ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 11
ค่ำนั้น...ดรุณีนั่งเขียนจดหมายถึงอาทิจอยู่ในห้องของคอนโด
ตอนนี้ณีเรียนหนักขึ้น เพราะอยู่ปีสองแล้ว อีก 2-3 วันก็จะสอบกลางภาค ณีสอบเสร็จแล้วจะขึ้นไปช่วยพี่อาทิจทำงานนะคะ ปล.อากาศที่สวนคงจะเย็นแล้ว พี่อาทิจจะออกไปไหนตอนกลางคืนต้องหาหมวกมาใส่นะคะ เดี๋ยวน้ำค้างลงหัวจะไม่สบายเอา ฝากกราบเท้าคุณย่าด้วยนะคะ เรียนท่านด้วยว่า ณีคิดถึงท่านมากที่สุด คิดถึงพี่อาทิจรองลงมาค่ะ...รักและนับถือพี่อาทิจที่สุด...ดรุณี
อาทิจนอนคว่ำหน้าเขียนจดหมายถึงดรุณีในช่วงสุดท้าย...
‘ช่วงนี้ข้าวออกรวงสะพรั่ง พี่อยากให้น้องณีได้เห็นเหลือเกิน เพราะจะใช้คำว่า สวยงาม บรรยายไม่ได้ ต้องใช้ว่า งดงาม ถึงจะถูก ข้าวแปลงนี้งดงามขึ้นมาได้ก็เพราะน้องณีที่ช่วยพี่กับคุณย่าปลูกด้วย พี่จะรอวันที่น้องณีเรียนจบและขึ้นมาดูความงดงามของนาข้าวด้วยกันนะครับ’
อาทิจนิ่งคิดพูดกับตัวเอง
“ลงท้ายว่าอะไรดี”
ชายหนุ่มคิดครู่หนึ่งแล้วเขียนลงในจดหมาย ลงท้ายว่า...เป็นห่วงน้องณีครับ..พี่อาทิจ...อาทิจอ่านจดหมายในมืออีกครั้งแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่แล้วจู่ๆ สามเกลอก็โผล่พรวดเข้ามาเหมือนกองโจร ต๊อดถามยิ้มๆ
“ทำอะไรอะนาย”
อาทิจสะดุ้ง
“เฮ้ย...โผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ตกใจหมด”
อึ่งแซว
“เขียนจดหมายหาใครอะนาย กิ๊กเหรอ”
อาทิจตีหน้าขรึม รีบพับจดหมาย
“ไม่ใช่...เขียนถึงน้องณี อาทิตย์หน้าจะลงไปทำธุระที่กรุงเทพ ว่าจะเอาผักผลไม้ที่สวนไปฝากน้องณีด้วย”
ต๊อดดีใจ
“ถ้างั้น ต๊อดขอเขียนต่อท้ายได้มั้ยนาย”
“อึ่งด้วย”
“พันด้วยคร้าบ”
อาทิจเสียงแข็ง
“ไม่ได้”
อึ่งอ้อนวอน
“ทำไมล่ะนาย เขียนแค่จี๊ดเดียวเอง ไม่เปลืองหมึกเปลืองกระดาษหรอกน่า...นะ”
อาทิจไม่ยอม
“ไม่เอา”
พันมองอาทิจอย่างสงสัย
“หรือว่า มีความลับอะไรในจดหมาย”
“ไม่ใช่”
ต๊อดคิดๆ
“งั้นก็...ข้อความบรรยายความในใจ ไหนขอดูซิ”
“แข้งเหรอ...ได้”
อาทิจยกขาทำท่าจะดีดใส่ทุกคน สามเกลอเด้งดึ๋งออกมาทันควัน อาทิจรีบเก็บจดหมายใส่ซอง ก่อนจะเดินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ออกมา สามเกลอยืนสับหว่างบนคันนาราวกับนายแบบ แล้วตะโกนตามหลังอาทิจพร้อมกัน
“พิรุธเพียบ”
อาทิจอดขำ เดินดุ่ยๆโดยไม่สนใจพวกกวนประสาทที่อยู่ข้างหลัง
หลายวันต่อมา...ดรุณีนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของเธอในมหาวิทยาลัย หญิงสาวยิ้มแล้วทวนคำลงท้ายของอาทิจในจดหมายที่ถืออ่านอยู่
“เป็นห่วงน้องณีครับ...ลงท้ายแบบใหม่ซะด้วย”
ตุลยานีเข้ามานั่งข้างๆ
“พี่อาทิจอีกล่ะสิ นี่...ไม่คิดจะติดต่อกันทางเน็ตทางมือถือบ้างเหรอ จะได้เห็นหน้าเห็นตากันไปเลย เขียนจดหมายไปมาเป็นอาทิตย์กว่าจะถึง มันไม่ทันใจอะ”
ดรุณีพับจดหมายเก็บไปพูดไป
“พี่อาทิจเขาไม่มีทั้งมือถือแล้วก็คอมพิวเตอร์”
ตุลยานีหน้าตื่นแปลกใจ
“ฮ้า...ทำไมล่ะ ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงเหรอเด็กดอย”
“ถึงบ้างไม่ถึงบ้าง สัญญาณโทรศัพท์ก็มีบ้างไม่มีบ้าง”
“อยู่ดอยไหนเนี่ย วันหลังต้องขึ้นไปดูหน่อยแล้ว”
“จริงนะ...จะได้แนะนำให้รู้จักพี่อาทิจ”
ตุลยานีพูดดักคอ
“หล่อที่1 ดีที่สุด”
“รู้ทันอีกล่ะ”
“ก็พูดถึงทุกวัน คนอะไรบ้าพี่ชาย”
“ก็ดีกว่าบ้าผู้ชายในฝันล่ะจ้ะ”
ตุลยานีเอามือตีแขนเพื่อน
“ยายณีนี่...”
ดรุณีหัวเราะ ก่อนจะหยิบดอกหญ้าแห้งของอาทิจออกมาจากหนังสือ ตุลยานีมองๆ
“เอาเข้าห้องสอบอีกแล้ว ตุ่นเห็นณีเอาดอกหญ้านี่เข้าห้องสอบทุกครั้งเลย มีอะไรเหรอ”
“ดอกไม้นำโชคของพี่ชาย พกไว้แล้วอุ่นใจจ้ะ”
ดรุณีหยิบดอกหญ้าของอาทิจขึ้นมาดู ยิ้ม...อบอุ่นหัวใจจริงๆ
ยามเย็นแดดอ่อนๆนาข้าวแตกรวงเขียวสะพรั่งท้องฟ้าสีครามในวันที่อากาศสดใสเย็นสบาย อาทิจประคองแขนย่าแดงเดินลัดเลาะมาตามคันนา ย่าแดงมองดูทุ่งนายาวสุดลูกหูลูกตาแล้วยิ้มปลื้มใจ
“งาม...งามเหลือเกิน ขอบใจพ่อมากนะ ในที่สุดพ่อก็ทำให้ฝันของย่าเป็นจริง ทำให้ย่าได้เห็นข้าวออกรวงสะพรั่งบนที่ดินของตัวเองจนได้”
ย่าแดงค่อยๆโน้มตัวลงมาช้อนรวงข้าวที่อัดแน่นไปด้วยเมล็ดสีเหลืองอ่อนขึ้นมาดู น้ำตาคลอ
“อีกไม่กี่วันเขาก็จะเปลี่ยนเป็นสีทอง งามไปอีกแบบนะพ่อ”
“ครับคุณย่า”
“ยิ่งกว่าความงามก็คือประโยชน์อันมหาศาลของเขา ที่หล่อเลี้ยงพวกเรามาชั่วนาตาปี ถึงเด็กรุ่นใหม่จะพากันทิ้งไร่ทิ้งนาไปทำงานในเมืองกันหมด แต่ก็ยังเหลือหลานของย่าคนหนึ่ง ย่าดีใจที่สุดที่พ่อยืนหยัดที่จะอยู่กับท้องไร่ท้องนาอย่างนี้ คนที่ปลูกข้าวกินเป็น ไม่มีวันอดตายหรอกลูก”
อาทิจยิ้ม
“ข้าวสุกเต็มที่เมื่อไหร่ คุณย่ามาช่วยผมเกี่ยวนะครับ”
ย่าแดงยิ้มรับ
“จ้ะ”
ย่าแดงลูบหัวอาทิจแล้วโอบกอดหลานรักอย่างมีความสุข สุขที่ได้เห็นหลานเจริญเติบโตงดงามทั้งกายและใจ สุขที่ได้เห็นพืชผลออกดอกออกผลสะพรั่งในที่ของตัวเองในขณะที่ยังมีลมหายใจ และสุขที่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งที่จะเป็นตัวแทนสานต่องานของตนเองได้เมื่อต้องจากโลกนี้ไป เป็นความสุขที่เบิกบานที่สุดของย่าแดง
ค่ำนั้น แก้วยกแกงหองควันฉุยออกมา ในขณะที่อาทิจตักข้าวให้ย่าแดง บนโต๊ะมีอาหารอื่นๆวางอยู่พร้อมแล้ว
“แกงหองค่ะคุณย่า คุณอาทิจลงมือเองเลยนะคะ แหม...เห็นแล้วอดนึกถึงคุณณีไม่ได้ ของโปรดคุณณีเหมือนกัน”
ย่าแดงตักแกงหองชิม อาทิจลุ้น
“ลองทำมากี่ครั้งแล้ว”
“ครั้งนี้ครั้งแรกครับ มัน...ไม่ได้เรื่องหรือครับ ถ้างั้น...คุณย่ากินอย่างอื่นเถอะครับ ไม่ต้องกลัวผมเสียใจ”
“คงจะกินอย่างอื่นไม่ได้เพราะแกงหองของพ่อ อร่อยจริงๆ รสชาติกลมกล่อมเหมือนไม่ใช่ลองทำครั้งแรก แสดงว่าทำกับข้าวกินเองบ่อยสินะ”
“ครับ...คุณแม่ผมฝึกให้ทำงานบ้านเป็นทุกอย่าง เพราะมีน้องหลายคน ผมต้องช่วยท่านดูแลน้องๆ”
“ดีแล้วล่ะลูก ยิ่งเราเป็นลูกที่ดีรู้จักกตัญญูต่อพ่อแม่มากเท่าไหร่ ก็จะมีคนเห็นความดีของเราและสรรเสริญไปถึงพ่อแม่ของเรามากเท่านั้น เท่ากับเราได้แสดงกตเวทีต่อท่านด้วย” ย่าแดงจับมือหลานลูบไปมา “ขอให้พ่อจำเริญๆยิ่งๆขึ้นไปนะพ่อนะ”
“ขอบคุณครับคุณย่า”
“วันนี้ย่าอิ่มทั้งกายอิ่มทั้งใจ ไม่มีอะไรต้องห่วงต้องกังวลอีกแล้ว”
“ถ้างั้นคุณย่าต้องกินเยอะๆนะครับ”
อาทิจตักแกงหองให้ย่ากินอีก แก้วยืนมองย่าหลาน บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุข
เช้าวันใหม่...ท้องฟ้าสีสะอาดตา แก้วเดินมาเคาะประตูห้องย่าแดง
“คุณย่าคะ...คุณย่า...คุณย่าคะ”
แก้วไม่ได้ยินเสียงตอบจากย่าแดง จึงแง้มประตูเปิดเข้ามาเห็นย่าแดงนอนนิ่งอยู่บนฟูกในมุ้ง จึงเดินไปเปิดหน้าต่างออกเพื่อให้อากาศถ่ายเทเต็มที่ แก้วทำงานไปพูดไป
“อาหารใส่บาตรเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ”
พอเปิดหน้าต่างเสร็จ แก้วก็เดินมาเลิกและเก็บมุ้งขึ้นจนเสร็จเรียบร้อยแล้วขยับมายืนอยู่ที่ปลายเท้าย่าแดง
“คุณย่าคะ จวนได้เวลาพระมารับบาตรแล้วค่ะ คุณย่าคะ...”
แก้วเริ่มเอะใจ ปกติย่าแดงจะเป็นคนหูไวและรู้สึกตัวเร็วมาก สักครู่จึงเอื้อมมือไปแตะที่เท้าเพื่อปลุกให้ท่านรู้สึกตัวเบาๆ แล้วแก้วก็ชะงัก วินาทีแรกคืออึ้งที่ท่านนิ่งไม่ไหวติง อีกอึดใจต่อมาแก้วขยับเอามือไปอังที่จมูกท่าน ก่อนจะกรีดร้องเสียงดังลั่นอย่างช็อกสุดๆ
“คุณย่า”
ทางด้านดรุณี...กำลังสวมสร้อยแต่แล้วสร้อยพระที่คุณย่าให้ จู่ๆก็หลุดขาดคามือ ดรุณีใจหาย
ต๊อดส่งลังส้มให้อาทิจซึ่งรอรับอยู่บนหลังกระบะแต่แล้วชายหนุ่มก็รับพลาด ส้มหลุดร่วงจากลัง
แก้ววิ่งหน้าตื่นน้ำตาอาบแก้มเข้ามา
“คุณอาทิจคะ...คุณย่า เร็วเข้าเถอะค่ะ”
อาทิจเห็นหน้าแก้วแล้วใจหายวาบ ชายหนุ่มเกิดลางสังหรณ์อะไรบางอย่างในใจ รีบกระโจนลงจากท้ายรถกระบะทันที ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พัน ตามเข้ามายืนมองอาทิจกับแก้วซึ่งวิ่งตามกันออกไปไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
อาทิจวิ่งมา ชายหนุ่ม ใจคอไม่ดี เกิดอะไรขึ้นกับย่า โดยมีแก้ววิ่งกระหืดกระหอบตามมา...อาทิจวิ่งกระหืดกระหอบใจคอไม่ดีเข้ามาหยุดยืนที่หน้าประตู สายตาของเขาเห็นย่าแดงนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง อาทิจแทบลืมหายใจ หมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่จะยืน
อาทิจก้าวเข้ามาในห้องช้าๆ อย่างคนที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและไร้ซึ่งวิญญาณ แก้วขยับเข้ามาที่กรอบประตู แล้วก้าวตามชายหนุ่มเข้ามานั่งคล้อยไปทางด้านหลัง แก้วสะอื้นฮักพูดไปร้องไห้ไปปานจะขาดใจ
“ปกติท่านจะลงไปเตรียมของใส่บาตรเองทุกวัน วันนี้น้าแก้วเห็นว่าสายแล้วก็เลยขึ้นมาปลุก แต่ท่านก็ ท่าน...หมดลมไปแล้วค่ะ”
อาทิจรู้สึกหัวใจสลาย ชายหนุ่มไม่เคยเจ็บปวดและสูญเสียอะไรขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เป็นความเจ็บปวดที่รวดร้าวทรมานแสนสาหัส อาทิจลงนั่งคุกเข่าข้างเตียง จับมือย่าแดงบีบแน่น พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้
“ตัวยังอุ่นๆอยู่เลยนะครับ คุณย่าน่าจะรอผมสักนิด ให้ผมได้มีโอกาสบอกคุณย่าสักครั้งว่าผมรักคุณย่ามากแค่ไหน...ผมยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณของคุณย่าได้แม้สักครึ่งหนึ่งที่คุณย่าเมตตาผม ผม...ไม่มีโอกาสแม้แต่จะขอบคุณ”
อาทิจกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ชายหนุ่มน้ำตาไหลเป็นทางพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป แก้วคร่ำครวญ
“น้าแก้วอยู่กับท่านเมื่อคืน น้าแก้วเห็นท่านยิ้มมีความสุข ท่านว่าท่านไม่ห่วงอะไรแล้ว เพราะที่นี่มีคุณอาทิจกับคุณณี”
ความทรงจำดีๆระหว่างอาทิจกับย่าแดง ผุดขึ้นมาในความทรงจำของชายหนุ่มภาพแล้วภาพเล่า อาทิจค่อยๆคลานลงไปที่เท้า ชายหนุ่มก้มลงกราบเท้าย่าอย่างงดงามที่สุด แก้วร้องไห้โฮที่เห็นอาทิจแสดงความรักต่อย่าเป็นครั้งสุดท้าย สักครู่...อาทิจจำต้องเช็ดน้ำตาเมื่อรู้ว่ามีภาระอะไรรออยู่ข้างหน้าบ้าง
“รบกวนน้าแก้วช่วยโทรหาน้องณีด้วยนะครับ อย่าเพิ่งบอกว่าเกิดอะไรขึ้น บอกแค่ว่าคุณย่ามีธุระด่วน ให้น้องณีรีบกลับมานะครับ”
“ค่ะ”
แก้วเช็ดน้ำตาป้อยๆ ก่อนจะออกไป อาทิจหันมามองย่าแดงอีกครั้ง ชายหนุ่มลูบไปที่ เท้าอันแตกระแหงหยาบกระด้าง ซึ่งบ่งถึงระยะเวลาของการทำงานหนักและยากลำบากอันยาวนาน เขาจะแกร่งและอดทนได้เท่าย่าของเขารึเปล่า ยิ่งคิดอาทิจยิ่งน้ำตาไหล
“คุณย่าครับ”
อาทิจโผเข้ากอดแล้วเอาหัวซุกแทบเท้าย่าอันเป็นที่เคารพรักอย่างสูงสุดอยู่อย่างนั้น เมื่อไม่มีใคร...ชายหนุ่มจึงระเบิดความเสียใจออกมาโดยไม่ต้องเก็บอารมณ์ใดใด ไม่ต้องอายใคร เขาร้องไห้อย่างที่ใจอยากจะร้อง ยามนี้...เขาก็แค่เด็กชายตัวน้อยๆที่ร่ำร้องอยากจะให้ย่ากลับมาอยู่กับเขาเท่านั้น
แก้วยืนรอโทรศัพท์จากทางปลายสาย น้ำตายังคลอหน่วย แต่ก็ไม่มีใครรับสาย แก้วพยายามกลั้นสะอื้นพูดฝากข้อความทางโทรศัพท์
“คุณณีคะ คุณณีรีบกลับมาที่นี่ด่วนที่สุดเลยนะคะ คุณย่ามีธุระสำคัญจะ...คุยด้วยค่ะ ขึ้นเครื่องบินมาคืนนี้เลยนะคะ น้าแก้วจะให้คนไปรับที่สนามบินค่ะ”
แก้ววางโทรศัพท์ อาทิจเดินตาแดงหน้าหมองหม่นเข้ามา
“คุณณีไม่อยู่ที่คอนโด โทรศัพท์มือถือก็ไม่รับสายค่ะ น้าแก้วเลยฝากข้อความไว้”
“น้าแก้วกลับไปเฝ้าคุณย่าไว้ก่อนนะครับ ผมจะไปจัดการเรื่องสถานที่กับโลงศพให้เรียบร้อย รบกวนน้าแก้วโทรแจ้งญาติๆทุกคนด้วยนะครับ”
“ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
อาทิจกับแก้วมองหน้ากันแล้วน้ำตาไหล ต่างคนต่างจับมือให้กำลังใจและปลอบใจซึ่งกันและกัน
บ่ายวันนั้น ดรุณีในชุดนิสิตกลับเข้าห้องมาหญิงสาวมองหาโทรศัพท์มือถือจนหันมาเห็นมันวางอยู่ข้างโทรศัพท์บ้าน ดรุณียิ้มที่โทรศัพท์ไม่ได้หายไปไหน หญิงสาวเดินมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูแล้วเธอก็ต้องแปลกใจ
“มิสคอลเป็นสิบเที่ยวแบบนี้ คุณย่ามีธุระด่วนอะไร”
ดรุณีเปิดวอยซ์เมลฟังเสียงแก้วที่ฝากข้อความไว้
เย็นนั้น...โลงศพย่าแดงตั้งอยู่ท่ามกลางสวนสวยงาม...แก้ว ตุ๊ และคนงานผู้หญิงหลายสิบคน ช่วยกันประดับโลงศพย่าแดงที่ตั้งอยู่บนตั่งด้วยดอกเก็ตถะวา ทุกคนทำงานไปเช็ดน้ำตาไป อาทิจเดินถือรูปถ่ายย่าแดงเข้ามาวางบนตั่งข้างโลงศพ บนตั่งมีถาดซึ่งวางของรักและของใช้ส่วนตัวของย่าแดง อันได้แก่ หนังสือเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวง ตะกร้าไหมพรมที่คุณย่าถักผ้าพันคอคาไว้ แว่นตา และอุปกรณ์การเกษตรเล็กๆ เช่นกรรไกรเล็มใบไม้ที่ถือติดตัวอยู่เสมอ
ญาติๆและคนงานพากันจับกลุ่มร้องไห้กระจายอยู่บนสนามหญ้ากว้าง ไพฑูรย์นั่งร้องงอยู่กับต๊อด อึ่ง พัน เขาคร่ำครวญอย่างเสียใจ
“ตอนมีชีวิตอยู่ ผมก็ไม่เคยทำให้คุณย่าวางมือเรื่องงานได้เลย ผมขอโทษ กลับมาให้ผมได้มีโอกาสแก้ตัวสักครั้ง ได้มั้ยครับคุณย่า”
อึ่งร้องไห้ไป...ขนลุกซู่ไป
“จะดีเหรอ”
พันเสียงเครือ
“ผมทำงานดีอยู่แล้ว คุณย่าคงไม่กลับมาให้ผมต้องแก้ตัวอะไรนะครับ”
ต๊อดปรามเพื่อนเสียงแข็ง
“จะมาร้องไห้เสียใจให้คุณย่าต้องเป็นกังวลทำไม เราต้องเข้มแข็งสิวะ” ต๊อดเสียงเริ่มเครือ “ท่านไปดีไปสบายแล้ว” ต๊อดมองโลงศพย่าแดงแล้วปล่อยโฮ “โธ่...คุณย่า ทำไมถึงได้จากพวกเราไปเร็วอย่างนี้”
ไพฑูรย์ อึ่ง พัน หันมามองต๊อดทั้งอึ้งทั้งงงว่าจะเอายังไง...จะอารมณ์ไหน เลือกสักอารมณ์ แล้วทั้งสี่คนก็ต้องพากันอึ้งและกระเจิงไปตามๆกัน เมื่อ...วิไลลักษณ์วิ่งเซซังนำประเวทย์เข้ามา พร้อมกับถลาลงไปกองร้องห้ อยู่กับพื้นหน้าโลงศพ ปริ่มว่าจะขาดใจตายตามย่าแดงไปด้วย
“โธ่...คุณแม่ไม่น่าเลย เมื่อวันก่อนยังกินข้าวด้วยกัน ยังคุยกันว่าจะยกที่ดินในเวียงให้วิไลอยู่แท้ๆ ไม่น่ามาด่วนจากไปเลย”
อาทิจกับแก้วและทุกคนยกมือไหว้ประเวทย์และวิไลลักษณ์ ประเวทย์รับไหว้ทุกคน ก่อนจะหันมาถามแก้ว
“คุณแม่เป็นอะไร ทำไมจากไปกะทันหันอย่างนี้”
“ท่านไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แต่หลังๆมานี่ท่านคงจะเหนื่อยและล้าไปตามวัย เพราะท่านทำงานไม่มีวันหยุดมาตลอดน่ะค่ะ”
“ไม่ได้ปวดหัวตัวร้อนอะไรเลยเหรอ”
“ไม่ค่ะ ก่อนนอนท่านไหว้พระตามปกติ แถมยังอารมณ์ดีชวนแก้วคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วท่านก็ยิ้ม เหมือนท่านมีความสุขกับชีวิตน่ะค่ะ”
“ขอบใจมากนะอาทิจที่จัดการดูแลงานทุกอย่างเป็นอย่างดี”
วิไลลักษณ์แย้งขึ้น
“แต่น่าจะไปจัดที่วัดใหญ่ๆในเมืองนะคะ คนจะได้มางานมากกว่านี้ จะได้สมเกียรติท่านด้วย ท่านมีลูกชายเป็นถึงผู้ว่านะคะ”
ประเวทย์ขัดขึ้น
“จัดที่นี่ล่ะเหมาะที่สุดแล้ว ท่านรักที่นี่ก็คงอยากอยู่อย่างสงบๆที่นี่”
วิไลลักษณ์แอบค้อนประเวทย์นิดๆ ที่ไม่เออออด้วย
อ่านต่อหน้า 2
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 11 (ต่อ)
อาทิจเดินปลีกตัวออกมาจากงาน ด้านหลังเป็นผู้คนที่เริ่มทยอยมางานหนาตาขึ้น วิไลลักษณ์มองหาอาทิจ เมื่อเห็นก็รีบจ้ำตามชายหนุ่มมาติดๆ
“เดี๋ยวก่อนอาทิจ อามีเรื่องจะถาม คุณย่าสั่งเสียเรื่องพินัยกรรมอะไรบ้างรึเปล่า”
“ไม่ทราบครับ ผมกับคุณย่าไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ ส่วนใหญ่คุยกันเรื่องงานครับ”
“คุณย่าคงไม่อยากให้เราเสียใจ”
อาทิจงงๆ
“เรื่องอะไรครับ”
“ท่านเคยพูดว่าจะยกสมบัติให้ตาเว ยายวิแล้วก็ยายณีมากกว่าหลานคนอื่นๆเพราะอยู่ใกล้ชิดท่านมานาน อาทิจคงไม่เสียใจนะ”
“ไม่ครับ”
“อาทิจก็ยังทำงานอยู่ที่นี่ได้ ถึงแม้ว่าต่อไปคนที่จะขึ้นมาครอบครองที่นี่แทนคุณย่า
ก็คือตาเวกับยายณี เพราะท่านเปรยกับอาหลายครั้งแล้วว่า อยากให้ตาเวกับยายณีแต่งงานกัน”
อาทิจใจหายวาบ หูอื้อไปหมด
“ไม่เสียใจใช่มั้ย”
อาทิจเก็บอาการ
“ไม่ครับ คุณเวก็พี่ชายผม ส่วนน้องณีก็น้องสาวคนหนึ่งของผม ถ้าเป็นความต้องการของคุณย่า มันก็เป็นเรื่องที่ผมต้องยินดีไม่ใช่เสียใจครับ คุณอามีอะไรอีกมั้ยครับ”
“ไม่มีจ้ะ เห็นอาทิจเข้าใจอะไรง่ายๆอย่างนี้ อาก็สบายใจ”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวไปรับพระมาสวดก่อนนะครับ”
อาทิจเดินออกมา วิไลลักษณ์โทรศัพท์ตามเวทางค์กับวิยะดาทันที
“มาถึงเชียงใหม่รึยังตาเวยายวิ ลูกหลานคนอื่นร้องไห้ตัดหน้าเราสองคนกันหมดแล้วนะ รีบมาไวไวเลย”
ที่สนามบินเชียงใหม่....
ดรุณีเดินออกมาจากห้องผู้โดยสารขาเข้า หญิงสาวยกมือไหว้ลุงเกร็งที่เดินเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะลุงเกร็ง นึกว่าพี่อาทิจจะมารับซะอีก”
ลุงเกร็งหน้าเศร้า
“คุณอาทิจงานยุ่งเหลือเกินครับคุณหนูณี”
“ที่สวนคุณย่ามีอะไรรึเปล่าคะ ทำไมคุณย่าถึงเรียกตัวหนูกลับมาด่วนอย่างนี้ ดีนะที่วันนี้สอบเสร็จพอดีเลย ลุงเกร็งรู้มั้ยคะ”
ลุงเกร็งน้ำตาพาลจะไหล
“คุณหนูณีไปถามท่านเองเถอะครับ”
“ท่าจะธุระสำคัญ ถ้างั้นเรารีบไปกันเถอะค่ะ”
ดรุณีเดินจ้ำนำไป ในขณะที่ลุงเกร็งสงสารดรุณีที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรจนต้องเช็ดน้ำตาป้อยๆ เดินตาม
ค่ำนั้น...โลงศพคุณย่าตั้งอยู่ท่ามกลางสวนสวยงาม ประเวทย์ วิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดา ยืนไหว้ส่งแขกกลุ่มสุดท้ายที่พากันทยอยกลับบ้าน อาทิจนำทีมคนงานช่วยกันเก็บกวาดสถานที่ จนแขกและญาติกลับกันหมด เวทางค์ร้อนใจ
“ทำไมน้องณียังไม่มาถึงสักทีล่ะครับคุณแม่ ตาเกร็งออกไปรับตั้งนานแล้วนี่”
วิยะดาแปลกใจ
“นั่นสิคะ”
ลุงเกร็งขับรถเข้ามาจอดบนเนินไกลๆ ทุกคนหันไปมอง ดรุณีก้าวลงจากรถ เดินลงเนินมา หญิงสาวเห็นทุกคนยืนมองมาที่เธอเป็นตาเดียวอยู่ไกลๆก็นึกแปลกใจว่า มีงานอะไรกัน ดรุณีเดินเข้ามาช้าๆทุกคนพากันมองจนหญิงสาวเดินเข้ามาในระยะที่พอมองเห็นทุกอย่างได้ชัดขึ้น
ดรุณีมองผ่านม่านดอกรัก ไปเห็นโลงศพตั้งตระหง่าน หญิงสาวไม่แน่ใจว่าโลงศพใคร จนกระทั่งเหลือบไปมองตั่งข้างๆโลง แล้วหัวใจดวงน้อยก็แทบหยุดเต้นเมื่อเห็น รูปย่าแดงตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น
ดรุณีวิ่งลงเนินเข้ามายืนที่หน้าโลงศพ มองดู รูปย่าที่ส่งยิ้มน้อยๆให้ราวกับจะทักทายเธอ หญิงสาวทรุดตัวลงกับพื้น แล้วร้องไห้โฮ น้ำตาเป็นเม็ดๆ เม็ดแล้วเม็ดเล่าร่วงลงอาบแก้ม ดรุณีรู้สึกเหมือนโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ หญิงสาวโหยไห้เหมือนลูกน้อยที่ถูกใครพรากแม่ออกไปจากอก
“คุณย่า...คุณย่าของหนู...คุณย่า”
อาทิจหดหู่ใจ น้ำตาคลอ รู้สึกสงสารดรุณีสุดๆ ชายหนุ่มรู้อยู่แก่ใจว่า ดรุณีรักย่ามากขนาดไหน แล้วโลกที่แตกเป็นเสี่ยงก็มืดมิด แสงสว่างหายไปจากโลกนี้พร้อมสติของดรุณีที่ดับวูบไป หญิงสาวหน้ามืดเป็นลมพับลงกับพื้น อาทิจวิ่งไปประคอง
“น้องณี!”
แก้วเรียกเสียงหลง
“คุณณี!”
วิไลลักษณ์หันไปสั่งลูก
“ตาเว...มาอุ้มน้องขึ้นรถกลับบ้านก่อน เร็วเข้าลูก”
เวทางค์เข้ามาเบียดอาทิจกระเด็นแล้วอุ้มดรุณีออกไป โดยที่ประเวทย์ วิไลลักษณ์ วิยะดาและแก้ว วิ่งตาม อาทิจและคนงานทุกคนได้แต่มองตามดรุณีไปด้วยความเป็นห่วง
ประเวทย์ยืนนิ่งอยู่กลางห้องรับแขก สักครู่วิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดา แก้ว เข้ามา ประเวทย์ถามทันที
“ยายณีเป็นยังไงบ้าง”
“นอนนิ่งเลยค่ะ น้องเป็นห่วงจริงๆ ว่าจะให้ตาเวนอนเฝ้ายายณีที่นี่ ดีมั้ยคะคุณพี่”
เวทางค์ชะงักกลัวผี
“จะดีเหรอครับคุณแม่”
แก้วรีบบอก
“แก้วกับจิ๋วแจ๋วดูแลคุณณีได้ค่ะ คุณๆกลับไปพักผ่อนเถอะนะคะ”
ประเวทย์หันมาบอกภรรยา
“ให้แก้วดูแลน่ะดีแล้ว เราอยู่ก็ทำอะไรไม่ได้ จะเกะกะเป็นภาระเข้าให้อีก สักพักยายณีคงดีขึ้น เรากลับกันก่อนดีกว่า”
เวทางค์กับวิยะดารีบโอเคเพราะกลัวผีด้วยกันทั้งคู่
“ครับ / ค่ะ ไปค่ะคุณพ่อ”
เวทางค์กับวิยะดารีบเดินตามประเวทย์ออกไป ทำให้วิไลลักษณ์ต้องเดินตามออกไปอย่างขัดใจ
ประเวทย์ เวทางค์ วิยะดาเดินตามกันออกมา วิไลลักษณ์แจ้นตามหลังแล้วดึงมือลูกสองคนไว้ปล่อยให้ประเวทย์เดินไปก่อน
“ตาเว...นี่มันเป็นโอกาสทองของลูกแล้วนะ ทำไมไม่อยู่เฝ้ายายณี คนกำลังเสียใจอย่างนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่เราจะโกยคะแนนได้มากที่สุดแล้ว”
เวทางค์รีบโทษน้องสาว
“ก็ยายวิไม่ค้างเป็นเพื่อนผมนี่”
“ยายวิก็อีกคน ทำไมไม่ช่วยพี่เขา ไม่อยากเป็นเศรษฐีมีเงินไว้ช้อปเยอะๆรึไง”
“วิกลัวจะช็อกก่อนช้อปน่ะสิคะ เกิดคุณย่ามากุ๊กกุ๊กกู๋เราล่ะ”
เวทางค์หวาดๆ
“ถูก ท่านยิ่งชอบอบรมผมอยู่ด้วย เกิดตามมาอบรมคืนนี้ล่ะ นี่มันบ้านท่านนะครับ หรือคุณแม่จะอยู่ แต่ผมไม่เอาด้วยนะ ผมกลัว”
“วิก็กลัวค่ะ...บรื้อ...ยิ่งอยู่นานยิ่งวังเวง ยิ่งวังเวงยิ่งขนลุก ไปดีกว่า”
วิยะดาวิ่งห่อตัวหัวหดออกไป ตามติดด้วยเวทางค์ วิไลลักษณ์บ่นตามหลัง
“ขวัญอ่อนกันจริ๊ง”
ยังไม่ทันขาดคำ วิไลลักษณ์ก็ชะงักเพราะได้ยินเสียงของหล่นจากทางด้านหลัง วิไลลักษณ์เหล่ซ้ายเหล่ขวา ก่อนจะวิ่งตาหูเหลือกออกไป เจ้าแมวเหมียวที่ทำแจกันทองเหลืองล้มฟาดพื้น มองตามวิไลลักษณ์ไปคิ้วขมวดไปอย่างงงๆ
ขณะที่แก้วกำลังล็อคประตูกระจกหน้าบ้าน อาทิจเดินเข้ามา
“คุณอาทิจ ที่งานเรียบร้อยดีมั้ยคะ”
“เก็บกวาดทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วครับ มีคนงานอยู่เฝ้าคุณย่าหลายสิบคน ผมแวะมาดูน้องณี...เป็นยังไงบ้างครับ”
“ฟื้นแล้วก็เป็นลมพับไปหลายตลบแล้วค่ะ น้าแก้วให้จิ๋วแจ๋วเฝ้าไว้ ปิดบ้านเสร็จก็ว่าจะขึ้นไปเช็ดตัวให้ เอ่อ...น้าแก้วรบกวนคุณอาทิจช่วยอยู่เฝ้าคุณณีสักประเดี๋ยวนะคะ อยากให้จิ๋วแจ๋วลงมาหายาแก้ไข้ให้คุณณีน่ะค่ะ”
“ครับ”
อาทิจเดินออกไป โดยมีแก้วมองตามอย่างห่อเหี่ยว
อาทิจเคาะประตูแล้วค่อยๆเปิดเข้ามาในห้อง..ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวนอนนิ่ง จึงหันไปบอกกับจิ๋วแจ๋วที่กำลังทาน้ำมันหม่องและบีบนวดมือให้ดรุณีเพื่อให้ผ่อนคลาย
“จิ๋วแจ๋ว...น้าแก้วเรียกไปดูยาให้คุณณีแหนะ”
“ค่ะ”
จิ๋วแจ๋วออกไป อาทิจเดินเข้ามาหาดรุณีช้าๆ หญิงสาวค่อยๆขยับตัว กระสับกระส่าย พึมพำ
“คุณย่าคะ หนูกลับมาแล้ว คุณย่ารอหนูก่อน อย่าเพิ่งไป อย่าจากหนูไปเลยนะคะ” ครุณีน้ำตารินทั้งๆที่ยังหลับตา “คุณย่า...อย่าทิ้งหนูไว้คนเดียวอย่างนี้ แล้วหนูจะอยู่กับใคร คุณย่าคะ...คุณย่า”
ดรุณีเอื้อมมือไขว่คว้าหาย่ากลางอากาศ ราวกับเด็กน้อยที่ไขว่คว้าหาอ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่ อาทิจโผเข้าไปคว้ามือเธอไว้ แล้วจับมือหญิงสาวอย่างทะนุถนอม
“น้องณีไม่ได้อยู่คนเดียว น้องณียังมีพี่อีกคน”
ดรุณีค่อยๆสงบลง หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีใครพูดอยู่ข้างๆ จึงพยายามจะลืมตาอันหนักอึ้งขึ้นมา ขณะเดียวกันนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น อาทิจจำต้องวางมือดรุณีไว้ข้างตัว ก่อนจะขยับลุกขึ้นมาจากเตียงเพราะรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แก้วถืออ่างน้ำอุ่นกับผ้าขนหนูผืนเล็กเข้ามา ในขณะที่จิ๋วแจ๋วถือถาดใส่ยาและน้ำตามมา แก้วถามอาทิจอย่างเป็นห่วงดรุณี
“เป็นยังไงบ้างคะคุณอาทิจ”
“เพ้อครับ เพิ่งเงียบไปเมื่อกี้นี้เอง”
“โธ่...คุณณี กินยาแล้วเช็ดตัวลดไข้หน่อยนะคะ”
ดรุณีลืมตาสะลึมสะลือขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวเห็นอาทิจ
“พี่อาทิจ”
“พักผ่อนมากๆนะน้องณี พี่ไปก่อนนะ”
อาทิจเดินจากไป ในขณะที่แก้วประคองดรุณีให้นั่งกินยา ชายหนุ่มแอบหันมามองหญิงสาวอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะค่อยๆปิดประตู
เย็นวันใหม่...ดรุณีนั่งมองรูปถ่ายย่าแดงบนตั่งอย่างอิดโรย อาทิจ ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พันกำลังจัดของถวายพระกันอยู่ ทุกคนหันไปมองดรุณี ต๊อดมองอย่างเห็นใจ
“สงสารคุณณีจัง นั่งนิ่งมองรูปคุณย่าเป็นชั่วโมงๆแล้ว”
อึ่งหันมาถามอาทิจ
“ไปเรียกให้มานั่งนี่มั้ยนาย จะได้พ้นลมหน่อย ยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย”
“ปล่อยเถอะ น้องณีคงอยากอยู่เงียบๆตามลำพังกับคุณย่า”
ประเวทย์ วิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดาเดินเข้ามา วิไลลักษณ์โผเข้ามากอดดรุณีตีหน้าเศร้า
“โถ...ยายณีของป้า เป็นยังบ้างจ๊ะ ได้หลับได้นอนบ้างรึเปล่า คุณย่าท่านไปดีแล้ว อย่าคิดมากเลยนะ”
ดรุณีน้ำตาคลอ ในที่สุดก็ไหลอาบแก้ม
“ณีรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันสายไปซะหมด ณียังเรียนไม่จบ ยังไม่ได้ทำงาน ยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณคุณย่า ยังไม่ได้กอดท่านบอกรักท่านเท่าที่ใจอยากจะบอก” หญิงสาวพูดไม่ออก ความเสียใจทะลักล้นขึ้นมาจุกบนยอดอก “แม้แต่หน้าท่านครั้งสุดท้าย ณีก็ไม่มีโอกาสได้เห็น”
ดรุณีพูดถึงตรงนี้ก็ร้องไห้โฮขึ้นมาอีก วิไลลักษณ์พยักพเยิดให้เวทางค์เข้ามาปลอบ
“ไม่ต้องร้องไห้นะจ๊ะน้องณี พี่อยู่นี่แล้ว”
วิยะดาเข้าปลอบอีกคน
“ตัดอกตัดใจบ้างเถอะนะณี ยังไงท่านก็ไปดีแล้ว”
เวทางค์โอบดรุณีดูเหมือนดรุณีเอนหัวเข้าไปซบพิงกับอกเวทางค์ อาทิจมองภาพนั้นแล้วรู้สึกวูบวาบบอกไม่ถูก สุดท้ายก็เดินเลี่ยงออกมาเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน
อาทิจเดินออกมาจากงาน ทุกคนในงานยืนกระจายกันอยู่ด้านหลัง อาทิจเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ต้องน้ำตาคลอเมื่อเห็น ประวิทย์เดินเข้ามายืนตรงหน้าลูกชาย
“คุณพ่อ”
พ่อลูกเดินเข้ามากอดกัน รู้สึกสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่
อาทิจส่งธูปที่จุดแล้วยื่นให้ ประวิทย์ยกธูปขึ้นไหว้ร่างที่นอนนิ่งสงบในโลง ร่างของผู้ที่ให้กำเนิดเขา แต่เขายังไม่เคยมีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณของผู้หญิงหัวใจแกร่งคนนี้เลย เขารู้สึกเสียใจ เสียดายโอกาส เขาน่าจะได้ขอโทษท่าน สารภาพบาปในใจต่อท่านขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มานั่งกราบขอโทษต่อร่างไร้วิญญาณของท่านแบบนี้ ประวิทย์ปักธูป แล้วก้มกราบแม่น้ำตาคลอ
ประเวทย์ วิไลลักษณ์ วิยะดา เวทางค์ ดรุณี และลูกหลานทุกคนที่นั่งจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน พากันหันมามอง อาทิจรู้ตัวว่า พ่อของเขาตกเป็นเป้าสายตาของญาติๆทุกคน ดรุณีเดินปลีกตัวออกมาจากลุ่มญาติๆ หญิงสาวเข้ามาไหว้ประวิทย์อย่างนอบน้อม
พิธีเผาศพย่าแดงมีขึ้นในบ่ายวันต่อมา...เปลวเพลิงและควันไฟพวยพุ่งจากกองฟอนขึ้นสู่ท้องฟ้า ทุกชีวิตในสวนย่าแดง ยืนเป็นวงกลมล้อมกองฟอน ทุกคนต่างโหยไห้ถึงท่านด้วยความรัก ความอาลัย วิไลลักษณ์กับเวทางค์ยืนประกบดรุณีซึ่งร้องไห้ตัวโยนตลอดเวลา ตามด้วยประเวทย์และวิยะดา อาทิจยืนอยู่ข้างประวิทย์ ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พัน อยู่ฝั่งตรงข้าม ไพฑูรย์ ตุ๊ยืนอยู่ในกลุ่มคนงาน ทองประศรีอุ้มตะวันแอบมองย่าแดงอยู่ไกลๆ น้ำตาไหลเหมือนกับคนอื่นๆ...เสียงย่าแดงยังคงดังก้องในห้วงคำนึงของทุกคน
เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์กับธรรมชาติคืออันหนึ่งอันเดียวกัน เราหว่านเมล็ดพันธุ์พืชจนออกดอกออกผลงดงามแล้ว เราต้องรู้จักหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความรัก ความเมตตาให้เจริญงอกงามในจิตใจของเราด้วย คนต้องพึ่งธรรมชาติฉันใด ธรรมชาติก็ต้องพึ่งการดูแลเอาใจใส่จากคนฉันนั้น ทุกลมหายใจของสรรพสิ่งในโลกนี้ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ทุกชีวิตจึงจะอยู่ได้อย่างมีความสุข
อ่านต่อหน้า 3
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 11 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้น...ประเวทย์ วิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดาเดินเข้ามาที่เมรุ อาทิจเดินมาจากอีกด้าน ชายหนุ่มยกมือไหว้ประเวทย์กับวิไลลักษณ์ ประเวทย์รับไหว้ก่อนจะถาม
“พ่อเราล่ะ”
“คุณพ่ออยู่กับพระอาจารย์ที่นิมนต์มาเก็บอัฐิของคุณย่าครับ”
ประเวทย์ดูนาฬิกา
“เกือบได้เวลาแล้วนี่ ไป”
“เอ่อ...คุณอาครับ ผมอยากจะขออนุญาตคุณอา เอาอัฐิกับเถ้าบางส่วนของคุณย่าไปฝั่งบนเนินที่คุณย่าชอบ จะได้มั้ยครับ”
“ต้องลองถามญาติคนอื่นๆดูก่อนนะว่า เขาเห็นด้วยมั้ย”
วิไลลักษณ์รีบขัด
“ไม่มีใครเห็นด้วยหรอกค่ะคุณพี่ ทำอย่างนั้นมันก็เท่ากับเราแยกชิ้นส่วนคุณแม่ไปคนละทิศละทาง ท่านไปอยู่ในภพไหนก็ไปแบบไม่สมบูรณ์พร้อม ไม่ครบ 32 สิคะ เลิกคิดแผลงๆแบบนี้เลยนะอาทิจ อาว่าเอาใส่โกฏิไว้ที่บ้านตามประเพณีน่ะดีแล้ว ไปค่ะ...คุณพี่”
วิไลลักษณ์คล้องแขนประเวทย์เดินออกไปทันที โดยมีเวทางค์ยิ้มเย้ยและวิยะดาที่ดูจะเข้าใจอาทิจเดินตามไป อาทิจต้องยอมรับการตัดสินใจของผู้ใหญ่อย่างจำใจ แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ
เวลาต่อมา...ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าในสวนส้ม ทนายความอ่านพินัยกรรมฉบับแรกของย่าแดงให้ลูกชายลูกสาวย่าแดงรวม 20 คน นั่งฟังรายการทรัพย์สินที่ตัวเองจะได้อย่างใจจดใจจ่อ ยกเว้นประวิทย์และประเวทย์ที่นั่งนิ่ง
“ลูกๆทุกคนจะได้รับมรดกส่วนแรกเป็นเงินสดในธนาคารคนละ 3 ล้านบาท”
ลูกๆหันมายิ้มแย้ม ดีใจพอสมควร ประวิทย์และประเวทย์ยังเก็บอาการนั่งนิ่ง
“ส่วนทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์อื่นๆทั้งหมด จะอยู่ในพินัยกรรมฉบับที่ 2 ซึ่งจะเปิดก็ต่อเมื่อน.ส.ดรุณีเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ระหว่างที่น.ส.ดรุณีศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย ให้นายอาทิจเป็น ผู้ปกครองของน.ส.ดรุณี และเป็นผู้ดูแลกิจการทั้งหมดแทนคุณย่าจนกว่าน.ส.ดรุณีจะเรียนจบ”
ทนายเงยหน้ามองทุกคน
“ไม่ทราบมีท่านใดจะคัดค้านอะไรมั้ยครับ”
ดรุณีมองอาทิจ ชายหนุ่มจะรู้สึกยังไงที่จู่ๆก็ต้องมาเป็นผู้ปกครองของเธอ ทุกคนนั่งนิ่ง ถึงจะไม่พอใจที่ย่าแดงไว้ใจอาทิจมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร สักครู่ประวิทย์ยกมือขึ้น
“ผมขออนุญาตค้านพินัยกรรมของคุณย่าในข้อแรกครับ”
พี่น้องฮือฮา ส่งสายตาประณามประวิทย์ ทำนองหนีแม่ไปแล้วยังจะทำตัวมีปัญหา เรื่องมากอีก
“ผมขอสละสิทธิ์เงินส่วนแบ่ง 3 ล้านที่คุณแม่มอบให้ โดยขอเฉลี่ยกลับไปให้น้องๆทุกคนเพราะที่ผ่านมา ผมไม่ได้ดูแลน้องๆและช่วยเหลืองานคุณแม่เท่าที่ควร”
น้องๆทุกคนหน้าดีขึ้นมาทันทีที่จู่ๆก็ได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น เหมือนถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 2 กันเลยทีเดียว ทนายความหันไปถาม
“มีท่านใดคัดค้านมั้ยครับ”
วิไลลักษณ์ยิ้มเสียงใส
“ไม่มีค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขออนุญาตอ่านข้อความที่คุณย่าท่านสั่งถึงคุณอาทิจไว้ที่ท้ายพินัยกรรมฉบับนี้ต่อนะครับ...สุดท้ายนี้ย่าขอให้อาทิจย้ายขึ้นมาอยู่ที่ห้องของย่า และช่วยเอากระดูกและเถ้าของย่าไปฝั่งไว้บนยอดภูที่ย่าชอบไป ซึ่งอาทิจรู้ดีว่าอยู่ที่ไหน”
ครอบครัวประเวทย์หันไปมองอาทิจ วิไลลักษณ์หน้าม้านอึ้งไปกลืนน้ำลายตัวเองแทบไม่ทัน ดรุณีหันมามองอาทิจที่ยิ้มตาเป็นประกายจ้าขึ้นมา ในที่สุดก็ได้พาคุณย่าไปอยู่ในที่ที่ท่านรักจนได้
สายของวันนั้น อาทิจเดินมาส่งพ่อ ประวิทย์หันมาเอามือแตะต้นแขนลูกชายทั้งสองข้าง ประเวทย์เดินออกมายืนอยู่มุมหนึ่ง โดยที่ประวิทย์และอาทิจไม่เห็น
“พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก หวังว่าลูกจะสานต่องานของคุณย่าได้อย่างที่ท่านหวัง พ่อขอให้ลูกนึกอยู่เสมอว่า คุณย่าท่านต้องการให้ลูกช่วยดูแลสวนของท่านเท่านั้น อย่าได้ตั้งความหวังว่าท่านจะยกสมบัติเหล่านั้นให้ลูกเป็นอันขาด”
“ครับคุณพ่อ ผมตั้งใจไว้แล้ว ถึงคุณย่าจะไม่ให้อะไรผม ผมก็จะดูแลที่นี่ให้ท่านจนกว่าเจ้าของตัวจริงจะเข้ามาดูแลแทน ถึงเวลานั้นผมก็จะไปบุกเบิกที่ดินทำกินของผมเอง”
ประวิทย์ยิ้มพอใจ
“ดีมาก...ไอ้ลูกชาย คนเรามีสมองกับสองมือเอาไว้ทำกิน ถ้าขยันหมั่นเพียรยังไงก็ไม่อดตาย พ่อเชื่อว่าลูกพ่อจะยืนบนลำแข้งของตัวเองได้อย่างแน่นอน”
อาทิจโผเข้ากอดพ่อ ผู้ชายต้นแบบในชีวิตของเขา ประเวทย์เข้ามาหาทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณนะครับพี่ประวิทย์ สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา”
พ่อลูกผละออกจากกัน ประวิทย์ละอายใจ
“พี่สิที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณเรา ที่ดูแลน้องๆแทนพี่”
“ผมยอมรับว่าผมเคยโกรธพี่ที่ทิ้งภาระหนักอึ้งไว้ให้ผม แต่พอมองย้อนกลับไปอีกที ถ้าไม่ลำบากในวันนั้น ผมก็คงไม่ขยันไม่อดทนจนมาถึงวันนี้”
“ถ้าพี่ย้อนเหตุการณ์กลับไปได้ พี่คงไม่ทำอย่างนั้น ไม่หนีคุณแม่มา”
“ถ้าไม่ทำอย่างนั้น แล้วจะมีอาทิจมาดูแลสวนคุณย่าแทนคุณแม่อย่างวันนี้เหรอครับ ผมและทุกคนต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณพี่ในวันนี้”
พี่น้องจับมือกันแล้วโผมากอดกัน ยิ้มให้กันอย่างจริงใจ โดยมีอาทิจยืนมองพ่อและอาอย่างชื่นใจ
บ่ายวันนั้น... อาทิจถือห่อผ้าที่ใส่กระดูกและเถ้าย่าแดงเตรียมจะไปฝัง ดรุณีเดินเข้ามาดักหน้า เป็นการคุยกันครั้งแรกตลอดงานศพย่าที่ไม่ได้มีโอกาสคุยกันเลย
“ณีขอไปส่งคุณย่าด้วยคนนะคะพี่อาทิจ ณีจะไปปลูกดอกไม้ให้คุณย่า”
“ไปสิครับ”
แก้วตามหลังมา
“เดี๋ยวค่ะ” แก้วส่งจดหมายให้อาทิจ “จดหมายคุณย่าค่ะ ท่านเขียนไว้และกำชับให้น้าแก้วเอาให้คุณอาทิจกับคุณณีอ่านหลังจากที่ท่านเสียแล้วค่ะ”
อาทิจรับจดหมายมาแล้วหันไปมองดรุณี
อาทิจและดรุณี ถอดถุงมือที่ใช้ในการปลูกดอกเก็ตถะวาออก แล้วทั้งคู่ก็ค่อยๆวางห่อเถ้ากระดูกย่าแดงลงในหลุมที่ขุดเตรียมไว้ ก่อนจะช่วยกันกลบดินที่อยู่ปากหลุมอย่างประณีตบรรจงอยู่บนเนินเขาสูง ท่ามกลางดงดอกเก็ตถะวาซึ่งเพิ่งนำมาปลูก และภูมิทัศน์ที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาตระหง่าน ทั้งคู่กลบหลุมฝั่งกระดูกและเถ้าเสร็จแล้ว จึงหันมานั่งคุยกัน
“คุณย่าชอบให้พี่พามานั่งเล่น เดินเล่นที่นี่ช่วงที่น้องณีไปเรียนที่กรุงเทพ ท่านบอกที่นี่ทำให้ท่านเห็นที่ดินทั้งหมดของท่าน”
“ท่านจะได้พักผ่อนอยู่ในที่ที่ท่านรักกับดอกไม้ที่ท่านชอบ ท่านชอบดอกเก็ตถะวาค่ะ ท่านว่าเป็นดอกไม้ที่ทั้งงามทั้งหอมและมีประโยชน์”
“คุณย่าเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้เราสองคน น้องณีเปิดอ่านสิครับ”
อาทิจยื่นจดหมายให้ ดรุณีเปิดจดหมายอ่าน ระหว่างที่อ่านก็พยายามสะกดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลทะลัก
“ถึงพ่ออาทิจและแม่ณีหลานรักของย่า...เมื่อหลานทั้งสองได้อ่านจดหมายฉบับนี้นั่นก็หมายความว่า ย่าได้จากโลกนี้ไปแล้ว ย่าขอบคุณเราสองคนที่ช่วยเติมเต็มความฝันและความสุขในชีวิตบั้นปลายของย่า รวมทั้งช่วยกันสร้างชีวิตใหม่และปลูกฝังความรักในผืนดินให้ทุกชีวิตที่สวนคุณย่าด้วย ย่าโชคดีเหลือเกินที่ได้เห็นหลานเติบโตเป็นหนุ่มสาวที่งดงามทั้งกายและใจ อิ่มใจที่ได้เห็นที่ดินของตัวเองเต็มไปด้วยไม้ผลที่กำลังออกดอกออกผลงดงามในขณะที่ยังมีลมหายใจ และสุขใจที่สุดเพราะแน่ใจว่าหลานทั้งสอง จะเป็นตัวแทนสานต่องานของย่าต่อไป เท่านี้ย่าก็นอนตายตาหลับแล้ว สำหรับพ่ออาทิจ ย่าขอฝากให้พ่อช่วยดูแลน้องแทนย่าด้วย แม่ณีเองก็ต้องรักและเคารพพี่ ถ้าวันใดไม่มีย่าอยู่ด้วยแล้ว ย่าเชื่อเหลือเกินว่า พ่ออาทิจจะทำหน้าที่ดูแลแม่ณีแทนย่าได้เป็นอย่างดี...รักหลานทั้งสองสุดหัวใจ...ย่าแดง”
ดรุณีวางจดหมายลง น้ำตาไหลพราก หญิงสาวไม่คิดเลยว่าย่าจะรักและเป็นห่วงเธอมากมายขนาดนี้ อาทิจเองก็สะเทือนใจ แทนที่เขาจะเป็นฝ่ายขอบ แต่ย่ากลับเป็นฝ่ายที่ขอบคุณเขา สิ่งเดียวที่จะตอบแทนพระคุณของท่านได้ คือการทำในสิ่งที่ท่านขออย่างดีที่สุด
“พี่จะอยู่กับน้องณี จะดูแลน้องสาวของพี่คนนี้จนกว่าจะมีใครมาดูแลแทน”
ดรุณีหมดความอดทน หญิงสาวโผเข้ากอดเขาร้องไห้โฮ สองคนกอดกันด้วยความรักความห่วงใยท่ามกลางดงดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ และทิวเขารายล้อมงดงาม
อาทิจและดรุณี ยืนมองดูผืนนากว้างใหญ่สุดสายตาข้าวแตกรวงสะพรั่ง
“งามเหลือเกิน งามอย่างที่ณีคิดฝันไว้จริงๆ แต่...” ดรุณีก้อนสะอื้นแล่นมาจุกที่คอหอย “มันคงจะงดงามมากกว่านี้ ถ้าเราได้ยืนมองมันพร้อมกันสามคน คุณย่า พี่อาทิจ แล้วก็ณี”
ดรุณีอดไม่ได้ น้ำตาหยดลงอาบแก้มอีกครั้ง
“เรามองกันสามคนจ้ะน้องณี คุณย่าอยู่กับเราที่นี่ ท่านไม่ได้จากเราไปไหน ท่านอยู่เพื่อรอดูเราปลูกข้าวกันทุกปี”
“จริงสินะคะ คุณย่าท่านไม่ได้จากไปไหน”
“ไม่ร้องไห้แล้วนะครับ...คนดีของพี่”
อาทิจค่อยๆเอามือเกลี่ยน้ำตาให้เลือนหายออกไปจากดวงหน้าของดรุณี หญิงสาวพยักหน้าอย่างสะกดกลั้นอารมณ์โหยไห้ที่คุกรุ่นอยู่ในใจอย่างสุดกำลัง
บ่ายวันนั้น...ลุงเกร็ง ไพฑูรย์ ต๊อด อึ่ง พัน เข้ามาที่ไร่ข้าวโพดอย่างไม่พอใจ เพราะคนงานไม่ยอมทำงาน
“ทำไมไม่ทำงาน” ไพฑูรย์เข้าไปถาม
แก็งค์คนงานนักเลงนั่งจับกลุ่มกันนั่งนอนเอกเขนก ไม่สนใจฟ้าดิน คนงานคนหนึ่งตอบกวนๆ
“ทำไมต้องทำ ในเมื่อเจ้าของสวนก็ตายแล้ว ให้เจ้าของสวนมาสั่งก่อนถึงจะทำ”
ต๊อดไม่พอใจ
“อ้าว...ทำไมพูดหมาๆอย่างนี้ล่ะ ทายาทเจ้าของสวนยังอยู่ตั้งหลายคน”
“ใคร...หน้าไหนจะขึ้นมาแทนที่คุณย่า ไอ้ฑูรบ์ก็แค่หลานปลายแถว ดรุณีก็เด็กไร้เดียงสา ส่วนเจ้าอาทิจก็แค่เด็กที่เห็นกล้วยป่าเป็นกล้วยน้ำว้าแค่นั้น”
ไพฑูรย์โกรธ
“แกว่งปากหาตีนชัดๆ”
คำรามจบ ไพฑูรย์ก็วิ่งเข้าไปถีบนักเลงคนนั้น ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พันทนไม่ไหวเข้าไปชกแก๊งค์นักเลง ทั้งสองกลุ่มเตะต่อยกันชุลมุน แต่ฝ่ายนักเลงที่ตัวใหญ่และเป็นนักมวยมาก่อนเป็นฝ่ายอัดแก็งค์ไพฑูรย์ซะน่วม อาทิจกับดรุณีเดินเข้ามา ได้ยินคำประกาศกร้าวของนักเลงเข้าพอดี
“โธ่...ไอ้พวกขี้เป็ดเอ๊ย ถีบแค่ทีสองทีก็คว่ำแล้ว ลูกหลานคนไหนไม่แน่จริง อย่าเสนอหน้ามาดูแลสวนคุณย่านะเว้ย กูจะป่วนให้ถึงที่สุดเลย”
อาทิจเข้ามา
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นมั้ง”
นักเลงมองหยัน
“มาแล้ว หนุ่มหล่อประจำสวนคุณย่า แน่จริงก็เข้ามา ถ้าล้มกูได้กูก็จะยกให้เป็นนาย ใครไม่เกี่ยว...ถอยไป”
อาทิจเดินเข้าไปหานักเลง โดยมีดรุณียืนอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทางด้านหลัง อาทิจชกหน้านักเลงก่อน นักเลงยัวะอัดอาทิจกลับ ทั้งคู่ชกต่อยกันผลัดกันรุกผลัดกันรับ ไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายอาทิจเป็นฝ่ายชนะ แต่กว่าจะชนะกันได้ก็เล่นเอาเลือดตกยางออก อาทิจยกขาเตรียมถีบ นักเลงซึ่งเลือดกลบหน้ายกมือไหว้ซะก่อน
“กลัวแล้วครับ ผมยอมแล้วครับ” นักเลงเรียกอย่างเต็มปากเต็มคำ “นาย”
อาทิจเสียงดังและเข้ม
“คุณย่าเพิ่งจะเสีย ทำไมไม่เกรงใจวิญญาณท่านบ้าง ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ฉันจะไล่นายกับพวกออกทันที”
นักเลงละล่ำละลัก
“คะ...ครับ นาย” นักเลงตะโกนสั่งลูกน้อง “เฮ้ย...ยืนบื้ออะไรวะ กลับไปทำงานสิเว้ย”
นักเลงและลูกน้องนักเลงอีกสาม พากันวิ่งกลับเข้าไปทำงานในไร่ข้าวโพด
ดรุณีชื่นชมอาทิจในใจ
อ่านต่อหน้า 4
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 11 (ต่อ)
เย็นนั้น อาทิจเดินเอามือแตะมุมปากที่เลือดออกซิบๆเข้ามาที่ระเบียงบ้านกับดรุณี
“พี่อาทิจนั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวณีไปเอายามาทาให้”
“ปากแตกนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอกน้องณี”
“เจ็บอย่างนี้ยังจะคิดว่านิดหน่อยเหรอคะ คุณย่าเพิ่งเสียไปได้ไม่กี่วัน ก็มีเรื่องชกต่อยกันขนาดนี้ ต่อไปเราจะอยู่กันยังไง พี่อาทิจจะไม่ลำบากหนักกว่านี้หรือคะ”
“พี่คิดว่าพวกนั้นเขาก็แค่อยากรู้ว่า ถ้าไม่มีคุณย่าแล้วเราจะเข้มแข็งพอที่จะคุมเขาได้รึเปล่า เขาก็เลยลองหาเรื่องดู คงไม่มีอะไรรุนแรงมากกว่านี้”
“แล้วพี่อาทิจจะดูแลเขายังไง ใช้กำลังกำราบกันไปเรื่อยๆอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่หรอก การใช้กำลังมันคือการบอกเขาเท่านั้นเองว่าเราไม่ได้อ่อนแอ มันไม่ใช่การแก้ปัญหา การแก้ปัญหาคือการดูแลเอาใจใส่พวกเขาด้วยใจ แต่ก็ต้องอยู่ในกฎกติกา เราจะดูแลคนหมู่มากอย่างนี้ได้ พี่ว่าเราต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ”
ดรุณีชื่นชมในทุกถ้อยคำของอาทิจ ผู้ปกครองของเธอ ดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวทั้งๆที่อายุห่างจากเธอไม่กี่ปี หญิงสาวยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ
“ณีจะเป็นกำลังใจให้นะคะ ณีเชื่อค่ะว่าพี่อาทิจจะจัดการปัญหาทุกอย่างได้”
อาทิจยิ้มรับ แต่แหกยิ้มมากไปหน่อยเลยเจ็บแผลที่ปาก
“อู๊ย...”
ดรุณีตกใจ
“เจ็บเหรอคะ ขอณีดูหน่อยซิ”
ดรุณีขยับเข้ามาเอามือแตะปากดูแผลอาทิจ ทำให้ทั้งคู่อยู่ในระยะประชิด เวทางค์เดินเข้ามาเห็นภาพบาดตาเข้าพอดี แถมเป็นมุมที่ดูเหมือนทั้งคู่จูบกันอีกต่างหาก เวทางค์ไม่พอใจมาก
“ทำอะไรกันน่ะ”
อาทิจกับ ดรุณีผละออกจากกัน
“พี่เว มาเงียบเชียว นั่งคุยกันไปก่อนนะคะ” ดรุณีหันไปบอกอาทิจ “เดี๋ยวณีไปเอายามาทาให้”
ดรุณีเดินออกไป เวทางค์ขยับเข้ามาหาอาทิจ
“ยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่าทำอะไรกัน”
“ผมมีเรื่องกับคนงานนิดหน่อย น้องณีก็เลยจะทำแผลให้ ไม่มีอะไรครับ”
“แผลแค่นี้เจ็บอะไรนักหนา โดนมดกัดยังเจ็บมากกว่า จะอ้อนน้องณี หรือว่าตัวเท่าควายแต่ใจปลาซิวจริงๆวะ”
อาทิจกัดฟันกรอด เจ็บใจที่ถูกด่าแต่ไม่อยากมีเรื่อง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
อาทิจลุกเดินออกมา
“นายเองก็รู้อยู่แก่ใจแล้วนะเรื่องฉันกับน้องณี ถ้านายรักคุณย่าจริงก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของคุณย่า อย่าทำอะไรที่ล้ำเส้นเกินกว่าคำว่า ผู้ปกครองและเด็กในปกครอง กับน้องณีเป็นอันขาด”
อาทิจข่มใจ
“ครับ”
อาทิจเดินกัดฟันกรามปูดออกไป ดรุณีถือถาดใส่ยาทำแผลออกมากับแก้ว
“ไหนคะ ไอ้หน้าไหนที่มันกล้ามาต่อยคุณอาทิจ น้าแก้วจะไปจัดการสั่งสอนมันเอง”
ดรุณี กับ แก้ว มองหาอาทิจไม่เจอ
“พี่อาทิจล่ะพี่เว”
“ไปทำงานต่อแล้ว เห็นบ่นว่าเหนื่อย...คนงานก็แข็งข้อ งานในไร่ก็หนักขึ้นทุกวันแถมคุณย่ายังยกภาระให้เป็นผู้ปกครองน้องณีอีกต่างหาก คงไม่ต้องหลับต้องนอนกันล่ะทีนี้”
ดรุณีอึ้ง แก้วไม่เชื่อคำพูดของเวทางค์
“คุณอาทิจไม่คิดอย่างนั้นหรอกค่ะคุณณี”
“อ้าว...พูดอย่างนี้ก็หาว่าฉันโกหกน่ะสิ”
แก้วอยากจะเอามะเหงกเขกกะโหลกเวทางค์สักโป๊ก ในขณะที่ดรุณีหน้าจ๋อยไป
ที่โต๊ะกินข้าว จานอาหารถูกจัดไว้พร้อมแล้ว รวมทั้งข้าวเปล่าสองจาน แก้วจุดเทียนที่ตั้งอยู่บนเชิงเทียนเล็กๆ ข้างแจกันดอกไม้น่ารักน่าเอ็นดู ดรุณีนั่งนิ่งอยู่ที่เก้าอี้ประจำ ในขณะที่แก้วชะเง้อมองไปทางหน้าบ้านก่อนจะตะโกนไปทางหลังบ้าน
“จิ๋วแจ๋ว...จิ๋วแจ๋ว”
จิ๋วแจ๋ววิ่งหูตูบออกมา
“จ๋า...แม่”
“ไปตามคุณอาทิจมากินข้าวเป็นเพื่อนคุณณี ไป”
“จ้า”
จิ๋วแจ๋วตั้งท่าจะวิ่งออกไป แต่ดรุณีเรียกไว้
“ไม่ต้องหรอกจิ๋วแจ๋ว พี่อาทิจเขาคง...ไม่อยากมา”
แก้วแย้งขึ้น
“ต้องมาสิคะคุณณี พรุ่งนี้คุณณีก็จะกลับกรุงเทพแล้ว คุณอาทิจจะไม่มาได้ยังไง”
ดรุณียังคงนั่งนิ่ง เก็บอารมณ์คิดถึงคำพูดเวทางค์
“บางทีเขาอาจจะเหนื่อยกับงาน จนไม่อยากมาดูแล เด็กในปกครอง คนนี้แล้วก็ได้”
อาทิจเดินเข้ามา
“พี่ไม่เหนื่อย ถ้าเด็กในปกครอง จะยอมให้ ผู้ปกครอง คนนี้ดูแล”
ดรุณีเงยหน้าขึ้นมามองอาทิจอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าชายหนุ่มจะโผล่มา และยิ่งเห็นสายตาที่มองมาอย่างเอื้ออาทร หญิงสาวก็ทำหน้าไม่ถูก ได้แต่พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติอย่างที่สุด
เมื่อดรุณีตั้งสติได้จึงชวนทุกคนมากินข้าว ทำตัวเป็นปกติที่สุด
“พี่อาทิจ..เชิญค่ะ น้าแก้วกับจิ๋วแจ๋วด้วย มากินข้าวด้วยกัน”
“ขอบคุณค่ะ”
จิ๋วแจ๋วจะลงนั่ง แต่แก้วหนีบแขนลูกสาวไว้แน่นยิ่งกว่าคีม
“ยังทำงานค้างอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“งานอะไรคะน้าแก้ว กินข้าวก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยไปทำก็ได้”
“ค่ะ”
จิ๋วแจ๋วจะขยับลงนั่งอีกครั้ง แก้วพูดสวนทันที
“ไม่ได้ค่ะ...แม่อยากกินผัดผัก ใครก็ผัดไม่อร่อยเท่าเรา”
จิ๋วแจ๋วไม่เชื่อหูตัวเอง
“หนูเนี่ยนะ”
“ก็เออน่ะสิ ไป...ไปผัดให้แม่สักจาน”
แก้วไม่พูดพล่ามทำเพลง รีบลากจิ๋วแจ๋วตัวปลิวออกไป ดรุณีหันมามองหน้าอาทิจ ที่กำลังจ้องมองหญิงสาวอยู่เช่นกัน เขารู้ว่าเธอไม่สบายใจ
“น้องณีไม่อยากกินข้าวกับพี่ตามลำพังรึเปล่า คงกลัวว่า...ใครบางคน...จะไม่สบายใจใช่มั้ย”
ดรุณีหน้าตึงขึ้นมานิดนึง
“ใครบางคนของพี่อาทิจคือใครคะ”
“พี่ไม่รู้ แต่เดาเอาจากสีหน้า พี่รู้ว่าน้องณีไม่สบายใจ ถ้าน้องณีลำบากใจ พี่กลับไปกินกับลุงเกร็งก็ได้”
อาทิจเดินออกมาแทบจะทันทีที่พูดจบ ดรุณีน้ำตารื้น...หญิงสาวรู้สึกว่าเมื่อไม่มีคุณย่าแล้ว เธอก็เหมือนไม่เหลือใคร
“พี่อาทิจจะทิ้งณีไว้คนเดียวเหรอคะ”
เสียงตัดพ้อของดรุณีทำให้อาทิจชะงัก และเมื่อหันกลับไปมองหน้าหญิงสาว ใจชายหนุ่มก็อ่อนยวบ
ดรุณีเดินมาส่งอาทิจในสวน หลังจากกินข้าวเสร็จ
“ขอบคุณนะคะที่มากินข้าวเป็นเพื่อนณี”
“ตอนน้องณีไม่อยู่ พี่ก็มากินข้าวเป็นเพื่อนคุณย่าทุกวันอยู่แล้ว”
“คุณย่าให้พี่อาทิจขึ้นไปนอนที่ห้องท่าน”
อาทิจถอนใจ
“ขึ้นไปอยู่ตอนนี้น้องณีอาจจะไม่สะดวก เอาไว้ให้น้องณีกลับไปเรียนก่อน พี่จะขึ้นไปดูแลให้เอง”
“แล้วเรื่อง...ตะวัน พี่อาทิจจะทำยังไง”
“ก็รับเลี้ยงไว้ตามเดิม แต่กับแม่เขาพี่ไม่ยุ่งเพราะถือว่าขาดกันไปแล้ว ที่จริงพี่ก็ไม่เคยยุ่งกับเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“ขอบคุณนะคะที่ไม่ทอดทิ้งตะวัน” ดรุณียิ้ม
“เด็กไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนี่ครับ”
“หวังว่าพี่อาทิจจะไม่ทอดทิ้งเด็กในปกครองคนนี้ด้วยนะคะ”
“คนนี้ไม่ทิ้งเด็ดขาด กลัวแต่เด็กในปกครอง จะเบื่อผู้ปกครองซะก่อนสิครับ”
“ไม่เบื่อค่ะ”
ดรุณีส่งยิ้มหวานบริสุทธิ์ผุดผ่องให้ ชายหนุ่มข่มใจ...รีบตัดความรู้สึกวูบวาบที่ผุดขึ้นในใจลึกๆออกไป
“น้องณีส่งพี่แค่นี้ก็พอ พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”
“ค่ะ”
อาทิจยิ้มให้ อยากจะอยู่นานกว่านั้น แต่เมื่อนึกถึงความควรไม่ควร จึงตัดใจเดินออกมา
“พี่อาทิจคะ เดินระวังๆงูด้วยนะ”
อาทิจหันกลับมาอมยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง ถ้าเจอ..พี่จะกรี๊ดดดดดดดให้ลั่นสวนเลย”
ดรุณีอาย
“พี่อาทิจน่ะ”
ทั้งคู่หัวเราะ เมื่อภาพในค่ำคืนวันที่เจองูเห่าด้วยกัน ผุดขึ้นมาในหัวพร้อมกัน
เช้าวันใหม่ อาทิจกับดรุณีมาที่หลุมฝั่งกระดูกย่าแดง ดรุณีก้มลงกราบ
“หนูมาลาค่ะคุณย่า หนูสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนและไม่ทำให้คุณย่าผิดหวัง หนูขอบคุณคุณย่านะคะที่เลี้ยงหนูมา ทั้งๆที่หนูไม่ได้เป็นอะไรกับคุณย่าเลยสักนิด”
อาทิจหันมามองดรุณี สงสัยคำพูดของเธอว่าหมายถึงอะไร ดรุณีหันมามอง
“พี่อาทิจรู้ใช่มั้ยคะว่า ณีไม่ได้เป็นอะไรกับคุณย่า”
“พี่...ไม่ทราบ แต่ยอมรับว่าบางครั้งพี่ก็สงสัยที่ได้ยินน้องณีคุยกับคุณย่าเรื่องนี้ แต่พี่ไม่คิดจะถามเพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว คิดว่าถึงเวลาที่คุณย่าหรือน้องณีอยากจะพูด ก็คงจะพูดให้ฟังเอง”
“ถึงเวลาแล้วค่ะ ณีเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาคนสุดท้ายของคุณพ่อคุณย่าก็จริง แต่ไม่ได้เป็นลูกท่าน คุณแม่ณีแอบไปคบผู้ชายอีกคน ณีเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น ที่แม้แต่หน้า ณีก็ไม่เคยเห็น คุณย่าเก็บณีมาเลี้ยงเพราะความสงสารเท่านั้น”
“น้องณี”
อาทิจรู้สึกเห็นใจในปูมหลังของดรุณีอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวตาแดง น้ำตาคลอ
“ตอนที่พี่อาทิจมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ณีถึงได้ไม่ชอบหน้าพี่อาทิจ เพราะณีอิจฉา กลัวว่าพี่อาทิจจะมาแย่งคุณย่าไป ณีรู้อยู่เต็มอกนี่คะว่าพี่อาทิจเป็นหลานที่เป็นสายเลือดของท่านโดยตรง”
“ถ้าพี่รู้ พี่จะเข้าใจและจะไม่ยั่วน้องณีเลย ที่พี่ไม่ยอมในบางครั้งก็เพราะพี่ต้องการจะปราบเด็กดื้อเท่านั้นเอง”
ดรุณีฝืนยิ้ม
“ตอนนี้ไม่ดื้อ เป็นเด็กดีแล้วค่ะ”
อาทิจพยักหน้ายิ้ม เอ็นดู
“เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่าณีจะได้สมบัติของคุณย่า จึงเป็นเรื่องที่พวกเขาคิดไปเอง”
อาทิจยิ้ม ชื่นบาน ดรุณีเข้าใจผิด
“พี่อาทิจคงสบายใจนะคะ เพราะณีไม่ใช่ตัวหารมรดกของใครแน่ๆ”
อาทิจยิ้มกรึ่ม
“พี่ไม่ได้สบายใจเพราะเรื่องนั้น”
ดรุณีแปลกใจ
“ไม่ใช่เรื่องมรดกคุณย่า แล้วพี่อาทิจยิ้มทำไมคะ”
“ก็...ยิ้มที่รู้ว่าน้องณี... ไม่ใช่คุณย่าของพี่”
ดรุณีเข้าใจผิดได้อีก
“ที่นี้...จะได้โขกสับณีได้เต็มที่ใช่มั้ยคะ”
อาทิจกรึ่มได้อีก
“ใครจะโขกสับเด็กดีอย่างนี้ได้”
ว่าแล้วอาทิจก็โขกสับดรุณีด้วยสายตาหวานเยิ้มหยดย้อยแทน ดรุณีสบตาอาทิจแล้วต้องหลบตา
“เรา...ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสาย”
ดรุณีกราบลาคุณย่าอีกครั้งก่อนจะเดินออกมา อาทิจเดินตามหญิงสาวหน้าตายิ้มแย้มสุดชีวิต กับสิ่งที่ได้รู้
เย็นวันนั้น....อาทิจขับรถมาจอดที่หน้าคอนโดฯที่ดรุณีพัก แล้วเดินลงมาส่งหญิงสาว
“ขอบคุณนะคะพี่อาทิจ”
อาทิจพยักหน้ารับ
“พรุ่งนี้พี่มารับไปมหาวิทยาลัยนะ”
“ค่ะ แล้ว..เดี๋ยวพี่อาทิจจะไปไหนต่อรึเปล่าคะ”
“พี่จะเข้าที่พักเลยจ้ะ ว่าจะนอนเอาแรงสักหน่อย พรุ่งนี้ต้องตระเวนซื้อของหลายที่”
“ถ้างั้น พี่อาทิจขึ้นไปพักที่ห้องณีก่อนมั้ยค่ะ”
อาทิจชะงักกึก ยิ้มเก้อๆ
“เอ่อ..ไม่ดีกว่าครับ”
“ดรุณี ทำไมล่ะ ออกไปตอนนี้ รถติดตายเลย ขึ้นไปเอนหลังสักชั่วโมงสองชั่วโมงให้รถหายติดก่อนเถอะค่ะ”
“มันจะดีเหรอ พี่กลัวว่า...”
ดรุณีงงขึ้นไปอีก
“กลัวอะไรคะ”
“กลัวคนจะมองน้องณีไม่ดี ที่...เอ่อ...จู่ๆก็มีผู้ชายตามขึ้นไปบนห้อง”
ดรุณียิ้ม
“แล้วผู้ชายคนนี้เป็นพี่ชายณีรึเปล่าล่ะ”
“คนอื่นเขาไม่รู้นี่ครับ”
“เขาไม่รู้ก็ช่างเขาเถอะค่ะ ณีรู้ก็แล้วกัน หรือจะให้ณีเขียนป้ายติดไว้ที่อกพี่อาทิจคะว่านี่..พี่ชายหนูค่ะ”
อาทิจหัวเราะขำ แต่แล้วก็พยายามตั้งสติ พูดเตือนดรุณี
“ยังไง น้องณีก็ไม่ควรไว้ใจใครง่ายๆ”
“ยกเว้นพี่อาทิจคนหนึ่งก็แล้วกันนะคะ ถ้าณีไว้ใจพี่อาทิจไม่ได้ ณีก็ไว้ใจใครในโลกนี้ไม่ได้แล้ว ไปค่ะ”
ดรุณีดึงแขนอาทิจให้เดินตามมา โดยไม่ได้หันไปมองว่าผู้ชายที่ถูกดึงตามมานั้น เขินขนาดไหน
จบตอนที่ 11