ไฟมาร ตอนที่ 2
คืนนั้นทุกคนนั่งทำงานปิดเล่มกันอยู่ จ๋าเดินเข้ามาหน้าตายิ้มแย้มแบบอารมณ์ดีมาก
“ข่าวซุบซิบเรื่องคุณหญิงสุดากับเมียน้อยคนสนใจมาก เก่งมากมะยม”
มะยมยิ้ม กรรณนรีหน้าสลด จ๋าสั่งต่อ
“ถ้ามีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้รีบลงให้หมดเลย เข้าใจมั้ย”
มะยมกับนิครับพร้อมกัน “ค่ะ” / “ครับ”
“กาว...สัมภาษณ์คุณภาพิศมาได้หรือยัง”
กรรณนรีนิ่งอีก จ๋าทำหน้าเอือม เหนื่อยใจ
“ถ้ากาวทำไม่ได้” หันมาทางมะยม “มะยมทำแทนแล้วกัน” เดินเข้าไปข้างใน
“กาวถ้าเธอไม่อยากทำ ฉันทำเอง ฉันเกลียดพวกเมียน้อย” มะยมบอก
“ไปเกลียดเค้าทำไม? เค้าอาจจะมีเหตุผลที่เราไม่รู้ก็ได้” กรรณนรีว่า
มะยมโวยใส่ “เหตุผลของเมียน้อย จะมีอาไร้ นอกจากอยากได้ของๆ คนอื่น”
กรรณนรีเถียงอีก “เธอก็เป็นผู้หญิง ทำไมต้องด่าผู้หญิงด้วยกันด้วย ทำไมด่าไม่โทษผู้ชายเพราะเรื่องแบบนี้มันผิดกันทุกฝ่าย”
“แต่ผิดที่สุดคือพวกผู้หญิงหน้าด้าน ต่อให้ผู้ชายยื่นขนาดไหน ถ้าผู้หญิงมียางอาย ไม่เล่นด้วย มันก็จบ แต่ที่ไม่จบ เพราะเจอติ่งมนุษย์ที่เรียกว่าเมียน้อยไงล่ะ”
เพื่อนสองคนมองหน้ากัน ไม่ได้ทะเลาะ แค่ความคิด ไม่ตรงกัน นิคมอง
“จะไปทะเลาะเรื่องคนอื่นเค้าทำไม โหย...ยังหาแฟนกันไม่ได้ซักคน...ไป..ไปกินข้าว จะได้ทำงาน”
นิคสวมกอดทั้งกรรณนรีและมะยม ก่อนจะเดินออกไป
สรวงนั่งทำงานอยู่ นพรุ่นพี่เดินเข้ามา
“ยุ่งหรือเปล่าวันนี้”
“ก็นิดหน่อย มีอะไรครับพี่นพ”
นพไม่ตอบเดินมาที่คอมพ์ แล้วเปิดคลิปยูทูป เป็นคลิปเสียงตอนสุดาด่าภาพิศดังลั่นให้สรวงดู
สรวงตกใจ รำพึงออกมา พร้อมๆ กับนึกเป็นห่วงมารดา “คุณแม่”
เวลาเดียวกันคุณหญิงสุดานั่งเนื้อตัวสั่นเทา ในอาการโกรธจัด ขณะนั่งอ่านคอมเม้นท์ใน web site ดัง ที่นำคลิปเสียงของตนมาโพสต์ลง ซึ่งเป็นคอมเม้นท์ที่รุนแรงทุกถ้อยคำ
“เป็นคุณหญิงเสียเปล่า ทำตัวอย่างกับแม่ค้า มิน่า...ผัวถึงไปมีเมียน้อย”
สุขฤทัยอ่านต่อ “ทั้งแก่ ทั้งเหี่ยว แต่เมียน้อยสวยเด๊ะ เป็นผม ผมก็เลือกเมียน้อย กรั่กๆๆ”
“ตามไปหาเรื่องเค้า โดนแค่นี้ยังน้อยไป เราเป็นเมียน้อย จะยั่วให้อกแตกตายไปเลย” สมหญิงมารดาของสุขฤทัยอ่านต่อ
สุดาหายใจหอบถี่ “พวกที่ด่าฉัน ก็มีแต่พวกเมียน้อยทั้งนั้นแหละ”
“ดีไม่ดีอาจจะเป็นพวกของนังภาพิศที่ปล่อยคลิป แล้วด่าคุณหญิงก็ได้” สมหญิงว่า
สุดากรี๊ด ขว้างปาข้าวของอาละวาด “มันจะบ้ากันไปหมดแล้วรึไง ถึงได้มาด่าฉัน ไปเข้าข้างคนผิด”
“แต่หนังสือพิมพ์เล่มนี้เค้าเข้าข้างคุณน้านะคะ เค้าบอกว่า..นังภาพิศมันร้าย” สุขฤทัยบอก
สุดานิ่งคิด ก่อนจะเอ่ยออกมา “งั้นฉันจะใช้สื่อนี่แหละ เล่นงานมัน”
ไม่นานต่อมา มะยมนั่งอยู่ตรงหน้าของคุณหิงสุดา สมหญิง สุขฤทัย
“ฉันชื่อมะยมค่ะ เป็นคนเขียนคอลัมน์นี้เอง” มะยมมีท่าทียำเกรงนิดๆ
สุดายิ้ม “ขอบใจมาก...ที่เธอไม่เข้าข้างคนผิด”
“ฉันเขียนตามที่ฉันรู้ ฉันเห็นน่ะค่ะ” มะยมบอกต่อ
สุขฤทัยมองเหยียด “งั้นที่เธอรู้มาน่ะมันน้อยไป ฉันจะบอกเรื่องเลวๆ ของนังภาพิศ
ให้เธอรู้...มีอีกเยอะ ใช่มั้ยคะคุณน้าขา”
“ใช่! แต่ไม่ใช่เล่าให้ฟังเฉยๆ นะ...ฉันจะจ้างให้เธอเขียนลงคอลัมน์ด้วย เธอจะเอาเท่าไหร่ว่ามา” สุดาว่า
มะยมอึ้ง เห็นรัศมีแห่งความร้ายกาจของอีกฝ่าย จึงพยายามเลี่ยง
“หนังสือพิมพ์ของเรา ทำแค่ความเหมาะสม แต่จะไม่ยอมเป็นเครื่องมือทำร้ายใครค่ะ” มะยมว่า
สุดาโกรธ “นี่ตกลง เธอเข้าข้างเมียน้อยใช่มั้ย”
มะยมตกใจ “คุณหญิง”
สุดาสวนคำ “หรือว่าที่เธอเขียนคอลัมน์ขึ้นมา เป็นแค่จุดประเด็นให้คนมาด่าฉัน”
สุขฤทัยสอด ลากเสียงยาว “อ้อ... ใช่แน่ๆ เลยค่ะคุณน้า...ทำเป็นเขียนเข้าข้างคุณน้าแล้วปล่อยคลิปให้กระแสตีกลับไปเห็นใจนังภาพิศ”
สมหญิงผสมโรง “จริงๆ แล้ว เธอเป็นคนของภาพิศใช่มั้ย”
“ใช่! ฉันจำเธอได้ วันนั้นเธอก็อยู่ เธอปล่อยคลิปทำลายฉัน ฉันจะฟ้อง” สุดาว่า
“เปล่านะคะ ฉันไม่ได้ทำ” มะยมอธิบาย
สุดาไม่สน “เธอทำ ฉันจะฟ้อง”
เสียงเอะอะโวยวายดังลั่น กรรณนรีกับนิควิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมา
กรรณนรีตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “คุณหญิงสุดา”
สุขฤทัยจำได้ “อ้อ! เธอนี่เอง”
“อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันก็ดีแล้ว เลือกเอา เธอจะเขียนด่านังภาพิศ หรือจะให้ฉันฟ้อง”
กรรณนรีงง “ฟ้องอะไรคะ”
“ฟ้องว่าพวกเธอรับเงินจากนังภาพิศ ปล่อยคลิป ทำลายชื่อเสียงฉัน”
สีหน้ากรรณนรีทั้งเจ็บปวดและงุนงง มะยม กับนิคมองหน้าคุณหญิงสุดา เห็นรังสีร้ายกาจฉายโชน กรรณนรีเชิดหน้าบอก
“ถ้ามีหลักฐานก็เชิญคุณหญิงฟ้องได้เลยค่ะ เพราะฉันมั่นใจว่าไทยนิวส์ทุกคนไม่เคยทำอะไรที่ผิดจรรยาบรรณ แต่พวกฉันก็มีสิทธิ์ที่จะฟ้องคุณหญิงกลับได้เหมือนกัน เพราะสิ่งที่คุณหญิงกำลังทำ มันคือการหมิ่นประมาท”
สุดาของขึ้น “เธอ”
สมหญิงแว๊ดใส่ “ยัยนักข่าวสามหาว เธอรู้มั้ยว่ากำลังพูดอยู่กับใคร?”
สุขฤทัยพูดขู่ทีท่ากร่างหน่อยๆ “อยากมีเรื่องกับพวกเรา ไหวป่ะ”
“เธอรู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นใคร?” สุดาถาม
กรรณนรีตอบนิ่งๆ “คุณหญิงสุดา ภรรยาพลตรีอารักษ์ ที่กำลังดังเรื่องคลิป ถูกต้องมั้ยคะ”
“ชัดเจน! ชัดเจนว่าพวกแกเป็นคนของนังภาพิศ ถึงได้มาก้าวร้าวกับฉัน ฉันฟ้องแน่ เตรียมรับหมายศาลได้เลย ฉันจะฟ้อง ฟ้องพวกเธอทุกคน รวมทั้งนสพ.เธอด้วย” สุดาโกรธ ก้าวเดินฉับๆ ออกไปกับสมหญิง
สุขฤทัยจ้องหน้ากรรณนรี “ถ้าเธอฉลาด อย่ามีเรื่องกับพวกเราจะดีกว่า”
กรรณนรีกวน “อาชีพของฉันคือนักข่าว ยินดีมากค่ะที่จะมีเรื่อง”
“งั้นเธอได้เรื่องแน่” สุขฤทัยมองจ้องอย่างโกรธขึ้ง ก่อนสะบัดหน้าเดินออกไป
กรรณนรียิ้มขำ “ฉันพูดผิดตรงไหน เราเป็นนักข่าวก็มีหน้าที่ออกไปหาข่าวใช่มั้ย”
“ใช่! แถมวันนี้คนเป็นข่าว ก็ยังอุตส่าห์เอาข่าวมาให้ถึงที่” นิคว่า
“แต่จะมาตราหน้า หมิ่นประมาทถึงอาชีพ ฉันไม่ยอม”
กรรณนรีเอ่ยขึ้น พลางมองตามคุณหญิงสุดา และพรรคพวก หน้าตาขึงขังไม่ยอม!
สรวงนั่งยกมือกุมขมับ ขณะคลิกเมาส์เปิดไล่เช็คข่าวมารดาตามเว็บไซต์ชื่อดังต่างๆ คุณหญิงสุดาโดนยำเละโดยบรรดานักเลงคีย์บอร์ด
“เละ! แม่ผมเละอย่างเดียว” สรวงเครียด ดูเป็นกังวลใจหนัก
“ตอนแรกพี่ก็ไม่อยากบอกสรวง แต่คิดว่ายังไงสรวงก็ต้องรู้ เลยรีบมาบอก จะแก้ยังไงจะได้รีบแก้”
สรวงคิดหนัก “บอกตามตรง ไม่รู้จะแก้ยังไงพี่ จะให้ตามเช็ก ตามลบ ทุกเว็บก็ไม่ไหว ป่านนี้เค้าแชร์คลิปกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ผู้หญิงคนนั้นร้ายจริงๆ”
นพติงพูดให้ใจเย็น “เรายังไม่รู้เลยนะสรวง ว่าใครเป็นคนปล่อยคลิป”
“ถ้าไม่ใช่เค้าแล้วจะเป็นใคร?”
“ใครก็ได้ที่อยู่ในเหตุการณ์ เพราะถ้าเป็นคุณภาพิศจริง เค้าน่าจะปล่อยตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง”
นพพูดชวนคิด
สรวงทวนคำพูดรุ่นพี่
“ใครก็ได้ที่อยู่ในเหตุการณ์?” นิ่งคิด แล้วหวนนึกถึงกรรณนรีตอนทำมือถือหล่นจนรำพึงออกมาอีก “กรรณนรี”
“กรรณนรี ใคร”
“นักข่าวจอมจุ้น” เสียงมือถือดังสรวง ชายหนุ่มกดรับ “ครับคุณพ่อ”
นายพลอารักษ์นั่งอยู่ในรถยนต์ตู้คันใหญ่ มีคนขับนั่งด้านหน้า อารักษ์บอกสรวงน้ำเสียงไม่พอใจนัก
“แกดูแม่ของแกยังไงสรวง มีคนโทรฯมาบอกพ่อว่าแม่แกไปบุก Star in trend”
“อะไรนะครับ? แม่บุกไป Star in trend”
อารักษ์กลุ้มใจมาก “หาเรื่องพ่ออยู่บ้านไม่พอ ตามไปหาเรื่องนักข่าวอีก ไม่รู้จะบ้า
ไปถึงไหน? ฉันล่ะขายขี้หน้าจริงๆ แกรีบไปตามแม่แกกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
สรวงยิ่งกลุ้มหนัก
สรวงเดินดุ่มมาที่รถพลางกดโทรศัพท์มือถือ โทร.ออก สุดานั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านหลัง โดยมีคนขับรถขับมาตามทาง
สุดารับสาย “ว่าไงลูก”
“คุณแม่อยู่ที่ไหนครับ”
สุดาแปลกใจกับคำถาม “กำลังจะกลับบ้าน”
สรวงถอนหายใจโล่งอก “ดีแล้วครับ ..ผมนึกว่าแม่ยังอยู่ที่ Star in trend”
สุดายิ้มเยาะในสีหน้า “อ๋อ…มีคนรายงานลูกใช่มั้ยว่าแม่อยู่ไหน ทำอะไร ฮึ! พ่อแกคงกลัว”
ล่ะสิว่าแม่จะทำอะไรนังเมียน้อยน่ะ ถึงได้ให้คนตามติดแม่น่ะ”
“ไม่ใช่คุณพ่อหรอกครับ” สรวงพยายามเลี่ยง “มีคนโทร.บอกผมว่าคุณแม่ไปมีเรื่องกับนักข่าว”
สุดาเถียง “แม่ไม่ได้มีเรื่อง พวกมันต่างหากรวมหัวกับนังภาพิศหาเรื่องแม่ แล้วพวกมันยังขู่จะฟ้องหมิ่นประมาทแม่อีก สรวงต้องไปจัดการให้แม่ ได้ยินมั้ย? สรวงต้องไปจัดการมันให้แม่”
คุณหญิงบ้านใหญ่ของพลตรีอารักษ์วางสายด้วยกิริยาหงุดหงิด
สรวงมึนตึ้บ เหนื่อยใจเหลือทน
“เธออีกแล้ว กรรณรี”
ที่ออฟฟิศหนังสือพิมพ์สตาร์อินเทรนด์ กรรณนรี มะยม และนิคต่างหน้าหงิกใส่กัน กรรณนรีเอ่ยขึ้น
“เป็นไงมะยมเมียหลวงที่แสนดีของเธอ?”
“แล้วก็ไม่ต้องไปโทษคุณภาพิศว่ายั่วโมโหก่อนนะ ขนาดเราอยู่เฉยๆ เค้ายังมาชี้หน้าด่าได้เลย” นิคบอก
มะยมออกอาการเซ็ง “ฉันคิดไม่ถึงจริงๆว่าคุณหญิงสุดาจะเป็นไปได้ขนาดนี้ คิดเองเออเอง ผูกเรื่องไปเอง สรุปไปเองหมด คุณภาพิศก็คงจะโดนอย่างเราแหละ เพราะในคลิปก็มีคุณหญิงสุดาโหวกเหวกโวยวายอยู่คนเดียว”
“แล้วจะเอายังไง ยัยคุณหญิงขู่จะฟ้องถึงพี่จ๋า ถึงสำนักพิมพ์เราด้วย”
กรรณนรียักไหล่ “เราไม่ผิด กลัวอะไร?”
“กลัวสิ! เล่นกับคนบ้าอำนาจ กร่างขนาดนั้น ดีไม่ดีตอนนี้คงไปหาพรรคพวกมาขู่เรา” มะยมนึกหวั่น
เสียงมือถือของกรรณนรีดังขัดขึ้น ทุกคนเหลียวมองหน้ากันไปมา
นิคยิ้มเจื่อนๆ “เอาแล้ว”
กรรณนรีมองเบอร์มือถือไม่คุ้นเบอร์ แต่ก็กดรับ “กรรณรีค่ะ”
สรวง ยืนหน้าเครียดอยู่ในห้อง ท่ามกลางบรรยากาศโปร่งๆ โล่งในออฟฟิศ
สรวงพูดถามเสียงเข้ม “เธอทำอะไรแม่ฉัน?”
“คุณสรวง” กรรณนรีตกใจ
นิคกับมะยมมองมา อย่างตกใจเหมือนกัน
กรรณนรีเดินออกมานอกออฟฟิศ สรวงถามต่อ ประชดอยู่ในที
“ใหญ่จริงนะแม่คุณ..ถึงได้ขู่จะฟ้องคนนั้นคนนี้น่ะ”
“คนนั้นคนนี้คนไหนไม่มี เพราะตั้งแต่ฉันทำงานมา คนแรกที่ฉันคิดจะฟ้อง คือคุณหญิงสุดา” กรรณนรีบอก
“แหงล่ะ...เพราะเธอทำงานให้ภาพิศนี่...อ้อ! จะเรียกภาพิศก็คงไม่ได้ เพราะถ้าจะเรียกให้ถูก ต้องพูดว่า ทำงานให้แม่เธอ”
กรรณนรีตะลึง “คุณสรวง”
“ฉันพูดแทงใจดำล่ะสิ” น้ำเสียงสรวงเยาะเย้ยถากถาม “ไง? พ่อฉันเอาเงินไปปรนเปรอแม่เธอไม่พอรึไง? ถึงได้รวมหัวกันจะฟ้องแม่ฉันเพื่อเอาเงินน่ะ”
กรรณนรีโกรธ แต่นึกสนุกพูดยั่วออกไป “คิดตื้นๆ ได้แค่นี้เองเหรอคะ คุณสรวง....” ลากเสียงยาว “ฉันจะบอกอะไรให้ ถ้าฉันจะทำอะไร พวกคุณตามฉันไม่ทันหรอก”
สรวงโกรธ ของขึ้นเช่นกัน “เชื้อไม่ทิ้งแถว มารยา เจ้าเล่ห์เพทุบาย รู้ไว้กรรณนรี ตราบใดที่มีฉัน...แม้แต่สตางค์แดงเดียว พวกเธอก็ไม่มีทางได้”
กรรณนรีเหน็บแนม “คุณกับแม่คุณเหมือนกันไม่มีผิด คิดเอง เออเอง แล้วความคิดแต่ละอย่าง ก็มีแต่เรื่องเลวๆ....ไม่ต้องห่วงแม่คุณหรอก ห่วงตัวเองดีกว่า เพราะคนที่ฉันจะฟ้องคนต่อไป ก็คือคุณนั่นแหละ คุณสรวง!” กดวางสายทันที
“เธอ”
ทั้งกรรณนรีกับสรวง ต่างอยู่ในอาการโกรธเกลียดกันทั้งคู่
ในออฟฟิศยามนั้น พนักงานกองบบรณาธิการแต่ละฝ่ายต่างคนทำงานอย่างคร่ำเคร่ง สักครู่หนึ่งกรรณนรีเดินเข้ามาอย่างอารมณ์เสีย นิคถามทันที
“ไง? คุณสรวงเค้าโทร.มาว่าอะไรแกกาว”
“ไม่มีอะไรหรอก....ก็แค่ผู้ชายวัยทอง บ่นไปเรื่อย” กรรณนรีตัดบท ท่าทีหงุดหงิดไม่หาย
มะยมงง “คุณสรวงวัยทองที่ไหนกัน? หน้าออกจะใสกิ๊ก” ยิ้มขำ “แกสิผู้หญิงวัยทองว่าไปเรื่อย นี่ บอกมาตามตรงดีกว่า เค้าโทร.มาเรื่องแม่เค้าใช่มั้ย”
กรรณนรีนิ่งคิด นิคหันไปมองมะยมบอกทันที
“ลองนังเจ้ ทำหน้าอย่างนี้ ใช่ชัวร์”
กรรณนรีเอ่ยขึ้นอย่างมีอารมณ์
“ฉันเกลียดที่สุดคือพวกที่สำคัญตัวเองผิด บ้าอำนาจ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้วีนเหวี่ยงคนนั้นคนนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลย ความจริงเป็นยังไง”
มะยมบอกอย่างปลงๆ “ธรรมดาของคนรวย อีกอย่าง.! ต่อให้เรื่องจริงมันเป็นยังไง เค้าก็ต้องเข้าข้างแม่เค้าอยู่ดี”
“ก็แค่คนคนหนึ่ง ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้มีความหมายอะไรกับชีวิตเราซักนิด จะไปคิดมากทำไม? ปล่อยเค้าไปเหอะ” นิคปลอบ
“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นล่ะ แค่ลมพัดผ่าน ลมปากเน่าๆ เดี๋ยวมันก็ลอยผ่านไป มะยม...เดี๋ยวฉันจะไปสัมภาษณ์คุณภาพิศเอง”
มะยมมองกรรณนรีอย่างแปลกใจ “อ้าว! ทำไมเปลี่ยนใจซะแล้วล่ะ”
“ฉันเคยปิดหูปิดตาไม่อยากรับรู้เรื่องฉาวๆ แบบนี้ แต่ต่อไป...ฉันจะไม่ปิดกั้นตัวเองอีกแล้ว อะไรจะรู้ก็ต้องรู้ อะไรจะเห็นก็ต้องเห็น ถึงมันอาจจะกระทบใครบ้าง แต่ความจริงมันก็ต้องเป็นความจริงอยู่ดี”
นิคยิ้ม หันไปพยักเพยิดกับมะยม “บ๊ะ! วันนี้นังเจ้มาแปลก?”
มะยมกับนิคมองกรรณนรีอย่างแปลกใจ
ที่ร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมหรู ในห้าง ภาพิศเดินซื้อของอยู่กับแฉล้มด้วยท่าทางสบายใจ
“ถ้าฉันเป็นคุณหญิงสุดา ป่านนี้คงชักแหงกๆ อกแตกตายไปแล้ว ฮู้ย! แต่ละคำที่ด่าในอินเตอร์เน็ต ราวกับเกลียดคุณหญิงมาแต่ชาติปางไหน?” แฉล้มว่าหน้ายิ้มเสียงระรื่น
“ต่อให้ไม่รู้จัก แต่ถ้าพูดจาหยาบคาย ถ่อย อันธพาล กร่าง ก็ทำให้คนเกลียดได้เหมือนกัน...อย่างคุณหญิงสุดา” ภาพิศบอก
“คุณกะจะใช้กระแสสังคม ฆ่าคุณหญิงให้ตายทั้งเป็นเลยเหรอ” แฉล้มถาม
“ฉันทำที่ไหน? คุณหญิงทำตัวเอง! และถ้าคุณหญิงยังไม่หยุด คุณหญิงจะไม่เหลืออะไรเลย”
จังหวะนั้น เสียงมือถือดังขึ้น ภาพิศมอง แล้วรับ ปรับลดโทนเสียงเป็นเศร้าทันที
“สวัสดีค่ะ”
เป็นกรรณนรีซึ่งโทร.มาจากออฟฟิศสำนักพิมพ์
“คุณภาพิศนะคะ....ฉันกาวค่ะนักข่าวที่เคยไปขอสัมภาษณ์คุณภาพิศที่บ้าน”
ภาพิศจำได้ ถามกลับอย่างอาทร “อ้อ! จำได้ๆ...หายป่วยแล้วเหรอจ้ะ”
กรรณนรีแสลงหู “ขอบคุณค่ะ...” เสียงเครือนิดๆ “ที่เป็นห่วง แล้วคุณภาพิศเป็นอย่างไรบ้าง? สะดวกมั้ยคะถ้าฉันจะขอสัมภาษณ์”
ภาพิศบีบเสียงเศร้าใส่ “ถ้าหนูจะถามฉันถึงเรื่องข่าวที่เกิดขึ้น ฉันไม่สะดวก”
“แล้วถ้าเป็นเรื่องอื่นล่ะคะ”
“จะเรื่องไหนๆ ตอนนี้ฉันก็ไม่อยากจะพูดทั้งนั้น ขอโทษนะ..ฉันไม่ค่อยสบาย”
ภาพิศตัดสายไปเลย กรรณนรีเรียกเสียงค้าง
“คุณภาพิศ” กรรณนรีมองมือถือในมือด้วยสายตาเป็นห่วง
ภาพิศหันไปเลือกซื้อของด้วยสีหน้ายิ้มละไมเหมือนเดิม แฉล้มได้ยินที่คุย มองงงๆ ทำหน้าเสียดาย
“นักข่าวอุตส่าห์ยื่นไมค์ให้แล้วทำไมคุณไม่ให้สัมภาษณ์โจมตียัยคุณหญิงไปเลยคะ”
“ฉันไม่อยากให้คนมองว่า ฉันกระหาย อยากจะเป็นข่าว”
“แต่คุณกำลังเป็นต่อ คุณน่าจะฉวยโอกาสนี้ ให้สัมภาษณ์ไปเลย” แฉล้มว่า
“อะไรที่มันมากไปก็ใช่ว่าจะดูดี” ภาพิศยิ้มเยื้อนมองแฉล้ม “ถ้าคิดจะเล่นกับสื่อ คุณ
ต้องใช้สื่อให้เป็น”
“งั้นก็แปลว่าคุณกำลังคิดจะใช้สื่อทำอะไรซักอย่างตามวิธีของคุณใช่มั้ยคะ”
ภาพิศยิ้มอย่างมีเลศนัย
เวลาต่อมา สรวงนั่งกุมขมับอยู่ในห้องทำงานที่ออฟฟิศ งานการไม่เป็นอันทำ เพราะมัวดูข่าวจากอินเตอร์เน็ต แล้วถอนหายใจเฮือกๆ เมื่อเห็นเป็นภาพภาพิศนอนอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาลท่าทางแย่มาก สรวงอ่านพาดหัวข่าว
“ภาพิศเครียดจัด ถูกหามเข้ารพ. วอนขอยุติเรื่องราวทั้งหมด” สรวงอารมณ์เสีย พึมพำกับตัวเองพาลใส่กรรณนรี “มารยา ต้องเป็นแผนของเธอแน่ๆ กรรณรี”
“แม่เข้าโรงพยาบาล”
กรรณนรีหน้าซีดพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อมองข่าวในเว็บจากจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า
มะยมตะโกนมา “คนที่เข้ารพ.ไม่น่าเป็นคุณภาพิศเลยน่าจะเป็นคุณหญิงสุดามากกว่า”
“เธอ....เรื่องอะไรไปแช่งเค้า” นิคว่า
มะยมตบปากตัวเอง “ไม่แช่งก็ได้....วิ่งพล่านขาดสติขนาดนั้น คุณหญิงสุดาก็คงไม่ได้อยู่ดีสุขสบายหรอก เออ...แล้วไม่ไปเยี่ยมคุณภาพิศหน่อยเหรอ เผื่อจะได้ข่าวอะไรกลับมา” มะยมถามกรรณนรี
นิคบอกท่าทีขำๆ “ดีไม่ดี...อาจจะได้ภาพเด็ด”
กรรณนรีไม่เก็ต “เด็ดอะไร”
“เก๊าะคุณหญิงสุดาอาจจะตามไปตบคุณภาพิศอยู่โรงพยาบาลก็ได้”
นิคพูดไม่ทันจบคำ กรรณนรีก็คว้ากระเป๋าเดินลิ่วออกไปทันที นิคตะโกนตามหลัง
“กาวฉันพูดเล่น” ลดเสียงเบาลง “ปูนนั้นแล้ว คุณหญิงสุดาไม่มีแรงไปตบใครหรอกมั้ง”
มะยมยกมะเหงกใส่นิค “ตะกี้ล่ะว่าฉันแช่ง ทีแกพูด ไม่แช่งเลยนะไอ้นิค”
กรรณนรีวิ่งออกมาจากด้านหน้าออฟฟิศ เจอพี่นักข่าวคนหนึ่งเดินมา
“กาว...พี่เอารถมาคืนแล้วนะ ขอบใจมาก” รุ่นพี่ยื่นกุญแจรถให้ “เอารถใหม่วิ่งไปต่างจังหวัดเนี่ย วิ่งฉิวจริงๆ” พูดจบก็เดินไป
กรรณนรีตะโกนแซว ออกแนวกัดเบาๆ “ดีขนาดนี้ไม่ซื้อต่อเลยล่ะพี่”
กรรณนรีจะเดินตรงไปที่รถ แต่ต้องชะงัก เมื่อถูกสรวงเดินเข้ามาขวาง มองมาหน้าตาดุดัน
“มาขวางอะไรฉัน? หลีกไป”
สรวงไม่หลีก กรรณนรีมองสู้สายตา สรวงมองดุ กรรณนรีจะขยับไปทางอื่น สรวงก็เดินขวางอีก และไม่ว่ากรรณนรีจะขยับไปทางไหน สรวงก็ขวางเหมือนเดิม
“เป็นบ้าอะไรของคุณ หลีกไปนะ คนกำลังรีบ” กรรณนรีด่าอย่างเหลืออด
“รีบไปบอกภาพิศที่โรงพยาบาลเหรอ ว่ามีคนรู้ทันแล้ว”
กรรณนรีมองตาสรวงชะงัก “คุณพูดเรื่องอะไรของคุณ”
“แผนของเธอกับแม่เธอไงล่ะ” มองตากรรณนรีพูดเยาะ “ถ้าให้ลูกสาวสัมภาษณ์ ก็ได้
ลงแค่ฉบับเดียว แต่พอแกล้งเป็นแกล้งตายหน่อยเท่านั้น ทุกสำนักพิมพ์ วิ่งเข้าหา”
กรรณนรีฉุน “คุณจะบ้าไปถึงไหน? ปรักปรำอยู่ได้ว่าฉันเป็นลูกคุณภาพิศ”
สรวงเย้ย “ปรักปรำหรือกรรณนรี” ควักกระเป๋าเงินของกรรณนรีออกมา พร้อมหยิบรูปชูต่อ
หน้า “แล้วนี่มันอะไร? เธอตอบฉันมาสิกรรณนรี..ว่ารูปภาพิศกับใคร”
กรรณนรีจะคว้ากระเป๋าคืน สรวงเบี่ยงกระเป๋าเงินหลบ กรรณนรีจ้องหน้าสรวง
“ผู้หญิงที่อยู่ในรูปไม่ใช่คุณภาพิศ”
สรวงโมโห “ยังจะเถียงอีก...ทั้งๆ ที่สองตาเธอก็เห็นว่าเป็นรูปภาพิศ”
กรรณนรีโต้เสียงดัง “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ใช่คุณภาพิศ”
“อ้อ! ไม่ใช่ภาพิศ...แต่ชื่อนุดี...งั้นเธอกล้าปฏิเสธมั้ยล่ะ ว่าผู้หญิงในรูปนี้ไม่ใช่แม่เธอ”
กรรณนรีมองดูรูป เนื้อตัวสั่นสะท้าน ขณะที่เงยหน้ามองสรวง ดวงตาร้าวราน สรวงเดินกลับไปทันที กรรณนรีตะโกน
“ขอฉันคืนเถอะค่ะคุณสรวง”
สรวงหยุดกึก หันมาบอก เย้ย “ไม่...จนกว่าเธอจะยอมรับ ว่าภาพิศคือแม่ของเธอ อ้อ! แล้วถ้าเธอยังยืนกรานว่าเธอไม่ใช่ลูกภาพิศ...ก็อย่าเสนอหน้าไปเยี่ยมเค้าล่ะ เพราะมันไม่จำเป็น” สรวงสะบัดตัวเดินออกไปทันที
กรรณนรีมองตามอึ้ง น้ำตาคลอ คำพูดของสรวงกระทบใจทุกคำ
ตกกลางคืน กรรณนรีนอนครุ่นคิด เสียงของสรวงดังก้องในหัว
“อ้อ!ถ้าเธอยังยืนกรานว่าเธอไม่ใช่ลูกภาพิศ...ก็อย่าเสนอหน้าไปเยี่ยมเค้าล่ะ เพราะมันไม่จำเป็น”
กรรณนรีผลุดลุกขึ้นมานั่งชันเข่า ร่ำร้องในใจ
“ใช่! ในเมื่อเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้น” สะอื้นไห้ “เราก็ไม่ควรไปยุ่งกับเค้าอีก” กรรณนรีบอกตัวเอง “ทำงานแค่ตามหน้าที่เท่านั้นก็พอ..กรรณนรี”
กรรณนรีปาดน้ำตา แต่น้ำตาก็ไหลออกมาอยู่ดี
ในคืนเดียวกัน ภาพิศนอนอยู่บนเตียงในห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาล ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างด้านนอก เห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆดำทะมึน ฝนตั้งเค้าและกำลังจะตกอีกไม่นานนี้
ทันใดนั้นฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมา ไฟในห้องดับพรึ่บ ภาพิศร้องกรี๊ด ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด
ความรู้สึกของภาพิศยามนั้น รับรู้ได้ถึงความเงียบเหงา อ้างว้าง
เพียงแค่เสี้ยววินาทีไฟก็สว่างขึ้น แต่ในความรู้สึกของภาพิศ มันช่างยาวนานเหลือเกิน และทันทีที่ไฟสว่าง ภาพิศกวาดตามองไป เห็นแต่ความว่างเปล่า ทั่วทั้งห้อง มีแต่ภาพิศนอนอยู่คนเดียว
เสียงมือถือดังขึ้นขัดจังหวะ ภาพิศกดรับสาย
“เป็นไงบ้างคุณ โอเคหรือเปล่า? คืนนี้ฉันคงไปเยี่ยมไม่ได้นะ ลูกค้าเต็มเลย” แฉล้มนั่นเองโทร.มา
“ไม่เป็นไร”
“แล้วท่านล่ะ..มารึยัง”
ภาพิศพูดเสียงแผ่ว “ยัง”
“ดี...คุณจะได้คุยกับแขกคนอื่นๆ ไปก่อน ตอนท่านมาท่านจะได้อยู่ลำพังกับคุณแค่สองคน ฉันไปดูลูกค้าก่อน แค่นี้นะ”
ภาพิศวางสาย ขณะกวาดสายตามองรอบห้อง ทั่วทั้งห้องที่ไม่มีใครเลย ก่อนบอกตัวเองเสียงแผ่ว “คุยกับใคร...ไม่เห็นจะมีใครเลย” ยิ้มหยันตัวเอง “นี่ถ้าฉันป่วยจริง...ฉันจะเป็นยังไง”
ภาพิศทอดสายตามอง รับรู้ได้ถึงความเหงา อ้างว้าง จับขั้วหัวใจ ก่อนหยิบมือถือขึ้นมาโทร.ออกพูดน้ำเสียงอ้อน “คุณพี่...รีบมาหาภานะคะ...”
สรวงเองก็นอนไม่หลับ หยิบกระเป๋าตังค์ของกรรณนรีขึ้นมา ก่อนจะดึงรูปออกมาดู คิดอยู่ในใจ
“สองแม่ลูกนี่ ร้ายกว่าที่เราคิดไว้เยอะ โดยเฉพาะเธอ.....กรรณนรีแต่ไม่ว่าพวกเธอจะมาไม้ไหน ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้พวกเธอเด็ดขาด...แม่จะไม่มีวันต้องเจ็บเพราะพวกเธออีกต่อไป”
สรวงเพ่งมองรูปเกลียดชังเหลือแสน
รุ่งเช้าสรวงหล่อเท่อยู่ในชุดสูทสุดเนี้ยบ กำลังจะออกไปทำงาน เดินลงมาจากชั้นบน เห็นสุดานั่งนิ่ง เอนร่างพิงพนักโซฟาแบบหมดแรง ตรงโถงใหญ่ ท่าทางแตกต่างจากทุกที สรวงเดินไปหาสุดาเป็นห่วง
“คุณแม่ไม่สบายเหรอครับ? ผมจะพาไปหาหมอ” ทำท่าจะกอดประคอง
สุดาโบกมือห้ามน้ำตาคลอ “แม่ไม่ได้เจ็บได้ไข้อะไรหรอก”
“แล้วทำไมคุณแม่เป็นแบบนี้?”
สุดาพูดแทรกเสียงแผ่วๆ ท่าทีเหนื่อยอ่อน “เมื่อคืนคุณพ่อไม่กลับ” ยื่นหนังสือพิมพ์ให้ “ข่าวลงว่าไปเฝ้าภาพิศทั้งคืน” สุดาน้ำตาไหล “แม่เจ็บ...เจ็บจนแม่ไม่รู้จะทำยังไงแล้วสรวง” คุณหญิงบ้านใหญ่ร้องไห้ฟูมฟายไม่เหลือมาด ระบดระบาย “ทั้งๆ คนที่ถูกทำร้ายคือแม่..คนที่ถูกกระทำคือแม่ แต่คนที่คุณพ่อไปดูแลใส่ใจกลับเป็นนังภาพิศ หลงมันจนโงหัวไม่ขึ้น”
“อย่าเพิ่งโทษคุณพ่อครับคุณแม่”
“ทำไมแม่จะโทษไม่ได้...ไม่ใช่เพราะคุณพ่อหรอกเหรอ ที่พามันเข้ามาทำลายชีวิตแม่ เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของแม่น่ะ”
“ที่ผ่านมาคุณพ่อก็มีส่วนผิด แต่ครั้งนี้..คุณพ่ออาจจะเป็นฝ่ายที่กำลังตกอยู่ในหลุมพรางของเค้าก็ได้” สรวงตั้งข้อสังเกต
สุดาถามเร็วปรื๋อ “สรวงหมายความว่าอะไรลูก”
“ภาพิศอาจจะไม่ได้ป่วยจริง แต่แกล้งเข้าโรงพยาบาลเพื่อเรียกร้องความสงสาร ความเห็นใจ”
สุดาตาเป็นประกายวาบขึ้นมาทันที “แม่ลืมนึกถึงข้อนี้ไปได้ยังไง?”
สรวงพูดต่อ “ผมจะสืบเรื่องนี้เอง และจะทำทุกอย่างให้คุณพ่อได้เห็นธาตุแท้ของผู้หญิงคนนั้น ถ้าคุณพ่อรู้ ผมมั่นใจว่า..ท่านไม่มีทางเลือกก้อนกรวดอย่างภาพิศแทนเพชรอย่างคุณแม่หรอกครับ”
คุณหญิงสุดายิ้มอย่างพอใจ สีหน้าดีขึ้น เริ่มมีความหวัง
ไฟมาร ตอนที่ 2 (ต่อ)
กรรณนรี เดินลิ่วมาที่โรงพยาบาล ท่าทางของกรรณนรีไม่สบายใจนัก เพราะไม่อยากมา เสียงจ๋ายังดังก้องในหัว
“ถึงคุณภาพิศเค้าจะปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์ กาวก็ต้องตาม อย่างที่นิคว่า เผื่อจะเจออะไรเด็ดๆที่โรงพยาบาล”
กรรณนรีถอนหายใจ มองซ้ายแลขวา กลัวสรวงเห็น แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นสรวงเดินอยู่ข้างหน้า กรรณนรีทำหน้าแหย รีบหาที่หลบอย่างรวดเร็ว แต่จดสายตามองสรวงตลอด พร้อมถ่ายรูปเป็นระยะ
“ถ้าคุณภาพิศเป็นอะไร? นายตกเป็นผู้ต้องสงสัยแน่....นายสรวง”
กรรณนรีรีบตามสรวงไปรวดเร็ว อย่างระแวดระวังตัวแจ
สรวงเดินลิ่วไปที่หน้าห้องภาพิศ และถือวิสาสะจะเปิดประตูเข้าไปเลย แต่ต้องชะงัก เมื่อมองลอดผ่านช่องหน้ากระจกหน้าห้องแล้วเห็นอารักษ์นั่งกุมมือภาพิศที่อยู่ข้างเตียง
สรวงค่อยๆ เปิดประตูอย่างแผ่วเบา และก็ได้ยินภาพิศอ้อนอารักษ์
“ภาขอบคุณนะคะที่คุณพี่อุตส่าห์สละเวลามาดูแลภาทั้งคืน” ยกมือไหว้
นายพลอารักษ์จับมือเอาไว้อย่างนั้น “เล็กน้อย...” ลูบหน้าลูบตาทั้งเอ็นดูและห่วงใย “ภาดีขึ้นหรือยัง”
สรวงมองภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บปวด สะเทือนใจ ยินภาพิศพูดต่ออีกว่า
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“งั้นออกจากโรงพยาบาล เดี๋ยวพี่พาภาไปยุโรปนะ เปลี่ยนบรรยากาศ ภาจะได้สบายใจ”
“ภาไม่ไปหรอกค่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะจ้ะภา” ทั้งอารักษ์กับสรวงมองภาพิศอย่างแปลกใจ “งั้น..ถ้าไม่ไปยุโรป ไปไหนก็ได้ ที่ภาอยากไป”
ภาพิศน้ำตาคลอ บอกเสียงสั่น “ภาอยากจะหนีไปจากความวุ่นวายอย่างเดียวค่ะ”
อารักษ์จับมือปลอบ “ภาจ๋า..พี่ขอโทษ...พี่รับปาก พี่จะไม่ให้คุณหญิงมาระรานภาอีก”
ภาพิศพูดอย่างเจียมตน “10 กว่าปีที่ผ่านมา..ภารู้...มันเป็นไปไม่ได้ค่ะ สิ่งที่เป็นไปได้คือ ภาต้องออกมาจากชีวิตของคุณพี่”
อารักษ์ตกใจ “ภา...ไม่..พี่ไม่ให้ภาไปไหนทั้งนั้น”
“ให้ภาไปเถอะค่ะ” ปากบอกไปอย่างนั้น แต่มือคว้ามืออารักษ์มากุม เกาะเกี่ยวจับยกมาแนบ
แก้มอย่างอาวรณ์ “เพราะถ้าไม่มีภา คุณหญิงกับคุณพี่จะได้ไม่มีปัญหากัน”
“ต่อให้ไม่มีภาคุณหญิงก็สร้างปัญหาให้พี่อยู่แล้วภาอย่าไปไหนเลยนะ พี่ขอร้อง”
ภาพิศดึงมือออก พลิกตัวนอนตะแคงหน้าเข้าหนีไปอีกด้าน “แต่ภาตัดสินใจแล้ว...”
อารักษ์คราง “ภา...”
ภาพิศพูดโดยไม่หันมามอง “ขอภาอยู่คนเดียวนะคะ”
“ไว้ให้ภาสบายใจ แล้วพี่จะมาใหม่”
ภาพิศยืนกรานเสียงเด็ดขาด “ไม่ต้องมาค่ะ ภาขอยุติความสัมพันธ์ทุกอย่างที่เราเคยมี”
อารักษ์ตกใจกับท่าทีภาพิศ “ภา...” ถอนหายใจ
พออารักษ์จะเดินออกไป ภาพิศก็อ้อนต่อ โดยยังไม่หันหน้ามามอง
“รู้ไว้นะคะ..ภาเจ็บที่ต้องเดินจากคนที่ภารักที่สุดในชีวิตไป”
อารักษ์มองภาพิศสีหน้าเสียใจมาก ก่อนจะเดินออกมา
สรวงรีบหลบฉากอย่างรวดเร็ว ขณะที่ภาพิศคลี่ยิ้ม...อย่างเป็นต่อ
สรวงหลบอารักษ์ออกมาที่หน้าห้อง ขณะเดียวกันที่ด้านหลังสรวง กรรณนรีเดินขึ้นมา
เห็นอารักษ์เดินไปอีกทาง สรวงมองจนพ่อลับตัวไป จึงมองเข้าไปในห้องภาพิศก่อนจับลูกบิดประตู เปิดเข้าไป กรรณนรีตาโต รีบเดินตามเร็วรี่
ภาพิศยินเสียงประตูเปิด จึงหันมามอง แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“คุณสรวง” รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันควัน “ขอบคุณมากค่ะที่มาเยี่ยม”
“ให้มันแน่นะสิ่งที่เธอพูดกับคุณพ่อน่ะ” สรวงแดกดันเป็นการทักทาย
ภาพิศตกใจ ไม่คาดคิดว่าสรวงจะได้ยิน จังหวะเดียวกันนั้นเองกรรณนรีแง้มประตูแอบฟัง ได้ยินภาพิศเอ่ยขึ้น
“แต่คุณสรวงก็ได้ยินนี่คะ...ว่าท่านไม่ยอมเลิก”
สรวงยิ้มเย้ย “นึกแล้วที่แท้ก็เป็นแค่มารยาของเธอ ที่เรียกร้องความสนใจจากพ่อ” ขยับตัวเดินมาเอามือค้ำเตียง จ้องหน้าภาพิศ “เพราะถ้าคนตั้งใจจะเลิกจริงๆ ก็แค่...ขายบ้าน ย้ายไปต่างประเทศ ยุติการติดต่อทุกทาง แค่นี้ทุกอย่างก็จบ...แต่ที่สิ่งเธอทำคือ การเล่นเกม ขอโทษ...ที่เกมนี้เธอจะไม่ได้เป็นคนชนะอย่างที่คิด คุณพ่อจะไม่มีวันกลับมาหาเธออีก ภาพิศ”
เจอไม้นี้ ภาพิศยิ้มยั่ว เย้ยหยันในสายตา “เหรอคะ”
“คนที่มั่นใจตัวเองมากๆ ตกม้าตายมาแล้วทุกคน”
สรวงหันกลับเดินออกไป กรรณนรีรีบหลบ ภาพิศมองตามสรวงสายตาเหยียดเย้ย
“กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น และฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น” ภาพิศยิ้มอย่างมั่นใจ
สรวงเดินมาจะออกอาคารผู้ป่วยของโรงพยาบาลแล้ว กรรณนรีเดินตามสรวงออกมาจนทัน
“สิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย...” กรรณนรีพูดขึ้นเสียงดังฟังชัด
สรวงได้ยิน หันมามองกรรณนรีสีหน้าเยาะเย้ย “นึกแล้วไม่มีผิด ยังไงเธอต้องมาที่นี่
กรรณนรีโต้ “ก็ฉันเป็นนักข่าว ฉันมาตามงานของฉัน”
สรวงบอกเสียงเข้ม “ใช่...ตามมาดูว่างานของเธอสำเร็จหรือเปล่า? ให้แม่ทำทีเป็นเลิก...เพื่อที่ลูกสาวจะได้สวมบทนางบำเรอคนใหม่แทน”
“เลว” กรรณนรีกำมือแน่น “ในหัวคุณมีแต่ความคิดเลวๆ”
“ฉันจะเลวเพื่อปกป้องคุณแม่...แตกต่างจากพวกเธอ ที่เลว...เลวเพราะอยากได้ของของคนอื่น” สรวงเดินหนีไปไม่แยแส
กรรณนรีกำมือแน่น น้ำตาคลอ แค้นใจยิ่งนัก
ออกจากโรงพยาบาล กรรณนรีขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่โตของภาพิศ ก่อนก้าวลงมา กรรณนรีกวาดสายตามองดูด้านใน เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่โตโอฬาร เดินเข้าไปใกล้ๆ รั้ว ขณะที่น้ำตาไหลรินออกมา หญิงสาวตะโกนก้องร่ำร้องในใจอย่างคับแค้น
“เพราะสิ่งนี้เองเหรอ? แม่ถึงยอมให้คนดูถูก เหยียดหยาม..ดูหมิ่นดูแคลน อย่างไร้ศักดิ์ศรี และตอนนี้มันก็ไม่ใช่แค่แม่คนเดียว แต่มันลามมาถึงหนู...ที่ต้องถูกตราหน้าว่าเลว”
ค่ำคืนนั้น คุณหญิงสุดาดูมีท่าทีสบายใจมากขึ้นหลังรู้เรื่องจากบุตรชาย สุขฤทัยแวะมาหา พูดประจบเอาใจ
“ฤทัยไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะว่าคนนิ่งๆ อย่างสรวงจะลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างนี้ได้”
สุดายิ้มเยื้อนสีหน้าพอใจ “เป็นเพราะสรวงทนความร้ายกาจของนังภาพิศไม่ได้ไงล่ะจ้ะ”
“มันก็จริงค่ะ ไม่มีลูกคนไหนทนเห็นแม่ตัวเองเจ็บได้หรอกค่ะ”
“เมื่อก่อนน้ารู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว แต่พอมีสรวง น้ารู้เลยว่าต่อไปน้าไม่ต้องสู้คนเดียว”
สุขฤทัยประจบต่อ “สรวงคนเดียวที่ไหนล่ะคะ? คุณน้าลืมไปแล้วเหรอว่ายังมีฤทัยด้วย ฤทัยก็ไม่ยอมให้คุณน้าเจ็บคนเดียวเหมือนกันค่ะ”
สุดายิ้มพอใจ สุขฤทัยยิ้มตอบ แววตาร้าย กะประจบเต็มที่
“แต่วิธีของผู้ชาย...ยังไงมันก็ไม่แสบเข้าไส้เหมือนวิธีของผู้หญิงหรอกค่ะ...” สุขฤทัยว่า
“งั้นฤทัยต้องมาช่วยน้าทำให้นังภาพิศมันเจ็บมันแสบ ถึงขั้นไอซียูเลยนะลูก”
“โอ๊ย...ไอซียูเบาไปค่ะคุณน้า...ไหนๆ จะทำแล้ว เราต้องเล่นถึงวัด จองวันเผากันเลยค่ะ”
สองคนมองหน้ากัน แล้วหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ
วันต่อมา รถยนต์ของภาพิศแล่นมาจอดที่หน้าตึก ทันที่รถมาจอด น้อยกับเมตตี้ก็วิ่งออกมารับ
น้อยนั้นมีหน้าตาท่าทีแปลกๆ “คุณคะคุณ”
ภาพิศฉงน “อะไรน้อย?”
“ของที่คุณสั่ง เค้าเอามาให้แล้วค่ะ”
ภาพิศงงหนัก “ฉันสั่งอะไร”
โลงศพลวดลายวิจิตรหลากหลายแบบ ราว 5 - 6 ใบ วางเรียงรายกันอยู่ในห้องโถงใหญ่ ภาพิศยืนจ้องมอง วงหน้าซีดเผือด ดวงตาฉายแววว่าตื่นตระหนก เมตตี้ถามแบบกลัวๆ
“คุณสั่งโลงมาแก้เคล็ดเหรอคะ?”
น้อยเอ็ด “นังเมตตี้” เม็ตตี้รีบเอามืออุดปาก หลบไปยืนข้างหลัง ถามเสียงนอบน้อม “คุณไม่สบายมากเหรอคะ ถึงได้” พูดเบาๆ “แก้เคล็ดหนักขนาดนี้”
เมตตี้เงียบไปหน่อย แล้วหลุดปากอีก “ตั้งหลายโลงเลย”
ภาพิศน้ำตาคลอ เชิดหน้าขึ้นพยายามเข้มแข็ง “ฉันไม่ได้สั่ง”
สองคนตกใจร้องประสานเสียง “อ้าว แล้วใครสั่งคะ”
เมตตี้ปากไวโพล่งออกมาอีก “หรือว่าจะเป็นคุณหญิงสุดาคะ”
น้อยพลอยพยัก “ใช่! ต้องเป็นคุณหญิงสุดาแน่ๆ โถ…ทำไมต้องแช่งกันขนาดนี้”
ภาพิศโงนเงนคล้ายจะเป็นลม สองคนร้องลั่น
“คุณหญิง” รีบถลาเข้าไปประคองภาพิศที่ทำท่าหมดสติลง
อารักษ์รู้ข่าวรีบตรงมาเยี่ยมภาพิศที่บ้าน ซึ่งเวลานี้นอนอยู่บนเตียงน้ำตาไหลพราก อารักษ์จับมือภาพิศกุมเอาไว้
ภาพิศพูดตัดพ้อด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ภาอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว เมื่อคุณหญิงโกรธ” มองอารักษ์ “ทำให้คุณพี่ไม่สบายใจ ภาก็ต้องเอาตัวเองออกมาทั้งๆ ที่ภารักคุณพี่ แล้วทำไมคุณหญิงถึงทำกับภาอย่างนี้อีก”
“พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ แต่พี่ไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์มันจะรุนแรงถึงขนาดนี้...”
ภาพิศน้ำตาไหล พูดออดอ้อน “แล้วต้องให้ภาทำอย่างไร คุณหญิงถึงจะพอใจ ต้องให้ภาตายไปจากโลกนี้เลยหรือเปล่าคะ”
“ไม่..ภาไม่....พี่จะจัดการเรื่องนี้เอง และพี่รับปาก เรื่องร้ายๆ แบบนี้มันจะไม่เกิดขึ้นกับภาอีก” อารักษ์กุมมือภาพิศแน่น พูดให้สัญญา
เวลาต่อมาอารักษ์กลับมาบ้าน ยืนนิ่งมองหน้าสุดาด้วยสายตาห่างเหิน น้ำเสียงเหนื่อยใจ
“คุณรู้มั้ย..ผมได้คุยกับภาพิศแล้ว...เค้าตัดสินใจที่จะไปจากผม เราสองคนตกลงที่จะเลิกกัน...แต่พอคุณหญิงทำแบบนี้...ผมรู้สึกว่าผมคิดผิด เพราะคนที่ผมควรที่จะไปให้ห่าง คือคุณหญิง ไม่ใช่ภาพิศ”
สุดาช็อก ตกใจสุดท้ายกลายเป็นงง “อะไรของคุณอีก? จะกล่าวหาอะไรฉันอีก”
“กล่าวหา” ขึ้นเสียงดังลั่น “แล้วใครกันที่ส่งโลงไปที่บ้านภาพิศ”
สุดางงหนักกว่าเดิม “โลง? โลงอะไร”
“คุณหญิงจะบอกว่าภาพิศบ้า ถึงขนาดส่งโลงให้ตัวเองงั้นเหรอ”
สุดางงอยู่อย่างนั้น “หมายความว่ามีคนส่งโลงให้นังภาพิศ”
อารักษ์โกรธ “คุณหญิงไม่ใช่สาว16 เลิกปั้นหน้าไร้เดียงสาได้แล้ว พอกันซักที ผมไม่ไหวแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เราเลิกกัน”
อารักเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
“คุณอารักษ์ อย่าเพิ่งไป กลับมาคุยกันก่อน ฉันไม่ได้ทำ” คุณหญิงสุดาร้องไห้โฮ
เสียงโทรศัพท์มือถือของฤทัยดังลั่น ฤทัยกำลังเดินเข้าบ้านรับสาย
“คุณน้าใจร้อนจังเลยค่ะ...ฤทัยเพิ่งกลับมาจากไปหานักเลง เอ๊ย! ลูกน้องของคุณพ่อ แต่พอดีเค้าไม่อยู่”
สุดาร้องไห้ไม่หยุด “แล้วทำไมส่งโลงศพไปให้นังภาพิศโดยไม่บอกน้าล่ะ?”
สุขฤทัยตกใจ “ว้าย! โลงศพ? เปล่านะคะ ฤทัยไม่ได้ทำ...” ทำท่าขนลุกขนพอง “แค่คิด ยังไม่
เคยคิดเลยค่ะ อี๋! ขนลุก”
“งั้นเป็นมันจริงๆ....ต้องเป็นมันจริงๆ” เขวี้ยงมือถือทิ้ง “แกได้ใช้โลงศพของแกแน่ๆ นังภาพิศ” สุดาถลันออกนอกบ้าน
สุดาวิ่งร้องไห้ถลันออกมา และจะตรงไปที่รถ สรวงกลับมาพอดี วิ่งไปคว้าตัวไว้ ถามผู้เป็นมารดาอย่างร้อนใจ
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณแม่”
“แม่จะไปฆ่ามัน แม่จะไปฆ่ามัน” สุดาดึงดันจะไป
สรวงยื้อไว้ “อะไรครับคุณแม่ ฆ่าใคร”
สุดาร้องกรี๊ด “จะมีใครอีก นอกจากนังภาพิศ มันส่งโลงศพไปให้ตัวเอง ให้พ่อเข้าใจผิด ว่าเป็นแม่ทำ แล้วพ่อแกก็มาด่าแม่ ขอเลิกแม่...แม่จะไปฆ่ามัน แม่จะไปฆ่ามัน” จะไปให้ได้
สรวงดึงเอาไว้สุดแรง จนสุดาล้มลง สีหน้าสรวงทั้งโกรธ และเครียด “อย่าครับคุณแม่”
สุดานั่งกอดลูกอย่างเจ็บปวด “แล้วสรวงจะให้แม่ทำยังไง สรวงจะให้แม่ทำยังไง” สุดาร้องไห้คร่ำครวญแทบจะหมดแรง “นับวัน มันยิ่งทำให้พ่อโกรธ พ่อเกลียดแม่...ทั้งๆ ที่แม่ไม่เคยทำอะไรมันเลย ที่สำคัญพ่อไม่เคยฟังแม่ ไม่เคยฟังแม่แม้แต่คำเดียว”
ระหว่างนั้นสาวใช้ในบ้านวิ่งถือมือถือออกมา พอเห็นท่าทางของสรวงกับสุดาก็หน้าซีดจะเดินไป
“มีอะไร?”
“นักข่าวจะขอสัมภาษณ์คุณหญิงค่ะ
สุดาร้องกรี๊ด “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ฉันไม่คุยกับใครหน้าไหนทั้งนั้น”
สาวใช้ตกใจ “ค่ะๆ” วิ่งเข้าไปในบ้าน
สุดาร่ำไห้ “สรวง..คุณพ่อต้องไปอยู่กับมันแน่ๆ ลูกต้องไปตามพ่อกลับบ้านนะบอกพ่อ..แม่ไม่ได้ทำ...อย่าทิ้งแม่ไป อย่าทิ้งแม่ไป แม่รักพ่อ..แม่ขาดพ่อไม่ได้”
คุณหญิงสุดากอดสรวงร้องไห้สะอึกสะอื้น สรวงกอดตอบ ยิ่งเห็นสภาพของแม่ ยิ่งเจ็บปวด
สรวงขับรถมาตามทาง หน้าเครียดขึ้ง โกรธเอามากๆ ชายหนุ่มหยิบมือถือขึ้นมาโทร.ออก
ที่ออฟฟิศ สตาร์ อิน เทรนด์ นิค มะยม และกรรณนรี นั่งทำงานอยู่ด้วยกัน นิคหาวหวอดๆ
“อะไร? ยังไม่ถึงสองทุ่ม หาวหวอดๆ ซะแล้ว” มะยมว่า
“เมื่อคืนทำงานดึกเหรอ?” กรรณนรีสงสัย
“เปล่า ดูคลิปหลุดดารา ดูตั้งแต่ตีหนึ่งยันตีสี่ ดูยังไง๊ก็ดูไม่ออกว่าเป็นใคร...” พลางชี้ให้ดูในคอมพ์ เห็นเป็นภาพโมเสค เบลอจนไม่เห็นอะไร “จะใส่โมเสคอย่างนี้ไม่ต้องลงรูปเลยดีกว่า” นิคจบด้วยการบ่น
“ฉันก็อ่านคอมเม้นท์ในเว็บไซต์ ข่าวน้องติ๋ม ดังระเบิด ยิ่งอ่านยิ่งมันส์ สาวไส้กันซะสนุก อ่านทั้งคืนก็ไม่ง่วง” มะยมบอก
กรรณนรีขำ “เรื่องชาวบ้าน คืองานของพวกเราจริงๆ”
จังหวะนั้นเสียงมือถือของกรรณนรีดัง กรรณนรีรับมาดู จำเบอร์ได้
“คุณสรวง” เดินออกไป
“งานเข้า” นิคว่า
“ฉันว่าคุณสรวงกับกาว มันชักจะยังไงๆ แล้วนิค”
มะยมตั้งข้อสังเกต สองคนมองตามกรรณนรีไป
กรรณนรีเดินออกมาที่หน้าสำนักงานแล้ว
“มีอะไรกับฉันอีก”
สรวงขับรถมาตามทาง พูดเสียงเข้ม “ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่มั้ยกรรณรี ถ้าแม่ฉันเจ็บ พวกเธอ
ต้องเจ็บกว่า โลงศพที่แม่เธอส่งให้ตัวเอง ได้ใช้แน่ๆ ตามไปเก็บศพแม่เธอที่บ้านได้เลย” กดตัดสาย แล้วขับรถแล่นฉิวไปตามแรงโทสะในใจ
“แม่” กรรณนรีเป็นห่วงภาพิศจับใจ
ภาพิศมองสรวงด้วยท่าทางตื่นๆ ดวงตาของสรวงกร้าวร้าวขณะมองมา
ภาพิศตกใจ กับท่าทีน่ากลัวของสรวง “ถ้าคุณสรวงจะมาตามท่าน ท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ค่ะ”
สรวงบอกเสียงเข้ม “งั้นก็ดี! ฉันจะได้สนองความต้องการของเธอ โดยที่ไม่มีคุณพ่อมาขัดขวาง” ก้าวเข้าไปด้านในทันที
ภาพิศกลัวปนงง “คุณสรวงหมายถึงอะไรคะ”
“ไหนๆ เธอก็ส่งโลงให้ตัวเองแล้ว ฉันจะให้เธอได้ใช้มัน”
ว่าแล้วสรวงก็กระชากข้อมือของภาพิศสุดแรง ภาพิศตกใจ ยื้อตัวเองเอาไว้
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ปล่อยพี่นะคะคุณสรวง”
สรวงกระชากตัว ตะคอกใส่อย่างดุดัน “เธอส่งโลงให้ตัวเอง แล้วยังมาปรักปรำใส่ร้ายแม่ฉัน”
กรรณนรี วิ่งเข้ามาทันได้ยินพอดี กรรณนรีหน้าซีดตกใจ ไม่ได้ปักใจเชื่อ แต่ได้ยินเต็มสองหู
ภาพิศร้องไห้ “เพราะคุณหญิงเป็นแม่คุณใช่มั้ย? คุณถึงได้เชื่อ ฉันไม่บ้าแช่งตัวเองอย่างนั้นหรอก”
กรรณนรี และสรวงชะงักสะดุดใจในคำว่า...เพราะเป็นแม่ สรวงยอมปล่อยมือ
ภาพิศเสียงสั่นเครือ “ฉันรู้ว่าผิดที่มาทีหลัง แต่คนที่มาทีหลัง มันก็เจ็บเป็นนะคะ”
สรวงสวนคำออกมา “งั้นเธอก็รีบไป...จะได้ไม่เจ็บ เพราะที่ผ่านมาไม่ได้มีใครเรียกร้อง เธอกระเสือกกระสนเข้ามาเอง” กวาดตามองรอบๆ ห้อง “แต่ก็อย่างว่า...” สีหน้าดูถูก “มันคุ้ม เพราะทรัพย์สินศฤงคารทั้งหมด” ลดน้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย้ย “น้ำหน้าอย่างเธอ ชาตินี้ทั้งชาติไม่มีวันหาเองได้”
ภาพิศร้องไห้ กรีดร้องออกมา “คุณสรวง”
สรวงตะคอก “ทำไม?ฉันพูดผิดตรงไหน? ไม่ใช่เพราะทรัพย์สมบัติพวกนี้หรอกเหรอ? เธอถึงได้ทิ้งศักดิ์ศรีมาเป็นเมียน้อยพ่อฉันน่ะ” ปรี่เข้าไปต่อว่าอีก ภาพิศถดตัวถอยหลัง “เฮอะ! ทำเป็นหน้าเชิดคอตั้ง วางตัวเป็นนางพญา แต่คนอย่างเธอเป็นได้แค่นางพญาปลวกเท่านั้นภาพิศ!!
กรรณนรีวิ่งเข้ามากระชากสรวง แล้วเอาตัวกันภาพิศเอาไว้ “หยุดเดี๋ยวนี้นะคุณสรวง เลิกพูดจาดูถูกคนอื่นได้แล้ว”
สรวงหัวเราะกวนใส่ “ดูถูกที่ไหน? ในเมื่อเป็นสิ่งที่หล่อนทำเอง” ประชดกรรณนรีแต่มองภาพิศ “ผู้หญิงที่ทิ้งลูก ทิ้งผัว มาเป็นเมียน้อยคนอื่น มีตรงไหนที่น่ายกย่อง ถ้าฉันเป็นลูกของผู้หญิงคนนี้” มองจ้องหน้ากรรณนรีแต่ชี้หน้าภาพิศ “อย่าว่าแต่จะถามหาความภูมิใจเลย ฉันคงทำได้แต่เอาหน้ามุดดิน ไม่กล้าเอาหน้ามาเผยอสู้หน้าใครหรอก”
ขณะที่สรวงยืนด่า ภาพจำในอดีตตอนที่ตัวเองยังเป็นนุดี กำลังกอดลูก ลูกชายป่วย และในวันตัดสินใจทิ้งลูกมา หลั่งไหลราวสายน้ำ ภาพิศหน้ามืดยืนโงนเงน เป็นลมหมดสติไป กรรณนรีรีบเข้าไปประคองรู้สึกเจ็บปวดแทนภาพิศ พูดขอร้อง “พอได้แล้วคุณสรวง พอ”
“ฉันไม่ทะเลาะกับคนตายหรอก” มองไปยังภาพิศ “เก็บเข้าโลงไปเลย อย่าทิ้งไว้ มันอุจาดตา”
กรรณนรีกอดภาพิศร้องไห้ มองด้วยความสงสาร สลดหดหู่ในใจ
สรวงหันมามองกรรณนรีกอดภาพิศ มีแต่ความสังเวชใจ
ภาพิศนอนอยู่บนเตียง มีกรรณนรีนั่งจับมือกุมอยู่ข้างๆ น้อยกับเมตตี้เอาผ้าเย็น และยามาให้ ก่อนจะออกไป กรรณนรีหยิบผ้าซับที่ใบหน้าภาพิศอย่างทะนุถนอม ภาพิศลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้ายังพร่ามัว สิ่งแรกที่เห็นคือวงหน้าเลือนรางของกรรณนรี
“หนู”
กรรณนรีชะงักหยุดซับหน้าและถอยตัวออกห่าง “คุณไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันกลับเลยนะคะ”
“อย่าเพิ่งสิหนู...” ทำท่าเหมือนทบทวนชื่อ แต่จำผิด “ก้าง”
กรรณนรีกลั้นก้อนสะอื้น หยุดยืน ภาพิศบอกแกมอ้อนวอน ขอร้องจากใจจริง
“ฉันขอร้อง....อย่าให้เรื่องเป็นข่าวเลยนะ”
“แต่ถ้าเสนอข่าวตอนนี้..คุณจะได้คะแนนอื้อนะคะ” กรรณนรีเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นประชด “อย่างน้อย คนก็จะได้รู้ คุณเป็นบ้านที่สอง” และจบลงด้วยเสียงเย้ยหยัน “ที่น่าสงสาร”
“ฉันเข้าใจคุณสรวง” ภาพิศบอก
กรรณนรีหันมามอง สีหน้าไม่เข้าใจ “ฉันไม่รู้เหตุผลของคุณมันคืออะไร แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ยอมให้คนมาดูถูกเหยียดหยามอย่างนี้”
“คนเราถ้าได้เดินได้ก้าว...คงไม่มีใครคิดที่จะเดินย้อนกลับหลัง” น้ำเสียงกร้าว “ไม่ว่าจะมีขวากหนามยังไงก็ต้องเดิน”
“คุณอาจจะทนได้...แล้วคุณเคยคิดถึงลูกคุณบ้างมั้ยคะ ตอนนี้ลูกของคุณอาจจะเป็นอย่างที่คุณสรวงพูดก็ได้อายจนแทบจะเอาหน้าซุกดิน”
พูดจบกรรณนรีก็เดินออกไป ภาพิศน้ำตาไหล เจ็บปวดในอก แต่ไม่มีเสียงสะอื้น
กรรณนรีขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่ริมน้ำ ก่อนจะเดินมาทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ ขณะที่อีก
ฝั่ง สรวงนั่งอยู่ในรถ สายตามองเหม่อไปที่ท้องน้ำ
สรวงและกรรณนรี นั่งกันอยู่คนละมุม คนละฝั่ง แต่สายตาทั้งสองคนเหมือนกัน มีแต่ความเจ็บปวด
กรรณนรีรำพึงเสียงเครือ ทั้งเสียใจ และน้อยใจ “ยังไง.. แม่ก็เลือกความสุขสบายอยู่ดี” สีหน้าเจ็บปวด สลดเศร้าสลด “ทั้งๆ ที่ความสุขสบายของแม่มันตั้งอยู่บนกองไฟ”
สรวงเครียดพูดเสียงเข้ม เจ็บปวดเหลือแสน ทอดสายตามองผืนน้ำเบื้องหน้า “พ่อไม่รู้เลยเหรอ...ว่าพ่อเป็นคนเอาไฟเข้ามาเผาบ้าน...แล้วก็ไม่มีน้ำจากบ่อไหนจะดับได้ เพราะไฟที่พ่อเอาเข้ามามันคือ...ไฟมาร”
กรรณนรีกับสรวงมีแต่ความทุกข์ใจ
คืนนั้น สุขฤทัย ผุดลุกผุดนั่ง นอนไม่หลับ
“ข่าวน้องติ๋ม ตอนนี้สู้ข่าวภาพิศไม่ได้หรอก เอาไงดีๆ” คิดไปคิดมา “นึกออกแล้ว” หยิบมือถือขึ้นมากดโทร.ออกทันที
ขณะนั้นมะยม และนิคยังนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ สตาร์ อินเทรนด์ เสียงโทรศัพท์ในออฟฟิศดังขึ้น
มะยมรับสาย “สตาร์ อินเทรนด์ ค่ะ”
สุขฤทัยกร่างใส่ตามนิสัย “นี่ ไปตามนักข่าวที่คุยกับฉันวันนั้นมาให้หน่อย”
มะยมงง ถามสุภาพ “คุณชื่ออะไรคะ ข่าวไหน แล้วนักข่าวคนไหนที่คุยกับคุณ”
สุขฤทัยหงุดหงิด “ก็ฉันไง....” ขึ้นเสียงสูง “ชั้น”
มะยมพยายามใจเย็น ถามอย่างสุภาพ “ก็ฉันไหนล่ะคะ”
สุขฤทัยปรี๊ด “สุขหฤทัย”
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้จักค่ะ...กรุณารอซักครู่นะคะ” มะยมเอามือปิดโทรศัพท์ถามนิค “นิค
...แกได้คุยข่าวอะไรกับคุณสุขหฤทัยหรือเปล่า?”
นิคตอบเสียงสุภาพ “เปล่า..ไม่เคยได้ยินชื่อเลย...สุขหฤทัย”
มะยมตะโกนถามคนอื่นๆ ในออฟฟิศ “มีใครคุยข่าวค้างไว้กับคุณสุขหฤทัยรึเปล่า?”
เพื่อนๆ ในออฟฟิศตะโกนกลับมา “ไม่มี” เสียงดัง
สุขฤทัยได้ยิน โกรธจัด ตะโกนใส่ “ก็ฉันไง..สุขหฤทัยที่ไปกับคุณหญิงสุดา”
มะยมตาโต
วันต่อมาสุขฤทัยแต่งตัวสวยเดินเข้าไปในออฟฟิศสตาร์ อินเทรนด์ มะยมกับนิค หน้าเหลอหลา
“ดูให้เต็มตาซะ...ฉันนี่แหละ สุขหฤทัย”
มะยมไม่ได้ตั้งใจกวน “แล้วไงคะ”
“แล้วไง? เป็นนักข่าวแล้วไม่รู้จักฉันเนี่ย” ทำท่าเอียงคอส่ายหัวไปมา กร่างหน่อยๆ “ไหวป่ะ??
นิคสวนกวนกลับ “ก็แล้วทำไมผมต้องรู้จัก ในเมื่อคุณไม่ใช่คนดัง แค่จำได้ว่าคุณเป็นคนติดตามคุณหญิงสุดา ก็เท่านั้น”
“ฉันไม่ใช่คนติดตาม ฉันเป็นว่าที่คู่หมั้นของคุณสรวง อริยะวรรต” สุขฤทัยคุยโอ่
กรรณนรีเดินเข้าออฟฟิศมาทันได้ยิน คราวนี้ตั้งใจกวน เพราะหมั่นไส้
“แล้วไงคะ”
สุขฤทัยหันมามองกรรณนรี “แล้วไง? ว่าที่คู่หมั้นก็ต้องเดือดร้อนแทนคู่หมั้นน่ะสิจ้ะ ที่คู่กรณีของคุณหญิงแม่ เล่นสกปรก ส่งโลงไปให้ตัวเอง แล้วปรักปรำว่าเป็นฝีมือคุณหญิงแม่น่ะ”
มะยมกับนิคมองหน้ากรรณนรีด้วยความตกใจ กรรณนรีหน้าเจื่อน สุขฤทัยว่าต่อ
“อย่าบอกนะว่าพวกเธอจะไม่เขียนข่าว เพราะเป็นพรรคพวกเดียวกันกับภาพิศน่ะ”
“คุณเป็นคนให้ข่าวฝ่ายเดียว หลักฐานก็ไม่มี ขืนลงไปโดยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูล เกิดไม่ใช่เรื่องจริง พวกเราก็โดนฟ้องสิครับ”
ที่ด้านหลังยามนั้น จ๋ายืนฟังอยู่
“เรื่องพวกนี้ตรวจสอบไม่ยากหรอก ถ้าพวกเธอเป็นนักข่าวคุณภาพจริง นอกซะจากว่า พวกเธอเป็นพวกของภาพิศ” หมุนตัวกลับเดินออกไปทันที
ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ
ครู่ต่อมาสามเกลอนั่งอยู่ในห้องจ๋า
“ตรวจสอบเรื่องนี้ด่วน อย่าให้ตกข่าว ที่สำคัญ ต้องเป็นกลาง อย่าให้มีใครว่าได้ ว่าเราเป็นฝ่ายไหนฝ่ายหนึ่ง” จ๋าสั่งการ
“มะยมตามแล้วค่ะพี่จ๋า...แต่ติดต่อใครไม่ได้ซักคน ทั้งท่านอารักษ์ คุณภาพิศ คุณหญิงสุดา”
“งั้นคุณสรวง” จ๋าว่า
“ถ้าเป็นคุณสรวง ก็ต้องเป็นกาวแล้วล่ะครับพี่” นิคโบ้ย
“เกี่ยวอะไรกับฉัน?” กรรณนรีงง
“ก็ฉันเห็นแกกับคุณสรวงโทร.คุยกันตลอด แล้วเวลาคุณสรวงโทร.มาแกก็ต้องหลบไปคุยข้างนอกทุกที”
มะยมพลอยพยัก “ใช่! หลบไปคุยส่วนตัวแบบนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องงานแล้วมั้ง ฉันว่าเธอกับคุณสรวงต้องงุงิงุงิ กุ๊งกิ๊งๆ กันแน่เลย”
นิคกะมะยม หัวเราะให้กัน กรรณนรีหน้าเจื่อน จ๋าสั่งเข้ม
“งั้นกาวไปตามขอสัมภาษณ์คุณสรวงเดี๋ยวนี้ ง้างปากคุณสรวงมาให้ได้นะกาว...ทุกเรื่อง”
จ๋าเน้นคำท้ายประโยค กรรณนรีทำหน้าหนักใจ
ไฟมาร ตอนที่ 2 (ต่อ)
กรรณนรีลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจโทร.หาสรวง
“ฉันอยากจะขอสัมภาษณ์คุณสรวงค่ะ”
ที่บริษัทสถาปนิกของสรวงเวลาเดียวกันนั้น สรวงนั่งทำงานไปด้วย และถูกนพแซว
“โอ้โห! เดี๋ยวนี้น้องพี่ดังใหญ่แล้ว มีนักข่าวมาขอสัมภาษณ์ด้วย”
สรวงหันไปถามเลขา
“จากฉบับไหน ผมขอประวัติการทำงานของนักข่าวที่จะมาสัมภาษณ์ผมด้วย”
“อะไรนะ ขอประวัตินักข่าว”
มะยมกับนิคร้องประสานเสียงดังลั่นใส่กรรณนรีทันทีที่รู้เรื่อง
กรรณนรีพยักหน้าเซ็งๆ “ตั้งแต่ทำงานมา...ก็เพิ่งเจอคุณคนนี้แหละ”
“แล้วจะทำไง”
กรรณนรีทำหน้าสุดเซ็ง “ทำยังไง”
ที่บริษัทของสรวงเวลานั้น เลขายื่นแฟ้มเอกสารให้
“ประวัตินักข่าวที่จะมาสัมภาษณ์คุณสรวงค่ะ”
สรวงรับมาเปิดดู นพชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วย เห็นเป็นรูปกรรณนรี
“สวยซะด้วย ชื่อแปลกดี..กรรณรี” นพว่า
สรวงยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ เลขาถาม
“คุณสรวงจะให้ขออะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าคะ?”
ทางด้านกรรณนรี ถูกนิคแซวขึ้นมาอีก “หวังว่าคงไม่ขอสูติบัตร เวลาตกฟากเพิ่มนะ
ทุกคนหัวเราะ เสียงมือถือดัง กรรณนรีมองพลางบอก
“จากทางโน้น...” กดรับสาย “กรรณนรีค่ะ” นิ่งฟัง “อะไรนะคะ..จะให้ฉันไปขอคิวสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง เดี๋ยวนี้” มองสองเพื่อนหน้ายุ่ง
นิคหัวเราะ “เอาแล้ว”
เลขาบอกกรรณนรี “คุณสรวงจะคุยสายด้วยค่ะ” ยื่นโทรศัพท์ให้สรวง
“ไง? แค่นี้มีปัญหาเหรอ”
กรรณนรีฉุนขาด “คุณ”
สรวงหัวเราะหยัน “ฉันว่า..แค่นี้มันเล็กน้อยมากนะ ถ้าเทียบกับการที่เธอต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ตามมาสัมภาษณ์ สรวง อริยะวรรต”
กรรณนรีคอแข็งทันที รู้ว่าโดนย้อนเข้าให้
กรรณนรีเดินฉับๆๆ ออกมาหน้าออฟฟิศ มีมะยมกับนิค ตาม กรรณนรีพูดกับเพื่อนอย่างโมโห
“พ่อกับลูกเหมือนกันไม่มีผิด บ้าอำนาจ”
มะยมร้องเสียงหลงแบบขำๆ “เฮ้ย อย่าบอกนะว่า...คุณสรวงจะให้แกไปเป็นกิ๊กน่ะ เพราะถ้าขอ...เดี๋ยวฉันไปเอง”
“โห! มะยม เธอนี่พูดอะไรหน้าไม่อาย” นิคว่า
มะยมถาม “ว่าฉันหน้าด้าน?”
“ก็มันจริงมั้ยล่ะ? ฉันเบื่อมาก ผู้หญิงสมัยนี้ชอบจิ้น ชอบเสนอตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของผู้ชาย ทั้งๆ ที่ผู้ชายเค้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย” นิคออกอาการเซ็ง
“ฉันแค่พูดเล่น” มะยมว่า
“ถ้าเล่นแล้ว เสียศักดิ์ศรีความเป็นผู้หญิง เล่นอย่างอื่นเหอะ” นิคบอกอีก
กรรณนรีเห็นด้วย “ใช่! เพราะที่ผู้ชายสมัยนี้ดูถูกผู้หญิงก็เพราะผู้หญิงทำตัวเอง แต่ฉันคนหนึ่ง
ล่ะจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น” พลางเชิดหน้าขึ้นอย่างทะนงตน “ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันนายจะเล่นอะไรกับฉันอีก นายสรวง!”
เย็นนั้นกรรณนรีพาตัวเองมาอยู่ที่บริษัทสถาปนิกของสรวง กำลังตรงดิ่งไปหาสรวงที่ห้อง แต่เจอกับเลขา
“ฉันกรรณนรี” กรรณนรีแนะนำตัวยื่นนามบัตรให้ “จาก สตาร์ อินเทรนด์ ที่จะมาขอคิวสัมภาษณ์คุณสรวงค่ะ”
สรวงที่หลบมุมมองอยู่ แอบยิ้มที่ได้แกล้ง เลขาบอกกรรณนรี
“คุณสรวงเพิ่งออกไปตะกี้นี้เองค่ะ” เลขาบอก
“อ้าว! ไหนบอกให้ฉันมาเดี๋ยวนี้” กรรณนรีงง
เลขาหน้าจ๋อย “สงสัยคุณสรวงมีธุระด่วน ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วคุณสรวงจะกลับเข้ามากี่โมงคะ”
“ไม่ได้แจ้งไว้ค่ะ”
“งั้นช่วยโทร.ถามได้มั้ยคะ?”
“ไม่ได้ค่ะ ไว้คุณติดต่อมาใหม่นะคะ”
“ก็ได้ค่ะ ไว้ฉันมาใหม่”
กรรณนรีเดินออกไปผ่านหน้าสรวงที่แอบอยู่ สรวงยิ้มตาวาวอย่างพอใจ
กรรณนรีเดินออกมาหน้าออฟฟิศสรวง พลางบ่น
“นัดฉันมาแล้วไม่อยู่ แกล้งกันชัดๆ”
เสียงมือถือดัง กรรณนรีรับ “คะพี่จ๋า”
จ๋าโทร.มาจากออฟฟิศ “ว่าไงกาว คุณสรวงให้คิวสัมภาษณ์วันไหน”
“ยังไม่เจอเลยค่ะพี่จ๋า...เค้าไม่อยู่” กรรณนรีเสียงอ่อย
จ๋าสั่งเข้ม “ยังไงวันนี้กาวต้องตามตัวเค้าให้ได้ เพราะวงในบอกว่า ท่านอารักษ์ขอหย่าคุณหญิงสุดา”
ที่ห้องพักในรีสอร์ตหรูแห่งนั้น นายพลอารักษ์หลบมาพัก และนั่งหน้าเครียดอยู่ ในมือกำมือถือแน่น เห็นชัดเจนว่ามีข้อความประโยคหนึ่งที่ค้างอยู่บนจอเครื่อง ถูกส่งถึงคุณหญิงสุดา
“คืนอิสระให้ผมเถอะ ผมขอใบหย่า”
แน่นอนว่าสุดาได้รับข้อความนั้น และกำลังร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจอยู่ในห้องโถงที่คฤหาสน์ พร้อมกับโทร.บอกสรวงทันที
“สรวง...ช่วยแม่ด้วย...คุณพ่อขอหย่าแม่ แม่ไม่ยอม แม่ไม่อยากเป็นม่ายผัวทิ้ง แม่อาย สรวงต้องช่วยแม่นะ”
สรวงหน้าซีดเผือดตกใจ “ใจเย็นๆ ครับคุณแม่..คุณพ่อบอกตอนไหน”
“เดี๋ยวนี้เอง...คุณพ่อ sms มาบอก”
สรวงหน้านิ่วผลุนผลันออกไป อย่างเป็นห่วงมารดา
สรวงวิ่งออกมาจากออฟฟิศ ตรงไปยังลาดจอดรถ กรรณนรีเห็นรีบวิ่งตาม
“คุณสรวง”
สรวงหยุดกึกหันมามองคนเรียก กรรณนรีวิ่งมาอย่างเร็วชนหลังสรวงจนล้มลงไป
“โอ๊ย!”
พอเห็นเป็นกรรณนรี สรวงไม่สนใจหันตัวเดินตรงดิ่งไปที่รถ กรรณนรีลุกขึ้นปรี่ไปขวางประตูรถด้วยความโมโห
“ไม่มีมารยาท จะขอโทษซักคำก็ไม่มี”
“เธอต่างหากที่ต้องขอโทษ เพราะเธอเป็นฝ่ายวิ่งมาชนฉัน”
กรรณนรีหน้าเสีย “ขอโทษก็ได้...แล้วการที่คุณนัดฉันให้มาสัมภาษณ์แล้วไม่อยู่ จะ
เรียกว่าอะไร?”
สรวงย้อน “ฉันให้คิวเธอที่ไหน? ฉันแค่บอกว่า ให้เธอมาขอคิวจากฉันเอง”
กรรณนรีอึ้ง “คุณ”
“อ้อนวอนฉันสิกรรณรี เผื่อฉันจะใจอ่อน ให้เธอได้กลืนน้ำลายตัวเอง” สรวงพูดใส่หน้า
“ถึงต้องกลืนน้ำลายตัวเอง..ก็ถือว่าคุ้ม ถ้าฉันได้สัมภาษณ์เรื่องพ่อคุณ ขอหย่าจากแม่คุณ” กรรณนรีสวนกลับ
“เพื่อที่แม่ของเธอจะได้ขึ้นมาเป็นเมียหมายเลข 1 ตามด้วยเธอที่จะตามมาเป็นเมียน้อยแม่เธอนะเหรอ?” สรวงเย้ยหยัน
“คุณ” กรรณนรีบันดาลโทสะ ตบหน้าสรวงฉาดใหญ่ “หยาบคายที่สุด”
สรวงลูบแก้มตัวเอง “ไหนๆฉันก็เป็นคนหยาบคาย งั้น...ฉันก็พูดตรงๆ เลยแล้วกัน” ยั่ว “ก่อนที่จะเป็นเมียพ่อ....มาให้ฉันเชยชมก่อนแล้วกัน”
พูดจบสรวงก็กระชากร่างกรรณนรีเข้ามาจูบ กรรณนรีตกใจ พอตั้งสติได้ ก็ตบหน้าสรวงอีกสามทีรวด
สรวงโกรธมาก “กรรณนรี”
ไม่มีประโยคใดๆ หลุดรอดออกมามาอีก สรวงกระชากลากกรรณนรีตรงไปที่รถ กรรณนรียื้อตัวร้องกรี๊ดๆ
“ปล่อยฉัน ปล่อย!”
สรวงไม่ปล่อย เปิดประตูรถแล้วผลักกรรณนรีเข้าไปในรถอย่างแรง ร่างกรรณนรีล้มหัวคะมำสรวงอาศัยจังหวะนั้น วิ่งขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
สองคนไม่รู้ว่าเวลานั้น นพยืนมองมาจากห้องทำงานด้านบน และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
ค่ำนั้นสรวงขับรถด้วยความเร็วสูง กรรณนรีนั่งข้างๆ ตะโกนโวยวายให้จอด
“จอดรถเดี๋ยวนี้ ฉันบอกให้จอด”
สรวงไม่จอด กลับเร่งเครื่องเร็วขึ้น กรรณนรีตกใจมองอย่างหวาดกลัว
“ไม่จอดใช่มั้ย?” กรรณนรีแย่งพวงมาลัย
รถเสียหลัก สรวงร้องลั่น “เฮ้ย! เธอ” ผลักกรรณนรีออกตะคอกใส่ “อยากตายรึไง?”
“ตายก็ยังดีกว่าต้องไปกับคุณ” กรรณนรีกรีดร้องขึ้นอีก “ฉันบอกให้จอด จอดๆๆๆ”
พร้อมกันนั้นกรรณนรีจะแย่งพวงมาลัยอีก คราวนี้สรวงเบี่ยงตัวบังพวงมาลัย แล้วเบรกกระทันหัน
กรรณนรีเสียหลักหัวทิ่มโขกกับคอนโซลอย่างแรง ร้องลั่น “โอ๊ย!” หันขวับไปมองสรวงตาวาวโรจน์โกรธจนตัวสั่น “ดีแต่รังแกผู้หญิง”
กรรณนรีหันไปจะเปิดประตู แต่สรวงคว้าตัวเอาไว้จ้องหน้า ดวงตาของสรวงก้าวร้าวและดุดัน
“เธอยังไปไหนไม่ได้”
“อย่าทำอะไรฉันนะ”
สรวงเอามือบีบคางกรรณนรีให้หันมามองหน้าตน “คิดว่าฉันจะทำอะไรเธอเหรอ? รู้เอาไว้ ฉันไม่ได้พิศวาสเธอหรอก ขยะแขยงซะด้วยซ้ำ” แล้วผลักหน้าออก
กรรณนรีมองสรวง แววตาเต็มไปด้วยหวาดกลัว และเกลียดชัง สรวงหัวเราะเยาะเย้ยอีก
“เสียใจล่ะซี้ ที่มันไม่ได้เป็นไปตามแผนที่เธอวางไว้น่ะ”
กรรณนรีฉงน “แผนอะไร”
สรวงบอกด้วยน้ำเสียงเย้ย “ก็..แผนยั่วโมโห ทำให้ฉันโกรธ ฉุดมาเป็นเมีย แล้วสุดท้ายก็มาแบล็กเมลเรียกร้องสิทธิ์จากฉันน่ะ”
“หยาบคายที่สุด” กรรณนรีตบผลัวะ
สรวงลูบหน้าตัวเอง “ก็ทำให้มันเหมาะกับคนอย่างเธอนั่นแหละ รู้ไว้! ฉันไม่มีวันยอมให้คุณพ่อหย่ากับคุณแม่เด็ดขาด น้ำหน้าอย่างแม่เธอ ชาตินี้ เป็นได้แค่เมียเก็บ นางบำเรอเท่านั้น”
กรรณนรีมองสรวงอย่างเจ็บปวด เปิดประตูวิ่งลงไป สรวงมองตามจากกระจกมองหลัง เห็นกรรณนรีวิ่งออกไปไกล ตั้งท่าจะเลี้ยวรถกลับ แต่กลับเปลี่ยนใจ
“จะเป็นจะตายก็ช่าง เรื่องของเธอ กรรณรี” สรวงขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
กรรณนรีวิ่งร้องไห้หนีไป ทั้งเสียใจและเจ็บปวด ถูกดูถูกดูแคลนจนแทบไม่เหลือค่าของคน
คืนนั้นกรรณนรีวิ่งร้องไห้เข้ามาในซอยบ้าน ตะโกนก้องอยู่ในใจ
“คุณสรวง...ฉันเกลียดคุณ ฉันเกลียดคุณ!”
เวลานั้นกาวินทร์ขับรถกลับมาบ้าน เห็นกรรณนรีร้องไห้พอดี
กาวินทร์ตกใจมาก “กาว...” รีบลงจากรถ ลงมาถาม “เป็นไรกาว”
กรรณนรีรีบเช็ดน้ำตา “เปล่า...กาวไม่ได้เป็นไร”
“แล้วร้องไห้ทำไม?” กาวินทร์กวาดตามอง พลางจับตามเนื้อตามตัวตรวจดูสภาพน้องสาวอย่างเป็นห่วง “มีใครทำอะไรกาวหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ” กรรณนรีบอกพลางปัดมือกาวินทร์วิ่งเข้าบ้านไป
จังหวะนั้นเกริกเดินออกมาสวนกับกรรณนรี เห็นตกใจ “กาว กาวเป็นไรลูก” ถามกาวินทร์ท่าทีร้อนใจ “น้องเป็นไรแก้ว”
“ไม่รู้เหมือนกันครับพ่อ กาวไม่ยอมบอก”
เกริกยิ่งตกใจ “อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องผู้ชาย”
กาวินทร์หน้าเสีย เพราะเขาเองก็ขึ้นชื่อ เรื่องทำลายผู้หญิง
ในเวลาต่อมาทันทีที่ปิดประตูห้องนอนกรรณนรีก็ร้องไห้โฮออกมา ภาพถูกสรวงจูบพร้อมกับด่าว่าอย่างหยาบคาย ผุดขึ้นมาหลอกหลอน
“น้ำหน้าอย่างแม่เธอ ชาตินี้ เป็นได้แค่เมียเก็บ นางบำเรอเท่านั้น”
กรรณนรีคับแค้นใจ ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อย่างอ่อนแรง
“ฉันเกลียดคุณ คุณสรวง ฉันเกลียดคุณ!”
เวลาเดียวกันสรวงขับรถเข้ามาจอดในบ้าน ก้าวลงมาพร้อมความรู้สึกหลายอย่างอื้ออึงอยู่ในหัว ภาพเหตุการณ์ตอนตนเองจูบกรรณนรี และพูดจาหยาบคายกับหญิงสาวผุดขึ้นมา
“ก่อนที่จะเป็นเมียพ่อ....มาให้ฉันเชยชมก่อนแล้วกัน”
“ทำให้ฉันโกรธ ฉุดมาเป็นเมีย แล้วสุดท้ายก็มาแบล็กเมลเรียกร้องสิทธิ์จากฉันน่ะ”
สรวงยกมือกุมขมับ ละอายใจนัก “ทำไปได้ไงวะสรวง?” อีกใจหนึ่งก็ค้าน “ช่าง! ยังไงเราก็
ไม่ผิด ผู้หญิงคนนั้น เหมือนแม่ แค่นั้น ไม่สึกหรอหรอก” บอกตัวเองน้ำเสียงเข้ม “คนที่เราต้องห่วงคือแม่...คิดแค่นี้พอสรวง” ชายหนุ่มเดินเข้าบ้านไป
พอก้าวเข้าไปตรงโถงใหญ่ในบ้าน สรวงเห็นคุณหญิงสุดานั่งร้องไห้อย่างหมดแรง ไม่เหลือ
อีกแล้ว ภาพผู้หญิงที่เคยเอะอะวายวาย แค่ไม่กี่ชั่วโมง แม่ทรุดโทรมราวคนละคน
สุดายินเสียงฝีเท้าก็หันมามอง ดีใจนึกว่าเป็นอารักษ์ พอเห็นเป็นสรวง สีหน้าก็หมองลง
“สรวง” สุดาเรียกเสียงแผ่ว
สรวงสงสารมารดาจับใจเดินมานั่งข้าง จับมือเอาไว้ “คุณแม่อย่าเพิ่งเสียใจไปนะครับ คนเรา
ทะเลาะกัน อาจเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ”
สุดาน้ำเสียงแห้งโหย “อารมณ์ชั่ววูบยังไงสรวง..กว่าจะพิมพ์ออกมา...ต้องใช้เวลา”
สุดายื่นมือถือให้สรวง สรวงรับมาอ่านดู เห็นข้อความ
“คืนอิสระให้ผมเถอะ ผมขอใบหย่า”
สรวงพยายามปลอบ “คนที่ส่งอาจไม่ใช่คุณพ่อ แต่เป็นภาพิศ”
สุดาท้วง “ก็ไหนสรวงบอกว่าเค้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
“ภาพิศอาจจะไปหาคุณพ่อก็ได้...แล้วอาศัยช่วงที่คุณพ่อเผลอ ส่งข้อความมาเหมือนที่เค้าปล่อยคลิป ส่งโลงให้ตัวเอง” ชายหนุ่มจับมือแม่มากอบกุมแน่นปลุกปลอบอีก “คุณแม่ทำใจดีๆ ก่อนนะครับ ผมจะไปคุยกับคุณพ่อเอง”
บรรยากาศรอบๆ รีสอร์ต ยามเช้าแสนสดใส แสงแดดอ่อนๆ สาดแสงส่องลงมาทั่วบริเวณขับเน้นให้ที่พักสุดหรูแห่งนี้ดูสวยงามและรื่นรมย์ยิ่งขึ้น แต่ต่างกันลิบลับกับบรรยากาศแสนตึงเครียดในห้องพักของนายพลสูงวัย อารักษ์ยืนล้วงกระเป๋า หันหลังให้สรวง ขณะที่สรวงเดินเข้ามาบอกอย่างนอบน้อม
“คุณแม่เสียใจมาก ที่คุณพ่อส่งข้อความให้”
อารักษ์ยืนนิ่ง สรวงใจไม่ดี แต่ยังพูดเหมือนจะย้ำปลอบตัวเองให้เชื่อว่าผู้เป็นบิดาไม่ได้ทำ
“คุณพ่อโทร.ไปบอกคุณแม่นะครับ....ว่าคุณพ่อไม่ได้เป็นคนส่งข้อความบ้าๆ นั่นไป” น้ำเสียงแรงขึ้นเมื่อนึกถึงผู้หญิงอีกคนของผู้เป็นบิดา “คนที่ส่ง คือภาพิศ เหมือนที่เค้าปล่อยคลิป ส่งโลงให้ตัวเอง ทำเรื่องทุกอย่าง คุณพ่อโทรฯไปบอกคุณแม่นะครับ..ว่าไม่ได้ทำ”
อารักษ์บอกเสียงเรียบ “พ่อส่งเองสรวง...พ่อเป็นคนส่งข้อความไปหาแม่เอง”
สรวงทั้งเสียใจ และตกใจ “คุณพ่อ!! ทำไม”
“สรวงก็น่าจะรู้ว่าทำไม?” อารักษ์บอก
สรวงโกรธและโทษภาพิศเช่นเคย “เพราะผู้หญิงคนนั้น”
“เลิกโทษภาพิศได้แล้วสรวงภาพิศเค้าเป็นคนดีน่าสงสาร คนที่ร้ายคือแม่แก” อารักษ์ว่า
“แล้วใครเป็นคนทำให้คุณแม่ต้องร้าย ไม่ใช่คุณพ่อกับภาพิศหรอกเหรอครับ” สรวงย้อน
“สรวง” อารักษ์ขึ้นเสียง อย่างไม่พอใจ
“ผู้หญิงที่ทิ้งลูก ทิ้งผัว มาหาความร่ำรวยสุขสบาย เป็นคนดี คนน่าสงสารตรงไหนครับ? คนที่พ่อว่าดี...ไม่มีตรงไหนเทียบเท่าได้กับปลายเล็บของแม่เลย”
“ภาพิศไม่เคยด่าพ่อ ภาพิศยกย่องให้เกียรติพ่อ ดูแลเอาอกเอาใจห่วงใย แล้วเค้าก็เข้าใจพ่อทุกอย่าง แม่แกที่ว่าดี ดีแต่เรียกร้องให้ตัวเอง”
สรวงมองอารักษ์ยิ่งสะเทือนใจ อารักษ์มอง..เข้าใจสรวง สรวงมองผิดหวัง
“แม่ไม่ได้เรียกร้องเพื่อตัวเอง...แม่เรียกร้องให้ผม แม่เรียกร้องให้ครอบครัวเรากลับมาเหมือนเดิม ครอบครัว ที่ไม่มีผู้หญิงคนนั้น” สรวงเดินออกไปทันที
ภาพิศเดินเล่นรอบๆ คฤหาสน์ กวาดสายตามองรอบบริเวณ เสียงของสรวงก้องอยู่ในหัว
“ไม่ใช่เพราะทรัพย์สมบัติพวกนี้หรอกเหรอ? เธอถึงได้ทิ้งศักดิ์ศรีมาเป็นเมียน้อยพ่อฉันน่ะ”
เสียงกรรณนรีแทรกเข้ามา “คุณอาจจะทนได้...แล้วคุณเคยคิดถึงลูกคุณบ้างมั้ยคะ? ตอนนี้ลูกของคุณอาจจะเป็นอย่างที่คุณสรวงพูดก็ได้อายจนแทบจะเอาหน้าซุกดิน”
ภาพิศน้ำตาไหล รำพึงรำพัน “ลูกของฉันคงอายมาก ที่มีแม่เลวๆ คุณพูดไม่ผิดหรอกคุณสรวง”
สรวงเข้าออฟฟิศ นั่งทำงานไปอย่างไม่มีสมาธิ เครียดคิดแต่เรื่องบิดามารดา จังหวะนั้นนพเดินเข้ามาส่องดู
ก่อนจะแกล้งเอามือทำเป็นเคาะประตู “ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
“พี่นพ” สรวงเงยหน้าขึ้นมอง
“หน้าเครียดแต่เช้าเลย” นพทัก
“เบื่อ! มีแต่เรื่องปวดหัว”
“เรื่องเมื่อคืนเหรอ? อุ๊ปส์” นพรีบเอามืออุดปากตัวเอง
สรวงตกใจปนงง “อะไรพี่?”
นพเสียงสูงรีบปฏิเสธ “เปล้า..ไม่มีอะไร”
“พี่นพทำท่าอย่างนี้ ต้องมี! บอกมาดีกว่าพี่นพ เรื่องอะไร?”
“ก็..สรวง...กับ..น้องนักข่าว กรรณรี” นพว่า
สรวงตกใจ “พี่นพ”
นพรีบบอก “พี่ไม่ได้ตั้งใจแอบดูนะ พอดีทำงานเสร็จ ลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืนสายหน่อย มองลงไปข้างล่างเกิดเห็นก็เท่านั้น”
สรวงหน้าร้อนผ่าว นึกอายขึ้นมานพพูดต่อ
“ถ้าสรวงไม่สบายใจเรื่องกรรณรี ก็..คุยกับเค้าให้รู้เรื่องสิ...ขนาดสรวงเองยังไม่สบายใจ พี่ว่ากรรณรีก็ไม่สบายใจเหมือนกันล่ะ”
สรวงเครียด สีหน้าไม่สบายใจหนัก
สรวงยืนอยู่ด้านนอกออฟฟิศ ในมือถือนามบัตรของกรรณนรี ทำท่าจะโทร. ไม่โทร.
“ขืนโทร.ไปหาเสียฟอร์มแย่... โทร.เข้าออฟฟิศแล้วกัน” สรวงกดสายโทร.เข้าเบอร์ออฟฟิศ
เวลาเดียวกันที่ออฟฟิศ สตาร์ อินเทรนด์ ทุกคนทำงานแข่งเวลาปิดต้นฉบับกันอยู่ เสียงโทรศัพท์ที่กองบรรณาธิการโต๊ะดัง มะยมรับสาย
“สวัสดีค่ะ สตาร์ อินเทรนด์ค่ะ
สรวงเอามือบีบจมูกดัดเสียงเป็นผู้หญิง “เอ่อ..คุณกรรณรีอยู่มั้ยคะ”
“กาวยังไม่เข้ามาเลยค่ะ”
สรวงตะกุกตะกัก “แล้วคุณกาวจะเข้ามากี่โมงคะ? พอดีมีเรื่องด่วน”
“ซักครู่นะคะ” เอามือปิดหู แล้วตะโกนถาม “นิค..รู้เปล่า วันนี้กาวเข้ากี่โมง”
นิคตะโกนตอบ “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ปกติกาวเข้าเช้าตลอด สงสัยวันนี้ไม่สบาย”
“วันนี้ไม่ทราบว่ากาวเข้ากี่โมง..จากใครคะ? ถ้ากาวเข้ามา จะได้ให้ติดต่อกลับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวป้าโทร.มาใหม่” วางสาย
มะยมวางหูหันไปเม้าท์กับนิค “เฮ้ย!นิค มีข่าวไหนเกี่ยวกับป้าๆ มั่งเนี่ย ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”
“ฉันก็ไม่รู้ ปกติถนัดทำแต่ข่าวสาว 18” นิคหัวเราะสนุก “อย่างตอนนี้ ก็ต้องหัดเต้น ท่ากังนัมสไตล์” พลางเต้นท่าสุดฮิตไปด้วย “เวลาไปเจอน้องๆ จะได้” นิคยังทำเสียงเลียนแบบเพลงฮอต “กังนัมสไตล์” แล้วขยับมาเต้นรอบๆ ตัวมะยม ทำรายกับมะยมเป็นสาวในเอ็มวีเพลงดัง
มะยมหัวเราะขำ พูดเย้า “บ้า.. อย่างแกมันต้องกำนันสไตล์ว่ะนิค”
“โอเค...กำนันสไตล์”
นิคเต้นด้วยลีลาน่าขัน สองคนหัวเราะหันสนุก
ส่วนทางฝั่งสรวง ยังคงถือโทรศัพท์ค้างไว้อยู่ เสียงนิคดังลอดเข้ามายังก้องหู สงสัยกรรณนรีไม่สบาย
“เรื่องแค่นี้...เธอจะไม่สบายเชียวหรือกรรณรี?”
น้ำเสียงของสรวงเหมือนจะค่อนขอด ทว่าดวงตากับฉายแววอาทรอย่างชัดเจน
ที่บ้านกรรณนรียามนั้น กรรณนรีเดินออกมาจะไปทำงาน แต่ต้องชะงัก เจอกาวินทร์กับเกริกมองอยู่
“อ้าว!พี่แก้ว สายป่านนี้แล้วทำไมไม่ไปทำงานล่ะ?”
“แก้ว..รอ กาว” พ่อบอก
“พี่เป็นห่วง...กาวไม่เคยร้องไห้...แต่เมื่อคืน”
เกริกถามเสียงอ่อนโยน “มีเรื่องอะไรลูก?....บอกพ่อกับพี่แก้วมาเถอะ บ้านเราก็มีกันอยู่แค่นี้”
กรรณนรีน้ำตารื้น รีบก้มหน้า ซ่อนน้ำตาก่อนบอก “กาว....กาวไปเจอแม่มา”
กาวินทร์กับเกริกตะลึง
เกริกครางเสียงแผ่วๆ ใจหายบีบคั้นหัวใจ “กาวไปเจอแม่มา”
เวลาเดียวกันภาพิศขับรถมาจอดที่ถนนหน้าปากซอยบ้าน ภาพิศมองเข้าไป ย่านชุมชนเล็กๆ
สภาพความเป็นอยู่ยังเหมือนเดิมเมื่อตอนเธอหนีไป
สภาพความยากจนข้นแค้น ที่ภาพิศไม่อยากเจอ ยังติดตรึงกับเนื้อชีวิตผู้คนในซอย
ระหว่างนั้นป้าจั๊กจั่นกับป้าตั๊กแตนเดินผ่านมา ภาพิศรีบคว้าแว่นดำมาสวมและหันหน้าไปทางด้านอื่นรวดเร็ว สองป้าขาเม้าท์มองดูรถ
“โอ้โห! รถใครวะ ใหญ่ชะมัดยาดเลย” ป้าตั๊กแตนเอ่ยขึ้น
“หลงมาแหงๆ ซอยบ้านเราไม่มีใครรู้จักเศรษฐีแบบนี้หรอก” ป้าจักจั่นบอก
สองป้าเดินลับตัวไป ภาพิศยังคงนั่งนิ่ง คำพูดนั้นยังดังก้องหู และกระทบโดนใจ ภาพิศจะก้าวลงจากรถ แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นรถสรวงกำลังวิ่งตรงมา
“คุณสรวง”
สรวงมองประสานสายตากับภาพิศ ก่อนที่สรวงจะจอดรถ และก้าวพรวดลงจากรถเข้ามาถามเย้ยหยัน
“กลับมาหาผัวเก่า หรือ ชู้?..จะให้เรียกว่าอะไรดี”
ภาพิศเนื้อตัวสั่นสะท้าน ขณะเดินเลี่ยงสรวงไปตามทาง สรวงเดินตาม
“ต่อให้คุณเดินหนี คุณก็หนีไม่พ้นหรอกภาพิศ...”
“ฉันก็แค่..อยากมาหาลูก” ภาพิศบอก จะเดินต่อ
สรวงยกมือถือขึ้น “งั้นเธอว่า ถ้าฉันถ่ายคลิปไปให้คุณพ่อดู..ว่าเธอมาที่นี่...ท่านจะเชื่อว่าเธอกลับมาหาลูก..หรือ...กำลังสวมเขาให้ท่านอยู่”
ภาพิศฉุนกึก “คุณสรวง”
สรวงลดมือถือลง “ฉันไม่ใช้คลิปทำลายเธอ เหมือนที่เธอใช้มันทำลายแม่ฉัน แต่ฉันจะให้เธอตัดสินใจ ว่าจะไปจากคุณพ่อดีๆ หรือจะให้ ฉันส่งคลิปให้ท่านดู”
ภาพิศแย้งมองหน้าสรวง “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”
“เธออาจจะใช้จริตมารยากับเรื่องอื่นได้ แต่เรื่องนี้คุณพ่อคงจะเชื่อเธอหรอก ในเมื่อผัวเก่าเธอ นายเกริก เค้าหล่อล่ำน้อยอยู่เมื่อไร”
ภาพิศเพ่งมองสรวง เห็นสรวงยกมือถือขึ้น ตั้งท่าจะถ่ายคลิป
“ออกไปจากชีวิตแม่ฉันภาพิศ ก่อนที่เธอจะไม่ได้อะไรจากคุณพ่อแม้แต่บาทเดียว”
ภาพิศจำต้องเดินกลับไปที่รถ อย่างเกรงๆ ท่าทีของสรวง
สรวงยืนมองจนภาพิศขับรถลับตาไป ก่อนเดินตรงไป เป้าหมายคือบ้านกรรณนรี
ภายในห้องนั่งเล่น สามคนอยู่ในภาวะอื้ออึงตึงเครียด เกริกสลดกาวินทร์กร้าวถามเสียงแข็ง
“แกเสนอหน้าไปหาเค้าทำไม?”
เกริกปราม “แก้ว”
สรวงเดินมาหยุดยืนที่หน้าตัวบ้านแอบมอง เห็นกาวินทร์ตะคอกใส่กรรณนรี
“พี่ไม่เข้าใจ...แกจะเสนอหน้าไปหาคนที่เค้าทิ้งเราทำไมกาว? นอกซะจากว่าแกเห็นว่าเค้าร่ำรวย อยากไปอยู่กับเค้า” กาวินทร์จับแขนกรรณนรีกระชาก “ไปเลย ไป๊! จะได้ให้รู้กันไปเลยว่า ผู้หญิงบ้านนี้มีแต่พวกรักความสบาย ไป๊”
กรรณนรีร้องไห้อย่างคับแค้นใจ “ไม่..พี่แก้ว...กาวไม่เคยอยากไปอยู่กับแม่ และแม่ก็ไม่ได้มีความสุขสบายเหมือนอย่างที่เราคิด”
เกริกตกใจถามละล่ำละลัก “กาว...แม่เป็นอะไรกาว?”
“แม่ถูกคุณหญิงกับลูกดูถูกเหยียดหยาม เหมือนไม่ใช่คน”
สีหน้าสรวงขณะฟังอยู่โกรธขึ้งทันที ขณะที่กรรณนรีพูดต่อ
“เรายังมีสามคนพ่อลูก แต่แม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ชีวิตแม่ไม่มีใครเลย”
กาวินทร์ค่อนขอด “แล้วไอ้ผู้ชายที่แม่หนีไปอยู่กับมันล่ะ? มันไปไหน?”
“พี่แก้วคิดเหรอ คนที่มีลูกมีเมียเค้าจะให้เวลากับแม่ได้...” เสียงดังอย่างขมขื่น “เค้ามาตอนที่เค้าต้องการแม่แค่นั้น แม่ไม่ได้ต่างอะไรจากของเล่นคนรวยหรอก”
เกริกคว้ามือกรรณนรี “เราไปรับแม่กลับนะกาวแม่อยู่ไหน? พ่อจะไปรับแม่กลับ” เกริกจะไป
กาวินทร์ร้องห้ามพ่อ เสียงดัง “อย่านะพ่อ ถ้าเค้าอยากกลับ เค้ากลับมานานแล้ว” กาวินทร์เริ่มเสียงเครืออย่างเจ็บปวด “แต่นี่เค้าไม่เคยคิดจะกลับมา” เสียงของกาวินทร์เปลี่ยนเป็นเยาะ “สมน้ำหน้าทำตัวเอง มันก็สมควรแล้ว”
“แก้ว...อย่าว่าแม่...” เกริกทรุดตัวลงร้องไห้ “เป็นความผิดของพ่อเอง พ่อไม่ดี แม่ถึงได้ออกไปเจอกับสิ่งที่เลวร้าย”
กรรณนรีกอดพ่อ “พ่อ..กาวขอโทษ..กาวไม่น่าเอาเรื่องพวกนี้มาบอกพ่อเลย”
กาวินทร์ลดเสียง พูดแผ่วลง ปลอบพ่อและน้อง “เค้าออกจากชีวิตเราไปนานแล้ว อย่าไปยุ่งกับเค้าอีกเลยนะพ่อ ครอบครัวเรามีกันอยู่สามคน ผม..พ่อ...กาว แค่นี้ก็พอ”
สามคนกอดกันร้องไห้ระงม สรวงมองภาพตรงหน้าด้วยความสลดหดหู่
สรวงเดินออกมายังรถที่จอด ใบหน้าหมอง กับสิ่งที่เพิ่งรับรู้ ชายหนุ่มคิดในใจ
“ไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่ทุกข์...สรวง...ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เหมือนนั่ง
อยู่บนกองไฟ”
ใบหน้าหล่อเหลาของสรวงคลายความเคร่ง ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความแค้น อ่อนลงไปด้วยอย่างชัดเจน
ไฟมาร ตอนที่ 2 (ต่อ)
ตรงถนนหน้าสำนักงาน สตาร์อินเทรนด์ เวลานั้น กรรณนรีเดินมาด้วยท่าทางหมองเศร้า สรวงจอดรถ นั่งรอกรรณนรีอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นกรรณนรี สรวงก็รีบลงจากรถดักหน้าไว้
“เธอ”
กรรณนรีตกใจ พอเห็นสรวงก็คอแข็ง “เธอกับใคร”
สรวงเสียงอ่อนลงนิดหนึ่ง “เธอ...เอ่อ...คุณนั่นแหละ ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”
“อยากพูดก็พูดไป แต่ฉันไม่ฟัง” กรรณนรีจะเดินหนีเข้าด้านใน
สรวงถลันไปขวาง “เดี๋ยวก่อนสิเธอ เอ๊ย คุณ” สองคนจ้องตากัน สรวงจะเดินเข้ามาใกล้อีก
ภาพตอนถูกสรวงจูบ ผุดขึ้นในหัวกรรณนรี หญิงสาวมองอย่างหวั่นกลัว ถอยหลังกรูด
“อย่าทำอะไรฉันนะ” กรรณนรีตัดสินใจหันหลังกลับวิ่งหนี
สรวงหน้าตาเลิ่กลั่กไม่คิดว่ากรรณนรีจะวิ่งหนี “จะขอโทษแค่นี้ ทำไมต้องวิ่งหนีกันด้วย” ร้องตะโกนตามหลัง “เดี๋ยวก่อนสิเธอ เดี๋ยวก่อน...”
สรวงวิ่งตามกรรณนรีไปเร็วรี่
กรรณนรีวิ่งหนีมาตามถนน พลางมองหน้าพะวงหลัง เหลียวไปดูสรวงที่วิ่งตามอย่างหงุดหงิด
“คนบ้า จะตามมาทำอะไรฉันอีก” กรรณนรีมัวแต่มองสรวง พอหันกลับอีกที ก็เสียหลักสะดุดล้มร้อง “ว้าย!” ขาพลิก กรรณนรีเจ็บ แต่รีบเหลียวขวับมองไปทางสรวง พร้อมกับถดตัวถอยหนีอย่างหวาดกลัว
สรวงตามมาทันรีบนั่งลงถามอย่างห่วงใย “เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ?” พลางเอื้อมมือไปหมายจะจับดูอาการ
กรรณนรีผวาตัว ร้องลั่น “อย่า” ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว มองจ้องตั้งหลักอย่างเอาเรื่อง
สรวงลุกยืนตาม “คุณเป็นอะไรของคุณ”
“อยู่ใกล้คนบ้ากาม ต้องระวัง”
“ผมไม่ได้หื่นอะไรอย่างนั้นนะ” สรวงว่าพลางขยับจะเข้าไปอีก พร้อมเอามือ ทำท่าปรามๆ
กรรณนรีมองจ้องพยายามข่มความกลัว “ถ้าเข้ามาอีก ฉันถีบ”
สรวงอมยิ้มขำๆ “ก็เอาสิ...ถ้าคุณถีบ ผมจะจูบ จูบมันกลางถนนนี่แหละ”
กรรณนรีทั้งกลัวทั้งโกรธ “คุณสรวง นึกว่าจะกลัวเหรอ?”
สรวงแกล้งยั่ว “ก็เอาสิ..” ขยับเดินเข้ามาใกล้อีก
“ฉันบอกแล้วนะ” กรรณนรียกเท้าถีบเปรี้ยงเข้าที่หว่างขาจังๆ
สรวงร้องเสียงหลง “โอ๊ย” เอามือกุมเป้า
“เอาซี้” กรรณนรี ทำท้าล้อเลียนสรวง “คุณถีบ ผมจูบ ทำได้ก็เข้ามา”
สรวงจ้องหน้ากรรณนรี ถูกกรรณนรีเย้ย แล้วจะเดินหนีไป สรวงก้าวพรวดคว้ามือเอาไว้ จ้อง
ตาเขม็ง ก่อนที่จะกระชากร่างกรรณนรีเข้ามา กรรณนรีร้องกรี๊ด
“อย่าทำอะไรฉันนะ”
สรวงพูดเสียงเข้ม “ถ้าผมจะทำจริงๆ ผมก็ทำได้ จะไปกับผมดีๆ หรือ...” ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เหมือนจะจูบ
“ไป” กรรณนรีตอบทันควัน
ที่บริเวณโต๊ะด้านนอกของร้านอาหารสวยหรู และบรรยากาศดีแห่งนั้น กรรณนรีนั่งกอดอก เมินหน้าหนีไม่ยอมมองสรวงที่นั่งอยู่กันข้าม
“ฉันคิดทบทวนดูแล้ว...เรื่องระหว่างเราสองคน ต่างคนต่างจบจะดีกว่า”
กรรณนรีสวนคำ “จะจบได้ยังไง?ในเมื่อ ฉันไม่เคยเป็นคนเริ่ม”
สรวงไม่ได้หาเรื่อง พยายามจะอธิบาย “ก็แม่เธอไง”
“คุณเอาแต่โทษคนนั้นคนนี้ แต่ไม่เคยโทษตัวเองแล้วมันจะจบยังไง?”
“ก็ฉันไม่ได้ทำอะไร?”
“ก็พ่อคุณไง” กรรณนรีเถียง พาลใส่สรวง
“อ้าว! นี่...ฉันตั้งใจมาคุยกับเธอดีๆ แล้วไหงมาพาลแบบนี้?”
“ใครพาล? ใครเริ่มต้นว่าแม่ฉันก่อน ไม่ใช่คุณเหรอ? เป็นคนเดินเข้ามาด่าๆๆ แล้วบอกให้จบ”จ้องหน้าสู้สายตา “ถ้าฉันเดินเข้าไปด่าๆๆ แล้วบอกให้จบ คุณจะจบมั้ย”
สรวงชักมีน้ำโห ตอบเสียงดุ “ไม่จบ เพราะคุณพูดไม่รู้เรื่อง เอาแต่อารมณ์ งี่เง่า”
“อ้อ! ที่พูดมาเนี่ยสรุป คุณดีทุกอย่าง แล้วฉันไม่ดีใช่มั้ย? ป่วยจิตที่จะพูดกับคนอย่างคุณ เสื่อม” กรรณนรีลุกพรวด เดินหนีไปทันที
“แค่ฉันจะบอกว่าขอโทษ มันจะอะไรกันนักกันหนากรรณรี” สรวงหงุดหงิดแต่ลึกๆ แล้วห่วงความรู้สึกกรรณนรี
กรรณนรีนั่งอยู่บนรถแท็กซี่แล้ว พูดออกมาอย่างเจ็บใจ
“จะมาให้เค้านั่งด่าทำไม”
ที่ด้านหลัง สรวงขับรถตามมา โดยที่กรรณนรีไม่รู้ตัว
กรรณนรีลงจากแท็กซี่ แล้วเดินเข้าบ้าน สรวงจอดรถมองตาม
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องเธอ ฉันเห็นใจเธอด้วยซ้ำ เธอไม่น่าเป็นลูกของภาพิศเลย กรรณนรี”
สรวงได้แต่บอกตัวเอง
เย็นนั้นภาพิศขับรถมาจอดข้างทาง วงหน้าสวยงามนั้นแสนกลัดกลุ้ม เสียงของสรวงดังก้องในหัว
“ฉันไม่ใช้คลิปทำลายเธอ เหมือนที่เธอใช้มันทำลายแม่ฉัน แต่ฉันจะให้เธอตัดสินใจ ว่าจะไปจากคุณพ่อดีๆ หรือจะให้ ฉันส่งคลิปให้ท่านดู”
ภาพิศนึกถึงตอนสวมกอดลูก พร้อมกับเสียงกรรณนรีดังก้องแทรกเข้ามาติดๆ กัน
“คุณเคยคิดถึงลูกคุณมั้ยคะ”
ภาพิศตัดสินใจเลี้ยวรถกลับทันที
ภาพิศเดินน้ำตาคลอมาที่หน้าบ้าน เห็นกาวินทร์หน้าเครียดอยู่ มาลินีเดินมานั่งข้างๆ บอกเสียงอ่อย
“พี่แก้วก็ว่าแม่เกินไป”
กาวินทร์เสียงดังใส่ “พี่ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่”
ภาพิศสะอึก อึ้งเมื่อได้ยินกับหู น้ำตาเอ่อ มาลินีบอกย้ำความเป็นจริง
“ถึงไม่คิด...แต่เค้าก็เป็น”
กาวินทร์ค้าน “ไม่ใช่”
“แล้วน้ำนมที่ป้อนพี่แก้วจนพี่แก้วโตล่ะ?... แค่คิดก็อกตัญญูแล้วนะพี่แก้ว” มาลินีเตือนสติ
กาวินทร์โกรธกลายเป็นพาล “หยุดเดี๋ยวนี้มด เอาเวลาไปสอนตัวเอง ว่าอย่าตามให้ท่าผู้ชาย ดีกว่ามาสอนพี่”
มาลินีอึ้ง “พี่แก้ว! พี่แก้วจะด่าจะว่ามดยังไง มดไม่ว่า แต่มดไม่อยากให้พี่แก้วตกนรก ยังไงผู้หญิงที่พี่แก้วด่ายังไงเค้าก็เป็นแม่”
กาวินทร์เสียงเครือนิดๆ “แม่พี่ตายตั้งแต่วันที่เค้าทิ้งพี่ไปแล้วมด...สำหรับพี่ อย่าว่าแต่จะไปตามหาเลย ต่อให้เค้ามายืนอยู่ตรงหน้าพี่ก็ไม่มอง”
ภาพิศยินเต็มสองหู น้ำตาไหลรินออกมา เจ็บปวดรวดร้าวเหลือแสน
คืนนั้นภาพิศขับรถตามถนน น้ำตายังเต็มสองตา ก่อนที่จะหักรถเข้าจอดที่ข้างถนนบริเวณริมน้ำ
ภาพิศร้องไห้โฮแบบกลั้นไว้ไม่อยู่ ก้มหน้าซบพวงมาลัยร้องไห้โฮออกมา
“ลูกเกลียดแม่ถึงขนาดนี้เหรอ? ลูกเกลียดแม่ถึงขนาดนี้เหรอ?”
ภาพิศครวญคร่ำ เงยหน้าขึ้นมา น้ำตากลบนัยน์ตาสองข้าง มองไปเบื้องหน้าเห็นผู้ชายคนกวาดถนน อายุเท่ากับเกริก แต่แก่และทรุดโทรมมากกว่า เดินกวาดถนนมา ชายคนนั้นนั่งลงที่ฟุตบาทปาดเหงื่อ สักครู่หนึ่งก็มีเด็กผู้หญิงวัยราว 7 ขวบ อายุเท่ากรรณนรีตอนเด็ก เดินเข้ามาหาแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่หน้าชายคนนั้น ก่อนจะมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ยื่นห่อข้าวให้ สามคนนั่งคุยกัน กินข้าวกันอย่างมีความสุข ชายคนนั้นกอดลูกตลอดเวลา
ภาพิศอึ้งไปในทันที สะท้อนสะเทือนในใจอย่างแรง
“ไม่...ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด” ร้องไห้โฮ เมื่อคิดถึงเรื่องราวครั้งอดีต
เหตุการณ์เมื่อ 10 กว่าปี ก่อน ภาพิศขณะยังเป็นนุดี สาละวนอยู่กับการเลี้ยงลูก ป้อนข้าว ป้อนน้ำให้กรรณนรี ส่วนเด็กชายกาวินทร์อุ้มลูกฟุตบอลเนื้อตัวขะมุกขะมอมวิ่งเข้ามาในบ้าน เสื้อผ้าเลอะดินโคลนไปหมด นุดีร้องลั่น
“ถอดเสื้อผ้าแล้วไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยแก้ว สกปรก ดูสิ...พื้นเพิ้นเปื้อนหมด”
กาวินทร์วิ่งเข้าไปด้านใน ภาพิศป้อนข้าวกรรณนรีต่อ ก่อนหยิบไม้ถูพื้นมาถูบ้าน ท่าทางเหนื่อยล้า
ระหว่างนั้นพิไลผู้เป็นแม่เดินเข้ามา “แต่งงานแล้วชีวิตแกมีอะไรดีมั่งเนี่ยนุดี? วันๆ หัวเหอยุ่งอยู่แต่กับลูก หาความสุขสบายไม่ได้เลย”
พร้อมผู้เป็นพ่อเย้ยหยันผสมโรง “จะสุขได้ยังไง เงินเดือนของไอ้เกริกนิดเดียว อย่าว่าแต่เลี้ยงดูครอบครัวเลย ตัวมันเองยังเอาไม่รอด แก้ว กาวจะโตหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
“จนก็จน...แถมไม่มีความเป็นผู้นำ” พิไลกระซิบ “แม่ว่า แกคิดให้ดีๆ นะนุดี ถ้ามีคนมาให้เป็นหลักยึด แกต้องคว้าเอาไว้ อย่าลืม! หนี้พ่อหนี้แม่ แกก็ยังใช้ไม่หมด ไหนจะลูกจะเต้าอีก” พูดย้ำให้ลูกสาวตระหนัก “คิดดูให้ดีนุดี”
ภาพิศหรือนุดี ทำหน้าครุ่นคิดหนัก
อีกเหตุการณ์ ภายในร้านเสริมสวยเล็กๆ ห้องแถวเก่าๆ ของแฉล้ม นุดีทำผมให้ลูกค้า
แฉล้มเรียกแบบเพื่อนแกมนายจ้าง “นุดี”
นุดีหันมา เห็นแฉล้มยืนอยู่ บุ้ยใบ้ไปที่ถนน “ท่านอารักษ์”
นุดีมองเลยไป เห็นอารักษ์ก้าวลงมาจากรถเบนซ์ อารักษ์ในวันนั้นหล่อ ท่วงทีสง่าสมชายชาติทหาร มาดดูดี อารักษ์ยิ้มมองมา ดวงตาบอกว่าชอบมาก นุดียกมือไหว้ ยิ้มเอียงอาย
ภาพิศดึงตัวเองกลับมา นั่งนิ่งอยู่ในรถ บอกปลอบตัวเอง
“ฉันไม่ผิด ทุกคนย่อมเลือกทางที่ดีที่สุดให้ตัวเอง”
ภาพิศยกแขนปาดน้ำตาก่อนจะขับรถออกไป ไม่สนใจมองครอบครัวคนกวาดถนนแต่อย่างใด
ขณะที่สรวงเดินเข้ามาในบ้าน เห็นสุดาร้องไห้ สรวงพูดเหนื่อยๆ
“คุณแม่ร้องไห้อีกแล้ว”
สุดายื่นหนังสือพิมพ์ให้สรวง ไม่ใช่ สตาร์ อินเทรนด์ “แม่ถูกเขียนด่าอีกแล้ว...หาว่าเป็นเมียหลวงใจยักษ์ แม่ไม่เข้าใจจริงๆ สรวง สังคมทุกวันนี้เป็นอะไร เห็นผิดเป็นชอบกันไปหมด เสื่อม”
อารักษ์เดินเข้ามาทันได้ยินคำพูดของสุดา สองคนสบตากัน สุดาแว๊ดตามนิสัย
“นังเมียน้อยมันไล่ให้มาเอาใบหย่าเหรอคะ”
สรวงปราม “คุณแม่” สรวงหันไปทางอารักษ์ “ผมขอคุยด้วยนะครับคุณพ่อ”
ที่ด้านนอกคฤหาสน์ สรวงเดินตามอารักษ์ออกมา พูดอ้อนวอน
“ผมอยากให้คุณพ่อให้โอกาสคุณแม่”
อารักษ์น้ำเสียงขมขื่น “ที่ผ่านมา พ่อให้โอกาสแม่มากพอแล้ว สรวงคงไม่รู้ที่ผ่านมา...” ท่าทีมีเลศนัย “แม่เค้าทำอะไรภาพิศบ้าง”
สรวงเสียงอ่อน “คุณพ่อก็น่าจะรู้ คุณแม่ทำอย่างนั้นทำไม? ผมจะไม่พูดว่าใครถูกใครผิด แต่เรื่องนี้ทุกคนเจ็บทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่...ผม..ภาพิศ ครอบครัวของเค้าอีก”
อารักษ์หันมาจ้องหน้าสรวงทันที สรวงบอกด้วยท่าทีสลดไม่ได้ก้าวร้าว และไม่ได้ตั้งใจฟ้อง
“วันนี้ผมเห็นภาพิศไปที่บ้านเค้า”
ดวงตาของอารักษ์เบิกกว้าง ส่อแววไม่พอใจ สรวงไม่ได้สังเกต
“แล้วผมก็เห็น...ครอบครัวเค้า มีแต่ความทุกข์ใจ คุณพ่อให้โอกาสคุณแม่นะครับ กลับมาสร้างครอบครัวกันใหม่ ภาพิศเองก็จะได้กลับไปหาครอบครัวเค้าด้วย”
“แม่แกบอกให้แกมาพูดรึไง?”
“เปล่าครับ”
“แล้วภาพิศเค้าบอกเหรอว่าอยากไปจากฉัน” อารักษ์ย้อนถาม
สรวงฉุน เริ่มขึ้นเสียงอย่างถือดี “ไม่มีใครบอกหรอกครับ แต่สิ่งที่ผมพูด มันคือความถูกต้อง”
“ความถูกต้องคือความพอใจของฉัน และฉันก็พอใจที่จะอยู่กับภาพิศ ไม่ใช่แม่แก”
สรวงผิดหวังมาก อารักษ์เดินออกไปอีกด้าน
สุดายืนร้องไห้อยู่ที่ด้านหลังสองคน จากด้านในบ้าน ท่าทางเหนื่อยล้าโรยแรง ไม่มีแรงที่จะอาละวาดแม้แต่นิดเดียว
[ต่อจากตอนที่แล้ว]
กลางดึกคืนนั้นสุดานั่งร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างเดียวดาย ขณะคุยโทรศัพท์ไป ปลายสายคือสุขฤทัย ซึ่งยามนั้นอยู่ในผับ
“ค่ะ...” สุขฤทัยตะโกนดังๆ เพื่อให้เพื่อนในโต๊ะได้ยินด้วยอวดโอ้ “คุณหญิงแม่”
“ฤทัยอยู่ไหน?”
“คุยงานอยู่ค่ะ...มีคนติดต่อฤทัยให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ คุณหญิงแม่มีอะไรคะ”
สุดาเสียงแห้งโหย “คุณพ่อขอหย่ากับแม่”
สุขฤทัยตกใจ “อะไรนะคะ?”
สุดาปล่อยโฮร้องไห้แบบยั้งอารมณ์ไม่อยู่ “คุณพ่อ..ท่านขอหย่าแม่แล้ว”
สุขฤทัยหน้าตื่นตกใจ สงสารคุณหญิงสุดาจับใจ
ภายในผับแห่งนั้นสุขฤทัยวางสายไป ก่อนจะหันมาคุยกับเพื่อนอย่างมีอารมณ์
“นังภาพิศนี่มันร้ายจริงๆ”
กาวินทร์ที่นั่งดื่มอยู่ข้างๆ หันขวับ มองจ้อง โดยที่สุขฤทัยไม่รู้ตัว ยังพูดพ่นวาจาด่าทอต่อ
“มารยาสาไถยจนท่านอารักษ์ขอหย่าคุณหญิงสุดา...คนอะไรหน้าด้าน ทั้งเลว ทั้งร้าย ที่น่าเจ็บใจคือพวก สตาร์อินเทรนด์ ยังเข้าข้างมันอีก อย่างว่า...คงเป็นเมียน้อย ลูกเมียน้อย ไม่ก็มีเมียน้อยกันทั้งสำนักพิมพ์ ยิ่งนังนักข่าวที่ชื่อกรรณรี อนาคตเมียน้อยเห็นๆ ถึงได้เข้าข้างนังภาพิศ ขนาดนั้นน่ะ”
กาวินทร์กำมือแน่น พูดแทรกขึ้นมาลอยๆ “คนที่พูดก็อนาคตเมียน้อย”
สุขฤทัยหันขวับมามองทั้งตกใจระคนแปลกใจ “เรื่องอะไรมาว่าฉัน”
“ก็ปากพล่อยๆ ดูถูกคนอื่นแบบนี้ ไม่มีผู้ชายคนไหน เค้ายกให้เป็นเมียแต่งหรอก อย่างดีก็เมียน้อย เมียเก็บ เมียคืนเดียว” กาวินทร์จัดเต็มให้สาวไฮโซปากร้าย
“ไอ้...” สุขฤทัยยกแก้วบนโต๊ะสาดน้ำใส่หน้ากาวินทร์ ทันที
กาวินทร์มองกร้าว จะถลันเข้าใส่ มาลินีวิ่งเข้ามาร้องกรี๊ด ฉุดมือเอาไว้
“อย่าพี่แก้ว”
สุขฤทัยจ้องหน้ากาวินทร์มองท้าทาย พร้อมกับคว้ามือรุ่นพี่ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ มาประกบ ทำท่าก๋ากั๋นสุดๆ บอกกาวินทร์
“อย่ามีเรื่องกับพวกเราจะดีกว่า”
“คงงั้น....เพราะเค้าบอก หมาเห่าอย่าเห่าตอบ ไม่งั้นจะมีหมาเพิ่มอีกตัว”
กาวินทร์พูดจบก็เดินออกไป มาลินีรีบตาม สุขฤทัยมองตามอย่างโกรธเกรี้ยว
“ฤทัยไม่ยอมนะคะพี่”
รุ่นพี่ชายมาดกร่างคนนั้นมองตามกาวินทร์แววตาดุดัน
ขณะที่กาวินทร์จะเดินออกจากผับกับมาลินี จู่ๆ กาวินทร์ถูกกระชากไหล่อย่างแรง
“เฮ้ย”
กาวินทร์ร้องลั่น เสียหลักซวนเซไป และกาวินทร์ก็ร้องได้แค่นี้เมื่อถูกพรรคพวกของสุขฤทัยอัดเข้าที่ท้องและอีกหลายหมัดจนล้มทรุดลงไปกอง มาลินีได้แต่ร้องกรี๊ดๆ ตกใจเข้าไปประคองกาวินทร์ ขณะที่สุขฤทัยเดินออกมาพร้อมกับพรรคพวก วางท่ากร่างเยาะเย้ยใส่
“บอกแล้วว่าอย่ามีเรื่องกับพวกเรา”
พูดจบฤทัยก็เดินลอยหน้าลอยตา ผ่านกาวินทร์กับมาลินีออกไปด้วยท่วงท่าราวกับนางพญา
ที่หน้าร้านสะดวกซื้อเวลาต่อมา มาลินีซื้อยามาทำแผลให้กาวินทร์ พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“มดเคยเตือนพี่แก้วหลายครั้งแล้ว อย่าใจร้อน”
“จะไม่ให้พี่เดือดได้ยังไง ยัยเบื๊อกนั่น ด่าทั้งแม่ ด่าทั้งกาว”
“ก็เค้าไม่รู้...ว่าพี่แก้ว เป็นพี่ของกาว เป็นลูกของ..คุณภาพิศ”
กาวินทร์แย้ง “แต่หล่อนก็พูดเกินไป เรื่องอะไร มาด่าคนอื่นฉอดๆๆๆ”
“เราห้ามคนนินทาไม่ได้หรอกพี่แก้ว” มาลินีเสียงอ่อยๆ “แล้วข่าวของคุณภาพิศตอนนี้ก็ดังทั่วบ้านทั่วเมือง จะห้ามคนวิจารณ์ไม่ได้หรอก”
“มันก็จริง...ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะแม่..แม่ทำตัวเองไม่พอ ยังทำให้กาวถูกด่าอีก” กาวินทร์พูดอย่างขื่นขม
ภาพิศอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แต่ดวงหน้ายังเศร้าหมองอยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือดัง ทันทีที่กดรับ เสียงของอารักษ์ก็แผดดังขึ้นแบบเคร่งเข้ม และวางอำนาจ
“พรุ่งนี้เธออย่าออกไปไหน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
เช้าวันต่อมานายพลอารักษ์ถามภาพิศเสียงเครียด “เธอไปบ้านเก่าของเธอมาใช่มั้ย?”
“ภาก็แค่...อยากไปหาลูก”
อารักษ์เสียงเข้ม “แต่ฉันเคยสั่งเธอแล้ว ฉันไม่ให้เธอติดต่อคนบ้านนั้นอีกไม่ว่าใครก็ตาม”
“ภาก็ไม่เคยขัดคำสั่งคุณพี่...แต่พอเห็นคุณสรวง...ทำให้ภาอดคิดถึงลูกไม่ได้”
อารักษ์ทวนความจำให้ “ในเมื่อวันนั้นเธอรับเงื่อนไขฉันทุกอย่าง มาถึงวันนี้ไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งนั้นภาพิศ เธอไม่มีสิทธิ์คิดถึงใคร คำสั่งก็คือคำสั่ง”
“งั้น...คุณพี่ก็มีลูกกับภาสิคะ....ภาอยากมีลูก...ลูกของคุณพี่”
คราวนี้อารักษ์นิ่ง สีหน้าอ่อนลง ภาพิศเข้ามากอดอ้อนอารักษ์ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็แอบกดโทรศัพท์ เห็นปลายสายเป็นเบอร์ของสุดา
“นะคะคุณพี่....ภาอยากมีลูก ภาเหงา.. ทุกวันนี้ คุณพี่แทบไม่มีเวลาให้กับภาเลย”
“ถ้ามีลูก...ภาจะไม่ไปจากพี่ใช่มั้ย?”
ภาพิศยิ้มอ้อน “ค่ะ...ภาจะไม่ไปจากคุณพี่ ถ้าเรามีลูกด้วยกัน”
ภาพิศสวมกอดอารักษ์แนบแน่น อารักษ์กอดตอบ
คุณหญิงสุดาได้ยินทุกอย่างมือสั่นระริก ดวงตาฉายโชนเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นคู่นั้นไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว
สุขฤทัยแวะมาเยี่ยม กุมมือสุดาแน่นปลอบประโลม สุดาบอกด้วยเสียงเครือสั่น เหมือนพยายามข่มอารมณ์เต็มที่
“ตอนแรกน้าว่าจะหย่า แต่ตอนนี้น้าตัดสินใจแล้ว จะเป็นจะตายก็ไม่หย่า”
“ดีแล้วค่ะคุณน้า ไม่ต้องหย่า ปล่อยให้คำว่าเมียน้อย เมียเก็บ ติดอยู่บนหน้าผากนังภาพิศไปจนตายนั่นแหละ”
“ตัวมันคนเดียวไม่พอ มันยังคิดจะมามีลูก” สุดาเปรยใบหน้าหมอง
“นังภาพิศมันชอบใช้มารยา คุณน้าก็ต้องใช้มั่งค่ะ” สุขฤทัยเสี้ยม
“น้าเป็นคนตรงๆ ไม่มารยาสาไถย น้าทำไม่ได้หรอก” สุดาบอก
“ได้ไม่ได้ก็ต้องทำค่ะ...” สุขฤทัยมองสุดา “คิดว่ามันเป็นเกมสิคะคุณน้า วัดกึ๋นกัน ใครฉลาด คนนั้นชนะ มันชอบยั่วคุณน้า เดี๋ยวฤทัยจะยั่วมันเอง”
ภาพิศกอดประจบอารักษ์ขณะเดินมาส่งที่รถ
“พี่ไปก่อนนะ มีธุระ”
“หวังว่า...เราจะมีข่าวดีเร็วๆ นะคะ”
“จ้ะ”
อารักษ์ขับรถออกไป
สรวงหลบมุมอยู่หน้าประตู พอรถอารักษ์ออกมาสรวงก็รีบหลบอย่างรวดเร็ว รอจนรถอารักษ์แล่นหายไป
น้อยกับเมตตี้จะปิดประตู สรวงเอามือผลักเข้าไป สองคนมองหน้าสรวง ไม่กล้าหือซักแอะ
ภาพิศจะเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้ามีความสุข เสียงมือถือดัง ภาพิศมอง
“เบอร์ใคร” รับสาย “สวัสดีค่ะ”
สุขฤทัยนั่งอยู่กับสุดา รีบถามทันที
สุขฤทัยเน้น “คุณป้า...คุณพี่ออกมาหรือยังคะ”
ภาพิศงง “คุณโทร.ผิดนะคะ” จะวางสาย
สุขฤทัยรีบบอก “ยะ..ยะอย่าเพิ่งวางสายค่า..หนูไม่ได้โทร.ผิด....นั่นคุณป้าภาพิศใช่มั้ยคะ?” ภาพิศตาวาว “คือว่า..คุณพี่อารักษ์บอกหนูว่าจะแวะมาคุยธุระกับคุณป้าแล้วจะรีบมาหาหนู ตกลง..คุณพี่ออกมาหรือยังคะคุณป้า”
ภาพิศโกรธตัวสั่นแต่คุมอารมณ์ แค่นยิ้มพูดย้อน “ถ้าหนูเป็นคนสนิทขนาดนี้ ก็ต้องมีเบอร์ของ
ท่านสิจ้ะ จะโทร.มาหาฉันทำไม”
สุขฤทัยหน้าตาเลิ่กลั่ก มองสุดา มือถือเปิดเสียงสนทนา สุดาได้ยิน สุขฤทัยทำท่าเอาไง
“ก็เผื่อคุณป้า จะมารยาสาไถยไม่ให้คุณพี่ออกมานะสิคะ”
ภาพิศหัวเราะ “ก็ตรงนั้นมันคือเสน่ห์ของป้าที่ทำให้ท่านไปไหนไม่รอดนะสิจ้ะ แต่หนูอุตส่าห์หน้าด้านโทร.มาตาม เอาเป็นว่าป้าเห็นใจ” แกล้งพูดอ้อน “คุณพี่ขา..อีหนูโทร.มาตามให้ไปช่วยส่งเสียค่าเรียน คุณพี่สงเคราะห์ให้ไปซักห้าร้อย ซักพันพอนะคะ เพราะแค่นี้ก็ถือว่ามากสำหรับอีหนูพวกนี้แล้วล่ะค่ะ”
ภาพิศตัดสาย นัยน์ตาวาวโรจน์ ไม่ทันได้ยินเสียงกรี๊ดของสุดากับสุขฤทัย
สุขฤทัยร้องกรี๊ดๆๆๆ เนื้อตัวสั่น พูดแทบฟังไม่ได้ศัพท์
“คุณน้า...มัน...มันด่าฤทัย ค่าตัวแค่ร้อย แค่พัน”
“แหงล่ะสิ เด็กมันได้ร้อยได้พัน เพราะมันไม่มีมารยา ไม่เหมือนแม่ม่ายลูกติดที่มีเทคนิคแพรพราว ท่านเลยเสียให้จนจะหมดเนื้อหมดตัว”
“นังภาพิศมันร้ายมาก”
“ไม่ใช่แค่ร้าย เลวได้โล่” สุดาคำรามในลำคอ
ภาพิศดวงตากร้าว โกรธขึ้ง อารมณ์กรุ่นๆ จะเดินเข้าข้างใน สรวงอยู่ด้านหลังปรบมือให้
“มิน่า... รู้ใจผู้ชายขนาดนี้ คุณพ่อถึงไปไหนไม่รอด”
“รวมทั้งคุณสรวงด้วยหรือเปล่าคะ? ถึงได้เทียวมาหาฉันอยู่บ่อยๆ
“อย่าพูดอะไรน่ารังเกียจภาพิศ ฉันขยะแขยง”
“งั้นก็อย่ามาสิคะ. .พ่อออกไป ลูกเข้ามา..จะให้ฉันเข้าใจว่ายังไง” เดินเข้าบ้านไป
สรวงตาม “มีความสุขมากใช่มั้ยที่ทำแบบนี้”
ภาพิศหันมามอง สรวงว่าต่อ
“แต่ที่ฉันเห็นมันไม่ใช่....ทั้งลูก ทั้งสามีเก่าเธอ รวมทั้งเธอเองไม่มีใครมีความสุข เลิกจุดไฟเผาตัวเอง รวมทั้งคนรอบข้างซักที”
“ว่าฉันจุดไฟ แล้วทำไมคุณถึงก้าวเข้ามาล่ะ? อย่ามายุ่งกับฉันดีกว่าคุณสรวง ไม่อย่างนั้นฉันจะเข้าใจว่าคุณหึงฉันนะคะ”
“ฉันไม่รู้จะพูดกับเธอยังไงจริงๆ” สรวงได้แต่โมโห มองภาพิศอย่างเข้นเขี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินกลับไป
ภาพิศมองตามด้วยแววตายิ้มเย้ย แต่กลับดูขมขื่นเหลือแสน
หัวค่ำวันนั้น ภาพิศทำกับข้าวอยู่ในครัวกับแฉล้มท่าทีผ่อนคลายสบายๆ จังหวะหนึ่งแฉล้มหัวเราะ หลังฟังเรื่องราวจบ
“โห! คุณพูดดักอย่างนั้น คุณสรวงไม่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปเลยเหรอคะ”
“ดี...จะได้ไม่มายุ่งกับฉันอีก”
“ไม่ยุ่งไม่ได้หรอกค่ะ ยิ่งต่อไป คุณมีลูกกับท่านอารักษ์ คุณสรวงยิ่งต้องเข้ามายุ่ง เพราะมันหมายถึงมรดกที่จะตกถึงคุณสรวง ถูกแบ่งครึ่งทันที” แฉล้มเอื้อนเอ่ยชี้แนะ
ภาพิศผุดยิ้มร้ายตรงมุมปาก ดวงตาบ่งบอกว่าพอใจยิ่งนัก
โปรดติดตาม "ไฟมาร" ตอนต่อไป