ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 14
อาทิจทำงานหน้านิ่งอยู่กับเกร็ง ต๊อด อึ่ง พัน คนงานอื่นทำงานอยู่ไกลๆ ดรุณีพาตุลยานีเข้ามาหา ตุลยานีฉอเลาะจ๊ะจ๋า ส่งตาหวาน
“พี่อาทิจขา ไหนบอกวันนี้จะพาตุ่นไปเที่ยวน้ำตกไงคะ พี่อาทิจลืมนัดตุ่นแล้วเหรอ”
ดรุณีฝืนยิ้ม
“นัดสำคัญอย่างนี้ลืมได้ยังไงคะพี่อาทิจ...ฝากดูแลยายตุ่นดีๆนะคะ อย่าลืมเรื่องที่เราคุยกันไว้”
อาทิจเจ็บอกไม่น้อยกว่าดรุณี แต่หันไปพูดกับตุลยานีก่อน
“ผมไม่ลืมครับคุณตุ่น แต่ผมเห็นว่าตอนนี้แดดยังแรงอยู่ ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวบ่ายแก่ๆ จะเข้าไปรับที่บ้าน” ชายหนุ่มหันมาบอกดรุณี “ส่วนเรื่องที่เราคุยกันไว้พี่ก็ไม่ลืม พี่รับปากว่าพี่จะทำตามนั้น...ทุกอย่าง แล้วแต่น้องณี”
ดรุณีสะอึก นี่เธอเป็นอะไร ทำไมคำพูดของอาทิจถึงทำให้เธอเจ็บปวดได้ขนาดนี้ มันเป็นความต้องการของเธอเองไม่ใช่หรือ ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พัน แอบสังเกตการณ์...เกิดอะไรขึ้น ตุลยานีออเซาะประจบน่ารัก
“ถ้างั้น...ตุ่นช่วยพี่อาทิจเก็บส้มก่อนนะคะ”
“ครับ”
หญิงสาวปรี่เข้าไปช่วยชายหนุ่มเก็บส้มทันที ดรุณีมองภาพเพื่อนรักกับอาทิจแล้วนึกถึงช่วงที่เคยมีความทรงจำดีๆด้วยกัน...ตอนนั้นเธอช่วยเขาเก็บส้มอย่างมีความสุข
“เราจะช่วยกันทำงานอย่างนี้ตลอดไปนะคะพี่อาทิจ”
“เมื่อไหร่น้องณีมีครอบครัว ก็อาจจะไม่มีเวลามาช่วยพี่แบบนี้”
“พี่อาทิจก็เหมือนกัน”
“ไม่...พี่พิสูจน์ให้เห็นแล้ว”
“นั่นไม่ใช่ครอบครัวค่ะ พี่อาทิจไม่ได้แต่งงานอยู่กินกับผู้หญิงที่ตัวเองรัก พี่อาทิจก็พูดได้ แต่ถ้าพี่อาทิจเจอคนที่รักที่ใช่เมื่อไหร่ พี่อาทิจคงไม่มีเวลาทุ่มเทกับงานอย่างนี้ ดีไม่ดีอาจจะเลือกไปจากที่นี่เลยก็ได้”
“พี่เคยบอกน้องณีแล้วใช่มั้ย พี่จะไม่มีวันไปจากที่นี่ ยกเว้นคนที่นี่จะไม่อยากให้พี่อยู่ สักวันน้องณีอาจจะไม่อยากให้พี่อยู่ที่นี่ก็ได้”
“ไม่มีวัน แรงงานถึกๆอย่างพี่อาทิจไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ”
อาทิจน้อยใจนิดๆ
“เหตุผลหลักๆมีแค่นี้เองเหรอ”
ดรุณีหัวเราะ
“ไม่ใช่ค่ะ...พี่อาทิจเป็นหัวใจของเราทุกคนที่นี่ เราจะอยู่กันโดยไม่มีหัวใจได้ยังไง”
อาทิจพูดเน้นๆซึ้งๆ
“เรา...หมายถึงน้องณีด้วยรึเปล่า”
“แน่นอนที่สุดค่ะ พี่อาทิจคือหัวใจของณี”
ทั้งคู่ยิ้มให้กัน สดชื่นแจ่มใส หัวใจพองโต
ดรุณียืนน้ำตารื้น ตุลยานีหันมาเรียก
“ยายณี ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น มาช่วยพี่อาทิจเก็บส้ม มา”
ดรุณีตื่นจากภวังค์ รีบยิ้มกลบเกลื่อนทันที
“ตุ่นช่วยพี่อาทิจเก็บเถอะนะ ณีขอตัวไปเตรียมอาหารเย็นให้ดีกว่า เที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ”
อาทิจแอบเหลือบมองดรุณีผ่านช่องว่างของส้มที่ห้อยระย้าตลอดเวลาแต่ดรุณีไม่เห็น หญิงสาวคิดว่าชายหนุ่มไม่สนใจ จึงเดินเลี่ยงออกมา โดยที่น้ำตาแห่งความน้อยใจคลอหน่วยขึ้นมาอีก
แก้วถอนใจหนัก ก่อนจะตัดสินใจขยับเข้าไปหาดรุณีซึ่งกำลังเตรียมเครื่องแกงหองอยู่
“น้าแก้วอยากให้คุณณีคิดดีๆนะคะ เรื่องคุณอาทิจ”
ดรุณีสะท้อนใจ
“เราพูดเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้วนะคะน้าแก้ว พี่อาทิจไม่ได้รักณีค่ะ ณีเป็นแค่น้องสาว เป็นแค่เด็กในปกครองของพี่อาทิจเท่านั้น”
“คุณณีไม่รู้ใจคุณอาทิจจริงๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ค่ะ”
“รู้สิคะ ณีรู้ว่าพี่อาทิจชอบยายตุ่น เขา สองคนเหมาะกันมาก ณีว่าอีกไม่นานเขาคงแต่งงานกัน แล้วก็ช่วยกันดูแลที่นี่ พี่อาทิจรักที่นี่คงไม่ย้ายไปไหน ยายตุ่นเองก็น่าจะปรับตัวให้อยู่ที่นี่ได้เพราะรักพี่อาทิจมาก”
“แล้วคุณณีล่ะค่ะ จะแต่งงานกับคุณเวแล้วไปอยู่บ้านท่านผู้ว่าอย่างนั้นหรือคะ”
ดรุณีผ่อนลมหายใจยาว
“พี่เวก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนี่คะน้าแก้ว ใครๆก็บอกว่าเขาเหมาะสมกับณีทุกอย่าง”
“ใครๆของคุณณีหมายถึงใครคะ”
ดรุณีนึกถึง หน้าอาทิจ ลอยมา
“ความเหมาะสมไม่ได้สำคัญมากไปกว่าความรักนะคะ น้าแก้วอยากให้คุณณีตัดเรื่องความเหมาะสมทิ้งไป แล้วลองถามใจตัวเองก่อนว่าคุณณีรักคุณเวรึเปล่า ที่สำคัญ...คุณณีพร้อมจะเสียคุณอาทิจให้คุณตุ่นไปจริงๆมั้ย ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไปนะคะ”
ดรุณีอึ้ง...ตอนนี้ทุกอย่างมันยังไม่สายเกินไปอีกหรือ
น้ำที่ตกจากเบื้องสูงกระแทกตัวสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง ละอองน้ำฟุ้งกระจาย อาทิจจับมือตุลยานีซึ่งเดินทรงตัวไม่ถนัดนัก ลัดเลาะมาตามโขดหิน ทั้งคู่ยืนมองน้ำตกสวยงามด้วยกัน
“สวยจังเลยค่ะพี่อาทิจ”
“ผมดีใจนะครับที่คุณตุ่นชอบ”
ตุลยานีจ้องตาอาทิจหวานเยิ้ม
“ตุ่นชอบทุกอย่างที่นี่ ธรรมชาติ สายลม แสงแดดผู้คน โดยเฉพาะ” หญิงสาวชี้ที่ชายหนุ่ม “พี่อาทิจทำให้ตุ่นอยากลืมตาขึ้นมาดูความสวยงามของที่นี่ทุกวัน...รู้มั้ย”
อาทิจหน้าแดง ผู้หญิงคนนี้พูดอะไรให้เขาหน้าแดงได้เสมอ ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องพูดกลบเกลื่อน
“เมื่อก่อนผมกับน้องณี แล้วก็คนงานชอบมาเล่นน้ำที่นี่ แต่ตอนนี้งานล้นมือจนไม่มีเวลามาเล่นสนุกแบบเดิมแล้ว”
“ว้า...ว่าจะชวนพี่อาทิจลงเล่นน้ำสักหน่อย” ตุลยานีช้อนตาหวานใส่ “ไม่มีเวลาเลยหรือคะ”
อาทิจใจเต้นตึกตัก
“ก็...คือ...” อาทิจคิดว่าควรเปลี่ยนเรื่องพูดดีกว่า “ตอนนี้ผมกำลังขยายพื้นที่ทำสวนออกไป”
ตุลยานีหัวเราะ ทั้งขำทั้งเอ็นดูเขาที่หาทางเปลี่ยนเรื่องพูดอีกจนได้
“เปลี่ยนเรื่องคุยได้ แต่สุดท้ายตุ่นจะทำให้พี่อาทิจลงเล่นน้ำกับตุ่นให้ได้...บอกไว้เลย”
อาทิจหน้าแดงเข้มขึ้นมาอีก อายสุดๆที่เธอจับไต๋เขาได้ และพุ่งพล่านในใจ หญิงสาวประกาศจะทำให้เขาลงไปเล่นน้ำกับเธอให้ได้ ด้วยวิธีไหน ชายหนุ่มสุดจะเดา
“เล่ามาสิคะ ตุ่นจะตั้งใจฟัง”
“คือ...ผมก็เลยขอทุนไปดูงานที่ออสเตรเลีย มันเป็นโครงการแลกเปลี่ยนเกษตรกรเยาวชนระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาผลผลิตของกันและกันน่ะครับ”
ตุลยานีตาโต
“จริงๆเหรอคะ ตุ่นก็จะไปเรียนต่อที่นั่นพอดี คุณแม่ตุ่นอยู่ที่นั่น”
อาทิจยิ้มๆ
“บังเอิญจังเลยนะครับ”
ตุลยานีส่งสายตาเชื่อม
“ตุ่นว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราสองคน เป็นพรหมลิขิต มากกว่าค่ะ”
อาทิจเขินหูแดงแก้มแดง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้หญิงที่โดนผู้ชายอ้างเรื่องพรหมลิขิตจีบซึ่งๆหน้า
ดรุณีเดินมาตามทาง หญิงสาวคิดถึงคำพูดของแก้ว
“น้าแก้วอยากให้คุณณีตัดเรื่องความเหมาะสมทิ้งไป แล้วลองถามใจตัวเองก่อน ว่าคุณณีรักคุณเวรึเปล่า ที่สำคัญคุณณีพร้อมจะเสียคุณอาทิจให้คุณตุ่นไปจริงๆมั้ย ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไปนะคะ”
ดรุณีชะงักแล้วยืนยันกับตัวเอง
“เราตัดสินใจแล้ว ความสุขของพี่อาทิจกับยายตุ่นคือ ความสุขของเรา”
ดรุณียิ้มเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ก่อนจะเดินหน้าต่อไป
เย็นนั้น สามเกลอเก็บข้าวโพดกันอย่างพะวักพะวง ต๊อดบ่นงึมงำ
“ทำไมหายไปนานจังวะ ไหนบอกจะแวะมาเช็คยอดที่นี่”
อึ่งยิ้มล้อๆ
“กำลังเช็คยอดอย่างอื่นอยู่น่ะสิ”
ต๊อดประชด
“กะเอาโขดหินแทนเตียงนอน เอาน้ำตกแทนเสียงดนตรี เอาท้องฟ้าต่างมุ้งเลยมั้ง”
พันตาโต
“ยิ่งพูดยิ่งสยิว ตามไปเป็นพยานรักให้นายกันดีกว่า”
สามเกลอจะเดินออกมา แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อ ลุงเกร็งโผล่เข้ามายืนชี้หน้าด่า
“เฮ้ย...อย่าสอดเรื่องของเจ้านายนะเว้ย”
อึ่งแย้ง
“โธ่...น้าเกร็ง แค่ตามไปดูว่าคราวนี้จะลุ้นคุณณีขึ้นรึเปล่าแค่นั้น”
ลุงเกร็งนิ่งคิดแอบอยากรู้ สักครู่ก็เก็กเสียงเข้ม
“ส่งตัวแทนไปคนเดียว ห้ามเข้าใกล้ที่เกิดเหตุเกิน 200 เมตร ดูแค่ประเมินสถานการณ์ ไม่ใช่เอาเป็นเอาตาย”
พันเซ็งเลย
“โห...น้าเกร็งอะ”
“ถ้าไม่ตกลงก็อดทั้ง 3 คน”
ลุงเกร็งก้มมองหาเศษไม้ที่พื้นขึ้นมาหักเป็นสามท่อนแล้วกำไว้ ก่อนจะยื่นไปตรงหน้า สามเกลอจ้องมาที่ไม้ในมือลุงเกร็งเขม็ง ทุกคนใช้ความคิดกันหนักมากเพื่อเดาว่าไม้ไหนจะยาวที่สุด
ม่านน้ำตกสวยงาม...ตุลยานีนั่งห้อยเท้าอยู่บนโขดหินข้างๆอาทิจ หญิงสาวเอียงคอ ระบายความในใจให้ชายหนุ่มฟังด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู
“ตั้งแต่ตุ่นเจอพี่อาทิจตอนอยู่ปี 1 ตุ่นฝันถึงพี่อาทิจตลอด แล้วเชื่อมั้ยคะตอนอยู่ปี 2 ปี 3 ตุ่นก็ยังเจอพี่อาทิจ เพียงแต่ไม่มีโอกาสเข้าไปคุย”
ผู้ชายที่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองอยู่ในความฝันของสาวสวยตรงหน้ามาก่อนถึงกับอึ้ง และไม่รู้จะพูดอะไรนอกจาก
“หรือครับ”
“ค่ะ มันคลาดกันไปมาจนตุ่นถอดใจแล้วว่า คงไม่มีโอกาสได้รู้จักพี่อาทิจแน่ๆ ใครจะไปคิดล่ะคะว่าพี่ชายที่ยายณีเชียร์ให้ตุ่นตลอดเวลา คือผู้ชายคนเดียวกับที่ตุ่นตามหามานาน”
ตุลยานีมองอาทิจเปี่ยมไปด้วยความรัก ชายหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
“คุณตุ่น”
“พี่อาทิจเป็นผู้ชายในฝันของตุ่นนะคะ”
อาทิจเขินจนแทบสลบ ชายหนุ่มรู้สึกร้อนวูบวาบ ถ้าขืนอยู่ตรงนี้อีกแค่นาทีเดียว เขาคงฝืนตัวเองไม่ได้ อาทิจตัดความรู้สึกไหลไปตามอารมณ์ฉับ
“เราเดินไปเล่น...เอ๊ย...ไปเดินเล่นทางโน้นมั้ยครับ ตรงนั้นสวยและน้ำก็ ใสมาก”
อาทิจลุกขึ้นยืน ตุลยานียิ้มตาจิกเยิ้มใส่เขาประมาณ ฉันจะมัดให้แน่นเชียว ก่อนจะส่งมือให้ชายหนุ่ม...อาทิจดึงมือหญิงสาวขึ้นมา ตุลยานีแกล้งเซ เสียหลักปะทะกับอกเขา อาทิจไม่ทันตั้งตัวทำให้ทั้งคู่ตกลงไปในน้ำ อาทิจโผล่ขึ้นจากน้ำได้ก่อน มองหาตุ่นไม่เจอ ชายหนุ่มตะโกนเรียกหญิงสาว
“คุณตุ่น”
ดรุณีซึ่งได้ยินเสียงคนตกน้ำผสานกับเสียงอาทิจเรียกตุ่นก็ตกใจ กลัวเพื่อนจมน้ำ หญิงสาวรีบจ้ำเท้าลัดเลาะมาตามโขดหิน ตุลยานีโผล่ขึ้นจากน้ำทางด้านหลังอาทิจแล้วโผเข้าไปกอดชายหนุ่มแน่น เนื้อแนบเนื้อ หญิงสาวเรียกอาทิจเสียงกระเส่าเหมือนโหยหามานาน
“พี่อาทิจ”
อาทิจหันมาหา
“ตุ่นบอกแล้วไงว่าจะทำให้พี่อาทิจลงมาเล่นน้ำกับตุ่นให้ได้”
“เจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ”
“ตรงนี้ค่ะ” หญิงสาวเอามือชี้ที่หัวใจ “พี่อาทิจช่วยดูหน่อยได้มั้ยคะว่าตุ่นเป็นอะไร”
อาทิจทำอะไรไม่ถูก เกิดมาไม่เคยเจอสตรีเพศรุกรานเย้ายวนยั่วให้หลงอย่างมีจริตอย่างนี้มาก่อน
“ตุ่นรักพี่อาทิจนะคะ รักมาก”
อาทิจยืนตัวแข็งทื่อ ปากคอสั่น...ในที่สุด ตุลยานีก็เป็นฝ่ายอดใจไม่ไหว หญิงสาวเอามือโน้มคออาทิจลงมาแล้วบรรจงจูบอย่างดูดดื่มเป็นจูบที่เจ้าตัวใฝ่ฝันมานานแสนนาน ดรุณีโผล่เข้ามาเห็นภาพจูบสะท้านโลกเต็มตา หญิงสาว ช็อก รู้สึกเหมือนอุกกาบาตพุ่งชนโลกแล้วตัวเธอแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สักครู่จึงค่อยๆถอยหลัง แล้ววิ่งออกไป
ดรุณีวิ่งหน้าซีดออกมาจากน้ำตก ต๊อดซึ่งเดินสวนมาเห็นดรุณีก่อน รีบกระโดดหลบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ดรุณีวิ่งหน้าตื่นผ่านต๊อดไป ต๊อดประมวลเหตุการณ์ ดรุณีต้องเจออะไรมาแน่ๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปที่น้ำตก...ต๊อดวิ่งเข้ามาเห็นอาทิจจูบกับตุลยานีอย่างดูดดื่มก็ตาโต
ดรุณีวิ่งกลับเข้ามานั่งหอบที่ระเบียง เหนื่อยเพราะวิ่งกลับมาแต่นั่นยังน้อยกว่าใจเต้นแรงเพราะ เห็นภาพสวีทหยุดโลกของอาทิจกับเพื่อนสาว เวทางค์เดินหา เมื่อเห็นหญิงสาวก็หน้าบาน ปรี่เข้ามาหาเพื่อทำคะแนน
“น้องณี” เวทางค์สังเกตสีหน้า “เป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่าหน้าซีดเชียว”
“ณี...เอ่อ...ณีปวดหัวนิดหน่อยค่ะ”
“พี่ว่าจะพาน้องณีไปกินข้าวฟังเพลง ฉลองกันตามลำพังสองต่อสองสักหน่อย”
“ฉลองอะไรคะ”
“อ้าว...ก็วันนี้วันเกิดน้องณีไม่ใช่เหรอ”
ดรุณีนึกขึ้นได้
“จริงสิ...ณีลืมไปเลย”
“อ้าว...แล้วเมื่อเช้าแก้วไม่ได้ปลุกน้องณีใส่บาตรเหรอ”
“ณีใส่บาตรแทนคุณย่าทุกวันอยู่แล้วค่ะ เลยลืมวันเกิดตัวเองไปเลย”
แก้วเดินยกถาดน้ำสตรอเบอรี่ปั่นเข้ามาให้เวทางค์กับดรุณี
“แต่น้าแก้วไม่ลืมนะคะ แอบนัดคนงานที่สนิทๆกัน ทำกับข้าวมาเลี้ยงวันเกิดให้คุณณีคืนนี้แล้วค่ะ”
“ขอบคุณมากนะคะน้าแก้วที่ยังอุตส่าห์จำได้”
“ไหนบอกจะไปตามคุณอาทิจกับคุณตุ่นมากินของว่างไงคะ แล้วสองคนนั่นไปไหนซะล่ะ”
อาทิจเดินตัวเปียกเข้ามากับตุลยานีที่พูดนำมาเสียงเจื้อยแจ้ว
“มาแล้วค่า” ตุลยานีเห็นเวทางค์เลยแซวดรุณี “รู้แล้วว่าทำไมณีไม่ไปเล่นน้ำกับตุ่น ที่แท้ก็ว่าที่คู่หมั้นมานี่เอง”
ดรุณีมองหน้าอาทิจด้วยสายตาตัดพ้อโดยไม่รู้ตัวภาพที่น้ำตกยังทำให้หัวใจเต้นแรงไม่หาย
“ถึงพี่เวไม่มา ณีก็ไม่อยากไปเป็นส่วนเกินของใครหรอก เล่นน้ำสนุกมากล่ะสิ”
“สนุกม๊าก น้ำใส ฟ้าสวย” ตุลยานีมองอาทิจเยิ้มหยด “ทุกอย่าง...โรแมนติกม๊าก”
แก้วกับ เวทางค์ หมั่นไส้อาทิจกับตุ่น ดรุณีเจ็บแปล๊บ ในขณะที่อาทิจวางหน้าไม่ถูก เขารีบตัดบท
“คุณตุ่นขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย ผมจะกลับไปที่บ้านพักคนงานก่อน”
“ค่ะ”
ตุลยานีเดินขึ้นห้องไปอย่างว่าง่าย อาทิจเดินออกไป แก้วร้องทัก
“คืนนี้เราจะกินข้าวฉลองวันเกิดให้คุณณีกัน คุณอาทิจคงไม่ลืมวันเกิดคุณณีนะคะ”
อาทิจหันกลับมาพูดโดยไม่มองหน้าดรุณี
“ผมจำได้เสมอ ไม่เคยลืม ขอตัวก่อนนะครับ”
อาทิจเดินออกไป ทิ้งภาพที่ดรุณี ถ้าเป็นเวลาอื่น เธอคงรู้สึกดีกับคำพูดของเขาไม่น้อย...แต่ไม่ใช่เวลานี้
เมื่อมาอยู่ต่อหน้าทุกคน...ต๊อดบิ้วอารมณ์ เหมือนกำลังดูหนังเอ็กซ์ช่วงสำคัญ...
“หลังจากนั้น...”
ลุงเกร็ง อึ่ง พัน ซึ่งนั่งกอดคอสุมหัวกันอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำหน้าและท่าทางลุ้นจัด พันถามอย่างอยากรู้มาก
“หลังจากนั้นอะไร”
“หลังจากนั้น อื้อหือ”
อึ่งอึดอัด
“อื้อหืออะไรวะ”
“นายก็...”
อึ่งกับพันลุ้นพร้อมกัน
“ก็...”
ต๊อดบิ้วถึงขีดสุด
“ก็...ผละออกมา แล้วก็ชวนคุณตุ่นกลับบ้าน”
ทุกคนเสียอารมณ์ อึ่งเซ็ง
“โธ่...ไอ้ต๊อด จูบกันแค่นี้ เล่ายังกับได้เสียเป็นเมียผัว”
“ก็นายน่ะสิ ไม่รู้ใจทำด้วยอะไร ถึงได้ตัดไฟฉึบได้ขนาดนั้น เป็นข้านะ พาขึ้นสวรรค์ไปถึงชั้นไหนๆแล้ว”
พันหันไปด่า
“นายเขาไม่ใช่ผู้ชายเลวๆอย่างเอ็งนี่”
ลุงเกร็งหนักใจ
“ถ้างั้นคุณหนูณีก็...”
ต๊อดส่ายหน้า
“ลุ้นยากแล้วล่ะน้าเกร็ง ถึงขั้นนี้แล้ว คุณตุ่นคงไม่ปล่อยนายหรอก”
อาทิจเดินเข้ามา ลุงเกร็งรู้สึกผิดหวังนิดๆ
“เสียดาย ถ้าคุณหนูณีลงเอยกับคุณอาทิจ ทุกคนที่สวนคุณย่าคงมีความสุข”
ลุงเกร็งหันมาถอนหายใจเฮือก แต่พอเห็นอาทิจยืนอยู่ตรงหน้าก็สะดุ้ง สะกิดให้ทุกคนหยุดพูด ต๊อดยิ้มแหะๆแกล้งถาม
“เล่นน้ำมาหนุกหนานมั้ยนาย”
อาทิจไม่ตอบ เดินเลี่ยงเข้าบ้านไป พันมองงงๆ
“คนกำลังมีความรักน่าจะมีความสุขนะ ไหงหน้าบูดยังงี้ล่ะ”
อึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“เออว่ะ...ตกลงสุขแบบไม่สุดหรือไม่สุขเอาซะเลยว่ะเนี่ย”
ทั้งหมดมองตามอาทิจไปอย่างงงๆ
ดรุณีเดินเข้าห้องมา ตุลยานีซึ่งแต่งตัวสวยงามเสร็จเรียบร้อยแล้วโผเข้ามาโอบกอดเพื่อน
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์จ้ะณี ขอให้ณีมีความสุขมากๆนะ”
“ขอให้ตุ่นมีความสุขมากๆเหมือนกัน แต่ไม่ต้องขอ ณีว่าตุ่นก็ต้องมีความสุขมากๆอยู่แล้ว จริงมั้ย”
“รู้ได้ยังไง”
“สายตามันบอก รอยยิ้มมันฟ้อง”
“ตุ่นมีความสุขจริงๆจ้ะณี พี่อาทิจเป็นคนดี เป็นผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษที่สุดเท่าที่ตุ่นเคยเห็นมา”
“ถ้างั้นลงไปรอรับสุภาพบุรุษแสนดีได้เลยจ้ะ ณีขออาบน้ำก่อน ทำกับข้าวจนตัวเหนอะไปหมดแล้ว”
“ตุ่นยังไม่มีของขวัญให้ณีเลย เดี๋ยวร้องเพลงให้ฟังก็แล้วกันนะ”
ดรุณีพยักหน้ายิ้มให้เพื่อน ตุลยานีคว้าอูคูเลเล่ที่วางอยู่บนเตียงติดมือออกไปด้วย รอยยิ้มดรุณีค่อยๆจางหายไปจากใบหน้าอีกครั้ง
ค่ำนั้น งานเลี้ยงเล็กๆจัดขึ้นที่ลานอเนกประสงค์...แก้วกับจิ๋วแจ๋วทยอยเอาอาหารและผลไม้มาวางที่โต๊ะ...รอบๆบริเวณงานมีคบไฟ ลูกโป่ง และดอกไม้ดอกหญ้าประดับตามมุมต่างๆ ดูน่ารักจุ๋มจิ๋มเป็นกันเอง ตุลยานีเดินไปเดินมา ตาก็คอยชะเง้อหาอาทิจ โดยมีแก้วแอบค้อนไม่พอใจทางด้านหลัง สักครู่ เวทางค์เข้ามา เมื่อเห็นตุลยานี ชายหนุ่มก็ถึงกับตะลึง ตุลยานีหันมาเห็นเวทางค์
“พี่เว...เดี๋ยวยายณีลงมาค่ะ”
เวทางค์ยิ้มหวาน
“วันนี้น้องตุ่นสวยจัง”
ตุลยานียิ้มหน้าบาน
“ขอบคุณค่ะ พี่เวก็ดูดีนะคะ อ้อ...ต้องหล่อสิ วันเกิดว่าที่คู่หมั้นนี่นา มีของขวัญอะไรมาเซอร์ไพร์สยายณีรึเปล่าคะ”
“ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพร์สสิจ๊ะ”
ทั้งคู่หัวเราะให้กัน เวทางค์มองตุลยานีเพลิน อะไรบางอย่างในตัวหญิงสาวทำให้เขาดีใจทุกครั้งที่ได้เจอ อาทิจเดินหล่อเข้ามาพร้อมกับ ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พัน ตุลยานีเหลือบเห็นอาทิจ ผละจากเวทางค์มาหาทันที
“พี่อาทิจ”
ดรุณีในชุดกระโปรงยาวเดินเข้ามาในงาน สามเกลอตะลึง เพราะคืนนี้ดรุณีสวยมากจริงๆ
“คุณณี”
เสียงของสามคน ทำให้อาทิจ เวทางค์ ตุลยานีและทุกคนที่อยู่ในงานหันไปมองดรุณีเป็นตาเดียว อาทิจตะลึงเมื่อเห็นดรุณี แก้ว ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พันพากันเดินร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์เข้ามาหาดรุณี โดยที่อาทิจยังยืนตะลึงอยู่กับที่ ตุลยานีหันไปมองอาทิจ เห็นสายตาชายหนุ่มจับจ้องที่ดรุณี หญิงสาวรีบควงแขนของเขาแสดงความเป็นเจ้าของก่อนจะพาชายหนุ่มเข้ามารวมกลุ่มร้องเพลงกับทุกคนอย่างเนียนๆ ดรุณีหันไปเห็นแขนเพื่อนสาวที่คล้องอยู่ในวงแขนอาทิจและเนื้อตัวของหญิงสาวที่อิงแอบชายหนุ่มจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกันก็ใจหาย เสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์จบลง ทุกคนตบมือเฮ ดรุณียิ้มแย้มให้ทุกคน
“ขอบใจทุกคนมากนะ”
เวทางค์ทำซึ้งเซอร์ไพร์สดรุณีตัดหน้าทุกคนด้วยการหยิบกล่องแหวนเพชรออกมาเปิด แหวนเพชรน่ารักส่องประกายอยู่ในกล่อง
“ของขวัญวันเกิดครับน้องณี”
เวทางค์หยิบแหวนเพชรขึ้นมาจะสวมที่นิ้วนางข้างซ้าย แต่ดรุณียื่นมือขวาให้ ทำให้เวทางค์ต้องสวมแหวนที่นิ้วนางข้างขวาแทน
“สุขสันต์วันเกิดนะครับน้องณี”
เวทางค์ยกมือดรุณีขึ้นมาหอม ลุงเกร็ง แก้ว ต๊อด อึ่ง พัน ตวัดหางตาเหล่มองอาทิจพร้อมกัน ตุลยานีเองก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองชายหนุ่มที่เธอกอดเกี่ยวแขนเขาไว้ อาทิจรู้สึกเหมือนใครเอาเหล็กร้อนๆมานาบใจ ชายหนุ่มอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลแสนไกล แต่ที่ทำได้คือ ฝืนยิ้มแล้วปรบมือนำทุกคนให้ปรบมือตาม แก้วทนให้เวทางค์สวีทใส่ดรุณีไปมากกว่านี้ไม่ไหว รีบชวนจิ๋วแจ๋วแจกเครื่องดื่มให้ทุกคน
“เอ้า...ดื่มฉลองให้คุณณีหน่อยพวกเรา”
ต๊อดกล่าวอวยพร
“ขอให้คุณณีมีความสุขมากๆคร้าบ”
ทุกคนชนแก้วดื่ม
“เย้ๆ”
อึ่งตะโกนบอกอาทิจ
“คุณเวให้ของขวัญคุณณีแล้ว ทีนี้ก็ตานาย”
ทุกคนหันมามองอาทิจเป็นตาเดียว อาทิจล้วงกระเป๋าเสื้อ จะหยิบแหวนที่ถักจากหญ้าแห้งขึ้นมา แต่แล้วชายหนุ่มก็เปลี่ยนใจ
“พี่...เป่าแคนให้ฟังดีกว่า”
ตุลยานีเสนอตัวทันที
“ตุ่นแจมด้วยค่ะ”
พันส่งแคนที่สะพายมาด้วยให้อาทิจ ตุลยานีเดินไปหยิบอูคูเลเล่มานั่งข้างชายหนุ่ม อาทิจเป่าแคนนำไปก่อน ตุลยานีเล่นอูคูเลเล่แจมตามแล้วร้องเพลงคลอ เป็นเพลงจังหวะน่ารักๆ เสียงหญิงสาวกังวานใส ดูเป็นคอนเสิร์ตหนุ่มสาวที่ดูน่ารักๆในบรรยากาศขุนเขา ทุกอย่างน่าจะอบอวลไปด้วยความสุขและสนุกสนาน ถ้าผู้สังเกตการณ์อันได้แก่ ลุงเกร็ง แก้ว ต๊อด อึ่ง พัน จิ๋วแจ๋ว จะไม่เหลือบตามองตามคู่รัก สองคู่ ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน แล้วเห็น...เวทางค์นั่งข้างดรุณี แต่แอบเหล่มองตุลยานี อาทิจนั่งเป่าแคนอยู่ข้างตุลยานี แต่ตาคอยชำเลืองมองดรุณี ตุลยานีซึ่งทั้งร้องเพลงทั้งเล่นอูคูเลเล่ แต่ปรายตามองที่อาทิจกับดรุณี ดรุณีแอบหลบตาอาทิจ แล้วทำเป็นสนใจเวทางค์ ผู้สังเกตการณ์แอบขยี้ตาเพราะมองคนนั้นทีคนนี้ทีแล้วตาแทบเหล่ เวียนหัวกับเรื่องรักสี่เส้าเวลานี้
ค่ำคืนนั้น...ดรุณีเข้ามานั่งที่หน้ารูปย่าแดง แล้วก้มลงกราบอย่างงดงาม
“หนูมาขอพรค่ะคุณย่า ขอให้จิตหนูสงบและเข้มแข็ง ขอให้เรื่องทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ขอให้พี่อาทิจมีความสุขกับยายตุ่น”
อาทิจขยับเข้ามา พูดแทรกขึ้นมา
“และก็ขอให้คุณเวรักน้องณีมากๆด้วย”
ดรุณีหันไปมองอาทิจ
“พี่อาทิจ”
“ขอบคุณนะที่นึกถึงพี่ พี่เข้าใจแล้วว่าน้องณีต้องการให้พี่ลงเอยกับคุณตุ่นมากแค่
ไหน”
“ค่ะ...ทุกคนกลับไปหมดแล้วใช่มั้ยคะ”
“ครับ...น้องณีกลับไปอยู่กับคุณตุ่นเถอะ”
“คืนนี้พี่อาทิจจะค้างที่นี่เหรอคะ”
“พี่ขึ้นมาส่งคุณตุ่น แล้วจะไปนอนบ้านพักคนงาน”
ทั้งคู่ยืนมองกันอยู่ครู่นึง ต่างคนต่างรู้สึกตื้อๆเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรกันอีก
“หลับฝันดีนะ”
ขาดคำอาทิจก็เดินออกไป ดรุณียืนนิ่งงันต่อจากนี้ไป โลกของเราสองคน คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ดรุณีเปิดประตูด้านที่ติดกับห้องน้ำเข้ามาในห้องนอน หญิงสาวมองหาตุลยานี แต่ไม่เห็นอยู่ในห้อง
อาทิจเดินลงมาจากชั้นบน กำลังจะออกจากบ้าน สักครู่ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นตุลยานี ก้าวมายืนตรงหน้า ชายหนุ่มมองอย่างแปลกใจ
“คุณตุ่น...ลงมาทำไม ลืมอะไรรึเปล่าครับ”
ตุลยานียิ้มหวาน
“ลืมค่ะ ตุ่นลืมลาพี่อาทิจ”
ดรุณีเดินมองหาตุลยานีมาทางด้านหลังอาทิจ หญิงสาวเห็นเพื่อนรักในจังหวะที่โผเข้ามากอดและจุ๊บอาทิจที่หน้าผากอย่างน่ารักพอดี
“กู้ดไนท์นะคะพี่อาทิจ อย่าลืมฝันถึงตุ่นนะคะ”
ดรุณีเหมือนถูกปั้นจั่นตอกแผลในใจย้ำซ้ำสอง หญิงสาวค่อยๆหันหลังกลับและเดินจากไปในเงามืด อาทิจยืนนิ่งชายหนุ่มทำตัวไม่ถูก บอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกยังไง ได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆให้หญิงสาว ตุลยานีสบโอกาสพูดให้อาทิจรู้สึกผิดอย่างเนียนๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจริงๆแล้วอาทิจกับดรุณีรู้สึกยังไงต่อกัน
“ตุ่นรู้ค่ะว่าผู้หญิงถ้าแสดงออกมากเกินไปมันไม่ดี มีแต่จะเสียหาย เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ พี่อาทิจอาจจะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่เรื่องธรรมดาของผู้ชาย”
อาทิจรู้สึกผิด
“ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น”
ตุลยานีมองอาทิจตาเป็นประกาย
“ที่ตุ่นกล้าพูดกล้าอยู่ตามลำพัง กล้าปล่อยตัวปล่อยใจให้พี่อาทิจก็เพราะตุ่นรัก”
อาทิจชะงักอึ้ง จะทำยังไงดี
“ผม...”
แก้วถือถาดใส่แก้วและจานชามเที่ยวสุดท้ายจากงานเลี้ยงเข้าบ้านมาเบรกตัวโก่งเมื่อได้ยินคำถามของตุลยานี
“พี่อาทิจก็รักตุ่นใช่มั้ยคะ”
อาทิจนิ่งอึ้ง..
“ผม...” อาทิจกลั่นกรองหนัก “ไม่ใช่ผู้ชายที่ดีและมีทุกอย่างพร้อม ไม่ว่าจะฐานะเรื่องส่วนตัว ภาระต่อครอบครัว คุณตุ่นจะรับตัวตนของผมได้เหรอ”
ตุลยานีตอบทันทีโดยไม่คิด
“ได้สิคะ”
“ขอบคุณครับที่ให้เกียรติผม”
“เราจะสร้างครอบครัวด้วยกันนะคะพี่อาทิจ”
อ่านต่อหน้า 2 .
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 14 (ต่อ)
อาทิจเป็นใบ้ขึ้นมาในบัดดล หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้างามหยดและไม่มีอะไรด่างพร้อยสักนิด แต่ทำไมคำพูดสั้นๆ แค่คำว่า “ครับ” มันช่างหลุดจากปากยากเย็นเข็ญใจเยี่ยงนี้ แก้วทนไม่ไหวรีบเข้าไปแทรกเป็นก้างขวางคอหอยทันที
“อ้าว...คุณอาทิจ อยู่นี่เอง ตาเกร็งกับเจ้า 3 ลิงมันรอกลับบ้านด้วยน่ะค่ะ”
“เหรอครับน้าแก้ว” อาทิจรีบบอกกับตุลยานี “พรุ่งนี้เจอกันครับ”
อาทิจส่งยิ้มสุภาพให้ก่อนจะเดินออกไป โล่งใจที่ไม่ต้องตอบคำถามแสนยากกับหญิงสาวในเวลานี้ ตุลยานีชะเง้อมองตามอาทิจหัวใจพองคับอก ในขณะที่แก้วค้อนควักใส่หญิงสาวทางด้านหลัง
อาทิจถือแหวนที่ตัวเองถักลงนั่งที่ชิงช้าหน้าบ้านพักคนงาน ต๊อดออกมาเห็นเจ้านายนั่งเหงาอยู่คนเดียวเลยเดินมาโผล่หน้าแอบดู แกล้งแซวด้วยภาษาอิสานบ้านเฮา
“จะเอาไปหมั้นสาวที่ไหนเหรอนาย”
“ใครจะอยากได้แหวนหญ้าแบบนี้เป็นแหวนหมั้นวะ”
“อ้าว...ไม่ได้เอาเป็นแหวนหมั้น อ๋อ...รู้แล้ว นายจะให้เป็นของขวัญวันเกิดคุณณี ใช่มั้ยล่า”
อาทิจมองแหวน
“น้องณีคงไม่อยากได้แหวนแบบนี้ ในเมื่อเขาเพิ่งได้แหวนเพชรมีราคาสวมติดนิ้วแล้ว”
“ทำไมนายดูถูกน้ำใจคุณณียังนี้ล่ะ คุณณีไม่ใช่คนที่เห็นคุณค่าที่ราคาของของมากไปกว่าน้ำใจของคนให้นะนาย”
อาทิจเหลือบมองต๊อด แล้วก้มมองแหวนหญ้าถักในมืออีกครั้ง
ตุลยานีนอนคว่ำหน้าอ่านหนังสือเกี่ยวกับการอบขนมปังอยู่กับดรุณี ซึ่งนั่งเอาหมอนพิงหลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำแยมผลไม้ต่างๆ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่มีสมาธิในการอ่าน ตุลยานีแอบเหล่ดรุณี หญิงสาวต้องการเช็คว่าเพื่อนรู้สึกยังไงกับอาทิจกันแน่ สักครู่...ทั้งคู่ก็วางหนังสือแล้วพูดขึ้นพร้อมกัน
“พี่อาทิจเขา...”
ดรุณียิ้มเจื่อนๆ
“ใจตรงกันพอดี เอ้า...ตุ่นว่ามาก่อน”
ตุลยานีเข้าประเด็น
“ตุ่นอยากจะรู้ว่าที่พี่อาทิจถามตุ่นอย่างนี้ หมายความว่ายังไง”
ดรุณีไม่อยากถาม แต่ต้องยิ้ม ต้องกลั่นใจถาม
“ถามว่า...”
“เขาถามตุ่นว่าจะรับฐานะ รับสภาพ รับตัวตนเขาได้มั้ย”
ดรุณีกลืนก้อนน้ำลายเหนียวๆลงคอ
“แล้วตุ่นว่ายังไง”
“ตุ่นก็ตอบเขาไปเต็มปากเต็มคำน่ะสิว่า ได้ ไม่ว่าพี่อาทิจจะเป็นใคร มาจากไหนเป็นยังไง ตุ่นไม่สนหรอก ขอแค่ตุ่นมีพี่อาทิจอยู่ข้างๆตลอดชีวิตก็พอ”
ดรุณียิ้มจริงใจ แต่ตาเศร้า
“พี่อาทิจคงจะรักตุ่นมาก”
ตุลยานีดึงมือเพื่อนขึ้นมาจับ
“ณี...ตุ่นอยากสร้างครอบครัวกับเขา อยากมีลูกกับเขาสักโหลเด็กๆคงจะน่ารักมาก”
ดรุณีรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อเป็นหมื่นๆตัวกระพือปีกว่อนอยู่ในท้อง หญิงสาวปั่นป่วนพะอืดพะอมแต่ก็ยังยิ้มสู้ และฮึดที่จะถามประโยคต่อมา
“แสดงว่าพี่อาทิจ...ขอตุ่นแต่งงาน แล้วตุ่นก็...ตกลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่กับพี่อาทิจแล้ว”
ตุลยานีไม่ตอบตรงๆแต่เลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น
“ตุ่นฝันอยากจะแต่งงานในที่ที่โรแมนติก ถ้าได้แต่งงานกลางสวนส้มกับพี่อาทิจที่นี่ ตุ่นคงมีความสุขที่สุดในโลก”
ดรุณีจับมือเพื่อนยิ้มกว้างสุดๆ
“ณีขอแสดงความยินดีด้วยจริงๆนะ”
ความจริงใจของดรุณี ทำให้ตุลยานีมองไม่เห็นความเศร้าที่ฝังอยู่ในอกเพื่อนเลยสักนิด หญิงสาวจึงคิดว่าเรื่องดรุณีกับอาทิจเป็นเรื่องที่เธอระแวงไปเอง
“ขอบใจมากนะณี” ตุลยานีโผเข้ากอดดรุณีแน่น “ตุ่นโชคดีจริงๆที่ได้เจอพี่อาทิจ”
“จ้ะ...ตุ่นโชคดีจริงๆ”
สองสาวกอดกันแน่น แต่คนละอารมณ์คนหนึ่งสุขสุดๆ ส่วนอีกคนพยายามอย่างเหลือเกินที่จะสุขสุดๆ
อาทิจเดินเข้าเดินออกอยู่บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน ลังเลเวียนไปวนมาตรงทางเดิน ดรุณีนั่งอยู่ในมุมมืดที่สนามหญ้าด้านข้าง หญิงสาวเห็นอากัปกิริยาของชายหนุ่มตลอดเวลา ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยปากทักอย่างน้อยใจสุดๆ
“มาหายายตุ่นหรือคะพี่อาทิจ ยายตุ่นหลับไปแล้วค่ะ”
อาทิจชะงัก เดินมาหาดรุณี
“ทำไมน้องณีลงมานั่งที่มืดๆอย่างนี้”
“ณีนอนไม่หลับเลยลงมานั่งรับลมเล่นน่ะค่ะ คิดถึงคุณย่าด้วย ถ้าท่านยังอยู่ ณีคงไม่รู้สึกเหมือน...อยู่คนเดียวอย่างนี้”
“น้องณีไม่ได้อยู่คนเดียว น้องณียังมีพี่ชายคนนี้อยู่ทั้งคน ให้พี่นั่งเป็นเพื่อนนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ...ณีไม่ได้เป็นอะไร แค่คิดถึงคุณย่าเท่านั้น พี่อาทิจกลับไปพักเถอะค่ะ”
“พี่...พี่ลืมไปว่าพี่...เอ่อ...ยังไม่ได้ให้ของขวัญน้องณี”
อาทิจเอามือล้วงกระเป๋าหยิบแหวนที่ตัวเองถักกับมือออกมาจะยื่นให้ แต่ดรุณีพูดแทรกขึ้นซะก่อน
“พี่อาทิจให้ของขวัญณีแล้วค่ะ การที่พี่อาทิจขอยายตุ่นแต่งงานถือเป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดในวันเกิดของณี ไม่มีอะไรที่น่ายินดีไปกว่าการที่ได้เห็นคนที่เรารักมากที่สุด มีความสุขด้วยกันอีกแล้ว ขอบคุณมากนะคะ”
ดรุณีฝืนยิ้ม ดวงตาเศร้า
“พี่...ยังไม่ได้...”
อาทิจยังไม่ทันพูดว่า ขอคุณตุ่นแต่งงาน ดรุณีไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดต่อ
“ณีง่วงแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
ดรุณีรีบเดินเข้าบ้านไป อาทิจถามตามหลัง อย่างน้อยใจสุดๆเหมือนกัน
“ใจคอน้องณีอยากจะเห็นพี่แต่งงานกับคุณตุ่นจริงๆใช่มั้ย”
“เราตกลงตามนั้นนี่คะ พี่อาทิจก็เห็นดีด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่ขอยายตุ่นแต่งงาน
เร็วขนาดนี้”
ดรุณีจะเดินกลับเข้าบ้านอีก เที่ยวนี้อาทิจทนไม่ไหว คว้ามือไว้ แคบชายหนุ่มจับไปโดนแหวนเพชรของเวทางค์ซึ่งยังใส่ติดอยู่ที่นิ้วหญิงสาว ดรุณีหันกลับมามองอาทิจซึ่งกำลังก้มมองแหวนเวทางค์ที่นิ้วของเธอ
“ความจริงพี่ไม่น่าถาม เพราะน้องณีกับคุณเวก็รุดหน้าไปเร็วกว่าที่พี่คิด”
“ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
อาทิจใจหายวาบ รู้สึกเหมือนมีอะไรหนืดๆติดคอ ก่อนจะปล่อยมือดรุณี
“สุขสันต์วันเกิดนะน้องณี ขอให้มีความสุขมากๆ”
ดรุณีอยากจะร้องไห้ซะเดี๋ยวนี้ แต่ใจแข็งยิ้มสู้
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวผละออกมาแล้วเดินขึ้นบ้านไปทันที อาทิจก้มมองแหวนดอกหญ้าที่อยู่ในมือ แก้วแอบมองทั้งคู่อยู่ในมุมมืด หน้านิ่วคิ้วขมวด ฉันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
ดรุณีเดินน้ำตาคลอกลับเข้ามาในห้อง หญิงสาวเดินผ่านเพื่อนสาวซึ่งนอนหลับอย่างมีความสุขไปที่หน้าต่าง เพื่อแอบมองเขา อาทิจเดินออกไปทางหลังบ้าน ดรุณีเห็นหลังชายหนุ่มไวไว อาทิจชะงักหันกลับขึ้นไปมองห้องนอน ดรุณีรีบหลบวืดออกจากหน้าต่าง หญิงสาวทนไม่ไหวน้ำตาร่วง...อาทิจกัดฟันก่นด่าตัวเอง
“เลิกคิดเลิกฝันเลิกหลอกตัวเองสักที...ไอ้อาทิจ”
อาทิจยืนสูดหายใจลึกแล้วพูดกับตัวเองในใจ...ครั้งนี้ต้องตัดใจให้ได้จริงๆ ก่อนจะเดินออกมา ดรุณีโผล่ออกมามองอาทิจที่หน้าต่างอีกครั้ง หญิงสาวเห็นอาทิจเดินจ้ำออกไป หญิงสาวเช็ดน้ำตาจนแห้งสนิทแล้วบอกตัวเองว่า จะไม่อ่อนแออย่างนี้อีกเด็ดขาด
เช้าวันใหม่...ดรุณีกำลังใช้ผลไม้ที่เก็บมาจากสวน ประดับลงบนเค้กชาเขียวที่เพิ่งอบเสร็จ หญิงสาวพยายามทำงานที่ต้องใช้สมาธิอย่างหนัก เพื่อจะได้ไม่แวบไปนึกถึงเรื่องอาทิจกับตุลยานี แก้วเข้ามามองหา
“คุณตุ่นล่ะคะ”
ดรุณีชะงัก แววตาเศร้าชั่วแวบเดียวก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็นร่าเริง
“เขาก็ไปอยู่กับแฟนเขาสิคะ”
แก้วงอน
“ตกลงคุณณีอยากให้คุณอาทิจแต่งงานกับคุณตุ่นจริงๆใช่มั้ยคะ”
“ไม่ใช่แค่อยาก ตอนนี้แค่เชียร์ว่าเมื่อไหร่ เพราะคู่นั้นเขาตกลงใจจะแต่งงานกันแล้ว”
แก้วหน้าตื่น
“หา! ไม่ได้นะคะคุณณี คุณย่าท่านสั่งน้าแก้วเอาไว้ก่อนที่ท่านจะเสีย ท่านอยากให้คุณณีกับคุณอาทิจแต่งงานกันค่ะ”
ดรุณียิ้มอนาถใจ
“ตกลงคุณย่าท่านสั่งไว้ยังไงกันแน่คะ คุณป้าวิไลบอกอีกอย่าง น้าแก้วบอกอีกอย่าง”
“คุณวิไลไม่ได้อยู่ใกล้ชิดท่านแบบน้าแก้ว คุณณีเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าคุณวิไลต้องการให้คุณณีลงเอยกับคุณเวเพราะอะไร”
ดรุณีถอนใจ
“คุณย่าจะสั่งไว้ยังไง มันก็ไม่สำคัญเท่ากับใจพี่อาทิจหรอกค่ะ พี่อาทิจรักยายตุ่นไม่ใช่ณี เราจะไปบังคับใจเขาได้ยังไง”
“คุณณีต่างหากคะที่ไม่ยอมเปิดใจให้คุณอาทิจ”
“พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วค่ะ สองคนนั้นเขาจะแต่งงานกันแล้ว”
“แล้วคุณณีล่ะคะ จะแต่งงานกับคุณเวงั้นเหรอ แล้วไหนล่ะค่ะแหวนเพชรของคุณเว ไปถอดไว้ไหนซะล่ะ”
“ณีทำงานในไร่ในสวนจะให้ใส่แหวนแบบนั้นติดนิ้วได้ยังไง” หญิงสาวฝืนตลก “เอาไว้ใส่ตอนแต่งงานกับพี่เวทีเดียวเลยดีกว่า”
“ไม่ได้นะคะคุณณี”
“เราอย่าฝืนทำอะไรขัดกับความจริง ที่มันเป็นอยู่ เลยนะคะ”
ดรุณีเดินหนีออกมา แก้วเปรยๆ
“บางครั้งคนเราก็ต้องฝืนทำอะไรเพื่อสิ่งที่ มันควรจะเป็น ค่ะ”
แก้วมุ่งมั่นจะทำอะไรบางอย่าง
ที่สวน...อาทิจส่งสตรอเบอรี่ในกระจาดให้ตุลยานี
“สตรอเบอรี่พันธุ์พระราชทาน 80 ครับ ที่คุณตุ่นชิมวันนั้นเป็นสตรอเบอรี่ดอย พันธุ์นี้ลูกจะใหญ่ ดก แล้วก็มีกลิ่นหอม รสชาติหวานมาก คุณตุ่นลองชิมดูสิครับ ที่นี่เป็นเกษตรอินทรีย์ กินได้เลยครับ”
ตุลยานีโปรยตาหวานเชื่อม
“ถ้าพี่อาทิจป้อน ตุ่นจะชิม”
อาทิจยิ้มหยิบสตรอเบอรี่ขึ้นมา
“น่ารักจัง”
อาทิจงง
“น่ารักทั้งสตรอเบอรี่ ทั้งคนป้อนแล้วก็ แหวนวงนี้ด้วย”
ตุลยานีชี้ไปที่แหวนซึ่งอาทิจใส่ไว้ที่นิ้วก้อย มันคือแหวนวงเดียวกับที่ชายหนุ่มตั้งใจถักให้ดรุณี
“แหวนผมถักเองครับ”
ตุลยานีทั้งแปลกใจทั้งทึ่ง
“หา...พี่อาทิจถักแหวนน่ารักๆอย่างนี้เป็นด้วยเหรอคะ ตุ่นไม่คิดเลยว่าผู้ชายแมนๆอย่างพี่อาทิจ จะทำงานฝีมืออย่างนี้เป็น”
“ผมมีน้อง 10 คน คุณแม่เลยสอนให้ผมทำงานบ้านและงานฝีมือเป็นทุกอย่าง จะได้ช่วยท่านดูแลน้องๆได้”
“พี่อาทิจดูแลน้องตั้งสิบคนเลยเหรอคะ น่ารักจัง น้องๆคงรักพี่อาทิจน่าดูรวมทั้ง...น้องคนนี้ด้วย”
ตุลยานีเผยอารมณ์รักออกมาอย่างเปิดเผย ไม่มีกระมิดกระเมี้ยนอีกต่อไป
“คุณตุ่นชอบหรือครับ”
“มากค่ะ พี่อาทิจถักให้ใครคะ มีเจ้าของรึยัง”
อาทิจนึกถึงดรุณี
“ไม่มีใครอยากได้ของที่ไม่มีราคาอย่างนี้หรอกครับ”
“ใครว่าล่ะคะ แหวนวงนี้มีค่ามากสำหรับตุ่นเพราะมันเป็นแหวนที่พี่อาทิจทำเองกับมือ ตุ่นจะดีใจมากถ้าตุ่นได้เป็นเจ้าของแหวนวงนี้”
“คุณตุ่นอยากได้จริงๆหรือครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวออดอ้อน “พี่อาทิจให้ตุ่นได้มั้ยคะ”
อาทิจยิ้มดีใจ อย่างน้อยก็มีคนเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาทำด้วยใจ ชายหนุ่มถอดแหวนออกจากนิ้ว ตุลยานียื่นนิ้วนางข้างซ้ายไปหาอาทิจ เพื่อให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอต้องการให้เขาสวมแหวนที่นิ้วนั้น อาทิจเต็มใจสวมแหวนให้แล้วยกมือหญิงสาวขึ้นมาหอม ตุลยานีหัวใจพองโตคับอก
“ตุ่นจะคิดว่านี่เป็นแหวนหมั้นของเรานะคะ”
“ครับ...ถ้าคุณตุ่นไม่รังเกียจ”
“ตุ่นรักพี่อาทิจที่สุดในโลกเลยค่ะ”
“ขอบคุณนะครับที่รักผู้ชายธรรมดาๆอย่างผม”
ตุลยานีโผเข้ากอดอาทิจอย่างสุขสมหวังและมีความสุขที่สุดในโลก อาทิจกอดกลับ เขาพร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวกับผู้หญิงที่รักเขาและเขาก็พร้อมจะรักเธอ
ดรุณีกำลังเก็บส้มไปทำขนมอยู่กับลุงเกร็ง ไพฑูรย์ ต๊อด อึ่ง พัน ขณะเดียวกันนั้น ตุลยานีเดินควงแขนอาทิจเข้าไปหาดรุณี ตุลยานีเริงร่ามาก
“ณีจ๋า!”
ดรุณีซึ่งกำลังเก็บส้มใส่ตะกร้าหันมามอง หญิงสาวรู้สึกปากสั่นมือสั่น ไม่ใช่เพราะเห็นเพื่อนสาวควงอาทิจชนิดแทบจะเอาหัวแนบแขนชายหนุ่มมา แต่เป็นเพราะหญิงสาวเห็นแหวนที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเพื่อนต่างหาก ลุงเกร็ง ไพฑูรย์ ต๊อด อึ่ง พันหันมามองอาทิจ ดรุณี ตุลยานีเป็นตาเดียว ตุลยานีเห็นดรุณีมองมาที่มือตัวเอง ก็เลยก้มมองดูแล้วเข้าใจว่าดรุณีเห็นแหวนที่นิ้วเธอ ตุลยานีอวดอย่างมีความสุข
“แหวนพี่อาทิจน่ะจ้ะ พี่อาทิจขอหมั้นตุ่นไว้ก่อน” ตุลยานีหันไปจ๊ะจ๋าอาทิจ “ใช่มั้ยคะ”
ดรุณี ลุงเกร็ง ไพฑูรย์ ต๊อด อึ่ง พันตะลึง...โดยเฉพาะดรุณีรู้สึกหายใจติดขัด ใจหวิวเหมือนจะขาดใจให้ได้ อาทิจยังไม่ทันตอบอะไร เพราะทันใดนั้นเอง ทองประศรีจูงตะวันเข้ามา หน้าตาวีนแตกสุดๆเสียงแหวแปดหลอด
“ไหน...ใครจะหมั้นใครห๊า!”
ทุกคนหันไปมองทองประศรี ต่างคนต่างช็อกผสมอึ้ง ตุลยานียิ้มหวานไม่รู้เรื่อง
“ฉันกับคุณอาทิจจ้ะ”
ลุงเกร็ง ไพฑูรย์ และสามเกลอ หันมามองกันเลิ่กลั่ก ไพฑูรย์หน้าเหวอ
“งานเข้าแล้วคุณอาทิจ”
ทองประศรีแหกปากลั่น
“หน้าด้าน”
ตุลยานีสลายยิ้มกลายเป็นอึ้ง
“อะไรนะ”
ดรุณีพุ่งเข้ามาหาทองประศรี
“หยุดเดี๋ยวนี้นะทองประศรี ออกไปก่อน พานายตะวันออกไป”
“ศรีไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ตุลยานีงุนงง
“ตุ่นงงไปหมดแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันน่ะณี”
ทองประศรีเท้าเอวชี้หน้าตุลยานี
“ยังจะมีหน้ามาถามว่าฉันเป็นใคร ฉันก็เป็นเมียคุณอาทิจน่ะสิ”
ตุลยานีเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางใจ
“จริงเหรอณี”
ดรุณีรีบบอก
“อย่าไปฟังแม่นี่นะตุ่น”
ทองประศรีแว้ดใส่ดรุณี
“คุณณี...คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร ศรีไม่ดีไม่คู่ควรกับคุณอาทิจ ศรีรู้ แต่ทำไมคุณณีต้องพาเพื่อนมาแย่งผัวศรีไปด้วย”
อาทิจปราดเข้ามาจับแขนทองประศรีทั้งสองข้างแน่น แล้วเหวี่ยงหญิงสาวกระเด็นพร้อมตวาดลั่น
“ออกไปเดี๋ยวนี้”
ทองประศรีผวาเข้ามากอดขาอาทิจ แล้วบีบน้ำตาพรั่งพรูเสียงสั่นเครือน่าสงสาร
“ผัวขา...ผัวจะทิ้งเมียทิ้งลูกไปเพราะผู้หญิงไม่มียางอายคนนี้หรือคะ” ทองประศรีหันไปใส่ตุลยานี “หน้าตาก็สวย ชาติตระกูลก็ดี ไม่มีปัญญาหาผัวเองรึไง ถึงต้องตามมาจกผัวชาวบ้านแบบนี้”
ตุลยานีช็อก
“นี่มันอะไรคะ พี่อาทิจมีเมียมีลูกแล้วอย่างนั้นเหรอ”
อาทิจอึ้งยิ่งกว่า เพราะไม่คิดว่าตุ่นจะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ทองประศรีลุกขึ้นชี้หน้าด่า
“ก็เออสิวะ นายตะวันนี่ไง ลูกฉันกับคุณอาทิจ”
ตุลยานียืนตัวสั่น รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปลาช่อนที่ถูกทุบหัวแบะดิ้นพราดๆรอเวลาตาย หญิงสาวมองอาทิจทีมองดรุณีที ก่อนจะหันไปมองคนงานทุกคน แล้วรู้สึกอับอายสุดๆ จนต้องวิ่งสติแตกออกไป ดรุณีตะโกนตามหลัง
“ตุ่น...ตุ่น”
ดรุณีวิ่งตามเพื่อนไป อาทิจหันมาบีบแขนทองประศรีแน่นยิ่งกว่าขันสกรูพร้อมคำรามลั่นอย่างน๊อตหลุดจริงๆ
“เธอจะทำลายชีวิตฉันไปถึงไหน...ต๊อดเอานายตะวันออกไป” อาทิจแทบขย่ำ
ทองประศรี “อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ ถ้าฉันเห็นเธออีกครั้ง ฉันไม่รับรองนะว่า ฉันจะระงับอารมณ์ได้เหมือนอย่างตอนนี้...ไป!”
ทองประศรียังกล้าๆกลัว แต่เมื่อเห็นอาทิจพุ่งเข้ามาเหมือนจะเหวี่ยงเธอออกไปอีกครั้ง เธอก็วิ่งลนลานหนีตายออกไป อาทิจวิ่งตามตุลยานีไป ทุกคนยืนอ้าปากหวอ
ตุลยานีวิ่งเข้าห้องแล้วล็อกประตู หญิงสาวยืนร้องไห้ที่ประตูเสียใจอย่างหนัก ดรุณีวิ่งตามมาที่หน้าห้อง หญิงสาวเคาะประตูเรียกถี่ยิบ
“ตุ่น...ตุ่น เปิดประตูให้ณีก่อน ณีอยากอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ตุ่นเข้าใจ เปิดประตูให้ณีหน่อยนะ”
ตุลยานีไม่ยอมเปิดประตูให้ แต่ย้อนถามด้วยเสียงที่บ่งว่าโกรธจัด
“ทำไมเธอไม่บอกฉันว่าพี่อาทิจมีเมียมีลูกแล้ว ปล่อยให้ฉันสร้างภาพสร้างวิมานในอากาศทำไม”
“ณีไม่ได้คิดจะโกหกหรือปิดบังตุ่นนะ แต่คิดว่าถึงเวลาที่เหมาะที่ควรบอกเมื่อไหร่ ณีก็จะบอก”
“แล้วเวลาที่เหมาะที่ควรของเธอมันคือเวลาไหน วันแต่งงานของฉันเลยรึเปล่า”
อาทิจวิ่งเข้ามาที่หน้าห้อง ดรุณีหันมามองชายหนุ่มแล้วส่ายหน้า อาทิจลองพยายามพูดเอง เขาเพิ่งตัดสินใจที่จะเริ่มปลูกต้นรักกับตุลยานี แล้วทุกอย่างจะพังพินาศในชั่วนาทีถัดมาเชียวหรือ
“คุณตุ่น เปิดประตูให้ผมหน่อยครับ ขอให้ผมอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้มั้ย”
ตุลยานีทั้งเสียใจเสียหน้าเสียความรู้สึก
“ไม่...พี่อาทิจกลับไปเถอะค่ะ”
“คุณตุ่นจะไม่ยอมฟังผมเลยเหรอ เรื่องมันไม่ได้เป็นจริงอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูดทั้งหมดนะครับ”
ตุลยานีเสียงเข้ม
“เรื่องอะไรบ้างคะที่มันไม่จริง พี่อาทิจไม่ได้เป็นพ่อเด็กตะวันนั่นงั้นเหรอ”
อาทิจรักตะวันเกินกว่าจะปฏิเสธความเป็นพ่อลูก
“ผมเป็นพ่อของตะวัน...แต่...”
ตุลยานีระเบิดเสียงร้องไห้โฮพร้อมไล่อาทิจออกไปทันที
“ไม่มีคำว่า แต่ แล้วค่ะ...พี่อาทิจกลับไปเถอะ ตุ่นไม่มีวันพรากพ่อพรากลูกใครเด็ดขาด”
อาทิจใจหายวาบ
“คุณตุ่น”
“กลับไปเถอะค่ะ ตุ่นอยากอยู่คนเดียว”
ตุลยานีวิ่งไปนอนร้องไห้บนเตียง
“คุณตุ่น...ขอเวลาผมแค่...”
อาทิจจะพูดว่าสัก 5 นาทีแต่ไม่ทันแล้ว ตุลยานีสวนทันที
“ไม่...ตุ่นไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ตุ่นไม่ฟัง...ออกไป”
ตุลยานีเอาหมอนปิดหูไม่อยากได้ยินได้ฟังอะไรอีกต่อไป อาทิจเอาหลังพิงประตู ชายหนุ่มรู้สึกอื้ออึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ความหวานปานน้ำผึ้งที่เพิ่งเริ่มต้นกลับกลายเป็นขมยิ่งกว่าบอระเพ็ด เขาไม่ทันตั้งตัว ไม่เคยเตรียมใจรับเรื่องแบบนี้
ครู่หนึ่ง...ชายหนุ่มเดินจากไปอย่างคิดไม่ตก สมองหนักอึ้งจนแทบจะเดินไม่ไหว ดรุณีมองอาทิจที่เดินไหล่ตกออกไปแล้วใจหาย หญิงสาวไม่เคยเห็นอาทิจจิตตกอย่างนี้มาก่อน
แก้วเดินมาที่มุมหนึ่งในสวน มองซ้ายมองขวาแล้วหยิบเงินที่เหน็บซ่อนไว้ที่ขอบผ้าถุงออกมายื่นให้ทองประศรีสองพัน
“เอ้า...ค่าจ้าง”
“ฉันไม่รับหรอกจ้ะน้าแก้ว ทำงานให้แค่นี้มันตอบแทนบุญคุณคุณย่าไม่ได้เท่าขี้เล็บ น้าแก้วเก็บไว้เถอะ”
“เออ...ถ้างั้นก็จะเก็บไว้ซื้อขนมให้นายตะวันกินก็แล้วกัน”
“แต่...ฉันหวังว่าคงไม่ต้องทำอะไรอย่างนี้อีกนะน้าแก้ว สงสารคุณอาทิจ ท่าจะเสียใจมาก อาละวาดใส่ฉันจนหนีแทบไม่ทัน ดูแขนนี่สิ...บีบจนเขียวช้ำไปหมด ถ้าขย้ำคอได้ก็คงทำไปแล้ว”
“เออ...ฉันก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน ไอ้สงสารมันก็สงสาร แต่...ถ้าคิดอีกทางมันก็เป็นการพิสูจน์หัวใจของผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน ถ้าเขารักคุณอาทิจจริง เขาก็ต้องยอมรับตัวตนของคุณอาทิจ ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้สิวะ”
“แต่ความจริงคือ...มันไม่ใช่เรื่องจริง”
“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ คนเรารักกันแต่งงานกันมันก็แค่จุดเริ่มต้น การใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต่างหากคือบทพิสูจน์ใจของคนสองคนที่แท้จริง ถ้าใครคนหนึ่งไม่หนักแน่น ไม่ค้นหา ไม่ยอมที่จะรับรู้รับฟังเรื่องของใครอีกคนตั้งแต่ต้น ชีวิตคู่มันจะราบรื่นได้ยังไง จริงมั้ยล่ะ”
ทองประศรีฟังแก้ว แล้วคล้อยตาม
อาทิจเดินเข้ามาลงนั่งชันเข่าเอนตัวพิงที่มุมระเบียงอย่างอ่อนล้า ดรุณีตามเข้ามาหาชายหนุ่ม
“พี่อาทิจใจเย็นๆนะคะ ยายตุ่นยังเสียใจอยู่ ให้เวลาเพื่อนณีสักพัก แล้วณีจะอธิบายให้ยายตุ่นเข้าใจเรื่องทั้งหมดเอง”
“พี่คิดว่าน้องณีบอกคุณตุ่นเรื่องนายตะวันกับทองประศรีแล้ว”
แก้วเดินมุ่งหน้าไปทางครัว แต่หางตาแวบเห็นอาทิจกับดรุณีที่ระเบียงจึงย่องมาแอบฟัง
“ณีกลัวพี่อาทิจจะเสียคะแนนก็เลยไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ยายตุ่นฟังตั้งแต่แรก ณีผิดเอง”
“ไม่ใช่ความผิดของน้องณีหรอก ผิดที่พี่เอง พี่คงทำกรรมเอาไว้ พอจะมีความรักกับใคร ถึงได้ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้”
“พี่อาทิจอย่าเพิ่งท้อสิคะ ยายตุ่นไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลนะคะ”
“พี่ก็หวังอย่างนั้น พี่จะรออยู่ตรงนี้ คุณตุ่นใจเย็นลงเมื่อไหร่ คงจะให้โอกาสพี่อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นบ้าง”
“ณีนั่งเป็นเพื่อนนะคะ”
ดรุณีลงนั่งข้างอาทิจ หญิงสาวชายตามองชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นไปมองห้องของเธออย่างจดจ่อและรอคอย แก้วสงสารอาทิจ แต่สงสารดรุณีที่นั่งตาละห้อยอยู่ข้างๆอาทิจมากกว่า
แก้วเข้ามาในห้องย่าแดง นั่งรำพึงรำพันกับรูป
“อย่าโกรธแก้วนะคะคุณย่า แก้วแค่อยากจะให้คุณย่าสมหวัง แล้วแก้วก็อยากเห็นทุกคนที่นี่มีความสุข แก้วไม่รู้หรอกค่ะว่าเนื้อแท้แล้วเพื่อนคุณณีเป็นคนดีหรือไม่ดี แต่แก้วรู้ว่าคุณณีเป็นคนดีและคุณณีก็รักที่นี่ รักคุณอาทิจแล้วแก้วก็เชื่อว่าคุณอาทิจก็รักคุณณีมาก ถึงแก้วจะผิดก็ผิดน้อยใช่มั้ยคะเพราะทำเพื่อส่วนรวม ไหนๆแก้วก็เริ่มเรื่องแล้ว ยังไงคุณย่าก็ช่วยสานต่อให้เรื่องมันจบเร็วๆด้วยเถอะคะ กราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ”
แก้วก้มลงกราบรูปย่าแดง
ตุลยานีโยนเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง หญิงสาวยังร้องไห้สะอึกสะอื้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้ง หญิงสาวชะงัก
“คุณตุ่นคะ...คุณตุ่น นี่น้าแก้วเองนะคะ น้าแก้วเอาน้ำส้มคั้นสดๆมาให้ค่ะ”
ตุลยานีเช็ดน้ำตาจนแห้ง แล้วเดินไปเปิดประตู แก้วเดินถือถาดน้ำส้มคั้นเข้ามาวาง แล้วหันไปมอง ก่อนจะทำท่าแปลกใจ
“คุณตุ่น...เป็นอะไรคะ ทำไมตาบวมๆ”
ตุลยานีกลั้นสะอื้นไม่ไหว น้ำตาไหลออกมาอีก แก้วทำตกใจ
“ร้องไห้ทำไมคะ”
ตุลยานีน้ำตาทะลัก
“น้าแก้วยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอ”
แก้วแบ๊วใส่
“น้าแก้วไปตลาดเพิ่งกลับมาค่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ”
“ตุ่น...ตุ่น”
ตุลยานีปล่อยโฮ
“เอาเถอะค่ะ ถ้าคุณตุ่นไม่สบายใจที่จะเล่าให้น้าแก้วฟังตอนนี้ก็ไม่เป็นไร”
“ตุ่น...อยากกลับบ้าน”
แก้วทำอึ้งเนียนๆ
“เอ่อ...ถ้างั้น น้าแก้วไปบอกคุณณีให้นะคะ”
ตุลยานีคว้ามือแก้วไว้
“ไม่นะน้าแก้ว ไม่ต้องบอกยายณี”
“ถ้างั้นก็คุณอาทิจ”
ตุลยานีเสียงแข็ง
“ไม่ค่ะ ไม่ต้องไปรบกวนเขาเด็ดขาด”
“อ้าว...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ”
“ตุ่นจะกลับบ้าน น้าแก้วช่วยให้ใครไปส่งตุ่นที่สนามบินหน่อยได้มั้ยคะ”
แก้วเหมือนลังเล แต่ก็รับคำเสียงแข็ง
“เอ่อ...ค่ะ”
“แต่ต้องสัญญานะคะว่าจะไม่บอกใคร”
“ค่ะ แต่...คุณตุ่นจะไปเมื่อไหร่คะ”
“เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
แก้วเอามือทาบอกตกใจ
“เดี๋ยวนี้!”
ตุลยานีพยักหน้าแข็งขัน ในขณะที่แก้ว ตกใจสุดขีดแต่ตาก็ฉายแววปิติสุดขีดเช่นกัน
อ่านต่อหน้า 3
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 14 (ต่อ)
ดรุณีเดินไปเดินมา ในขณะที่อาทิจนั่งชันเข่าอยู่ในมุมเดิมท่าเดิม
“ณีจะขึ้นไปตามยายตุ่นมากินข้าวก่อนนะคะ ตอนนี้คงจะหายเสียใจและอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว”
อาทิจยังคงนั่งนิ่ง ในสมองเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องคิด ดรุณีตัดสินใจเดินผละออกมา ในขณะที่แก้วประดิษฐ์หน้าตาตื่นวิ่งร้อนรนมาจากหลังบ้าน
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณณี คุณอาทิจ”
“ก็แม่ทองประศรีน่ะสิคะน้าแก้ว พานายตะวันมาอาละวาดใส่ยายตุ่น หาว่ามาแย่งพี่อาทิจ มาพรากพ่อลูกจากกัน”
แก้วเอามือทาบอกตกใจ
“ตายแล้ว จริงหรือคะ”
“เดี๋ยวณีจะตามไปถามว่าเขาทำอย่างนี้ทำไม เพราะจริงๆแล้วเขาไม่มีสิทธิ์อะไรมาหึงหวงหรือห้ามพี่อาทิจไม่ให้คบใคร”
“ไม่ต้องไปแล้วล่ะค่ะ เมื่อกี้แม่นั่นมาหาน้าแก้วแล้วลุกลี้ลุกลนฝากนายตะวันไว้ บอกจะไปอยู่กับผัวตำรวจที่ต่างจังหวัดสักเดือน คงกลัวคุณณีกับคุณอาทิจจะตามไปเอาเรื่องมันน่ะค่ะ”
“จะไปเดือนสองเดือนหรือเป็นปีก็ต้องมาคุยกันให้รู้เรื่อง รบกวนน้าแก้วเตรียมอาหารให้ณีด้วยนะคะ ณีจะไปตามยายตุ่นลงมากินข้าว”
แก้วทำงง
“คุณตุ่น...ไปแล้วนี่คะ”
อาทิจหันมามองแก้ว ดรุณีถามอย่างไม่เข้าใจ
“น้าแก้วหมายความว่ายังไง”
“ก็เธอหิ้วกระเป๋าออกไปทางหลังบ้าน เจอน้าแก้วก็ขอให้ช่วยไปส่งที่สนามบิน น้าแก้วคิดว่าเธอมีธุระด่วน ก็เลยให้เจ้าอั๋นเอารถไปส่งเมื่อครู่นี้เอง
ดรุณีตกใจ
“อะไรนะคะ”
“น้าแก้วนึกว่าคุณณีรู้แล้วซะอีก”
อาทิจใจหายวาบ ชายหนุ่มรีบพุ่งออกไป โดยมีดรุณีวิ่งตาม แก้วเลิ่กลั่ก ตะโกนตามหลัง
“ไม่ใช่ครู่นึงค่า ไปนานแล้ว โธ่เว้ย...ปากนะปาก ไม่น่าเผลอหลุดออกมาเล๊ย” แก้วยกมือไหว้ท่วมหัว “คุณย่าขา...ขออย่าให้ตามกันทันเลยนะคะ แก้วเหนื่อยจะแอ๊บแบ๊วแล้วค่า เจ้าประคุณเอ๊ย”
แก้วถอนใจเฮือก แล้วมองตามทั้งคู่ไปอย่างเสียวสยองกลัวจะตามกันทัน
ต๊อด อึ่ง พัน นั่งเด็ดหญ้ากำจัดวัชพืชรอบๆแปลงกะหล่ำปลี ต๊อดบ่นอุบ
“ข้าล่ะสงสารนายจริงจริ๊ง หน้างี้เหลือไม่ถึงนิ้ว ตอนนังทองโตมันเรียกผัวคะผัวขา”
พันถอนใจ
“ถ้านายบีบคอนังนั่นตายคามือได้ ก็คงทำไปแล้ว”
อึ่งหนักใจสงสารอาทิจ
“แล้วเรื่องมันจะลงเอยยังไงวะ ว่าที่เจ้าสาวเขาจะให้อภัยว่าที่เจ้าบ่าวมั้ยวะ”
สามเกลอหันมามองหน้ากันแล้วพากันถอนใจเฮือก
อาทิจถีบจักรยานมาตามทางอย่างเร่งรีบ โดยมีดรุณีปั่นเคียงข้างมาด้วยกัน จักรยานทั้งคู่ไต่ขึ้นมาถึงปลายเนิน อาทิจทิ้งจักรยานไว้ข้างทาง กระโดดลงแล้ววิ่งจ้ำขึ้นเนินไป ดรุณีทิ้งจักรยานแล้ววิ่งตามอาทิจไปเช่นกัน อาทิจวิ่งไต่เนินกระหืดกระหอบขึ้นมาจนถึงยอดเนิน ตามติดด้วยดรุณี ทั้งคู่เห็น รถจากสวนคุณย่าซึ่งวิ่งอยู่บนถนนของเขาอีกลูก กำลังจะแล่นผ่านหน้าทั้งคู่ไป อาทิจตะโกนตามรถไปสุดเสียง
“คุณตุ่น”
ตุลยานีนั่งนิ่งไม่ได้ยินเสียงอาทิจ เพราะรถปิดกระจก หญิงสาวนั่งจมอยู่กับตัวเอง รถคุณย่าแล่นผ่านไป อาทิจมองตามรถที่แล่นผ่านหน้าไปแล้วพึมพำออกมา
“คุณตุ่น”
อาทิจมองรถแล่นลัดเลาะทิวเขาออกไปจนลับตา ชายหนุ่มรู้สึกเสียใจเสียดายโอกาส ถ้าเขารอตุ่นอยู่หน้าห้อง คงมีโอกาสได้ทำความเข้าใจกับเธอ และเธอคงไม่จากไปอย่างนี้ ดรุณีมองอาทิจอย่างสงสารสุดหัวใจ
รถแวนจากสวนคุณย่าแล่น มาตามถนน ตุลยานีหันมามองต้นนางพญาเสือโคร่งข้างทาง หญิงสาวกดเลื่อนกระจกลง แล้วขยับตัวและแขนมาเกาะที่ขอบหน้าต่าง ภาพอันแสนหวานระหว่างเธอกับอาทิจผุดขึ้นในความทรงจำของหญิงสาว ตุลยานีน้ำตาไหล หญิงสาวเอี้ยวตัวเหลียวหลังหันมามองดอกนางพญาเสือโคร่งจนลับตาเมื่อรถเลี้ยวลัดเขาไป
ในสนามบินเชียงใหม่...ตุลยานีลงนั่งในมุมสงบที่ค่อนข้างปลีกวิเวกจากผู้คน เวทางค์เข้ามามองหาที่นั่ง ชายหนุ่มนั่งข้างหญิงสาวโดยมีเก้าอี้ว่างคั่นตัวหนึ่ง ก่อนจะหยิบIPAD จากกระเป๋าขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา โดยไม่ได้สนใจผู้หญิงข้างๆที่นั่งเบือนหน้าจนแทบจะหันหลังให้ สักครู่ชายหนุ่มได้ยินเสียงร้องไห้กระซิกๆดังขึ้น จึงมองหาที่มาของเสียงก่อนจะหันไปเพ่งมองผู้หญิงที่นั่งข้างๆ แล้วยิ้มร่า
“น้องตุ่น”
ตุลยานีชะงัก ขยับตัวตั้งสติ ยังไม่ได้หันไปมองเวทางค์
“น้องณีล่ะ”
ตุลยานีรีบเช็ดน้ำตา...ตุลยานีหันมามองเวทางค์ด้วยสายตาที่บ่งว่าหยุดพล่ามสักที ก่อนที่น้ำตาจะคลอหน่วยขึ้นมาอีก เวทางค์หน้าเจื่อน หยุดพูดทันทีเมื่อเห็นดวงตาอันแดงก่ำและบวมช้ำของหญิงสาว ชายหนุ่มชายตามอง สุดท้ายก็ส่งทิชชูที่อยู่ในกระเป๋าให้หญิงสาวเช็ดน้ำตา และสั่งขี้มูก
พระอาทิตย์สีส้มดวงโตแตะที่เหลี่ยมเขา อาทิจทิ้งตัวลงนั่งข้างหลุมฝังเถ้ากระดูกย่าแดง ด้วยความรู้สึกหดหู่ ทดท้อกับความรักอย่างที่สุด
“คุณย่าเคยบอกผมว่า ความรักเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์และงดงามที่สุดที่มนุษย์มีให้กันใช่มั้ยครับ”
ดรุณีเดินไต่เนิน ตามมายืนมองอาทิจอย่างเงียบเชียบ
“ทำไมความรู้สึกที่บริสุทธิ์และงดงามถึงทำให้เราเจ็บปวดได้ขนาดนี้ คุณย่าช่วยให้ผมเข้มแข็งด้วยนะครับ”
ดรุณีน้ำตาคลอสงสารอาทิจ
“เราไปตามยายตุ่นกันเถอะค่ะ”
อาทิจส่ายหน้า
“ไม่ดีกว่าน้องณี ถ้าคุณตุ่นรับตัวตนของพี่ไม่ได้วันนี้ พรุ่งนี้หรือวันไหนๆ เขาก็คงรับไม่ได้อยู่ดี”
“ไม่ใช่รับไม่ได้นะคะพี่อาทิจ ยายตุ่นแค่เข้าใจผิด”
“พี่ไม่แน่ใจว่าคุณตุ่นจะยอมฟังพี่รึเปล่า ถ้าเขาอยากจะเปิดใจฟังพี่บ้าง เขาก็คงไม่...จากไปแบบนี้”
“แต่ถ้าเราพยายามอธิบายให้ยายตุ่นเข้าใจ”
“บางทีคำว่า พยายาม กับ ตอแย มันก็มีแค่เส้นบางๆกั้นกันอยู่นิดเดียว พี่เลือกที่จะอยู่อย่างเจ็บปวด ดีกว่าไปสร้างความรำคาญให้ใคร”
ดรุณีนั่งลงข้างชายหนุ่ม ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือเขาให้กำลังใจ อาทิจหันมามองดรุณีอย่างอัดอั้นตันใจ ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าการที่ตุลยานีจากไป กับการที่ดรุณีต้องแต่งงานกับเวทางค์ อย่างไหนทำให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานมากกว่ากัน...ทั้งคู่นั่งเคียงกันอยู่ท่ามกลางขุนเขา ยามอาทิตย์อัสดง
เช้าวันใหม่ ลุงเกร็ง ไพฑูรย์ ต๊อด อึ่ง พัน กำลังยืนทำงานกันอย่างเซ็งๆ ก่อนจะกรูกันเข้ามาล้อมแก้วซึ่งเดินจ้ำเข้ามา จากนั้นต่างคนต่างก็พ่นคำถามใส่ จนแก้วไล่ฟังแทบไม่ทัน ลุงเกร็งเข้าไปถามก่อนเพื่อน
“คุณอาทิจเป็นยังไงบ้างแม่แก้ว”
ไพฑูรย์ถามต่อ
“ตกลงคุณอาทิจจะตามไปง้อคุณตุ่นมั้ย...รึไง”
ต๊อดถามบ้าง
“นังทองโตนี่มันจะตามจองล้างจองผลาญนายไปถึงไหนวะ ยิ่งพูดยิ่งแค้น”
อึ่งแค้นๆ
“อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอล่ะก็...จะตบจูบซะให้เข็ดผู้ชายไปจนตายเลย”
พันเข้าไปถามอีกคน
“ตกลงนายเป็นยังไง น้าแก้ว”
แก้วเอามืออุดหู
“โอ๊ย...ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงได้เข้ามาดูนี่ไง ตกลงไม่ได้อยู่นี่เหรอ เมื่อคืนก็ไม่ได้กลับมานอนที่บ้าน คุณอาทิจกลับไปนอนกับแกรึเปล่า...ตาเกร็ง”
ลุงเกร็งส่ายหน้า ไพฑูรย์ถอนใจ
“ป่านนี้คงไปนั่งอกกลัดหนองอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
อาทิจเดินเข้ามาพูดเสียงขรึม
“งานมีตั้งเยอะแยะ มารวมตัวทำอะไรอยู่ที่นี่”
ทุกคนทั้งแปลกใจทั้งดีใจ
“นาย / คุณอาทิจ”
ต๊อดดีใจ
“นึกว่านายจะไม่มาทำงานแล้ววันนี้”
อาทิจหน้านิ่ง
“ทำไม”
อึ่งอึกอัก
“ก็...”
“ความรู้สึกของฉัน ไม่สำคัญเท่ากับความรับผิดชอบ ถ้าไม่ล้มหมอนนอนเสื่อหรือใกล้ตาย ฉันไม่มีวันหยุดงาน”
ทุกคนดีใจ
“เย้!”
“ฉันไม่หยุด นั่นก็หมายความว่าพวกนายก็หยุดไม่ได้เหมือนกัน แยกย้ายไปทำงานได้แล้ว”
อาทิจแยกไปเก็บส้มอยู่มุมหนึ่ง ต๊อดพึมพำตามหลัง
“รู้งี้น่าจะให้อกหักรักคุดสักวันสองวัน จะได้พักบ้าง”
“ไอ้ต๊อด!”
ต๊อดสะดุ้ง
“จ้า...ทำงานเดี๋ยวนี้จ้า”
แก้วเดินเข้าไปหาอาทิจอย่างรู้สึกผิดนิดๆ
“น้าแก้วดีใจนะคะที่คุณอาทิจไม่เสียใจ จนกระทั่ง...ทำอะไรไม่ได้”
“เสียใจก็เสียใจครับน้าแก้ว แต่ชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป ผมจะเอาปัญหาของผมคนเดียวมาทำให้เป็นปัญหาของพวกเราทุกคนได้ยังไง เรื่องคุณตุ่น...ผมก็ได้แต่หวังว่าเขาจะยอมรับฟังและเข้าใจผมสักวัน”
อาทิจพูดจบก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ดรุณีแอบมองอาทิจอยู่มุมหนึ่ง
บ่ายวันนั้น อาทิจรดน้ำกะหล่ำปลี โดยมี ต๊อด อึ่ง พัน พยายามทำตลกชวนนายคุยเพื่อให้หัวเราะ แต่อาทิจไม่สนใจ ทำงานลูกเดียว สามเกลอจ๋อยไป ดรุณีเข้าไปยืนข้างอาทิจ ช่วยชายหนุ่มรดน้ำ อาทิจหันมายิ้มขอบคุณ แต่เป็นยิ้มที่แฝงด้วยความเศร้าอยู่ในแววตา ดรุณีปรายตามองเข้าใจความรู้สึกชายหนุ่มดี
ตุลยานีอยู่ในห้องที่คอนโดที่กรุงเทพ โทรศัพท์มือถือดังขึ้น หญิงสาววิ่งมารับสายเห็นเป็นเบอร์ดรุณีก็ดีใจหญิงสาวจะกดรับสายแต่แล้วก็ชะงัก ทิฐิทำให้เธอไม่ยอมรับสายหญิงสาววางโทรศัพท์ก่อนจะกลับไปนั่งจมอยู่มุมห้องตามเดิม
สายๆของอีกวัน อาทิจเก็บข้าวโพดอยู่ในไร่ ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พัน แอบเหล่ ไม่กล้าเข้าไปกวนใจ ดรุณีที่ยืนอยู่อีกมุมพยายามโทรศัพท์หาตุลยานีหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่รับสาย
บ่ายของอีกวันหนึ่ง อาทิจเก็บสตรอเบอรี่กับอ่องและคนงาน ดรุณีเอาน้ำมาให้ อาทิจดื่มน้ำแล้วขอบใจดรุณี ก่อนจะหันกลับไปจดจ่ออยู่กับงานต่อ ดรุณีแอบมองจากเข้าใจเห็นใจทวีเป็นความสงสาร
เช้าวันใหม่...อาทิจตัดกล้วยอยู่กับต๊อด อึ่ง พัน ดรุณีขี่มอเตอร์ไซด์ เอาปิ่นโตมาส่ง อาทิจยิ้มให้...ขอบคุณดรุณีในใจที่ช่างดีกับเขาเหลือเกิน แต่ดรุณีไม่เห็นอากัปกริยาของเขา เพราะเดินถือปิ่นโตอีกเถาไปให้ต๊อด อึ่ง พัน อาทิจพยายามข่มใจ ตัดความรู้สึกดีๆกับดรุณีเพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ เมื่อดรุณีหันมา จึงเห็นอาทิจถือปิ่นโตแยกไปนั่งกินคนเดียวเหงาๆ
เย็นอีกวัน...ในสวนบ๊วยที่ออกดอกขาวสะอาดตาทั้งคู่นั่งกินข้าวด้วยกัน อาทิจเหมือนมีเรื่องครุ่นคิดในใจตลอดเวลา เขาน่าจะทรมานเรื่องตุลยานี แต่ดูเหมือนเขาจะทรมานมากกว่าเมื่อได้อยู่ใกล้ดรุณี...ทำไมเพราะอะไร อาทิจเองก็ตอบไม่ได้ อาทิจปรายตามองดรุณี เพียงครู่เดียวก็ตัดใจก้มหน้าก้มตาตักข้าวกิน ดรุณีปรายตามองอาทิจความสงสารพรั่งพรู เมื่อคิดว่าชายหนุ่มคงคิดถึงตุลยานีแทบขาดใจ
เช้าอีกวัน...ตุลยานีแต่งตัวสวยงามเดินออกมาขึ้นรถที่หน้าคอนโดจะออกไปข้างนอก ดรุณีเข้ามาหาจากด้านหลัง
“ณีขอคุยด้วยหน่อย รบกวนเวลาตุ่นไม่นานหรอก”
ตุลยานีชักสีหน้า ความน้อยใจเสียใจทะลักล้นขึ้นมาจนหญิงสาวต้องแสดงอาการปั้นปึ่งเย็นชาใส่ดรุณี
ทั้งสองพากันไปคุยในห้องพักของตุลยานี ดรุณีพยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างจริงใจ
“ที่ณีพูดทั้งหมดคือความจริง พี่อาทิจไม่เคยรักทองประศรี และไม่เคยอยู่กินกับผู้หญิงคนนั้น ส่วนนายตะวันก็...ไม่ใช่ลูกแท้ๆของพี่อาทิจ ตุ่นอย่าเข้าใจพี่อาทิจผิดเลยนะ”
ตุลยานีหน้านิ่ง
“การมานั่งอธิบายอะไรหลังจากที่เรื่องผ่านไปเกือบ 2 อาทิตย์ มันช้าไปมั้ย มันทำให้ตุ่นอดคิดไม่ได้ว่า ณีต้องการดูให้แน่ใจว่า พี่อาทิจอยู่ได้โดยไม่มีตุ่นรึเปล่า”
ดรุณีสะอึก คำพูดของเพื่อนเป็นยิ่งกว่ามีดที่แทงลงมากลางใจ
“ทำไมตุ่นพูดแบบนี้ เราเป็นเพื่อนกันนะ”
ตุลยานีรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอหอย หญิงสาวเสียใจที่พูดกับเพื่อนแรงไป
“ณีพยายามโทรหาตุ่นแล้ว แต่ตุ่นไม่ยอมรับสาย”
“ตอนนั้นตุ่นยอมรับว่าตุ่นโกรธมาก มันทั้งโกรธทั้งอายจนทนอยู่ที่นั่นต่อไปไม่ไหว แต่มาย้อนคิดอีกที ตุ่นรู้ว่าจริงๆแล้วตุ่นไม่ได้โกรธณี หรือโกรธพี่อาทิจหรอก ตุ่นโกรธและสมเพชตัวเองต่างหาก”
“ณีไม่เข้าใจ”
“พ่อแม่ตุ่นแยกทางกันตั้งแต่ตุ่นยังเด็ก ตุ่นจำวันที่พ่อจากไปกับผู้หญิงคนใหม่ของพ่อได้ติดตา ตุ่นจำได้ว่าตุ่นร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาจะไหล แล้วตุ่นก็บอกตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่าตุ่นจะไม่ทำอย่างพ่อ ชาตินี้ตุ่นจะไม่มีวันพรากลูกพรากพ่อจากใครเป็นอันขาด” ตุลยานีน้ำตาคลอ “แต่สุดท้ายตุ่นก็เดินตามรอยพ่อจนได้”
“แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างที่ตุ่นเข้าใจ”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อที่ณีเล่านะ แต่ตุ่นอยากได้ยินเรื่องนี้จากปากพี่อาทิจเอง”
ดรุณีดีใจ
“หมายความว่าตุ่นจะขึ้นไปหาพี่อาทิจใช่มั้ย”
“ไม่...ขึ้นไปก็เสียฟอร์มแย่สิ ถ้าพี่อาทิจรักตุ่นจริงเขาต้องลงมาหาตุ่นที่นี่”
ดรุณียิ้มโล่งอกโล่งใจ
“ได้จ้ะ ณีจะบอกพี่อาทิจให้ พี่อาทิจต้องดีใจที่สุดเลยล่ะ”
ดรุณียื่นมือไปจับมือตุลยานี แล้วทั้งสองคนก็ยิ้มให้กัน ต่างคนต่างรู้ดีว่ามิตรภาพที่มีต่อกันมากว่า 4 ปีนั้นเหนียวแน่นเกินจะขาดสะบั้นเพราะเรื่องนี้
เย็นนั้น อาทิจอาบน้ำแล้วเดินมากินข้าวเย็นที่บ้านย่า แก้วกำลังจัดวางอาหารที่โต๊ะ หันไปเห็นชายหนุ่ม
“คุณณีไม่ได้มาด้วยหรือคะ”
“วันนี้ผมไม่เห็นน้องณีทั้งวัน ไม่ได้เข้าไปที่สวนนี่ครับ ผมนึกว่าทำขนมอยู่นี่”
“เปล่าค่ะ อ้าว...แล้วคุณณีไปไหนล่ะคะ ก็เห็นแต่งตัวออกไปแต่เช้า น้าแก้วก็เข้าใจว่าเข้าไปช่วยคุณอาทิจ เอ...ถ้าไม่ได้ไปทำงานแล้วไปไหน”
ดรุณีเดินยิ้มแฉ่งเข้ามา
“ไปกรุงเทพมาค่ะ”
แก้วแปลกใจ
“ไปกรุงเทพ ไปทำอะไรคะ”
“ณีไปหายายตุ่นมาค่ะน้าแก้ว”
แก้วอยากจะหยิกดรุณีนักเชียว
“คุณณี!”
ดรุณีพยายามทำให้บรรยากาศสดชื่น
“ณีไม่อยากเห็นพี่อาทิจทำงานอย่างคนไม่มีหัวใจ ก็เลยต้องไปตามหัวใจพี่อาทิจกลับมาที่นี่ ณีไปอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ยายตุ่นฟังแล้วนะคะพี่อาทิจ”
อาทิจอยากรู้...ลุ้น
“แล้วคุณตุ่น...”
“ยายตุ่นก็ใจอ่อนสิคะ ก็เรื่องแม่ทองประศรีมันไม่ใช่เรื่องจริงนี่ เพียงแต่พี่อาทิจต้องตามลงไปง้อหน่อยเท่านั้น” ดรุณีควักรูปถ่ายตุลยานี ออกมายื่นให้ “นี่ค่ะ ยายตุ่นฝากมาให้ดูต่างหน้า เอาไปนอนกอดให้ชื่นใจ แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปกอดตัวจริงเองเลย”
“พรุ่งนี้”
“ค่ะ...ณีนัดยายตุ่นไว้ให้แล้ว เร็วทันใจดีมั้ยคะ”
อาทิจยิ้มแต่ในใจเริ่มสับสน ทำไมถึงไม่ค่อยดีใจ เขาน่าจะดีใจที่สุดไม่ใช่เหรอ
ค่ำนั้น ดรุณีนั่งถักเสื้อหนาวอยู่บนเก้าอี้ อาทิจนั่งตรวจทานบัญชีอยู่ตรงข้ามดรุณี ชายหนุ่มเอามือนวดหัวตา แล้วเหลือบมองดรุณีโดยบังเอิญ...อาทิจเห็นดรุณีนั่งในมุมนี้ หญิงสาวดูสวยสง่ามาก ชายหนุ่มถึงกับละสายตาจากดรุณีไม่ได้ แก้วแอบเห็นนาทีเผลอของชายหนุ่ม รีบสานใยให้ทันที
“คุณณีถักอะไรคะ”
“ว่าจะทำเป็นเสื้อหนาวน่ะค่ะ น้าแก้วอยากได้มั้ยคะ”
“น้าแก้วมีแล้ว คุณณีเคยถักให้แล้วตัวหนึ่งเมื่อปีที่แล้วไงคะ คุณอาทิจยังไม่มี คุณณีถักให้คุณอาทิจสักตัวสิคะ อากาศหนาวแล้วด้วย”
อาทิจรีบก้มหน้า ทำเป็นดูบัญชีขะมักเขม้น ดรุณีหันไปถามอาทิจ
“พี่อาทิจอยากได้รึเปล่า”
อาทิจทำเป็นเพิ่งได้ยิน เงยหน้าขึ้นมาเหรอหรา
“อะไรนะครับ”
“เสื้อหนาวที่ณีกำลังถักนี่ไงคะ อยากได้มั้ยคะ ชอบสีมั้ย”
อาทิจตอบทันที
“ชอบครับ...ชอบ”
“ถ้างั้นก็ต้องวัดตัวก่อน”
แก้วรีบเรียก
“มาให้คุณณีวัดตัวสิคะคุณอาทิจ”
อาทิจวางบัญชีในมือแล้วลุกมาหาหญิงสาวอย่างว่าง่าย ดรุณีหยิบสายวัดวัดความยาว กว้างช่วงแขน วัดไหล่ วัดรอบคอ ทั้งสองแอบมองแอบหลบตากันตลอด เพราะใกล้ชิดจนลมหายใจแทบรดกัน บรรยากาศวินาทีนี้เหมือนอยู่กัน 2 คนบนโลก...แก้วเข้ามาแทรกกลาง
“วัดกันเสร็จรึยังคะ น้าแก้วเห็นยืนหลบตากันอยู่นั่นแหละ”
ดรุณีรีบออกตัว
“สะ...เสร็จแล้วค่ะ”
แล้วต่างคนต่างก็ผละจากกันอย่างเขินๆ ก่อนจะก้มหน้างุดทำกิจกรรมของตัวเองง่วน แก้วแอบขำทั้งคู่ ก่อนจะเดินออกไปเพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน สักครู่อาทิจหยิบบัญชีขึ้นมาถืออ่านแล้วค่อยๆเลื่อนบัญชีในมือลง อาทิจแอบมองดรุณีตาเป็นประกายวาว ดรุณีหันมามอง อาทิจรีบยกบัญชีขึ้นปิดหน้า แล้วค่อยๆเลื่อนบัญชีลงมาเห็นเพียงแค่ตาอีกครั้งเพื่อจะแอบมองหญิงสาว แต่ครั้งนี้ดรุณีไม่ได้นั่งตรงนั้นแล้ว มีเพียงเสื้อที่ถักค้างไว้วางอยู่ แล้วชายหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆดรุณีก็โผล่หน้ามาข้างๆ
“พี่อาทิจคงทำงานจนเพลียจัดเลยนะคะ”
อาทิจเอ๋อๆงงๆ
“ทำไมครับ”
“ก็พี่อาทิจดูบัญชีกลับหัวอยู่นี่ไงคะ”
อาทิจมองบัญชีในมือ เห็นตัวเลขเข้าแถวกลับหัวกลับหางอย่างที่ดรุณีพูดจริงๆ ชายหนุ่มอายมาก ดรุณียิ้มขำ
“เดี๋ยวณีดูให้เอง กลับไปนอนเถอะค่ะ พรุ่งนี้ต้องไปหายายตุ่นแต่เช้านะคะ”
อาทิจวางบัญชีลงบนโต๊ะ แล้วรีบเดินตัวปลิวออกไป อายกับความเด๋อด๋าของตัวเองที่สุด
“เดี๋ยวค่ะ”
อาทิจหันกลับมา ยังวางหน้าไม่ถูก
“รูปยายตุ่นค่ะ จะได้นอนหลับฝันดี”
ดรุณีส่งรูปตุลยานี ที่วางอยู่บนโต๊ะให้ อาทิจรับมาแล้วรีบสลายตัวออกไปทันที ดรุณีมองตามอาทิจแล้วอดขำไม่ได้ แต่สักครู่รอยยิ้มก็เลือนหายไปเมื่อหญิงสาวนึกถึง วันพรุ่งนี้
อาทิจเดินถือรูปตุลยานี สู้ลมหนาวกลับมาที่บ้านพักคนงาน ชายหนุ่มหยิบรูปถ่ายขึ้นมาดู แล้วพยายามที่จะอารมณ์ดี
“พรุ่งนี้แล้วสินะ”
อาทิจยิ้มกับรูป รู้สึกแปลกใจทำไมถึงไม่รู้สึกตื่นเต้นอย่างที่ควรจะเป็น
ตุลยานี ลงมาหา เวทางค์ที่รออยู่หน้าคอนโด เวทางค์ยื่นช่อดอกไม้ให้
“ขอบคุณนะคะพี่เว แต่ตุ่นออกไปกินข้าวด้วยไม่ได้แล้วนะคะ”
“ทำไมล่ะ คืนก่อนก็เลื่อนนัด คืนนี้ยังจะเลื่อนอีกเหรอ น้องตุ่นจะไปไหน”
“ไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ ตุ่นต้องรีบนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
“ใส่บาตรเหรอ”
ตุลยานี หัวเราะขำเวทางค์
“ไม่ใช่ค่า ตุ่นจะตื่นมาแต่งตัว พี่อาทิจจะมาหาตุ่นที่นี่ ตุ่นขอตัวก่อนนะคะ นอนดึกแล้วขอบตามันคล้ำ”
เวทางค์อึ้ง...จ๋อย ในขณะที่ตุลยานี หันหลังเดินกลับไปที่ลิฟท์หญิงสาวท่าทางสดชื่นเหมือนยืนอยู่บนเนินเขา...พรุ่งนี้ แล้วสินะ
ดรุณีพูดกับแก้วขณะกลับมานั่งถักเสื้อต่อ
“พรุ่งนี้ เขาก็จะได้เจอกัน พี่อาทิจจะได้มีความสุขสักที”
“น้าแก้วล่ะเบื่อคุณณีจริงเชียว คุณอาทิจเธอก็อยู่ของเธอมีความสุขดีแล้ว”
“น้าแก้วไม่ได้อยู่กับพี่อาทิจตลอดเวลาอย่างณีนี่คะ พี่อาทิจทำแต่งานก็เพราะไม่อยากคิดมากเรื่องยายตุ่น ในขณะที่พี่อาทิจยิ้ม แต่ณีรู้ว่าในใจพี่อาทิจเศร้าขนาดไหน อาจจะร้องไห้อยู่ด้วยซ้ำไป”
แก้วเปรยๆ
“รู้ใจขนาดนี้ทำไมไม่รักกันให้รู้แล้วรู้รอดไป”
“น้าแก้วว่าอะไรนะคะ”
“เปล๊าค่ะ...น้าแก้วแค่คิดดังๆว่า คนเป็นเนื้อคู่กันยังไงมันก็ต้องได้อยู่ด้วยกัน”
“ค่ะ ถึงมีเรื่องให้เข้าใจผิดต้องแยกจากกันไป ยังไง...ก็ต้องกลับมาอยู่ด้วยกัน”
แก้วขัดใจ
“แต่น้าแก้วเชื่อว่าคนไม่ได้เป็นเนื้อคู่กัน ยังไงก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันค่ะ”
ดรุณีส่ายหน้าที่แก้วไม่ลดราวาศอก ก่อนจะก้มลงถักเสื้อให้อาทิจต่อ
อาทิจเดินกินลมชมวิวมาเรื่อยๆ งูเห่าขนาดเขื่องเลื้อยเข้ามาแล้วฉกที่ข้อเท้าซ้ายของชายหนุ่ม อาทิจสะดุ้งเฮือก รู้สึกเสียวแปล๊บที่เหนือข้อเท้าซ้าย ชายหนุ่มหันไปเห็นงูเห่าที่เลื้อยหนีไป อาทิจทรุดลงกับพื้นรูปตุลยานี หล่นจากมือเขาตกลงที่พื้นเช่นกัน อาทิจเอามือกุมข้อเท้า
“โอ๊ย...น้องณี...น้องณี”
ดรุณีซึ่งกำลังถักเสื้ออยู่ชะงักกึก เพราะได้ยินเสียงอาทิจดังแว่วมา
“เสียงพี่อาทิจนี่คะ”
แก้วหน้าตื่น
“ค่ะ...คุณอาทิจร้องเรียกคุณณี เหมือน...เหมือน...”
ทั้งคู่หันมองหน้ากัน แล้วเหมือนจะเกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาพร้อมกัน ดรุณีวางเสื้อที่ถักคาอยู่ ในขณะที่แก้ววางบัญชีในมือ จิ๋วแจ๋วเดินเข้ามาในบ้าน เห็นแม่กับดรุณีวิ่งลนลานออกไป ก็วิ่งตามไปด้วย
อาทิจนอนร้องครวญคราง เอามือจับข้อเท้า ชายหนุ่มเจ็บแทบขาดใจ
“โอ๊ย...น้องณี...น้องณี...ช่วยพี่ด้วย!”
ดรุณีกับแก้วและจิ๋วแจ๋ววิ่งหิ้วตะเกียงเข้ามาเห็นอาทิจนอนร้องครวญครางที่พื้น ดรุณีถลาเข้าไปหา
“พี่อาทิจ”
“พี่โดนงูกัด...งูเห่า”
แก้วตกใจร้องเสียงหลง
“คะ!”
ดรุณีวางตะเกียงข้างๆขาอาทิจ แล้วก้มดูแผลที่ข้อเท้า ก่อนจะดึงผ้าพันคอของตัวเองรัดที่เหนือเหนือแผล
“ปวดมากมั้ยคะพี่อาทิจ”
อาทิจกัดฟัน
“ปวดแทบขาดใจ”
อ่านต่อหน้า 4
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 14 (ต่อ)
ดรุณีไม่อาจทนเห็นอาทิจเจ็บปวดอย่างนั้นได้ หญิงสาวทำในสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด นั่นคือการก้มลงไปดูดพิษงูที่ข้อเท้าชายหนุ่ม อาทิจพยายามห้าม
“น้องณี อย่า...มันอันตราย”
แก้วตกใจ
“คุณณีคะ อย่าทำอย่างนี้นะคะ เดี๋ยวถ้าปากเป็นแผลหรือมีรอยถลอกจะโดนพิษงูไปอีกคนนะคะ”
ดรุณีไม่ฟังเสียงห้ามของอาทิจและแก้ว หญิงสาวก้มลงดูดพิษงูแล้วบ้วนทิ้งซ้ำแล้วซ้ำอีก อาทิจตาพร่ามัว แน่นหน้าอกหนังตาตกอยากจะหลับซะให้ได้
“พี่อาทิจอย่าหลับนะคะ อย่าหลับ น้าแก้วให้จิ๋วแจ๋วไปตามลุงเกร็งมาเร็ว”
แก้วมัวแต่ตกใจ พะวักพะวงจนไม่เห็นจิ๋วแจ๋วที่ยืนอยู่ข้างๆ แก้วตะโกนไปที่บ้านดังลั่น
“จิ๋วแจ๋ว!”
“อยู่นี่แม่”
แก้วตกใจ หันไปโทษลูกซ้ำ
“อยู่นี่ก็ไม่ให้สุ่มให้เสียง ไปตามตาเกร็งมาเดี๋ยวนี้ บอกคุณอาทิจถูกงูเห่ากัด ให้เตรียมยามารักษาเลยนะ ไป”
“จ้ะแม่”
“ช่วยพาพี่อาทิจขึ้นบ้านก่อนเถอะค่ะน้าแก้ว”
แก้วจะขยับเข้าไปช่วย แต่หางตาเหลือบไปเห็นรูปตุ่นตกอยู่ที่พื้นเลยผละไปหยิบ
“ทำอะไรอยู่คะน้าแก้ว”
แก้วยัดรูปตุ่นเก็บที่ขอบผ้าถุง
“ไปเดี๋ยวนี้ค่า”
ดรุณีกับแก้วช่วยกันหิ้วปีกอาทิจออกไป
ลุงเกร็งเปิดประตูออกมาจากห้องย่าแดงพร้อมสะพายย่ามซึ่งใส่ยาสมุนไพรต่างๆออกมา ดรุณีกับแก้วพุ่งเข้าไปหาดรุณี
“พี่อาทิจเป็นยังไงบ้างคะลุงเกร็ง”
“ลุงทำความสะอาดแผลแล้วก็ให้ยาไปหลายขนาน คืนนี้อาจจะไข้ขึ้นแล้วก็คงต้องพยุงเข้าห้องน้ำกันบ้างครับ”
“คงอีกหลายวันกว่าจะหาย...ใช่มั้ยตาเกร็ง”
“โอ๊ย...พรุ่งนี้ก็แค่บวมนิดหน่อย แต่ลุกขึ้นเดินเองได้ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ปล่อยให้นอนพักให้เต็มที่ก็แล้วกัน”
ดรุณียกมือไหว้
“ขอบคุณลุงเกร็งมากค่ะ หนูขอตัวไปดูพี่อาทิจก่อนนะคะ”
ดรุณีกลับเข้าห้องนอนย่าไป แก้วกระแทกเสียงถาม
“มันหายเร็วขนาดนั้นเลยหรือวะตาเกร็ง”
“มือชั้นนี้แล้ว”
“ปัดโธ่...ทำไมไม่ทำให้ลุกช้ากว่านี้หา”
“อะไรอีกล่ะแม่แก้ว นึกยังไงถึงอยากให้คุณอาทิจหายช้าขึ้นมาอีกล่ะเนี่ย”
“ก็คุณณีน่ะสิ แจ้นลงไปกรุงเทพแล้วนัดให้คุณอาทิจลงไปหาคุณตุ่นพรุ่งนี้ ฉันอุตส่าห์ดีใจว่าคุณอาทิจโดนงูกัดอย่างนี้คงไปไม่ไหว แต่แกดันมาทำให้เสียโอกาสซะนี่”
“ก็...ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ ให้ยาไปเต็มที่ขนาดนี้ ยังไงพรุ่งนี้ก็วิ่งได้ปร๋อ ถ้าเขาจะวิ่งไปหากันล่ะก็ ทำใจเถ๊อะแม่แก้ว”
แก้วหงุดหงิด...สะบัดสะบิ้งงอนลุงเกร็ง
ดรุณีเอาผ้าขนหนูเช็ดแขนให้อาทิจที่ถอดเสื้อแล้วแต่คลุมด้วยผ้าห่มมาถึงหน้าอก หญิงสาวทำทุกอย่างตามขั้นตอนที่ย่าแดงเคยสอนไว้ ดรุณีทาแป้งเด็กที่แผงอกและคอให้ อาทิจขยับตัวลืมตาขึ้นมา ดรุณีดีใจ
“พี่อาทิจ เป็นยังไงบ้าง เจ็บแผล ปวดเมื่อยเนื้อตัวตรงไหนรึเปล่าคะ”
“พี่...คิดว่าพี่ไม่รอดแล้ว”
“ต้องรอดสิคะ ลุงเกร็งให้ทั้งยากินยาทา พี่อาทิจต้องหายแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณมากนะน้องณีที่อยู่ข้างๆพี่ตอนพี่ป่วยทุกครั้ง ครั้งที่แล้วก็ตอนไม่สบายเป็นไข้ป่า แล้วครั้งนี้ก็มาโดนงูกัดอีก”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่อาทิจหายไวไวนะคะ”
“ทำไมน้องณีถึงดูดพิษงูให้พี่ มันอันตรายมากรู้มั้ย”
“ณีไม่มีเวลาคิดเรื่องอันตรายอะไรหรอกค่ะ คิดเพียงแต่ว่า มีทางไหนที่จะทำให้พิษงูออกไปจากตัวพี่อาทิจได้เร็วที่สุดเท่านั้น”
อาทิจอยากรู้ ถามเสียงอ้อนโดยไม่รู้ตัว
“กลัวพี่ตายใช่มั้ย”
ดรุณีหน้าแดง
“ณี...ไม่อยากให้พี่อาทิจเป็นอะไร...” หญิงสาวรีบออกตัวแก้เก้อ “ถ้าพี่อาทิจ
เป็นอะไร ทุกคนที่นี่ก็ต้องลำบาก ณีจะไปหาใครมาทำงานแทนพี่อาทิจได้ล่ะ”
อาทิจยิ้มกริ่ม
“ก็เลยต้องดูแลพี่อย่างดีที่สุด”
“ค่ะ”
“รวมทั้งการเช็ดตัว ทาแป้ง แล้วก็...เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ด้วย”
ดรุณีหน้าแดงขึ้นอีก
“ก็...พี่อาทิจไข้ขึ้น”
อาทิจมองหญิงสาวด้วยแววตาลึกซึ้ง
“พี่ไม่เคยไข้ขึ้นแล้วรู้สึกดีอย่างนี้มาก่อนเลย ขอบคุณมากนะน้องณี”
คราวนี้ ดรุณีแก้มแดงยิ่งกว่าลูกตำลึง หญิงสาวเลี่ยงสายตาของเขาที่ทำให้แข้งขาและหัวใจของเธอสั่นไหว ด้วยการหิ้วอ่างน้ำเดินขาขวิดออกไป อาทิจรู้สึกเป็นสุข เป็นความสุขที่ลึกซึ้ง ผูกพัน และฝังรากลึกในใจ แต่เพิ่งถูกสะกิดให้เผยความรู้สึกออกมา ชายหนุ่มลืมไปถนัดใจว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไร...มีนัดกับใคร
เช้าวันใหม่...ดรุณีกำลังต้มโจ๊กให้อาทิจ แก้วเดินเข้ามาเมียงมอง
“อาหารเช้าคุณอาทิจเหรอคะ”
“ณีก็ทำเผื่อทุกคนแหละ”
“เมื่อคืนคุณอาทิจเป็นยังไงบ้างคะ”
“ไข้ขึ้นๆลงๆทั้งคืนเลยค่ะ”
“ถ้างั้นคุณณีขึ้นไปดูคุณอาทิจเถอะค่ะ เดี๋ยวทางนี้น้าแก้วจัดการเอง”
“ฝากด้วยนะคะน้าแก้ว”
ดรุณีรีบเดินออกไปเพราะเป็นห่วงอาทิจ แก้วเปรยตามหลัง
“เป็นห่วงล่ะซี้”
แก้วมองตามหลังดรุณีทั้งขำทั้งเอ็นดู
อาทิจลืมตางัวเงีย ชายหนุ่มมองไปรอบๆห้องอย่างมึนๆ ก่อนจะสะดุ้งลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นแสงอาทิตย์ยามเช้าลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
“เฮ้ย...เช้าแล้ว”
อาทิจเป็นห่วงงานรีบลุกขึ้นมาจากเตียงอัตโนมัติ ชายหนุ่มจ้ำไปเปิดตู้หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วนึกขึ้นได้
“งู”
อาทิจก้มลงดูแผลที่ข้อเท้าซ้ายซึ่งยังบวมอยู่ แล้วลองขยับเดิน ชายหนุ่มเดินได้คล่องแคล่วก็ยิ้มออก
“ยาลุงเกร็งนี่ดีจริงๆ”
ดรุณีเปิดประตูเข้ามาเห็นอาทิจยืนอยู่ก็ตกใจ
“พี่อาทิจลุกเดินเองได้แล้วหรือคะ”
อาทิจเข่าอ่อนข้อเปลี้ย รีบเอามือเท้าโต๊ะแถวนั้นเพื่อถ่ายเทน้ำหนักจนดูเดินไม่ได้ทันที
“พี่...อยากเข้าห้องน้ำน่ะจ้ะ”
ดรุณีรีบเข้ามาพยุง
“แล้วทำไมไม่เรียกณีคะ”
“เมื่อคืนก็รบกวนน้องณีทั้งคืนแล้ว พี่เกรงใจ เลยอยากช่วยตัวเองบ้าง”
“ทีหลังไม่ต้องเกรงใจนะคะ มาค่ะ...ค่อยๆเดินนะคะ”
ดรุณียกแขนอาทิจพาดไหล่ตัวเอง เพื่อประคองเข้าห้องน้ำ แต่หญิงสาวยังกะน้ำหนักชายหนุ่มไม่ถูกจึงเซเหมือนจะล้ม อาทิจตกใจรีบคว้าตัวดรุณีไว้ หน้าทั้งคู่ทิ่มเข้ามาจ่อกัน แก้วถือถาดใส่โจ๊กเปิดประตูเข้ามา...ตาเหลือก ดรุณีและอาทิจรีบผละออกจากกันทันที ทั้งคู่ออกตัวแรงพร้อมกัน
“ณีกำลังจะพาพี่อาทิจ / ผมเข้าห้องน้ำ”
แก้วยิ้มแหะๆ ออกตัวบ้าง
“น้าแก้วเอาโจ๊กขึ้นมาให้ค่ะ”
“กินที่ระเบียงข้างล่างดีมั้ยคะ พี่อาทิจจะได้ลงไปรับอากาศบริสุทธิ์ด้วย”
“ครับ”
“รบกวนน้าแก้วตั้งโต๊ะด้วยนะคะ ณีเช็ดตัวให้พี่อาทิจเสร็จแล้วจะลงไปค่ะ”
“ค่ะ...ได้ค่ะ”
แก้วเดินออกไป
“พี่อาทิจเดินระวังๆนะคะ”
ดรุณีประคองพาชายหนุ่มเข้าห้องน้ำ แก้วแอบมองหนุ่มสาวในห้องแวบๆก่อนจะพลิกเดินออกมาจากหน้าประตู
“ไม่น่าขึ้นมาขัดจังหวะเล๊ย”
ดรุณียื่นมือให้อาทิจจับเพื่อยึดเป็นหลักฝึกเดิน
“ไม่ปวดแผลใช่มั้ยคะ นี่เดินคล่องขึ้นเยอะเลยนะคะ”
“ครับ”
“เดี๋ยวณีออกไปทำงานแล้วพี่อาทิจต้องพักนะคะ ห้ามหัดเดินเองคนเดียว ถ้าล้มตอนไม่มีใครอยู่บ้าน มันจะยุ่ง”
“ครับ ไม่มีไม้เท้าพูดได้คนนี้อยู่ด้วย พี่ไม่ไปไหนเด็ดขาด”
ดรุณีเขินที่จู่ๆก็ได้ตำแหน่ง ไม้เท้าพูดได้ ขึ้นมาซะงั้น แก้วแอบดูทั้งคู่ทางด้านหลังถูกใจมาก สักครู่จึงหยิบรูปตุลยานีที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาดู ก่อนจะขยำพับไปพับมาจนรูปยับยู่ยี่ แก้วยิ้มสะใจ ก่อนจะปั้นหน้าเดือดเนื้อร้อนใจวิ่งไปหาอาทิจและดรุณี ซึ่งกำลังฝึกเดินที่ระเบียง
“ตายๆๆๆ...ตายแล้วค่ะคุณณี ไม่รู้ใครมาปู้ยี่ปู้ยำรูปคุณตุ่นจนเยินขนาดนี้”
แก้วส่งรูปให้ ดรุณีเห็นแล้วตกใจ
“ใครทำเนี่ย พี่อาทิจไปลืมรูปยายตุ่นไว้ที่ไหนคะ”
ดรุณีส่งรูปให้อาทิจ ชายหนุ่มรับมาดูขรึมไปเหมือนกัน
“พี่ไม่ได้ลืมนะ แต่มันอาจจะหล่นช่วงที่ถูกงูกัดรึเปล่า”
แก้วรีบเออออ
“คงอย่างนั้นล่ะค่ะ พวกคนงานมาทำงานแต่เช้ามืดเลยมองไม่เห็น พาย่ำซะ”
ดรุณีเหล่มองแก้วอย่างรู้ทัน
“แต่มันดูไม่เหมือนรอยย่ำนะคะ เหมือนใครมาขยี้ขยำยังกับแค้นกันมาสักร้อยมากกว่า”
แก้วรู้ว่าดรุณีรู้ทัน แต่ยังแถไป
“ต๊าย...ใครจะคิดร้ายกับคุณตุ่นได้ขนาดนั้นคะ”
“รูปพังก็ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวณีจะโทรหาเจ้าตัวให้เอง จะได้ลงไปเจอกันซักที ถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องพึ่งรูปไว้ดูต่างหน้าแล้วค่ะ ฝากน้าแก้วดูแลพี่อาทิจด้วยนะคะ ณีขอตัวไปทำงานก่อนค่ะ”
อาทิจยิ้มขอบคุณ ดรุณีเดินออกไป
“อย่าเก็บไว้เลยนะคะ ของเสียหายหักพังแบบนี้ โบราณท่านว่าเก็บไว้ในบ้านไม่ดีค่ะ”
แก้วถือวิสาสะหยิบรูปในมืออาทิจออกมาเนียนๆ ก่อนจะหันไปมองดรุณี...มันน่าตีให้ก้นลายนักเชียว
ที่โรงงานแว๊กซ์ส้ม...ผู้จัดการยื่นบัญชีสต็อกกล่องซึ่งจะใช้แพ็คส้มล็อตใหญ่ที่เพิ่งสั่งเข้ามาให้
ดรุณีเซ็นรับ หญิงสาวเซ็นเสร็จก็ยกมือไหว้ขอบคุณผู้จัดการซึ่งอาวุโสกว่ามาก แล้วหันมากดโทรศัพท์มือถือโทรตุลยานี ดรุณีรอปลายทางรับสาย
ตุลยานีกำลังหมุนซ้ายหมุนขวาเช็คดูความงามของตัวเองที่หน้ากระจก ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หญิงสาวแจ้นมารับ พอเห็นเป็นเบอร์ดรุณีก็ยิ้มหน้าบาน
“พี่อาทิจมาถึงคอนโดแล้วเหรอณี”
สักครู่...รอยยิ้มของหญิงสาวก็เหือดแห้ง กลายเป็นความไม่พอใจเข้ามาแทนที่
“อ้าว...แล้วยังไงล่ะ ตกลงเขาไม่อยากมาใช่มั้ย”
ดรุณีเดินคุยโทรศัพท์อยู่ในโรงงาน
“ไม่ใช่นะตุ่น พี่อาทิจจะไปหาตุ่นอยู่แล้ว แต่มาถูกงูกัดซะก่อน งูเห่าซะด้วยสิ ตอนนี้ยังลุกเดินเองไม่ได้เลย”
จากที่ไม่พอใจ กลายเป็นตกใจ
“จริงเหรอณี แล้วพี่อาทิจเป็นอะไรมากมั้ย ตุ่นจะขึ้นไปดูแลเขาเอง...นะ...นะ”
ดรุณีเดินมาคุยอีกมุม
“จ้ะ...รีบมาเร็วๆก็แล้วกัน พี่อาทิจต้องหายเร็วแน่ถ้าตุ่นขึ้นมาดูแล จ้ะ...จ้ะ ณีจะคอยนะ แล้วเจอกันจ้ะ”
ดรุณีกดปิดโทรศัพท์ แล้วค่อยๆคลายยิ้มก่อนจะบอกตัวเองว่า เธอทำถูกต้องแล้ว
เวทางค์เดินไปเดินมาที่หน้าคอนโดตามมาแอบดูตุลยานีกับอาทิจ สักครู่รับตุลยานีวิ่งหน้าเริ่ดออกมา แล้วยืนสลับเดินไปมาพร้อมชะเง้อไปที่ลานจอดรถอย่างกระวนกระวาย เวทางค์หมั่นไส้
“อยากเจอไอ้หนุ่มชาวไร่จนยืนไม่ติดขนาดนี้เลยเหรอ ตาต่ำที่สุด” เวทางค์ทำ
เป็นยื่นคำขาด “ฉันจะให้เวลาเธอแค่นับหนึ่งถึงสามเท่านั้นนะ ถ้าเธอมีใจให้ฉันล่ะก็เธอต้องเห็นฉันอยู่ในสายตา แต่ถ้าไม่...ฉันจะเดินไปจากชีวิตเธอเอง” เวทางค์เริ่มนับ แต่นับนานหน่อย “หนึ่ง...สอง...สะ...สะ...สะ...สาม”
เวทางค์จ๋อย ตัดสินใจหันหลังให้ตุลยานีเพื่อจะกลับไปที่รถ และจะเดินออกไปจากชีวิตของหญิงสาวแต่โดยดี ถ้าไม่เป็นเพราะ...ตุลยานีหันรีหันขวางแล้วหันมาเห็นหลังเวทางค์ไวๆ หญิงสาวตะโกนเรียก
“พี่เว!”
เวทางค์หน้าเด้งดีใจ หันกลับมาหาแล้ววิ่งกางแขนพร้อมกอด ตะโกนออกมาแบบหนังไทยในอดีต
“น้องตุ่น”
ตุลยานีวิ่งกางแขน ดูเหมือนพร้อมจะเข้าไปกอดเวทางค์
“พี่เว”
ทั้งคู่วิ่งมาเจอกันกลางลาน เวทางค์จะเข้ามากอดแต่หญิงสาวจับแขนชายหนุ่มเอาไว้ก่อน
“ในที่สุด น้องตุ่นก็เห็นพี่อยู่ในสายตา”
“ค่ะ...ช่วยไปส่งตุ่นหน่อยได้มั้ยคะ รถตุ่นเข้าอู่ซ่อมน่ะค่ะ ตุ่นขี้เกียจรอแท็กซี่”
“ไปสิจ๊ะ ไปไหนไปกัน น้องตุ่นจะไปไหนล่ะ”
“สนามบินค่ะ ตุ่นจะไปหาพี่อาทิจ”
เวทางค์แทบกรี๊ด
นาข้าวสีทองสวยงาม ต๊อดกับลุงเกร็งกำลังสั่งคนงานให้ไล่ดูแมลงและน้ำที่อยู่ ในแปลงข้าว สักครู่...ดรุณีเดินเข้ามา
“เป็นยังไงบ้างคะลุงเกร็ง”
“น้ำมันเหือดไปนิดครับ ลุงกำลังให้คนงานเปิดน้ำเข้าอีกหน่อย”
ต๊อดหันมาถามดรุณีเพราะเป็นห่วงอาทิจ
“นายเป็นยังไงบ้างครับคุณณี”
“แผลยุบลงแต่ยังเดินเองไม่ไหว ต้องคอยพยุงตลอดเลย”
ลุงเกร็งงง
“แผลอาจจะบวมอยู่ แต่...ยังเดินเองไม่ได้หรือครับ”
“ค่ะ”
ลุงเกร็งแปลกใจ
“เอ...มันน่าจะเดินได้แล้วนา ลุงให้ยาไปตั้ง 3 ขนาน คนอื่นโดนกัดกลางคืน เช้าขึ้นก็เดินกันปร๋อทั้งๆที่ก่อนแบกมาหาลุงเขาไม่ได้ทำอะไรกันเลย นี่คุณณีอุตส่าห์ดูดพิษออกให้คุณอาทิจตั้งมากแล้ว มันเป็นไปได้ยังไง”
ต๊อดขัดขึ้น
“เป็นไปได้สิ”
ลุงเกร็งฉุน
“นี่เอ็งหาว่ายาของข้าใช้ไม่ได้ผลหรือวะไอ้ต๊อด”
“โอ๊ย...ใครจะกล้าไปว่าน้าเกร็งล่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหมอ แต่เป็นมารยาของคนไข้ที่อยากจะอ้อนคุณณีมากกว่า”
ดรุณีหน้าแดงร้อนวูบวาบ แต่ก็แกล้งพูดกลบเกลื่อน
“พี่อาทิจจะทำอย่างนั้นทำไมล่ะต๊อด เขาอยากจะหายไวไวจะตาย จะได้รีบลงไปหายายตุ่น พี่อาทิจหายเมื่อไหร่นายเตรียมตัวรับนายหญิงคนใหม่ของสวนคุณย่าได้เลย” ดรุณีหันมาบอกลุงเกร็ง “ถ้าที่นี่ไม่มีอะไร หนูขอตัวไปดูคนงานตัดกะหล่ำปลีก่อนนะคะ”
“ครับ”
ดรุณีเดินออกมา หน้ายังแอบเขินเล็กๆ
“นายหญิงคนใหม่ที่อดีตเป็นคู่กัดของนายอาทิจล่ะสิไม่ว่า คิดว่างูกัดแล้วจะหลบลี้หนีสายตาไอ้ต๊อดพ้นเหรอนาย รู้จักไอ้ต๊อดน้อยไปซะแล้ว”
ลุงเกร็งหันมามองต๊อด มึงจะทำอะไรของมึงอี๊ก ต๊อดแววตามุ่งมั่นเหมือนกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง
ตุลยานีขยับซ้ายขยับขวา ร้อนรนนั่งไม่ติด ในที่สุดก็หันมาเร่งเวทางค์ที่ขับรถให้
“ให้ไวเลยพี่เว”
“นี่ก็ซิ่งสุดๆแล้วนะน้องตุ่น”
“แซงซ้ายเลยสิคะ”
เวทางค์ขับแซงซ้าย ตุลยานีบ่นรถคันหน้า
“โอ๊ย...คุณขา ขับหรือคลานคะเนี่ย ปาดขวาแซงขึ้นไปเลยค่ะพี่เว...ขวาค่ะ...ขวา...โอ๊ย...จอดๆๆๆๆ มานี่มา...ตุ่นขับเอง”
ตุลยานีดึงแขนเวทางค์แล้วชี้ให้จอดเข้าฟุตบาทข้างทาง เวทางค์เห็นรถมอเตอร์ไซด์วิ่งออกมาจากซอยตัดหน้าในระยะประชิด ชายหนุ่มแหกปากตาเหลือกเหยียบเบรกเอี๊ยด
“เฮ้ย”
“ว้าย”
มือตุลยานีฟาดไปโดนคอนโซลอย่างแรง แล้วตัวก็หล่นลงไปกองอยู่ที่พื้น หญิงสาวจับข้อมือตัวเองร้องลั่น
“โอ๊ย”
“น้องตุ่น!”
เวทางค์หันมามองตกใจ หน้าซีดเผือด
อาทิจถือโถข้าวเข้ามาวางที่โต๊ะซึ่งมีกับข้าว สามอย่างวางอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว...ใต้ถุนระเบียงต๊อด อึ่ง พัน ย่องเข้ามาแอบดูพฤติกรรมอาทิจ ดรุณีเดินจ้ำเข้ามาเห็นอาทิจกำลังตักข้าวใส่จาน
“พี่อาทิจ”
อาทิจข้ออ่อน เท้าแขนกับโต๊ะโดยอัตโนมัติ ทำง่อยเปลี้ยเสียขา หันมายิ้มแหะๆ
“พี่นึกว่าน้องณีจะกินข้าวกับคนงานซะอีก”
“ณีมาดูน่ะค่ะว่าน้าแก้วทำอะไรให้พี่อาทิจกินบ้าง” หญิงสาวมองกับข้าว “คาร์โบไฮเดรต
โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามินครบ...พี่อาทิจต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างนี้นะคะ ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็ว แล้วนี่น้าแก้วไปไหนคะ อย่าบอกนะว่าพี่อาทิจต้องยกกับข้าวพวกนี้มากินเอง”
“น้าแก้ววิ่งไปดูที่โรงครัวน่ะ คงกลัวจิ๋วแจ๋วเตรียมอาหารให้คนงานไม่ทัน พี่เลยอาสายกมากินเอง ก็...” อาทิจอ้อน “ค่อยๆกะเผลกมา”
สามเกลอส่ายหน้าพร้อมกันอย่างหมั่นไส้
“หือ!”
“โธ่...เดี๋ยวแผลก็ได้อักเสบกันพอดี มาค่ะ...ณีตักกับข้าวให้”
ดรุณีตักกับข้าวใส่จานข้าวอาทิจ
“น้องณีกินเป็นเพื่อนพี่นะจ๊ะ”
ต๊อดเบ้หน้า
“อ้อนซะ”
“ค่ะ...”
ดรุณีตักข้าวใส่จานแล้วลงนั่งตรงข้ามอาทิจ
“ณีโทรไปบอกยายตุ่นแล้วว่าพี่อาทิจโดนงูกัด ยายตุ่นตกใจแล้วก็เป็นห่วงพี่อาทิจมากถึงกับจะขึ้นมาดูแลพี่อาทิจเองเลยนะคะ รับรองค่ะว่ายายตุ่นทำให้พี่อาทิจหายวันหายคืนแน่ๆ”
“คนอื่นอาจจะช่วยให้พี่หายเร็ว แต่คนที่ทำให้พี่อยากมีชีวิตรอด ไม่ยอมตายไปกับพิษงูเมื่อคืนนี้คือ น้องณี”
ดรุณีซึ่งกำลังตักข้าวเข้าปากถึงกับชะงัก
“น้องณีรู้มั้ยว่าสิ่งที่น้องณีทำเพื่อพี่ มีค่ามากแค่ไหน มันทำให้พี่อยากมีลมหายใจเพื่อตื่นมาอยู่กับน้องณี...ทุกวัน”
ดรุณีแทบจะถือช้อนในมือไม่ไหว คำพูดอันหวานหยดของอาทิจทำให้หญิงสาวแทบละลาย ฝ่ายสามเกลอต่างก็เค้นคอ คลื่นไส้และแล้วก็เผลออ้วกเสียงดังพร้อมกัน
“โอะ...อั้ว...อ้วก”
อาทิจกับดรุณีชะงัก
“เสียงอะไรคะ”
สามเกลอรีบยกมือปิดปาก มีเพียง อาทิจเท่านั้นที่รู้ดีว่าเสียงอะไร แก้วถืออ่างน้ำร้อนเข้ามาวางที่โต๊ะ
“รีบประทานข้าวกันเรียบร้อยแล้วนะคะ นี่ค่ะ...น้ำร้อนต้มมาใหม่ๆ เอาผสมน้ำเช็ดตัวได้เลยค่ะ”
อาทิจยิ้มรับ
“ขอบคุณครับ กำลังอยากได้พอดีเลย”
พันชะงัก
“อยากได้ไปทำอะไรวะ”
สิ้นเสียงของพัน อาทิจก็ยกอ่างน้ำร้อนสาดจากระเบียงลงไปที่พื้นด้านล่าง สามเกลอ โดนน้ำร้อนสาดโครม วินาทีแรกหันมามองหน้ากัน วินาทีต่อมาต่างคนต่างก็กรีดร้อง โหยหวน ก่อนจะวิ่งแตกฮือออกไป ดรุณีกับแก้วตามมายืนข้างอาทิจ แก้วตกใจ
“เสียงเหมือนคนร้องนะคะ”
อาทิจขำๆ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมนั่งแถวนี้แล้วรู้สึกคันๆ ก็เลยลองเอาน้ำร้อนฆ่าเชื้อสักหน่อย อาจจะเป็นพวกเห็บพวกหมัดน่ะครับ”
ดรุณีกับแก้วงงๆ บ้านนี้ไม่เคยมีเห็บมีหมัด ในขณะที่อาทิจเห็นหลัง สามเกลอวิ่งหูตูบไกลๆแล้วได้แต่ขำ
ตุลยานีนอนอยู่บนเตียงในห้องพิเศษของโรงพยาบาล พยาบาลจัดหมอนเทินสูงเพื่อให้ตุลยานีซึ่งเปลี่ยนเป็นชุดคนไข้และสวม Splint ที่มือและแขนข้างซ้ายแล้วใช้วางแขน เวทางค์ยืนมองตุลยานีอยู่อีกฟากของเตียงด้วยความเป็นห่วง พยาบาลแนะนำ
“วางแขนไว้บนหมอนนะคะ จะได้ลดอาการบวม แล้วก็อย่าขยับมือข้างที่บวมมากนะคะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็กดกริ่งเรียกที่หัวเตียงได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
พยาบาลเดินออกไป สวนกับวิยะดาที่เดินเข้ามา
“สวัสดีค่า เป็นไงบ้างคะคุณตุ่น”
ตุลยานีหันไปมองวิยะดางงๆ เวทางค์แนะนำ
“ยายวิ น้องสาวพี่เองจ้ะ”
“ปกติพี่เวก็ไม่ได้ขับรถเร็วอะไรนะคะ ไหง...คราวนี้ทำคุณตุ่นเจ็บได้”
“ก็นั่นสิคะ...เกือบจะถึงสนามบินแล้วเชียว เพราะพี่เวคนเดียวทำให้ตุ่นไม่ได้ขึ้นไปหาพี่อาทิจ”
วิยะดาหูผึ่งที่ตุลยานีพ่วงอาทิจเข้ามาเกี่ยวด้วย หญิงสาวหันไปฟังทั้งคู่ตอบโต้กันข้ามหน้าตัวเองไปมา
“ก็พี่บอกตั้งกี่พันครั้งแล้วว่า พี่ขอโทษ”
“ขอโทษแล้วมันทำให้ตุ่นไปหาพี่อาทิจวันนี้เดี๋ยวนี้ได้มั้ย”
“ถ้าน้องตุ่นอยากไป ทำไมจะไปไม่ได้”
ตุลยานียกมือข้างที่พันผ้าขึ้นมาโชว์
“ก็ตุ่นมือบวม จะขึ้นไปได้ยังไง”
“กลัวเจ้าอาทิจเห็นแล้วจะไม่ปลื้มมากกว่ามั้ง แค่พันมือ ไม่ได้พันหัวพันตัวเป็นมัมมี่สักหน่อย แค่นี้มันไม่ทำให้ความสวยเพอร์เฟคของน้องตุ่นลดลงหรอก”
“พี่เว!”
ตุลยานีโดนจี้ใจดำยกมืออาละวาด สักครู่ก็ต้องร้องโอดโอยเพราะปวดมือ
“โอะ...โอ๊ะโอ๊ย”
เวทางค์โผเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง
“บอกแล้วว่าอย่ายกมือ อย่าโวย”
ตุลยานีแหวกลับ
“พี่เวก็หยุดกวนสักทีสิ...โอ๊ย”
วิยะดาแอบเหล่พี่ชายแล้วอมยิ้ม ที่ได้เจอคู่ปรับที่เหวี่ยงวีนพอกันก็คราวนี้
ดรุณีประคองอาทิจที่ยังคงสำออยทำเป็นเดินเองไม่ได้ ออกมาที่ระเบียง
“ให้พี่ไปด้วยนะ พี่อยากช่วย”
“ไม่ได้ค่ะ พี่อาทิจต้องรอพยาบาลที่นี่”
อาทิจงงๆ
“พยาบาล”
“ก็ยายตุ่นไงคะ ยายตุ่นอาจจะมาถึงวันนี้เลยก็ได้ สุขภาพกายดีแล้ว สุขภาพใจต้องดีด้วย”
อาทิจซาบซึ้ง
“น้องณี พี่...ไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว นอกจาก...อยากขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่น้องณีทำเพื่อพี่ พี่...” ชายหนุ่มเปลี่ยนอารมณ์ “เอ่อ...พี่...อู๊ย...คือ...พี่...อึ้ม”
ดรุณีหัวเราะ
“เชื่อแล้วค่ะว่าไม่รู้จะพูดอะไรดี ไม่ต้องพูดแล้วค่ะ”
“คือ...ซี๊ด...ไม่พูดไม่ได้จ้ะ เพราะมัน...อื้ม...คันมาก”
ดรุณีงง
“คัน”
“ที่แผลน่ะน้องณี คันยิบเลย”
“เหรอคะ แล้วจะทำยังไงล่ะ”
ดรุณีหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่าจะใช้อะไรรอบตัวให้เป็นประโยชน์ได้บ้าง สักครู่ก็คิดออกว่าจะทำยังไง
“พี่อาทิจนั่งลงค่ะ”
ดรุณีประคองชายหนุ่มลงนั่ง แล้วหยิงสาวก็ลงไปนั่งขัดสมาธิกับพื้น ก่อนจะยกขาอาทิจวางบนตักตัวเอง แล้วเด็ดผมสลวยเป็นมันวาวออกมา 1 เส้น จับปลายทั้งสองข้าง กลิ้งไปมาที่แผล ไม่ว่าจะทำอะไร หญิงสาวอยู่ในสายตาของชายหนุ่มตลอดเวลา
“เป็นไงคะพี่อาทิจ”
“ช่วยได้เยอะเลยจ้ะ”
“คันตรงไหนอีกคะ”
อาทิจก้มหน้าลงมาชี้ที่แผลตรงจุดที่คันมากๆ ดรุณีเปลี่ยนทิศทางของเส้นผมไปตรงจุดที่อาทิจชี้ ชายหนุ่มเผลอมองหญิงสาวตาเป็นประกาย มีทั้งคำขอบคุณ ห่วงหาอาทร และรักลึกซึ้งอยู่ในแววตานั้น
“หายคันรึยังคะ”
ดรุณีเงยหน้าขึ้นมาถามเลยเจอสายตาอาทิจที่มองมาที่เธออย่างจัง หญิงสาวใจสั่นเพราะเขาไม่ตอบแต่กลับจ้องเธออยู่อย่างนั้น สักครู่อาทิจก็พูดขึ้น
“ให้พี่ไปสวนด้วยนะ”
“จะไปทำไมคะ พี่อาทิจยังไม่หายดี”
อาทิจตาหวานเยิ้ม
“พี่อยากไปให้กำลังใจ ไม้เท้าพูดได้ ทำงานน่ะ รับรองว่าจะยืนเฉยๆไม่กวนใจไม้เท้าเลย...นะ...นะ”
ดรุณีเจออาทิจทั้งอ้อนทั้งเยิ้มใส่ ถึงกับต้องหลบตาแล้วก้มหน้ากลิ้งผมบนแผลโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาอีก อาทิจแอบมองดรุณี เขาไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงคนไหนใส่ใจแม้กระทั่งรายละเอียดและความรู้สึกแม้เพียงเล็กน้อยของเขา นอกจากแม่ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า มี ผู้หญิงตรงหน้านี้อีกคน
จบตอนที่ 14
อ่านต่อตอนที่ 15 เวลา 12.00น.