มะยมหน้าม่อย มองกรรณนรีที่เดินไปหาสรวงทีรถ มะยมเดินไป ได้ยินที่สรวงถามกรรณนรี
“วันนี้ไปไหนดีจ๊ะที่รัก”
กรรณนรียื่นหน้าไปกระซิบบอก สรวงฟังแล้วแกล้งทำหน้าหื่นใส่
“โอ้โห! เรต18 โอเค.” สรวงสัพยอกยิ้มตาหยี ตบเบาะเรียก “ขึ้นมาไวๆ...ขึ้นมาไวๆ”
กรรณนรีขำกิ๊ก ก่อนจะขึ้นรถออกไปกับสรวง
โปรดติดตาม "ไฟมาร" ตอนต่อไป