xs
xsm
sm
md
lg

ไฟมาร ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไฟมาร ตอนที่ 6

สามเกลอ กรรณนรี นิค และมะยม มาทำข่าวที่กองถ่ายละครเรื่องหนึ่งในเช้าวันต่อมา เห็นบรรยากาศวุ่นวายเร่งรีบ ทีมงานส่วนต่างๆ เตรียมความพร้อม เซ็ตฉาก เพื่อการถ่ายทำละครอย่างขะมักเขม้น

มะยม กับกรรณนรี กำลังสัมภาษณ์น้องยาหยี กับน้องกิมจิ นักร้องวัยรุ่นดูโอที่วางไมค์ชั่วคราวหันมารับงานแสดง โดยมีนิคเก็บภาพ ร่วมกับช่างภาพและนักข่าวคนอื่นๆ
กิมจิเดินอยู่อีกมุม ส่วนยาหยีก็ยืนอยู่อีกที่ สองสาวดูโอคู่หู ยืนเป็นคู่ขนานไม่ยอมให้สัมภาษณ์คู่กัน
มะยมยิงคำถามใส่กิมจิ “น้องยาหยีกับน้องกิมจิ เป็นคู่ดูโอกัน แต่ไม่ให้สัมภาษณ์คู่กัน ทะเลาะ
กันหรือเปล่าคะ?”
กิมจิตอบด้วยกิริยาเหวี่ยงในน้ำเสียง “ก็อย่างที่เห็นล่ะค่ะ” ยาหยี กับกิมจิ เชิดกันไปคนละทาง
“น้องยาหยี กับน้องกิมจิ มีเรื่องอะไรกันคะ” กรรณนรีถามยาหยี
ยาหยีก็ตอบอาการเหวี่ยงๆ เช่นกัน “ขอไม่ตอบค่ะ”
นักข่าวอีกคนจี้ถามกิมจิ “แล้วจะทำงานด้วยกันได้มั้ย”
“ทุกวันนี้เราก็ยังทำงานด้วยกันเป็นปกติ” กิมจิบอก
ยาหยีมองค้อนกิมจิ...ขวับ ก่อนตอบ “แยกแยะออกค่ะ อันไหนเรื่องงาน อันไหนเรื่องส่วนตัว”
สองสาวดูโอชื่อดังจ้องกันตาเขียวตอบออกมาพร้อมกัน “มืออาชีพค่ะ” ทั้งสองคนสะบัดหน้าพรืดกันไปคนละทาง นักข่าวทุกคนมองอึ้งๆ
“มืออาชีพมากเลยเนี่ย” กรรณนรีว่า
“จะตบกันกลางกองถ่ายเมื่อไหร่ไม่รู้” มะยมกระซิบ
“ตบกันเมื่อไหร่ นับคะแนนไม่ทันแน่เลย” นิคผสมโรง
นักข่าวสำนักอื่นๆ มองตามสองสาวแล้วต่างพากันยิ้มๆ

เวลาเดียวกันกาวินทร์เดินอยู่ข้างทาง พลางกวาดตามองดูรอบๆ เหมือนหาอะไรสักอย่าง ในจังหวะเดียวกันนั้นพลเดินออกมาจากหัวมุม สองคนชนกันแบบไม่ได้ตั้งใจ ต่างเซไปคนละทาง กาวินทร์ขอโทษทันที
“ขอโทษครับ” กาวินทร์ลุกขึ้นทำท่าจะเดินไป
พลกร่างใส่แบบนักเลงทันที “เฮ้ย!เดินยังไงวะ”
กาวินทร์หันขวับมาหา มาดนักเลงเช่นกัน “ก็ขอโทษแล้วนี่วะ จะเอายังไง”
พลลุกขึ้นมา ทะยานเข้าหา สองคนเงื้อหมัด แล้วค้างอยู่อย่างนั้น มองจ้องหน้า เหมือนเจอคนรู้จัก
“แก้ว” พลร้องขึ้น
กาวินทร์ก็จำได้ “พี่พล”
สองคนยิ้มให้กันอย่างดีใจ

ที่ร้านอาหารข้างทาง สองคนนั่งกินข้าวด้วยกันแบบง่ายๆ แมนๆ พลเอ่ยขึ้นก่อนว่า
“ตะกี้ถ้าไม่ใช่แก พี่ซัดปากไปแล้ว”
“ตะกี้ถ้าไม่ใช่พี่ ผมก็อัดยับไปแล้ว คนอะไร เกรียน” กาวินทร์บอกขำๆ
พลหัวเราะก๊าก ชอบใจนัก “แสดงว่าแกกับพี่ยังใจนักเลงกันเหมือนเดิม”
“เค้าเรียกอันธพาลพี่” กาวินทร์สัพยอก สองคนหัวเราะสนุก กาวินทร์ถามต่อ “แล้วไอ้โยเป็นไงมั่ง”
“ลูกสอง เมียสี่ สบายดี แล้วแกล่ะ? เป็นพ่อพวงมาลัยเหมือนเดิม” พลเย้า
กาวินทร์หัวเราะ “ประมาณนั้นพี่....แล้วตอนนี้พี่พลทำอะไร? ท่าทางล่ำซำ”
พลหัวเราะ “เป็นลูกน้องคุณหญิง ที่เป็นข่าวใหญ่โตว่าผัวมีเมียน้อยน่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้ากาวินทร์เริ่มจางหาย
“คุณหญิงสุดา” กาวินทร์เดา
“ฮื่อคนนั้นล่ะ”
กาวินทร์มองพลอย่างสงสัยใคร่รู้
“ไม่รู้พวกผู้หญิงมันจะแย่งอะไรกันนักหนา” พลบอก พลางลดเสียงพูดเบาลง “นี่..นังคุณหญิงสุดามันให้พี่ทำร้ายมัน แล้วใส่ร้ายเมียน้อยด้วยนะเว้ย โอ้โห! ยังกับในละครร้ายจริงๆ”
กาวินทร์หน้าซีดเผือด โดยที่พลไม่ทันสังเกตเห็น

สามคนเก็บของเดินกลับมาที่รถเตรียมกลับเข้าออฟฟิศ
“ข่าวบันเทิงแต่ละวันมันส์จริงๆ” นิคว่า พอดีกับเสียงมือถือดัง กรรณนรีรับ
“ว่าไงพี่แก้ว”
กาวินทร์มีสีหน้าร้อนอกร้อนใจขณะบอกน้องสาว “กาวอยู่ไหน พี่จะไปหา”

กาวินทร์ขับรถทะยานมายังสวนสาธารณะแห่งนั้น กรรณนรีได้ฟังตาโตถามย้ำ
“จริงเหรอพี่แก้ว? คุณหญิงสุดาใส่ร้ายแม่”
“ก็จริงนะสิ...พี่ถึงต้องรีบมาบอกกาวไง”
สีหน้ากรรณนรีตกใจมาก นึกเป็นห่วงภาพิศ “พี่แก้ว..เราต้องหาทางช่วยแม่นะ”
“กาวช่วยเถอะ” กาวินทร์บอก
“พี่แก้ว”
“พี่ขอแค่บอกกาวแล้วกัน...” กาววินทร์หันหน้าหนี “พี่ไม่อยากยุ่งกับเค้า”
“ก็ได้...กาวจะหาทางช่วยแม่เอง” กรรณนรีรีบวิ่งผละไป
กาวินทร์หน้าเครียดเคร่ง ก่อนจะสลัดหัว ไม่อยากคิด เดินไป

กรรณนรีวิ่งกระหืดกระหอบไปหาเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล
“ขออนุญาตดูกล้องวงจรปิดค่ะ”
เจ้าหน้าที่ยิ้มให้แล้วหันไปถามเพื่อนแบบงงๆ “มีเรื่องอะไร หมู่นี้มีแต่คนขอดูกล้องวงจรปิด”
“อะไรนะคะ..มีคนมาขอดูกล้องวงจรปิด”
“ค่ะ....แต่เท่าที่ทางเราเช็กดูก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปติ แต่เธอก็เครียดจนเป็นลม” เจ้าหน้าที่บอก
เจ้าหน้าที่อีกคนเสริม “ตอนนี้ก็นอนรักษาตัวอยู่นี่ล่ะค่ะ”
กรรณนรีฉุกคิด นึกสังหรณ์ใจ “ชื่อคุณภาพิศหรือเปล่าคะ”

“ใช่ค่ะ คุณรู้ได้ยังไง?” เจ้าหน้าที่มองมาด้วยท่าทีแปลกใจ

ทางด้านภาพิศนอนแบบอยู่บนเตียงหน้าตาซีดเซียว ท่าทางทรุดโทรมไร้ชีวิตชีวา มีเสียงเคาะประตูเบาๆ

“ขออนุญาตเข้าไปนะคะ” กรรณนรีเปิดประตูเข้ามา
ภาพิศเห็นเป็นกรรณนรีก็หันหน้าหนีไปอีกทาง เพราะตอนนี้ไม่อยากเห็นหน้าใคร ถามเสียงแผ่วๆ
“มาทำไม”
“มาเยี่ยมคุณ”
ภาพิศน้ำตาคลอ พูดหยันตัวเอง “คนเลวอย่างฉัน มีค่าขนาดนั้นด้วยเหรอ”
“ฉันไม่เคยเห็นว่าคุณเลว”
“แต่เธอก็ไม่เชื่อ”
“แล้วถ้าฉันบอกว่า ตอนนี้ฉันเชื่อคุณแล้วล่ะค่ะ”
ภาพิศหันหน้ามามองกรรณนรีอย่างแปลกใจ กรรณนรีบอกต่อ
“ฉันเชื่อแล้วค่ะว่าคุณไม่ได้เป็นคนทำร้ายคุณหญิงสุดา ฉันจะไม่ปล่อยให้คุณสู้คนเดียว ฉันจะช่วยคุณ..เท่าที่กำลังฉันทำได้ค่ะ”
ภาพิศมองกรรณนรีแบบอึ้ง ทึ่ง

ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงยามนั้น กรรณนรีวิ่งไปถนนรอบโรงพยาบาลบริเวณด้านนอก กวาดสายตามองหากล้องวงจรปิด แทบทุกมุม ทุกด้านของโรงพยาบาล และตึกบริเวณนั้น
ที่บริเวณสี่แยก เห็นกรรณนรีวิ่งไปวิ่งมาเหงื่อแตกพลั่ก จังหวะหนึ่งจึงเข้าไปถามคนแถวนั้น
“แถวนี้มีที่ไหนติดกล้องวงจรปิดมั้ยคะ”
ผู้คนที่อยู่แต่ละมุมต่างส่ายหน้า กรรณนรีกลุ้มใจ มองไม่เห็นทางเอาเลย

ที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์เวลาเดียวกัน สุขหฤทัยอยู่ในชุดว่ายน้ำ โดยมีผ้าผืนสวยพันครึ่งตัวล่าง เดินควงแขนสรวง ซึ่งยังอยู่ในชุดทำงาน
สุขหฤทัยแสดงออกเต็มที่ว่าเป็นแฟนสรวง “ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่ง” พูดเสียงออดอ้อน “แต่สรวงน่าจะว่ายน้ำกับฤทัย”
สรวงทำท่าเซ็งๆ “ผมจะรีบไปทำงาน ฤทัยว่ายคนเดียวเถอะ”
สุขหฤทัยอ้อนอีกเอามือโอบรอบคอ ฉอเลาะ “ก็ฤทัยอยากว่ายน้ำกับสรวงนี่”
“ไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้ผมรีบ”
“ไม่ว่ายก็ไม่ว่าย งั้นถ่ายรูปด้วยกันดีกว่า”
สรวงทำหน้าเซ็งอีก บอกว่ารีบยังจะมาถ่ายรูปอีก สุขหฤทัยโอบคอสรวงเอียงหน้ามาชิดกัน
สุขหฤทัยยิ้มหวาน แต่สรวงทำหน้ารำคาญเต็มกลืน
จังหวะนั้นกาวินทร์ที่จะมาออกกำลังกายเห็นก็แสยะยิ้ม
สรวงจับมือสุขหฤทัยออก “ฤทัยไปว่ายน้ำเถอะ ผมจะรีบไปทำงาน”
สุขหฤทัยงอนหน้างอ “สรวงคะ” สรวงไม่หันกลับมาสุขหฤทัยบ่นงุบงิบ “เพิ่งเป็นแฟนกันสวีทหน่อยก็ไม่ได้”
สุขฤทัยหน้าคว่ำ จำต้องเดินไปสระน้ำคนเดียว กาวินทร์ที่มองอยู่เดินตาม

สุขหฤทัยทำท่าจะปลดผ้าออกลงสระ แต่กาวินทร์เดินเข้ามาพูดยียวน
“น่าสงสาร”
สุขหฤทัยฉุนกึก ชักสีหน้า “สงสารอะไร”
“อุตส่าห์เสนอ เค้าก็ไม่สนอง” กาวินทร์เย้ยหยัน
สุขฤทัยหน้าเสีย รีบกลบเกลื่อน “สรวงเค้าเก็บไว้หวานกับฉันสองต่อสองย่ะ”
กาวินทร์หัวเราะเยาะ “แสดงว่า ผู้ชายมียางอาย แต่คุณไม่มี”
“งั้นก็บอกให้น้องสาวแกให้มียางอายด้วยนะ จะได้ไม่หน้าด้านแย่งแฟนฉัน”
“แฟนคุณ? ผมเห็นแต่นายสรวงตามตื้อน้องสาวผมตลอด”
“ก็น้องสาวแกมันขยันให้ท่าไง”
กาวินทร์โกรธกรุ่นๆ “คุณ” จะเข้ามาเอาเรื่อง
สุขฤทัยตั้งหลักรับอยู่ก่อนแล้ว ผลักกาวินทร์อย่างแรงจนตกน้ำดังตูม กาวินทร์โกรธ สุขหฤทัยเย้ยหยัน
“สรวงเค้าเห็นน้องสาวแกเป็นแค่ของกินเล่น รู้ไว้” จากนั้นสุขหฤทัยก็เดินหนีอย่างฉุนเฉียว
กาวินทร์ตะโกนไล่หลัง “แต่คุณมันของบูดเน่า เห็นๆ กันอยู่ ว่านายสรวงไม่เอา”

สุขหฤทัยเดินกระฟัดกระเฟียดมาที่รถ สีหน้าโกรธขึ้ง ควักมือถือออกมากดดูรูปสรวง
ที่ถ่ายคู่กับตัวเอง สีหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ

เย็นนั้นสุขฤทัยเดินนำคนงานที่ขนรูปสุขหฤทัยกับสรวงถ่ายคู่กันเข้ามาในออฟฟิศสรวง มีหลายแบบ หลายขนาด ตั้งแต่ตั้งโต๊ะ ถึงขนาดเท่าตัวจริง นพ กับนิ้วนางเลขาออกมาเห็นก็ตกใจ
“อะไรครับคุณฤทัย” นพถาม
สุขหฤทัยมองมาอย่างหงุดหงิด “พี่นพไม่รู้จัก รูปเหรอคะ”
“รู้ครับรู้...แต่ทำไม...”
สุขหฤทัยสวนคำออกมา “ฤทัยจะเอารูปของฤทัยกับสรวงติดให้ทั่วออฟฟิศ..ทุกคนจะได้รู้ซะทีว่า สรวงกับฤทัยเป็นแฟนกัน” หันไปทางคนงาน “ขนรูปเข้ามา”
คนงานทำตามสุขหฤทัยสั่ง นพหน้ายุ่ง คว้ามือถือขึ้นมา

สรวงนั่งดื่มกาแฟแบบซังกะตายอยู่ในร้านกาแฟใกล้กับอาคารออฟฟิศ โน๊ตบุ๊คที่เปิดไว้แทบไม่ได้ดูงานสักแอะ จู่ๆ เสียงมือถือดังขึ้น
สรวงมองดูชื่อ กดรับ “ครับพี่นพ”
“สรวงอยู่ที่ไหน”
“นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่ร้านหน้าออฟฟิศครับ”
“งั้น...เข้ามาหน่อยสิ....คุณฤทัยมา”
สรวงยิ่งเซ็ง “ตอนนี้ผมไม่อยากคุยกับใคร ถ้าฤทัยต้องการอะไร รบกวนพี่นพช่วยเค้าด้วยแล้วกัน”
“เค้าไม่ได้มาคุยเรื่องงาน...” น้ำเสียงนพฟังดูยุ่งยากใจมากที่จะบอก “แต่เค้า..เค้ามาประกาศ
เป็นแฟนสรวง แล้วก็ขนรูปสรวงกับเค้ามาติดเต็มออฟฟิศเลย”

“หา” สรวงตกใจ ผุดลุกขึ้นยืนพรวดทันที

สุขหฤทัยก้าวเดินฉับๆ เข้าไปในห้องทำงานของสรวง กวาดสายตามองทั่วห้อง

“รูปคู่เรากับสรวงจะตั้งตรงไหนดี?” กวาดตามองทั่วห้อง หาจุดวางรูป ก่อนนั่งลงตรงเก้าอี้ของสรวงทำท่าจัดข้าวของบนโต๊ะ ลองวางกรอบรูปตรงมุมนั้น มุมนี้ ว่าดีมั้ย ก่อนจะมองไปเห็นว่าลิ้นชักโต๊ะทำงานเปิดอ้าอยู่หน่อยๆ
สุขหฤทัยเห็นอีกว่าตรงมุมหนึ่งในนั้นเป็นกระเป๋าตังค์ใบเก่าๆ ราคาถูก หญิงสาวทำหน้ายี้
“อี๋! ทำไมสรวงมีของราคาถูก ไร้รสนิยมแบบนี้”
พลางสุขหฤทัยถือวิสาสะหยิบขึ้นมา พลิกดูของในกระเป๋า ก่อนจะเห็นรูปเล็กๆ ใบหนึ่งเสียบเหลื่อมแลบออกมา สุขหฤทัยดึงออกมาดู
เห็นเป็นภาพภาพิศกับเด็กชายหญิงสองคน สุขหฤทัยเพ่งมองอย่างสนใจ
“นังภาพิศ”

จังหวะนั้น สรวงก็ยื่นมือมากระชากกระเป๋าคืน สุขหฤทัยตกใจร้องกรี๊ด
“คุณถือสิทธิ์อะไรมายุ่งกับของส่วนตัวของผม” สรวงเสียงดุ
“ก็สิทธิ์ของแฟนไงคะ ...แล้วแฟนมาเปิดลิ้นชักแค่นี้ มันจะเป็นไร”
“ผมไม่ชอบ”
“ไม่ชอบ....เพราะฤทัยเกิดมาเห็นรูปของนังภาพิศ...สรวงเก็บรูปมันเอาไว้ทำไม?” จู่ๆ ก็ทำหน้าตกใจ “อย่าบอกนะว่าสรวงหลงเสน่ห์มันอีกคน”
“เพ้อเจ้อ”
“ถ้าว่าฤทัยเพ้อเจ้อ งั้นสรวงก็เอากระเป๋าเงินคืนมันไปสิคะ เก็บไว้ทำไม?” สุขหฤทัยพูดสั่ง “เอาคืนมันไปเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฤทัยจะไปอาละวาด ให้คุณลุงรู้ไปเลยว่าสรวงเก็บรูปเมียน้อยของคุณลุงเอาไว้”
สรวงโมโหมาก “ผมคิดผิดจริงๆ ที่หลุดปากพูดไปว่าคุณเป็นแฟน” เดินหนีออกจากห้องไปทันที
สุขหฤทัยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “สรวง!สรวง หยุดเดี๋ยวนี้นะสรวง” รีบตามออกไป

สรวงเดินหน้าหงิกออกมา เจอนพถามหน้ายุ่ง
“สรวง...แล้วรูปที่ติดเต็มออฟฟิศล่ะ ทำไง”
“เอาออกให้หมดเลยพี่นพ” สรวงเดินออกไป โกรธจัด
สุขหฤทัยวิ่งตามมา “หยุด..เดี๋ยวนี้นะสรวง”
นพตะโกนบอก “น้องเอารูปออกให้หมดเลย”
สุขหฤทัยชะงักกึก หันมาแว๊ด “เอาออกทำไม”
“ก็สรวงบอกไงครับ”
“นี่ถ้าไม่ต้องตามสรวง..ฤทัยจะยืนด่าพี่นพอยู่ตรงนี้เลย ว่างมากหรือไง ถึงได้โทร.ไปฟ้องสรวงน่ะ” วิ่งตามสรวงไป
“ว่างยังไงก็ไม่เท่าคุณฤทัย วิ่งตามนายสรวงหรอก” นพหันไปบอกเด็กๆ ในออฟฟิศ “เอารูปออกให้หมดเลย”

สุขหฤทัยวิ่งตามสรวงออกมา เห็นสรวงยืนโทรศัพท์ก็ชะงัก หลบมุมแอบฟัง

ขณะเดียวกันกรรณนรีเดินอยู่ข้างทาง หน้าเครียด หากล้องวงจรปิดช่วยภาพิศไม่ได้ มือถือดัง ขึ้น จะรับเห็นเป็นเบอร์สรวง ทำหน้าอ่อนใจ
“คะคุณสรวง”
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?” สรวงถาม
สุขหฤทัย ยังไม่รู้ว่าสรวงคุยกับใคร ทำหน้าอยากรู้เต็มที่
“คุณมีธุระอะไรคะ?”
“ผมจะเอากระเป๋าสตางค์ของคุณไปคืน” สีหน้าสุขหฤทัย อยากรู้มาก
“คุณเก็บเอาไว้ได้ตั้งนาน แล้วทำไมจู่ๆ ถึงอยากเอาคืนล่ะคะ”
“อย่ามายอกย้อนผมนะกรรณนรี”
สุขหฤทัยตาโต ได้ยินชื่อกรรณนรี “บอกผมมา ตอนนี้คุณอยู่ไหน”
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามคุณและไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งคุณ”
สรวงหงุดหงิด “กล้าพูดกับผมอย่างนี้เหรอ”
กรรณนรีพูดยั่วเพราะรู้ว่าสรวงไม่ขอบให้ใครล้อ “ทำไมจะพูดไม่ได้คะ...คุณสอ-ระ-วง”
สรวงลมออกหู “ผมชื่อ” พูดเน้นคำ “สรวง”
“ถ้าคุณมายุ่งกับฉันอีก ฉันจะเรียกสอระวง” กรรณนรีวางสายอย่างปั้นปึ่ง อารมณ์ไม่ดี
“มาเรียกฉันว่าสอระวง เธอเจอดีแน่ๆ กรรณนรี”
สรวงผลุนผลันออกไป วนขณะที่สุขหฤทัยตาโต กับความลับที่ได้รู้
“อย่าบอกนะว่า...ยัยกรรณรีเป็นลูกของนังภาพิศ”

สุขหฤทัยตรงดิ่งกลับบ้าน สองแม่ลูกหน้าเคร่ง สมหญิงเอ่ยขึ้น
“เท่าที่แม่รู้ ภาพิศมีลูกติดสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง”
สุขหฤทัยครุ่นคิด นึกถึงภาพถ่ายภาพิศกับเด็กชายหญิงสองคนชัดๆ
“มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...นังกรรณรีกับไอ้แก้ว คือลูกนังภาพิศ”

ดวงตาสุขหฤทัยขณะพูด ดูร้ายกาจและน่ากลัวมาก

ไฟมาร ตอนที่ 6 (ต่อ)

ค่ำนั้น กรรณนรียังคร่ำเคร่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศกับเพื่อนๆ เพื่อเร่งปิดต้นฉบับ เห็นสีหน้ากรรณนรีเครียดไม่หาย มะยมจึงร้องถามแซวขำๆ

“เฮ้ย ทำข่าวบันเทิง ทำไมหน้าเครียดนักวะ”
นิคเองก็แปลกใจ “คิดอะไรอยู่นังเจ๊”
กรรณนรี ปฏิเสธ “เปล่า..ไม่มีอะไร”
มะยมยั่วล้อเพื่อนรักขำๆ “จริงเร้อ...ฉันคิดว่าแกกำลังคิดถึงคุณสรวงซะอีก”
“อย่าพูดถึงชื่อนี้ได้มั้ย? เกลียด” กรรณนรีบอกหน้ามุ่ย
มะยมหัวเราะกิ๊ก “ระวังนะเว้ย ฉันเคยอ่านนิยาย... ยิ่งเกลียดเธอยิ่งเจอรัก”
นิคร้อง “ฮิ้วววว...”
กรรณนรีสวนออกมา “หิวว...มากกว่า ฉันกลับแล้วนะ” ปิดคอมพ์ คว้าข้าวของ “จะไปทำงานต่อที่บ้าน”
พูดจบกรรณนรีเดินตัวปลิวออกไป มะยมตะโกนแซวไล่หลัง
“ทำงานนะยะ ไม่ใช่มัวแต่คิดถึงคุณสรวง จนไม่ได้หลับได้นอน”
กรรณนรีหันมาหา “บ้า” บ่นงุบงิบขณะเดินออกไป
นิคปั้นหน้ายิ้มแต่ในใจแอบกังวล “มะยม...แกว่า นังเจ๊ คิดอะไรกับคุณสรวงรึเปล่า”
“ไม่รู้...แต่ฉันว่า คุณสรวง กิ๊กกาวแน่ๆ”
มะยมยิ้มมั่นใจ นิคยิ้มหน้าเจื่อน จ๋อย

กรรณนรีเดินหน้ามุ่ยออกมาจากออฟฟิศ เครียดไม่หายเรื่องที่ช่วยภาพิศไม่ได้ สรวงมาดักรอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เข้ามาขวาง
กรรณนรีเงยหน้า พอเห็นเป็นสอ-ระ-วง ก็มองค้อนหนึ่งวง “นี่คุณไม่มีงานมีการทำรึไง? ถึงได้ทำตัวเป็นโจรมุมตึก มาดักรอฉันอยู่ได้”
“คุณคงเคยได้ยิน....คนที่ไม่ชอบ ต่อให้เราว่าง เราก็จะบอกว่าไม่ว่าง แต่สำหรับคนที่เราชอบ ถึงจะไม่ว่าง เราก็จะบอกว่าเราว่าง และพร้อมจะไปรอเจอเค้าเสมอ”
เจอคำหวานของสรวง กรรณนรีถึงกับทำตาโต แอบเขินนิดๆ
สรวงหัวเราะ พลางว่า “แต่ที่พูดมาเนี่ยไม่ได้หมายถึงคุณ”
กรรณนรีเซ็ง ค้อนสรวงอีกวง “มีอะไรจะพูดก็พูดมา”
สรวงยื่นกระเป๋าเงินให้ตรงหน้า “กระเป๋าเงินคุณ”
กรรณนรียื่นมือไปรับ ขณะที่สรวงบอกอีกว่า
“เอาคืนไป ผมไม่อยากเห็นอะไรที่เกี่ยวกับภาพิศ”
“งั้นก็รวมถึงตัวฉันด้วย” กรรณนรีหงุดหงิดใจ กระชากกระเป๋าเดินหนีทันที
“กรรณนรี” สรวงรีบตามติด

กรรณนรี วิ่งมาตรงฟุตบทธจะโบกแท็กซี่ สรวงตามมากระชากข้อมือไว้
“ปล่อยฉัน”
“เลิกพูดคำนี้ซักที ในเมื่อเธอก็รู้ ยังไงฉันก็ไม่ปล่อย” สรวงยิ่งจับข้อมือแน่นขึ้น
กรรณนรีหงุดหงิด “อะไรของคุณอีก”
“ก็ที่เธอพูด...ฉันเหรอไม่อยากเจอเธอ” สรวงเล่นแง่
“ก็คุณพูดเอง”
“ฉันหมายถึงภาพิศ” สรวงโพล่งขึ้น
“ไม่ต้องย้ำ ฉันรู้ว่าคุณเกลียดเค้า แต่ฉันอยากให้คุณเผื่อใจไว้บ้างนะ เผื่ออะไรๆ จะไม่เป็นอย่างที่คุณคิด”
สรวงชะงัก นิ่วหน้า “เธอหมายถึงอะไร”
“ก็จริงๆ แล้ว คุณภาพิศอาจไม่ใช่คนร้ายที่แท้จริงก็ได้”
สรวงปล่อยมือกรรณนรีทันที สองคนยืนจ้องหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนที่กรรณนรีจะหันไปโบกรถแท็กซี่กลับบ้าน
ปล่อยให้สรวงยืนหน้าเครียดเคร่งอยู่คนเดียว

คืนนั้นกาวินทร์ออกอาการกระวนกระวาย รอกรรณนรีอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้าน พอเห็นกรรณนรีเดินหน้ามุ่ยเข้ามาในบ้าน กาวินทร์รีบเข้าไปกระซิบถาม ไม่อยากให้พ่อได้ยิน
“เป็นไงมั่งกาว”
“กาวพยายามช่วยแม่แล้ว แต่กล้องวงจรปิดที่โรงพยาบาล แล้วก็บริเวณนั้นจับภาพนายพลพาแม่ตอนหมดสติออกไปไม่ได้ พี่ให้นายพลอะไรนั่นมาเป็นพยานให้แม่ไม่ได้เหรอ” กรรณนรีบอก พลางย้อนถามพี่ชาย
“จะได้ยังไง ตอนนี้ทุกคนเชื่อไปหมดว่าพี่พลเป็นพวกแม่”
กรรณนรียิ่งคิดก็ยิ่งแค้น “คุณหญิงสุดาร้ายจริงๆ”
กาวินทร์ยังมีอารมณ์ประชดแม่ “เค้าก็ต้องเอาคืนแม่ล่ะ ที่แม่ไปแย่งสามีเค้าน่ะ”

คืนเดียวกันนั้นสุดาคุยโทรศัพท์อยู่ตรงห้องโถง ในคฤหาน์ หน้าตาร้ายกาจ ท่าทีบอกว่าสะใจเหลือหลาย
“งานนี้แกทำดีมาก”
สรวงที่เพิ่งกลับมาถึง จะเดินขึ้นห้องบนบ้านได้ยินประโยคท้าย ชะงักกึก แอบฟัง อย่างสงสัย
“ฉันจะให้เงินส่วนที่เหลือกับแก แล้วจะให้เงินพิเศษแกด้วย พรุ่งนี้เจอกัน”
สุดาวางสาย สรวงรีบฉากหลบ รอจนสุดาเดินไป จึงเดินออกมาขึ้นห้อง

สรวงเปิดประตูเข้าห้องนอน สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะเดียวกันนั้นกรรณนรีอยู่ในห้องนอนที่บ้าน ก็มีท่าทีสงสัยไม่ต่างกัน

สรวงนิ่งคิดอย่างใคร่ครวญ สีหน้าเหมือนตัดสินใจจะทำบางอย่าง

รุ่งเช้าวันต่อมาสรวงขับรถมาจอดที่บริษัท นิ้วนาง เลขาเดินมาทำงานพอดี

“วันนี้...คุณสรวงมาทำงานแต่เช้า”
“แต่วันนี้ผมไม่อยู่นะ” สรวงว่า เลขาสาววงยงง สรวงพูดต่อ “มีอะไรด่วนโทร.มาแล้วกัน”
สรวงผลุนผลันเดินออกไปหน้าออฟฟิศ เลขายิ่งงหนัก

ที่แท้ สรวงปลอมตัวเป็นคนขับรถแท็กซี่ ใส่แว่นดำ สวมหมวกแก๊ปพรางหน้า ขับรถแท็กซี่มาจอดเยื้องๆ กับบริเวณประตูหน้าบ้านตัวเอง
สรวงเดินลงมาชะโงกมองผ่านรั้วบ้านเข้าไป ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูในรถมาพาดคอทำทีเช็ดรถพร้อมกับดูลาดเลา
ระหว่างนั้นกรรณนรีนั่งแท็กซี่มาที่จอดบริเวณถนนบ้านสรวงด้วยท่าทีร้อนรน สรวงหันไปเห็นกรรณนรีก็ตกใจ รีบหลบแทบไม่ทัน กรรณนรีมองไปรอบๆ เห็นคนขับแท็กซี่ แต่ไม่คิดว่าเป็นสรวง

กรรณนรีเดินลัดเลาะริมรั้ว มองเข้าไปด้านใน สรวงแอบเพ่งมอง นึกสงสัยกรรณนรีมาทำไม พร้อมทั้งเอาผ้าขนหนูมาเช็ดๆ ซับๆทั่วหน้า แต่แล้วสรวงก็คัดจมูกจามออกมาเสียงดัง
กรรณนรีหันขวับไปมองตามเสียง เห็นคนขับแท็กซี่คนหนึ่งยืนหันหลังอยู่ แต่จากรูปร่าง ดูคุ้นตามาก กรรณนรีเพ่งมอง เดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วจำได้ว่าเป็นสรวง
สรวงจวนตัวรีบหลบคว้าผ้าจากในรถออกมา ทำทีเป็นเช็ดรถ มือข้างหนึ่งของกรรณนรี ตะปบจับที่ผ้าเช็ดรถหมับ พร้อมถาม
“ฉันช่วยมั้ยคะ”
สรวงก้มหน้าก้มตา พูดดัดเสียงอู้อี้ๆ “ไม่เป็นไร”
กรรณนรีกระชากผ้าออก สรวงหันขวับมามอง กรรณนรีจ้องหน้าถามเสียงแข็ง
“คุณทำอะไรของคุณ”
สรวงมองเข้าไปด้านในบ้าน กลัวคนออกมาเห็น กรรณนรีถามย้ำ
“ว่าไงคุณสรวง?นึกยังไงคุณถึงแต่งตัวเป็นคนขับแท็กซี่?”
สรวงมองเข้าไปในบ้านอีกครั้ง กลัวคนได้ยินและออกมาเห็น รีบลากมือกรรณนรีออกมาอีกมุม

ที่มุมหนึ่งบริเวณหน้าบ้าน สรวงคุยกับกรรณนรีพร้อมทั้งมองไปทางหน้าบ้านตลอดเวลา กลัวคลาดกับสุดาที่ใกล้จะออกมาแล้ว สรวงถามกวนกลบเกลื่อน
“ผมจะแต่งตัวอะไร?ทำยังไง? คุณจะสงสัยอะไรนักหนา”
“สงสัยสิ...เพราะมันหมายความว่า..มันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ คุณถึงได้ปลอมตัวมาด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านตัวเองอย่างนี้....” กรรณนรีจ้องหน้าจับผิดอย่างจริงจัง “คุณกำลังสงสัยคุณหญิงสุดาใช่มั้ย”
ถึงแม้จะติดใจสงสัย แต่สรวงก็ไม่อยากให้ใครมาว่าแม่ตัวเอง
“คุณ”

จังหวะนั้นคุณหญิงสุดาขับรถออกมา สรวงมองอย่างร้อนรน รีบวิ่งกลับไปที่รถแท็กซี่ทันที
กรรณนรีวิ่งตามมา พอสรวงขึ้นรถฝั่งคนขับ กรรณนรีก็รีบเปิดไปนั่งข้างๆ ทันที สรวงหันมามองทำท่าจะไล่ แต่รถของสุดาวิ่งออกไปไกลแล้ว กรรณนรีร้องบอก
“จะมองหน้าฉันทำไม รีบตามไปสิ เดี๋ยวก็ตามไม่ทันหรอก”
สรวงมองตามรถของมารดา จำต้องขับตามไปอย่างรวดเร็ว

รถของสุดาขับเข้ามาจอดหน้าร้านอาหาร สรวงสวมแว่นดำใส่หมวกพรางหน้าตา ขับรถแท็กซี่ตามมากับกรรณนรี สองคนเพ่งมองที่รถของสุดาตา สักครู่หนึ่งจึงเห็นสุดาเดินเข้าไปในร้าน และก็มีรถยนต์เก่าๆ คันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอด สรวงกับกรรณนรีจ้องตาไม่กระพริบสักครู่ต่อมาก็เห็นพลลงมา
“นายพล” กรรณนรีจำได้แม่น
สรวงนิ่งอึ้ง รู้สึกตกใจ ขณะที่พลเดินเข้าไปด้านใน สรวงผลุนผลันลงจากรถ กรรณนรีเองก็
จะลงแต่นึกได้ รีบคว้าหมวกและเสื้อแจ็กเก็ต เก่าๆ ในรถแท็กซี่ มาคลุมทับวิ่งตามลงไป

สุดานั่งอยู่กับพลที่โต๊ะหยนึ่งในร้าน สรวงกับกรรณนรีหลบมุมเข้ามานั่งในระยะไกลสามารถมองเห็นเหตุการณ์
สองคนเห็นสุดายื่นซองกระดาษซึ่งข้างในใส่เงินให้พล
“นี่...ค่าจ้างที่เหลือของแก แล้วก็ทิป แกทำดีมาก” สุดายิ้มเยื้อน ขณะเอ่ยขึ้น
พลยกมือไหว้ ถามอย่างกังวล “ว่าแต่...ท่านอารักษ์ไม่แจ้งความจับผมแน่นะ”
สุดาบอกเสียงสูง มั่นใจมาก “ท่านไม่กล้าร้อก... เพราะถ้าเรื่องมันแดงขึ้นมา คนที่ผิดที่สุดก็คือท่านนั่นแหละ”
พลยิ้มอย่างโล่งใจ “งั้นมีอะไรคุณหญิงเรียกใช้ผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ” ยกมือไหว้ลา
จากนั้นพลเดินออกไปก่อน ตามด้วยคุณหญิงสุดา ขณะสองคนเดินผ่าน สรวงกับกรรณนรีรีบก้มหน้าก้มตาหลบ พร้อมคว้าเมนูมาบัง จนสองคนเดินผ่านไป สรวงลดเมนูลง ใบหน้าซีดเผือด

สรวงจอดรถแท็กซี่ไว้ข้างทาง ดวงตาขื่นขม
“คุณรู้แล้วใช่มั้ย? ความจริงคืออะไร? มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” กรรณนรีเอ่ยขึ้น
สรวงรับไม่ได้ ปฏิเสธความจริงเสียงสั่นเครือ “ความจริง มันอาจไม่ใช่อย่างที่เราเห็นก็ได้”
กรรณนรีย้อนถาม “แล้วมันคืออะไร”
สรวงตะคอกเสียงดัง กลบเกลื่อน “คุณอย่ามาคาดคั้นผมตอนนี้ได้มั้ย”
กรรณนรีมองสรวงนิ่ง สรวงเองก็หันมามองกรรณนรี แววตารู้สึกผิด ที่ไประบายอารมณ์ใส่
กรรณนรีโดยไม่ยั้งคิด
กรรณนรีมองจ้อง อ่านดวงตาของชายหนุ่มออก ว่าทั้งเสียใจและผิดหวัง จึงรีบบอก
“ฉันรู้ ว่าคุณรู้สึกยังไง? เพราะฉันก็เคยรู้สึกอย่างเดียวกับคุณ” กรรณนรีน้ำตาคลอ ขมขื่นเจ็บปวดไม่ต่างกัน “รู้ทั้งรู้ ว่าความจริงมันคืออะไร แต่ก็ยังพยายามที่จะปฏิเสธมันและฉันก็รู้ว่า...”
สรวงต่อให้ “สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีใครหนีความจริงได้พ้นซักคน”

น้ำเสียงแสนเศร้านั้นเต็มไปด้วยความขื่นขมและปวดร้าว

สรวงในชุดคนขับแท็กซี่เดินกลับเข้ามาในบ้าน ดวงตาแดงก่ำเจ็บปวดเหลือแสน สุดาเห็นเข้าก็ตกใจ

“ทำไมสรวงแต่งตัวเป็นแท็กซี่แบบนี้ลูก”
สรวงพูดออกมาอย่างยากเย็น “เมื่อเช้าผมสะกดรอยตามคุณแม่”
สุดาหน้าซีดเผือด ใจเต้นไม่เป็นส่ำ สรวงพูดต่อเสียงสั่น
“และผมก็เห็น...แม่นัดเจอกับไอ้พล และแม่ก็ให้เงินมันด้วย”
จบคำสรวงผลุนผลันเดินขึ้นห้องไปทันที
สุดาหวาดหวั่น ตะโกนบอกด้วยเสียงสั่นเครือ “ไม่ใช่อย่างที่ลูกคิดนะสรวง แม่อธิบายได้ สรวง” รีบตามลูกชายไปเร็วรี่

ตรงระเบียงชั้นบน สรวงกำลังจะเข้าห้อง สุดาตามมากระชากร่างสรวงไว้
“ฟังแม่ก่อนสรวง แม่อธิบายได้”
ขณะเดียวกันที่ด้านหลังสองแม่ลูก อารักษ์เปิดประตูห้องออกมา กำลังจะถามว่ามีอะไร ยินสรวงพูดขึ้น
“อธิบายว่า ไอ้พลมันมายืมเงินแม่ มันติดหนี้แม่....แม่ใช้มันไปล้างรถ แม่ใช้มันไปตัดหญ้า...แล้วแม่ให้เงินมัน อะไรอย่างนั้นเหรอครับ”
สุดาหน้าซีดหนัก
“ไม่ว่าแม่จะพูดยังไง มันก็ฟังไม่ขึ้น...เพราะผมเห็นกับตา...” สรวงบอกเสียงเครือ เนื้อเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “แม่รวมหัวมัน ทำร้ายภาพิศ”
อารักษ์อึ้ง ถามสวนออกไป “จริงเหรอคุณหญิง”
สุดาเหลียวขวับตกใจแทบช็อก “คุณ”
สรวงเองก็ตกใจมาก “คุณพ่อ”
อารักษ์ถามคาดคั้น “เป็นความจริงใช่มั้ยสรวง..บอกพ่อมา....ที่พ่อได้ยินมันคือความจริง”
สุดาร้องไห้โฮ สรวงยืนนิ่งพูดไม่ออก ยิ่งกลุ้มหนัก อารักษ์มองหน้าคุณหญิงสลับกับสรวง ทั้งเจ็บปวดและผิดหวัง
“ตกลงที่ผ่านมา..ผมเป็นแค่ตัวตลก ให้คุณปั่นหัวเล่น” อารักษ์เดินลงไปข้างล่าง
สุดากรีดร้องที่ทุกอย่างตาลปัตร “คุณอารักษ์...ฟังฉันก่อน ..ฟังฉันก่อน” ก่อนจะร้องไห้โฮออกมา
สรวงตามอารักษ์ออกไป

ดวงหน้าอารักษ์เครียดเคร่ง แววตาเต็มไปด้วยเสียใจที่ถูกสุดาหลอก นายพลนักรักเดินดิ่งตรงไปที่รถ สรวงตามมา
“คุณพ่อกำลังโกรธ กำลังเกลียดคุณแม่”
อารักษ์หยุดหันมาหา “แล้วสรวงจะให้พ่อรู้สึกยังไง...ในเมื่อที่ผ่านมา พ่อเชื่อแม่ พ่อไว้ใจแม่...แต่สิ่งที่แม่ทำ แม่ใส่ร้าย ปรักปรำคนอื่น”
สรวงแก้ต่างแทนมารดา “คุณพ่อน่าจะรู้นี่ครับว่าทำไม...เพราะคุณแม่รักคุณพ่อ”
“แต่แม่ไม่รักตัวเอง...และพ่อก็อยู่กับคนแบบนี้ไม่ได้สรวง”
พูดจบอารักษ์ก็ก้าวขึ้นรถขับทะยานออกไป
 
สรวงยืนเศร้า ขณะที่สุดาซึ่งยืนด้านหลัง หัวใจสลาย ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น

ไฟมาร ตอนที่ 6 (ต่อ)

เวลาเดียวกันนั้น ภาพิศกำลังเก็บข้าวของเครื่องใช้ จะออกจากโรงพยาบาลอย่างเดียวดาย ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ ก่อนจะเปิดเข้ามา

ภาพิศหันไปมองตาเขียวนึกว่าเป็นคุณหญิงสุดามาเยาะเย้ยถากถาง แต่แล้วสีหน้าก็อ่อนลงเมื่อเห็นเป็นอารักษ์
สีหน้าภาพิศฉงน ไม่รู้อารักษ์จะมาแบบไหนอีก แม้ไม่ได้มึนตึง แต่ก็มีท่าทีเย็นชา
“ท่าน...ท่านมีธุระอะไรกับภาคะ”
อารักษ์พูดด้วยท่าทีอ่อนโยน “ฉันมารับภากลับบ้าน”
ภาพิศมองอย่างงงๆ ไม่คาดคิดมาก่อน
อารักษ์เดินเข้ามาสวมกอดเอาไว้
“ฉันรู้ความจริงหมดแล้ว ฉันขอโทษนะภา ภาให้อภัยฉันนะ”
ได้ฟังแล้ว ภาพิศก็ร้องไห้โฮออกมา พูดเสียงสั่น “ไม่ค่ะ”
อารักษ์ตกใจนึกว่าภาพิศยังโกรธอยู่ “ภาฉันเสียใจจริงๆ ที่ไม่เชื่อใจภาไม่ไว้ใจภา ให้อภัยฉันเถอะนะ”
ภาพิศเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้านองน้ำตา
“ที่ภาบอกว่าไม่ เพราะภาไม่เคยโกรธ ไม่เคยเกลียดท่าน ที่ผ่านมา..ภาก็รอ…รอแค่ว่า..เมื่อไหร่ท่านจะรู้ความจริง มาถึงวันนี้แล้ว ภาดีใจที่สุดค่ะ...ดีใจที่สุดเลย”
ภาพิศสวมกอดอารักษ์ตอบ สองคนกอดกันแนบแน่น เข้าใจ
กรรณนรีวิ่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้อง กำลังจะเปิดประตูเข้าไป แต่ต้องชะงักอยู่กับที่ เมื่อเห็นภาพนายพลอารักษ์กอดภาพิศแนบแน่น
กรรณนรียิ้มทั้งน้ำตา ในรอยยิ้มนั้นก็มีทั้งความยินดี และความเสียใจ...น้อยใจ เจืออยู่จางๆ

ที่ริมน้ำมุมโปรดแห่งนั้น กรรณนรีเดินทอดน่องมาตามทางสีหน้าเศร้า ยินดีกับภาพิศ แต่นึกสะท้อนใจชีวิตตัวเอง
สรวงมายืนรออยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กรรณนรีมองเห็นก็เอ่ยขึ้นทันที
“ฉันนึกอยู่แล้วว่าต้องเจอคุณ”
สรวงหน้าเศร้าๆ “ผมก็นึกเหมือนกัน ว่าต้องเจอคุณ....ผมรู้ความจริงแล้วนะ”
“เรื่อง...” กรรณนรีถาม
สรวงบอกเสียงแผ่ว “คุณแม่...ไอ้พล”
กรรณนรีเข้าใจความรู้สึก นึกเป็นห่วง “คุณสรวง”
“โอเค.ผมโอเค.อย่างที่คุณบอก ยังไงชีวิตก็ต้องเดินต่อไปแต่ แต่ผมไม่ไหวแล้ว”
สรวงน้ำเสียงสั่น แต่พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้รินไหล
กรรณนรีตกใจเดินเข้าไปหา มองหน้าสรวงอย่างเป็นห่วง สรวงมองมายังกรรณนรี แววตาดูอ้างว้างและเดียวดายเหลือแสน
“ชีวิตของผมต่อจากนี้...ขอมีคุณอยู่ข้างๆ ได้มั้ย...กรรณนรี”
ขาดคำสรวงดึงรั้งร่างกรรณนรีมากอด สภาพเหมือนนกปีกหักต้องการรวงรังพักพิง กรรณนรีไม่ขัดขืน แถมยกมือโอบกอดสรวงพลางพูดปลอบประโลม
“ฉันจะอยู่ข้างๆ คุณค่ะ”

สรวงซบหน้าลงกับไหล่กรรณนรีอย่างอ่อนล้าโรยแรง สองคนกอดกันอยู่ริมน้ำสวยแห่งนั้นนิ่งและนาน

อารักษ์มารับภาพิศกลับบ้าน เมื่อมาถึงบ้านจึงบอกว่าตนจะไปราชการต่างจังหวัด 2-3 วัน กำชับให้ภาพิศดูแล ตัวเองและลูกให้ดีใจๆ ภาพิศรับคำ

คล้อยหลังอารักษ์ ภาพิศโทร.หาแฉล้ม ให้แฉล้มหานักเลงให้ เพื่อไปจัดการเอาคืนกับคุณหญิงสุดา และพล

รุ่งเช้าคนของแฉล้มปลอมเป็นพนักงานดูดส้วม จับตัวสุดาไปขังไว้ที่บ้านร้างหลังหนึ่ง ก่อนจะไปดักจับพล มาขังไว้ที่บ้านหลังเดียวกัน

สุดาถูกโปะยาสลบ ตื่นฟื้นขึ้นมาตอนกลางคืน เจอกับภาพิศที่มาพร้อมกับแฉล้ม อย่างเอาเรื่อง ภาพิศระบายแค้น ตบๆๆ สุดา เอาคืน และบอกว่าจากนี้ไป ต่างคนต่างอยู่ ก่อนจะหันไปขู่พลว่า หากยังเป็นแขนขาให้สุดามาทำร้ายตนอีก เธอจะให้อุ้มหายไปจากโลกนี้

ภาพิศออกไป โดยทิ้งเงินค่ารถไว้ให้สองคนหนึ่งร้อยบาท คุณหญิงสุดาโกรธจัด ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับนักเลงไม่ได้เรื่องอย่างพลอีก พร้อมกับประกาศกร้าวจะเอาคืนภาพิศ อย่างแน่นอน

แฉล้มเตือนภาพิศให้ระวังเกรงว่าคุณหญิงสุดาจะเอาคืน

เช้าวันนี้บรรยากาศดูสดใสไปหมด อารักษ์เดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร ในขณะที่ภาพิศยกสำรับมาขึ้นโต๊ะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แจ่มใส อารักษ์รับมาถามเสียงอ่อนโยนอย่างห่วงใย

“อ้าว! ภา ยกมาเองทำไม” อารักษ์กวาดสายตามองหาบ่าวอย่างแปลกใจ “แล้วหายไปไหนกันหมด”
“วันนี้ภาให้หยุดค่ะ”
อารักษ์หน้าตึง เพราะเป็นห่วง “หยุดทำไม? ภายิ่งท้องยิ่งไส้ ใครจะดูแลภา”
“วันเดียวเองค่ะ” ภาพิศยิ้มหวาน “ภาอยากดูแลท่าน”
อารักษ์ยิ้มอย่างพึงใจ “ภานี่”

เสียงโทรศัพท์ภาพิศดัง อารักษ์สัพยอกยิ้มๆ “ใครโทร.มาขัดจังหวะแต่เช้า”
ภาพิศหน้าตาไม่สู้ดีเมื่อเห็นชื่อหน้าจอ “คุณสรวง”
อารักษ์เข้าใจ “เดี๋ยวฉันคุยกับนายสรวงเอง” พลางยื่นมือมาจะรับโทรศัพท์
“ไม่เป็นไรค่ะ ภาคุยเองดีกว่า...เผื่อคุณสรวงมีเรื่องอะไร”
ภาพิศเดินออกไป อารักษ์มองตามอย่างเป็นห่วง

ภาพิศ เดินออกมาคุยโทรศัพท์ตรงอีกมุมภายในบ้าน ถามทักด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“มีอะไรกับพี่คะคุณสรวง”
สรวงกำลังออกกำลังกายบนลู่วิ่ง ตอบกลับผ่านอุปกรณ์ช่วยพูดด้วยเสียงสุภาพ “ผมอยากคุยด้วย”
ภาพิศฉงน เริ่มกังวลนิดๆ “เรื่องอะไรคะ”
“ผม....อยากจะขอโทษ”
ภาพิศแปลกใจระคนตกใจ และคาดไม่ถึง “คุณสรวงจะขอโทษพี่”
ระหว่างนั้นอารักษ์ซึ่งเดินตามมา ถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะที่ภาพิศเอ่ยตอบกลับไป
“งั้นพี่ขอเปลี่ยนคำขอโทษ...เป็นเลี้ยงอาหารพี่ซักมื้อแทนได้มั้ยคะ”
“ยินดีครับ”
“แล้วเจอกันค่ะ”
ภาพิศวางสาย ในขณะที่สรวงยิ้ม รู้สึกดีที่ได้ทำอย่างนั้น
พอภาพิศหันมาเห็นอารักษ์ยืนอยู่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะเดินมาสวมกอดภาพิศ
“ขอบใจมากภา ขอบใจ”
“เพราะภารักท่านค่ะ”
ภาพิศซบหน้าลงกับไหล่ของอารักษ์แววหวานอบอุ่นในดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเจ็บแค้นและหมายมาดว่าจะเอาคืนคุณหญิงสุดา

ที่ร้านอาหารหรูแห่งนั้น คุณหญิงสุดานั่งนิ่ง อาการเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก สภาพเหมือนศพเดินได้ ความทุกข์เกาะกินใจหนัก สุขหฤทัยกุมมือปลอบ
“ฤทัยไม่อยากให้คุณหญิงแม่ ร้องไห้อย่างนี้เลยค่ะ”
“แล้วฤทัยจะให้แม่ทำยังไง?” สุดาโกหกไม่ยอมบอกความจริงเมื่อวานที่ความลับแตก “ในเมื่อตอนนี้ คุณพ่อกลับไปหลงเชื่อนังภาพิศอีกแล้ว”
“น้ำตาเมียน้อยนี่ฤทธิ์มันแรงจริงๆ เอ๊ะ!หรือว่าคุณพ่อท่านจะโดนเสน่ห์คะ” สาวเจ้าเล่ห์ว่า
“นี่มันปี 55 แล้ว เรื่องแบบนั้นไม่มีหรอก” สุดาท้วง
“มีสิคะ..ฤทัยเห็นออกรายการ เรื่องจริงผ่านจอ ก็บ่อยไป เอาเป็นว่าฤทัยจะหาทางแก้แค้นนังภาพิศให้คุณหญิงแม่เอง”
สุดาไม่เชื่อนัก “ขนาดแม่ยังเอานังภาพิศไม่อยู่ แล้วฤทัยจะไปแก้แค้นมันได้ยังไง”
“ได้สิคะ.....ถ้านังกรรณรีมันคือลูกของนังภาพิศ” สุขหฤทัยพูดอย่างมั่นใจว่าตัวเองเป็นต่อ

สุดาชะงัก จ้องหน้าว่าที่สะใภ้เขม็ง “ฤทัยหมายความว่ายังไง” ถามด้วยความอยากรู้

ตอนสายวันนั้นกรรณนรีวิ่งกระหืดกระหอบมาทำงาน จนเจอนิคแซว

“ช่วงนี้แกมาสายทุกวันเลยนังเจ๊”
“โทษที ตื่นสายๆ”
“กลางดึกกลางดื่น มัวทำอะไรยะ ถึงได้ตื่นสายน่ะ” มะยมจี้ใจ
กรรณนรีหยุดชะงัก แอบเขิน กรรณนรีตัดบท
“ทำงาน”
“แล้วไป อย่าไปเมาแล้วขับ เจอด่านตรวจแล้วขอน้ำสามขวดนะแก อายเค้า” มะยมยกข่าวนักร้องสาวซ่าในข่าวดังมาแซวต่อ
“เออ” เสียงโทรศัพท์ดัง กรรณนรีรับ “กรรณนรีค่ะ”
ภาพิศ โทร.มาจากคฤหาสน์หรู “ฉันเองหนูก้าง....เย็นนี้ว่างมั้ย”
“คุณภาพิศมีอะไรคะ”
“ฉันอยากจะเลี้ยงข้าวหนูเป็นการตอบแทน ที่หนูอุตส่าห์มีน้ำใจมาช่วยฉัน”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย”
“แค่มีใจก็มากพอแล้วจ้ะ เย็นนี้มาทานข้าวเป็นเพื่อนฉันนะ”
“เอ่อ...ฉันติดงานน่ะค่ะ” กรรณนรีบ่ายเบี่ยง
ภาพิศคะยั้นคะยอ “น่านะ...มาทานข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อย เดี๋ยวฉันโทร.บอกบก.หนูเอง”
กรรณนรีรีบบอกเดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่โต “ไม่ต้องค่ะ”
“งั้นค่ำนี้ เจอกันที่บ้านฉันจ้ะ”

ภาพิศวางสายพร้อมรอยยิ้มเหมือนมีแผนการดีๆ ในใจ

พอวางสายกรรณนรีทำหน้ายุ่ง บ่นงึมงำออกมาเบาๆ “คนรวย ชอบใช้อำนาจ”
“หมั่นไส้ ก็ไม่ต้องไป จะได้รู้วันหลังอย่ามากร่าง” มะยมซึ่งได้ยินชี้แนะ
นิคผสมโรง “ใช่! เดี๋ยวเค้าจะหาว่า เราซื้อได้ด้วยเงิน”
กรรณนรีหน้าเสียรีบแก้ต่างแทนแม่ “เปล่า...คุณภาพิศเค้าก็ไม่ได้วางอำนาจอะไร เพียงแต่เอาแต่ใจตัวเองหน่อยๆ”
นิคมองจ้องหน้า “สรุป จะไปไม่ไปล่ะ”
“ไป” กรรณนรีบอก
มะยมหัวเราะคิก แซวเพื่อนเลิฟ “อยากไปแต่แรกก็ไม่ว่า”
“แหงล่ะ อาหารไฮโซอร่อยนี่ นินิ” นิคพยักเพยิดกับมะยมหัวเราะกันสนุก
กรรณนรีอมยิ้ม รู้สึกอบอุ่นในใจอย่างประหลาด

เย็นวันเดียวกันนั้นสรวงนั่งทำงานอยู่ในห้อง ที่ออฟฟิศ นพโผล่หน้าเข้ามา
“อ้าว! เห็นบอกเย็นนี้นัด ยังไม่ออกไปอีกเหรอ”
“งานยังไม่เสร็จเลยพี่นพ”
“พรุ่งนี้ค่อยกลับมาทำก็ได้....เดี๋ยวคู่เดทเค้าจะรอ” นพว่ายิ้มๆ
สรวงหัวเราะขำ “เดท..อะไรล่ะพี่...ผมนัดทานข้าวกับคุณภาพิศ ไม่ได้สำคัญอะไร”
“นัดกับคุณภาพิศน่ะเหรอไม่สำคัญ?”
สรวงยิ้ม “คุยกันนิดหน่อย”
“โอเค...โชคดีแล้วกัน”
สรวงนั่งทำงานต่อ

ในเวลาเดียวกัน ภาพิศเดินนำแฉล้มเข้ามาตรงโถงภายในบ้าน พร้อมกับมีคนช่วยถือชุดสวยสำหรับดินเนอร์เข้ามาหลายชุด
“วางไว้ตรงนั้นเลยค่ะ”
คนวางเสื้อผ้าวางลง เห็นเสื้อผ้าดินเนอร์สไตล์สวยหวาน หลายชุด
แฉล้มมองอย่างงวยงง หันมาถามภาพิศ “มันเรื่องอะไรของคุณเนี่ย..แค่นัดทานข้าวกับคุณสรวง ทำไมต้องให้ฉันมาแต่งหน้าทำผม ถึงนี่..แล้วยังชุดนี่อีก”
แฉล้มเดินไปหยิบชุดขึ้นมา คลี่ออกดูทีละชุด พอเห็นเป็นชุดเดรสสวย ออกแนวหวานๆ แบบสาวน้อย ไม่ใช่ในสไตล์ภาพิศ แฉล้มหัวเราะ
“โห! แต่ละชุด แอ๊บไหวเหรอคุณ”
ภาพิศหัวเราะขำ “ก็ได้อยู่นะ มีแต่คนบอก ฉันยัง เป๊ะอยู่”
“เป๊ะ!น่ะเป๊ะ...แต่คุณสรวง เป็นลูกท่านอารักษ์นะคุณ...หว่านเสน่ห์ทั้งพ่อทั้งลูก มันจะดีเหรอ”
ภาพิศหัวเราะอีก อำแฉล้มต่อ “ดีสิ..เถอะน่า..อย่าเพิ่งบ่น..ช่วยฉันเลือกก่อน ชุดไหน สวย ที่สุด”
ภาพิศหันไปเลือกเสื้อผ้าอย่างใส่ใจ แฉล้มทำหน้าระอา ภาพิศมองนาฬิกา
“ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีก” ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดัง ภาพิศยิ้ม “เดี๋ยวฉันมา” ว่าแล้วก็เดินยิ้มร่าออกไป
แฉล้มมองตามคาใจไม่หาย “อะไรเนี่ย? ทำยังกับเดทแรก สาวสิบหก”

ภาพิศเปิดประตูออกมา เจอกรรณนรียืนอยู่ ภาพิศคว้าข้อมือกรรณนรี

“รีบเข้ามาเร็วๆ เลยจ้ะหนูก้าง”
ภาพิศแทบจะลาก กรรณนรีตามไปอย่างงงๆ
ภาพิศพากรรณนรีเข้าไปหาแฉล้ม พลางบอก
“คุณแฉล้ม ช่วยแปลงร่างน้องก้างให้สวยที่สุดทีเถอะ”
กรรณนรีงง “ทำไมคะ”
“เถอะน่า...ก็ฉันบอกแล้วไง มื้อนี้ เรามีนัดพิเศษ” หันไปบอกแฉล้ม “จัดการเร็วคุณ
แฉล้ม ทั้งนวดหน้า ขัดผิว อบซาวน่า ให้น้องก้างเป๊ะที่สุดเลย”
แฉล้มงวยงงอยู่แต่รับคำ “ค่ะๆ” หันมาหากรรณนรี “ไปค่ะน้องก้าง”
แฉล้มพากรรณนรีไปอย่างงงๆ กันทั้งคู่

แฉล้มจับกรรณนรีนวดหน้า ขัดผิวอบซาวน่า มีภาพิศคอยช่วย พลางวิ่งไปวิ่งมา ระหว่างนั้นเสียงมือถือดัง ภาพิศวิ่งมา เห็นเป็นเบอร์ของสรวงรีบเดินออกไปนอกห้อง
ภาพิศเดินมารับสายที่ด้านนอกตัวบ้าน “คะคุณสรวง”
“ขอโทษทีครับ..ผมเพิ่งเสร็จงาน เราเจอกันที่ไหนดีครับ”
“เอาไงดี? พี่ก็ยังทำงานไม่เสร็จ เอางี้อีกซักชั่วโมงกว่าๆ เจอกันที่บ้านพี่นะคะ” ภาพิศว่า
“ได้ครับ...แล้วเจอกัน”
สองคนวางสาย สรวงนั่งทำงานต่อ โดยไม่ได้สนใจหรือรีบร้อนอะไรมาก

แฉล้มพากรรณนรีออกมา หน้าตาสดใสๆ ในชุดคลุมไม่ได้แต่งหน้า ภาพิศเดินเข้าไปหา
“ฉันขัดเนื้อขัดตัวให้น้องก้างจนผ่องแล้วค่ะคุณ”
“งั้นแต่งหน้าทำผมเลยค่ะ เรามีเวลาหนึ่งชั่วโมง” ภาพิศจัดแจงและสั่งการ
“ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วยคะ” กรรณนรีแปลกใจ
ภาพิศยิ้มๆ “หนูว่าฉันสวยมั้ยล่ะ”
กรรณนรียิ้มบางๆ แววตาชื่นชม “สวยมากค่ะ”
ภาพิศหัวเราะชอบใจ “งั้นฉันจะสวยคนเดียวได้ยังไง จะไปดินเนอร์มื้อพิเศษเราก็ต้องสวยด้วยกันสิ” พลางหยิบชุดขึ้นมา “หนูก้างว่าชุดไหนสวย...ชอบชุดไหนลูก” ท้ายประโยคภาพิศใช้คำพูดติดปากที่มักพูดกับคนอายุน้อยกว่า โดยไม่ได้คิดอะไร
แต่เสียดแทงใจกรรณนรี ที่สะเทือนใจกับคำนั้น และยิ้มให้ “แล้วแต่คุณภาพิศค่ะ”
ภาพิศมองชุดในมือโดยไม่ได้มองกรรณนรี “ชุดนี้ดีกว่า...”
ภาพิศกุลีกุจอเลือกชุดให้ต่อ ขณะที่แฉล้มลงมือแต่งหน้า โดยมีช่างผมมารอเซ็ตผมอีกคน

กรรณนรีนั่งนิ่ง ทั้งเจ็บปวด กับทั้งปลาบปลื้ม ตื้นตันใจ

สรวงเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน ในจังหวะที่ภาพิศ กับแฉล้มพากรรณนรีเดินออกมา สรวงเห็นกรรณนรีก็มองตะลึงแล เพราะกรรณนรีสวยจับใจ ต่างจากสไตล์น่ารักในวันถ่ายแบบด้วยกัน เป็นกรรณนรีในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
 
กรรณนรีเองก็มองสรวงอย่างงงๆ ว่ามาได้ไง ขณะที่ภาพิศรีบเอ่ยขึ้น
“พี่ไม่ค่อยสบาย... คงไปทานข้าวมื้อพิเศษกับคุณสรวงไม่ได้...ให้น้องก้างไปแทนนะคะ”
กรรณนรีตกใจมาก “คุณภาพิศ”
ภาพิศคะยั้นคะยอ “นะน้องก้าง...ให้คุณสรวงเลี้ยงข้าวขอบคุณแทนพี่นะคะ”
กรรณนรีหน้าแหย สรวงมองหน้ากรรณนรีแอบอมยิ้ม ภาพิศบอกต่อ
“คุณสรวง...พี่ฝากน้องก้างด้วยนะคะ” จู่ๆ ภาพิศก็ทำท่าจะเป็นลม “โอ๊ย”
แฉล้มเหมือนรู้คิว รีบเข้ามารับภาพิศ
แต่แฉล้มไม่วายเหน็บ “มาป่วยอะไรตอนนี้คุณ”
ภาพิศส่งซิก พลางยิ้มให้สรวง “ฝากน้องก้างด้วยค่ะ” หันมาทางกรรณนรี “น้องก้างไปกับคุณสรวงนะ”
แฉล้มพาภาพิศกลับเข้าบ้าน ภาพิศหันมามอง แล้วยิ้มให้สรวง ชายหนุ่มยิ้มเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนหันมาสบสายตากับกรรณนรี สองคนยืนมองกันนิ่ง ต่างคนต่างเขิน!

แฉล้มประคองภาพิศเข้าบ้านมา กระเซ้าขึ้นในจังหวะหนึ่ง
“นี่คุณ เลิกทำท่าจะเป็นลมได้แล้ว ฉันหนัก”
ภาพิศหัวเราะระรื่น “ดีนะที่รู้คิวกัน ไม่งั้นคุณไม่รับฉัน ฉันล้มหัวฟาดแน่ๆ”
“ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่คะ...นี่นึกยังไง ถึงได้จับคู่หนูก้างอะไรนั่นให้คุณสรวง” พูดไปแล้วก็นึกได้ “หรือเป็นแผนของคุณ จะหลอกล่อคุณสรวงมาเป็นพวก”
ภาพิศหัวเราะขำกับท่าทีแฉล้ม “ฉันเป็นนางมารร้ายขนาดนั้นเชียว ฉันไม่ได้มีแผนอะไรหรอก แค่เห็น” ภาพิศพูดประโยคต่อมาด้วยแววตาอ่อนโยน “หนูก้างเป็นคนน่ารัก แล้วก็มีน้ำใจกับฉัน...ฉันอยากให้หนูก้างได้เจอคนดีๆ”
ภาพิศไม่สำเหนียกสักนิดว่าสิ่งที่ทำให้กรรณนรี เป็นเพราะเยื่อใยและสายสัมพันธ์ฉันแม่ลูกที่ยึดโยงกันอยู่นั่นเอง
แฉล้มฟังแล้วแต่ก็ยังทำหน้าหนักใจอยู่นั่น “แต่ฐานะหนูก้าง แตกต่างจากคุณสรวงมากนะ”
“ท่านอารักษ์ ยังรักฉันได้เลย..ฉันว่า..ไม่เกี่ยวกับฐานะ เรื่องความรักเป็นเรื่องของหัวใจ”

ภาพิศบอกอย่างมาดหมาย พลางยิ้มด้วยแววตาอ่อนโยน

กรรณนรียืนนิ่ง ในอาการขวยเขิน สรวงมองแล้วยิ้มพราย ยื่นมือให้

“จะพาไปกินข้าว เดินมาสิ”
กรรณนรีทำหน้าแหยๆ “เดินไม่ค่อยถนัด ฉันไม่เคยใส่ชุดแบบนี้”
“งั้น...ผมอุ้ม” สรวงปราดเข้ามาทำท่าจะอุ้ม
กรรณนรีตกใจร้องลั่น “อย่า”
สรวงกอดเอาไว้ “ผมอุ้มล่ะดีแล้ว กว่าคุณจะเดินไปถึงรถ ...คงอีกนาน ผมหิว”
สรวงก้มลงแล้วช้อนร่างกรรณนรีอุ้มออกไป ภาพิศกับแฉล้มแอบมองยิ้มๆ สีหน้าภาพิศเต็มตื้นไปด้วยความปลื้มปีติ

สรวงขับรถมาตามทาง บรรยากาศรอบข้างดูสวยงามไปหมด ขณะขับรถสรวงปรายตามองกรรณนรีแทบจะตลอดเวลา ด้วยสายตาชื่นชม
กรรณนรีหันไปเห็นสายตานั้น อมยิ้มเขินๆ
“มองทำไม”
สรวงหัวเราะ “อยากให้ฉันบอกว่าเธอสวยล่ะสิ”
กรรณนรีหน้างอ งอนเข้าให้ “คุณสรวง”
สรวงหัวเราะชอบใจใหญ่ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือกรรณนรีเอาไว้ บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“จริงๆ แล้วเธอสวยน่ารัก มาตลอด แต่คืนนี้..เธอสวย..สวยจริงๆ เสียดาย” ชายหนุ่มก้มมองเสื้อผ้าตัวเอง “ วันนี้ฉันไม่หล่อ”
กรรณนรียิ้มขำ “ไม่เคยเห็นหล่อซักวัน”
สรวงยื่นหน้ามาใกล้ๆ หัวเราะพร้อมกับพูดเย้า “จริงเร้อ” มองจ้องกรรณนรี “แล้ว...หน้าตาอย่างนี้ พอจะเดินกับคนสวยได้เปล่า”
“ได้... แต่เดินข้างหลัง เป็นคนขับรถ” กรรณนรีบอกท่าทีขวยเขิน
“คนขับรถที่ไหน หล่อขนาดนี้” สรวงเย้า นัยน์ตาหวานฉ่ำ

สองคนหัวเราะดังก้องรถ มือของสรวงจับมือของกรรณนรีมากอบกุมไว้อย่างแนบแน่น

....................

เรื่องย่อตอนต่อไป

คุณหญิงสุดา กับสุขหฤทัยวางแผนร่วมกัน โดยจะจ้างให้กรรณนรีแย่งอารักษ์มาจากภาพิศ กรรณนรีปฏิเสธ แต่แล้วก็มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น เมื่อกาวินทร์ดันเผลอตัวไปมีสัมพันธ์กับคนของสุขหฤทัย และถูกถ่ายคลิปเอาไว้ ซึ่งเป็นแผนของสุขหฤทัยกับสุดานั่นเอง สุดากับสุขหฤทัยข่มขู่ว่าจะปล่อยคลิปโป๊ของกาวินทร์ ประจวบเหมาะกับเวลานั้นเกริกล้มป่วยเป็นโรคหัวใจ กรรณนรีกลัวพ่อจะเสียใจ และอาการกำเริบจนหัวใจวายตาย จึงจำใจต้องรับข้อเสนอ
ภาพิศโกรธมาก ทั้งที่อุตส่าห์จับคู่สรวงให้กรรณนรี แต่กรรณนรีกลับจะมาแย่งอารักษ์ไป สรวงเองก็ทั้งโกรธและผิดหวังในตัวกรรณนรีสุดขีด ที่สุดท้ายแล้วกรรณนรีก็ทำตัวไม่ต่างจากภาพิศ...เป็นผู้หญิงเห็นแก่เงิน
กรรณนรีกลายเป็นสาวสวย ทรงเสน่ห์ ต่างจากกรรณนรีนักข่าวขาลุยคนเดิมโดยสิ้นเชิง

โปรดติดตาม ลุ้นรัก "สรวง" และ "กรรณนรี" ตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น