สาวน้อย ตอนที่ ๙
เชิดยืนกำหมัด เสียมนั่งจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นมองเชิดอย่างงุนงง นิดทรุดตัวลงประคองเสียม
“พี่เชิดนี่อะไรกัน”
นิดมองเชิดอย่างผิดหวังและตำหนิ เชิดนิ่งอึ้งแววตาเจ็บปวดแล้วชี้หน้าเสียม
“ไอ้เสียม”
“พี่เชิดอย่านะจ๊ะ นิดขอร้อง”
นิดเสียงอ่อนลงแต่ดวงตายังคงเจิดจ้าไม่ยอมลง เชิดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะผ่อนดวงตาให้อ่อนแสงและลดมือลง เนื่องก้าวมาตบไหล่เชิด
“พอๆ ไอ้เชิด”
“พอที พี่เชิดไหนบอกนายเสียมเป็นผู้มีพระคุณไง” แก้วบอก
เชิดนั่งอั้น ดวงตาสับสนมองดูเสียมที่มองตอบด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจ เชิดน้ำตาคลอแล้วผลุนผลันหันหลังก้าวเดินไป นิดประคองเสียมลุกขึ้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น เชิดโกรธฉันเรื่องอะไรฉันงงไปหมดแล้ว”
“ไม่ใช่แค่ไอ้เชิดหรอก” เนื่องบอก
เนื่องแสดงชัดเจนว่าโกรธ เย็นชาแล้วเดินออกไปอีกคน เสียมกับนิดยิ่งตกใจ
“แก้วนี่มันเรื่องอะไร” นิดถาม
“แกกับนายเสียมทำอะไรลงไปให้เป็นขี้ปากคนก็ไปนึกดูเองก็แล้วกัน”
เสียมก้มกราบลงแทบเท้านางนิ่มที่นั่งห้อยขาอยู่ที่ชานเรือนโดยมีเนื่องนั่งอยู่ด้านหลัง ผนังด้านหลังมีรูปสาวน้อยติดเด่นอยู่ นางนิ่มมองเสียมแล้วถอนใจ
“ลุกขึ้นเถอะเสียม”
เสียมเงยหน้าขึ้นมองนางนิ่ม
“ฉันขอโทษแม่นิ่ม ฉันมันไม่มีความคิด คิดแต่ว่าฉันกับนิดรักกันจนลืมนึกถึงเกียรติ ถึงชื่อเสียงของนิด แต่ฉันรับรองว่าเราสองคนไม่มีอะไรเกินเลย”
เนื่องมองเสียมแล้วมองดูแม่
“แม่รู้ พ่อเสียม แต่ปากคนน่ะมันยาวกว่าปากกา”
“ยิ่งปากยายแสกับอีทับทิมด้วยแล้ว” เนื่องว่า
“เนื่องยกโทษให้ฉันด้วย”
“ข้าไม่ได้ถือโทษอะไรเอ็งไอ้เสียม ข้าเห็นเอ็งมาเกือบห้าเดือน ข้าแน่ใจว่าเอ็งเป็นคนดี”
เสียมยิ้ม
“ในเมื่อเสียมกับนิดรักกัน แม่ก็ไม่หวงไม่ห้าม ขอแต่อย่าให้เป็นขี้ปากคนอีก”
“ฉันรับปาก ฉันจะไม่ทำอะไรให้นิดเสียใจเป็นอันขาด”
“ก็ดี...คบหาดูใจกันไปก่อน”
เสียมนิ่งฟังแล้วตัดสินใจ
“แต่ฉันกับนิดเข้าใจกันถ่องแท้แล้วจ้ะ ฉันไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว”
“หา! หมายความว่ายังไง” นางนิ่มถาม
“แม่นิ่มจ๋า ฉันไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่มีทรัพย์สินเงินทองที่ไหน ฉันมีแต่ตัวที่ยอมตายได้เพื่อนิด มีสองมือที่ทำทุกอย่างได้เพื่อนิด”
“นั่นก็มากมายเกินพอแล้ว”
“แม่นิ่มจ๋า ฉันอยากจะแต่งงานกับนิด”
เวลากลางคืนในห้องนอนนิด นิดนั่งอยู่บนพื้นห่างจากประตูราว ๒ ศอก หน้าแดง กัดริมฝีปาก ที่ประตูแง้มไว้นิดนหนึ่ง แก้วเอาตาแนบดูออกไปที่นอกชาน หูกระดิกฟังความ พลางถ่ายถอดมาที่นิด
“แล้วแม่ตอบว่ายังไง” นิดถาม
แก้วไม่หันมาแต่บอกว่า
“ก็ไม่เห็นว่ายังไงนอกจากพยักหน้า”
“พี่แล้วพี่เนื่องล่ะ”
“ก็เห็นแต่หัวร่อแล้วตบหลังตบไหล่นายเสียม”
แก้วหันมาจากประตูมองดูนิดหน้าระเรื่อแดง พยายามกลั้นยิ้มแต่ตาเป็นประกาย
“แล้วแกล่ะว่ายังไง” แก้วถาม
“ไม่รู้ซี คงต้องตามใจแม่มั๊ง”
นิดหน้าเบ้ขยับมาจนชิด และมองอย่างคาดคั้นแถมแกล้งพูดข่มขู่นิดอีกต่างหาก
“แกจะแต่งกับนายเสียมจริงเหรอ แกยังเด็กอยู่เลยนะ”
“ตอนแม่แต่งกับพ่อ แม่เด็กกว่าฉันอีก” นิดบอก
“แกทิ้งฉันไปแต่งงานแล้วฉันจะเล่นกับใครล่ะ”
“แต่ฉันก็ยังเป็นเพื่อนแก้วอยู่นะ”
“ไม่จริงหรอก แกแต่งงานไปแกจะมาเล่นกับฉันได้ยังไง แกต้องเล่นกับนายเสียมต่างหาก”
“นี่ อย่ามาพูดบ้าๆ นะ”
นิดร้องอุทานแล้วตีแก้วเผียะ แก้วเลิกแกล้งทำเสียงจริงจัง หัวเราะคิกคัก
“ฉันพูดเรื่องจริงต่างหาก”
“ถ้าแก้วกลัวเหงาก็แต่งบ้างซี”
แก้วหน้าหม่นวูบหนึ่งแล้วเชิดหน้า
“ใครที่ไหนจะมาแต่งกับฉัน ไม่มีใครชอบฉัน ฉันก็ไม่เห็นจะชอบใครซักคน”
“แก้วโกหกแล้วล่ะ”
แก้วหน้าซีดแล้วเขินอายจนหน้าแดง นิดกุมมือแก้วเอาไว้
“ฉันรู้มาตั้งนานแล้ว มันเห็นชัดจะตายไป เห็นชัดกว่าเรื่องที่เชิดชอบฉันด้วยซ้ำ”
แก้วเอามือปิดหน้าด้วยความอาย
“ไม่เอา ไม่เอา ไม่พูดเรื่องฉันพูดเรื่องแกเถอะ”
นิดอมยิ้มขยับกายไปเมียงมองที่ประตูห้องบ้าง
บริเวณชายทะเลของวันใหม่ในช่วงกลางวัน เชิดกำลังตากแหอยู่ด้วยใบหน้าเครียดขรึม ดวงตาปวดร้าว นิดก้าวมาช้าๆ ทางด้านหลังมองเชิดอย่างเห็นใจ เชิดรู้สึกตัวว่ามีใครมองอยู่จึงหันไป นิดยิ้มตอบอย่างปลอบประโลมมาที่เชิด
“นิดหายโกรธพี่แล้วหรือ”
“นิดไม่ได้โกรธพี่ เพียงแต่ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า พี่ทำลงไปเพราะอยากปกป้องนิด”
“พี่มันคนอย่างนี้แหละแก้ไม่หายซักที”
เชิดนิ่งไปอย่างลังเลแล้วตัดสินใจพูด
“เสียมคงโกรธพี่มาก”
“นิดไม่เคยเห็นพี่เสียมโกรธใครเลยแม้แต่ไอ้แม้น”
เชิดถอนใจ นิดก้าวไปกุมมือเชิดไว้
“พี่เชิดจ๋า พี่เชิดรู้ข่าวแล้วใช่ไหม”
“พี่ดีใจด้วย เจ้าเสียมมันเป็นคนดีเหมาะสมกับนิดที่สุด”
“พี่เชิดไม่โกรธนิดใช่ไหมจ๊ะ”
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่ต้องโกรธนิด ไม่ว่ายังไง นิดก็คือน้องสาวที่พี่จะคอยดูแลตลอดไป”
นิดยิ้มอย่างยินดี เชิดดึงนิดมานั่งบนเรือที่คว่ำไว้แล้วปล่อยมือ
“แต่พี่เองก็ยังไม่สบายใจ”
“ทำไมหรือจ๊ะ”
“เสียมมันเป็นคนต่างถิ่นจำความหลังอะไรไม่ได้ ไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้า ถ้าภายหน้ามันเกิดจำได้ขึ้นมา มันก็ต้องกลับบ้าน .. มันอาจจะมีลูกมีเมียอยู่ที่บ้านแล้วก็ได้”
นิดอึ้งไปแต่ความสุขใจมีมากกว่า
“นิดก็ได้แต่หวังว่า มันคงไม่เป็นอย่างนั้น”
“แต่ถ้ามันเป็นจริงล่ะนิดจะเป็นยังไง”
นิดนิ่ง ความกังวลมีแค่เศษเสี้ยวของใจเทียบไม่ได้กับความสุข เชิดมองแล้วสงสารจึงหยุดพูด
“เอาล่ะ พี่เข้าใจแล้ว พี่คิดมากไปเอง ความสุขของพี่ก็คือเห็นนิดมีความสุข ไอ้เสียมคงทำให้นิดมีความสุขที่สุด พี่ดีใจด้วยจริงๆ”
วัดเชิงหาดในวันพระ มีคนมาทำบุญพอสมควรที่ศาลาการเปรียญมีคนมาทำบุญเลี้ยงพระเพล บนยกพื้น พระสงฆ์กับเณรตั้งวงฉันอยู่ ๒ วง มีมรรคทายก อุบาสกคอยรับใช้ ประเคน และชวนพูดคุย ส่วนบรรดาญาติโยมที่นั่งอยู่เบื้องล่างก็ซุบซิบฆ่าเวลากันอยู่
แม่ใบซึ่งยังดูทรุดโทรมจากอาการไข้พูดขึ้น
“ฉันดีใจด้วย แม่นิ่ม เจ้าเสียมน่ะมันทั้งดี ทั้งเก่ง ทั้งขยัน”
นางแสนั่งแขวะอยู่
“วุ้ย ทีแรก คิดว่าจะได้ผัวขุนนางรางน้ำ ลงท้ายก็แค่จับกัง
“แต่งกันก็ดี บ้านเราจะได้มีงานครึกครื้นบ้าง” นางใบว่า
“ที่แต่งน่ะคงไม่ใช่กระไรหรอก คงอีลุ๊บตุ๊บป่องขึ้นมาเป็นแน่” นางแสบอก
“เดี๋ยวก็ขอฤกษ์ขอยามกับหลวงพ่อซะเลยซี แม่นิ่ม” นางใบบอก
“ถ้าขืนรอช้าล่ะก้อ แต่งไปไม่ทันกี่เดือน เด็กคงแว้ออกมาเป็นแน่” นางแสว่า
สองคน สองวงและสองมุมคุยกันในเรื่องเดียวกันแต่แตกต่างความเห็นกันสุดขั้ว ที่ด้านหนึ่งของศาลา นางนิ่ม ใบ และชาวบ้านชายหญิงท่าทางใจบุญใจกุศลตั้งวงกันอยู่วงหนึ่ง ส่วนอีกด้านของศาลา นางแสตั้งวงอยู่กับชาวบ้านชายหญิงที่เปี่ยมล้นไปด้วยอกุศลจิตไม่ข้องเกี่ยวกันเลย
“แล้วนี่ยังไงล่ะแม่นิ่ม จะแต่งเขยเข้าบ้านหรือจะให้แยกครัวออกไป” นางใบถาม
“โอ้ย ยังไม่ได้พูดได้จากันเลยว่าจะยังไง” นางนิ่มบอก
เสียงนางแสดังแว่วข้ามศาลามา
“มันก็ข้าอยู่ในเรือนเหมือนกับพร้า แต่กลัวจะเข้าผิดห้องไปเข้าห้องแม่ยายเข้าล่ะก้อ .. วุ๊ย จากขี้ข้าได้เป็นพระยาแน่”
“พระยาอะไรหรือแม่แส” ชายคนหนึ่งถาม
“ก็พระยาเทครัวไงเล๊า”
วงนางแสเสียงฮือฮาเฮลั่นขึ้น นางนิ่มชะงักหน้าตึงขึ้นทันทีและหันขวับไปอย่างเอาเรื่อง นางแสมองมาอย่างท้าทาย
เสียงฆ้องดังจนทุกคนชะงัก หันไปเห็นหลวงพ่อเจ้าอาวาสมองส่งสายตามองมาอย่างเซ็งๆ
“เอ้า จะสัพพีแล้วจะรับพรกันไหม”
นางแสยิ้มกะเรี่ยกะราด ทุกคนทำหน้าเก้อกัน หลวงพ่อเปรย
“มาทำบุญ ... แต่จะได้บุญกันไหมนี่”
นางนิ่มยิ้มสะใจ นางแสค้อนขวับ
บรรยากาศเกาะสีชังยามบ่าย บรรยากาศดูรื่นรมย์ นางนิ่มปักผ้าอยู่บนเก้าอี้ เสียม เนื่อง นิด แก้วนั่งอยู่ที่พื้น ตรงหน้ามีถาดวางเครื่องเมี่ยงคำ นิดห่อเมี่ยงส่งให้เสียม แก้วห่อให้เนื่อง
“แม่นิ่มจ๋า .. ฉันอยากแต่งงานเลยได้ไหมจ๊ะ” เสียมถาม
นิดถึงหน้าแดง นางนิ่มทิ้งผ้าลงร้อง
“ไฮ้ ไม่ได้ ไม่ใช่นางเมรี (๑) นะ”
แก้วได้ยินเรื่องนิทานก็หูผึ่งทันที
“หา นางเมรีขี้เมาน่ะหรือ น้า”
“ใช่ ก็ตอนนางยักษ์ให้พระรถถือหนังสือไปถึงนางเมรีว่า ถึงตอนไหนให้ฆ่าตอนนั้น ฤาษีสงสารเลยแปลงสารซะ นางเมรีเปิดหนังสือดู ก็เลยกลายเป็น”
“เป็นยังไงแม่” เนื่องถาม
“ถึงกลางวันให้แต่งแต่กลางวัน อย่าให้ทันเย็นย่ำสุรีย์ศรี
ถึงกลางคืนให้แต่งในราตรี นี่คือพระสามีแม่ประทาน”
แก้วหัวเราะคิก เนื่องชอบใจ
“ก็เลยเสร็จ” แก้วว่า
นิดมองค้อนเพื่อน เนื่องทำหน้าเบ้ทำนองว่าไม่เป็นกุลสตรี แก้วอารมณ์เสียเลิกห่อเมี่ยงให้เนื่อง
“เชอะ อย่ากินเลย”
“ทำเองก็ได้วะ”
เสียมยังอ้อนวอน
“โธ่ แม่นิ่ม ฉันพูดจริงๆ นะ”
“แม่ก็พูดจริงๆเหมือนกันว่าไม่ได้ ต้องรอซักสองเดือน”
“อุ๊ย ฉันรู้แล้ว ถ้ารีบร้อนแต่ง คนเขาจะลือว่านิดมันท้อง” แก้วว่า
“นี่แน่ พูดอะไร”
นิดลืมตาโพลงตีแก้วดัง เผียะ! เสียมถึงกับหน้าแดงไปด้วย เนื่องสำลักเมี่ยง พรวด! นางนิ่มสะดุ้งเฮือก
“ไม่ใช่ แต่งงานน่ะมันเรื่องใหญ่ ต้องเตรียมงานเตรียมการให้ดี”
“เราไม่ใช่พวกคนรวยพวกผู้ลากมากดี ไม่เห็นจะต้องจัดงานใหญ่โตเลย”
“จริงๆ นะแม่ ถ้าเตรียมงานจริง เดือนเดียวก็พอถมไป” เนื่องบอก
นิ่มพยักหน้า เสียมยิ้มออกหันมามองนิดที่กำลังมองค้อนให้
“ฉันมาคิดดูแล้ว ตอนนี้ถ้าฉันมาอยู่ในเรือนต่อไปก็คงไม่เหมาะ”
นางนิ่มตาสว่างวาบ ได้ทีเลยรีบรวบรัด
“พ่อคู๊ณพูดเหมือนใจ แล้วพ่อเสียมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะจ๊ะ”
“ฉันจะปลูกบ้านจะได้ใช้เป็นเรือนหอด้วย”
“ที่ทางเราเยอะแยะ เอ็งอยากปลูกตรงไหนล่ะ” เนื่องว่า
“ฉันเลือกเอาไว้แล้วล่ะ เนื่อง”
เสียมยิ้มอย่างมีความสุข
บนเกาะวิมานน้อย ดอกไม้ยังออกดอกสะพรั่ง นิดยืนอยู่ตรงลานหิน เสียมอยู่บนชั้นหินที่สูงขึ้นไป
“ตัวบ้านอยู่ตรงนี้” เสียมบอก
“จะไหวหรือจ๊ะ เสาบางต้น เราคงต้องเจาะหินลงไป”
“ดีซี บ้านจะได้มั่นคง .. เหมือนหัวใจพี่”
นิดอมยิ้มแววตาขบขัน เพราะเสียมไม่เคยพูดเกี้ยวมาก่อน
“พี่เสียมวันนี้ช่างพูดจริง”
“หันหน้าบ้านไปทางนี้จะได้รับลมตลอดวัน ชีวิตของเราจะได้ร่มเย็น”
“แล้วพอพายุมาก็จะเกินเย็นเพราะบ้านอาจจะปลิวตามลมไปทั้งหลัง”
เสียมกระโดดมาใกล้ๆนิด ตายังคงมองแนวหินตรงหน้า
“งั้นก็ต้องลงเสาให้แข็งแรงที่สุด ตัวบ้านและหลังคาก็ต้องทำให้แข็งแรงมากๆ แนวหินตรงนั้นจะเป็นขั้นบันไดธรรมชาติ ตรงนั้นพี่จะทำซุ้มไม้เลื้อยไปคลุมหลังคา”
นิดมองเสียมอย่างชื่นชมและเอ็นดู แต่ปากก็จงใจขัด
“อย่างนั้นก็คงต้องขนทั้งดิน ทั้งน้ำจืดมารด”
“พี่ก็ว่าอย่างนั้นแล้วจะหาไม้ดอกสวยๆ มาปลูกเพิ่มอีก”
นิดนั่งลงแล้วเอามือไล้พวกดอกหญ้า แล้วเด็ดดอกต้อยติ่งไร้ค่ามาทัดหู
“แล้วดอกหญ้า ดอกต้อยติ่งพวกนี้ล่ะจ๊ะ”
“ถางออกดีไหมแล้วเอาดอกไม้แปลกๆมาลงแทน”
“อย่านะจ๊ะ เก็บไว้เถอะจ้ะ ถึงมันจะไร้ค่าถึงจะไม่สะสวย แต่มันก็อยู่มาก่อนแล้วทำเกาะนี้ให้สวยที่สุดอย่างเต็มกำลังของมัน”
เสียมห็นชัดถึงจิตใจละเอียดอ่อนของเด็กสาว
“นิดมีใจละเอียดอ่อนกว่าพี่เสียอีก”
“ก็นิดไม่ใช่คนได้ใหม่ลืมเก่าอย่างพี่เสียมนี่จ๊ะ”
เสียมรัดนิดไว้ นิดหน้าแดงด้วยความเขินอาย
“กล้าดียังไงมากล่าวหาพี่”
“ก็ไม่จริงหรือจ๊ะ พี่เสียมบอกว่าจะถางดอกหญ้าทิ้งหมด”
“ใครจะทิ้งดอกหญ้าแสนสวย แสนหอมได้ลง”
เสียมจูบแก้มนิดแล้วขยับตัวออก ทั้งคู๋จับมือกันไว้ เสียมกวาดตาไปรอบๆแล้วบอก
“บ้านนี้จะเป็นวิมานของเรา พี่จะตั้งชื่อเกาะนี้ว่า เกาะวิมานน้อย”
“พี่เสียมตั้งชื่อเป็นอยู่แบบเดียวหรือจ๊ะ เกาะวิมานน้อย รูปภาพสาวน้อย อีกหน่อยก็คงจะเป็น .. เมียน้อย”
นิดหลุดสิ่งที่เคยพูดเล่นกับเชิดซี่งเป็นความกลัวในใจออกมา เสียมหัวเราะ
“นี่นิดอยากให้พี่มีเมียน้อยหรือ”
นิดเม้มปากทำหน้าเชิด ตาวาว
“ต่อให้นิดอนุญาต พี่ก็ไม่มีวันมีสายตาให้ใครอื่นอีก”
ภายในร้านตัดเสื้อหรู สุวลีกำลังใช้มือที่เรียวขาวงามลูบไล้ภาพแฟชั่นชุดเจ้าสาวแบบตะวันตกที่ดูเปรี้ยว เก๋ และหรูหราในแมกกาซีนแบบเสื้อ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแววขมขื่น ลังเล สับสนบางอย่างฉายอยู่บนใบหน้า เธอนั่งอยู่บนโซฟาหรูหรา ตรงหน้ามีโต๊ะกาแฟวางแมกกาซีนอยู่เป็นตั้ง ด้านหน้าร้านมีหุ่นโชว์ เป็นตุ๊กตากระเบื้อง แม้ผมก็เป็นกระเบื้องอยู่ 3 ตัว สองตัวด้านข้างเป็นเสื้อกระโปรงทันสมัยของยุคพ.ศ. ๒๔๘๑ (ค.ศ. ๑๙๓๘) ตัวกลางใส่ชุดเจ้าสาวหรูหรา
ทางด้านใน อนงค์กำลังยืนให้ช่างเสื้อวัดตัว พลางตดลงในสมุดเล่มยาว ส่วนรตีกำลังคลี่ผ้าทาบตัว ส่องกระจกบานสูงอยู่ทางหนึ่ง
“เอว ๒๖” ช่างบอก
“โอ โน ไม่จริง เมื่อคืนยัง ๒๒ อยู่เลย” อนงค์ว่า
ช่างตัดเสื้อตาขุ่นแต่ฝืนยิ้ม รตีกรายลากผ้ามาใกล้แขวะ
“ต๊าย แม่เอวบาง แม่มดตะนอย”
“ก็จริงนี่ยะ เมื่อคืนรับประทานอาหารเหลาไปนิดเดียวก็เลยหน้าขึ้นมานิดนึง”
อนงค์จีบนิ้วให้ดู รตีทำหน้ารังเกียจ อนงค์หันไปหาช่าง
“เดี๋ยวอีกสองวันก็ลงค่ะ ตัด ๒๒ นิ้วนะคะ ไม่งั้นวันหลังต้องเอาเอวเข้าอีกเสียเวลาค่ะ”
“ค่ะ นี่ก็เปลืองเวลาไปเยอะแล้ว” ช่างบอก
ช่างสาวใหญ่พูดแล้วฉีกยิ้ม สองสาวไม่รู้ตัวว่าถูกกัดพากันถลาไปนั่งกับสุวลี
“ต๊าย สุ ดูอะไรอยู่ ว้าย เวดดิ้งเดรส โซ บิ้วติฟูล” อนงค์ว่า
“นี่ นี่ คุณสรรค์เค้านัดวันแต่งงานแล้วหรือ” รตีถาม
รตีมีสีหน้าตื่นเต้น อนงค์ทำหน้าเบ้ สุวลีสะท้านจนเกือบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ฝืนทำเป็นปกติยิ้มนิดๆ
“ยังหรอก แต่ก็ต้องเตรียมตัวไว้ก่อนไม่ใช่หรือ”
อนงค์ดึงมาดูบ้าง
“เหรอ งั้นฉันสองคนก็ต้องเตรียมตัวหาชุดเพื่อนเจ้าสาวแล้วซี”
“เอ นี่ดูเหมือนฉันไม่เจอคุณสรรค์มาสามเดือนแล้วนะ” รตีว่า
“ห้าเดือน ห้าเดือนแล้ว”
สุวลีหลุดปากเสียงสั่นแล้วก็ทำปกติอีก
“ต๊าย ยังกะคนพรากจากกันถึงขั้นนับวันคอยเลย” รตีบอก
“นี่คงไปราชการหัวเมืองอีกล่ะซี” อนงค์ถาม
สุวลีได้แต่พยักหน้า ธนาก้าวเข้ามาในประตูร้าน สุวลียิ้มให้ธนา สองนางหันไปดู
“สองสาวนี่ยังไม่เสร็จเรื่องเลยค่ะ” สุวลีบอก
“ไม่เป็นไรครับ”
ช่างก้าวเข้ามา อนงค์ส่งหนังสือคืนให้ สุวลีเอาวางไปไว้บนตัก
“คุณคะ เชิญทางนี้อีกทีค่ะ”
อนงค์กับรตีระริกระรี้เดินลุกไป สุวลีเชื้อเชิญธนานั่งลง
“อีกประเดี๋ยวก็คงเสร็จแล้วล่ะค่ะ”
“ไม่ว่านานแค่ไหนผมก็รอได้ครับ”
ธนาพูดอย่างมีความหมาย สุวลีหลบสายตาลูบคลำแหวนสรรค์ที่นิ้วมือ ธนามองตาม อึ้งไปนิดนึง นิตยสารบนตักเลื่อนลงตกพื้น สุวลีร้องอุทาน
“ผมขออนุญาตครับ”
ธนาลดตัวลงเก็บหนังสือขึ้น สุวลีมีความรู้สึกว่า ธนาพร้อมจะหมอบราบอยู่แทบเท้า ธนาขยับตัวขึ้นมาบนโซฟาพลางพลิกนิตยสารดู
“คุณสุกำลังดูอะไรอยู่”
ธนามองดูแล้วอึ้งไป สุวลีดึงมาปิดหนังสือลงพร้อมฝืนยิ้ม
“สักวันหนึ่งผมคงได้เห็นคุณสุสวมชุดนี้”
“สุ .. ไม่แน่ใจแล้วค่ะ”
สุวลีน้ำตาเอ่อ ธนามองด้วยแววตาสงสาร
“เรารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เรารู้เรื่องท่าเรือที่สรรค์ไป รู้กระทั่งเรือที่สรรค์เปะปะไปขอทำงานกับเขา แต่แล้วกลับไม่ได้อะไรเพิ่มเติมอีกเลย”
“อย่าเพิ่งร้อนใจเลยครับคุณสุ เราได้ร่องรอยถึงขนาดนี้แล้ว เราต้องเจอคุณสรรค์แน่”
“แต่ถ้าไม่เจอล่ะคะ ถ้าสรรค์ไม่กลับมาอีกเลย สุไม่รู้แล้วว่าสุจะทำยังไงต่อไป”
ธนากุมมือสุวลีไว้
“ไม่ว่ายังไงขอให้คุณสุรู้ว่า คุณสุยังมีผมอยู่ตรงนี้เสมอ”
ธนามองสุวลีอย่างปลอบประโลม สุวลีซาบซึ้งอบอุ่นใจขึ้น อนงค์กับรตีอยู่กับช่างและกำลังถกเถียงเรื่องแบบเสื้อกันวุ่นวาย แบบเสื้อกองเป็นตั้งสูง
“เอาคอถ่วง แล้วผูกโบว์ที่สะเอว” อนงค์บอก
“ว้าย! อุ๊ย ดูนั่น”
ทั้งสองนางกำลังมองดูภาพที่ธนากุมมือสุวลีไว้ สุวลีพูดคล้ายจะขอบใจแล้วดึงมือออก จากนั้นก็พูดคุยกันเป็นปกติ
“อุ๊ย ยังไงกันน้ำตาลใกล้มด” อนงค์ว่า
“อย่าเพิ่งคิดอกุศล .. ต้องค่อยๆ ดูกันต่อไป” รตีบอก
ภายในร้านขายผ้าในตลาดหน้าด่าน แก้วเงยหน้าขึ้นจากนิตยสารแล้วทำหน้าเบ้ เพราะนิตยสารแบบเสื้อที่พลิกดูนั้นเป็นแบบเมื่อ ๒ - ๓ ปีก่อน นิดกำลังดูผ้าอยู่ใกล้ๆ เจ๊เจ้าของร้านก้าวมาดู
“นี่ เจ๊ แบบใหม่ๆ ไม่มีบ้างเหรอ เล่มนี้น่ะเปื่อยเป็นกระดาษเช็ดก้นแล้ว”
เจ๊ค้อนขวับ
“แล้วผ้าในร้านนี่ เห็นมีเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่มีลายใหม่ๆมาเพิ่มบ้างเลย”
“ลื้ออย่ามาทำเรื่องมาก คงสีชังน่ะมีอยู่กี่คงกัง พวกด่างภาษี พวกมาเที่ยวก็หัวสูง ไม่ซื้อร้านอั๊ว ลื้ออยากได้ลีๆ ก็ไปซื้อที่เมืองชง เมืองจัง หรือไม่ก็ไปมั่งก๊ก (๒) ซี”
“ต๊าย คิดว่าอีแก้วไปไม่ได้หรือ”
“พอเถอะแก้ว มาดูนี่ซี ผ้าผืนนี้สวยออก” นิดบอก
แก้วกับเจ๊สะบัดหน้าพรืด ทับทิมเข้ามาทำทีเลือกผ้า แต่หูกางผึ่งเก็บข้อมูล แก้วเข้าไปดูผ้ากับนิดเห็นเข้าจึงทำเป็นจับผ้ามาทาบตัว กรีดกราย
“ต๊าย สวยจังเลย นี่ชุดนี้ตักบาตรเข้า นี่ชุดตอนรดน้ำ นี่ตอนกินเลี้ยง แล้วนี้ ฮิฮิ ตอนส่งตัว”
ทับทิมฟังแล้วลืมตัวขยำผ้าในมือที่ถือดูอยู่ เจ๊ร้องวี๊ด
“ไอ๊หยา อาทับทิม ลื้อมาทึ้งผ้าทำลัย เดี๋ยวแหกไป อั๊วจะให้ลื้อซื้อยกพับ”
ทับทิมค้อนขวับ แก้วกับนิดหันมองดู แก้วทำเป็นเพิ่งเห็นแล้วร้องทักเสียงหวาน
“อ๊าว ทับทิมมาซื้อผ้าตัดเสื้อเหรอ”
“เปล่า มาดูเฉยๆ ซื้อทำไม เสื้อผ้าใหม่ๆ ฉันมีอยู่เต็มตู้”
“เหรอ งั้นก็มีชุดไปงานแต่งนิดแล้วซี”
“ทับทิมต้องไปงานให้ได้นะจ๊ะ” นิดบอก
ทับทิมฝืนยิ้ม ข่มความริษยาเอาไว้แทบไม่มิด
ในเวลาต่อมา ทับทิมนั่งอยู่หลังแผงขายเครื่องสำอางร้องกรี๊ดออกมาสุดเสียง นางแสนั่งสัปหงกอยู่ข้างอ่างกะปิ ผวาตื่น
“แหก!”
บรรดาแม่บ้านที่มาจ่ายของ แม่ค้าแม่ขายริมถนนต่างตกใจมองมาเป็นตาเดียว ทับทิมไม่แคร์คน สะบัดหน้าพรืด ชาวบ้านพากันซุบซิบ
“แหม อี .. อี .. อีเปรตในอบาย มึงเป็นอะไรของมึง” นางแสว่า
“ก็ฉันเจ็บใจ ฉันอุตส่าห์ให้ท่ามานมนาน”
“อุ๊ย ก็คนมันไม่ใช่คู่กัน จะนมนานนมยานมันก็ไม่ได้”
“แต่ฉันเสียดายนี่”
“ใฝ่ต่ำ เสียดมเสียดายอะไรกะแค่กุลี”
ทับทิมนิ่งคิดแล้วเสริมแรงบวกให้ตัวเอง
“ใช่ ถึงจะหล่อ ถึงจะเป็นชาวกรุง แต่ก็เป็นแค่กุลี ฉันน่ะมันต้องได้ดีกว่านี้”
“อุ๊ย คงสีชังก็ไม่เอา คนกรุงก็ไม่ดี กูรู้แล้ว เอานายห้างฝรั่งไหมล่ะ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลกว่าบางกอกอีก ดู๊ พูดถึงก็มาเลย”
นางแสมองออกไปนอกถนน ทับทิมมองตาม เห็นฝรั่งหัวล้าน ตัวกลม แต่งตัวแบบเดินทาง กางเกงขาสั้นมีซัสเปนเดอร์ ผูกโบหูกระต่ายเดินมา ด้านหลังมีชายชาวจีนหิ้วกระเป๋าเดินทางพะรุงพะรังมาทั้ง 2 มือ แถมถุงทะเลสะพายหลัง ทับทิมมองตาปริบๆ
“ฮื้อ ทั้งแก่ ทั้งอ้วน ทั้งหัวล้าน”
“แต่ท่าทางรวยนะ อีทับทิม”
“ถึงรวยก็ไม่เอา แก่อย่างนี้ฉันมีผัวจับกังยังดีกว่า”
ทับทิมหันมาพูดกับนางแส พอหันกลับไปก็เจออาล็อกยิ้มเผล่ในระยะประชิด
“แต่อั๊วยังไม่อยากมีเมีย”
ทับทิมผละถอยหลังทำท่ารังเกียจ
“มาบอกฉันทำไม ไอ้เจ๊กบ้า แกจะเอาอะไร”
“อั๊วมาถามทางน่อ บังกาลอไปทางไหน”
“อะไรนะ”
“บังกาลอ”
“กาลอ”
นางแสลืมตาโพลงนึกไปในทางลามกทันที พลางตบอกผาง ทับทิมนึกตามแม่ ลืมตาโพลง
“กาลอ .. ว้าย ไอ้ลามก แกพูดอะไร”
นางแสคว้าพายตักกะปิมากวัดแกว่ง ทับทิมลุกขึ้นชี้หน้า อาล็อกหน้าเหวอ
“ไม่ช่าย กาลอ กาลอ”
ทับทิมวี๊ดอีก ทอม แมกกินนีเข้ามาช่วยพูด
“อย่าทำเขา ฉันมาถามทางไปบังกาโลว์”
“อ๋อ บังกาโลว์ อะไรน่ะ แม่”
“จะไปรู้รึ”
“คือที่ ที่คนเที่ยว ที่ ที่คนไปหลับนอน”
“คนเที่ยวหลับนอน ว้าย” ทับทิมว่า
“ที่คนเที่ยว ที่ไปสมสู่หลับนอน กูรู้แล้ว” นางแสว่า
แม่ลูกถอดรหัสแล้วร้องพร้อมกัน
“ซ่อง!”
ทอม แมกกินนีกับอาล็อกผงะ
“โอ ที่นี่คือซ่องหรือ” ทอมว่า
“ไอ้ย๊า มิน่าแต่งตัวบอกยี่ห้อ” อาล็อกบอก
ทับทิมกับนางแสร้องวี๊ดๆ ชี้หน้า ทอมกับอาล็อกถอยหนี ผู้คนแตกตื่นมามุงดู หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์กับลูกน้องแหวกคนมาถาม
“อะไร อะไรกัน”
“ไอ้ฝรั่งกับไอ้เจ๊กนี่มาพูดลามกกับฉัน สารวัตร” ทับทิมฟ้อง
“มันมาหาว่าร้านฉันเป็นซ่อง นังทับทิมเป็นช็อกการี” นางแสว่า
“แล้วแม่แสเป็นแม่เล้า”
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์พูดแล้วหันมาดูทอมแล้วถาม
“มิสเตอร์แมกกินนีใช่ไหม”
“ใช่แล้ว ใช่”
“ผู้ใหญ่ทางพระนครฝากมาให้ผมคอยดูแลคุณ เชิญครับ เชิญ” หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ว่า
อ่านต่อหน้าที่ ๒
สาวน้อย ตอนที่ ๙ (ต่อ)
บนเกาะวิมานน้อย บริเวณชั้นหิน บ้านในฝันลงเสาและขึ้นโครงหลังคาเรียบร้อยแล้ว เสียมกับเนื่องกำลังเลื่อยไม้อยู่ที่ลานทรายด้านล่าง บนโครงเรือนมีช่างชาวบ้านอีก ๒ คนตอกโน่นนี่อยู่
“เอ็งกับไอ้เชิดได้พูดจากันบ้างหรือยัง”
เสียมมีสีหน้ากังวลแล้วบอก
“ยังเลย ฉันไม่เจอเชิดมาเป็นอาทิตย์แล้ว”
“มันหลบหน้าเอ็งน่ะซี” เนื่องบอก
“ฉันไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เลย”
“ไอ้เชิดมันใจนักเลงเดี๋ยวมันก็ทำใจได้เอง”
เสียมถอนใจแล้วถาม
“แล้วนี่เชิดไปขายของที่เมืองจันท์อีกแล้วไม่ใช่หรือ”
“มันกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
บริเวณหน้าเกาะมีเรือมาจอด เสียมกับเนื่องมองไป
“ให้ตาย ไอ้นี่มันตายยากจริงๆ”
เชิดเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเฉยชา เสียมยิ้มเจื่อนๆ ทัก
“ไง เชิด”
“ขึ้นโครงหลังคาแล้วหรือ จวนจะแล้วนี่หว่า ไหน มีอะไรให้ข้าทำบ้าง”
เชิดคว้าค้อนตะปูเข้าช่วยอย่างแข็งขัน เสียมกับเนื่องมองอย่างนับถือน้ำใจ
เชิด เนื่องและเสียมช่วยกันสร้างบ้านอยู่จนเย็นเมื่อเงาสีส้มทาบบนท้องฟ้า
ขณะที่ฝ่ายชายช่วยกันสร้างบ้านบนเกาะวิมานน้อย ทางด้านนิด นางนิ่ม แก้ว และนางใบอยู่ที่ชานเรือน ตรงหน้าของทุกคนคือ ผ้าโครงนอกของฟูกที่นอน นางใบถือเข็มใหญ่ร้อยด้ายหนาคอยเย็บ แก้วถือไม้ปั่นนุ่นในกระชุให้ฟู ละอองนุ่นติดอยู่เต็มหัว นางนิ่มและนิดช่วยกันเอานุ่นยัดลงที่นอนพลางเอาไม้กระทุ้ง ข้างตัวยังมีกระจาดใส่ใบไม้ ดอกไม้เอาเคล็ด 2-3 สิ่ง ได้แก่ เศษทอง นาก เงิน ใบสวาด ใบเงิน ใบทอง ใบรักซ้อน เป็นต้น
“เอ้า ปั่นเร็วๆ จะได้ฟู เร็วเข้า เดี๋ยวไม่ทันฤกษ์” นางใบบอก
“หา! กระทั่งยัดที่นอนก็มีฤกษ์ด้วยหรือ” แก้วว่า
“ก็รีบร้อนแต่งแบบนี้ ฤกษ์วันแต่งมันยังไม่ค่อยดี ก็ต้องเอาฤกษ์อย่างอื่นมาหนุน” นางนิ่มบอก
“โธ่ ถืออะไรกันนักหนาก็ไม่รู้” นิดว่า
“แหม หนูนิด เชื่อไว้บ้างก็ไม่เสียหายนะลูก” นางใบว่า
ขาดคำนางใบก็สำลักละอองนุ่นไอโขลกๆ
“เอ้า แม่ ยัดที่นอนน่ะ ต้องของมงคลนะแม่ ไม่ใช่น้ำลายกะขี้ฟัน” แก้วบอก
“อีนี่ เอ็งก็ปั่นเบาๆ หน่อยซี”
“โธ่ พี่ใบ ยังป่วยยังไข้อยู่ก็ยังอุตส่าห์มาช่วย” นางนิ่มว่า
“ไม่มาได้ยังไง ทั้งสีชังนี่ไม่มีใครเย็บฟูกเทียบฉันได้ เอ้า ใช้ได้แล้ว นังแก้ว นี่ ท่อนหัวต้องใส่ทอง ใส่เงินจะได้ร่ำได้รวย”
นางใบยัดนุ่นแล้วหยิบเศษทอง นาก เงิน ใส่ แก้วยกมือจบท่วมหัว
“สาธุ”
“นังนี่ มาล้อแม่ล้อเชื้อ”
“ใครว่าฉันล้อ ฉันเลื่อมใสต่างหาก” แก้วบอก
“เอ้า ต่อไปก็ใบเงิน ใบทอง ใบสวาด ใบรักซ้อน” นิ่มว่า
นางใบหยิบใส่อีก
“หา จะดีหรือแม่ เดี๋ยวนังนิดเจอรักซ้อนเข้าแล้วจะทำยังไง” แก้วว่า
“ก็เขาทำกันมาแต่บุราณ”
นิดหน้าเสีย นางนิ่มมองแล้วปลอบ
“ไม่มีอะไรหรอกลูก มีแต่จะเป็นมงคล”
“ใช่ นายเสียมคงไม่มีเมียซุกซ่อนอยู่ที่ไหนหรอก” แก้วบอก
นิดเม้มปากแล้วหยิกแก้ว
“นี่แน่ะ”
“แล้วนี่แกอาบน้ำเก็บขี้ไคลเอาไว้หรือยัง” แก้วถาม
“บ้าเหรอ เอามาทำอะไร”
“ก็เอาขี้ไคลใส่ลูกสวาดบิดจุกให้ดีแล้วใส่ที่นอนไง”
นางนิ่มสะดุ้ง นางใบตบอกผาง
“อีแก้ว เอ็งไปเอาตำรามาจากไหน นั่นมันสำหรับทำเสน่ห์” นางใบบอก
“นั่นเค้าเรียกช้างประสมโขลงมันไม่เกี่ยวกะงานแต่ง” นางนิ่มบอก
แก้วพูดกับนิด
“เกี่ยวไม่เกี่ยวแกก็ควรจะรู้ไว้นะ ทั้งช้างประสมโขลง ทั้งหงส์ร่อนมังกรรำ ฝังรูปฝังรอยอะไรเทือกนี้”
นางใบตบอกอีก นางนิ่มร้องอุทาน นิดยิ้มแล้วเอาคืน
“ไม่เอาหรอก เอาไว้งานแก้วกับพี่เนื่องก็แล้วกัน”
แก้วชะงัก หน้าแดงถึงหู หมดฤทธิ์ไปในบัดดล นางใบตาโตและไอสำลัก
“หา จริงหรือลูก” นางนิ่มถาม
“เอ็งชอบพ่อเนื่องเขาหรือ” นางใบถาม
“ไม่ใช่ ไม่จริงนะแม่ นิดมันแกล้งฉัน”
เนื่องมองดูภาพตรงหน้าอย่างพอใจ แล้วถอยมายืนข้างเสียมที่ยิ้มน้อยๆ ดวงตามีแววพอใจและภาคภูมิที่สุด ตรงหน้าของทั้งคู่ คือเรือนไม้ทาสีขาว มีลักษณะคล้ายบังกาโลว์ตั้งอยู่บนชั้นหิน มีระเบียงด้านหน้า มีบันไดหินทอดลดหลั่นลงมาอย่างเหมาะเจาะยังลานทรายเบื้องหน้า
เนื่องตบไหล่เสียม เสียมหัวเราะออกมา เนื่องหัวเราะตาม
บริเวณร้าน นางแสนั่งหลังแผงผักที่สลดหดเหี่ยวเช่นเคย ทับทิมนั่งหน้าหงิกอยู่ที่แผงเครื่องประดับ มีนิตยสารห้อยแขวนโดยเอาไม้หนีบผ้าหนีบไว้ หนังสือที่ลงรูปวาดสุวลีอยู่ด้วย มีบรรดาแม่บ้านเข้ามาดูผัก ไข่ที่ร้านนางแส
“ทำไมมันถึงได้ทั้งเหี่ยวทั้งดำอย่างนี้” แม่บ้านนางหนึ่งพูดขึ้น
“อ้อ ลูกค้านังนิ่ม เสียใจด้วยนะจ๊ะที่วันนี้ร้านนั้นไม่ขายเพราะมัวแต่เตรียมงานยกเสาลงหลุมอยู่”
“ต๊าย ปาก”
แม่บ้านอีกนางเดินเข้ามา นางแสยิ้มรับ
“อ้าว เชิญจ้าเชิญ วันนี้มีขนมด้วยนะจ๊ะ มีทั้งกล้วยเชื่อม ฟักทองแกงบวด”
ลูกค้าลองเอาทัพพีตักดูแล้วสะดุ้ง
“ทำไมมันเละอย่างนี้ล่ะ” แม่บ้านคนที่สองถาม
“มันจะได้ไม่เละได้ยังไง ผักเน่ากล้วยงอมขายไม่ออกก็มาย้อมแมวเป็นขนมหลอกคนไปวันๆ” แม่บ้านคนแรกบอก
นางแสเต้นผาง
“ไม่ได้ร่ำรวยเป็นเมียข้าราชการนี่ยะจะได้กินทิ้งกินขว้าง”
“แต่ถ้ามันถึงกับเน่าแล้วก็ทิ้งเสียบ้างเถอะ แม่คู๊ณ” แม่บ้านคนที่สองบอก
แม่บ้านทั้งสองว่าแล้วก็เลือกผักต่อ นางแสค้อนตาคว่ำ เนื่องกับเสียมเดินผ่านมาพอดี ทับทิมถึงกับตาโต
“วุ้ย พี่เนื่องจะซื้ออะไรหรือจ๊ะ”
เสียมแตะนิตยสารรูปสุวลีดูแบบ ดูฝีมือคนวาดแต่ยังไม่มีวี่แววจะจำได้ ทับทิมมองเสียมแสร้งทำเย็นชา
“พี่กับไอ้เสียมจะมาดูของแต่งตัวให้นิดมันหน่อย” เนื่องว่า
“จะซื้อของให้เจ้าสาวแล้วคนจ่ายเงินน่ะพี่เนื่องหรือเจ้าบ่าวล่ะจ๊ะ”
“จะเงินพี่หรือเงินไอ้เสียมมันก็เหมือนกันแหละ” เนื่องบอก
ทับทิมสบตานางแส
“อุ๊ย เหรอ แม่จ๋า ฉันอยากอะไรหวานๆ ขออัฐฉันหน่อย”
“เอ็งจะเอาไปทำอะไร”
นางแสเลื่อนลูกรอกลดตะกร้าใส่เงินลงมา ทับทิมนวยนาดมารับเงิน
“ก็เอามาซื้อขนมแม่น่ะซี”
นางแสเข้าใจทันที หัวเราะจนน้ำหมากกระจาย
“ว้าย อีนี่ ดูมันทำยังงี้มันก็อัฐยายซื้อขนมยายน่ะซี”
สองแม่บ้านเข้าใจส่งสายตามองดูเสียมกับเนื่อง เนื่องหน้าตึง เสียมเริ่มเข้าใจ
“ใช่น่ะซี แม่ ใครเค้าก็ทำกัน”
“แต่กูทำไม่ลงขายขี้หน้าเขา คิดดูซี ถ้ามีคนมาขอเอ็งไปเป็นเมีย แต่ข้าต้องจ่ายเงินให้ไอ้ผู้ชายมาเป็นค่าสินสอดอีกที อู๊ย รู้ไปถึงไหน อายเขาไปอีกเป็นโยชน์”
สองแม่บ้านมองดูเนื่องและเสียมแล้วว่า
“จะเป็นไรไปเขาเรียกเรือล่มในหนอง” แม่บ้านคนแรกบอก
“ทองจะไปไหน จริงไหม พ่อเสียม พ่อเนื่อง” แม่บ้านอีกคนบอก
“คงยังงั้นมั๊งจ๊ะ ยังไงก็ดีกว่าพวกหวังจะขายลูกกิน”
เนื่องพยักหน้าให้เสียม ทั้งคู่เดินออกจากร้านนางแสไป สองแม่บ้านก็ประท้วงเดินออกไปด้วย นางแสมองทับทิม
“เออ ยังไงก็ขอให้ขายออกนะอีทับทิม อย่าเที่ยวให้เขากินเปล่าล่ะ”
ทับทิมมองค้อนแม่
บนสันทรายสูง เสียมนั่งกอดเข่าสีหน้าครุ่นคิด เนื่องนั่งอยู่ข้างๆ มองดูท่าทีอยู่
“ฉันอยากไปทำงานให้ได้เงินซักก้อน”
“นี่เอ็งอย่าไปฟังนังสองแม่ลูกปากปลาร้าเลย”
“แต่ที่ทั้งสองคนพูดมันก็จริง ฉันมันคนหลักลอยมีแต่ตัว มาอาศัยความเมตตาของแม่นิ่มแล้วยังเห็นแก่ตัวจะรีบร้อนแต่งกับนิด ลืมนึกถึงความเหมาะความควร ลืมนึกถึงขนบธรรมเนียมไปหมด”
“แต่บางทีขนบธรรมเนียมมันก็เกินเหมาะเกินควรเหมือนกันนะ ไอ้เสียม”
“แต่ฉันก็ควรจะมีเงินซักก้อน ซื้อทองให้นิดซักเส้น ซื้อแหวนให้นิดซักวงก็ยังดี แต่นี่ฉันไม่มีอะไรเลย”
เนื่องมองดูเสียมแล้วยกมือขึ้นตบบ่า
“ต่อให้เอ็งไม่มีอะไรเลยก็ยังมีค่ากว่าคนอื่นที่มีทองท่วมตัว เอ็งไม่ต้องไปหาเงินที่ไหนหรอก เพราะเงินไม่สำคัญเท่าน้ำใจของเอ็ง”
เสียมอึ้งมองเนื่องนิ่ง
“ถ้าพูดถึงน้ำใจแล้ว เอ็งน่ะ ร่ำรวยน้ำใจมากกว่าใครทุกคนบนสีชังนี่”
เสียมรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย มองเนื่องอย่างขอบใจ
เสียมจูงมือนิดเดินเลาะไปตามชายทะเลอย่างเรื่อยเปื่อย แล้วหยุดมองดูเกาะวิมานน้อยที่อยู่ห่างออกไปราว ๒๐๐ เมตร
“ข้ามไปเกาะกันไหม นิด”
“ไปซิจ๊ะ”
นิดมองไปทางเรือที่เข็นเอาไว้บนทราย
“ไม่ต้องเอาเรือไปหรอก ตอนนี้น้ำลงลึกแค่สะเอวเอง”
“นิดรู้หรอกน่ะพี่เสียม”
ทั้งคู่จูงกันเดินลงทะเลไป
ทั้งคู่เดินอยู่กลางน้ำทะเลที่ลึกเพียงสะเอวตรงไปยังเกาะวิมานน้อย
“มัวแต่ยุ่งอยู่ บ้านเสร็จตั้งหลายวันแล้ว แต่นิดยังไม่เห็นเลย นี่พี่เสียมจะพานิดไปดูบ้านใช่ไหมจ๊ะ”
“เปล่า”
“อ้าว แล้วพี่เสียมชวนนิดมาทำไม”
“พี่ไม่ได้พานิดมาดูบ้าน พี่พานิดมาดูเรือนหอต่างหาก”
เสียมทำหน้าเฉยแต่ดวงตาแพรวพราว นิดหัวเราะมองค้อนเสียม
“เดี๋ยวนี้พี่เสียม ทำไมช่างพูดจัง”
บนเกาะวิมานน้อย นิดและเสียมท่อนล่างยังเปียกอยู่ ก้าวผ่านแนวหินที่เป็นกำแพงเข้ามา นิดบ่น
“ว้า หินใต้น้ำคมจังเลย ดีนะ ทิ่นิดเหยียบไม่เต็มเท้า”
“เดี๋ยวขากลับพี่จะอุ้มนิดไปเอง”
เสียมทำตาหวานอีก นิดมองค้อนแล้วมองดูบ้านตรงหน้า ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง เสียมมองดูนิดแล้วก้าวมายืนเคียงมองไปตรงหน้าอย่างภาคภูมิใจ บ้านบังกาโลว์บนโขดหินเบื้องหน้า สีขาวเด่นตัดกับสีครามของฟ้า ที่ระเบียงมีซุ้มไม้เลื้อยออกดอกพราว บนโขดหินรอบๆ และตามแนวเสาบ้านแนวบันไดเต็มไปด้วยไม้ดอกเต็มไปหมด นิดปลื้มจนน้ำตาคลอ
“พี่เสียมสวยจังเลย สวยกว่าบ้านฝรั่งในหนังสืออีก”
“พี่บอกนิดแล้วว่าเกาะนี้จะเป็นวิมานน้อยๆ ของเรา”
เสียมจูงมือนิดก้าวขึ้นบันไดไปดูบ้าน
เวลาผ่านไปจนเย็น แดดทอสีส้มอมทองอาบไปทั่วทั้งเกาะ เสียมและนิดยืนอยู่ที่ระเบียงเรือนหอ ใต้ซุ้มไม้เลื้อย นิดสีหน้าเปี่ยมสุขมองทอดสายตาออกไปยังท้องทะเลกว้างและท้องฟ้ากว้างไกลสุดลูกตา เมฆมหึมาเคลื่อนตัวมาอย่างช้าๆ มีแสงฟ้าแลบวูบวาบในกลุ่มเมฆ และเสียงคำรามก้องมาเบาๆ
“พี่เสียมจ๋าดูเมฆก้อนนั้นซีจ๊ะ”
“ทำไมหรือ”
“นิดไม่เคยเล่าให้พี่เสียมฟังมาก่อนเลยว่าคืนก่อนที่พี่เสียมจะมาวันนึง นิดฝันร้าย”
เสียมมอง...
“นิดเห็นผู้ชายคนนึงถูกตีหัวจนสลบ”
เสียมพูดกึ่งเล่นกึ่งจริง
“หรือว่านิดฝันเห็นพี่”
“นิดไม่ทันเห็นชัดหรอกจ้ะ นิดตกใจตื่นซะก่อน”
“ถ้านิดฝันถึงพี่จริงก็แปลว่าเรามีโชคชะตาต่อกัน”
นิดมองดูก้อนเมฆที่เคลื่อนลอยเข้ามา
“แล้วเมฆนั่นมาเกี่ยวอะไรด้วยจ๊ะ” เสียมบอก
“คืนนั้นนิดตกใจตื่นขึ้นมา คืนนั้นเดือนหงาย นิดมองเห็นเมฆใหญ่แผ่พัดมาไปจนเต็มฟ้าเหมือนกับเมฆก้อนนี้ ลมกรูเกรียวมา เมฆบดบังแสงอาทิตย์ แสงหลุบวูบลง นิดมองดูเสียม
“แล้ววันนี้เมฆนี่ก็พัดมาอวยพรเราสองคนไงจ๊ะ”
นิดพลันมีลางสังหรณ์บางอย่าง
“แต่ถ้าเมฆพัดมาเพื่อจะพาพี่เสียมกลับไปล่ะจ๊ะ”
“ไม่มีวัน พี่ไม่มีวันจะจากนิดไปไหน”
“แต่ไม่มีใครรู้อำนาจของโชคชะตานะจ๊ะ”
“โชคชะตาอยู่ในมือของเราเองต่างหากว่าเราจะทำยังไงกับมัน”
เสียมดึงนิดเข้ามาใกล้ก่อนจะเดินลงมาตามขึ้นบันไดพลางแหงนมอง เมฆทะมึนถูกลมพัดกระจายแยกไป แสงสีส้มทองพลันกลับมาอาบร่างของเสียมและนิดอีกครั้ง
“โชคชะตาเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอเหมือนกับเมฆบนฟ้า” เสียมบอก
“เหมือนใจคนด้วยใช่ไหมจ๊ะ”
นิดแกล้งเย้า แต่เสียมจับสองมือนิดมากุมไว้ระดับอก พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
“ถึงเมฆจะเปลี่ยนไป แต่ทะเลกับท้องฟ้าก็ยังคงอยู่ พี่ขอสาบานกับทะเลและท้องฟ้าว่า พี่จะขอรักนิดและถนอมนิดไว้ตลอดไป”
นิดอึกอักและหน้าแดงเขินแล้วปลดมือเสียม
“พี่เสียม เย็นมากแล้วกลับกันเถอะจ้ะ”
นิดวิ่งลงบันได เสียมมองตามอย่างมันเขี้ยวแล้ววิ่งตามไป
ชายทะเลยามเย็น ทอม แมกกินนียืนอยู่บนเนินทรายมองดูท้องทะเลยามเย็น อาล็อกยืนเยื้องไปเบื้องหลัง แมกกินนีมองไปแล้วอมยิ้มที่เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังอุ้มผู้หญิงลุยน้ำกลับมายังฝั่ง ทั้งคู่มีการหยอกล้อ ฝ่ายชายแกล้งรัด ฝ่ายหญิงดิ้นรน
แมกกินนีสะกิดอาล็อกที่ยืนสะลึมสะลืออยู่
“อาล็อก”
“ฮ่อ นายห้าง”
“ดูหนุ่มสาวชาวเกาะสองคนนั่นซีเขาช่างมีความสุขเหลือเกิน”
อาล็อกมองตามอย่างเซ็ง ๆ ไม่สนใจนัก ...
ฝ่ายชายกระซิบอะไรบางอย่าง สาวเจ้าทุบอก พ่อหนุ่มคนนั้นแกล้งร้องราวกับเจ็บเสียเต็มประดา
เกาะสีชังยามค่ำคืน แสงจากประภาคารสว่างวูบวาบท่ามกลางความเงียบสงัดที่มาเยือน...
ยามเช้า ภายในบังกาโลว์ที่พัก แมกกินนีออกมายืนที่ระเบียง บนโต๊ะมีอาหารเช้าแบบตะวันตกตั้งอยู่ อาล็อกยืนคอยรับใช้อยู่ข้างๆ
“อานายห้าง เจี๊ยะน่อ”
“เออ ขอบใจ”
ทอม แมกกินนีนั่งลงและเริ่มกินอาหารเช้า
“วันนี้อานายห้างจาไปไหน”
“ไม่ดีกว่า พรุ่งนี้ฉันก็ต้องกลับไปบางกอกแล้ว แล้วยังต้องเดินทางอีก พักเอาแรงซักวันนึง”
“กลับบางกอกแล้วนายห้างจาไปไหนอีก”
“ฉันจะขึ้นไปเมืองเหนือจากนั้นก็เดินทางต่อไปลาว”
“ไอ๊ย่า ไม่เห็นมีอาไลน่าเที่ยว บ้านน๊อก บ้านนอก”
“คนเราไม่เหมือนกัน ฉันมันคนเมืองก็เลยชอบชนบท”
“บ้านนอกลำบากจะตายอย่างที่เมืองจีนบ้างอั๊ว หากินลำบากยิ่งตอนนี้ยังรบกับญี่ปุ่นอีก”
“ทางยุโรปก็มีสงคราม เฮ้อ หวังว่ามันจะไม่ลุกลามเป็นสงครามโลก”
“ใครจะรู้ อานายห้าง”
แมกกินนีลุกขึ้นมาที่เก้าอี้ผ้าใบแล้วเอนกายลง
“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ เดี๋ยวฉันจะงีบอีกซักหน่อย”
“ฮ่อๆ เช้านี้เงียบสงบดี”
ขาดคำก็เสียงเปิดเพลงโอเปร่าดังสนั่นลั่นโลก แมกกินนีผวาขึ้นนั่ง อาล็อกสะดุ้งโหยง
ประตูห้องบังกาโลว์หลังถัดไปถูกเปิดออก ฝรั่งจอมชีเปลือยสวมเสื้อคลุมออกมาแผดร้องโอเปร่า พลางกรายมือ ทำท่าราวกับพรีมาดอนน่า
ทอม แมกกินนีลุกขึ้นดู อาล็อกก้าวมาชะเง้อดูข้างๆ
“ไอ๊ย่า หนวกหูจิงๆ”
“ไม่เป็นไรเพลงเพราะดีฉันทนได้”
ทันใดนั้น ฝรั่งชีเปลือยก็สะบัดเสื้อคลุมออก เริ่มกิจกรรมอาบแดดประจำวัน แมกกินนีและอาล็อกตาเบิกโพลง
“ไอ๊ย่า แต่อั๊วทนไม่ไหวน่อ นายห้าง”
ทอม แมกกินนีและอาล็อกเดินมาตามหาดทรายเมื่อเวลากลางวัน
“เค้าเป๋ (๓) ซวย ซวยจิงๆ น่อ ซวยลูกกะตา”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ไม่เป็นอะไรหรอก”
“แต่คงจีนถือน่อ อานายห้าง วันไหนถ้าเห็วของเซี้ยซวย(๔)แต่เช้า จาโชคร้ายไปทั้งวัน”
“เรื่องโชคเรื่องลางฉันไม่เคยเชี่อ”
“มังจิงน้อ นายห้าง”
ทอม แมกกินนีหยุดก้าวเท้าเดินและมองไปข้างหน้า
“หือ บ้านนั้นเขาทำอะไรกันคนเยอะแยะเชียว”
บริเวณบ้านนิดมีการปลูกเป็นโรงครัวชั่วคราว หลังคามุงจากแบบง่ายๆ มีเตาไฟตั้งกระทะใบบัวราว ๒ - ๓ เตา มีโม่ข้าวอันใหญ่กำลังโม่ข้าวทำแป้งขนมจีน แม่นิ่มและนางใบกับบรรดาแม่ครัวอาสากำลังเตรียมงามกันวุ่นวาย
แมกกินนีกับอาล็อกเดินมาเมียงมองดู
“อั๊วถามเขาแล้ว พรุ่งนี้บ้างนี้จะมีงานแต่งงาน คนเขาเลยมาช่วยกันทำของกิน”
“ดีๆ น่าสนใจจริง”
“ไม่เห็นมีอาไลน่าลู บ้านน๊อกบ้านนอก”
“นี่ไง งานมงคล ดูงานมงคล เผื่อจะแก้เคล็ดโชคร้ายของลื้อได้”
“แก้ไม่ได้น่อ ซวยแล้วซวยเลย”
แมกกินนีเดินเข้าไปในโรงครัว ล็อกอิดออดอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็เดินตามทั้งสองเข้าไปใกล้
“เฮลโล มาดาม” แมกกินนีทักทาย
นางนิ่มเงยหน้า แม่ใบมีอ่างดินในมือหันขวับมาสาดน้ำข้าวโครม! ยั้งมือไว้ไม่ทัน
“พี่ใบ!”
“ตาเถร!”
น้ำข้าวสาดเข้าเต็มตัวแมกกินนีกับอาล็อก ตัวเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้า แมกกินนียืนนิ่งอึ้ง อาล็อกทำหน้าคล้ายจะร้องไห้
“ว้าย พ่อคุณ”
“อั๊วว่าแล้วว่าแก้ไม่ล่าย ซวยแล้ว ซวยเลย”
นางนิ่มและเนื่องเดินนำแมกกินนีขึ้นมาที่ชานเรือน แมกกินนีนุ่งผ้าขาวม้ามีป้าขนหนูคล้องคอเดินอย่างกระมิดกระเมี้ยน ที่ยกพื้นกำลังมีการเตรียมพวกดอกไม้ พานขันหมาก แก้วกำลังเด็ดดอกไม้ มองดูอย่างชอบใจ
“อุ๊ย นั่นตัวอะไร”
แมกกินนีมองค้อน แก้วลุกขึ้น
“ดูคล้ายๆ ตัวกะป๊อ”
“นังแก้ว อย่าไปล้อนายห้าง” นางนิ่มบอก
“กะป๊อคือตัวอะราย” แมกกินนีถาม
“อย่าไปรู้มันเลยนายห้าง นั่งลงก่อนเถอะ” เนื่องบอก
แมกกินนีนั่งลงอย่างเก้ๆกังๆ แก้วแกล้งปิดตา
“อุ๊ย นุ่งดีๆ นะนายห้าง”
แมกกินนีมองค้อนอีกทีแล้วดึงชายผ้าขาวม้าให้แนบตัว
“เดี๋ยวฉันจะหาผ้าหาผ่อนมาให้”
นางนิ่มเดินเข้าไปในห้องนอน เนื่องเอาขันน้ำลอยดอกมะลิมาส่งให้แมกกินนี แล้วนั่งลง แก้วนั่งลงข้างๆ มองตาแป๋ว
“กินน้ำก่อน นายห้าง”
แมกกินนีรับขันน้ำมาดื่มอั๊ก
“โห กินน้ำยังกับอูฐ” แก้วว่า
แมกกินนีมองตาเขียว
“กำลังเตรียมงานกันอยู่ พรุ่งนี้จะมีงานแต่งงาน”
“นี่เจ้าสาวของเธอหรือ”
แก้วสะดุ้งเฮือกหน้าแดงฉาดฉาน เนื่องทำหน้าเบ้ แก้วปฏิเสธพัลวัน
“ว้าย ไม่ใช่”
“ไม่ใช่ คนที่จะแต่งงานน่ะ น้องสาวฉัน นี่แค่คนมาช่วยงาน” เนื่องอธิบาย
แก้วเชิดใส่เนื่องแล้วบอก
“ฉันเป็นเพื่อนเจ้าสาวย่ะ”
“เจ้าสาวน่ะสวยกว่าคนนี้เยอะ” เนื่องบอก
เนื่องจงใจพูด แก้วยิ่งแค้นใจหนัก - “เชอะ”
“คนนี้ก็สวย”
แมกกินนีพูด แก้วยิ้มหน้าบาน
“แต่ปากไม่ดี”
แก้วหุบยิ้ม เนื่องหัวเราะก๊าก
“ใช่ นายห้างดูคนเก่ง”
“แล้วเจ้าสาวอยู่ไหนล่ะ” แมกกินนีถาม
“ไปวัด ไปเลี้ยงพระเพล อีกนานกว่าจะกลับ”
“น่าเสียดาย ฉันเลยไม่ได้เห็นเจ้าสาว”
“อยากเห็นเจ้าสาวเหรอ มาดูนี่ซี” แก้วบอก
แก้วลุกไปที่ชาน แมกกินนีลุกเดินตามอย่างงงๆ เนื่องตามไป
“ดูอะราย”
“นี่ไง เจ้าสาว”
แก้วผายมือไปที่รูปสีน้ำมัน “สาวน้อย” แมกกินนีมองดูรูปอย่างพินิจ
ดวงอาทิตย์เคลื่อนออกจากเมฆ บริเวณชานเรือนสว่างขึ้น รูปภาพสาวน้อยที่แขวนอยู่ดูเด่นมลังเมลือง
แมกกินนีมองดูแล้วก็ตกตะลึงนิ่งอึ้งไป นิดในภาพเขียนสีน้ำมันราวกับมีชีวิต
จบตอนที่ ๙
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
๑ เมรี - มาจากเรื่อง “พระรถเมรี” (บางคนเรียก นางสิบสอง) สันนิษฐานว่า น่าจะมาจากเรื่อง “รถเสนชาดก” ชาดกเรื่องที่ ๔๗ ในหนังสือปัญญาสชาดก ที่กลายมาเป็นนิทานพื้นบ้านของชาวบ้านในภาคกลาง บริเวณฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี และชาวอำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา เล่าให้เป็นสีสันในตอนท้ายว่า นางเมรีก่อนสิ้นใจได้อธิษฐานว่า “ ชาตินี้น้องตามพี่ ชาติหน้าขอให้พี่ตามน้อง” ดังนั้นภาคต่อของพระรถเมรีก็คือ “พระสุธน - มโนราห์”
๒ มั่งก๊ก หมายถึง บางกอก
๓ เค้าเป๋ - เป็นคำด่าของคนจีนแต้จิ๋ว แปลตามศัพท์ หมายถึง”ร้อง(ไห้)หาพ่อ” เทียบได้กับ “พ่อมึงตายหรือ” คำด่าของคนไทย
๔ เซี๊ยซวย - ศัพท์ภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่า “ซวย เฮงซวย สิ่งอัปมงคล” ส่วนคนเฮงซวย เรียก เซี๊ยซวยนั๊ง
สาวน้อย ตอนที่ ๑o
บนเกาะวิมานน้อยในเวลากลางวัน ท้องฟ้าทะเลสียังสดใส แต่ที่ปลายฟ้าไกลลิบโน่นมีเมฆฝน ฟ้าแลบวูบวาบในหมู่เมฆ ภายในเรือนหอตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว บริเวณหน้าต่างมีม่านบังตา โต๊ะเก้าอี้ถูกจัดวางไว้ที่ระเบียง เสียมกำลังตักน้ำจากถังรดน้ำต้นไม้อย่างประหยัด แล้วมองดูรอบ ๆ บริเวณอย่างพอใจ เสียงฟ้าร้องดังเเว่วมา เสียมแหงนมองฟ้าอย่างกังวลนิดหน่อย
“เสียม ไอ้เสียมโว้ย”
เสียมหันไปดูเห็นเนื่องวิ่งยิ้มร่าเข้ามาอย่างตื่นเต้น
“มีอะไร”
“มีฝรั่งมาดูรูปที่เอ็งเขียนแล้วอยากเจอหน้าเอ็ง”
เสียมขมวดคิ้ว
ทอม แมกกินนีสวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขาสั้นสีกากีของพ่อนิดยืนพินิจรูปสาวน้อยอย่างมั่นใจ แก้วและนางนิ่มยืนดูอยู่ใกล้ ๆ
“แปลกจริง ฝีแปรงเหมือนคนที่ฉันรู้จัก แต่ฝีมือดีกว่าไม่น่าเชื่อว่าคนสีชังจะวาดรูปได้ดีขนาดนี้”
“คนวาดไม่ใช่คนสีชังหรอกเป็นคนบางกอกนี่แหละ” แก้วบอก
อาล็อกนุ่งกางเกงชาวเลของเนื่อง เอาผ้าขาวม้าเช็ดหัวอยู่พลางบ่นอุบ
“ซวยจิง ๆ”
อาล็อกมองไปแล้วลืมตาโพลง
“อาเสียมล้อ!”
เสียมเดินมากับเนื่องเมื่อเห็นอาล็อกเข้าก็หัวเราะร่า
“อาล็อก ลื้อมาได้ยังไง”
เสียมกับอาล็อกเข้าจับมือตบหลังตบไหล่กัน
“อาเสียมล้อ อั้วคิดว่าลื้อถูกฉาหลามเจี๊ยะไปแล้ว ลงท้ายลื้อว่ายน้ำมาขึ้นเกาะจริง ๆ”
เสียมพูดแนะนำกับเนื่อง
“นี่อาล็อกที่ตั้งชื่อให้ฉันไงเนื่อง อาล็อกทำงานกับเรือขนข้าวสาร”
“อั้วลาออกแล้ว หัวหน้ามันขี้โกง นี่อั้วมาเป็นกุ๊กให้อานายห้างฝรั่ง”
“นายห้างฝรั่งนี่แหละที่รอเอ็งอยู่ข้างบนเรือน” เนื่องบอก
แมกกินนียังคงเพ่งพิศดูรูป เสียมและเนื่องเดินขึ้นเรือนมา นางนิ่มเเละเเก้วหันมาดู
“นั่นไงนายห้าง คนวาดมาเเล้ว” นางนิ่มบอก
เสียมเดินมากลางชานเรือนมองแมกกินนีอย่างสังเกตระคนแปลกใจ แต่แมกกินนีตาเบิกโพลง ถลามาหาเสียม
“โอ มายก็อด ฉันนึกไว้ไม่มีผิดเลยว่าต้องเป็นเธอ สรรค์เธอมาทำอะไรที่นี่”
“สรรค์?”
แม่นิ่ม แก้ว เนื่องมองหน้ากัน
“สันไหนวะ” เนื่องว่า
“สันขวานหรือเปล่า” แก้วว่า
นางนิ่มกับเนื่องถลึงตาใส่แก้ว
“สรรค์ นี่เธอจำฉันไม่ได้หรือ”
“นี่ท่านรู้จักฉันอย่างงั้นหรือ”
“ฉันทอม แมกกินนี ครูสอนเขียนรูปของเธอไง”
เสียมงุนงง
บริเวณเรือนครัวซึ่งมีบันไดหลัง นิดถือปิ่นโตกับตะกร้าหวายขึ้นมาแล้วได้ยินเสียงพูดของแมกกินนี นิดวางปิ่นโตแล้วยืนฟังอยู่หลังประตู
“ฉันมาจากฟิลิปปินส์แล้วไปเยี่ยมเธอที่บ้านพระชาญ พ่อเธอบอกว่าเธอหายสาบสูญไปหลายเดือนแล้ว”
ทุกคนนั่งลงกับพื้น แมกกินนีมองหน้าเสียมเขม็ง เสียมครุ่นคิดคิ้วขมวดมุ่น เนื่อง แก้ว และแม่นิ่มมองแมกกินนีกับเสียมสลับกันไปมา เสียมพูดด้วยแววเลื่อนลอย
“ท่านบอกว่าฉันเป็นใครนะ”
“เธอชื่อสรรค์ เป็นนักเรียนกสิกรรมที่ฟิลิปปินส์ พ่อเธอชื่อพระชาญ เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เธอเองก็เป็นข้าราชการ”
เสียมนิ่งอั้น เนื่องและเเก้วตื่นเต้น แต่นางนิ่มเริ่มมีสีหน้ากังวลบางอย่าง นิดนั่งฟังอยู่ในครัวทั้งแปลกใจและยินดี แล้วกลับกังวลไหวหวั่นปนแทรกขึ้นมา
“เธอรู้ไหมว่าพ่อเธอตามหาเธอแทบพลิกแผ่นดิน นี่เธอจำอะไรไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ”
เสียมคิดแล้วร้องโอ้ยเบา ๆ กุมศีรษะ แมกกินนีตกใจ
“ฉันจำไม่ได้” เสียมบอก
“พอเถอะ พ่อคุณ อย่าเพิ่งนึกอะไรตอนนี้เลย” นางนิ่มบอก
“เฮ้ย เธอถูกทำร้าย สมองคงกระทบกระเทือนอย่างหนัก”
เสียมมองดูนางนิ่ม เนื่อง แก้ว แล้วหันไปบอกกับแมกกินนี
“ฉันไม่สนใจว่าฉันเป็นใคร ฉันจะแต่งงานกับนิด และอยู่ที่นี่ตลอดไป”
นิดนิ่งฟังแล้วรอยยิ้มนิด ๆที่มุมปากกึ่งสุขใจกึ่งกังวล
“นิด ? .. นิดคือใคร”
เสียมมองไปที่รูปสาวน้อย
“เธอวาดรูปนี้ได้ดีขนาดนี้เพราะว่าเธอรักสาวน้อยคนนี้จนหมดใจ”
เสียมยิ้มน้อย ๆ มีแววเลื่อนลอยปรากฏขึ้น
“เธอพบเทวีเเห่งเเรงบันดาลใจของเธอแล้วจริง ๆ”
นิดนั่งฟังพลางยิ้ม เสียมมองหน้าแมกกินนี
“ท่านรู้จักเรื่องเทวีแห่งเเรงบันดาลใจด้วยหรือ”
“รู้จักซี ก็ฉันเป็นคนเล่าเทพนิยายกรีกเรื่องนี้ให้เธอฟังเอง”
เสียมมีท่าทีวางใจแมกกินนีมากขึ้น
“แปลกจริง....เธอจำอะไรไม่ได้ แต่กลับจำนิยายเรื่องนี้ได้ เธอขายรูปนี้ให้ฉันได้ไหม”
“ท่านอยากได้รูปนี้ไปทำไม”
“ฉันไม่ได้คิดจะเอารูปนี้ไปเก็บไว้เฉย ๆ แต่ฉันจะเอาไปแสดงในนามของโรงเรียนฉัน และอาจจะส่งเข้าประกวดด้วย โดยฉันจะบอกกับทุกคนว่าเป็นฝีมือของลูกศิษย์ฉันที่เป็นคนสยาม”
เสียมมีท่าทีอ่อนลง
“ฉันคิดว่า ฉันจะให้ราคารูปเธอ 200 บาท”
นางนิ่มตาเบิกโพลง แก้วเอามือทาบอก เนื่องเขย่าเเขนเสียม
“200 บาท” แก้วโพล่งขึ้น
“ขายเถอะไอ้เสียม” เนื่องว่า
“แต่...” เสียมลังเล
“เธอต้องวาดรูปดีแบบนี้อีกได้แน่ เพราะเธอมีเทพีแห่งเเรงดลใจอยู่เคียงข้างขนาดนี้”
เสียมยิ้มนิด ๆ นิดยิ้มอยู่ในครัวแต่ใจกลับกังวลหนักอึ้งขึ้น
ในเวลาต่อมา ทอม แมกกินนีเดินมาตามชายหาดด้วยสีหน้าครุ่นคิด ทางด้านหลังอาล็อกเดินถือกรอบรูปที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลแน่นหนาตามมา
ผนังที่เคยแขวนรูปสาวน้อยว่างเปล่า นางนิ่ม เนื่อง และเสียมยังนั่งอยู่ที่ยกพื้น ในมือสรรค์มีธนบัตรปึกหนึ่ง นางนิ่มกับเนื่องดีใจเรื่องเงิน แต่ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับเสียมทำให้ทุกคนกังวลอยู่ไม่น้อย ส่วนเสียมกลับอาลัยอาวรณ์รูปมากกว่าเรื่องอื่น
นิดกับแก้วเดินมารวมกลุ่ม
“อ้าว กลับมาแล้วหรือลูกมาพูดมาจากันก่อน”
นิดกับแก้วนั่งลง เสียมยิ้มให้นิด
“เมื่อกี้มีฝรั่งมาบ้านเรา มาขอซื้อรูปเรา แล้วฝรั่งนี่รู้จักไอ้เสียมมาก่อน” เนื่องบอก
นิดมองหน้าเสียม
“ฉันรู้แล้วล่ะ พี่เนื่อง”
“นังแก้วบอกล่ะซี แหมเอ็งนี่ฆ้องปากแตกจริง ๆ”
“จะบ้าเหรอ ฉันเปล่า”
ไม่มีใครสนใจแก้ว นางนิ่มหันมาหาเสียม
“แล้วพ่อเสียมจะคิดอ่านทำยังไงต่อไป”
“ทำอะไรต่อไป คือยังไงจ๊ะ” เสียมถาม
เสียมมีอาการเลื่อนลอยบางอย่างปรากฏขึ้นมาอีก
“อ้าว”
“ก็นายห้างฝรั่งจะส่งข่าวให้พ่อเอ็งที่กรุงเทพมารับเอ็งไง เราควรจะเลื่อนงานแต่งงานออกไปก่อนไหม” เนื่องถาม
“ต๊าย ถ้าเลื่อนก็โดนนินทาแน่เลย” แก้วว่า
เนื่องกับนางนิ่มทำตาเขียว เเก้วเชิดหน้า นิดถอนใจกุมมือเสียม
“ถ้าต้องเลื่อน ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่จ๊ะ”
“แต่พี่ไม่อยากเลื่อน พี่อยากแต่งกับนิด เรื่องที่พี่เป็นลูกคุณพระนั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ พี่รู้อยู่แต่ว่าพี่คือไอ้เสียมคนสีชัง คือพี่เสียมของนิดเท่านั้น”
เสียมดึงมือนิดมาบีบ ตามองดูมือเล็กนิ้วยาวเรียวแล้วก็นึกอะไรออก
“จ๊ะ พี่เสียม”
“พี่ขอตัวก่อน แม่นิ่ม ฉันขอตัวก่อนนะจ๊ะ”
เสียมลุกเดินลงบันไดไป ทุกคนมองตาม
“แปลกคนแท้ ๆ” นางนิ่มบอก
“ฉันว่าไอ้เสียมมันดูไม่เต็มเต็งเหมือนตอนมันมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ” เนื่องว่า
“ต๊ายหรืออาการกำเริบ” แก้วบอก
นางนิ่มตีแก้ว เผียะ! แก้วร้องโอดโอย นิดหน้าเผือดมีเรื่องกังวลเรื่องใหม่ขึ้นมา
ใต้ร่มไม้ที่แคร่ไม่ไผ่ เชิดนั่งเอามีดฝานไม้ไผ่ทำเป็นไม้แหลมอยู่ สีหน้าเครียดขรึม มีเงาก้าวมา เชิดมองดูเห็นเสียมยืนอยู่ตรงหน้า
“ไอ้เสียม มีอะไร”
“ฉันอยากไปเมืองชล”
“ตอนนี้นะหรือ เอ็งจะไปทำไม”
เสียมยิ้มน้อย ๆ
ภายในห้องชั้นในของบังกาโลว์ แมกกินนียืนมองดูรูปสาวน้อยที่วางอยู่บนโต๊ะที่พิงผนังด้านหนึ่ง ทางด้านหลัง อาล็อกกำลังพับเสื้อผ้าของแมกกินนีลงหีบเดินทาง ภาพสาวน้อยส่งสายตามาราวกับจะอ้อนวอนบางอย่าง ทำให้ทอม แมกกินนีครุ่นคิดถึงอดีตเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ภายในห้องโถวบ้านเนาวรัตน์ซึ่งมีภาพสุวลีติดเด่นอยู่บนผนัง ทอม แมกกินนีย์ในชุดสูทเดินมายืนมองอย่างเพ่งพิศ สีหน้าพอใจแต่ไม่มีอาการทึ่งหรือตื่นเต้น แล้วหันมาทางด้านหลัง
“ดี ดี เพียงฉันเห็นแวบเดียวก็รู้เเล้วว่าคนวาดเป็นใคร”
สุวลีกับเสวกยืนอยู่ทางด้านหลังของแมกกินนี สุวลียังคงเศร้าสร้อยฝืนยิ้มแล้วบอก
“เพียงแต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าคนวาดไปอยู่เสียที่ไหน”
“อย่าห่วงเลยคุณน้อง พี่แน่ใจว่าเราต้องหาสรรค์พบ” เสวกบอก
“ฉันภาวนาขอให้พระเป็นเจ้าทรงชี้ทางให้เราด้วย” แมกกินนีว่า
แมกกินนีหันไปมองดูรูปสุวลีอีกครั้งแล้วพูดกับเสวก
“ซาเหวก ภาพนี้งามกว่าภาพฟรานเชสก้าคนรักของเธอหลายเท่า”
สุวลีหันไปมองดูเสวก เสวกยิ้มแห้ง ๆ
“โธ่ แค่คู่ควง คบกันประเดี๋ยวประด๋าวครับไม่ใช่คนรัก”
“ฝีมือสรรค์ดีขึ้นขนาดนี้คงเป็นเพราะความรักที่เขามีต่อเธอ”
สุวลียิ้มพอใจ
“แต่สรรค์เคยพูดว่ารูปนี้ยังไม่ถึงขั้นดีเลิศ” สุวลีบอก
แมกกินนีเลิกคิ้ว พอใจที่สรรค์รู้จักกับฝีมือตัวเองถ่องแท้พลางพยักหน้าแล้วพูดถนอมน้ำใจสุวลี
“งั้นหรือ ถึงยังไม่ดีเลิศแต่ก็นับว่าใกล้เคียงเเล้ว ฉันเคยบอกเขาว่าถ้าวันใดเขาพบเทวีแห่งแรงดลใจ เมื่อนั้นเขาจะสร้างงานที่ดีที่สุดออกมาได้”
สุวลียิ้มลูบคลำแหวนในมือ
“และเธอก็น่าจะคือเทวีแห่งแรงดลใจที่เขาตามหา”
“ฉันก็หวังเช่นนั้นค่ะ”
สุวลีฝืนยิ้มมองดูรูปภาพบนฝาผนัง
ภาพสุวลีที่แมกกินนีนึกย้อนอยู่ค่อยๆเลือนเป็นภาพสาวน้อยเบื้องหน้า ทอม แมกกินนีถอนหายใจยาว
“พระเป็นเจ้าเล่นตลกกับเธอเข้าให้แล้วสรรค์”
อาล็อกมองดูแมกกินนีอย่างงง ๆ
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเมื่อเวลาเย็นที่ชายหาด นิดมองชะเง้อไปในทะเลอย่างรอคอย
เรือใบลำเล็กแล่นมุ่งหน้าเข้ามายังฝั่งค่อนข้างเร็ว ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงจนใกล้เเตะขอบฟ้า บนเรือเชิดคุมใบเรือให้รับลมเต็มที่ที่กลางเรือ เสียมนอนหงายอยู่ในมือมีถุงกระดาษกอดแนบไว้กับอกด้านซ้าย
“ไอ้เสียมเอ็งจะให้ข้าส่งที่เรือนแม่นิ่มหรือที่เกาะน้อย”
ไม่มีเสียงตอบ เชิดชะเง้อดู เห็นเสียมนอนหลับตาหายใจเบา ๆ สม่ำเสมอ เชิดขยับกายเข้ามาดู สีหน้าเย็นชากลายเป็นเครียดขึ้น เรือเจอคลื่นลูกใหญ่จนพายกลิ้งไปมาดังกริ๊ก เชิดขยับพายขึ้นมา ดวงตามองดูเสียม มือที่จับพายเกร็งเขม็ง เสียมยังคงหลับสนิท
นิดเดินลุยน้ำขึ้นมาบนหาดทราย แล้วเดินไปหลังเเนวหินและก้าวไปยังสวน แสงยามเย็นส่องมาทั่วบริเวณ แสงยามนั้นทำให้เรือนหอดูเป็นเงาดำ ต้นไม้ใบหญ้าดูเวิ้งว้างว่างเปล่าจนนิดใจหายวูบ มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นว่ามีใคร
“พี่เสียม”
ลมแรงพัดมาใบไม้แห้งปลิวไปตามพื้น นิดรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา
“พี่เสียม”
นิดเริ่มแน่ใจว่าเสียมยังไม่กลับมา แต่ก็เดินขึ้นบันไดไปยังระเบียง บรรยากาศดูเวิ้งว้างว่างเปล่าจนน่ากลัว นิดเกาะระเบียงมองไปยังท้องทะเล ดวงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำ แสงสีแดงตกลงไปทั่ว ลมแรงพัดมา กายนิดหนาวเหน็บจนต้องกอดอก น้ำตาคลอ
“พี่เสียม ทำไมถึงยังไม่กลับมาอีก”
ทางด้านหลัง เงาดำร่างสูงใหญ่ก้าวมาจากในบ้านแล้วเดินช้าๆไปหานิดที่ยืนหันหลังให้อยู่ เสียงพื้นลั่น นิดสะดุ้งเฮือกหันขวับมา เห็นเงาร่างนั้นอยู่ประชิดตัว นิดผวาถอยไปชนระเบียงแล้วร้องออกมา ร่างนั้นคว้านิดไว้
“นิด”
นิดลืมตาโพลงแล้วเข้ากอดเสียมซบหน้าลงกับอก เสียมยกมือโอบไว้ก้มลงจูบเรือนผมที่ดำมัน ในมือเสียมมีตะเกียงกับไม้ขีด
นิดเริ่มหายตกใจขยับผละออกมองดูแล้วทุบหน้าอกเสียมเบา ๆ
“นี่เเน่ะ”
“โอ้ย นิดรังแกพี่ทำไม”
“ก็พี่เสียมทำให้นิดตกใจ พี่เสียมแกล้งนิดทำไม”
“โธ่ พี่ไม่ได้แกล้งซักหน่อย พี่เพิ่งกลับมากำลังจะจุดตะเกียง แล้วก็เดินมาเจอนิดเข้านี่”
นิดค่อยสงบใจให้เป็นปกติ เสียมเอามือป้องลมแล้วจุดตะเกียง แสงตรงระเบียงสว่างขึ้น
“นี่ นิดมาตามพี่ไปกินข้าวหรือ”
นิดพยักหน้า
นิดยืนอยู่บนระเบียง เสียมเอาไต้เล็ก ๆ จ่อกับตะเกียง แล้วเดินลงจากระเบียง
“นิดดูนี่ซี”
เสียมเดินเอาไต้จ่อเข้ากับคบไฟที่ปักไว้เรียงรายลงมาตามแนวบันได นิดไม่ทันสังเกตตอนมา ทำตาโต ไฟสว่างวูบวาบขึ้นทีละดวง นิดก้าวมายืนเหนือบันได เสียมยังคงเดินไปตามลานหิน จุดไต้ไปเรื่อย ๆ จนทั้งหน้าลานบ้านสว่างเรืองรองไปหมด สรรค์หันมายิ้มกับนิด นิดก้าวลงบันไดมาหา เสียมดับไต้
“พี่เสียม ทำอะไรจ๊ะพี่”
“พี่เตรียมไว้สำหรับคืนพรุ่งนี้ไงก็เลยลองจุดให้นิดดูก่อน”
นิดทำท่าจะพูดอะไรแล้วก็หยุด เสียมมองเห็นแววตา
“นิดมีอะไรหรือบอกพี่มาเถอะ”
“เรื่องที่นายห้างฝรั่งคนนั้นพูด นายห้างคงส่งข่าวไปถึงพ่อพี่ แล้วพ่อพี่ก็จะมาที่นี่”
“ก็ดีซี ถ้าคุณพระอะไรนั่นมาที่นี่จริงก็จะได้เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายพี่ในวันพรุ่งนี้ไง”
เสียมพูดอย่างไม่มีความกังวลใดๆเลย
“แต่ถ้าพ่อพี่ไม่อยากได้นิดเป็นสะใภ้ละจ๊ะ ถ้าพ่อพี่มารับตัวพี่กลับไป”
“พี่ก็จะไม่กลับ ถ้าพี่ไม่ยอมไปใครก็มาบังคับพี่ไม่ได้”
“พี่จะไม่กลับกรุงเทพแน่หรือจ๊ะ”
“พี่จะกลับก็ต่อเมื่อมีนิดไปด้วยเท่านั้น”
เสียมพูดอย่างหนักแน่นแล้วประคองนิดนั่งลงบนแท่นหิน นิดยิ้มนิด ๆ
“ไปอยู่กรุงเทพ นิดก็เป็นแค่คนบ้านนอกเซ่อ ๆ ซ่า ๆ”
“แต่สำหรับพี่ นิดคือนางฟ้า”
“ผู้หญิงชาวกรุงก็สวยเหมือนนางฟ้าเหมือนกัน พอพี่เสียมไปเจอเข้า ซักวันพี่ก็จะลืมนิดเหมือนท้าวทุษยันต์ลืมนางศกุนตลา”
“ถ้าพี่เป็นท้าวทุษยันต์ พี่ก็จะจำนิดได้ เมื่อเห็นแหวนในมือนิดไง”
ทั้งสองพร่ำพลอด นิดมองค้อนเสียม
“แหวนอะไรกันจ๊ะ พี่เสียมไม่เคยให้แหวนนิดซักหน่อย”
เสียมล้วงกล่องแหวนออกมาจากผ้าคาดเอว นิดมองตาค้าง เสียมเปิดกล่องกระดาษเล็ก ๆ ออก เห็นแหวนพลอยล้อมเพชรน้ำงามพราวพร่าง
“พี่เสียม”
“ทีแรกพี่กะจะให้นิดพรุ่งนี้แต่พี่ไม่อยากรอแล้ว”
เสียมจับมือนิดขึ้นบรรจงสวมแหวนที่นิ้วนาง นิดน้ำตาคลอ กรายนิ้วดู
“สวยจังเลย”
เสียมเช็ดน้ำตาให้แล้วเอามือนิดมาจูบ
“พี่ไม่มีวันลืมนิดได้หรอก ไม่มีวัน”
นิดยิ้มสดใสดวงตาวาววาม มีเสียงฟ้าคำรามดังเเว่วมา
บริเวณท่าเรือในเช้าวันรุ่งขึ้น ทอม แมกกินนีแต่งตัวอย่างนักเดินทางมีกระเป๋ากองอยู่ 2-3 ใบ รวมทั้งรูปที่ห่อใหม่อย่างแน่นหนา แล้วยังมีชะลอมใส่ผลไม้จำพวกน้อยหน่า ทับทิม อาล็อกเองก็แต่งตัวดีกว่าเคยยืนเฝ้าของอยู่ หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ยืนอยู่กับแมกกินนี ลูกน้องพลตำรวจยืนห่างออกไป
“อะไรนะ นายเสียมเป็นลูกชายคุณพระชาญ” หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ถามย้ำอย่างไม่เชื่อ
“ที่จริงนายเสียมชื่อสรรค์”
อาล็อกยื่นหน้ามาบอก
“ชื่อเสียมอั้วเป็นคนตั้งให้เอง”
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์มองหน้า อาล็อกยิ้มแหยแล้วหดไป แมกกินนีบอก
“สรรค์ถูกคนร้ายปล้นโดนตีหัวจนความจำเสื่อมถึงได้เปะปะมาถึงเกาะสีชัง”
“ไม่น่าเชื่อเลยโชคชะตาเล่นตลกจริง ๆ”
“อาจเป็นเพราะประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”
“แต่มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ที่ท่านไปเจอเข้า”
“นั่นซี ตอนแรกฉันว่าจะไปหัวหินไม่ได้จะมาที่สีชังนี่ด้วยซ้ำ”
อาล็อกอดไม่ได้ยื่นหน้ามา แต่พูดต่อ
“จิงน่อ ถ้าไม่มีไอ้ชีเปือย เราก็คงไม่ได้ไปแถวนั้ง เลี้ยวถ้าไม่มีจัดงานก็ไม่มีทำครัว ถ้าไม่โดงสาดน้ำ ก็ไม่ส่ายขึ้งบ้าง ไม่ขึ้งบ้างก็ไม่เห็งลูบ ฮ่อ...ไม่พูดเลี้ยวน่อ”
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์มอง อาล็อกรีบสรุปหดหายไป
“แล้วนี่ท่านวิทยุโทรเลขไปแจ้งพระชาญหรือยัง”
ทอม แมกกินนีย์นิ่งไปนิดหนึ่ง
“ฉันเห็นว่าฉันจะกลับอยู่แล้วก็เลยอยากบอกพระชาญด้วยตัวฉันเอง”
“โธ่ นี่ถ้าท่านโทรเลขไปตั้งแต่เมื่อวาน ป่านนี้พระชาญก็คงมาถึงเเล้ว มาทันงานแต่งพอดี”
แมกกินนียิ้มขรึม ๆ แววตาเหมือนมีอะไรในใจ
“เอาล่ะ ถือว่าเป็นความผิดฉันเอง”
“นี่พระชาญคงดีใจที่ได้ลูกชายกลับคืนแถมยังได้ลูกสะใภ้น่ารักเพิ่มมาอีกคน”
“ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น”
แมกกินนีพูดแต่ดวงตากลับไม่คิดเช่นนั้น
ในวันมงคลนี้ ทางบ้านนิดมีการตกแต่งเป็นพิเศษสำหรับพิธีช่วงเช้ามีเพียงเเขกพวกญาติใกล้ชิดเท่านั้น ผู้คนยังไม่มากนักแต่ก็ดูคึกคักวุ่นวายพอประมาณ
บริเวณชานเรือน นางนิ่ม นางใบ แก้ว และบรรดาสาวใหญ่ สาวน้อย แต่งตัวกันอย่างงดงาม กำลังเตรียมรับขันหมาก กั้นประตู ฯลฯ กันวุ่นวาย เนื่องแต่งตัวหล่อวิ่งวุ่นจนมีอาการงง ๆ
“เอ้า จวนจะได้ฤกษ์แล้ว ทำไมขันหมากยังไม่มา” นางนิ่มถาม
“รอคุณอาหลวงหรือไงนี่ แม่” เนื่องถาม
ทับทิมโผล่บันไดเรือนขึ้นมา เสื้อคว้านคอลึกตามเคย บรรดาผู้หญิงเชิ่ดใส่ ทับทิมทำตัวกลมกลืน
“ฉันมาแล้วจ๊ะมีอะไรให้ฉันช่วยบ้าง”
“ถ้าจะช่วย ก็ช่วยปิดนมปิดต้มหน่อย เดี๋ยวพระเจ้าสวดผิดสวดถูก” แก้วว่า
ทับทิมไม่ยี่หระคลานมานั่งรวมกลุ่ม
“นี่เจ้าสาวอยู่ไหนล่ะ”
“ก็แต่งตัวอยู่ซียะ” แก้วบอก
มีเสียงฟ้าร้องครืน ลมพัดเเรง ทุกคนร้องวิ๊ดว้ายรีบตะครุบผมกลัวเสียทรง
“ว้าย ยังไงนี่ ขันหมากยังไม่ทันแห่ ฝนจะลงแล้ว” นางนิ่มบอก
“เอ้า ไปปักตะไคร้ที ใครเป็นสาวเป็นแส้ยังไม่เคยมีผัวไปปักตะไคร้ให้หน่อย” นางใบว่า
กลุ่มสาวมีผัวนั่งเชิ่ดอยู่ ส่วนกลุ่มไม่มีผัวก็คิกคักเกี่ยงกัน แก้วลุกขึ้น
“ฉันปักเอง” แก้วบอก
“ไม่ได้ นังเเก้ว เอ็งเคยเเล้ว” นางใบว่า
ทุกคนร้องฮือฮา เนื่องตาเบิกโพลง ทุกคนมองแก้วเป็นตาเดียว แก้วหน้าซีด
“จริงหรือป้า” เนื่องถาม
“เคยอะไร แม่พูดดี ๆ นะ” แก้วบอก
“ข้าหมายความว่าเอ็งเคยปักเมื่องานบวชไอ้จุ่น แล้วยังไงฝนเทลงมายังกะฟ้ารั่ว”
แก้วมองค้อนนางใบ เนื่องหัวเราะก๊าก
“พี่เนื่องหัวเราะอะไร”
“ข้านึกถึงงานไอ้จุ่น ฟ้าผ่าลงมาหน้าโบสถ์เลย”
แก้วแทบเต้น ทับทิมลุกบ้าง
“งั้นฉันปักให้เอง”
แม่นิ่มสะดุ้งมองทับทิมอย่างระเเวงระวัง นางใบก็ไม่เชื่อ พวกผู้หญิงซุบซิบกัน
“เอ็งแน่ใจนะอีทับทิม” นางใบถาม
“ต๊าย นี่เห็นฉันเป็นอะไร ถึงฉันจะเปิ๊ดสะก๊าดแต่ฉันก็รักนวลสงวนเนื้อนะ”
ทับทิมเชิ่ดจนทรวงอกเกือบจะหลุดออกจากเสื้อ
บริเวณชายหาดริมทะเลไกลออกไปมีการตั้งขบวนแห่ขันหมาก เสียมแต่งตัวเรียบร้อยดูหล่อเหลา หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์มองอย่างชื่นชม เชิดอยู่เคียงข้างดูรื่นเริงยินดีเกินปกติ นอกนั้นก็เป็นบรรดาลูกน้องตำรวจ ข้าราชการที่ด่าน แม้กระทั่งลูกค้าขาประจำของเสียมก็มาร่วมขบวนแห่ด้วย รวมถึงเด็กทะลึ่งทั้งสองคน หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์มองดูนาฬิกาข้อมือ
“จวนฤกษ์แล้ว”
เนื่องวิ่งตื๋อมารวมกลุ่ม
“อ้าว เอ็งเป็นฝ่ายเจ้าสาวทำไมไม่รอที่เรือน” เชิดถาม
“ก็ข้าเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวด้วยนี่หว่า ไงวะ เสียม ตื่นเต้นไหม” เนื่องถาม
“ไม่ตื่นเต้นแค่ดีใจอย่างเดียว”เสียมบอก
เชิดมองเสียมนิ่งเเล้วตบไหล่
“ข้าก็ดีใจกับเอ็งด้วย”
“เอ้า เตรียมขบวน” เนื่องบอก
เด็กทะลึ่ง ๒ คนเข้ามาสะกิดเนื่อง
“อะไรวะ”
“ไม่เอาเจ้าบ่าวขี่คอเหรอน้า” เด็กคนแรกว่า
เด็กอีกคนบอก
“ดอกไม้ธูปเทียนใส่มือก็ไม่มี”
“เฮ้ย...นี่มันแต่งงานโว้ย ไม่ใช่บวชนาค” เนื่องบอก
“ไป ไปได้เเล้ว เดี๋ยวเลยฤกษ์” หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์บอก
เนื่องโห่นำ คนอื่น ๆ รับ เสียงฆ้องกลองดัง ขบวนเริ่มเคลื่อน บรรดาชายหญิงชอบสนุกพากันรำป๋อ เสียมยิ้มสดใส เชิดทั้งโห่ร้องและรื่นเริงกว่าใครทุกคน
ภายในห้องนอน นิดเกล้าผมสูง ดวงหน้ากระจ่างสดใสนั่งอยู่หน้ากระจกเครื่องแป้ง แก้วอยู่ข้าง ๆ บรรจงเอาเครื่องประดับเสียบมวยผมให้
“เสร็จแล้ว” แก้วบอก
“สวยหรือยัง” นิดถาม
“ยังสู้ฉันไม่ได้”
นิดยิ้มมองหน้าแก้ว แก้วทำครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งแล้วเข้ากอดกัน แก้วทำฟืดฟาดแล้วผละออก
“แกน่ะทิ้งฉัน” แก้วบอก
“ทิ้งอะไร ฉันก็ยังอยู่ใกล้ ๆ แก้วตลอด”
“ถ้าคุณพระอะไรนั่นมาพาแกกับนายเสียมไปอยู่กรุงเทพล่ะ”
นิดแววตาเปลี่ยนไปนิดนึงแล้วยิ้ม
“แกก็ไปอยู่กรุงเทพกับฉันซี”
“ฮึ”
เสียงฆ้องกลองขบวนขันหมากดังแว่วมา แก้วตาลุกเลิกเศร้าทันที
“อุ้ยมาแล้ว ฉันไปกั้นประตูเงินประตูทองดีกว่า”
แก้วลุกพรวดพราดออกไปจากห้อง นิดอมยิ้มหันไปดูตัวเองในกระจกแล้วเปิดกล่องแหวนเอาแหวนของเสียมมาสวมด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
สาวน้อย ตอนที่ ๑o (ต่อ)
บริเวณชานเรือนบ้านนิด ส่วนที่ยกพื้น เสียมนั่งอยู่หน้าเก้าอี้รับแขก มีพานขันหมากวางอยู่ บนเก้าอี้รับแขก นางนิ่ม และหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์นั่งอยู่ เนื่องและเชิดคอยช่วยอยู่ใกล้ ๆ นางใบก็ทำหน้าที่นับสินสอดอยู่ใกล้ ๆ
ถัดมาทางด้านหนึ่งของยกพื้นเป็นที่นั่งของพวกข้าราชการด่านภาษี ตำรวจ ส่วนที่ชานเรือนมีบรรดาแขกเหรื่อเต็มพื้นที่ ทับทิมนั่งเด่นอยู่
“อุ๊ย ทำไมนับได้เกิน เงินงอกจ๊ะ เงินงอก” นางใบว่า
ทุกคนรับมุขร้องฮือฮาพยักเพยิด ทับทิมหน้าเบ้เปรยเบา ๆ คนข้าง ๆ เขม่น
“ต๊าย อัฐยายซื้อขนมยายน่ะซี”
“เจ้าสาวอยู่ไหนกันนี่” หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ถาม
ประตูห้องนิดเปิดออก แก้วเปลี่ยนชุดใหม่เดินหน้าผ่องนำนิดออกมา ทุกคนมองดูเจ้าสาว ตามด้วยเสียงฮือฮาชมเชย
นิดนุ่งซิ่นห่มสไบมีเครื่องประดับน้อยชิ้น ผมเกล้าสูงทำให้ดูสาวเต็มตัว เสียมมองดูนิดอย่างจะจดจำทุกรายละเอียด นิดหน้าแดงพยายามข่มความขัดเขินไว้ ระบายยิ้มน้อยๆที่ริมฝีปาก คนรอบข้างชมเชยกับความงามของเจ้าสาว ทับทิมมองค้อนอย่างริษยา
นิดนั่งลงแทบเท้าแม่มองดูเสียมที่ยิ้มละไมมองนิดราวจะกลืนกิน แก้วมองดูเนื่องที่ยักคิ้วให้ แก้วแลบลิ้นหลอก นางใบหยิกลูกสาวหมับ
เชิดมองดูคู่บ่าวสาว ปากแย้มยิ้ม แต่ดวงตาร้าวราน ทับทิมมองดูแล้วยิ่งเสียดาย
นางนิ่มกระซิบบอก นิดขยับมานั่งเคียงคู่เสียมจนไหล่แทบติดกัน เสียมและนิดสบตากัน มีเสียงฟ้าคำรามดังขึ้นมาเบา ๆ
เมฆฝนมหึมาเคลื่อนพยัพโพยมมาบนท้องฟ้า
ภายในห้องโถงของบ้านโพธิธารา พระชาญชลาศัยกับมารศรีนั่งอยู่บนโซฟายาว ทอม แมกกินนีนั่งอยู่ตรงข้าม แม่ผินยืนอยู่ห่างออกมา บรรดาคนรับใช้ถูกไล่ออกไปไม่ให้ได้ยินการสนทนา พระชาญชลาศัยเบิกตากว้างแทบจะลุกพรวดขึ้น
“สรรค์อยู่ที่สีชัง!”
“ใช่แล้ว คุณพระ”
แม่ผินยกมือไหว้ท่วมหัวเข่าอ่อนจนต้องนั่งบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง
“คุณพระ คุณเจ้าช่วยเราเเล้ว”
มารศรีมีแววโล่งอกบางอย่างหันไปบีบมือพระชาญชลาศัยอย่างให้กำลังใจ
“เห็นไหมคะ ฉันบอกแล้วว่าอย่าเพิ่งหมดหวัง”
แม่ผินปรายตามองมารศรีว่าแสแสร้ง มารศรีไม่สนใจ
“แล้วสรรค์เป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็เป็นอย่างที่เราสงสัยกัน สรรค์ความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้แม้แต่ชื่อของตัวเอง” ทอมบอก
“โธ่เอ๋ย ลูก”
“สรรค์มีชื่อใหม่ทำตัวเหมือนชาวเกาะคนหนึ่ง ทำไร่ผักจับปลา ผิวดำคล้ำดูผอมไปกว่าเดิมนิหน่อย”
“โธ่ถัง คุณหนูนี่มันเวรกรรมอะไรกันนะ”
พระชาญชลาศัยกับแม่ผินดูทุกข์ร้อนแสนสาหัส แต่มารศรีดูขบขันวูบขึ้นมา
“เป็นชาวประมง นี่มันถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมเลยหรือจ๊ะ แม่ผิน”
พระชาญชลาศัยลุกพรวดขึ้นทำท่าจะไปโทรศัพท์
“เดี๋ยวผมจะติดต่อหาเรือเร็ว พรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางแต่เช้า”
“เดี๋ยวก่อนเถอะครับยังมีอีกเรื่องนึงที่คุณพระควรจะรู้” ทอมบอก
พระชาญชลาศัยนั่งลงด้วยความรู้สึกกลัวว่าจะเป็นข่าวร้าย แม่ผินจ้องแมกกินนีตาเป๋ง
“อะไรหรือครับ”
“โธ่ ครูฝรั่งบอกมาเร็ว ๆ เถอะค่ะ”
“ตอนนี้สรรค์แต่งงานแล้วกับผู้หญิงชาวเกาะนั่น” ทอมบอก
“อะไรนะ”
“ว้าย ไม่ได้นะ นังชาวเกาะบ้านนอกจะมาเป็นเมียคุณหนูได้ยังไง”
พระชาญชลาศัยตกใจ แม่ผินตบอกผาง มารศรีมีแววยิ้มสมน้ำหน้าที่ใบหน้า
“ตาย คุณสรรค์ผู้แสนจะถือตัว ไปแต่งงานกับผู้หญิงต่ำ ๆ ได้ยังไงกัน” มารศรีว่า
“ได้หรือไม่ได้เขาก็แต่งกันไปเเล้ว” ทอมบอก
“แล้วนี่ถ้าคุณสุวลีผู้สูงศักดิ์รู้เข้าจะทำยังไงกันคะ”
แม่ผินมองหน้าพระชาญชลาศัยที่นิ่งอึ้ง มารศรีเหลือบดูพลางยิ้มบนใบหน้า
ยามค่ำคืนบนถนนย่านบันเทิงของกรุงเทพฯ เป็นแหล่งภัตตาคาร เบียร์ฮอลล์ โรงภาพยนตร์ โรงละคร แสงไฟสว่าง ไฟหลากสีต่าง ๆ ถูกประดับอย่างแพรวพราว ผู้คน ยวดยานต่าง ๆ แล่นกันขวักไขว่
ภายในโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กซึ่งมีแถวเก้าอี้วางเรียงราย ที่บริเวณเก้าอี้ชั้นหนึ่งมีผ้าหุ้มพนักดูสะอาดตา บนจอกำลังฉายภาพยนตร์โรแมนซ์ขาวดำของฮอลลีวูด
ธนานั่งติดอยู่กับสุวลี ถัดมาคืออนงค์ นพเเละรตี กำลังนั่งดูภาพบนจออย่างเพลิดเพลิน ภาพบนจอกำลังเป็นฉากหวานดูดดื่มของพระเอกนางเอก
ธนาละสายตาจากภาพบนจอเหลือบดูสุวลีอย่างแสนรัก แล้วเลื่อนมือมากุมมือสุวลีที่วางบนพนัก
สุวลีสวมสร้อยข้อมือเพชรที่ธนาให้ สุวลีชะงักมีแววสับสนลังเล แต่แล้วก็ไม่ดึงมือออก อนงค์เหลือบสายตามาเห็นเข้าก็ตาโตสะกิดนพ นพเหลือบดูแล้วอมยิ้ม อนงค์หัวเราะคิกคักอย่างพอใจ รตีนั่งอยู่สงสัยจึงชะโงกดู เห็นมือธนาที่กุมสุวลีอยู่ก็หน้าบึ้ง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร
ธนาเหลือบดูหน้าสุวลีอีก แต่สุวลียังคงมองดูภาพบนจอนิ่ง
หน้าบ้านนิดในเวลากลางคืนมีตะเกียงเจ้าพายุแขวนไว้ 2-3 ตัว แสงสว่างจ้า ที่ศาลาชั่วคราวกลายเป็นวงสุราอาหารของแขกผู้ชายที่ส่งเสียงสรวลเสเฮฮากัน
บนเรือนก็มีการกินเลี้ยงกันไม่จบสิ้น บนยกพื้นเป็นวงของผู้ใหญ่กับคู่บ่าวสาว ที่ชานเรือนเป็นวงของบรรดาแขกและญาติสนิทอีก 2-3 วง
ที่วงผู้ใหญ่มี นางนิ่ม หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ นายด่าน และแม่ปรางภรรยา เสียม นิด และเนื่อง ทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าโลกจะกลมขนาดนี้” หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ว่า
“ผมจะใช่ลูกคุณพระอะไรนั่นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฝรั่งนั่นอาจจะจำผิดก็ได้”
นิดมีสีหน้าหม่นลง
“แต่ที่นายห้างนั่นพูดก็ฟังเข้าเค้านะเสียม เอ็งน่าจะเป็นลูกผู้ดีจากบางกอกจริง ๆ” เนื่องบอก
“จริงหรือไม่จริง อีกวันสองวันก็รู้เเล้ว ฉันว่าพระชาญคงจะมาสีชัง ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้”
นางนิ่มสบตานิดที่กำลังฝืนยิ้มอยู่
“คุณพระชาญใจดีไหมจ๊ะ คุณอาหลวง” นิดถามราวกับจะหยั่งเชิง
“อาเองก็แค่รู้จักห่าง ๆ ไม่ถึงกับสนิทมาก แต่อาแน่ใจว่าคุณพระเป็นคนใจดี”
“หรือจ๊ะ”
นิดค่อยยิ้มออก เสียมสบตาพลางยิ้มให้ นิดยิ้มตอบ
ที่ชานเรือน วงข้าวอีกวงหนึ่ง เป็นกลุ่มหนุ่มสาวกำลังกินข้าวพูดคุยกันสนุกสนาน แก้วและทับทิมอยู่ในวงนี้ ทับทิมมองดูเสียมกับนิดก็ยิ่งริษยาค้อนขวับ
“จนป่านนี้แล้วเลิกอาลัยอาวรณ์เสียทีเถอะ” แก้วบอก
“แกพูดอะไร ฉันแค่เห็นนิดมันแต่งตัวสวยก็ดูมันแค่นั้นแหละ” ทับทิมเฉไฉ
“ใช่ ใช่ ยิ่งแหวนหมั้นนะ แบบก็สวย ฝีมือเจียก็ดี๊ดี” สาวคนนหึ่งในวงพูดขึ้น
“อุ๊ย แหวนหมั้นอะไรกัน ฉันว่าแหวนเก่าแม่นิ่มมากกว่า”
“ใครบอกยะ แหวนนี่ นายเสียมเพิ่งไปซื้อจากเมืองชลเมื่อวานนี้เอง”
ทับทิมยิ้มเยาะแล้วว่า
“แล้วเอาเงินที่ไหนไปซื้ออัฐยายซื้อขนมยายหรือเปล่า”
“นี่อย่ามาสู่รู้ เมื่อวานนายเสียมขายรูปไปได้เงินมาตั้ง 200 บาท”
ทับทิมตาเบิกโพลง คนอื่นร้องฮือฮา
“200 บาท!”
“ที่จริงน่ะนายเสียมเป็นลูกเศรษฐีผู้ดีเก่า เหง้าผู้ดีบางกอก เกิดเบื่อชีวิตชาวกรุงก็เลยหนีมาเป็นชาวเกาะ” แก้วบอก
ทุกคนพร้อมฮือฮาหันไปมองดูเสียม
“ฉันไม่เชื่อ” ทับทิมบอก
“ที่นายเสียมปลอมตัวมาเป็นจับกังก็เพราะจะมาหารักแท้”
แก้วยิ่งพูดยิ่งใส่ไข่ คนฟังเริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ต๊าย ยังกะเรื่องเจ้าเงาะกะรจนา” ผู้หญิงอีกคนในวงบอก
“นังแก้ว ฉันไม่เชื่อ แกอย่าเอาเรื่องประโลมโลกมาโกหกฉัน”
“ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ”
“ค่ำแล้วฉันกลับดีกว่า”
ทับทิมลุกขึ้นมองเสียมอย่างเสียดายจับจิตแล้วสะบัดพรืดไป แก้วเยาะเย้ยไล่หลัง
บริเวณศาลาชั่วคราวมีวงเหล้าถึง 2-3 วง เป็นวงรุ่นใหญ่วัยดึก วงของพวกข้าราชการ และวงของหนุ่ม ๆ เชิดดื่มกินอย่างสนุกสนาน เนื่องเข้ามารวมกลุ่ม
“เมาหรือยังวะ” เชิดถาม
“โธ่ มัวแต่วิ่งวุ่นอยู่ยังไม่กินซักหยด” เนื่องบอก
ที่บันไดเรือน นิดเดินถือถาดไก่ต้มโผล่มา เชิดแหงนดู เนื่องเอาถาดใบเเรกกลับไปวงเหล้า เชิดรับถาดมา
“ทำไมนิดต้องยกมาเอง” เชิดถาม
“นิดก็อยากดูบ้างซีจ๊ะว่า ข้างล่างสนุกกันแค่ไหน”
“มีแต่ขี้เหล้าไม่เห็นมีอะไรน่าดู”
“ว่าแต่พี่เชิดเถอะกินอะไรบ้างนะจ๊ะ อย่ามัวแต่กินยอดข้าวอยู่”
เชิดพยักหน้ามองนิดนิ่ง
“พี่ยังไม่ได้อวยพรนิดเลย พี่ขอให้นิดมีความสุข และขอให้นิดรู้ว่า ไม่ว่ายังไงนิดยังมีพี่ที่ยังเป็นห่วง และจะคอยดูแลนิดตลอดไป”
“ขอบใจมากจ๊ะพี่เชิด”
มีเสียงของแตกเพล้งแล้วตามมาด้วยเสียงสบถดัง เชิดหันไปดูหน้าเคร่งขึ้นแล้วพยักหน้าให้นิดหลบไป
ที่วงเหล้าของกลุ่มคนแก่ ตาฟูเมาได้ที่กำลังเงื้อง่าขวดเหล้า มีจานชามแตกอยู่ตรงหน้า เพื่อนร่วมวงก็กำลังของขึ้นอยู่ใกล้ๆจะเล่นงานตาฟู
“มึงพูดอย่างงี้ มันหยามกันนี่หว่า”
นางใบก้าวเข้ามาคว้าเเขนไว้
“นี่...อย่านะ นี่งานมงคลอย่าให้มีเรื่องมีราวเลย”
“เออ...เอ็งก็ดูผัวเอ็งให้ดี ๆ เถอะ” ชายคนหนึ่งในวงบอก
“กลับ! กลับเดี๋ยวนี้ไอ้ฟู” นางใบบอก
“กูไม่กลับ หนอยมาทำแรดเป็นแม่งาน ถุย”
ตาฟูสะบัด นางใบถลาไปจนหัวโขกเสา ทันใดเชิดก้าวพรวดมาล็อกตัวตาฟูไว้แน่น
“โอ้ย ปล่อย ๆ กู”
“น้าใบ เป็นอะไรหรือเปล่า” เชิดถาม
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
“งั้นน้ากลับเถอะ ฉันจะไปส่งเอง”
เชิดล็อกตัวตาฟูแล้วเดินไปโดยมีนางใบรีบเดินตามไปติดๆ แก้วโผล่มาดูที่บันได นิดประคองอยู่แก้วที่โกรธจนน้ำตาเอ่ออยู่ข้างๆ
ที่วงอาหารของเจ้าบ่าวเจ้าสาวกำลังกินของหวาน ล้วนแต่เป็นขนมมงคล เสียม นิด นางนิ่ม หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ นายด่าน และแม่ปราง
“เอ๊ะ เมื่อไรถึงจะได้ฤกษ์ส่งตัว” หลวงพิจารณ์ถาม
นิดหน้าแดงด้วยความอาย
“หลวงพ่อให้ฤกษ์มาอีก 3 วันจ๊ะ” แม่นิ่มบอก
“หา 3 วัน ฤกษ์อะไรอย่างงี้”
เสียมกับนิดรวมทั้งนายด่านกับแม่ปรางรู้อยู่ก่อนแล้ว
“ก็หลวงพ่อให้มาอย่างนี้จริง ๆ นะคะ คุณหลวง”
“ฉันกับแม่ปรางจะมาปูที่นอนให้ก็เลยต้องรอไปด้วย” นายด่านบอก
นายด่านพูดยิ้ม ๆ แม่ปรางหัวเราะ
“ไอ้คนแก่รอน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่คนหนุ่มน่ะซี” แม่ปรางว่า
เสียมเหลือบดูเจ้าสาว นิดหยิกเข้าให้
“แล้วนี่พ่อเสียมจะทำยังไงนี่”
“ก็ต้องไปนอนเฝ้าหอตามธรรมเนียมน่ะซี” นางนิ่มบอก
“นี่ยังดีนะ แค่ 3 วัน แต่ก่อนเจ้าบ่าวต้องเฝ้าหอเจ็ดวันก็มี” แม่ปรางว่า
“รอไหวไหม เสียม” นายด่านถาม
เสียมอมยิ้ม นิดยิ่งหน้าแดง มีเสียงฟ้าร้องอยู่ไกล ๆ แว่วมา
บริเวณชายหาดในเวลากลางคืน ลมแรงพัดอย่างกรูเกียว นิดกับเสียมเดินคลอเคลียกันมา แก้วเดินตาม เนื่องกำลังเข็นเรือเล็กลงน้ำ
“ฝนตั้งเค้ามาแล้วเดี๋ยวคงตกแน่” เสียมบอก
“เราโชคดีจังนะจ๊ะ ช่วงนี้ฝนตกทุกวันแต่วันนี้ไม่มีเลย” นิดว่า
“แกต้องไปขอบใจนังทับทิมมัน มันปักตะไคร้ให้แกหน้าดำหน้าแดง” แก้วว่า
“เอาไว้วันหลังค่อยส่งพี่เสียมไปขอบใจก็แล้วกัน” นิดบอก
“เกี่ยวอะไรกับพี่ด้วย หือ”
“ทีแรกข้าคิดว่ามันปักปุ๊บ ฝนจะตกมาปั๊บซะอีก” เนื่องบอก
“ฮิ ฮิ ฮิ พี่เนื่องคิดเหมือนฉัน” แก้วเห็นด้วย
แก้วกับเนื่องหัวเราะกันอย่างสนุกสนานแต่นิดทำหน้าเคร่งแล้วถาม
“พี่เสียมเป็นอะไรไปจ๊ะ”
เนื่องพรวดมาดู เสียมยืดตัวตรง
“จะอะไรก็เมานะซี ต้องเวียนไปกินตั้งกี่วงต่อกี่วง” แก้วบอก
“นี่เอ็งเมาแล้วหรือไอ้เสียม” เนื่องถาม
“เมาอะไรกันกินเข้าไปแค่จิบ ๆ เท่านั้น” เสียมบอก
“แล้วทำไมถึงหน้ามืดละจ๊ะ”
“เมื่อคืนพี่คงนอนน้อยไปหน่อย” เสียมบอก
“งั้นคืนนี้พี่เสียมนอนให้เต็มที่เลยนะจ๊ะ”
เสียมยิ้มมองนิดอย่างสุดรัก นิดยิ้มตอบ แก้วทำหน้าเบ้
“ไป!”
เสียมกับเนื่องไปขึ้นเรือ เนื่องเป็นคนพาย เรือแล่นไปยังเกาะวิมานน้อย นิดมองตาม แก้วทำหน้าเซ็ง
“กลับเรือนเถอะ วันนี้ฉันเหนื่อยสายตัวแทบขาด”
แก้วลากนิดกลับเรือน นิดยังคงเหลียวดูเสียมตาละห้อย
บริเวณเพิงยาดองซึ่งมีโหลยาดองติดป้ายชื่อประหลาดบอกสรรพคุณเรียงราย แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันวับแวม ลุงคนขายส่งจอกให้เชิด เชิดรับมาดื่มรวดเดียวหมด
“รินมาอีก ลุง”
ลุงคนขายมองหน้าเชิดที่ดูขาวซีด ดวงตามีแววขมขื่นทุกข์ทน
“เฮ้ย พอเถอะ ไอ้เชิด”
“ฉันยังไหว ลุง รินมาเถอะ”
ลุงตักเหล้าลงจอกให้
“จอกนี้จอกสุดท้ายนะโว้ย ข้าจะเก็บของแล้ว”
เชิดพยักหน้าเทเหล้าลงคออีก มีคนเดินเข้ามาแต่เชิดไม่สนใจ
“โธ่กูนึกว่าใคร ไอ้เพื่อนเจ้าบ่าวนี่เอง”
เชิดเหลือบดูก็เห็นแม้นเมาแประ รักแร้หนีบขวดเหล้าเดินเซมา เกาะร้านยาดองไว้ไม้ให้ล้ม
“ลุง”
“กูไม่ขายแล้วโว้ย กูเก็บร้านแล้ว”
แม้นหัวเราะคิกคักนั่งลงข้างๆเชิด
“ที่บ้านงานไม่เลี้ยงเหล้าหรือวะ ถึงได้มาเมาแถวนี้”
เชิดหน้าเคร่งมองจ้องแม้นอย่างจงชัง
“แต่สารรูปอย่างเอ็งนี่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือพวกอกหักรักคุด”
เชิดลุกพรวดขึ้นเดินหนี แม้นหัวเราะไล่หลัง
บริเวณเนินทรายสูง ลมแรงพัดจนทรายฟุ้ง ฟ้าร้องดังใกล้เข้ามา เชิดเดินตรงไปเรื่อย ๆ
“จะรีบไปไหน ป่านนี้มันเข้าหอกันไปถึงไหน ๆ แล้ว”
เชิดชะงักยืนนิ่ง แม้นเดินตามมาใกล้
“น่าเห็นใจว่ะ เสียเเรงเฝ้าอีนิดมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ลงท้ายไอ้หนุ่มกรุงมาจากไหนก็ไม่รู้ คว้าไปกินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว”
แม้นหัวเราะคิกคักสมใจแล้วพูดต่อ
“โถ ไอ้มดแดงแฝงพวงมะม่วงแต่กูว่ามดแดงยังดีกว่ามึง มดแดงถึงไม่ได้กินก็ยังได้ไต่ได้ดมบ้าง แต่เอ็งนี่มันอดแดกตลอดชาติว่ะ”
เชิดหันขวับมาต่อยโครมเข้าเต็มที่หน้าแม้นจนผงะไป เชิดตามติดระดมหมัดเข้าใส่อย่างไม่ยั้ง แม้นปัดป้องล้มลงกับพื้นทราย เชิดเข้าเตะอัดซ้ายขวา กระทืบ แล้วเตะซ้ำ แม้นกลิ้งหลุน ๆ ลงจากสันทราย ตกลงไปยังโขดหิน หัวกระแทกเข้ากับแง่หินดังสนั่น เลือดไหลปรี่ออกมา แม้นแน่นิ่งไป เชิดยืนนิ่ง ไฟโทสะดูไม่จางลง ฟ้าแลบสว่างจ้า
ภายในห้องนอน นิดนั่งแปรงผมอยู่หน้ากระจก ดวงหน้าสดใส ดวงตาระยิบระยับ บนที่นอน แก้วนอนหลับสลบไสลไปแล้ว บนม้าเครื่องแป้งมีนิตยสารทั้งกอง นิตยสารหน้าปกสุวลีอยู่เล่มบนสุด นิดหยิบมาดูอย่างชื่นชม ไขตะเกียงให้สว่างขึ้น แล้วพลิกดูด้านใน
“สุวลี กีรติขจร ภาพสีน้ำมันฝีมือสรรค์ โพธิ์ธารา”
นิดเอะใจ นึกถึงทอม แมกกินนีพูดกับเสียม
“เธอชื่อสรรค์ เป็นนักเรียนกสิกรรมที่ฟิลิปปินส์”
นิดเม้มปากแล้วปิดหนังสือลง พิศดูฝีแปรงในรูปปก
ชานเรือนอยู่ในความเงียบ ตะเกียงดวงเล็กจุดไว้ส่องแสงหรุบหรู่ นิดมีผ้าคลุมผมตวัดพันคอทิ้งชาย ถือนิตยสารมาด้วย นอกชานเรือนมีแขกมาช่วยงาน ๓-๔ คน กางมุ้ง ๒ หลังอยู่ที่ยกพื้น นิดเดินผ่านไปเงียบ ๆ
นิดเดินผ่านศาลาชั่วคราว มีพวกขี้เหล้าเมาพิงเสา บ้างนอนผังผาย บ้างนอนแผ่บนพื้น เห็นเนื่องนอนตะแคงกอดหมอนใบใหญ่อยู่
นิดพายเรือลำเล็กเเล่นตรงไปยังเกาะวิมานน้อย ลมแรงพัดกรูมาจนผ้าปลิวไสว ฟ้าแลบสว่าง
ในเรือนหอตกแต่งอย่างโปร่งโล่งมีเครื่องเรือนน้อยชื้นแต่ดูงดงาม เสียมนั่งบนตั่งนอน เอาหมอนว้อนพิงฝานั่งเอนอยู่ ตาสว่างด้วยความตื่นเต้น แสงฟ้าแลบเข้ามาทางหน้าต่าง ม่านบังตาฉลุปลิวไสว ตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืน ทันใดมีเสียงเคาะประตูด้านนอก เสียมลุกขึ้น
ห้องชั้นนอกเป็นห้องอเนกประสงค์ มีส่วนนั่งเล่น ชั้นวางหนังสือ ส่วนหนึ่งเป็นมุมเขียนรูปของเสียม
มีเสียงเคาะประตูดังอีก เสียมก้าวจากห้องนอนด้านใน ตรงไปที่ประตูแล้วเปิดออก เสียมชะงักไป เมื่อเห็นร่างที่ยืนบนระเบียงตรงหน้า
เชิดยืนอยู่ หน้าซีดเผือด ดางตาแข็งกร้าว
“เชิด มาได้ยังไงนี่...เข้ามาก่อน”
เชิดเดินเข้าไป เสียมงับประตูปิดลง เชิดมองดูรอบ ๆ ห้อง แล้วหันมาหาเสียม
“ทำไมถึงเมามากขนาดนี้”
“ข้าเมายังไงก็ยังรู้ตัวดี ข้ายังไม่ได้อวยพรให้เอ็งเลย”
เสียมยิ้ม
“โธ่เอ๋ย คิดว่าเรื่องอะไร”
“ขอให้เอ็งกับนิดรักกันไม่มีวันคลาย”
ที่ระเบียงชั้นนอก นิดก้าวมาหน้าประตู แปลกใจที่ได้ยินเสียงเชิดอยู่กับสรรค์
“...อยู่ด้วยกันมีความสุขตลอดไป”
“โธ่เอ๋ย พี่เชิด” นิดพึมพำเบาๆ
ภายในห้องเชิดมองเสียมอย่างคาดคั้น เสียมยิ้มกึ่งแปลกใจกับท่าทีของเชิด
“ขอบใจมากเชิด ฉันจะถือคำอวยพรนี้เหมือนคำมั่นสัญญาเลยก็ได้”
“คำมั่นสัญญา”
“ใช่ คำมั่นสัญญา”
ฟ้าแลบสว่างเข้ามาในห้อง เสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ที่ระเบียง นิดยังยืนนิ่งฟังอยู่ ภายในห้อง เชิดคว้ามือเสียมขึ้นแล้วพูดเสียงเข้ม ชัดเจน
“แต่ถ้าวันไหนเอ็งผิดคำมั่นสัญญา เอ็งหมดรักนิด ทอดทิ้งนิด ทำให้นิดเป็นทุกข์ ทำให้นิดเสียใจ”
เสียมจ้องตาเชิด
“ข้าจะฆ่าเอ็งด้วยมือของข้าให้เอ็งเจ็บปวดทรมานที่สุด”
ที่ระเบียงนิดเบิกตากว้างยกมือปิดปาก
เสียมยิ้มสบตาเชิดพูดหนักแน่น
“ถ้าฉันทำเช่นนั้น ฉันก็สมควรตาย ขอให้ฆ่าฉันโดยไม่ต้องเวทนาปราณีอะไรทั้งนั้น”
เสียมพูดหนักแน่นแล้วสบตาเชิด เชิดตาอ่อนแสงลงแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ
นิดตัดสินใจก้าวลงจากระเบียง เดินลงบันไดหิน ลมแรงพัดอยู่รอบตัว ผ้าพันคอปลิวไสว ฟ้าแลบสว่างระคนกับเสียงคำรามของฟ้า
เช้าวันใหม่ ตรงแท่นหินใต้ต้นน้อยหน่า นิดยืนเหม่อมองทะเลอยู่ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆฝน ลมพัดแรงจนนิดต้องกอดอกไว้ เสียมเดินมาหยุดมองดูนิดอย่างแสนรัก นิดยังคงไม่รู้ตัวจนเสียมเดินมาใกล้
“นิด”
นิดสะดุ้งฝืนยิ้มหันมา เสียมเข้าไปกุมมือไว้
“พี่เสียมตื่นสายจัง นิดรอพี่กินข้าวอยู่”
“นิดมีอะไรในใจหรือ ทำไมนิดดูไม่สบายใจเลย”
นิดถอนใจ
“พี่เชิดจ๊ะ พี่เชิดไปแล้ว”
“อะไรนะ เชิดไปไหน”
“ไปเมืองจันท์จ๊ะ”
“เชิดมันก็ไปเมืองจันท์อยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่หรือ”
“เเต่คราวนี้พี่เชิดขนของไปหมด บ้านก็ปิดตายเหมือนจะไม่กลับมาอีก”
เสียมอึ้งไป สบตานิดรู้กันเองโดยไม่ต้องพูดว่าเพราะอะไร
“ไม่หรอกนิด สักวันเชิดก็คงกลับมา ลูกสีชังทิ้งสีชังไปไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องกลับมาวันยังค่ำ”
นิดพยักหน้าผืนยิ้ม ทั้งคู่มองไปแล้วแปลกใจ เมื่อเห็นชาย ๓ คนเดินมา คนแรกคือหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ คนที่สองเป็นชายวัยราว ๔๐ สวมแว่นดูสะอาดสะอ้าน และชายคนที่ ๓ คือ พระชาญชลาศัย
จบตอนที่ ๑o