ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 12
เพื่อนร่วมคอนโดกำลังยืนรอลิฟท์ สักครู่ดรุณีเดินดึงแขนอาทิจเข้ามา แล้วเดินตามทุกคนเข้าไปในลิฟท์ เธอกดลิฟท์ชั้นที่เป็นห้องของตัวเอง แล้วหันมาบอกอาทิจ
“อยู่ชั้น 12 ค่ะ”
อาทิจพยักหน้ารับอย่างกระอักกระอวนใจนิดๆ ดรุณีแอบมองตามสายตาอาทิจที่เหล่มองคนรอบข้าง หญิงสาวเพิ่งสังเกตว่าทุกคนที่อยู่ในลิฟท์ ต่างพากันหันมามองเธอกับอาทิจด้วยแววตาประหลาด เหมือนกับถามว่าควงผู้ชายขึ้นห้องเลยเหรอนังหนูเมื่อลิฟท์ถึงชั้น 12 ดรุณีรีบดึงแขนอาทิจเดินออกจากลิฟท์ทันที
ดรุณีเปิดประตูพาอาทิจเข้ามาในห้อง อาทิจวางกระเป๋าเสื้อผ้าของดรุณีลงบนโซฟา หญิงสาวเดินไปเปิดตู้เย็น แล้วรินน้ำส่งให้อาทิจ ก่อนจะเปรยขึ้น
“พี่อาทิจเห็นคนที่อยู่ในลิฟท์มั้ยคะ ทำไมเขาต้องจ้องเราขนาดนั้น”
“พี่บอกแล้วไง สังคมเรามีเส้นกั้นระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ถ้าอยู่ในที่สาธารณะคงไม่มีใครว่าอะไร แต่ถ้าอยู่ในที่ที่เป็นส่วนตัวตามลำพังแบบนี้ ก็เป็นธรรมดาที่คนจะมองไม่ดี แล้วก็คงเพราะไม่เคยมีใครเห็นน้องณีพาผู้ชายขึ้นมาที่ห้องด้วย”
“แต่ณีไว้ใจพี่อาทิจนี่”
“น้องณีไว้ใจพี่ได้แน่นอน แต่ไว้ใจผู้ชายอื่นอย่างนี้ไม่ได้ ห้ามอยู่กับผู้ชายที่ไหนตามลำพังสองต่อสองเด็ดขาด มันอันตราย”
ดรุณีมองอาทิจแล้วยิ้มตาแป๋ว ล้อเลียน
“ค่า ผู้ปกครอง แล้วมีกฎเหล็กข้อไหนที่ต้องทำอีกมั้ยคะ”
“มี ข้อนี้สำคัญที่สุด”
“คะ”
ดรุณียิ้มบริสุทธิ์ผุดผ่อง ตาเป็นประกายวิบวับให้อาทิจโดยไม่รู้ตัว
“อย่ายิ้มแล้วก็ส่งสายตาแบบนี้ให้ผู้ชายที่ไหนอีก”
ดรุณีหุบยิ้ม สงสัยจริงๆ
“ทำไมคะ”
“เพราะมัน..มัน...”
อาทิจอธิบายไม่ถูก
“ถ้าจะห้ามก็ต้องมีเหตุผลใช่มั้ยคะ”
“เหตุผลคือ เอ่อ ไม่มีเหตุผลครับ...” อาทิจกระแอ้ม พยายามทำเสียงเข้ม “แต่..ในฐานะผู้ปกครอง ขอสั่งห้ามไม่ให้ยิ้มแบบนี้กับผู้ชายคนไหนเด็ดขาด”
“ได้ค่ะ แต่ยิ้มแบบนี้ให้พี่อาทิจคนเดียวได้ ใช่มั้ยคะ”
ดรุณีแกล้งยิ้มแถมส่งตาเป็นประกายวิบวับแวววาวให้อีกต่างหาก อาทิจแทบหยุดหายใจ ไม่อยากเชื่อว่าดรุณีจะน่ารักใจขาด และทำให้เขาเคลิ้มเขินได้ถึงขนาดนี้
“พี่..เอ่อ..รถคงหายติดแล้วล่ะ พี่กลับก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เจอกันจ้ะ”
อาทิจซดน้ำดับความร้อนรุ่มจนหมดแก้ว ก่อนจะรีบเดินออกไป ดรุณีมองตามแล้วยิ้มขำ
“เลยไม่ได้นอนเลย”
อาทิจปิดประตูห้องแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ ชายหนุ่มพยายามสะบัดหน้าไล่ความรู้สึกแปลๆในใจ ก่อนจะรีบเดินไป
เช้าวันใหม่ ดรุณีแต่งชุดนิสิตเดินออกมาจากลิฟท์ พบว่าอาทิจนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกที่ล้อบบี้ เธอเดินเข้ามาหาอย่างแปลกใจ
“ชายหนุ่มชะเง้อมองมาทางดรุณี”
“มีอะไรเหรอคะพี่อาทิจ ทำไมมาก่อนเวลาคะ”
“รถมันสตาร์ทไม่ติด พี่โทรเรียกช่างมาดูแล้ว เลยแวะมาบอกน้องณีว่า พี่คงไปส่งที่มหาวิทยาลัยไม่ได้แล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วพี่อาทิจจะกลับไปดูรถเหรอคะ”
“ไม่ครับ รถก็ให้ช่างเขาดูไป พี่จะไปซื้อของเข้าสวน แล้วก็จะแวะไปหาลูกค้าแถวสีลมด้วย จะได้ไม่เสียเวลา”
“ไปหลายที่อย่างนี้พี่อาทิจคงขึ้นรถไม่ถูกแน่ ณีพาไปเอง วันนี้ณีมีเรียนช่วงบ่ายค่ะ”
อาทิจยิ้มโล่งอก เพราะกังวลอยู่เหมือนกันว่าจะขึ้นรถเมล์ถูกหรือเปล่า
ทั้งคู่พากันเดินออกไปจากคอนโด ขณะที่ตุลยานีเดินเข้ามาจากประตูอีกด้านจึงไม่เห็นกัน
“คุณดรุณีออกไปแล้วนี่คะ” เจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์บอกเมื่อเธอไปถามหา
“อ้าว เหรอคะ ไม่ทราบไปกับใครคะ”
“ไม่ทราบชื่อนะคะ แต่เป็นผู้ชายมารับ เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เองค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ตุลยานีผละออกมา พบเวทางค์ซึ่งเพิ่งเดินเข้าไปพอดี
“น้องตุ่น มาหาน้องณีเหรอ”
“ค่ะ แล้วยายณีไม่ได้อยู่กับพี่เวเหรอคะ เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่ามีผู้ชายมารับ ตุ่นนึกว่าเป็นพี่เวซะอีก”
เวทางค์หงุดหงิดขึ้นมา
“คงจะนายอาทิจ”
“พี่ชายที่ดูแลสวนคุณย่าน่ะเหรอคะ”
“จ้ะ น้องตุ่นจะไปมหาวิทยาลัยรึเปล่า เอารถมามั้ย”
“ว่าจะชวนยายณีนั่งรถไฟใต้ดินไปงานสัปดาห์หนังสือก่อนน่ะค่ะ เลยไม่ได้เอามา”
“ถ้างั้นพี่ไปส่ง เชิญครับ”
ตุลยานียิ้มพยักหน้ารับคำชวนเวทางค์ก่อนจะเดินนำออกมา โดยมีชายหนุ่มเดินตามหลัง ยิ้มอิ่มอกอิ่มใจ
อาทิจเดินหอบของพะรุงพะรังเลียบฟุตบาธ ขณะที่ดรุณีเรียกตุ๊กตุ๊ก แล้วพากันขึ้นรถ คนขับตุ๊กตุ๊กออกตัวแรงตามประสา ทำให้อาทิจและดรุณีซึ่งยังไม่ทันนั่งดีๆ ต้องหัวคะมำมาข้างหน้า แล้วกระดอนหงายเงิบไปข้างหลัง
อาทิจกระดอนไปกระแทกเบาะ แต่ดรุณีกระดอนไปกระแทกอาทิจโดยนั่งซ้อนอยู่บนตักชายหนุ่มพอดีบพอดี หญิงสาวรีบหันไปขอโทษอาทิจ ก่อนจะขยับออกมานั่งข้างๆ แล้วยิ้มให้กันเก้อๆ ก่อนอาทิจจะรีบโอบหญิงสาวไว้ตามสัญชาติญาณ เพราะรถตุ๊กตุ๊กเบรก พาให้ทั้งคู่หน้าทิ่มกันอีกครั้ง คู่หันมาหัวเราะกัน รู้สึกเหมือนได้แปลงร่างเป็นอินเดียน่า โจนส์ ผจญภัยอยู่กลางเมืองหลวง
ขณะที่ขับรถ เวทางค์ชำเลืองมองตุลยานี แล้วพูดอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
“น้องตุ่นมีแฟนรึยัง”
“ยังค่ะ”
“จริงเหรอ ไม่น่าเชื่อ คนสวยมีเสน่ห์อย่างน้องตุ่น ไม่มีแฟนได้ยังไง”
“ผู้ชายมาจีบเยอะค่ะ แต่ตุ่นก็เลือกเยอะไง ประเภทดีแต่ปาก เจ้าชู้ รักเผื่อเลือกก็เยอะ เลยต้องเอาตะแกรงล่อนหน่อย”
“อย่างพี่ล่ะ จัดอยู่ประเภทไหน”
ตุลยานีรู้ทัน ดักคอ
“พี่เวจะจีบตุ่นเหรอ เดี๋ยวตุ่นฟ้องยายณีนะ”
“ใจเย็นๆสิจ๊ะ”
ไม่พูดเปล่า เวทางค์เอื้อมมือมาบีบมือเธอเป็นของแถมอีกต่างหาก หญิงสาวหน้าตึง เสียงแข็งขึ้นมาทันที
“อะไรกันน่ะพี่เว อย่ามามือไวกับตุ่นนะ ตุ่นไม่ชอบ จอดเลย ตุ่นจะลงตรงนี้”
“เวทางค์เจอของจริงเลยจ๋อย
“โกรธเหรอน้องตุ่น อย่าโกรธพี่เลยนะ พี่ขอโทษ”
“ถ้าไม่จอดตุ่นจะโกรธ แล้วก็ไม่ต้องพูดกันอีกเลย ว่าไง”
“โอเคจ้ะ จอดจ้ะ จอด”
เวทางค์จอดรถเข้าข้างทาง ตุลยานีเปิดประตูรถ แล้วเดินไปทันที เวทางค์จำต้องออกรถ เพราะเสียงแตรรถทางด้านหลังบีบไล่ และเมื่อรถเวทางค์เคลื่อนออกไป รถตุ๊กตุ๊กก็เสียบเข้ามาจอดที่ข้างถนนแทนที่ แต่คราวนี้อาทิจและดรุณีไม่ยอมหน้าทิ่มและก้นกระแทกอีกต่อไป ทั้งคู่ใช้ ทั้งเท้าและมือทั้งยันทั้งขืนตัวเองไว้กับรถเต็มที่ ก่อนจะกระโดดลงจากรถอย่างภาคภูมิใจ และช่วยกันขนของลง
อาทิจเดินมาแวะที่ร้านขายน้ำ เขายืนหันหลังซื้อน้ำที่ถนนฝั่งตรงข้ามกับตุลยานีที่ยืนรอรถแท็กซี่
รถแท็กซี่แล่นเข้ามา หญิงสาวโบกให้รถจอด แล้วเข้าไปบอกจุดหมายปลายที่มหาวิทยาลัย ก่อนจะขึ้นไปนั่ง รถแท็กซี่เคลื่อนตัวออกมาได้เล็กน้อยก็ติดไฟแดงอยู่ตรงนั้น
ตุลยานีขยับเข้าไปนั่งชิดกระจกด้านหลังทางซ้ายมือ มองผ่านกระจกออกไปที่ถนนข้างทาง ฆ่าเวลารถติด อาทิจถือขวดน้ำ หันหน้ามาพอดี ตุลยานีเผลอตัวกรี๊ดลั่น คนขับแท็กซี่สะดุ้งตกใจหันมามองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนรถออกมาเพราะสัญญาณไฟเขียว
“อ๊าย อ้า โอ๊ย อื๊อ อู๊ย”
กว่าหญิงสาวจะหลุดพูดภาษาไทยออกมาได้ รถก็เคลื่อนออกมาไกลพอสมควร
“จอด..ลุง..จอดดดดด”
คนขับแท็กซี่งง แต่จอดรถให้ตามต้องการ ตุลยานีหยิบเงินในกระเป๋าส่งให้ 100 บาท
“ไม่ต้องทอนค่ะ”
แล้วเธอก็รีบเปิดประตูลงจากรถแท็กซี่ แล้ววิ่งไปหาอาทิจ เธอรีบวิ่งกลับมาที่หน้าร้านขายน้ำด้วยหัวใจพองฟู
แต่เมื่อมาถึงจุดที่อาทิจเคยยืนซื้อน้ำอยู่ ก็มองไม่เห็นแม้เงาของชายหนุ่ม เธอหมุนตัวไปรอบๆ แต่ไม่พบชายในฝันที่ตัวเองตามหา จะมีก็แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเท่านั้น หญิงสาวถอนใจเฮือกด้วยความเซ็ง แต่เพียงอึดใจเดียว เธอรีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมากดเบอร์ ทันทีที่ดรุณีรีบ เธอแหกปากกรี๊ด
“ณี ตุ่น ตุ่น อ๊าย”
คนที่ยืนรอรถและเดินผ่านไปมาแถวนั้นสะกิดกันหันมามอง ตุลยานีเลยต้องสะกดใจเบาเสียงตัวเองลง
“ณีอยู่ไหน”
ดรุณียื่นดูดน้ำที่อาทิจซื้อมาให้ข้างๆชายหนุ่ม ท่ามกลางผู้คนที่เดินแออัดยัดเยียด ตะโกนคุยไปด้วย
“มาซื้อของกับพี่อาทิจน่ะ ทำไมเสียงเป็นอย่างนี้ล่ะ มีอะไรรึเปล่า”
“มีสิ โอ๊ยย ณี ตุ่นจะบ้าตาย ตุ่นเจอใครรู้มั้ย
“ใคร ใครนะ ตุ่น..ไม่ได้ยินเลย”
ตุลยานีแหกปากตะโกนลั่น
“ชายในฝันได้ยินรึยัง”
ผู้คนหันมามองตุลยานีเป็นตาเดียว หญิงสาวมองทุกสายตาที่มองมาอย่างอายๆ ก่อนจะกลั้นใจตะโกนประโยคสุดท้ายใส่โทรศัพท์
“ทำธุระเสร็จแล้วรีบมาที่มหาวิทยาลัยนะมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง”
ดรุณีตะโกนรับคำ
“จ้า เสร็จธุระแล้วรีบบึ่งไปเลย!”
ดรุณีกดปิดโทรศัพท์ พลางบาน
“เป็นอะไรของเขานะ”
อาทิจหันมาถาม
“ใครครับ”
“ยายตุ่น เพื่อนณีเองค่ะ เดี๋ยวจะแนะนำให้พี่อาทิจรู้จักนะ น่ารักมากๆเลย”
อาทิจยิ้มๆ
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวน้องณีไปเรียนไม่ทัน”
อาทิจกับดรุณีหอบข้าวของเดินออกมาจากซอย ในขณะที่ตุลยานีกวักมือเรียกแท็กซี่ แล้วขึ้นรถไป รถเคลื่อนผ่านหน้าอาทิจและดรุณีซึ่งเพิ่งโผล่ออกมาจากซอย โดยที่เธอไม่ได้หันมามอง
อาทิจขับรถที่ซ่อมเสร็จแล้ว เข้ามาจอดในมหาวิทยาลัย
“พี่ส่งน้องณีตรงนี้นะครับ”
ดรุณีชวน
“ลงไปรู้จักยายตุ่นหน่อยนะคะพี่อาทิจ”
“เอาไว้วันหลังดีกว่านะ พี่กลัวรถจะมีปัญหากลางทางค่ำๆมืดๆ มันจะลำบาก”
“แค่แป๊บเดียวเอง”
“เดี๋ยวพี่ก็ลงมาเยี่ยมน้องณีอีก เอาไว้ตอนนั้นก็ได้ครับ”
“ก็ได้ค่ะ”
อาทิจยิ้มให้ หญิงสาวอึกอัก ไม่ลงจากรถสักที
“มีอะไรเหรอเปล่า เด็กในปกครอง”
ดรุณียิ้มแหะๆ
“คือ ตอนนี้ เด็กในปกครองไม่เหลือเงินติดตัวสักกะบาทเลยค่ะ ถ้าผู้ปกครองไม่ทิ้งเงินไว้ให้ เด็กในปกครองคงได้อดข้าวหัวโตแน่”
อาทิจนึกได้ ตกใจ
“ขอโทษนะน้องณี พี่ว่าจะถามตั้งแต่ตอนเปิดพินัยกรรมแล้วว่าต้องการใช้เงินรึเปล่า คุณย่าให้น้องณีใช้เดือนละหมื่น ไม่ทราบพอมั้ย”
“พอค่ะ”
“ถ้างั้นพี่เขียนเช็คให้นะ”
อาทิจหยิบสมุดเช็คจากกล่องใส่ของหน้ารถออกมา ลงตัวเลขและลายเซ็นก่อนจะส่งให้ ดรุณียกมือไหว้นอบน้อม ชายหนุ่มเผลอจะเอามือลูบหัวอย่างเอ็นดู เหมือนเวลาเอ็นดูน้องๆที่บ้าน ดรุณีเงยหน้าขึ้นมาสบตาอาทิจก่อน ทำให้มืออาทิจชะงักค้างกลางอากาศ
อาทิจยิ้มแล้วแก้เก้อ
“เอ่อ เศษใบไม้ติดผมน้องณีน่ะ”
อาทิจแกล้งทำเป็นหยิบออกให้
“ณีไปเรียนก่อนนะคะ”
ดรุณีลงจากรถ
“พี่ไปนะครับ”
ผู้ปกครองและเด็กในปกครองโบกมือให้กัน ก่อนที่ฝ่ายผู้ปกครองจะออกรถและขับออกไป ตุลยานี
วิ่งเข้ามาหาดรุณี อย่างต้องการระเบิดความสุขที่คับอกคับใจออกมาเต็มที่ ดรุณีชี้ให้เพื่อนหันไปมองรถอาทิจที่เพิ่งขับออกไปหมาดๆ แล้วกรี๊ดลั่นใส่กัน
“ขอณีเล่าก่อน”
“ตุ่นก่อน”
“ณีก่อน”
“ตุ่น”
“ณี ของณีสั้นๆ”
“ก็ได้ๆ”
“เมื่อกี้พี่อาทิจมาส่งณีที่นี่ คนที่ขับรถออกไปตอนตุ่นเข้ามานั่นล่ะ เห็นมั้ย คลาดกันจี๊ดดดเดียว”
“ของตุ่นสิ คลาดกันซึ่งๆหน้า แค่อยู่คนละฟากถนนแค่นั้น”
“ใคร”
“โห อุตส่าห์แหกปากซะลั่น ณีไม่ได้ยินเลยเหรอ ผู้ชายในฝันของตุ่นไง วันนี้ตุ่นเจอเขาด้วยล่ะณี จ๊ะเอ๊ยยย...”
“ตกลงผู้ชายคนนั้นเขามีตัวตนจริงๆเหรอเนี่ย”
“ก็จริงน่ะสิ ตุ่นนะ..อยากจะแหกปากตะโกนเรียกเขาให้หันมามองตุ่นบ้าง แต่ฟ้าก็ไม่เป็นใจ”
“แต่กับพี่อาทิจนี่ไม่ใช่แค่ฟ้าเป็นใจอย่างเดียวนะณีก็ เป็นใจให้ด้วย เชียร์เต็มที่”
“พี่อาทิจของณี น่าร๊ากกกกเหมือนชายในฝันของตุ่นรึเปล่าล่ะ คนนี้เขาหน้าเล็กๆ คิ้วเข้มๆ จมูกเชิดๆ ตาเป็นประกายวิ้งๆ ยิ้มที โอ๊ย ใจละลาย หล่อม๊าก”
“คล้ายๆพี่อาทิจเหมือนกันแฮะ”
“ไม่จริงอะ พี่อาทิจของณีจะมาคล้ายผู้ชายในฝันของตุ่นได้ยังไง”
“แต่ฟังดูคล้ายๆ จริงๆนะ”
“ไม่เชื่อไหน เอารูปมายืนยันซิ”
“เห็นแล้วอย่าคลั่งล่ะ”
ดรุณีลอยหน้าลอยตาตอบ ในขณะที่ตุลยานียักไหล่ส่ายหน้าเป็นทำนองไม่มีทาง
อ่านต่อหน้า 2
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 12 (ต่อ)
1 เดือนต่อมา...
อาทิจรดน้ำกะหล่ำปลีอยู่กับ ต๊อด อึ่ง พัน อาทิจถามขึ้น
“ใครมีกล้องถ่ายรูปบ้างวะ”
“มี นายจะเอาไปทำไม” ต๊อดย้อนถาม
“เอาไปใส่ข้าวกินมั้ง กล้องถ่ายรูปก็ต้องเอาไปถ่ายรูปสิวะ”
“รู้แล้วคร้าบ จะเอาไปถ่ายใคร” พันสงสัย
อาทิจอ้ำอึ้ง
“ถ่ายตัวเอง”
อึ่งคาดคั้น
“ให้ใคร”
อาทิจอ้ำอึ้งอีก ตอบเบาๆ
“น้องณี”
สามหนุ่มร้องขึ้นพร้อมกัน
“ฮั่นแน่!”
“น้องณีจะเอาไปให้เพื่อนอีกที”
“เพื่อน..ผู้หญิงหรือผู้ชาย” พันซัก
ต๊อดเสริม
“หรือผู้ชายที่อยากเป็นผู้หญิง หรือผู้หญิงที่อยากเป็นผู้ชาย”
อาทิจโวย
“ไม่รู้ ไม่ได้ถาม น้องณีเขียนจดหมายขอรูปมา ทวงหลายหนแล้ว เกรงใจ”
สามหนุ่มร้องออกมาพร้อมกัน
“ฮั่นแน่ !”
“เกรงใจคุณณีหรือเพื่อนคุณณี” อึ่งแซว
“เกรงใจขาตัวเอง สงสัยจะได้ออกแรงเตะปากใครสักป๊าบสองป๊าบแล้ว”
อาทิจขยับขา ต๊อดส่งเสียงดัง
“โห โหดเหี้ยม”
“รุนแรง”พันเสริม
”แต่ก็ น่าร๊าก น่าถ่ายรูปให้อะ”
อาทิจหันมาเหล่ลูกน้อง แล้วยิ้มส่ายหน้า
ท่ามกลางนาข้าวที่เขียวออกรวงสะพรั่ง ต๊อดตั้งท่าถ่ายรูป อึ่ง พัน ตามมายืนกระหนาบข้างต๊อดซ้าย ขวา แล้วทำท่าขัดใจ
“หือ ใส่อารมณ์หน่อยสินาย”
อาทิจยืนนิ่งและแข็งเป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่อีกฟาก
“เอาแบบชายตาโปรยเสน่ห์นิดๆ กวนโอ๊ยหน่อยๆ อย่างนี้น่ะ”
ต๊อดแสดงท่าเชิดหน้าหลิ่วตาไปมาให้อาทิจดู พันส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“หือ เหมือนคนตาส่อนตากุ้งยิงเลยไอ้ต๊อด มองผาดๆคล้ายพวกเด็กแว้นอีกต่างหาก มันต้องวางมาดแมน จิกตาลึกแบบนี้ ผู้หญิงที่ไหนเห็นก็ระทวย”
พันยืนเอามือเท้าเอววางหน้าเข้มตาจิก อึ่งส่ายหน้าบ้าง
“หือ ยังกับไอ้พวกโรคจิตที่ไปฆ่าหั่นศพใครมางั้นล่ะ แอ็คแบบนี้ผู้หญิงที่ไหนจะเอ็นดูวะ มันต้องออกเกาหลีญี่ปุ่นอย่างข้านี่เว้ย”
อึ่งชูสองนิ้วบนหัวแล้วแลบลิ้นเล็กๆ ตั้งใจจะแอ๊บแบ๊วเป็นกระต่ายน้อยโน่เน๊ะ ต๊อดโวย
“หือ ไอ้อึ่ง ทำหูกระต่ายน่ะพอให้อภัย แต่พอมาอยู่บนหัวกับหน้าเอ็ง ประกอบกับลิ้นที่แลบออกมา มันใช่เลย นี่มันคนปัญญาอ่อน สมองโบ๋ชัดๆ”
ระหว่างที่ทั้งสามคนวิจารณ์กันและกัน อาทิจเดินหนีไปยืนอยู่ข้างกระท่อมรำคาญ
“ข้ามีอะไรดีบ้างเนี่ย” อึ่งบ่นหันไปที่กระท่อม “เฮ้ยยย..นั่นใครวะ”
“เออว่ะ ใครวะ”
“ไอ้บ้า!เอ็งจำนายไม่ได้เหรอวะ”
ต๊อดมองอย่างสนใจ
“หือ เวลาเผลอแล้วได้หมดเลยนะนายเนี่ย ทั้งมีเสน่ห์ดูกรุ้มกริ่ม”
พันเห็นด้วย
“แล้วก็แม๊นแมน”
อึ่งเสริม
“แอ๊บแบ๊วโนเนะอีกต่างหาก เอ้า รีบถ่ายเข้าสิวะ เดี๋ยวรู้ตัวขึ้นมาก็ได้ยืนแข็งเป็นหินอีกรอบหรอก เร็ว”
ต๊อดรีบแอบถ่ายรูปอาทิจตอนเผลอเป็นการใหญ่ ได้ภาพมุมเผลอที่หล่อได้เป็นธรรมชาติสุดๆ หลายๆมุม นอกจากนี้ต๊อดก็ยังแอบถ่ายรูปตอนที่อาทิจอยู่ที่แปลงสตรอเบอรี่ ในสวนส้มอีกด้วย
อาทิตย์ต่อมา ดรุณีหยิบรูปอาทิจที่ซ้อนกันนับสิบรูป ขึ้นมาดูทีละใบ แล้วอมยิ้ม
“หล่อเหมือนกันน้า พี่ชายเรา”
สักครู่ ดรุณีหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวโทรหาตุลยานี
“ฮัลโหล แสนซนคนสวยหรือจ๊ะ รูปพี่อาทิจมาแล้วน้า พรุ่งนี้จะเอาไปให้ดู เตรียมเสียงไว้กรี๊ดได้เลยจ้า ไม่เชื่อก็คอยดู พรุ่งนี้เจอกันนะ”
ดรุณีวางโทรศัพท์ แล้วหยิบรูปที่หล่อที่สุดของอาทิจขึ้นมาดูอีกครั้ง
“ณีเคยทำผิดกับพี่อาทิจมาแล้ว ครั้งนี้ณีจะจัดการทุกอย่างให้ถูกต้อง พี่อาทิจจะได้มีความสุขสักที”
ดรุณียิ้มอย่างมีความสุข เมื่อคิดว่าหาคู่ที่เหมาะสมให้อาทิจได้
เช้าวันใหม่ ดรุณีหอบรายงานพะรุงพะรังออกมามากมายที่หน้าคอนโด เวทางค์เดินมาด้านหลัง ร้องถาม
“หอบอะไรซะเยอะเชียว”
“รายงานค่ะ ณีจะเอาไปส่งอาจารย์ วันนี้มีพรีเซนต์หน้าห้องด้วย”
“มา พี่ช่วย”
ดรุณีส่งข้าวของให้เวทางค์ แต่เวทางค์รับพลาด หนังสือและซองเอกสารที่ใส่รูปอาทิจหล่นลงพื้น เมื่อก้มลงเก็บรายงานและหนังสือ ชายหนุ่มเห็นรูปอาทิจโผล่ออกมาจากซองเอกสาร
“รูปนายอาทิจ”
“ค่ะ ณีขอให้พี่อาทิจถ่ายรูปมาให้ยายตุ่นดู ณีจะเชียร์ยายตุ่นให้พี่อาทิจค่ะ”
ดรุณีจะก้มลงเก็บรูป เวทางค์ดึงแขนดรุณีไว้
“พี่เก็บเอง”
เวทางค์เก็บรูปอาทิจ แล้วลุกขึ้น
“ไป รถจอดอยู่นั่นจ้ะ”
เวทางค์เดินนำดรุณีมาที่รถ วางข้าวของของหญิงสาวไว้ด้านหลัง โดยแอบแยกซองรูปอาทิจ
ออกมาเหน็บไว้เบาะหลังอีกที
เมื่อดรุณีมาถึง โต๊ะนั่งประจำในมหาวิทยาลัย ตุลยานีที่รออยู่แบมือขอดูรูป
“ไหนจ๊ะ”
ดรุณีแกล้งยั่ว
“อยากเห็นล่ะสิ”
“จ้า อยากเห็นเหลือเกินว่าคนที่ณีกรี๊ดนักกรี๊ดหนา หน้าตาเป็นยังไง”
“รับรอง จะเปลี่ยนใจ”
“ไม่มีใครทำให้ตุ่นเปลี่ยนใจไปจากชายในฝันของตุ่นหรอกน่า”
ดรุณีรื้อข้าวของไป ทำเสียงตื่นเต้นเร้าใจไป
“แต่น แตน แต๊น”
ดรุณีรื้อดูข้าวของที่หอบมาวางบนโต๊ะ รวมทั้งควานหาซองรูปอาทิจในกระเป๋าสะพายตัวเอง
“ไหนล่ะ”
“ณีหยิบลงมาจากห้องแล้วจริงๆ”
ดรุณีนึกได้ รีบโทรหาเวทางค์ แวพูดทันทีที่เขารับสาย
“พี่เวยังอยู่ที่รถใช่มั้ยคะ ช่วยดูหน่อยสิว่า ณีทำซองรูปพี่อาทิจหล่นในรถรึเปล่า ไม่มีเหรอคะ พี่เวหาดูดีๆอีกทีสิคะ มีมั้ย”
เวทางค์ถือรูปอาทิจในมือ ขณะคุยโทรศัพท์กับดรุณี
“ไม่มีนี่จ๊ะ พี่หาจนทั่วแล้ว มันอาจจะหล่นช่วงน้องณีหอบของไปที่โต๊ะรึเปล่า นี่ถ้าพี่ไม่ต้องรีบไปสอบจะช่วยหาให้เลยนะ จ้ะ ถ้างั้นพี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวเย็นนี้พี่มารับจ้ะ”
เวทางค์กดปิดโทรศัพท์แล้วเปรยกับรูปอาทิจ
“ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงไม่สนใจ แต่กับผู้หญิงสองคนนี้ ฉันเท่านั้นที่คู่ควร เสียใจด้วยนะ ไอ้น้องชาย”
เวทางค์ยัดรูปอาทิจลงซองแล้วโยนทิ้งลงเข่งใส่เศษกิ่งไม้ใบหญ้าซึ่งวางอยู่แถวนั้น ก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไป
ดรุณีเดินสะพายกระเป๋า และหอบหนังสือไปเรียนที่ตึกที่เป็นห้องแลปกับตุลยานี ระหว่างทาง ดรุณีคอยกวาดตา มองตามพื้นถนนตลอดเวลา
“ณีขอโทษนะ อุตส่าห์เตรียมไว้อย่างดีตั้งแต่เมื่อคืน มันหายไปได้ยังไง ไปหล่นอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้”
“ไม่ต้องหาแล้วล่ะณี ถ้าจะเจอ มันคงเจอไปนานแล้ว”
ทั้งคู่เดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง
“ณีให้พี่อาทิจถ่ายรูปส่งมาอีกทีก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกณี เกรงใจพี่เขา อีกอย่าง ถ้าคนมันจะได้เจอ ได้รู้จักกัน สักวันมันก็ต้องมาเจอ มารู้จักกันจนได้แหละ ไม่ต้องซีเรียสน่า ไป”
ตุลยานีขยับเดินออกไปกับดรุณี โดยไม่เห็นว่าที่เข่งใส่เศษใบไม้ที่ทั้งคู่หยุดยืนคุยกันเมื่อครู่
มีรูปอาทิจซึ่งกระเด็นออกมาจากซอง 2-3 รูป อยู่ตรงนั้น
วิไลลักษณ์ตรวจดูบัญชีที่อาทิจสรุปตัวเลขไว้อย่างพอใจ
“ก็เรียบร้อยดี แต่พอจะกะได้รึยังว่าปีนี้จะได้กำไรสักเท่าไหร่ ไม่ใช่อะไรหรอกนะก็อาประวิงกับอาประวินน่ะสิ คะยั้นคะยอให้อามาถาม”
อาทิจอึดอัดใจกับคำถาม แต่พยายามตอบ...
“ตอนนี้ยังกะไม่ได้จริงๆครับ คงต้องรอดูใกล้ๆสิ้นปี เพราะปีสองปีมานี่ อากาศแปรปรวนมาก ทั้งฝนตกหนัก ทั้งน้ำท่วมนาน แถมหมอกกับน้ำค้างก็ลงจัด”
“ไม่ใช่จะถ่วงเวลาเพื่อจัดแต่งตัวเลขใหม่นะ”
แก้วเดินถือถาดน้ำเข้ามาให้วิไลลักษณ์ และได้ยินประโยคที่วิไลลักษณ์พูดพอดี
“โถ...คุณวิไลขา มันจะแต่งกันได้ยังไงคะตัวเลขน่ะค่ะ พนักงานบัญชีที่ออฟฟิศมีตั้งกี่คน คุณย่าท่านวางคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจไว้เป็นด่านๆ อย่างกับกำแพงแก้วเจ็ดชั้นไว้แล้ว คุณอาทิจแค่มาตรวจทานทีหลังเท่านั้น หรือคุณวิไลอยากจะทานเองคะ บัญชีแต่ละเดือนมีไม่มากหรอกค่ะ แค่นี้เอง”
แก้วลุกไปหอบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะที่เทินสูงจนล้นอก ลงวางตรงหน้า วิไลลักษณ์หน้าแหย
“โอ๊ย...จะมากมายอะไรขนาดนี้ ฉันไม่มีเวลาทำหรอก งานสังคมฉันมีวันเว้นวัน จะเอาเวลาที่ไหนมาดู”
“งานคุณอาทิจมีทุกวันทั้งวัน ยังเจียดเวลามาดูได้เลยค่ะ”
“ก็คุณแม่ท่านสั่งให้อาทิจทำ ท่านคงเห็นแล้วว่าอาทิจทำได้”
“ก็นั่นสิคะ ถ้าท่านไม่เห็นว่าคุณอาทิจทำได้และทำได้ดีกว่าใคร ท่านก็คงไม่สั่งให้ทำหรอก จริงมั้ยคะ”
วิไลลักษณ์หน้าร้อนผ่าวที่โดนแก้วตอกกลับ จึงกลบเกลื่อนด้วยการยกน้ำขึ้นดื่มดับความเดือดในใจ
อาทิจเดินมาส่งวิไลลักษณ์ที่หน้าบ้าน ทั้งคู่เดินคุยกันมา
“ได้ข่าวว่าเรียนต่อปริญญาตรีเหรอ”
“ครับ ผมเรียนด้านบริหารจัดการเพิ่มเติม”
“หวังว่าคงไม่ได้เอามาบริหารจัดการสวนคุณย่า จนคิดว่ากิจการของคุณย่าเป็นของเรานะ”
“ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น ที่เรียนด้านนี้เพิ่มก็เพราะอยากมีความรู้ในเรื่องที่คุณย่ามอบหมายให้ทำครับ”
“เกี่ยวกับยายณีด้วยรึเปล่า”
“คุณอาหมายความว่ายังไง”
“อ้าว...อีกไม่กี่วันตาเวก็จะรับปริญญา ส่วนยายณีก็จะจบตามๆกันมา อาหวังว่าอาทิจคงไม่ได้ต้องการจบปริญญาตรี เพราะอยากจะเทียบชั้นตาเวกับยายณีนะ”
“ที่ผมเรียนเพราะผมต้องการนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่เรียนเพื่อไปทาบรัศมีใคร เพราะยังไงผมก็เทียบคุณเวหรือน้องณีไม่ได้อยู่แล้ว”
วิไลลักษณ์ยิ้มสบายใจ
“ดีแล้วจ้ะที่คิดอย่างนี้ ที่อาต้องถามบ่อยๆ อาทิจอย่าเพิ่งเบื่อนะ อาแค่อยากให้ทุกคนที่รักคุณย่าทำตามความต้องการของท่านเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องตาเวกับยายณีที่ท่านหวังเอาไว้มาก ว่าจะให้ลงเอยกัน อาทิจเข้าใจนะ”
“ครับ”
“ถ้างั้น อาไปล่ะ”
อาทิจยกมือไหว้นอบน้อม วิไลลักษณ์เดินหน้าบานออกไป ในขณะที่อาทิจถอนใจเฮือก
ในห้องสอบ...ดรุณีนั่งทำข้อสอบข้างๆ ตุลยานี บนโต๊ะดรุณีมีดอกหญ้าแห้งของอาทิจวางอยู่ด้วย หญิงสาวนึกถึงข้อความในจดหมายที่เธอเขียนถึงอาทิจไปก่อนหน้านี้
‘...ปิดเทอมปีนี้ณีไม่กลับสวนคุณย่านะคะ ณีจะลงเรียนซัมเมอร์กับตุ่น เพราะอยากจบเร็วๆ จะได้กลับมาช่วยพี่อาทิจทำงาน’
แสงอาทิศยามบ่ายสาดส่องผืนนาข้าวเป็นสีทอง อาทิจเดินตรวจดูรวงข้าวเมล็ดอวบสุกปลั่ง โดยมีลุงเกร็งกับต๊อดยืนดูน้ำในแปลงไกลๆ ชายหนุ่มนึกถึงข้อความในจดหมายที่เขียนตอบดรุณีไป
‘...น้องณีเรียนให้เต็มที่เต็มกำลัง ไม่ต้องห่วงเรื่องงานที่นี่ พี่จะดูแลให้เป็นอย่างดี เพื่อรอวันที่น้องณีกลับมา ตอนนี้กล้าข้าวที่เราช่วยกันหว่านและดำ กลายเป็นต้นข้าวสีทองเต็มเนิน งดงามไปอีกแบบอย่างที่คุณย่าท่านว่าไว้’
เช้าวันใหม่...ทิวดอกบ๊วยสีขาวสะอาดตาเบ่งบานในสวนบนเนินเขา อาทิจนั่งเขียนจดหมายอยู่ใต้ต้นบ๊วย
“...งานที่สวนมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เพราะพี่ขยายพื้นที่ปลูกผลไม้ออกไป ต้นบ๊วยที่ทดลองปลูกไว้ก็กำลังออกดอกสวยงาม พี่อยากให้น้องณีขึ้นมาเห็นจริงๆ”
ท่ามกลางแสงสีทองของอาทิตย์ยามเย็น อาทิจนอนคว่ำหน้าเขียนจดหมายอยู่ที่ท้ายแปลงลาเวนเดอร์ที่ชูช่อสีม่วงหวานละมุน
“...ดอกลาเวนเดอร์ก็กำลังออกดอกสีม่วงน่ารัก พี่จะไม่ถ่ายรูปส่งไปให้ดูหรอกนะ อยากให้น้องณีขึ้นมาเห็นกับตาตัวเองมากกว่า ตอนนี้เรียนให้เต็มที่เรียนจบเมื่อไหร่ พี่จะพาน้องณีตระเวนดูสวนให้ทั่ว รับรองว่ามีงานรออยู่อีกเยอะ อย่าบ่นว่าเหนื่อยซะก่อนล่ะ”
อ่านต่อหน้า 3
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 12 (ต่อ)
อาทิตย์ต่อมา ดรุณีนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของเธอในมหาวิทยาลัย หญิงสาวนั่งอ่านจดหมายอาทิจในช่วงสุดท้าย
“เป็นห่วงน้องณีนะครับ พี่อาทิจ”
ตุลยานี ซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ หันมามอง
“คิดถึงบ้านล่ะสิ”
ดรุณียิ้มพยักหน้า
“อือ”
เวทางค์เข้ามาทักทายสองสาว
“สวัสดีจ้ะ สาวๆ”
“ตั้งแต่จบมานี่ พี่เวไม่ต้องหางานทำเหรอคะ ตุ่นเห็นคอยรับส่งยายณีทุกวัน” ตุลยานีแขวะ
“พี่ว่าจะรอดูสักพักว่างานอะไรที่เหมาะกับพี่ เก่งเลือกได้น่ะจ้ะ”
ดรุณีแปลกใจ
“อ้าว ไหนพี่เวบอกอยากเป็นผู้ว่า เหมือนคุณพ่อ”
“เอาเข้าจริง พี่ชักไม่แน่ใจแล้วจ้ะน้องณี เห็นคุณพ่อทำงานแล้วเหนื่อยแทน”
“ก็ดีค่ะ ถ้ารู้ตัวว่ายังเสียสละเพื่อคนอื่นไม่ได้เต็มที่ ก็อย่าเพิ่งคิดไปทำงานที่ต้องทำเพื่อคนอื่นเลย”
ตุลยานี ยิ้มชมประสมประชดเล็กๆ
“เก่งจังเลยค่ะพี่เว อุตส่าห์ รู้ใจตัวเองด้วย”
“ไม่ต้องประชดเลยน้องตุ่น พี่มีอะไรดีเยอะกว่าที่น้องตุ่นคิดนะ”
สองสาวแอบหันมาสบตากันแล้วอมยิ้ม มีอะไรดีบ้างมากกว่า
ใกล้ปีใหม่แล้วอากาศเริ่มหนาวมากขึ้น อาทิจอุ้มตะวันพร้อมกับสั่งงานต๊อด อึ่ง พันให้ขนเข่งกะหล่ำปลีขึ้นที่ท้ายรถ ต๊อดบ่นอุบ
“โอ๊ย จะขนไปให้ใครนักหนาเนี่ย”
“อย่าบ่น วางดีๆ อย่าให้เบียดเข่งกะหล่ำปลีด้านในนะ”
อึ่งแปลกใจ
“ลูกค้าคนนี้คงสำคัญมากสินะ ขนไปฝากซะยกสวนขนาดนี้”
“เออ”
พันหันมาถาม
“นายจะไปกี่วันอะ”
“ทำไม จะอู้รึไง”
ต๊อดยิ้ม
“ฉลาดทันโลกอีกล่ะ”
“อย่าให้รู้นะว่าอู้ ไม่งั้นจะตัดเงินเดือนให้หมดเลย” อาทิจพูดกับตะวัน “นายตะวัน ช่วยพ่อดูด้วยนะว่ามีใครแถวนี้ขี้เกียจ ไม่ทำงานรึเปล่า”
ตะวันรับคำ
“ครับ พ่อทิจไปกี่วัน”
“2 วันลูก”
พันตะบึงตะบอน
“ทีเราถามไม่เห็นตอบหวานๆอย่างงี้มั่ง คำถามเดียวกันเด๊ะ”
“พ่อทิจซื้อของเล่นมาให้ตะวันบ้างนะครับ”
อาทิจรับคำ
“ครับผม”
อึ่งทำน่ารักเลียนแบบตะวัน
“พ่อทิจซื้อของเล่นมาฝากเรา 3 คนด้วยนะครับ”
“เอาเดี๋ยวนี้เลยมั้ย”
อาทิจวาดแข้งวาดขาถากสามเกลอไปมา ทั้งๆที่ยังอุ้มตะวัน ต๊อดโดดหลบ
“โหย...ไม่เอาก็ได้ นึกว่าอยากได้นักเหรอ เชอะ”
อาทิจหันไปหาแก้ว
“ผมฝากนายตะวันด้วยนะครับน้าแก้ว”
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
อาทิจหอมตะวันเต็มรักก่อนจะส่งเด็กน้อยให้แก้ว แล้วขึ้นรถขับออกไป ตะวัน ต๊อด อึ่ง พัน ยืนเอนหัวไปทางเดียวกัน โบกมือข้างเดียวกัน เป็นจังหวะเดียวกันให้อาทิจ
อาทิจขับรถเข้ามาจอดที่หน้าคอนโดดรุณี ชายหนุ่มเปิดที่เก็บของตรงคอนโซลหยิบกุญแจห้องขึ้นมามอง นึกถึงเมื่อครั้งที่เขากับดรุณีเดินกันอยู่ที่ ถนนใกล้สถานีรถไฟลอยฟ้า เขาและเธอหอบของพะรุงพะรังเดินมาตามถนน ดรุณีหยิบกระเป๋าเงินออกจากกระเป๋าสะพาย แล้วบังเอิญกุญแจหล่นลงกับพื้น หญิงสาวย่อตัวลงไปหยิบกุญแจที่มีอยู่ 2 ดอกขึ้นมา ก่อนจะส่งให้อาทิจดอกหนึ่ง
“กุญแจห้องที่คอนโดค่ะ พี่อาทิจเก็บไว้ดอกหนึ่งก็แล้วกัน”
“เอ่อ ไม่ต้องหรอกครับน้องณี”
“เก็บไว้เถอะค่ะ เผื่อพี่อาทิจแวะมากรุงเทพ แล้วอยากจะพักสัก สองสามชั่วโมงก็ขึ้นไปนอนที่ห้องได้”
“แต่ มัน...จะดีเหรอ”
“ดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ใจของเราค่ะ ถ้าพี่อาทิจกลัวคนจะมองณีไม่ดีก็เลือกไปเวลาที่ณีมีเรียนก็ได้หรือไม่ก็ใช้วิธีอย่างที่ณีบอก เขียนป้ายติดไว้ที่หน้าอกตัวโตๆว่า ผู้ปกครองน้องณีครับ”
อาทิจหัวเราะที่ดรุณียังจำเอามุขนี้มาใช้
“เอ้า...เอาไปค่ะ”
อาทิจมองกุญแจแล้วยิ้ม ก่อนจะขยับลงจากรถไป
เย็นนั้น ตุลยานีขับรถเข้ามาในมหาวิทยาลัย หญิงสาวจอดให้นิสิตอื่นข้ามถนนตรงทางแยก กลุ่มนิสิตทั้งถีบจักรยาน ทั้งเดินผ่านแยกนั้นไปและหนึ่งในจำนวนคนที่เดินคือ อาทิจ ตุลยานีซึ่งมองผู้คนอย่างไม่สนใจถึงกับชะงักเมื่อเห็นเขา นิสิตเดินตัดหน้าผ่านอาทิจไปมา ขณะข้ามถนน ตุลยานี เพ่งมองจนแน่ใจ หญิงสาวรีบเปิดประตูลงจากรถ แล้วโบกมือตะโกนเย้วๆ
“คุณ คุณคะ คุณ!”
นิสิตและคนอื่นๆต่างพากันหันมามอง ยกเว้นอาทิจที่คิดว่า ไม่มีใครรู้จักตัวเองและตนเองก็ไม่รู้จักใคร ชายหนุ่มยังคงเดินเรื่อยๆไปตามทาง ตุลยานีรีบบอกผู้คนที่เดินผ่านตรงนั้น
“พี่คะ พี่ ช่วยเรียกผู้ชายคนนั้นให้ที...คุณคะ อย่าเพิ่งไป”
ผู้คนตรงนั้นต่างหันไปมองกันรอบทิศเลิ่กลั่ก เพราะไม่รู้ว่าผู้ชายที่ตุลยานี ให้ช่วยเรียกนั้นคือ ผู้ชายคนไหน ตุลยานี เห็นอาทิจเดินดุ๋ยไปเรื่อยๆ ก็เลยวิ่งตามเพราะถ้าคลาดกันเที่ยวนี้ก็คงไม่ได้เจอกันอีกแน่ เสียงแตรจากรถคันหลังดังขึ้น นั่นทำให้หญิงสาวได้สติ วิ่งกลับไปที่รถ ก่อนจะขับออกมาอย่างเซ็งๆ
ดรุณีนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะ ตุลยานีวิ่งเซซังเข้ามา
“อ๊าย ยายณี โอ๊ย ตุ่นอยากจะร้องไห้”
“เป็นอะไรคะ คุณนาย”
“เมื่อกี้ตุ่นเจอผู้ชายคนนั้น ผู้ชายในฝัน”
ดรุณีตื่นเต้นไปกับเพื่อนด้วย
“ฮ้า เจอแล้ว!”
ตุลยานีเซ็ง
“แล้วก็คลาดกันอีกแล้ว สงสัยชาตินี้คงไม่มีหวังได้รู้จัก ได้คุยกับเขาตัวเป็นๆแน่เลย”
“เจอเขาที่ไหน”
“ในมหาวิทยาลัยนี่แหละ เมื่อกี้นี้เอง เขากำลังเดินข้ามถนน คนเดินตัดผ่านเขาไปมาเหมือนในหนังเลย”
ดรุณีเห็นอาทิจเดินมาแต่ไกล จังหวะการเดินตรงกับจังหวะการเล่าของตุลยานี
“แต่ตุ่นก็เห็นเขา เขาโดดเด้งออกมาจากคนอื่น”
ดรุณีเปรยขึ้น
“เขาเดินยิ้มนิดๆ”
อาทิจเห็นดรุณี ชายหนุ่มส่งยิ้มให้หญิงสาวแต่ไกล ตุลยานีตาลอย
“ใช่ หน้าเขาเหมือนมีความสุขตลอดเวลา”
ดรุณีบอกต่อ
“นุ่งกางเกงยีนส์”
“อื้อ”
“ใส่เสื้อคอกลมข้างในสีขาว”
“ถูก”
“สวมเสื้อยีนส์ทับด้านนอก”
“เผงเลย”
อาทิจเดินเท่เข้ามาใกล้สองสาวขึ้นเรื่อยๆ
“ผู้ชายคนที่หน้าเล็กๆ”
“คิ้วเข้มๆ”
“จมูกคมๆ”
“เวลายิ้มทีงี้ ใจละลาย”
ดรุณีโผล่ออกมา
“พี่อาทิจ”
ตุลยานีแย้ง
“ไม่ใช่ ผู้ชายในฝันของตุ่นต่างหาก”
ดรุณีดีใจทักทายอาทิจ
“สวัสดีค่ะพี่อาทิจ”
อาทิจยิ้มดีใจ
“พี่แวะมารับน้องณีครับ”
ดรุณีหันไปแนะนำเพื่อน
“นี่พี่อาทิจจ้ะตุ่น”
ตุลยานีหันไปมองอาทิจที่ยืนอยู่ด้านหลัง หญิงสาวตะลึงตัวชาวาบเหมือนถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ อาทิจยิ้มใจละลายให้ ตุลยานีอ้าปากค้างพูดไม่ออก หญิงสาวหันรีหันขวางเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับซูเปอร์สตาร์ที่ตัวเองคลั่งไคล้ สุดท้ายจึงหลุดออกมาได้แค่ประโยคเดียว
“ดะ เดี๋ยวมานะคะ”
ตุลยานีวิ่งจูงมือดรุณีออกไป ทิ้งให้อาทิจมองตามงงๆ
ตุลยานีดึงดรุณีมาแล้วแหกปากกรี๊ดลั่น
“อ๊าย ณีผู้ชายคนนั้น...ผู้ชายคนนั้น”
“คนไหน”
“พี่อาทิจของณี กับ กับผู้ชายในฝันของตุ่นคือ โอ๊ย คือ คนคนเดียวกัน”
ดรุณีอ้าปากหวอกับเรื่องบังเอิญซะยิ่งกว่าบังเอิญที่เกิดขึ้น หญิงสาวจับแขนเพื่อนลูบไปมาเพื่อให้ตั้งสติ
“ใจเย็นๆ ยายตุ่นสูดหายใจลึกๆๆ ช้าๆๆ เจอชายในฝันแล้วก็อย่าเพิ่งขาดใจตายซะก่อน ลึกลึก ช้าช้า”
ตุลยานีพยายามทำตามที่ดรุณีแนะนำสุดฤทธิ์ ไม่งั้นหัวใจหล่อนคงได้วายแน่ๆ
ดรุณีพาตุลยานีซึ่งยังหายใจไม่เป็นจังหวะเดินกลับมาหาอาทิจ ซึ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะ
“พี่อาทิจคะ นี่ยายตุ่นเพื่อนสนิทณีค่ะ”
อาทิจยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ตุลยานีแทบละลาย ปากคอสั่น แต่ก็อยากเจ๊าะแจ๊ะกับเขา
“สวัสดีค่ะพี่อาทิจ เราเคยเจอกันแล้ว ตอนที่ตุ่นซ้อมดรัมเมเยอร์ที่สนามเมื่อปีที่แล้ว พี่อาทิจจำได้มั้ยคะ”
อาทิจนึกๆ
“ดรัมเมเยอร์ซุ่มซ่ามที่วิ่งไปรับคฑาแล้วล้มใส่พี่อาทิจน่ะค่ะ”
อาทิจนึกออก
“อ้อ จำได้แล้วครับ ผู้หญิงคนนั้น คุณตุ่นนี่เอง”
“ค่ะ ตุ่นเอง บังเอิญจริงๆนะคะ”
ดรุณีแซว
“มีเรื่องบังเอิญกว่านั้นตามมาอีกหลายครั้ง ไว้ณีจะเล่าให้ฟัง พี่อาทิจต้องกลับสวนเลยรึเปล่าคะ ถ้าไม่รีบ อยู่กินข้าวที่คอนโดด้วยกันสักมื้อนะคะ เดี๋ยวณีกับตุ่นแสดงฝีมือเอง”
อาทิจยิ้มรับ
“ครับ”
ดรุณีแอบหันมายักคิ้วให้เพื่อน ก่อนทั้งคู่จะพากันเดินนำอาทิจออกมา ตุลยานีจับหัวใจตัวเองกลัวว่ามันจะทะลุออกมานอกอก ดรุณีหัวเราะขำเพื่อน ปล่อยให้ผู้ชายที่อยู่ข้างหลังเดินตามโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ดรุณีเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อม ตุลยานี ทั้งคู่ตะลึงเมื่อเห็นห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยสีสันของผักและดอกไม้ สวิสชาร์ด ที่ปลูกอยู่ในกระถางตั้งเป็นแนวอยู่ตามมุมห้อง ผักสลัดที่ปลูกแบบไฮโดรโฟนิควางเรียงอยู่บนเคาน์เตอร์ รวมทั้งดอกลาเวนเดอร์ที่จัดอยู่ในแจกันที่เหมือนเป็นโหลแก้วธรรมดา แต่ดูไม่ธรรมดาเพราะความเยอะอลังการ ตุลยานีมองอย่างตะลึง
“โอ้โฮ อะไรเนี่ย ยายณี”
ดรุณีหันมาหาอาทิจ
“ฝีมือพี่อาทิจใช่มั้ยคะ”
“พี่ลองปลูกสวิสชาร์ดดู เห็นว่าได้ผลดีก็เลยอยากให้น้องณีเห็น แล้วมันก็กินและเอามาทำเป็นอาหารได้เหมือนผักสลัดพวกนี้ ส่วนลาเวนเดอร์ก็กำลังออกดอกหอม พี่เลยตัดมาฝาก”
ตุลยานี หันไปเห็นเข่งกะหล่ำปลีที่วางอยู่บนพื้น
“กะหล่ำปลียักษ์เหรอเนี่ย ทำไมลูกโตขนาดนี้”
อาทิจยิ้มแย้มบอก
“กะหล่ำปลีที่ไร่ครับ”
แล้วดรุณีก็ได้กลิ่นบางอย่าง
“กลิ่นแกงหองนี่”
“พี่ทำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตั้งใจเอามาให้น้องณีลองชิม”
ตุลยานีจะละลายซะให้ได้
“พี่อาทิจน่ารักจังเลยค่ะ อิจฉายายณีจริงๆ”
ดรุณีนึกได้
“ถ้างั้นเดี๋ยวณีผัดกะหล่ำปลีเพิ่ม”
“ตุ่นทำสลัดผักให้ค่ะ ทูน่ามีมั้ยณี”
“มีจ้ะ”
อาทิจยิ้มแย้ม
“เมนูกะหล่ำปลีพี่จัดการให้ดีกว่าครับ น้องณีกับคุณตุ่นจัดการสลัดก็แล้วกัน”
สองสาวรับคำแข็งขันพร้อมกัน
“ค่ะ”
สามคนยิ้มให้กัน มิตรภาพเบิกบาน
ตุลยานีจัดผักสลัดไปกรี๊ดไป
“อ๊าย พี่อาทิจของณีน่ารักจังเลยอ้ะ ปลูกผักก็เก่งปลูกดอกไม้ก็เก่ง แถมยังทำกับข้าวเก่งอีกต่างหาก”
อาทิจเดินเข้ามาแล้วอึกอัก เพราะได้ยินสองสาวกำลังพูดถึงตัวเอง ดรุณีพูดอย่างปลื้มๆ
“ซ่อมแทรกเตอร์ก็ได้ ทำคลอดก็เป็น”
ตุลยานีตาโต
“ฮ้า แหม อยากท้องขึ้นมาซะเดี๋ยวนี้เลย ไหน อะไร ยังไง พี่อาทิจทำคลอดให้ใครเล่ามาซิ”
อาทิจหน้าแดง ชายหนุ่มเดินเลี่ยงออกมาเงียบๆ แต่เท้าก็ไปแตะเอาถังขยะล้มโครมเข้าให้อีก ดรุณีกับตุ่นหันมามอง
“ขอโทษครับ คือ พี่อยากได้วุ้นเส้นน่ะ น้องณีมีเก็บไว้บ้างรึเปล่า”
“มีค่ะ ณีหาให้นะคะ”
ดรุณีเดินไปหาวุ้นเส้นที่ตู้เก็บของด้านบน อาทิจตามไปยืนข้างหญิงสาว ตุลยานีมองตามอาทิจตาลอย
อาทิจวางอาหารจานต่างๆลงบนโต๊ะ ซึ่งสองสาวนั่งประจำที่และตักข้าวรอเรียบร้อยแล้ว
“เมนูกะหล่ำปลีครับ กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา ไข่ม้วนยัดไส้วุ้นเส้นกับกะหล่ำปลี ส้มตำกะหล่ำปลี ปิดท้ายด้วยแกงหอง ของโปรดน้องณี”
“กับสลัดทูน่าฝีมือยายตุ่น”
“ลงมือเลยครับ”
ตุลยานีตักอาหารที่อาทิจทำทุกอย่างชิม
“อร่อยม๊ากค่ะพี่อาทิจ อร่อยถูกใจตุ่นทุกอย่างเลย พี่อาทิจทำกับข้าวเก่งจัง”
อาทิจยิ้มๆ
“พอทำได้ครับ แต่เป็นเมนูพื้นๆ แบบที่เสิร์ฟในโรงแรมหรูๆผมทำไม่เป็นหรอกครับ”
ตุลยานีจ้องลึกเข้าไปในดวงตาชายหนุ่ม
“ตุ่นชอบกินอาหารพื้นๆ แค่ข้าว พี่อาทิจก็ยังหุงได้นุ่มและหอมกว่าใคร”
อาทิจชักเขิน
“ข้าวที่ไร่ ปลูกแบบออแกนิคครับ”
ดรุณีตื่นเต้น
“ข้าวเราเหรอคะพี่อาทิจ”
อาทิจยิ้มแย้มนำเสนอ
“จ้ะ เพิ่งสีเสร็จ พี่เลยแบ่งมาให้น้องณีชิม ข้าวของน้องณีด้วยนี่”
ดรุณีตักข้าวกินเอร็ดอร่อย
“ดีใจจังได้กินข้าวที่เราปลูกเอง”
“ถ้างั้นกินเยอะๆเลยครับ”
อาทิจตักอาหารใส่จานให้สองสาวสักพักเมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่า สองสาวนั่งจ้องเขาอยู่ อาทิจยิ้มให้ทั้งคู่เก้อๆ เมื่อเห็นสองสาวยังคงจ้องเขาอย่างไม่ว่างตา ชายหนุ่มเลยต้องเป็นฝ่ายหลบตาแล้วก้มหน้าตักโน่นนี่กินพัลวันให้ดูมีกิจกรรมเยอะๆเข้าไว้ สองสาวหันมาคิกคักใส่กัน อาทิจก้มหน้ากินด้วยความเขิน จนข้าวติดคอ ดรุณียื่นแก้วน้ำให้ อาทิจก้มหน้าก้มตา ดื่มจนสำลักน้ำเข้าให้อีก สองสาวแอบขำในความขี้อายจนดูน่ารักน่าเอ็นดูไปซะหมดของอาทิจ
ค่ำนั้น อาทิจนั่งดูทีวีแล้วแอบเหล่มองดรุณีกับตุลยานี เพื่อจะดูว่าสองสาวยังมองเขาอยู่รึเปล่า แล้วก็เห็นแววตาแป๋วแหววของทั้งคู่มองเขาอยู่จริงๆ ดรุณีนั่งมองเพราะอยากจะแกล้งให้อาทิจเขิน ในขณะที่ตุลยานีมองแบบหวานเยิ้มโปรยเสน่ห์แพรวพราว อาทิจแก้เขินด้วยการมองซ้ายมองขวา ไม่รู้จะทำอะไรดีเลยหยิบกระถางสวิสชาร์ดขึ้นมาโชว์ แล้วอธิบายสรรพคุณออกแนววิชาการ
“สวิสชาร์ด เป็นผักที่ปลูกในโครงการหลวง ปกติผักทั่วไปจะให้สารอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่สวิสชาร์ดจะให้สารอาหารหลายชนิดนับไม่ถ้วน”
ดรุณีถามทันที
“เช่น”
“เช่นมีวิตามินถึง16 ตัว และแทบไม่มีแคลอรีเลย เรากินสวิสชาร์ดเพียง 35แคลอรี เราจะได้วิตามิน K มากกว่าปริมาณขั้นต่ำที่ควรได้รับต่อวันถึง 300% และได้รับวิตามิน A มากกว่าถึง 100%”
ตุลยานีตื่นเต้น
“โอ้โฮ”
“ประโยชน์เยอะมากใช่มั้ยครับ”
ตุลยานียิ้มหวาน
“เปล่าค่ะ เวลาพี่อาทิจอธิบายแล้วน่าฟังจัง เสียงนุ้มนุ่ม”
อาทิจเขิน แต่ก็ยังพยายามเก๊กกลบอาย
“นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็ง ให้วิตามิน E ทำให้สายตาดีด้วยครับ”
ตุลยานีรุกเข้าไปอีก
“อยากกินสวิสชาร์ดทุกวันเลย จะได้สายตาดี มองพี่อาทิจได้นานๆ”
เที่ยวนี้อาทิจอายจนไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ไหน
“พี่...เอ่อ...ดึกแล้ว พี่กลับก่อนนะครับ น้องณีกับคุณตุ่นจะได้พักผ่อน”
ตุลยานีใจหาย
“ทำไมรีบกลับจัง แล้วจะขับไหวเหรอคะ ตั้งไกล”
“คืนนี้ผมค้างที่โรงแรมในกรุงเทพนี่ล่ะครับ พรุ่งนี้เช้าถึงจะกลับ”
“ทำไมไม่ค้างที่นี่ล่ะค่ะ ห้องยายณีออกจะกว้าง”
ดรุณีรีบบอก
“พี่อาทิจเขากลัวคนจะมองณีไม่ดี”
ตุลยานีถือโอกาสจับมืออาทิจ
“อื๋อ น่ารัก เป็นสุภาพบุรุษที่สุดในโลกเลย พี่อาทิจเนี่ย”
อาทิจรีบออกตัว กลัวว่าถ้าอยู่นานกว่านี้จะเขินมากไปกว่านี้
“ผมไปนะครับ พี่ไปนะน้องณี”
อาทิจมองที่มือ เพื่อเป็นการเตือนตุลยานีอย่างสุภาพและมีมารยาท ตุลยานีรู้สึกตัวค่อยๆปล่อยมือจากชายหนุ่มอย่างสุดแสนเสียดาย อาทิจเดินไปที่ประตูโดยมีสองสาวเดินมาส่งแล้วโบกมือบ๊ายบายชายหนุ่มจนลับตา ดรุณีงับประตูปิด ตุลยานีเอาหลังพิงประตู ทำท่าอ่อนระโหยโรงแรง
“โอ๊ย หัวใจจะวาย ฉันจะตายมั้ยเนี่ย”
ดรุณีหัวเราะขำเพื่อน
อาทิจเดินหน้าแดงออกมาจากลิฟท์ แล้วชายหนุ่มก็ต้องชะงักเงยหน้ามองเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาอย่างไม่พอใจ
“ไอ้อาทิจ”
เวทางค์ถลาเข้ามายืนประจันหน้ากับอาทิจพร้อมด้วยวิไลลักษณ์ เวทางค์ตรงเข้ามากระชากคอเสื้ออาทิจ
“แกกับฉันมีเรื่องต้องคุยกัน”
วิไลลักษณ์ห้ามลูกชาย
“ใจเย็นๆ ตาเว”
อาทิจถอนใจ
อ่านต่อหน้า 4
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 12 (ต่อ)
วิไลลักษณ์ดึงตัวเวทางค์ซึ่งยังพลุ่งพล่านฮึดฮัดมา แล้วหันไปหาอาทิจ
“ว่ายังไง อาทิจ”
อาทิจเดินตามแม่ลูกมา เวทางค์โวยวาย
“แกพาน้องณีไปไหนมา ถึงได้กลับมาส่งดึกดื่นป่านนี้”
วิไลลักษณ์จ้องหน้าอาทิจ
“เรารับปากอาแล้วนะ ไหนบอกยายณีเป็นแค่น้องไง”
“ผมก็ยังยืนยันคำเดิมครับ”
เวทางค์ปราดเข้าไปเหมือนจะชกอาทิจ แต่วิไลลักษณ์ดึงตัวยื้อไว้
“ยังจะมาปากแข็ง แล้วที่แกทำอยู่นี่ล่ะหมายความว่ายังไง แกพาน้องณีไปไหนพาเข้าม่านรูดมาใช่มั้ย”
อาทิจชักฉุน
“ผมมีเรื่องที่เป็นมงคลกับชีวิตทำมากกว่าการพาผู้หญิงเข้าโรงแรมนะครับคุณเว ผมกับน้องณีไม่ได้ออกไปไหนทั้งนั้น”
“ไม่ได้ออกไป งั้นก็หมายความว่า แกขลุกอยู่กับน้องณีบนห้องน่ะสิ ฉันรับส่งน้องณีมาตั้งกี่ปี ฉันยังไม่เคยขึ้นไปบนห้องน้องณีสักครั้ง แกทำอะไรน้องณีหา”
เวทางค์ถลาเข้าไปกระชากคอเสื้ออาทิจ แล้วง้างมือเหมือนจะชก อาทิจจับข้อมือเวทางค์ทั้งสอง มือของชาวไร่หนักและบีบแน่นยิ่งกว่าคีม ชายหนุ่มพูดใส่หน้าเวทางค์อย่างโกรธจัด
“ในชีวิตผมไม่เคยคิดจะทำชั่วอย่างนั้นกับผู้หญิงคนไหน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นน้อง เป็นเด็กในปกครองของผม ถ้าคุณไม่เห็นผมเป็นน้อง ก็ขอให้นับน้องณีเป็นน้องเถอะครับ จะพูดอะไรถึงเธอ กรุณาให้เกียรติเธอบ้าง”
อาทิจปล่อยมือทั้งสองข้างของเวทางค์แล้วส่งสายตาประมาณว่า อย่ามากระชากหรือคิดจะต่อยอีก เวทางค์เจ็บข้อมือเหมือนกัน
“ถ้างั้นแกขึ้นไปบนห้องน้องณีทำไม”
“ผมเอาผักที่สวนมาให้ น้องณีเลยชวนผมทำกับข้าวกินกัน”
“แต่อาทิจก็ไม่ควรอยู่กับยายณีตามลำพัง มันไม่งาม ขนาดตาเวยังไม่เคยทำอย่างนั้นเลย”
“ผมกับน้องณีไม่ได้อยู่กันตามลำพังครับ น้องณีชวนเพื่อนมากินข้าวกับเราด้วย”
“ฉันไม่เชื่อ”
“คุณเวก็ขึ้นไปถามน้องณีสิครับว่า คุณตุ่นมากินข้าวด้วยรึเปล่า ตอนนี้คุณตุ่นก็ยังอยู่บนห้อง”
เวทางค์จบเรื่องหนึ่งพาลไปอีกเรื่องหนึ่งได้ทันที
“นี่แกควงผู้หญิงสองคนเลยเหรอ มันจะมากไปแล้ว”
เวทางค์จะเข้าไปกระชากคอเสื้ออาทิจอีก แต่พอเจอสายตาแข็งกร้าวของเขาก็หดมือกลับ อาทิจมองสองแม่ลูก
“ผมไม่รู้ว่าคุณอากับคุณเวคิดอะไรอยู่ ผมรู้แต่ว่าผมจะไม่กลืนน้ำลายตัวเอง ถ้าเรื่องที่จะพูดกันมีแค่นี้ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
อาทิจยกมือไหว้วิไลลักษณ์และเวทางค์ ก่อนจะเดินหน้านิ่งออกไป วิไลลักษณ์มองอย่างจงเกลียดจงชัง
“จองหองนี่ แล้วยายตุ่นนี่เป็นใคร”
“ก็เพื่อนสนิทที่น้องณีเชียร์ให้ไอ้หมอนี่น่ะสิคุณแม่”
วิไลลักษณ์เปลี่ยนอารมณ์ได้ทันทีเช่นกัน
“อ้าว อย่างนั้นก็ดีแล้วนี่ลูก แสดงว่ายายณีไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าอาทิจ”
“แต่น้องตุ่นเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัย ทั้งสวยทั้งรวยล้นฟ้า ยังไงก็ไม่เหมาะกับไอ้หนุ่มชาวไร่นั่นอยู่ดี”
ยิ่งพูดถึงตุลยานี เวทางค์ยิ่งหงุดหงิด ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าหงุดหงิดอะไรนักหนา
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ตุลยานียืนเท้าแขนชมดาวที่ระเบียงรำพันตาชวนฝันกับดาวบนฟ้า
“ขอบคุณนะคะที่ส่งพี่อาทิจมาให้”
ดรุณีที่เพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนเสร็จ เปิดประตูระเบียงออกมายืนคุยกับเพื่อนไปเช็ดผมไป
“รำพันเสร็จรึยังจ้ะ ห้องน้ำว่างแล้ว”
ตุลยานีเดินมาเอามือบีบแก้มเพื่อนทั้งสองข้างอย่างหมั่นเขี้ยว
“ขอบใจมั่กม๊ากนะจ้ะ เพื่อนรัก”
แล้วตุลยานีก็เดินร้องเพลงลั่นลาเข้าห้องไป ดรุณีมองตามเพื่อนอย่างมีความสุข
ดรุณีเดินจากระเบียงเข้ามาในห้อง หญิงสาวเพิ่งจะมีเวลามองต้นสวิสชาร์ดในกระถางอย่างพินิจพิเคราะห์
“สีสวยจัง”
สักครู่...หญิงสาวผละไปที่แจกันดอกลาเวนเดอร์ใหญ่คับห้อง แล้วก้มลงดมอย่างทะนุถนอม
“คนปลูกคงตั้งใจปลูกมาก ถึงได้ออกมาหอมอย่างนี้”
ดรุณีมองไปรอบๆห้อง ทุกสิ่งที่ทำให้ห้องนี้มีชีวิตชีวาอย่างประหลาดมาจากฝีมืออาทิจทั้งสิ้น
“คนดีๆอย่างพี่อาทิจ เหมาะกับผู้หญิงที่น่ารักอย่างยายตุ่นเท่านั้น”
ดรุณียิ้มน้อยๆ เป็นยิ้มที่บริสุทธิ์ จริงใจและจริงจัง
อาทิจอยู่ในห้องพักในโรงแรมเล็กๆแต่สะอาดเรียบร้อย ชายหนุ่มนอนอ่านหนังสือหลักสูตรการบริหารจัดการอยู่บนเตียง สักครู่เสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น อาทิจลุกขึ้นรับโทรศัพท์อย่างไม่แน่ใจใครโทรมา
“สวัสดีครับ”
เสียงตุลยานีดังมาจากปลายสาย
“พี่อาทิจ”
อาทิจงงๆ
“ครับผม”
ตุลยานีนอนพูดโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง
“ตุ่นเองค่ะ”
อาทิจแปลกใจ
“ครับ คุณตุ่น”
“ตุ่นลืมไปว่ายังไม่ได้บอกลาพี่อาทิจก่อนนอนเลย ราตรีสวัสดิ์ค่ะ หลับฝันดีนะคะ”
ตุลยานีรีบกดวางโทรศัพท์ด้วยความอายอย่างแรงกล้า
“ครับ...อ้าว...คุณตุ่น...คุณตุ่น”
อาทิจวางโทรศัพท์ลงแป้นอย่างงงๆ
ตุลยานีนอนดีดดิ้น เกลือกกลิ้งไปกับที่นอน ดรุณีขยับเข้ามายืนมองเพื่อนขำๆ
“ทำไมวางเร็วล่ะ”
“เขินอะ ไม่รู้จะพูดอะไร เกิดมาก็เพิ่งรู้วันนี้ล่ะว่า ตัวเองก็เขินเป็นเหมือนกัน”
ดรุณีขำ
“ทีนี้จะกลับไปนอนบ้านได้รึยังหรือจะนอนนี่”
“ไม่เอาอะ” ตุลยานีลุกขึ้นนั่ง “กลับดีกว่า เดี๋ยวละเมอถึงพี่อาทิจขึ้นมา ณีก็ได้ยินหมดสิ”
เพียงครู่เดียว หญิงสาวก็กรี๊ดลั่น
“กรี๊ด ตายแล้วยายณี ตุ่นลืมถ่ายรูปคู่กับพี่อาทิจอะ เสียดายๆ”
“ไม่ต้องฟูมฟายน่า รีบเรียนให้จบเร็วๆสิ จบแล้วจะพาขึ้นไปหาพี่อาทิจ”
ตุลยานีดีใจ
“จริงนะ”
ดรุณีพยักหน้ายืนยัน
“อื้อ”
“เอาหนังสือมาอ่านเตรียมสอบเดี๋ยวนี้เลย”
ดรุณีมองเพื่อนขำๆ
“ขยันขึ้นมาทันที”
“ตุ่นจะเรียนให้จบในสามปีครึ่ง แล้วจะรีบบึ่งไปสมัครเป็นพี่สะใภ้ณี”
“สามปีครึ่งนะ”
ตุลยานีหนักแน่น จริงจัง
“จ้ะ สามปีครึ่ง”
สองสาวยิ้มให้คำมั่นสัญญากัน
เช้าวันใหม่...ดรุณีซึ่งแต่งชุดนิสิตกำลังดูความเรียบร้อยของตัวเองที่หน้ากระจก ก่อนจะมองนาฬิกาแล้วรีบวิ่งมาใส่รองเท้าที่อยู่ในตู้ ขณะที่หญิงสาวกำลังก้มๆเงยๆใส่รองเท้าหางตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษ A4 แผ่นหนึ่ง โผล่แพลมออกมาจากใต้ตู้ ดรุณีสงสัยกระดาษอะไรจึงหยิบขึ้นมาดู แล้วอมยิ้ม ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น ดรุณีถือกระดาษวิ่งกลับไปรับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ ใครนะคะ ได้ค่ะ จะลงไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
ดรุณีคว้ากระเป๋าและตำราวิ่งออกไป โดยไม่ลืมที่จะติดเอากระดาษA4 แผ่นนั้นไปด้วย
ดรุณีสะพายกระเป๋าถือตำราและแผ่นกระดาษA4 มาหน้าคอนโด หญิงสาวมองหาใครบางคน จนหันมาเห็น อาทิจยืนถือเช็คเดินไปเดินมาที่รถ ดรุณีวิ่งมาหา
“พี่อาทิจ มีอะไรเหรอคะ”
“พี่ว่าจะเอาเช็คเงินเดือนให้น้องณีตั้งแต่เมื่อคืนแต่ก็ลืมจนได้ นี่จ้ะ”
ดรุณียกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ”
“มีผู้ปกครองขี้ลืมแบบนี้ อย่าเพิ่งเบื่อนะ”
“นั่นสิคะ ลืมนั่นลืมนี่ ลืมกระดาษแผ่นนี้ด้วย”
ดรุณียื่นกระดาษA4ให้ อาทิจรับกระดาษมาดูตัวหนังสือเป็นลายมือของเขาที่เขียนว่า ผู้ปกครองน้องณีครับ
“เอกสารสำคัญอย่างนี้ต้องพกติดตัวตลอดเวลานะคะ”
อาทิจเขินมากเขินจนหน้าแดง
“พี่เขียนเล่นๆ ก่อนจะออกไปรับน้องณีเมื่อวานน่ะจ้ะ ว่าจะทิ้งก็...”
แล้วทั้งสองก็พูดพร้อมกัน
“ลืม”
อาทิจอายที่โดนดรุณีพูดดักคอ
“ก็...ประมาณนั้น” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องให้ดูเป็นการเป็นงาน “น้องณีมีเรียนเช้าเหรอ จะไปเดี๋ยวนี้เลยรึเปล่า พี่ไปส่งก่อนได้นะ”
ทันใดนั้น เวทางค์เดินเสียบเข้ามายืนตรงกลางแล้วพูดแทรกเสียงแข็ง
“ไม่ต้อง ฉันนัดน้องณีไว้ว่าจะมารับ นายมีงานก็รีบๆกลับไปทำเถอะ มัวแต่โต๋เต๋อยู่นี่ เดี๋ยวผักหญ้าก็ได้ตายหมดหรอก”
“พี่อาทิจจะกลับสวนอยู่แล้วค่ะ แค่แวะเอาเช็คมาให้ณีก่อน พี่เวหงุดหงิดทำไมคะ”
“เปล๊า...” เวทางค์ฉีกยิ้ม “พี่หงุดหงิดที่ไหน ได้เห็นหน้าน้องณีทุกวันพี่มีความสุขจะตาย...รถพี่จอดอยู่ทางนู้น...ไป”
ดรุณีหันมาลาอาทิจ
“ณีไปเรียนนะคะพี่อาทิจ”
“ครับ”
ดรุณีเดินออกไป เวทางค์แอบหันมายักคิ้วเย้ยอาทิจ แสดงอาการกวนโอ๊ยเล็กๆ อาทิจมองตามทั้งคู่ไป แล้วก้มมองตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษ ที่คล้ายจะตอกย้ำซ้ำเติมให้ชายหนุ่มรู้สึกและตระหนัก ว่าตัวเองเป็นแค่ ผู้ปกครองของน้องณี เท่านั้นจริงๆ
อาทิจนั่งเหลาก้านกล้วยเพื่อทำเป็นม้าก้านกล้วยให้ตะวันซึ่งนั่งกอดเข่าชายหนุ่มรออย่างตื่นตาตื่นใจ ไพฑูรย์ซึ่งยืนขาโก่งเล็มส้มอยู่ข้างๆ หันมามอง
“คุณอาทิจไปกรุงเทพตั้งหลายวัน ทำไมไม่ซื้อของเล่นไฮเทคมาฝากนายตะวันครับ มานั่งเหลาก้านกล้วยเป็นสมัยเจ็ดสิบปีก่อนอย่างนี้ เด็กมันจะชอบหรือครับ”
“ผมไม่ค่อยมีเวลาตระเวนดูอะไรมาก เห็นมีแต่ของเล่นพลาสติก เลยไม่อยากซื้อมาเป็นขยะให้รกโลกเข้าไปอีก เล่นของเล่นแบบภูมิปัญญาไทยนี่ล่ะครับ ไม่เจ็บ ไม่อันตราย คนโบราณฉลาดมากนะครับ ลูกหลานเล่นพังแล้วก็โยนลงดิน กลายเป็นปุ๋ยได้อีกต่างหาก”
ทองประศรีเดินมาแอบดูลูกข้างๆแก้ว ที่กำลังเล็มกิ่งส้มอยู่อีกมุมไกลๆ
“เอ้า เสร็จแล้วนายตะวัน”
ตะวันดีใจจัดรีบคว้าเอาม้าก้านกล้วย อาทิจชักม้ากลับ
“ผู้ใหญ่ให้ของต้องทำยังไงก่อน”
ตะวันยิ้ม อายแล้วยกมือไหว้
“ขอบคุณครับ”
อาทิจยื่นม้าก้านกล้วยให้ ตะวันรับไปขี่ ต๊อด อึ่ง พัน หิ้วม้าก้านกล้วยเข้ามา ต๊อดชวน
“ไป นายตะวัน ไปเล่นขี่ม้ากัน”
ไพฑูรย์มองหาอึ่ง
“โธ่ ไอ้อึ่ง ข้าล่ะสงสารม้าเอ็งจริงจริ๊ง ทำไม๊ไม่เอากล้วยทั้งต้นมาเหลาวะ”
“เขาเรียก จิ๋วแต่แจ๋ว มีอะไรปะพี่ฑูร”
พันหันไปบอกอาทิจ
“ขอเวลานอกซัก 20 นาที เล่นเป็นเพื่อนนายตะวันนะนาย”
ว่าแล้วสามเกลอก็ชวนกันออกไปวิ่ง...ฮี้...ก่อก...ก่อก...ก่อก ไล่จับตะวัน แล้วหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ไพฑูรย์ตะโกนไล่หลังอย่างหมั่นไส้
“เด็กเล่นมันก็น่ารักดีหรอกเว้ย แต่ผู้ใหญ่เล่นด้วยนี่สิ...ปัญญาอ่อน” แต่เพียงครู่เดียว ไพฑูรย์ก็อดไม่ได้ หันมาหาอาทิจ
“ถ้าไม่รังเกียจ รบกวนเหลาเพิ่มสักอันได้มั้ยครับ”
อาทิจยิ้มขำไพฑูรย์
“ได้ครับ แต่พี่ฑูรจะขี่ไหวมั้ย”
“กัดเจ็บเหมือนกันนะครับเนี่ย”
อาทิจกับไพฑูรย์หัวเราะให้กัน...ทองประศรีมองอย่างปลื้มใจ
“คุณอาทิจเขารักแล้วก็อบรมสั่งสอนนายตะวันดีเหลือเกิน ลูกฉันช่างมีบุญจริงๆ”
แก้วที่ยืนมองอยู่ด้วยพูดขึ้น
“เห็นอย่างนี้แล้วก็จำเอาไปเป็นตัวอย่างบ้าง”
“จ้ะ ยังไงฉันก็รบกวนน้าแก้วช่วยบอกคุณอาทิจด้วยนะว่า ฉันขอฝากลูกไว้ก่อน พี่ยงเขาย้ายกลับมาทำงานใกล้ๆเมื่อไหร่ ฉันจะมารับลูกไปอยู่ด้วย”
“เออ...คุณอาทิจเขาไม่ว่าอะไรหรอก เขารักเอ็นดูนายตะวันจะตายไป”
แก้วกับทองประศรีหันไปมองอาทิจกับไพฑูรย์ ยืนเชียร์ ตะวัน ต๊อด อึ่ง พันที่ขี่ม้าวิ่งไล่กันสนุกสนาน
หนึ่งเดือนต่อมา...อาทิจยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ทางด้านดรุณีกับตุลยานีสอบเสร็จ เดินตามกันออกมาตะโกนหน้าห้อง อาจารย์ตามออกมาดุ สองสาวหุบปากแทบไม่ทัน วิ่งแจ้นออกไป ดรุณีทำดอกหญ้าแห้งของอาทิจหล่น แต่ก็ยังอุตส่าห์วิ่งกลับไปเก็บ
ค่ำคืนหนึ่ง...วิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดา ดรุณี อยู่ในร้านหรู สามแม่ลูกยกแก้วเครื่องดื่มค็อกเทลสีสวยขึ้นชนแก้วกัน
“เชียร์ส!”
“ขอแสดงความยินดีกับน้องณีด้วยนะที่เรียนจบภายในสามปีครึ่ง”
“เก่งมากเลยจ้ะยายณี วันนี้อยากกินอะไรสั่งเต็มที่เลยนะ ป้าเลี้ยงเอง”
วิยะดาหันไปแซว
“จะจบอะไรไวขนาดนี้ กดดันวินะเนี่ย”
ดรุณีพยายามแย้ง
“จริงๆณีก็เพิ่งสอบเสร็จนะคะ น่าจะรอฟังผลก่อน ถ้าผ่านแล้วค่อยเลี้ยงทีหลังก็ได้”
เวทางค์ยิ้มแย้มเอาใจ
“รอฟังว่าได้เกียรตินิยมอันดับ 1 หรือ 2 ดีกว่ามั้งน้องณี ไอ้ผ่านหรือไม่ผ่านน่ะค่อยไปลุ้นกับยายวิ”
วิยะดาค้อนพี่ชาย
“ยังกับพี่เวจบมาอย่างเก๋กู๊ดนักนี่ ก็คาบเส้นคาบดอกเหมือนกัน”
วิไลลักษณ์สะกิดลูกๆ
“จะมาทะเลาะอะไรกันล่ะลูก วันนี้วันดีฤกษ์ดีเป็นศรีวันนะจ๊ะ”
วิยะดาประชด
“พูดยังกะจะไปขอลูกสาวใครเลยอะคุณแม่”
“ก็ใช่น่ะสิจ๊ะ ก็รู้ๆอยู่ว่าพี่เวเขารักใคร”
วิไลลักษณ์ปรายตามาทางดรุณี หญิงสาวรู้ว่าภัยกำลังจะมาเยือน แต่ก็พยายามตีหน้าตายถามกลับ
“รักใครคะ”
“อ้าว ก็เราน่ะสิยายณี แหม พี่เขาเทียวรับเทียวส่งขนาดนี้ ยังไม่รู้รึไงจ๊ะว่าเพราะเขารักเรา จริงมั้ยตาเว”
เวทางค์ยิ้มรับ
“ตามนั้นครับ”
“ตาเวเขาชอบเรามาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ 7-8 ขวบ”
วิยะดากระแอ้มเตือนแม่
“อะแฮ้ม ตอนนั้นหนูกับพี่เวยังอยู่เมืองนอกอยู่เลยค่ะคุณแม่”
วิไลลักษณ์นึกได้
“อ๋อเหรอ จริงสิ ไม่ใช่ 7-8 ขวบ ตอนอายุ 17-18 ต่างหาก ตาเวเขารอเรามานานมากแล้วน้า ป้าคิดว่าเราเรียนจบแล้วก็น่าจะทำตามความต้องการของคุณย่าสักที”
ดรุณีงงๆ
“ความต้องการอะไรคะ”
“อ้าว นี่ผู้ปกครองเราไม่เคยพูดให้ฟังเลยเหรอว่า คุณย่าต้องการให้เราลงเอยกับพี่เว จะได้ช่วยกันดูแลสวนน่ะจ้ะ”
ดรุณีอึ้ง ช็อก แต่ก็ตอบเลี่ยงไปด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“แต่...ณียังไม่พร้อม ณียังไม่คิดจะมีครอบครัวตอนนี้ค่ะคุณป้า”
วิไลลักษณ์พยายามยิ้มอารมณ์ดี
“ไม่ใช่เพราะมีใครอยู่นะ”
“ไม่มีค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป ใช้เวลาดูใจอีกนิดก็ได้” วิไลลักษณ์ปิ๊งขึ้นมา “หรือว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอกด้วยกันดีมั้ย จะได้ดูกันแบบใกล้ชิดไปเลย”
ดรุณีกับเวทางค์พูดพร้อมกัน
“ดีครับ / ไม่ค่ะ”
“ณีอยากทำงานก่อนค่ะ”
วิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดาหันมาสบตากันจ๋อยๆ เพราะรู้สึกว่าดรุณีเริ่มเสียงแข็งขึ้นมา สักครู่กานดาพารุจน์เข้ามาในร้าน ทั้งคู่แต่งตัวเรียบเก๋ ดูเป็นไฮโซญี่ปุ่น กานดาเหลือบเห็นวิไลลักษณ์ เลยตรงเข้ามาทัก
“วิไลใช่มั้ยจ๊ะ”
วิไลลักษณ์หันมาวี๊ดว้าย
“ต๊าย...กานดา ไม่ได้เจอกันนานม๊าก กลับจากญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“หลายปีแล้วจ้ะ แต่ก็ยังไปๆมาๆเพราะคุณพ่อตารุจน์ประจำอยู่ที่นั่น ตารุจน์จ๊ะ นี่คุณน้าวิไลลักษณ์เพื่อนแม่เองจ้ะ”
รุจน์ยกมือไหว้นอบน้อม
“สวัสดีครับ”
วิยะดาแจ๋ขึ้นมาทันที ตาเป็นประกาย
“วิยะดาค่ะ เป็นลูกสาวของคุณแม่ เรียกสั้นๆว่าวิก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ...คุณรุจน์”
วิยะดาทำสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดด้วยการลุกขึ้น ส่งมือไปขอเช็คแฮนด์กับรุจน์ ผ่านหน้าวิไลลักษณ์ เวทางค์และดรุณีที่อ้าปากค้างกับความก๋ากั๋นของเจ้าหล่อน
ค่ำนั้น ดรุณีนั่งเขียนจดหมายถึงอาทิจอยู่ในห้องนอนที่คอนโด
‘…ณีสอบเสร็จแล้วค่ะ ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ จบสามปีครึ่งจนได้’
วันใหม่ นาข้าวสีเขียวออกรวงสะพรั่ง อาทิจเอนตัวเอาหลังพิงกระท่อมน้อยอ่านจดหมายของดรุณี
‘…ณีคิดถึงทุกคนที่บ้านมากๆ คิดถึงทุ่งนา สวนส้ม ไร่ข้าวโพด ไร่สตรอเบอรี่และแปลงกะหล่ำปลีจนแทบอดใจไม่ไหว ณีอยากจะแล่นกลับบ้านซะเดี๋ยวนี้ แต่ก็ไปเร็วไม่ได้อย่างใจ เพราะณีต้องเข้าไปรายงานตัวกับอาจารย์และรอฟังผลสอบบางวิชา ถ้าไม่มีปัญหาอะไรวันอาทิตย์นี้เราคงได้เจอกัน...
ป.ล.ณีจะกลับบ้านพร้อมกับหอบเอาความรักไปฝากพี่อาทิจด้วยนะคะ เตรียมตัวรับให้ดีก็แล้วกัน คราวนี้จะได้อยู่ด้วยกันแล้วนะคะพี่อาทิจ
...รักและนับถือพี่อาทิจที่สุดค่ะ...น้องณี’
อาทิจพับจดหมาย ใจจริงอยากจะเอาขึ้นมาหอมแต่ก็ไม่กล้าเพราะอายฟ้าดิน ชายหนุ่มจึงได้แต่เดินลงมาจากเถียงนา แล้วเดินเตะโน่นนี่ทำเป็นชมนกชมไม้ แต่มองไปทางไหนก็เห็นแต่เงาของดรุณี ไม่ว่าจะพื้นดิน นาข้าว บนฟ้า หัวใจชายหนุ่มเต้นรัว เลือดฉีดซ่านไปทั่ว สุดท้ายก็เก็บกักความสุขที่ล้นปรี่อยู่ในใจต่อไปไม่ไหว ตะโกนลั่นออกมา
“อาทิตย์นี้แล้วสินะ เย้ๆ”
ผู้ชายหัวใจสีชมพูกระโดดโลดเต้นร้องเย้วๆอยู่กลางอากาศ
อาทิตย์ต่อมา...ดรุณีกับตุลยานี นั่งอยู่บนเครื่องบิน ตุลยานีตบแป้งปัดขนตาแล้วหันมาถามดรุณี
“สวยพอรึยัง”
ดรุณีพยักหน้าให้ความมั่นใจเพื่อน
“เริ่ด”
ตุลยานีตื่นเต้นมาก
ที่สนามบินเชียงใหม่ยามบ่ายแก่ๆ ดรุณีเดินลากกระเป๋าเสื้อผ้าออกมา ตุลยานีเอื้อมมือไปจับมือ ดรุณีสะดุ้งโหยงหันมาถาม
“ตกใจหมดเลย มือเย็นยังกับน้ำแข็ง”
“ก็คนมันตื่นเต้นอะ ไหนล่ะพี่อาทิจ”
ทั้งคู่ต่างชะเง้อมองอาทิจแล้วดรุณีก็ยิ้มออกมา เมื่อเห็นลุงเกร็งเดินเข้ามาหา ดรุณียกมือไหว้
“สวัสดีค่ะลุงเกร็ง ยายตุ่น...นี่ลุงเกร็ง หัวหน้าคนงานจ้ะ”
“สวัสดีค่ะ”
ตุลยานียกมือไหว้แต่ส่ายตามองหาอาทิจตลอด ลุงเกร็งรับไหว้
“คุณอาทิจติดธุระ เลยให้ลุงมารับครับคุณหนู”
ดรุณียิ้มพยักหน้า ในขณะที่ ตุลยานีแอบเซ็งเล็กน้อยที่เวลาจะได้เห็นหน้าอาทิจเลื่อนไกลออกไปอีก
อาทิจวิ่งไต่เนินขึ้นมาที่แปลงกะหล่ำปลี ชายหนุ่มชะเง้อมองไปที่ทางเข้าออกในสวน ดรุณีก้าวเข้าด้านหลัง
“มองหาใครหรือคะพี่อาทิจ”
อาทิจชะงักกึก ชายหนุ่มหันกลับมา พอเห็นดรุณีก็ดีใจ บอกไม่ถูก ทำไมดีใจขนาดนี้
“น้องณี! พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปรับ พอดีมีออร์เดอร์สั่งส้มด่วนน่ะครับ น้องณีมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อกี้นี้เองค่ะ แวะไปที่บ้านแล้วก็ดิ่งมานี่เลย เดาว่าพี่อาทิจต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ”
“พี่ดีใจที่น้องณีกลับมา ขอต้อนรับสู่บ้านของเรานะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ดรุณีแอบกระซิบ “ณีหอบความรักมาฝากพี่อาทิจด้วยนะคะ”
อาทิจงงๆกับคำพูดของหญิงสาว ในขณะที่ดรุณีหันไปมองทางด้านหลัง ตุลยานีเดินเข้ามายืนข้างดรุณี หญิงสาวหัวใจพองโตที่เห็นอาทิจตัวเป็นๆอีกครั้ง อาทิจแปลกใจแต่ก็ดีใจเหมือนได้เจอน้องอีกคน
“คุณตุ่น”
ตุลยานีโปรยตาหวานเยิ้มหยดย้อย
“สวัสดีค่ะพี่อาทิจ คิดถึงจัง”
อาทิจยิ้มเขินๆ ในขณะที่ดรุณีแอบเหล่อาทิจกับเพื่อนแล้วอมยิ้มในใจ
แก้วคุมให้ต๊อด อึ่ง พันและคนงานอื่นๆ ช่วยกันลำเลียงข้าวโพดที่เก็บมาได้ขึ้นรถ สักครู่ลุงเกร็งเดินเข้ามา แก้วหันมาเห็นเลยตะโกนถามอย่างตื่นเต้นดีใจ
“คุณณีมาถึงแล้วเหรอตาเกร็ง”
“จ้ะ”
“ดีแล้วล่ะที่ไม่ได้ตามมา เพิ่งมาถึงเหนื่อยๆจะได้พักบ้าง”
“พักอะไรล่ะ พาเพื่อนขึ้นไปหาคุณอาทิจที่แปลงกะหล่ำโน่นแล้ว ให้ฉันเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บที่บ้านก่อน”
ต๊อดแปลกใจ
“เพื่อน ใครอะน้าเกร็ง”
อึ่งเข้ามาถามอย่างสนใจ
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้หญิงเว้ย ท่าทางจะอยู่ที่นี่นาน เพราะดูรู้จักสนิทสนมกับคุณอาทิจดี”
พันแปลกใจ
“น้าเกร็งเห็น”
“ฟังจากที่คุณตุ่นพูดถึงคุณอาทิจงั้นงี้มาตลอดทาง ตั้งแต่สนามบินยันสวนคุณย่า ข้าก็รู้แล้วเว้ย”
แก้วหูผึ่ง
“ชื่อตุ่นเหรอ”
“จ้ะ...ทั้งสวยทั้งหวานหยดเชียวล่ะ”
“แกจัดการดูแลที่นี่ให้เรียบร้อยนะตาเกร็ง ฉันจะไปดูคุณณีก่อน”
แก้วจ้ำออกไปอย่างร้อนรน ทุกคนหันมามองว่าจะรีบไปไหน
จบตอนที่ 12