ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 6
อาทิจดื่มเหล้าอึกๆอยู่คนเดียว ทองประศรีแอบดูชายหนุ่มอยู่กับน้องๆ ทองประสานยิ้มกรุ่มกริ่ม
“หือ...หล่อจังเลยพี่ศรี”
ทองประสมมองอาทิจตาวาว
“นี่ถ้าพี่ศรีไม่จองไว้ก่อน คืนนี้ฉันไม่ปล่อยให้เขากลับบ้านแน่”
ทองประศรีรีบกันท่า
“อย่านะโว้ย...ผู้ชายข้าใครอย่าแตะ ไม่งั้นมีตบ”
ทองประสานค้อนพี่สาว
“เห็นตอนแรกให้ท่าพี่ยง เหมือนอยากจับทำผัว”
ทองประศรีเหยียดปาก
“ผู้ชายขี้กลากอย่างนั้น ฉันไม่เอามาทำพันธุ์หรอกเว้ย”
บรรยงนั่งมองทองประศรี เห็นหญิงสาวเอาแต่สนใจอาทิจก็โมโหหึงตะโกนลั่น
“ขอเบียร์ขวดสิจ๊ะน้องศรี”
ทองประศรีหงุดหงิด
“เดี๋ยว”
บรรยงไม่พอใจ
“ขอน้ำแข็งด้วย”
ทองประศรีรำคาญ
“รอก่อน”
บรรยงไม่ยอมแพ้
“ขอแหนมอีกจาน”
ทองประศรีเสียงห้วนมาก
“ไปห่อเองเลยไป”
อาทิจทั้งเมาทั้งมึน
“ขอเหล้าอีกแบน”
ทองประศรีเสียงหวานปานน้ำผึ้ง
“ได้ค่า”
ทองประศรีเดินไปหยิบเหล้าอีกแบน แล้วเดินนมล้นมาหาอาทิจ คนงานคนหนึ่งเดินโซเซจากโต๊ะตัวเองมาหาอาทิจ
“นายมานั่งกับพวกเราดีกว่าครับ”
“ไม่ล่ะ นั่งตรงนี้สบายแล้ว พวกนายสนุกกันเถอะ”
ทองประศรีไม่พอใจคนงานมาก
“กลับไปที่โต๊ะสิย่ะ คุณเขาจะนั่งที่นี่ ไม่ได้ยินรึไง”
คนงานเดินโซเซกลับไป บรรยงหึงหนัก เดินเซมาดึงแขนทองประศรีซึ่งกำลังเปิดขวดเหล้าให้อาทิจ
“พี่ยงสั่งเบียร์ก่อนไอ้หมอนี่นะ”
ทองประศรีสะบัดแขนหนีอย่างแรง
“แล้วยังไง ใครสั่งก่อนสั่งหลังไม่สำคัญ มันสำคัญที่ ฉันอยากขายให้ใครต่างหาก”
“น้องศรีหมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าตอนนี้ ฉันไม่มีอารมณ์ขายของให้ใครแล้วเว้ย ไปเลยนะ...ออกไป
ให้หมด เมาแล้วหาเรื่องนี่หว่า ไม่ขงไม่ขายมันแล้ว นังสานนังสม...ปิดร้าน”
ทองประสานกับทองประสม ออกมาช่วยไล่พวกคนงานออกไป บรรยงหันมามองอาทิจ
“แล้วไอ้นี่ล่ะ”
“ไม่เข้าใจคำว่าปิดร้านเหรอ ไม่ว่าใครก็อยู่ไม่ได้ทั้งนั้นเว้ย...ไป”
อาทิจลุกขึ้นยืนโงนเงน ทำท่าจะเดินออก ทองประศรีโมโหบรรยง
“เห็นมั้ยล่ะว่าคุณเขาไปแล้ว รีบกลับไปเลยนะพี่ยง...จะไปไม่ไป”
ทองประศรีคว้าขวดเหล้าเปล่าซึ่งพวกคนงานดื่มหมดแล้วขึ้นมาทำท่าจะฟาดใส่กบาล บรรยงรีบเผ่นออกจากร้าน ทันทีที่บรรยงวิ่งออกไป ทองประศรีก็ดิ่งไปลากแขนอาทิจให้กลับมานั่งที่เดิม
“เชิญคุณดื่มต่อเถอะค่ะ เพิ่งสั่งขวดใหม่มาแท้ๆ”
“ขอบใจนะ แต่...ฉัน...”
“นั่งเถอะค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ คุณจะนั่งนานแค่ไหนศรีก็ไม่ว่า ศรีนั่งเป็นเพื่อนนะคะ”
“ฉันอยากอยู่คนเดียว ต้องการเพื่อนเมื่อไหร่แล้วจะบอก”
ทองประศรียิ้มหนังปากแห้งติดเหงือก หญิงสาวค่อยๆลุกออกมา อาทิจยกเหล้าขึ้นดื่ม
ย่าแดงยืนหน้าตาเป็นกังวล แก้วเดินเข้ามองอย่างเป็นห่วง
“คุณย่าคะ ไปกินข้าวก่อนเถอะค่ะ กับข้าวจะเย็นหมดแล้วนะคะ”
“ฉันจะรอพ่ออาทิจกับแม่ณีก่อน”
“มันจะสามทุ่มอยู่แล้วนะคะ ผิดเวลาไปมากแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายเอาค่ะ”
ย่าแดงลงนั่งที่เก้าอี้แล้วถอนใจหนัก
“ฉันไม่หิว มันกินไม่ลง พ่ออาทิจคงจะเสียใจมาก เป็นใครก็ต้องเสียใจ อุตส่าห์ตั้งใจทำงานแล้วต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้”
“คุณณีไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะคุณย่า แก้วเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กๆ แก้วรู้ค่ะว่าคุณณีไม่ใช่คนที่ชอบทำร้ายจิตใจใคร คุณอาทิจเองก็น่าจะทราบดี เพียงแต่ตอนนี้เธออาจจะเสียใจน้อยใจ อาจจะคิดว่าตัวเองเป็นคนมาใหม่ แล้วทำไมคนที่นี่ถึงได้ทำกับเธอเหมือนเธอเป็นคนนอก เป็นหมาหัวเน่าอะไรทำนองนี้น่ะค่ะ”
“ก็คงจะอย่างนั้น ฉันกลัวว่าเรื่องเล็กมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่รู้ว่าเตลิดไปถึงไหน จะตามกันเจอรึเปล่า หรือว่าหนีกลับบ้านไปแล้วก็ไม่รู้”
แก้วปลอบใจ
“คุณอาทิจไม่ใช่คนหนีปัญหานี่คะคุณย่า เธออาจจะเสียใจเสียความรู้สึกบ้าง แต่พอตั้งหลักได้แล้วเธอต้องกลับมาค่ะ ป่านนี้คุณณีอาจจะเจอตัวเธอแล้วขอโทษขอโพยกันแล้วก็ได้ คุณย่าอย่าห่วงไปเลยนะคะ”
ย่าแดงพยักหน้าอย่างปลงๆ ในขณะที่แก้วส่งยิ้มให้กำลังใจแต่ก็อดเป็นห่วงอาทิจไม่ได้
ดรุณี ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พัน สาดไฟฉายเดินหาและตะโกนเรียกอาทิจในเรือนเพาะกล้า ลุงเกร็งส่องไฟฉายไปร้องเรียกไป
“คุณอาทิจครับ”
ต๊อดตะโกน
“นาย!”
พันเรียกอีกคน
“นายอยู่แถวนี้รึเปล่า...นาย”
อึ่งชักกังวล
“ไม่มีอะ ข้าชักกลุ้มจริงๆแล้วนะเว้ย นายไปอยู่ไหนวะ”
ทุกคนเริ่มนิ่ง...คิด...เครียด โดยเฉพาะดรุณี ต๊อดคิดๆๆแล้วนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“หรือว่า...”
ทุกคนหันมามองต๊อด...หรือว่าอะไร
อาทิจยกขวดเหล้าซดจนหยดสุดท้าย แล้วหลับฟุบไปกับโต๊ะ สามสาวกรี๊ดลั่น ทองประศรีนึกขึ้นได้รีบจุ๊ปากให้น้องๆเงียบแล้วกดเสียงต่ำ
“ชูว์...เบาๆสิวะ”
ทองประสานลดเสียงลง
“ก็มันตื่นเต้นนี่พี่ศรี อุตส่าห์วางแผนไล่ไอ้พวกขี้เมากลับบ้านแล้วก็ยังต้องมาลุ้นว่าคุณอาทิจจะฟุบไปตอนไหน”
ทองประศรียิ้มพอใจ
“จะตอนไหนก็ตอนนี้น่ะสิวะ ไป...ไปช่วยกันอุ้มพี่เขาไปที่ห้อง”
สามสาวพยักหน้าแล้วย่องมา กำลังจะยื่นมือมาล็อกตัว แต่แล้วทั้งสามคนก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อ...อาทิจฟื้นดีดตัวผึงขึ้นมาจากโต๊ะ อาทิจเสียงอ้อแอ้เมาสุดๆ
“ขอเหล้าอีกขวด”
ทองประศรีรีบปฏิเสธ
“เหล้า...เอ่อ...ไม่มี คือ...หมดแล้วจ้ะ”
อาทิจพยักหน้ารับรู้เหมือนยังมีสติ แต่แล้วก็ฟุบลงไปกับโต๊ะอีก ทองประสมส่ายหน้า
“ขืนดื่มอีกขวดได้นอนจมกองอ้วกแน่”
ทองประศรีตัดบท
“พูดมากน่า ช่วยกันแบกเร็วเข้า”
สามสาวเข้ามารุม อาทิจละเมอสะบัดตัวหนี สามสาวกระเด็นไปคนละทาง
“อะไรวะ ไอ้ต๊อด ไอ้อึ่ง ไอ้พัน มาเกาะมาพันอยู่ได้ รำคาญ คนจะนอน”
สามสาวลุกขึ้นมาจากพื้นกระดูกกระเดี้ยวแทบหัก ทั้งหมดหันมามองหน้ากันแล้วพยักหน้าเข้ามารุมอาทิจซึ่งฟุบลงไปกับโต๊ะอีกครั้ง ทั้งสามย่องเข้ามา แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งยืนแข็งเป็นหุ่นกันอีกครั้ง เมื่ออาทิจละเมอลุกขึ้นยืนฟรึ่บ แล้วเหวี่ยงแขนขา เหมือนกำลังถูกพวกต๊อด อึ่ง พันเข้ามานัวเนีย
“ไม่ต้องมายุ่ง จะกลับบ้าน อย่ามากวนใจนะเว้ย ฉันเดินกลับเองได้”
อาทิจเดินโซเซออกมาทางหน้าร้าน สามสาวเซ็งสุดขีด ทองประศรีหันไปสั่งน้องๆ
“ช่วยกันลากกลับมาหน่อยสิวะ”
ทองประสานส่ายหน้า
“ไม่เอาอะ กลัวถูกเตะ”
ระหว่างที่สามสาวกำลังปรึกษากัน อาทิจซึ่งเดินมึนจัดมายืนแล้วฟุบลงกับพื้น สามสาวย่องไปสะกิด จากเบาๆแล้วกลายเป็นเขย่าตัวแรงขึ้น อาทิจนอนนิ่งไม่ขยับ สามสาวดีใจ เฮลั่น รีบพยุงอาทิจเข้าห้องและทันทีที่อาทิจหายเข้าไปในห้อง ต๊อด อึ่ง พัน ลุงเกร็งเดินนำดรุณีเข้ามายืนที่หน้าร้าน ดรุณีมองไปรอบบริเวณ
“เขาคงไม่วิ่งมาถึงนี่มั้งต๊อด”
ลุงเกร็งเห็นด้วยกับดรุณี
“นั่นสิ...คุณอาทิจไม่เคยเข้ามาในหมู่บ้าน แล้วจะเข้ามาที่นี่ทำไมวะ”
ต๊อดคิดๆ
“ก็...อาจมากินเหล้าแก้กลุ้มก็ได้นี่”
อึ่งมองหน้าร้าน
“แต่ร้านยายทองโตนี่ก็ปิดแล้วนี่หว่า”
พันแปลกใจ
“นั่นสิ...ทำไมวันนี้ปิดเร็วนักวะ”
ลุงเกร็งตัดบท
“ข้าว่าพาคุณหนูณีกลับก่อนเถอะ เดี๋ยวคุณย่าจะเป็นห่วงหนักขึ้นไปอีก”
ทั้งหมดเดินออกไป
สามสาวช่วยกันพาอาทิจเข้ามาในห้องทองประศรี แล้ววางเขาลงนอน ทั้งหมดก็ยืนหอบ ทองประศรีหันไปสั่งน้องๆ
“พวกแกออกไปนอนห้องแม่ได้แล้ว”
ทองประสานชะงัก
“อ้าว...แล้วถ้าพ่อกับแม่กลับมาล่ะ”
“ไม่กลับเร็วขนาดนั้นหรอกน่า หายไปเล่นไพ่อย่างนี้ อย่างน้อยก็ต้องสองคืน”
ทองประสมนึกบางอย่างได้
“ไม่ให้พวกฉันอยู่เป็นพยาน ถ่ายรูปแชะ แชะก่อนเหรอ”
ทองประศรีเห็นดีด้วย
“เออ...ฉลาดแฮะ เอ้า...ถ้างั้นแกสองคนมาช่วยกันถอดเสื้อพี่เขาก่อน”
ทองประศรีถอดเสื้อตัวเองในผ้าห่ม ทองประสานกับทองประสมช่วยกันปลดกระดุมเสื้ออาทิจ แต่ไม่สำเร็จเพราะชายหนุ่มดิ้นพลิกไปมาแถมเหวี่ยงแขนขาใส่ทั้งคู่จนแอ่นกระแทกพื้นดังแอ้กอีกต่างหาก ทองประสานร้องลั่น
“โอ๊ย...ไม่เอาแล้ว มือตีนหนักอย่างกับอะไรดี พี่ศรีถอดเองก็แล้วกัน”
“มันจะยากอะไรวะ”
ทองประศรีดึงผ้าห่ม ขึ้นมาปิดนมและร่างอันเปลือยเปล่าช่วงบนของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือมาปลดระดุมเสื้ออาทิจ แล้วหญิงสาวก็ต้องกระเด็นลงไปกองบนที่นอน เมื่ออาทิจพลิกตัวกลับมาแล้วเหวี่ยงแขนใส่หน้าหญิงสาวแบบเต็มๆ
“โอ๊ย...พี่อะ สาบานนะว่าแขน นึกว่าแข้งซะอีก เอาวะ...ไม่ต้องถ่งต้องถอดมันแล้ว ถ่ายมันทั้งอย่างนี้แหละ”
ว่าแล้วทองประศรีก็เข้าไปกอดอาทิจแล้วก็จูบที่แก้ม เอาหน้าแนบแก้มทุกท่าเป็นแบบโพสถ่ายรูปคือหันมาฉีกยิ้มแล้วส่งตาจิกมาที่กล้อง ทองประสมซึ่งกำลังเอากล้องดิจิตอลแบบถูกๆขึ้นมาถ่ายรูป เห็นแล้วถึงกับเซ็ง
“ปัดโธ่พี่ศรี ตกลงพี่ปล้ำเขาหรือเขาปล้ำพี่กันแน่”
ทองประสานเข้ามาจัดท่า
“พี่ศรีอยู่นิ่งๆไปเลย เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ทองประสมยิ้มแย้ม
“ได้ดีแล้วอย่าลืมฉันสองคนล่ะ”
“ไม่ลืมหรอกน้า ได้เป็นหลานสะใภ้คุณย่าเมื่อไหร่ พวกแกเลิกเป็นแม่ค้า เตรียมนั่งกระดิกตีนเป็นน้องคุณนายได้เลย ถ่ายเสร็จแล้วรีบออกไปก็แล้วกัน”
ทองประสานเอามืออาทิจขึ้นมาโอบกอดทองประศรี โดยให้ทองประศรีหันหลังก้มหน้างุดเหมือนกำลังร้องไห้ราวกับเพิ่งถูกอาทิจข่มขืนมายังไงยังงั้น
ดรุณีขับรถเข้ามาจอด ย่าแดงจ้ำออกมาจากบ้านพร้อมแก้ว ดรุณีก้าวลงจากรถพร้อมต๊อด อึ่ง พัน และลุงเกร็ง ย่าแดงถามทันที
“พ่ออาทิจล่ะ”
แก้วพุ่งมาถามอีกคน
“ไปเจอตัวที่ไหนคะคุณณี”
ดรุณีส่ายหน้า
“หนูหาทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่...ไม่เจอค่ะ”
ย่าแดงกับแก้วอึ้งไป
ดรุณีเดินเข้าไปหาย่าแดง ซึ่งยืนครุ่นคิดและมองฝ่าความมืดออกไปที่ระเบียง
“หนูขอโทษนะคะคุณย่า หนูหาทุกซอกทุกมุมแล้วจริงๆ...แต่อาจจะเป็นเพราะความมืดก็ได้นะคะที่บังตา พรุ่งนี้หนูจะลองตระเวนหาดูอีกที ยังไงหนูก็ต้องพาตัวเขากลับมาหาคุณย่าให้ได้”
ย่าแดงเปรยแบบไม่มีอารมณ์โกรธ แต่เหมือนเสียใจอยู่ลึกๆมากกว่า
“ถ้าเขายังอยู่ที่นี่นะ”
ประโยคสั้นๆของย่าทำให้ดรุณีรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอหอย เพราะมันเจือไปด้วยความรู้สึกใจหาย เสียใจ และห่วงหาอาทร
ทองประศรีนุ่งผ้าถุงและเอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้อาทิจอย่างละเมียดละไม
“หล่อจังเลย...ผัวฉัน”
หญิงสาวปลดกระดุมเสื้อให้ อาทิจงัวเงียพลิกตัวหนีอย่างรำคาญ ทองประศรีไม่ละความพยายาม ตามมาปลดกระดุมเสื้อให้อีก อาทิจรำคาญจนทนไม่ไหว ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งพูดเสียงยานคางเพราะเมาหนัก
“จะทำอะไร”
“เช็ดตัวให้พี่ไงจ๊ะ พี่จะได้สดชื่นกระชุ่มกระชวย”
ทองประศรีตามตอแยปลดกระดุมเสื้ออีก อาทิจปัดมือหญิงสาว
“ไม่ต้อง เธอเป็นใคร”
“ฉันชื่อทองประศรี เป็นมะ...”
ทองประศรียังไม่ทันหลุดคำว่า เมียออกมาเพราะอาทิจอ้วกพุ่งใส่หน้าหญิงสาวอย่างเต็มรักซะก่อน
“อ๊าย...อะ...อะ...อ้วก”
ทองประศรีรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ อาทิจรู้สึกหัวหมุนติ้ว ชายหนุ่มเอามือกุมหัวก่อนจะทนไม่ไหว ล้มตัวลงหลับไปกับหมอนอีกครั้ง ทองประศรีวิ่งหน้าเปียกน้ำเข้ามาหาเขาอีกครั้งหญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มแล้วยิ้มให้อย่างเอ็นดู
“มาถึงก็ฝากรักด้วยอ้วกเลยนะ น่ารักอ้ะ เดี๋ยวเถอะ...จะลงโทษซะให้ มามะ...มาให้ลงโทษซะดีๆ”
ทองประศรีเข้ามาปลดกระดุมกางเกงยีนส์ของอาทิจ ออกแรงปลดไม่รู้กี่ท่าต่อกี่ท่า ไอ้เจ้ากระดุมพวกนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดจากรังดุมง่ายๆ แถมยังต้องคอยหลบแข้งขาอาทิจที่ฟาดเหวี่ยงไปมาเพราะหงุดหงิดรำคาญ
“โอ๊ย” ทองประศรีถอนใจเฮือก “ใส่กางเกงติดกระดุมแปะกาวตาช้างมารึไง ถึงได้แกะยากแกะเย็นอย่างนี้ เหนื่อยแล้วนะเว้ย...นอนมันทั้งอย่างนี้แหละ”
ทองประศรีกระแทกตัวลงนอนข้างๆอาทิจ หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้ แล้วยื่นปากจู๋เข้าไปเตรียมจ๊วบปากสีแดงฉ่ำสตรอเบอรี่ของชายหนุ่ม อาทิจขย้อนเหมือนจะอ้วกแตกใส่หน้าอีกครั้ง ทองประศรีตาเหลือก รีบผละจากชายหนุ่ม ออกมานอนสงบอยู่อีกมุมทันที
ดรุณีล้มตัวลงนอน โดยมีแก้วขยับผ้าห่มเตรียมจะห่มให้
“น้าแก้วว่าเขาหายไปไหน”
แก้วพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยืนส่ายหน้าอย่างเดียว
“เป็นไปได้มั้ยว่าเขาจะเสียใจจนหนีไป”
“คุณย่าท่านก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่น้าแก้วว่าคุณอาทิจไม่ใช่คนอย่างนั้น”
“ถ้าเขาไม่หนีไปแล้วเขาไปอยู่ที่ไหน หรือว่า...ทางมันมืดขนาดนั้น เขาอาจจะโดนงูกัดเข้าให้แล้ว เขาจะตายมั้ยคะน้าแก้ว”
“อย่าคิดอะไรในทางร้ายเลยนะคะ”
“น้าแก้วรู้ใช่มั้ยคะว่า หนูไม่ได้มีเจตนาให้เรื่องมันบานปลายขนาดนี้”
“โถ...น้าแก้วเลี้ยงคุณณีมาตั้งแต่เด็ก น้าแก้วรู้สิคะว่าคุณณีเป็นคนยังไง”
“แต่ถ้า...เขาตาย”
“คุณอาทิจเป็นคนดีนะคะ ยังไงพระท่านก็ต้องคุ้มครองค่ะ”
ดรุณีรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ และจู่ๆก็รู้สึกเป็นห่วงอาทิจขึ้นมา
ดึกคืนนั้น...คำมาย่างสามขุมเข้ามาเห็นอาทิจนอนอยู่กับทองประศรีในมุ้งก็กระชากมุ้งดึงจนเชือกขาดแล้วโวยลั่น โดยมีทองประสานและทองประสมวิ่งหัวฟูตามมายื้อแม่ไว้
“งามหน้ามั้ยล่ะนังศรี พ่อแม่ไม่อยู่ริอ่านพาผู้ชายมานอนกกถึงในบ้าน”
ทองประศรีตกใจตื่น ดึงผ้าห่มคลุมหน้าอกไว้
“แม่!”
“เออ...กูเอง ไหน...ไอ้หน้าไหนที่มันกล้าหยามนังคำมา ขอดูหน้ามันหน่อยซิ”
คำมากระชากอาทิจขึ้นมา อาทิจซึ่งนอนหันหลังให้ทองประศรี ได้ยินเสียงโวยวายก็งัวเงียลุกขึ้นนั่งตามแรงกระชาก ชายหนุ่ม ค่อยๆลืมตา คำมาโกรธมาก
“หน้าตาไอ้แมวขโมยมันเป็นอย่างนี้นี่เอง โทรศัพท์เรียกเจ้าบรรยงมาเดี๋ยวนี้เลยนังสาน ให้มันมาลากไอ้นี่เข้าตาราง”
ทองประศรีรีบห้าม
“ทำอย่างนั้นไม่ได้นะแม่”
“เอ็งเงียบไปเลย ข้าไม่ตบเอ็งสมองบวมก็บุญเท่าไหร่แล้ว นี่ถ้าพ่อเอ็งอยู่แล้วรู้ว่าเอ็งลากไอ้คนไม่มีหัวนอนปลายตีนมากกอย่างนี้ เอ็งกับไอ้หมอนี่ตายแน่”
ทองประศรีเถียงสุดฤทธิ์
“ใครบอกว่าหลานคุณย่าไม่มีหัวนอนปลายตีน”
“ใคร...หลานคุณย่า”
“ก็พี่เขานี่ไง”
คำมาเปลี่ยนท่าทีทันที
“ฮ้า...นั่นไงแม่นึกในใจอยู่แล้วเชียวว่า หน้าตาหล่อใสกิ๊กดูมีสกุลรุนชาติอย่างนี้ จะเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าได้ยังไง ถ้างั้นก็ดีเลย ได้กันแล้วใช่มั้ย”
อาทิจงงๆ
“ได้กัน”
คำมายิ้มหน้าบาน
“ใช่ค่า...คุณกับนังศรีลูกสาวฉัน ได้กันแล้ว”
“ใคร...นังศรี”
“ก็ศรีไงจ๊ะ ศรีเป็นเมียพี่แล้ว พี่ปล้ำศรี”
อาทิจมึนมาก
“ปล้ำ...ที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไมฉันจำไม่ได้”
“ก็ที่นี่ไงจ๊ะ พี่เมาแล้วพี่ก็เลยใช้กำลังปลุกปล้ำฉัน”
“ฉัน...ฉัน...ปวดหัว”
คำมาจ้องหน้าอาทิจ
“คุณต้องรับผิดชอบนะคะ ลูกสาวฉันไม่เคยมีราคี คุณมาสร้างราคีแปดเปื้อนมันแล้ว คุณต้องรับผิดชอบ”
อาทิจงงหนัก
“ฉัน...ขอฉันกลับบ้านก่อน ปวดหัวแทบระเบิดแบบนี้ พูดกันก็...ไม่รู้เรื่อง”
“แล้วฉันจะเชื่อใจคุณได้ยังไง นังสม...เอากระดาษมาให้คุณเขาเซ็นรับนังศรีเป็น
เมียหน่อยซิ”
“ผมไม่เซ็น”
คำมาไม่พอใจ
“อ้าว...พูดอย่างนี้ จะฟันแล้วทิ้งกันรึไงวะ อย่าคิดว่าเป็นหลานคุณย่าแล้วจะเที่ยวข่มเหงใครก็ได้นะเว้ย ถือว่ารวยแล้วจะรังแกคนจนได้อย่างนั้นเหรอ คิดจะหนีล่ะสิ...บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ยอมเด็ดขาด เป็นไงเป็นกัน“
“ลูกผู้ชาย ถ้าทำผิดจริง เขาไม่หนีกันหรอก”
“แน่ใจนะว่าคุณจะรับลูกสาวฉันเป็นเมีย”
“ผมจะกลับบ้าน และผมจะไม่หนีไปไหน”
อาทิจพูดจบก็เดินโซซัดโซเซออกไปทันที ทองประศรี คำมา ทองประสาน ทองประสม ได้แต่มองตามแต่ไม่กล้าทัดทานแต่อย่างใด
ย่าแดงนั่งยกมือไหว้อยู่หน้าองค์พระที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่บูชา ด้วยจิตที่พยายามรวบรวมให้สงบนิ่ง
“ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดคุ้มครองพ่ออาทิจ ขอให้พ่ออาทิจอยู่รอดปลอดภัย อย่าได้เกิดอันตรายใดใดขึ้นเลยนะเจ้าคะ”
ท้องฟ้าที่มีเพียงดาวกับเดือนเสี้ยว อาทิจเดินโซเซมาตามทางเดินอย่างเคร่งเครียดสักครู่...ชายหนุ่มเอามือกุมหัวเหมือนปวดหัวแทบระเบิด เขาทรงตัวไม่อยู่ทรุดเข่าลงกับพื้นแล้วนอนแผ่หราหมดแรง ก่อนจะเพ้อพึมพำ
“เราทำอะไรลงไป คุณพ่อ คุณแม่ คุณย่า...คุณย่าครับ ผม...ขอโทษ”
เสียงละเมอเพ้อของเขาค่อยๆ เบาลงและแผ่วจนกลืนหายไปกับสายลมอันหนาวเหน็บ เขานอนขดตัวอยู่กลางสวนส้มอย่างโดดเดี่ยว...ชายหนุ่มสั่นสะท้านไปทั้งกายเพราะอากาศอันหนาวเหน็บและเย็นยะเยือกไปทั้งใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
โปรดติดตามตอนต่อไป
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 6 (ต่อ)
เช้าวันใหม่...ย่าแดงยืนเท้าระเบียงมองออกไปไกล หน้าตายังคงเต็มไปด้วยความกังวล แก้วยื่นถาดใส่น้ำเต้าหู้ให้ ย่าแดงส่ายหน้าปฏิเสธ ดรุณีเดินผ่านมาเหมือนจะเดินออกไปทางหน้าบ้านหญิงสาวหันมาเห็นย่าจึงเดินมาหา
“คุณย่าตื่นนานแล้วหรือคะ”
ย่าแดงหันมา พยายามทำหน้าให้เป็นปกติ
“จ้ะ”
“หนูรู้ว่าคุณย่าไม่ได้นอนเลย หนูกำลังจะออกไปตามนายอาทิจอีกครั้ง หนูจะพยายามตามเขาให้เจอนะคะ”
ย่าแดงพยักหน้า ในขณะที่ต๊อด วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณย่าคร้าบ คุณย่า”
“มีอะไรเจ้าต๊อด หรือว่า...เจอพ่ออาทิจแล้วใช่มั้ย”
ต๊อดหอบแฮก
“ครับคุณย่า”
แก้วตื่นเต้น
“คุณอาทิจอยู่ไหนเจ้าต๊อด แกไปเจอคุณอาทิจที่ไหน”
“นอนตัวขดตัวงออยู่ในสวนส้มน่ะครับน้าแก้ว ตอนนี้ต๊อดให้เจ้าอึ่งกับเจ้าพันช่วยกันพากลับไปนอนที่บ้านแล้วครับ”
ย่าแดงกับแก้ว หน้าตามีรอยยิ้มมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ไม่เว้นแม้แต่ดรุณีที่เผลอยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
อาทิจนอนหลับตากระสับกระส่าย โดยมีอึ่งกับพันหันมามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี ย่าแดง ดรุณี แก้ว ต๊อด จ้ำเข้ามาในห้อง ทุกคนอึ้งที่เห็นอาทิจนอนตัวสั่นปากซีดและมีอาการเพ้อ ย่าแดงโผเข้ามาหาหลาน
“พ่ออาทิจ”
อาทิจพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์
ภาพในอดีตแว่บเข้ามาในห้วงคำนึงของอาทิจ...พูนทรัพย์ก้มลงมองอาทิจซึ่งนอนหนุนตัก โดยมีน้องสาวและน้องชายอีกสองคนนอนบนขาและนอนพาดอยู่บนตัวชายหนุ่มอีกที เด็กๆตะโกนท่องเรื่องศีล 5 แข่งกันเหมือนตะโกนท่องอาขยาน
“1 ห้ามฆ่าสัตว์ 2 ห้ามลักทรัพย์ 3 ห้ามประพฤติผิดในกาม 4 ห้ามพูดปด 5 ห้ามดื่มสุราที่แปลว่าเหล้า”
พูนทรัพย์ยิ้มเอ็นดู
“เก่งมากจ้ะ ศีล 5 เป็นศีลขั้นพื้นฐานที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ไม่ให้เราเข้าไปข้อง
เกี่ยวหรือทำผิดศีลทั้ง 5 ข้อนี้ เพราะมันจะทำให้เราไม่มีความสุข โดยเฉพาะศีลข้อที่ 5 ที่ห้ามไม่ให้ดื่มเหล้า เพราะการดื่มเหล้าจะทำให้เราขาดสติ และเมื่อเราขาดสติก็จะทำให้เราทำผิดศีลข้ออื่นตามมา”
อาทิจยิ้มรับ
“จริงครับคุณแม่ ถ้าเราเมา...เราก็อาจจะฆ่าสัตว์ เป็นหัวขโมย ข่มเหงผู้หญิง หรือ
แม้แต่โกหกได้ทั้งนั้น เพราะเราไม่มีสติ เราถึงขาดการยับยั้งชั่งใจ”
“ถูกต้องจ้ะ เหล้า...นอกจากจะทำลายตัวเองแล้ว ยังทำร้ายคนที่อยู่รอบข้าง อย่างน้อยก็ทำให้เขาทุกข์ใจ รำคาญใจ และเจ็บปวดใจ ในฐานะที่อาทิจเป็นลูกคนโต ลูกต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของน้องๆ แม่ขอร้อง...อยู่ให้ห่างมันได้มั้ยจ๊ะ ถ้าจำเป็นต้องดื่ม แม่ก็ขอให้ลูกดื่มอย่างมีสติ ให้ใจเราเป็นนายเหล้า ไม่ใช่ยอมให้เหล้าเป็นนายเรา รับปากแม่ได้มั้ย”
“ครับคุณแม่ ผมจะอยู่ห่างมันให้มากที่สุดครับ”
อาทิจเพ้อขอโทษแม่เสียงแหบแห้ง
“คุณแม่...คุณแม่ครับ ผมขอโทษ ผมขอโทษ”
คำพูดของคำมากับทองประศรีดังลั่น ซ้ำไปซ้ำมาในหัวของชายหนุ่ม
“คุณกับนังศรีลูกสาวฉัน ได้กันแล้ว”
“ศรีเป็นเมียพี่แล้ว พี่ปล้ำศรี”
อาทิจกระสับกระส่าย เพ้อเสียงดัง
“คุณย่า...ผม...ผิดไปแล้ว คุณย่าครับ”
ย่าแดงยื่นมือมากุมมือหลานชายไว้ อาทิจค่อยๆลืมตาขึ้นมามอง สายตาของชายหนุ่มเห็นใบหน้าของย่าแดงจากที่เบลอๆจนค่อยๆกลายเป็นชัด
“ผมขอโทษ”
อาทิจค่อยๆหลับตาลงด้วยความเพลียและอ่อนล้าอีกครั้ง ย่าแดงเอาหลังมือแตะหน้าผากแล้วตกใจ
“ตัวร้อนอย่างกับไฟ แม่ณีรีบไปโทรศัพท์ตามหมอมาหน่อยเถอะไป”
“แก้วไปด้วยค่ะคุณณี”
ต๊อดหันไปถามอึ่งกับพัน
“นี่พวกเอ็งยังไม่ได้ทำอะไรกันเลยเหรอ เช็ดตัวให้คุณอาทิจรึยัง”
อึ่งส่ายหน้า
“ยัง...ตอนแรกว่าจะเช็ด แต่ไอ้พันน่ะสิมันกลัวคุณอาทิจชัก”
พันหน้าจ๋อย
“ผมไม่กล้าครับคุณย่า นายนอนตัวสั่น ผมกลัวนายหนาว”
“ที่หมอเขาให้เช็ดตัวคนที่ไข้สูงบ่อยๆ เพราะร่างกายจะได้ระบายความร้อนออกมา ไข้มันจะได้ลด เอ้า...ช่วยกันถอดเสื้อผ้าให้พ่ออาทิจเร็วเข้า เดี๋ยวฉันจะเช็ดตัวให้เอง เจ้าต๊อด...ตามมาจุดฟืนต้มน้ำให้หน่อย”
ย่าแดงเดินนำต๊อดออกไปทางหน้าบ้าน อึ่งกับพัน เข้าไปช่วยปลดกระดุมเสื้อให้อาทิจ
สิงห์ทองตะโกนเสียงดังท่วมบ้าน
“พวกเอ็งจะโง่ไปถึงไหนวะ ทำไมไม่จับไอ้หลานคุณย่ามันเซ็นรับนังศรีเป็นเมียก่อน แล้วค่อยปล่อยมันไป”
ทองประศรีนั่งบีบน้ำตาร้องไห้ โดยมีบรรยงนั่งปลอบใจอยู่ข้างๆ คำมา ทองประสาน ทองประสม นั่งอยู่ด้วยกัน คำมาโวยวาย
“ก็มันว่ามันจะรับผิดชอบ มันบอกลูกผู้ชายถ้าทำผิดจริงเขาไม่หนีกันหรอก”
ทองประสานเปรยลอยๆเบาๆ
“ถ้าเขาปล้ำพี่ศรีจริงนะ”
สิงห์ทองได้ยิน
“เอ็งหมายความว่ายังไงนังสาน”
ทองประศรีแทรกขึ้นทันที
“จะหมายความว่ายังไง ก็หมายความว่าพี่เขาปล้ำฉันจริงๆน่ะสิ นังสานกับนังสมยังแอบถ่ายรูปไว้เลย”
ทองประสมพยักหน้ารับ
“ฉันถ่ายจริงจ้ะพ่อ”
บรรยงแค้นๆ
“ถ้ามีหลักฐานมัดตัวอย่างนี้ก็ดิ้นไม่หลุด น่าเจ็บใจจริงๆ น้องศรีไม่น่าไล่พี่ยงกลับก่อนมันเลย เห็นมั้ย...โดนมันปั่มปั๊มเอาจนได้ พี่ยงจีบน้องศรีมาตั้งกี่ปี ไหล่ไม่เคยได้กอด มือไม่เคยได้จับ หน้าผากไม่เคยได้จูบ แถมแก้มก็ไม่เค๊ยลูบคลำ”
สิงห์ทองโกรธมาก
“พูดแล้วของขึ้น ไปเอาเรื่องมันเดี๋ยวนี้เลย...ไป”
บรรยงรีบห้าม
“เดี๋ยวก่อนน้า เรื่องมันเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมง รอให้ถึงคืนนี้ก่อน ถ้ามันไม่มาเจรจาก็เท่ากับส่อเจตนาว่ามันจะไม่รับผิดชอบ แล้วเราค่อยไปเอาเรื่องมัน พรุ่งนี้ก็ยังไม่สายเกินไปหรอกน้า”
ทองประศรีอดอ้อนบรรยง
“พี่ต้องช่วยฉันนะพี่ยง”
“พี่ยงรักน้องศรีนะจ๊ะ ถึงพี่ยงจะไม่ได้น้องศรีเป็นเมีย พี่ยงก็ไม่ยอมให้น้องศรีเสียตัวฟรีๆหรอกจ้ะ”
“ขอบคุณนะจ๊ะพี่”
ทองประศรีกราบบรรยงที่อกอย่างเอาใจ บรรยงเคลิ้มจัดจับมือหญิงสาว ได้แต๊ะอั๋งนิดหน่อยก็ยังดี
อาทิจซึ่งถูกถอดเสื้อออกเรียบร้อยแล้วยังคงนอนหลับไม่ได้สติ โดยมีอึ่งกับพัน ช่วยกันปลดกระดุมเพื่อจะถอดกางเกงยีนส์ที่ชายหนุ่มสวมอยู่ ทั้งคู่ช่วยกันปลด ช่วยกันดึงกางเกงอาทิจสารพัดท่า ทั้งยันกันเอง ทั้งยึดตัวเองไว้กับเสาเพื่อให้มีแรงดึงจนหงายหลังผึ่งไปตามๆกัน ต๊อดถือกะละมังน้ำอุ่นเดินนำย่าแดง เข้ามายืนมองทั้งคู่ ต๊อดหันไปถาม
“ยังถอดไม่เสร็จอีกรึวะ วันนี้จะได้เช็ดตัวนายมั้ย”
พันปาดเหงื่อ
“ก็กางเกงนายมันโคตรฟิตเลยนี่หว่า”
อึ่งหอบเหนื่อยๆ
“ไม่รู้ว่าแฟชั่นหรือว่าประหยัดกันแน่ ตัวเนี่ย...ใส่อย่างต่ำๆก็ตั้งแต่ม.1 แหง”
ว่าแล้วทั้งคู่ก็ออกแรงดึงเฮือกสุดท้าย กว่าจะหลุด ตัวก็กระเด็นไปกระแทกติดข้างฝาคนละด้าน กระดูกกระเดี้ยวแทบหักด้วยกันทั้งคู่ ย่าแดงสั่งอึ่งกับพัน
“เอาผ้าห่มคลุมตัวพ่ออาทิจไว้ แล้วไปทำงานกันได้แล้ว อ้อ...แวะไปบอกแม่ณีให้ทำข้าวต้มกับไข่เจียวมาให้พ่ออาทิจด้วยนะเจ้าต๊อด”
อึ่งกับพัน ช่วยกันดึงผ้าห่มคลุมให้อาทิจ ในขณะที่ต๊อดวางกะละมังน้ำอุ่นลงข้างๆชายหนุ่ม
“ครับคุณย่า”
ทั้งสามคนเดินออกไป ย่าแดงหยิบผ้าขนหนูซึ่งอาทิจใช้เช็ดหน้าออกมาจากตู้เสื้อผ้าสามสี่ผืน แล้วชุบน้ำอุ่นก่อนจะขยับเข้ามาหา รู้สึกสะกิดใจกับกลิ่นเหล้าเล็กน้อย ก่อนจะลงมือเช็ดตัวให้หลานชาย
ดรุณีหน้าหงิกอยู่มุมใดมุมหนึ่งในบ้าน ไม่พอใจที่ถูกสั่งให้ทำข้าวต้มให้อาทิจ
“ทำไมต้องเป็นฉันด้วย นายฟังคุณย่ามาผิดรึเปล่า น่าจะเป็นน้าแก้วมากกว่านะ”
แก้วกับจิ๋วแจ๋วหันมามองหน้ากัน ต๊อดยืนยัน
“คุณย่าท่านเอ่ยชื่อคุณณีแน่นอนครับ ผมได้ยินมาเต็มสองรูหูเลยครับ”
“ฉัน...ไม่ว่าง เดี๋ยวจะให้จิ๋วแจ๋วทำไปส่งก็แล้วกัน”
“จิ๋วแจ๋วก็ไปจัดอาหารกลางวันให้คนงานไม่ทันสิคะ” จิ๋วแจ๋วมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ในห้องแล้วตกใจ “ว้าย...สิบโมงกว่าแล้ว จิ๋วแจ๋วไปก่อนนะแม่”
ต๊อดหันไปหาจิ๋วแจ๋ว
“รีบอย่างนี้ อย่าเดินไปเลยน้องจิ๋วแจ๋ว”
“ไม่เดินแล้วจะให้บินไปรึไงพี่ต๊อด”
“เปล่าจ้ะ วิ่งไป แต่ไม่ต้องวิ่งเอง น้องจิ๋วแจ๋วขี่หลังพี่ต๊อด พี่ต๊อดจะวิ่งให้เองจ้ะ”
“จิ๋วแจ๋วไปเตรียมจานเตรียมช้อนนะ ไม่ได้ไปไถนา”
จิ๋วแจ๋วเดินหนีอย่างอิดหนาระอาใจ ต๊อดจ๋อยๆ
“พี่ต๊อดอุตส่าห์เสนอตัวให้สนตะพาย จะไม่สนหน่อยหรือจ๊ะ น้องจิ๋วแจ๋ว”
แก้วมองอย่างหมั่นไส้
“จิ๋วแจ๋วมันไม่สน แต่แม่จิ๋วแจ๋วชอบสนมากเลยไอ้ตะพายเนี่ย...ได้มั้ย”
ต๊อดยิ้มแหะๆ
“สงสัยจะไม่ได้อะน้าแก้ว ต๊อดรับน้ำหนักไม่ไหว ต๊อดไปทำงานก่อนนะ”
พูดจบต๊อดก็รีบวิ่งจู๊ดออกไปทันที แก้วหันไปหาดรุณี
“ไปต้มข้าวต้มให้พี่เขาเถอะค่ะคุณณี ถ้าคุณณีรู้สึกผิด การทำอาหารให้ก็นับเป็นการขอโทษที่ดีนะคะ”
ดรุณีนิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะเชิดหน้าพูดกับแก้วอย่างมั่นใจ ในความรู้สึกของตัวเอง
“ได้...หนูจะทำ แต่ไม่ใช่หนูรู้สึกผิดอะไรกับนายอาทิจนะคะ หนูแค่ไม่อยากรู้สึกผิดถ้าต้องขัดคำสั่งคุณย่าเท่านั้น”
ดรุณีเชิดหน้าเดินตึงๆออกไป แก้วมองตามหญิงสาวแล้วถอนใจ แต่ก็อดยิ้มให้ไม่ได้
ดรุณีเปิดหม้อดินคนข้าวต้ม ควันข้าวต้มโรยตัวขึ้นแตะจมูกหญิงสาว ดรุณีสูดหายใจลึกแล้วยิ้ม...
“อื้ม...หอมฉุย”
ดรุณียกหม้อข้าวต้มลง แล้วเอากระทะขึ้นตั้งไฟ เทน้ำมันพร้อมกันนั้นก็เอาไข่ซึ่งตีไว้แล้ว มากระหน่ำตีจนฟูอีกครั้ง ก่อนจะใส่หัวหอมใหญ่ มะเขือเทศและพริกใหญ่ซึ่งหั่นเป็นลูกเต๋าชิ้นเล็กๆอย่างตั้งใจใส่ลงไปในไข่แล้วเอาส่วนผสมทั้งหมดเทลงกระทะที่กำลังร้อนจัด เสียงฉ่าดังขึ้นพร้อมๆกับไข่เจียวที่กำลังขึ้นฟู ดรุณีชมตัวเอง
“อ๊าย...หน้าตาน่ากิ๊นน่ากิน ฝีมือไม่ตกเลยเรา”
ดรุณี ภูมิใจในฝีมือทำกับข้าวของตัวเอง
หมอถอนเข็มฉีดยาออกจากสะโพกอาทิจ โดยมีย่าแดงกับแก้ว นั่งเฝ้าอยู่ไม่ไกล
“คงต้องให้นอนพักสัก สองสามวันนะครับ ถึงจะมีแรงไปทำงานได้ แต่ก็ควรจะเริ่มจากงานเบาๆก่อนนะครับ จะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป ส่วนยาที่ผมจัดให้ ที่เป็นยาฆ่าเชื้อต้องกินให้หมดนะครับ ส่วนยาตัวอื่นถ้าไม่มีอาการแล้วก็หยุดกินได้ครับ”
“ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ”
“ไม่เป็นครับคุณย่า ถ้ามีอะไรก็โทรเรียกผมได้ตลอดเวลา ผมขอตัวก่อนนะครับ”
หมอยกมือไหว้ ย่าแดงรับไหว้
“แก้วไปส่งคุณหมอก่อนนะคะคุณย่า”
ย่าแดงพยักหน้า แก้วเดินนำหมอออกไป อาทิจมองย่าแดงด้วยแววตาร้อนผ่าว พิษไข้ทางกายรุนแรงน้อยกว่าพิษที่ค้างคาอยู่ในใจหลายเท่า เขาอยากจะสารภาพผิด
“คุณย่าครับ ผม...มีเรื่องที่ต้องสารภาพผิดกับคุณย่า ผม...”
ย่าแดงเข้าใจว่าเป็นเรื่องกล้วยป่า
“ย่าเข้าใจนะว่าพ่อรู้สึกยังไง ย่าอยากจะบอกพ่อว่าการที่เราไม่รู้เรื่องอะไรมันไม่ใช่ความผิดนะ ตอนนี้ย่าสั่งให้เจ้าฑูรมันไปเอากล้วยมาลงใหม่แล้ว ต่อไปพ่อก็ดูแลเหมือนเดิม”
“คุณย่าครับ...มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้น มัน...”
ขณะเดียวกันนั้นดรุณีหิ้วปิ่นโตเข้ามาพอดี
“เอ้า...ข้าวมาแล้ว ลุกมากินข้าวก่อนเถอะพ่อ ลุกไหวมั้ย”
อาทิจจำต้องกลืนเรื่องที่อยากจะพูดลงคอ ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นอย่างยากเย็น
“แม่ณี...มาช่วยประคองพี่เขาลุกขึ้นซิ”
ดรุณีซึ่งกำลังถอดปิ่นโตออกจากเถาหน้าตึง ย่าแดงเห็นหลานสาวตั้งแง่ก็เลยขยับเข้ามาจะช่วยประคองอาทิจซะเอง ทำให้ดรุณีจำต้องขยับมาประคองชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งไปโดยปริยาย
“อื๋อ...กินหรืออาบมาห๊า เหล้าน่ะ เหม็นหึ่ง ตัวก็หนักยังกับปั่นจั่น ขนาดป่วยนะเนี่ย”
ย่าแดงเห็นอาทิจนั่งตั้งหลักได้แล้ว จึงหันไปสั่งดรุณี
“อย่าบ่นไปเลยน่า ไหนทำอะไรมาบ้างล่ะ”
ดรุณีเชิดหน้าเชิดไหล่ภูมิใจเสนอ
“ไข่เจียวจักรพรรดิ กับข้าวต้มใบเตยอบหม้อดินค่ะ”
ย่าแดงยิ้มพอใจก่อนจะหันไปบอกอาทิจ
“กินเลยพ่อ จะได้กินยา”
อาทิจพยายามแข็งใจจับช้อนแล้วตักข้าวต้มเข้าปาก แต่ก็ยังมือสั่น
“ไหวมั้ยล่ะนั่น แม่ณี...ช่วยป้อนข้าวให้พี่เขาหน่อยเถอะ”
ดรุณีซึ่งกำลังนั่งเชิดหน้าเชิดไหล่เป็นนางพญา ไหล่ห่อจิตเหี่ยวขึ้นมาทันที หญิงสาวจำต้องดึงช้อนมาจากเขา แล้วตักข้าวต้มป้อนใส่ปาก อาทิจห่อปากร้องครางเพราะข้าวต้มที่ตักใส่ปากร้อนเหมือนเพิ่งยกลงมาจากเตา ย่าแดงหันไปดุหลานสาว
“เอ้า...เดี๋ยวก็ลวกปากลวกคอพี่เขาพอดี เป่าให้มันหายร้อนก่อนสิจ๊ะ”
ดรุณีหงุดหงิดที่ต้องทำนั่นนี่ให้อาทิจ หญิงสาวเป่าลมอัดใส่ข้าวอย่างแรงเพื่อประชดชายหนุ่ม และข้าวเจ้ากรรมก็บังเอิญกระเด็นไปติดหน้าเขาเหมือนดรุณีจงใจแกล้ง
“ปัดโธ่...แม่ณี เป่าเบาๆก็ได้ ดูสิ...พี่เขาเลอะหมดแล้ว เอ้า...ผ้าเช็ดให้พี่เขาซะ”
ดรุณีรับผ้ามาจากย่าหน้าหงิก หญิงสาวตั้งท่าจะเช็ดหน้าเขาอย่างแรงราวกับจะเช็ดกระจก แต่ย่าแดงรู้แกวรีบขัด
“เบา...เบา”
ดรุณีจำต้องผ่อนน้ำหนักที่มือตามคำสั่งย่า เสร็จแล้วจึงตักข้าวป้อนเขาโดยทำเมินไม่มองหน้า นั่นทำให้ช้อนข้าวต้มกับหน้าอาทิจอยู่คนละทิศละทาง อาทิจต้องเอียงหน้าไปตามช้อน ดรุณีตักข้าวต้มคำใหม่ ป้อนโดยไม่มองหน้าทำให้ช้อนกับปากเขา อยู่คนละทิศละทางเหมือนเดิม อาทิจต้องขยับปากตามช้อนอีกครั้ง ขณะที่กำลังอ้าปากงาบข้าวต้ม ดรุณีถอนใจอย่างแรงทำให้ช้อนเปลี่ยนทิศทางอีก ย่าแดงส่ายหน้าระอา
“พ่ออาทิจจะได้กินข้าวมั้ยนั่น”
ดรุณีหันมาเห็นหน้าอาทิจกับช้อนที่เธอยื่นไปอยู่คนละองศา หญิงสาวยิ้มเจื่อนให้ย่าก่อนจะรีบป้อน รีบตักข้าวให้เขา แล้วก็ป้อนๆๆๆ
“โอ๊ย...อะไรกันแม่ณี ยัดทะนานเข้าไปขนาดนั้น เดี๋ยวก็ได้สำลักกันพอดี ป้อนช้ากว่านี้ก็ได้”
ดรุณีถอนใจอีกหนึ่งเฮือก ก่อนจะตักข้าวกับไข่เจียวใส่ปากเขาอย่างช้าลง ย่าแดงหันไปถามหลานชาย
“อร่อยมั้ยล่ะพ่อ”
“อร่อยครับ”
ดรุณียิ้ม ทำเชิดหน้าเชิดไหล่ใส่อาทิจ
“ถ้าอย่างนั้น ทำมาให้พี่เขากินที่นี่ทุกมื้อเลยนะแม่ณี”
ดรุณีหายหยิ่ง เปลี่ยนเป็นเหวอแล้วหันไปส่งสายตาตัดพ้อใส่ย่า
“จนกว่าพี่เขาจะหาย ลุกไปทำงานไหว”
ดรุณีช้อนตก มือตก คอตก อยากกลั้นใจตายอยู่ตรงนั้น
บ่ายวันนั้น ไพฑูรย์นั่งเอาผ้าเช็ดเหงื่อที่แข่งกันไหลย้อย โดยมีตุ๊ช่วยปลูกกล้วยอยู่ข้างๆ ตุ๊บ่นงึมงำ
“ยายคุณย่านี่แสบจริงๆ หลานสาวตัวเองทำผิดแท้ๆ มาโบ้ยขี้ให้พี่ฑูรย์คนเดียว แถมยังห้ามไม่ให้ คน มาช่วยอีกต่างหาก”
“แล้วน้องตุ๊มาช่วยพี่ทำไม”
ตุ๊ไม่พอใจ เสียงเขียวใส่
“ตุ๊เป็น หมา มั้ง”
“ไม่ใช่...พี่ฑูรหมายถึง น้องตุ๊ไม่กลัวคุณย่าว่าเอาเหรอที่มาช่วยพี่ฑูรแบบนี้น่ะ”
“ไม่กลัว เพราะตุ๊ไม่ได้เป็นคนงานคุณย่า ไม่มีเงินเดือนไม่มีเบี้ยเลี้ยงกับใครเขา คุณย่าจะมาตัดเงินอะไรกับตุ๊”
ไพฑูรย์ยิ้มปลื้ม
“ขอบใจนะเมียรัก อุตส่าห์เป็นห่วง...กลัวพี่ฑูรจะเหนื่อย”
“ก็ใช่สิ...เหนื่อยมากๆเดี๋ยวยอดตก”
ไพฑูรย์งงๆ
“ยอดตก อ๋อ...เงินเดือนกับเบี้ยเลี้ยงพี่ฑูรน่ะเหรอ”
“เปล๊า...ยอดยกต่างหาก คืนนี้จัดไม่ครบ 4 ยก ตุ๊ก็ค้างน่ะสิ”
ไพฑูรย์ยิ้มแห้งผาก
“ทดไปวันอื่นได้มั้ยน้องตุ๊ เดี๋ยวพี่ฑูรมีเบิ้ลแล้วจัดโปรโมชั่นแจกแถมให้ไม่อั้น...นะจ๊ะ...วันนี้พี่ฑูรเหนื่อยจนหดหมดแล้ว”
“ไม่เอา...ตุ๊ไม่เอาโปรโมชั่น ของแจกของแถมตุ๊ก็ไม่เอา...” ตุ๊ร้องเป็นเพลง “ไม่ต้องรักเท่าฟ้า แต่ขอให้รักเท่าเดิม ไม่ต้องมีเพิ่มเติม แต่รักอย่าน้อยลงไป จัดมาวันละ 4 ไม่ต้องมีเพิ่มแต่ห้ามน้อยกว่านี้เด็ดขาด”
ตุ๊ชูนิ้วขึ้นมา 4 นิ้ว
“คงไม่ยากเกินไปสำหรับน้องนะ”
ไพฑูรย์เห็นท่าสัญลักษณ์ทางเพศของตุ๊แล้วหน้าซีดปากสั่น
ย่าแดงนั่งดูดรุณีจัดยาและส่งยาให้อาทิจกิน ตามด้วยน้ำอีกหนึ่งแก้ว
“หมดหน้าที่ของหนูแล้ว หนูขอตัวกลับก่อนนะคะคุณย่า”
ดรุณีหันไปจัดการเก็บปิ่นโตเข้าเถา เตรียมจะกลับบ้าน ย่าแดงเอาหลังมือแตะที่หน้าผากอาทิจ
“ตายจริง ตัวยังร้อนจี๋อยู่เลย แม่ณี...เช็ดตัวให้พี่เขาหน่อยเถอะ”
ดรุณีซึ่งถือปิ่นโตเดินออกไปจะพ้นประตูอยู่แล้ว หันกลับมาแล้วอุทานเสียงดัง
“ห๊า! คะ...คุณย่าจะให้หนูทำอะไรนะคะ”
“เอาน้ำร้อนในกระติกนั่นผสมน้ำให้พออุ่น แล้วเช็ดตัวให้พี่เขา”
อาทิจกับดรุณีหันมาสบตากัน แล้วต่างคนต่างหลบตา
“เอ่อ...ผม...เอ่อ...ไม่เป็นไรครับคุณย่า รอเจ้าต็อดมาเช็ดให้ก็ได้ครับ”
“หรือจะน้าแก้วดีคะ เดี๋ยวหนูไปตามให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
ดรุณีจะวิ่งออกไป แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อย่าแดงพูดเบรกเอาไว้
“ย่าอยากให้แม่ณีเป็นคนทำ เพราะถ้าย่าล้มหมอนนอนเสื่อเป็นอะไรไป แม่ณีจะ
ได้ดูแลย่าได้”
ดรุณีจำต้องหันกลับมา เพราะเหตุผลอันมีน้ำหนักยิ่งของย่า
“มาเรียนรู้ตอนนี้น่ะดีแล้ว เพราะพี่เขาป่วยจริงๆ เราจะได้รู้ว่าแตะไปตรงไหนแล้วพี่เขาเจ็บหรือไม่สบายตัว เราจะได้เบามือ เอ้า...ถอดเสื้อผ้าออกซะ”
ดรุณีตาลุกวาว ร้องเสียงหลง
“ให้หนูถอดหรือคะคุณย่า”
“เรื่องนี้พ่ออาทิจเขาคงช่วยตัวเองได้น่า ไป...เราออกไปรอข้างนอกกันก่อน” ย่าแดงหันไปบอกอาทิจ “เสร็จแล้วเรียกย่านะพ่อ”
อาทิจรับคำเก้อๆ
“เอ่อ...ครับ”
อาทิจกับดรุณีชายตามามองกันแวบหนึ่ง แล้วต่างคนต่างรีบหลบตากันทันที
โปรดติดตามตอนต่อไป
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 6 (ต่อ)
วิไลลักษณ์ เวทางค์ วิยะดาก้าวเข้ามาพร้อมเอ่ยปากอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ห๊า!”
วิไลลักษณ์อยากรู้อยากเห็นมากถึงมากที่สุด
“คุณพี่ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน”
ประเวทย์ในชุดข้าราชการถอนใจ
“นายอำเภอโทรมาบอกพี่ว่า มีตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลท้องที่ของสวนคุณย่ามาเล่าให้ฟังอีกที เขาไม่อยากให้ข่าวนี้แพร่ออกไป เพราะจะทำให้เรื่องมันบานปลายและจะกระทบถึงคุณย่า แล้วก็ตัวพี่ด้วย”
วิยะดาไม่เชื่อ
“มันจะเป็นไปได้ยังไงคะ วิไม่เชื่อหรอกว่าพี่อาทิจจะไปเอาแม่ค้าพรรค์นั้นทำเมีย”
เวทางค์เหยียดหยัน
“ก็มันเมาไง เวลาเมามีผู้ชายหน้าไหนสนใจมั่งว่า ผู้หญิงที่นอนด้วยเป็นลูกใครทำงานอะไร”
วิยะดาค้อนพี่ชาย
“เหมือนพี่เวใช่มั้ยล่ะ”
“ไม่เหมือน เพราะพี่ไม่ชอบอยู่ใกล้แม่ค้าหน้าบ้านๆ อย่างพี่อย่างต่ำต้องระดับพริตตี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นโอกาสจะเสียท่าแม่ค้าภูธรอย่างเจ้าอาทิจเป็นศูนย์”
วิยะดายังไม่เชื่ออยู่ดี
“มันอาจจะเป็นแค่ข่าวลือก็ได้ พี่อาทิจไม่ใช่เสือผู้หญิงอย่างพี่เวนี่ ออกจะเงียบๆด้วยซ้ำ”
วิไลลักษณ์เบ้หน้า
“ไอ้พวกเงียบๆหงิมๆนี่แหละที่บทจะร้ายมันก็ร้ายซะจนเราคาดไม่ถึง ถ้าเรื่องนี้ไม่มี
มูล หมามันไม่ขี้หรอก คนมันไม่ได้ดีจริง ถึงจะเก็บซ่อนความชั่วไว้ยังไง สักวันความชั่วมันก็ต้องปูดออกมาจนได้”
ประเวทย์ปราม
“อย่าเพิ่งไปประณามเด็กมันขนาดนั้นเลย”
“วิจะไปถามพี่อาทิจเดี๋ยวนี้เลยว่านี่มันเรื่องจริง หรือมีใครใส่ร้ายพี่อาทิจกันแน่”
วิยดาจะไปประเวทย์คว้ามือลูกไว้
“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอกลูก รอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อน พ่อจะไปด้วย เพราะถ้ามันเป็นเรื่องจริง มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเหมือนกัน”
วิไลลักษณ์ตาวาวรู้สึกโล่งใจ
“คิดในแง่ดี การที่เจ้าอาทิจมันได้เมีย มันก็มีข้อดีเหมือนกัน อย่างน้อยตาเวก็หมดคู่แข่ง ทีนี้หนทางระหว่างลูกกับยายณีก็สว่างโร่เลยลูกเอ๊ย”
วิไลลักษณ์ดึงลูกชายคนโปรดเข้ามากอดแน่น ในขณะที่ประเวทย์และวิยะดายืนคาใจอยู่อย่างนั้น
อาทิจนอนห่มผ้าปิดมาถึงต้นคออย่างประดักประเดิด ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ดรุณีซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ไม่กล้าสบตาเขา ย่าแดงนั่งอยู่ข้างๆดรุณี แล้วเริ่มสอนวิธีเช็ดตัวที่ถูกต้องให้หลาน อย่างเป็นงานเป็นการ
“เอาผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆพันใส่มือแบบนี้ แล้วเช็ดหน้าพี่เขาให้ทั่ว เสร็จแล้วพักผ้าไว้ที่ซอกคอ”
ดรุณีหัวใจเต้นตึกตัก ดังทะลุออกมานอกอก ไม่รู้จะทำยังไงดี นอกจากแกล้งบิดผ้านานๆ
“พี่เขาจะได้เช็ดตัวมั้ย เดี๋ยวก็ได้หนาวตายกันพอดี เช็ดที่หน้าพี่เขาเร็วเข้าลูก”
ดรุณีหมดทางยื้อ หญิงสาวเช็ดหน้าให้อาทิจ แต่เพราะอยากจะให้เสร็จเร็วๆจึงรีบถูจนหน้าอาทิจยู้ไปยู้มา ย่าแดงปราม
“หน้าคนไม่ใช่โต๊ะกินข้าวนะแม่ณี ลงน้ำหนักให้พอดีพองามสิจ๊ะ”
ดรุณีค่อยๆถอนใจ ไม่กล้าผ่อนลมหายใจแรงเพราะกลัวย่าจะดุ หญิงสาวเบามือตามที่ย่าสั่ง ทั้งอาทิจและดรุณีพยายามไม่สบตากัน แต่ขณะที่หญิงสาวพักผ้าไว้ที่คอเขา อาทิจก็แอบเหล่มามองเมื่อสายตาประสานกัน ทั้งคู่ก็รีบหลบตาหนีกันไปคนละทิศละทาง ดรุณีถามย่าแก้เก้อ
“ทำไมต้องพักผ้าไว้ที่คอด้วยคะคุณย่า”
“เพราะคอเป็นที่รวมของหลอดเลือดและความร้อนจ้ะ เราต้องระบายความร้อนออกไป เอ้า...ทีนี้หนูเอาผ้าผืนใหม่ชุบน้ำเช็ดตรงอกให้พี่เขา”
“คะ...คือ...แบบว่า...เช็ค...แบบ...เอาผ้าห่มออก...หรือคะ”
ดรุณีอายหน้าแดง หน้าอาทิจก็พลอยแดงเปล่งขึ้นมาด้วย เป็นอาการก้ำกึ่งระหว่างเป็นไข้กับเขิน ย่าแดงรู้ว่าทั้งคู่กำลังเขินกันอย่างหนัก จึงทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องปกติได้เนียนๆด้วยการสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่าง
“ไม่ต้องหรอกลูก แค่ยกผ้าห่มขึ้นแล้วเอาผ้าเช็ดไปที่อกให้ทั่วแบบนี้ แม่ณีเอาผ้าที่พักไว้ที่คอชุบน้ำแล้วพับเป็นผืนเล็กๆให้พ่ออาทิจกำไว้ก่อน”
ดรุณีทำตามที่ย่าสั่ง ย่าแดงเอาผ้าออกจากอกหลานชาย แล้วคลุมผ้าห่มให้ตามเดิม ก่อนจะเอาผ้าผืนเดิมชุบน้ำบิดแล้วยื่นให้ดรุณี
“เช็ดแขนให้พี่เขา”
ดรุณีรับผ้าจากย่ามาเช็ดแขนให้อาทิจ จากต้นแขนลงมา โดยยังไม่ได้จับแขนชายหนุ่ม
“ไม่ถูกลูก หนูต้องเช็ดจากปลายนิ้วย้อนกลับขึ้นไปที่หัวใจ ไม่ว่าจะเช็ดแขนหรือขาให้คนไข้ เราก็ต้องเช็ดอย่างนี้ เพราะมันจะช่วยเปิดรูขุมขนให้ระบายความร้อนในร่างกายได้เร็วขึ้น แม่ณี...จับแขนพี่เขายกขึ้นเช็ดสิจ๊ะ จะได้เช็ดถนัดๆ”
ดรุณีใช้หางตาเหล่มองชายหนุ่ม อาทิจรู้ว่าหญิงสาวมอง จึงเลี่ยงหลบด้วยการเบนสายตาไปมองทางอื่น ดรุณีเอื้อมมือไปจับแขนของเขา อาทิจใจเต้นตึกตักเพราะเป็นครั้งแรกที่ดรุณีสัมผัสร่างกายเขา ไม่ใช่โดยบังเอิญเหมือนทุกครั้ง ครั้งนี้หญิงสาวตั้งใจแต่จะเต็มใจหรือไม่ เขาไม่รู้ ดรุณีเองก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าตัวเองอายแสนอายขนาดไหน เกิดมาไม่เคยต้องเป็นฝ่ายแตะเนื้อตัวผู้ชายที่ไหนมาก่อน
“เสร็จแล้วก็พักผ้าไว้ที่ข้อพับใต้ศอก ถ้าเป็นที่ขาก็พักผ้าไว้ที่ใต้เข่า” ย่าแดงหันมาเห็นอาทิจ “หนาวหรือพ่อ ขนลุกซู่ไปทั้งแขนเชียว”
อาทิจจำต้องหันหน้ามาหาย่า ซึ่งก็เท่ากับหันมาหาดรุณี
“เอ่อ...ครับ”
“แล้วเราล่ะ เป็นไข้กับเขาด้วยหรือแม่ณี ทำไมมือไม้ถึงได้สั่นอย่างนั้นล่ะลูก”
ดรุณีเพิ่งสังเกตว่าตัวเองเช็ดแขนให้อาทิจมือไม้สั่นจริงๆ หญิงสาวเช็ดตัวไปบ่นไปอย่างเก้อๆ
“หนูก็อยากเป็นไข้ซะเดี๋ยวนี้เหมือนกันค่ะ จะได้ไปกินยาแล้วก็นอนพักกับเขาสักที”
“พอแค่นี้เถอะครับคุณย่า ผมจัดการตัวเองได้ครับ”
“อีกเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว”
“ใช่...อีกเดี๋ยวก็เสร็จ นอนนิ่งๆเถอะ อย่าออกตัวให้ฉันต้องโดนคุณย่าดุหน่อยเลย”
“ที่ว่าอีกเดี๋ยวน่ะ ย่าหมายถึงพ่ออาทิจ แต่เราน่ะยังต้องเอาเสื้อผ้าพี่เขาไปซักต่อ”
ดรุณีตาโตอ้าปากเหมือนจะร้องดังๆออกมาว่า แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา อาทิจกระอักกระอ่วนใจอยากจะลุกขึ้นมาแข็งแรงทำนั่นนี่เองซะเดี๋ยวนี้ ย่าแดงเห็นหน้าหลานสาวสุดที่รักแล้วอดขำไม่ได้
ดรุณีซักผ้าให้อาทิจ ขยี้ไปบ่นไป
“ทำไมต้องเป็นหนู...ทำไมต้องเป็นหนู”
แก้วหอบเอาตะกร้าใส่ผ้าเช็ดตัว กับผ้าขาวม้าของอาทิจเข้ามานั่งข้างดรุณี
“คุณย่าคงจะเห็นว่าคุณอาทิจไม่มีเสื้อผ้าจะใส่แล้วน่ะสิคะ ถ้าไม่เอามาซัก คุณณี
คงได้เข้าไปป้อนข้าวเช็ดตัวคุณอาทิจทั้งเปลือยๆอย่างนั้นล่ะค่ะ”
“อี๊ย...แค่นึกภาพก็ขนลุกแล้ว เอามานี่เร็วๆเลยน้าแก้ว หนูจะรีบซักรีบตากจะได้ไม่ต้องเห็นอะไรทุเรศนัยน์ตาอย่างนั้น”
ดรุณีคว้าตะกร้าผ้ามาจากแก้ว แล้วหยิบผ้าในตะกร้าลงไปแช่ในกะละมังแฟ้บ แล้วเริ่มขยี้
“มา...น้าแก้วช่วย”
“ไม่เป็นไรค่ะน้าแก้ว เสื้อผ้าไม่กี่ตัวหนูซักเองได้ น้าแก้วมีอะไรก็ไปทำเถอะค่ะ”
“ถ้างั้นน้าแก้วไปเตรียมมื้อเย็นนะคะ”
ดรุณีพยักหน้าให้ แก้วเดินออกไป
“ส่งมาเลยค่าเจ้านาย เดี๋ยวแจ๋วซักให้นะคะ”
หญิงสาวขยี้ๆๆๆๆผ้าขาวม้าอาทิจที่อยู่ในมืออย่างเมามัน จนกระทั่งได้ยินเสียงดัง แคว่ก ดรุณีรีบเอาผ้าขาวม้าลงไปล้างในกะละมังน้ำที่รองไว้จนเต็ม ขยี้ฟองแฟ้บออกแล้วยกขึ้นมาดู รอยแยกผ้าขาวม้าที่ฉีกออกจากกันยาวเป็น 10 นิ้ว ดรุณีหน้าเหวอ
“เฮ้ย!”
ดรุณีมองซ้ายมองขวา มีใครเห็นมั้ย
เย็นนั้น อาทิจเปิดประตูบ้านเดินโซเซเพลียจัดออกมา ย่าแดงเดินเข้ามากับดรุณีซึ่งหิ้วอาหารใส่ปิ่นโตมาให้อาทิจ
“ออกมาทำไมล่ะพ่อ อยากได้อะไรรึเปล่า”
“ผมอยากสูดอากาศอยากรับลมบ้างน่ะครับคุณย่า”
“หิวข้าวรึยังล่ะ”
“ยังไม่หิวครับ”
“ถ้าอย่างนั้นมานี่ก่อน...ย่ามีอะไรจะคุยด้วยหน่อย แม่ณีด้วย...มานั่งนี่”
ย่าแดงดึงแขนดรุณีมานั่งข้างขวา ส่วนอาทิจลงนั่งข้างซ้ายของย่าแดง
“เราสองคนเป็นคนที่ย่ารักมาก ถึงจะเป็นหลานแต่ย่าก็รักเหมือนลูก หวังจะปลูกฝังให้เป็นหลักเป็นฐานมั่นคงต่อไป เราสองคนเป็นรุ่นสุดท้ายปลายแถวแล้ว ต้องช่วยกันเก็บและกวาด แบ่งงานแบ่งหน้าที่กันสองคนเมื่อย่าเป็นอะไรไป”
ดรุณีใจไม่ดี
“คุณย่าอย่าพูดอย่างนี้สิคะ”
“คนเราไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ย่าอยู่กับความเป็นจริง และอยากให้หลานรับความเป็นจริงของโลกในเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตายให้ได้ พ่ออาทิจเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็จริงอยู่ แต่ย่าก็เห็นแก่พ่อของหลานซึ่งไม่ได้อะไรจากย่าเลย นอกจากเงินที่ขโมยไปเท่านั้น ลูกคนอื่นๆเขาได้กันจนตั้งเนื้อตั้งตัวได้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าพ่ออาทิจทำตัวดี พ่อก็จะได้ในส่วนที่พ่อเราเขาจะได้แทน ส่วนแม่ณี...ย่าเลี้ยงมากับมือ ย่าก็รักเหมือนลูก”
ดรุณีโผเข้ามากอดย่าแดงน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้ง
“หนูก็รักคุณย่าค่ะ”
ย่าแดงโอบดรุณีกลับ
“ย่าตั้งใจว่า ย่าตายอยู่กับใคร คนนั้นก็จะได้ทรัพย์สมบัติที่เหลืออยู่ไปดูแล ที่พูดว่าดูแลเพราะมันไม่ใช่เงินทองมหาศาล แต่มันเป็นที่ดินทำกินซึ่งถ้าดูแลดีๆ มันก็จะอยู่กับเราต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน เวลานี้ย่าก็เห็นแต่เราสองคน ที่จะช่วยกันปกป้องดูแลคนในบ้าน และคนงานให้อยู่เย็นเป็นสุขแทนย่าได้ ย่าขอให้เราสองคนช่วยปรองดองกันหน่อยได้มั้ย ย่าขอร้อง แม่ณีก็อย่าอิจฉาพี่เขาเลย ถึงย่าจะแบ่งสมบัติให้พี่เขาไปแล้ว ในส่วนที่เป็นของเรา จะกินไปจนตายก็ไม่หมด”
“หนูไม่เคยคิดอย่างนั้นสักหน่อย”
“ก็ไอ้เรื่องที่มันเพิ่งเกิดขึ้นนี่ ไม่ใช่เพราะความอิจฉาหรอกเหรอ”
ดรุณีอ้อนเป็นเด็ก
“หนูไม่ได้อิจฉา หนูแค่กลัวคุณย่าจะรักเขามากกว่าหนูต่างหาก”
“นั่นล่ะ...เขาเรียกว่าอิจฉา อีหนูเอ๊ย”
อาทิจซึ่งกลั่นหัวเราะอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็อดไม่ไหวต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆเพราะขำดรุณี
“คุณย่าครับ รักผมให้น้อยกว่าคุณณีสักนิดหนึ่งก็ได้ครับ ให้คุณณี 99% ผมขอแค่ 1% ก็พอ”
“แล้วอย่ามาเรียกร้องเอาคืนทีหลังล่ะ”
ย่าแดงยิ้ม
“ตกลงกันได้อย่างนี้ก็ดีแล้ว เอ้า...แม่ณีขอโทษพี่เขาซะ”
“เรื่องอะไรอีกล่ะคะคุณย่า ก็หนูกับเขาไม่มีอะไรคาใจกันแล้วนี่”
“เรื่องปรองดองกันจบแล้ว แต่เรื่องกล้วยป่าที่เราก่อไว้มันยังไม่จบ เราทำให้พี่เขาเสียแรงเสียกำลังใจจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ...อย่าลืมคำพูดที่สัญญากับย่าไว้”
ดรุณีลังเล แล้วก็ต้องยกมือไหว้อาทิจเพราะย่ายกคำสัญญาของเธอขึ้นมาอ้าง แต่ก็ทำแบบล่กๆ
อาทิจแปลกใจที่คุณย่าบอกว่าดรุณีเป็นคนก่อเรื่อง ชายหนุ่มจะอ้าปากถาม ดรุณีก็อ้อมแอ้มขึ้นมาซะก่อน
“ขอโทษ”
ย่าแดงเสียงเข้ม
“เราเป็นคนไทยนะลูก จะยกมือไหว้ขอโทษใครก็ต้องใส่ความตั้งใจลงไปด้วย ถ้าจะขอโทษกันล่กๆแบบขอไปทีอย่างนี้ อย่าขอโทษกันเลยดีกว่า”
ดรุณีสูดหายใจลึก ตั้งใจไหว้อาทิจอีกครั้งอย่างพยายามสุดฤทธิ์
“ขอโทษ...เอ่อ...ค่ะ”
“แล้วต่อไปนี้เราก็ต้องเรียกพี่เขาว่า พี่อาทิจ เราเป็นน้อง เรียกพี่เขาว่า นายอาทิจ มันไม่เหมาะ”
ดรุณีทำท่าจะร้องไห้เหมือนอยากตาย
“คุณย่าคะ”
อาทิจชักสงสาร
“เอาเถอะครับคุณย่า คุณณีถนัดจะเรียกผมยังไงก็แล้วแต่สะดวกเถอะครับ อย่าบังคับเธอเลย ถ้าวันหนึ่งผมทำให้คุณณีเรียกผมว่า พี่ได้อย่างสนิทใจ เธอคงจะเรียกเองครับ”
ดรุณีส่งค้อนให้อาทิจอย่างรู้สึกดีเล็กๆที่เขาไม่ถือโอกาสบังคับเธอ ย่าแดงแอบยิ้มพอใจ ลึกๆแล้วรู้สึกอิ่มใจที่หลานรักสองคน เริ่มที่จะมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
เย็นนั้น...ตุ๊โผเข้าไปหาสิงห์ทองกับคำมาซึ่งยืนฉุนนั่งไม่ติดกันทั้งคู่
“หา...คุณอาทิจน่ะเหรอ”
สิงห์ทองหน้าเหี้ยม
“ถ้าไอ้หลานคุณย่ามันคิดจะเจาะไข่แดงลูกสาวข้าฟรีๆล่ะก็ เป็นเรื่อง”
บรรยงเข้ามาบอก
“เมื่อกลางวันฉันก็แย๊บกับปลัดอำเภอให้แล้ว คิดว่าเรื่องน่าจะถึงหูท่านผู้ว่าไปแล้วล่ะ”
“อย่าคิดว่าพวกเราเป็นรากหญ้าเป็นคนจนแล้วจะจูงจมูกได้เหมือนก่อนนะเว้ย ถ้าคืนนี้มันไม่มาเจรจาล่ะก็ พรุ่งนี้จะตามไปทวงผัวให้ลูกข้าแต่เช้าเลยคอยดู”
สิงห์ท่าทางดุดันเอาจริง ตุ๊ไม่อยากจะเชื่อ
“คุณอาทิจเข้ามาปล้ำน้องศรีถึงนี่ ทั้งๆที่ไม่รู้จักกันเลยเนี่ยนะ”
ทองประศรีบีบน้ำตา
“เขาเมามากจ้ะพี่ตุ๊”
“ออกกำลังกายทั้งเมาๆ เอางั้นเลยเหรอ ได้เหรอ พี่ฑูรยังทำไม่ได้เลยนะ”
ทองประศรีไม่พอใจ
“ได้ไม่ได้เขาก็เป็นผัวฉันแล้ว พี่ตุ๊สงสัยอะไรห๊า”
คำมาไม่พอใจ
“นั่นสิ...เอ็งสงสัยอะไรวะ”
“เปล๊า...ฉันก็แค่สงสัยว่า คุณย่าท่านจะสงสัยรึเปล่าเท่านั้นแหละ”
ค่ำนั้น ตุ๊นำเรื่องของทองประศรีมาเล่าให้ไพฑูรย์ฟัง ไพฑูรย์ถือขนไก่สำหรับใช้ปั่นหูค้างอยู่ในมือ
“เฮ้ย...จริงเหรอ เป็นไปได้ยังไง”
“เขาว่าคุณอาทิจเมามากน่ะพี่ฑูร เฮ้อ...หน้าแตกเรื่องกล้วยแต่ไประบายเอากับส้มก็เป็นเรื่องน่ะสิ ป่านนี้คุณย่าไม่เอ็ดตะโรลั่นไปสามบ้านแปดบ้านแล้วเหรอ”
“คงยังไม่รู้มากกว่ามั้ง ไม่เห็นใครพูดอะไรเลยนี่ ถ้าเกิดเรื่องฉาวอย่างนี้จริง พวกคนงานมันคงนินทาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
“จะว่าไปก็สงสารคุณอาทิจเหมือนกันนะ นังศรีมันอยากจับคุณอาทิจจะตายแล้วมันก็ได้สมใจ แทนที่ตุ๊จะได้ค่านายหน้าจัดหาผัวให้มันบ้าง มันดันรวบหัวรวบหางเองซะนี่”
“เรื่องมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้นา”
“แต่พวกนั้นมันว่ามันมีหลักฐาน ถึงจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่น้าสิงห์กับน้าคำมาก็คงทำให้มันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาจนได้ โอกาสลอยอยู่ตรงหน้า ใครไม่คว้าก็โง่แล้ว ใครๆก็อยากจะดองกับคุณย่า ได้เดินยืดไปทั่วหมู่บ้านโก้จะตาย แต่ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเรา มา...ปั่นต่อ”
ไพฑูรย์จะใช้ขนไก่ปั่นหูให้ตุ๊ต่อ
“ไม่ใช่หู หูน่ะปั่นพอแล้ว แต่...ตรงนั้นเพิ่งจะปั่นมาได้ครึ่งทางเอง เหลืออีกครึ่งทาง”
ไพฑูรย์หน้าซีดปากสั่น
“แต่...มันสองแล้วนะตุ๊เอ๊ย”
“ไม่สองอะสี่”
ตุ๊ส่งตาแวววาวใส่ ในขณะที่ไพฑูรย์ตาเหลือก ตาดำพลิกซ่อนเข้าไปใต้เปลือกตาจนเหลือแต่ตาขาว
ต๊อด อึ่ง พันย่องเข้ามาในห้อง เห็นอาทิจนอนหลับอยู่บนที่นอน ทั้งหมดเกี่ยงกัน ต๊อดกระซิบเสียงเบา
“เอ็ง สองคน ไปปลุกนายไป จะได้ขอขมากันให้เสร็จ ไม่ต้องมีอะไรคาใจ”
พันกระซิบตอบ
“เอ็งนั่นแหละไอ้ต๊อด เอ็งนอนกับนายทุกคืน เอ็งต้องเป็นคนขอขมานายคนแรก”
อึ่งเห็นด้วยกับพัน
“ถูก...ไม่งั้นเอ็งเจอหน้านายที่ไหน คำว่า กล้วยป่า มันจะผุดขึ้นมาในหัวเอ็งอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นตราบาปติดตัวเอ็งไปตลอดชีวิต รีบเข้าไปสิวะ”
อาทิจนอนหลับตา แต่พูดออกมาเสียงดัง
“บ่นอะไรกันวะ หนวกหู คนจะนอน”
ต๊อดทรุดตัวลงนั่งแล้วคลานเข่าเข้าไปหาอาทิจ อึ่งกับพันทำตามโดยอัตโนมัติ ต๊อดเว้าลาวทันที
“นาย...ต๊อดขอโทษ จะให้ต๊อดทำอะไรชดใช้ความผิดก็ว่ามาเลย จะให้ต๊อดหมักปุ๋ยขี้วัวขี้ควายให้ตลอดชีวิตเลยก็ได้ ต๊อดยอมแล้ว”
พันรีบเสริม
“ขออย่างเดียว...นายอย่าหลับตาฟังพวกเราอย่างเดียวแบบนี้”
อึ่งพูดต่อ
“ถูก...นายเปิดตาเปิดใจคุยกับพวกเราหน่อยได้มั้ย จะด่าเราจะแตะจะถีบเรายังไงก็ได้ อย่าทำหมางเมินใส่พวกเราแบบนี้ พวกเราใจแป้ว”
ต๊อดเว้าลาวต่อ
“เราอยากให้นายรู้ว่า ณ ตอนนั้นเราไม่มีทางเลือก ในเมื่อคุณณีสั่งไม่ให้เราบอกนาย เราก็ไม่รู้จะทำยังไง เราเองก็ไม่สบายใจนะนาย”
อาทิจค่อยๆลืมตา นึกถึงคำพูดของดรุณี
‘อย่าเที่ยวหลงตัวเองว่าปลูกผักได้ แล้วจะทำอย่างอื่นได้ตามไปด้วย’
‘ฉันไม่เดือดร้อนหรอก เพราะคนที่จะเดือดร้อนก็คือนาย จำไว้’
‘ขอให้นายโชคดี ทำงานอย่างมีความสุขก็แล้วกัน’
อาทิจเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่า ที่ย่าแดงบอกว่าดรุณีเป็นคนก่อเรื่องคืออะไร เขาพึมพำเจ็บลึก
“อย่างนี้นี่เอง เขาต้องการให้ฉันอับอาย มันก็สมใจเขาแล้ว”
ทั้งสามคนใจหาย
“นาย”
“พวกนายรู้มั้ยว่าก่อนที่จะเกิดเรื่องไม่กี่ชั่วโมง ฉันเขียนจ.ม.ถึงพ่อกับแม่ เล่าให้ท่านฟังว่าฉันรักที่นี่และเพื่อนร่วมงานมากแค่ไหน ฉันบอกท่านว่าเพื่อนร่วมงานของฉันเป็นคนดี แล้วก็จริงใจกับฉันมาก ถึงฉันไม่ได้ระบุชื่อกับท่านว่าเพื่อนร่วมงานของฉันเป็นใคร แต่นายก็รู้ใช่มั้ยว่าฉันหมายถึงนาย สามคน”
ทั้งสามจ๋อยสนิท น้ำตาคลอ ต๊อดเว้าลาว
“นายพูดอย่างนี้นายฆ่าต๊อดให้ตายคามือเลยดีกว่า”
“อึ่งอยากตาย...อยากตาย”
พันอึ้งตะลึง
“หรือว่าพวกเราตายจากนายไปแล้ว”
ทั้ง สามคนตะโกนร้องไห้เป็นเด็กๆ
“ไม่นะ ไม่เอา เรารักนาย”
อาทิจพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าหนีทุกคน ทั้งสามคน หุบปากที่พากันแหกลั่นเมื่อครู่ แล้วนิ่งสนิทตลกไม่ออกไปตามๆกันคิดว่าอาทิจไม่ให้อภัย อาทิจไม่ได้โกรธเพื่อนทั้งสามคน แต่เขากำลังคิดไปถึงใครอีกคนที่เกลียดเขาซะจริงซะจัง
ย่าแดงนั่งร้อยมะลิที่เก็บใส่ถาดมา เตรียมถวายพระอยู่กับแก้ว
“ร้อยพวงโตๆเลยนะแม่แก้ว”
“ค่ะ...เห็นคุณย่ายิ้มอย่างนี้แล้วแก้วชื่นใจ แสดงว่าอาการคุณอาทิจดีขึ้นใช่มั้ยคะ”
“นั่นก็ส่วนนึง แต่ที่ทำให้อิ่มใจที่สุดก็คือการได้คุยกับหลานสองคนพร้อมหน้าพร้อมตา ฉันอยากให้สวนคุณย่าอยู่คู่กับคนในครอบครัวไปจนชั่วลูกชั่วหลานก็เลยขอให้พ่ออาทิจกับแม่ณี ปรองดองกันเพื่อรักษาสวนคุณย่าไว้”
“แสดงว่าทั้งคุณณี และคุณอาทิจรับปากจะทำตามที่คุณย่าขอแล้ว”
“ไม่ได้พูดออกมา แต่อ่านจากนัยน์ตาเอาก็รู้ พ่ออาทิจน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอกเพราะเขาชอบทำกินกับผืนดินอยู่แล้ว แต่เขาจะอยู่ที่นี่ได้นานได้ทนรึเปล่า มันขึ้นอยู่กับแม่ณี”
“จริงค่ะ คนเราคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก คุณอาทิจคงไม่สบายใจนักหรอก ถ้ารู้ว่าคุณณีไม่ชอบเธออยู่อย่างนี้”
“แต่วันนี้แม่ณีก็อ่อนลงเยอะ อย่างน้อยก็ยอมยกมือไหว้ขอโทษพ่ออาทิจตามที่สัญญาไว้”
“ไม่ใช่แค่นั้นสิคะ ยังยอมทำกับข้าว เช็ดตัว แถมซักผ้าให้คุณอาทิจอีกต่างหาก คุณณีเคยยอมทำอะไรแบบนี้ให้ใครที่ไหนคะ...ไม่มี้”
“ข้อดีของแม่ณี คือรู้ตัวว่าทำผิดแล้วยอมรับผิด”
“หวังว่าคุณอาทิจคงสบายใจขึ้นนะคะ”
ย่าแดงสุขใจจนต้องหลุดปากออกมา
“ฉันก็ได้แต่หวัง”
แก้วแปลกใจ
“หวังอะไรคะคุณย่า”
ย่าแดงไม่อยากพูดมาก
“ไม่มีอะไรหรอก เอาไว้ให้ถึงวันนั้นก่อน แล้วแกก็จะรู้เอง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันคงได้นอนตายตาหลับล่ะคราวนี้”
แก้วยังมึน ย่าแดงหวังอะไร ย่าแดง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแค่คิดก็มีความสุขแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 6 (ต่อ)
อาทิจนั่งพิงกรอบหน้าต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้า นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันแรกที่เหยียบเข้ามาในบ้านย่าแดง...ดรุณีต่อว่าเขา
‘ทีหลังจะทำอะไรหัดดูตาม้าตาเรือซะบ้างนะ’
ดรุณีขับรถพุ่งเข้ามาชน แล้วต่อว่าเขา
‘ก็ใครใช้ให้นายมากับฉันล่ะ ไม่พอใจก็โบกรถคันอื่นไปเองสิ ไปเลย’
ดรุณีเตะขาเขาซึ่งกำลังซ่อมแทรกเตอร์อยู่...ดรุณีเอาหม้อเคลือบที่จะเอาไปใส่น้ำเต้าหู้ฟาดใส่เขาไม่ยั้ง...ดรุณีเตะเขาที่โรงซ่อมรถ
‘เตะก็เหนื่อยค่ะ แต่มันสะใจ’
ดรุณีจะเข้าไปทุบเขาแต่แก้วซึ่งยืนอยู่ตรงกลางห้ามทัพไว้...ดรุณีพูดใส่หน้าอย่างรังเกียจ
‘ที่ฉันไม่จับ ก็เพราะไม่อยากจับ ไม่ชอบขี้หน้า ได้ยินมั้ย’
อาทิจนึกถึงคำพูดของย่าแดงที่ชมเขา แต่ดรุณีกับแดกดัน
‘ความรู้รอบตัวดีเหมือนกันนี่พ่ออาทิจ’
‘ท่องเอามากกว่า’
อาทิจนึกถึงตอนที่เธอฉีดน้ำใส่
‘ผมเปียกหมดแล้วเห็นมั้ย’
‘ก็ตั้งใจให้เปียก มันก็ต้องเปียกสิ’
แล้วก็คิดถึงตอนที่ดรุณีถีบเข้ายอดอกเขา เพราะคิดว่าจะเข้ามาจูบ
ต๊อดเดินหน้าละห้อยเข้ามายืนข้างๆอาทิจ ก่อนจะเว้าลาวใส่
“นายยังโกรธ เกลียด ไม่ให้อภัยต๊อดอีกเหรอ”
อาทิจเว้าลาวกลับ
“เปล่า...ฉันรู้ว่าพวกนายไม่ได้ตั้งใจ ฉันกำลังนึกถึงคนที่ตั้งใจให้มันเกิดเรื่องนี้ต่างหาก”
“คุณณีเหรอครับ”
“ฉันรู้ว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าฉัน แต่ไม่คิดว่ามันจะมากขนาดนี้ เขาคงเกลียดฉันมานาน บางทีอาจจะตั้งแต่นาทีแรกที่เจอกันด้วยซ้ำไป”
ต๊อดมองอาทิจอย่างเห็นใจ อาทิจมองฝ่าความมืดออกไปไกล
ดรุณีกำลังชุนผ้าขาวม้าให้อาทิจอย่างขะมักเขม่น ปากก็บ่นไป
“จะประหยัดอะไรนักหนา ใช้ซะจนเปื่อยยุ่ยไปหมดแล้ว เฮ้อ...เสร็จสักที หวังว่าจะใช้ไปได้อีกนานนะ”
ดรุณีพับผ้าขาวม้าเก็บอย่างเรียบร้อย หญิงสาววางผ้านั้นลงบนเตียง ก่อนจะหันมาหยิบตำราซึ่งวางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียงขึ้นมาอ่าน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หยิบหนังสือเมนูอาหารขึ้นมานอนเปิดอ่านแทน
“ข้าวต้มปลา ซุปมักกะโรนี ซุปหัวหอมก็ไม่เลว หรือจะข้าวหน้าไก่ ข้าวอบสับปะรด ซุปฟักทอง ก็มีประโยชน์ ไข่ตุ๋นสี่สหายก็หน้าตาน่ากิน แต่ถ้าทำไข่กระทะไปก็คงกินได้เยอะ สารอาหารเพียบ ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว เอ...เลือกไม่ถูก ทำอะไรดีน้า”
ทันใดนั้นเสียงย่าแดงดังขึ้น
“ข้าวต้มปลากับไข่กระทะสิ”
“เออ...ก็ดีเหมือนกัน ขอบใจนะที่ช่วยคิด”
ดรุณีพูดจบแล้วเบิกตาโต เพราะเสียงที่แว่วมาเมื่อครู่คือเสียงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง หญิงสาวค่อยๆเลื่อนหนังสือลงจากหน้าเห็นหน้าย่าแดงกับแก้วยื่นอยู่ข้างเตียง ในมือแก้วมีถาดใส่น้ำส้มมาด้วย
“ส่วนเครื่องดื่มก็เอาเป็นน้ำส้มคั้นดีมั้ยคะ เดี๋ยวน้าแก้วจะคั้นเตรียมไว้ให้แต่เช้าเลยค่ะ แต่แก้วนี้ของคุณณีนะคะ”
“เอ่อ...ค่ะ...ขอบคุณนะคะน้าแก้ว”
หญิงสาวรับน้ำส้มมาดื่ม แล้วหลบตาผู้ใหญ่ทั้งคู่อย่างอายๆ ย่าแดงมองดูผ้าขาวม้าบนเตียงแล้วหันมาสบตาแก้ว ก่อนจะยิ้มออกมาทั้งคู่
เช้าวันใหม่ ดรุณีขยับถาดใส่อาหารอันประกอบด้วยข้าวต้มปลา ไข่กระทะ และน้ำส้ม ซึ่งสุด
แสนจะน่ากินเข้าไปหาอาทิจแล้วกลับมานั่งเชิดหน้าเป็นนางพญาอยู่ข้างๆย่าแดง อาทิจเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจนัก
“คุณย่าครับ ผมมีเรื่องจะต้องเรียนให้คุณย่าทราบ”
“กินข้าวกินยาให้เรียบร้อยก่อนเถอะพ่อ เรามีเวลาคุยกันอีกเยอะ”
อาทิจจำต้องกลืนเรื่องทองประศรีกลับเข้าไปในอก ก่อนจะตักข้าวต้มกินกับไข่กระทะ
“อร่อยมั้ยล่ะพ่อ”
“อร่อยครับ”
ดรุณียืดตัวขึ้นรับคำชม จนคอยื่นยาวราวกับหงส์กับห่าน
“ฝีมือแม่ณีเขา อุตส่าห์ลุกมาทำตั้งแต่ตีสี่ตีห้า”
ดรุณีหดคอลงมาอย่างร้อนตัว
“เกือบหกโมงเช้าค่ะคุณย่า หนูจะรีบตื่นตั้งแต่ไก่โห่ทำไมคะ”
“แล้วเขาเรียกตีห้ารึเปล่าล่ะ”
“ก็...” ดรุณีเถียงไม่ออกรับเสียงอ่อย “ค่ะ”
ย่าแดงยื่นห่อผ้าให้อาทิจ
“นี่ผ้าที่แม่ณีเขาเอาไปซักให้ พับมาเรียบร้อยแล้ว”
อาทิจรับห่อผ้ามาอย่างเกรงใจปนเสียใจเรื่องดรุณี ที่เพิ่งรู้ความจริงมานิดๆ
“ขอบคุณมากครับ อันที่จริงไม่น่าต้องรบกวนคุณณีเลย ผมซักเองได้ ไม่อยากรบกวนใครโดยไม่จำเป็น”
ดรุณีหน้าตึงขึ้นมาบ้าง
“ไม่ได้รบกวนเพราะไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ก็แค่ทำให้เสร็จไปงั้นๆตามคำสั่งคุณย่า”
ย่าแดงเหล่มองคนนี้ทีคนนั้นที มันเริ่มก่อสงครามกันอีกแล้วหรือนี่ จิ๋วแจ๋ววิ่งหอบเข้ามา
“คุณย่าคะ คุณณีขา...คุณเวกับคุณวิมาค่ะ”
ทุกคนหันไปมองจิ๋วแจ๋ว
ดรุณี เวทางค์ วิยะดา แก้ว อยู่ที่ระเบียงหลังบ้าน เวทางค์ขำก๊าก วิยะดาชักสีหน้าไม่พอใจ
“ขำอะไรนักหนาหา...พี่เว”
เวทางค์พูดไปกินส้มเช้งในจานไป
“ขำสิ...เป็นนักเรียนเกษตรประสาอะไร ไม่รู้จักกล้วยป่า”
“แล้วพี่เวรู้เหรอว่ากล้วยป่าหน้าตามันเป็นยังไง”
เวทางค์พูดหน้าตาย
“ไม่รู้...ในเมื่อพี่ไม่สนใจพี่ต้องรู้ด้วยเหรอ แต่ไอ้คนที่มันสนใจแถมยังเรียนจบมาทางนี้ มันสมควรจะรู้มั้ยล่ะ แล้วเป็นไงน้องณี หน้ามันแตกชนิดหมอ ไม่รับเย็บเลยสิท่า”
ดรุณีซึ่งยืนอยู่กับแก้วตอบอย่างเซ็งๆกับนิสัยเหยียบคนให้จมดินของเวทางค์ ดรุณีพูดขึ้นลอยๆ
“เขาก็คงเสียใจ วิ่งเตลิดไปเลย กลับมาอีกทีก็ป่วยหนักอย่างที่เล่าให้ฟัง”
วิยะดาเห็นใจอาทิจ
“น่าสงสารพี่อาทิจ คงจะอายมาก”
เวทางค์ยิ้มหยัน
“โธ่เอ๊ย...เรื่องจิ๊บๆแค่นี้ยังไม่รู้ แล้วจะไปปกครองคนงานแทนคุณย่าได้ยังไง” แวทางค์หันไปสั่งแก้ว “ขอส้มโออีกจานซิ...แก้ว”
แก้วหมั่นไส้มานาน ซัดทันที
“เขาเรียก ส้มเช้ง ค่ะ ไม่ใช่ ส้มโอ รูปร่าง หน้าตา แถมรสชาติต่างกันเห็นๆ คุณเวแยกไม่ออกหรือคะ”
วิยะดาได้ทีซ้ำเติมพี่ชายทันที
“นั่นสิ...อยากจะเป็นผู้ว่าเหมือนคุณพ่อ เรื่องจิ๊บๆแค่นี้ยังไม่รู้ แล้วจะไปปกครองคนทั้งจังหวัดได้ยังไง” ขาดคำเธอก็หันไปชวนดรุณี “ไปเยี่ยมพี่อาทิจกันเถอะณี”
วิยะดาจูงมือดรุณีซึ่งอิดออดไม่อยากไปออกมา แล้วก็พบกับจิ๋วแจ๋วซึ่งวิ่งสวนเข้ามาพอดี
“มีคนมาหาคุณย่าค่ะคุณณี”
“ใคร”
ดรุณีแปลกใจ
ดรุณี เวทางค์ วิยะดา ก้าวเข้ามายืนเผชิญหน้ากับสิงห์ทอง คำมา ทองประศรี ดรุณีเข้าไปถาม
“มีธุระอะไรหรือจ๊ะ”
สิงห์ทองถามเสียงแข็ง
“คุณย่าอยู่ไหน”
“ท่านไม่อยู่บ้าน นายสิงห์ทองมีธุระอะไรก็ฝากฉันไว้ได้”
สิงห์ทองวางท่ากวนๆ
“เป็นคุณย่ารึเปล่า”
เวทางค์เข้ามาสอดทันที
“ไม่ใช่คุณย่า แต่เป็นหลานคุณย่า เป็นลูกผู้ว่าด้วยเว้ย...มีอะไรมั้ย”
สิงห์ทองฉุนกึก
“อ๋อ...ไอ้นี่เองเหรอนังศรี”
ทองประศรีรีบบอก
“ไม่ใช่จ้ะพ่อ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คุณอาทิจ”
เวทางค์ถามห้วนๆ
“ทำไมต้องเป็นนายอาทิจ”
สิงห์ทองมองหน้า
“ในเมื่อคุณไม่ใช่คุณอาทิจ แล้วผมต้องเสียเวลาคุยกับคุณมั้ย...ว่ายังไง คุณย่าอยู่ไหน”
วิยะดาชักโมโห
“ก็บอกว่าไม่อยู่ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง”
สิงห์ทองใส่อารมณ์
“รู้เรื่องเว้ย...แต่ไม่อยากคุยกับเด็ก อยากคุยกับคนแก่หัวหงอกด้วยกัน จะได้พูดทีเดียว...จบ บอกมาสิว่า...คุณย่าอยู่ไหน”
ย่าแดงเดินเข้ามาพร้อมกับแก้ว ย่าแดงพูดเสียงนิ่งมาก
“ฉันอยู่นี่...มีอะไรก็ว่ามา”
สิงห์ทอง คำมา ทองประศรี เพิ่งได้เห็นย่าแดงผู้มากด้วยบารมีจะๆคาตาก็คราวนี้ ย่าแดงมองทั้งสามคนด้วย ท่าทางและแววตาที่เรียบนิ่ง แต่ดูน่าเกรงขามเป็นยิ่งนัก
สิงห์ทองฮึดสู้กับบารมีที่แผ่ออกมาจากย่าแดง ด้วยถ้อยคำที่สุภาพขึ้น
“คุณย่ารู้เรื่องที่เมื่อคืนก่อนคุณอาทิจกินเหล้าจนเมาหัวทิ่มแล้วใช่มั้ยครับ”
“รู้แล้ว”
สิงห์ทองหน้าตึงขึ้นมาอีก
“รู้แล้วทำไมถึงได้ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว รู้มั้ยว่านังหนูมันนอนร้องไห้ทั้งคืนจนตาบวมไปหมดแล้ว”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน”
คำมาไม่พอใจ
“อ้าว...พูดอย่างนี้มันไม่สวยนะคะคุณย่า ไม่ทันไรจะปัดความรับผิดชอบกันแล้ว”
ย่าแดงงงๆ
“ความรับผิดชอบ เรื่องอะไร”
สิงห์ทองโวยวาย
“ก็เรื่องหลานคุณย่าที่ชื่อนายอาทิจน่ะสิ อย่าตีหน้าซื่อทำเหมือนไม่รู้เรื่องนะ”
วิยะดาทนไม่ไหว
“ก็พูดมาสิ พี่อาทิจไปทำอะไรพวกแก นี่คนไทยด้วยกันนะ ฟังภาษาไทยรู้เรื่อง พูดวกไปวนมาอยู่ได้ น่ารำคาญ”
สิงห์ทองโมโห
“จะให้พูดตรงๆใช่มั้ย ได้...หลานชายคุณย่าไปกินเหล้าที่ร้านผม แล้วปล้ำลูกสาวผมเมื่อคืนก่อน สุดท้ายบอกจะรับผิดชอบแล้วก็หายหัวไปเลย”
ย่าแดง ดรุณี แก้ว วิยะดาตะลึง ช็อกไปตามๆกัน เวทางค์คิดอยู่ในใจว่าแล้ว ขณะที่ทองประศรีแกล้งร้องไห้โฮ คำมาเสียงแข็ง
“คุณย่าเป็นย่า คุณย่าต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นนะคะ”
“ฉันไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน”
สิงห์ทองด่าลูก
“นั่นไง...ข้าว่าแล้ว ไม่จับปากกายัดใส่มือให้มันเซ็นยอมรับเป็นผัวให้รู้แล้วรู้รอดไปวะ เขาจะปัดสวะให้พ้นตัวแล้วเห็นมั้ย”
ย่าแดงไม่พอใจมากพูดเสียงเข้ม
“ฉันไม่เคยเห็นใครเป็นสวะ ฉันจะสอบถามเรื่องนี้กับอาทิจเอง”
คำมาโวย
“ถามเอง...เออเองมันจะดีเหรอคะคุณย่า แน่จริงก็เรียกคุณอาทิจออกมาคุยตรงนี้เลยสิ จะได้รู้กันไปเลยว่าใครมันมาทำระยำกับลูกสาวฉัน”
ย่าเสียงเข้มและหน้านิ่งยิ่งกว่าเดิม
“ถึงมันจะเป็นเรื่องจริง ฉันก็ขอบอกไว้ก่อนนะว่า ฉันไม่ชอบเกี่ยวข้องกับใครที่มารยาทต่ำทรามแล้วก็พูดจาหยาบคายอย่างนี้ พ่ออาทิจไม่สบาย แต่...ไม่ต้องห่วง ฉันจะคุยเรื่องนี้กับเขาเอง พวกเธอกลับไปก่อน”
ทองประศรีพยายามจะอ้อนขอโทษแทนพ่อแม่
“คุณย่าเจ้าคะ...คือ...”
ย่าแดงมองหน้าแล้วพูดออกมาน้ำเสียงเฉียบขาด
“กลับไปได้แล้ว”
ทองประศรีหุบปากแทบไม่ทัน หญิงสาวหันไปสบตาพ่อแม่ก่อนจะพยักพเยิดให้เดินตามออกไป ดรุณี แก้ว วิยะดา เวทางค์ หันมามองย่าแดงเป็นตาเดียว ย่าแดงยืนนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์เพียงชั่วครู่ก็เดินออกมาเพียงลำพัง
ย่าแดงเดินครุ่นคิดมาตามทางไปบ้านพักอาทิจอย่างรีบเร่ง หญิงชรานึกถึงสิ่งที่อาทิจกำลังจะบอกก่อนหน้านี้
อาทิจวางช้อนลงในชามข้าวต้มที่กินหมดแล้ว ชายหนุ่มรีบยกน้ำขึ้นดื่มแล้วพยายามจะเล่าเรื่องทองประศรีให้ย่าฟัง
“คุณย่าครับ”
ย่าแดงรู้ทัน
“กินยาเสียก่อน แล้วค่อยเล่าให้ย่าฟังก็ได้”
อาทิจรีบกินยาที่จัดไว้ แล้วดื่มน้ำตามอีกแก้ว
“เอ้า...ทีนี้มีอะไรก็ว่ามา”
“ผม...ทำความผิดบางอย่าง...อย่างไม่น่าให้อภัย”
“ความผิด...เรื่องอะไร”
“ผม...คืนนั้น...ผมเมามากจนขาดสติ ผม...”
แก้ววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณย่าคะ รีบกลับไปที่บ้านก่อนเถอะค่ะ มีคนมาโวยวายจะคุยกับคุณย่าให้ได้
เลยค่ะ”
“เรื่องอะไรกันล่ะ เอ้า...ไป...ไป”
แก้วรีบประคองย่าแดงเดินออกมา
ย่าแดงหยุดเดิน แล้วนิ่งคิด หรือว่านี่คือความผิดอย่างไม่น่าให้อภัยที่อาทิจต้องการจะเล่าให้ฟัง
ทางด้านวิยะดาทำท่าเซ็งมาก
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าที่คุณพ่อได้ยินมาจะเป็นเรื่องจริง”
“พี่ว่าไม่เห็นแปลกตรงไหน ผู้หญิงผู้ชายถ้าได้อยู่ห้องเดียวกันแล้วไม่มีอะไรกัน นั่นสิแปลก ยิ่งถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเมาด้วยแล้ว จะเหลือเร๊อ”
ดรุณีแปลกใจ
“คุณลุงประเวทย์รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอคะพี่เว รู้ได้ยังไง”
เวทางค์รีบบอก
“มีคนโทรมารายงานท่าน แต่ท่านไม่เชื่อ วันนี้ก็ว่าจะตามมาถามความจริงกับคุณย่าเหมือนกัน”
วิยะดาใจไม่ดีเป็นห่วงอาทิจ
“แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาล่ะ พี่อาทิจจะทำยังไง”
เวทางค์เบ้หน้า
“จะทำยังไง ก็คงต้องยอมเป็นลูกเขยไอ้นักเลงภูธรนั่นน่ะสิ”
วิยะดาหน้าตื่น
“จริงอะ...ไม่นะ เราไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอ สงสารพี่อาทิจนะถ้าต้องได้เมียอย่างนั้นรู้งี้...วิจัดการพี่อาทิจเองซะตั้งแต่แรกก็ดี”
เวทางค์ปรามน้อง
“นี่ยายวิ เราน่ะเป็นน้องไอ้หมอนั่นนะ”
“ก็เพราะไอ้คำว่า น้อง นี่ล่ะที่มันค้ำคอวิอยู่ ถ้าไม่มีคำนี้ล่ะก็ พี่อาทิจเสร็จวิไปนานแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่เพราะ เมา ยายแม่ค้านั่นไม่มีทางปล้ำพี่อาทิจได้หรอก”
ดรุณีสะท้านเข้าไปในหัวอกจริงสิ...เพราะอาทิจเมา...เมาเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ หญิงสาวรู้สึกผิดอย่างรุนแรง ก่อนจะรีบเดินจ้ำออกมา เวทางค์ตะโกนตามหลัง
“น้องณี จะไปไหน น้องณี”
ย่าแดงนั่งอยู่บนแคร่หน้าบ้าน ถามอาทิจที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“มันจริงอย่างที่เขาว่ารึเปล่า”
“ผมผิดครับคุณย่า ผมกราบขอโทษ” อาทิจก้มลงกราบที่ตักย่า “ผมยอมรับว่าผมเลวที่เมาจนไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แม่ของผู้หญิงคนนั้นกับน้องๆเข้ามาโวยวายว่าผมข่มเหงลูกสาวเขา”
“แล้วเราทำอย่างนั้นจริงรึเปล่า”
ดรุณีจ้ำเข้ามายืนฟังอยู่ด้านหลังอาทิจ
“ผม...ไม่ทราบจริงๆครับคุณย่า ผมจำอะไรไม่ได้เลย รู้แต่ว่าตอนนั้นผมปวดหัวจนแทบจะระเบิด”
“แล้วจะเอายังไง พ่อแม่เขามาโวยวายจะให้เรารับผิดชอบลูกเขา”
อาทิจก้มหน้านิ่ง
“ด้วยการอยู่กินกับผู้หญิงที่ผมไม่ได้รัก แถมเพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรกอย่างนั้นหรือครับ”
“ดูท่าแล้ว ย่าว่ามันคงเป็นอย่างนั้น เขาคงไม่ยอมปล่อยเราแน่”
“ผมเคยสัญญากับคุณแม่ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหล้า ไม่นึกเลยว่าการผิดคำพูดกับท่านเพียงครั้งเดียว จะทำให้ชีวิตผมต้องยุ่งยากและพลอยทำให้ทุกคนเดือดร้อนไปด้วยขนาดนี้”
“เรื่องเดือดร้อนน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้ที่ทรมานใจมากกว่า คือการที่เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราเองก็ไม่รู้ว่าเราผิดจริงรึเปล่านี่สิ”
“ถ้าผมผิดจริง ผมจะรับผิดชอบและจะไม่หนีไปไหน แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น ผมก็อยากจะถามอะไรเขาสองสามข้อ ผมอยากรู้เหมือนกันว่าผมจะขาดสติถึงขั้นกล้าล่วงเกินผู้หญิงคนนั้นจริงรึเปล่า”
“จะไปคุยกับเขาเองรึไง”
“ไม่ครับ ผมไม่อยากกลับไปอยู่ในที่ที่ทำให้ผมต้องยุ่งยากใจ แต่ถ้าเขามาทวงคำตอบอีกเมื่อไหร่ ผมจะคุยกับเขาเอง คุณย่ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ อย่าร้อนใจกับเรื่องนี้อีกเลย ไปครับ...ผมไปส่ง”
ย่าแดงเหลือบเห็นดรุณี
“ไม่ต้องหรอก แม่ณีมานั่นแล้ว”
อาทิจหันไปมองดรุณีด้วยอารมณ์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ก่อนจะหันมาหาย่าแดง
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ”
อาทิจเดินออกไป
“พ่อจะไปไหน ไข้หายแล้วเหรอ”
“ผมจะไปดูผักครับคุณย่า ไม่ได้ไปดูหลายวันแล้ว ไม่รู้เป็นยังไงมั่ง”
อาทิจเดินหน้าเศร้าหมองออกไป ย่าแดงมองตามหลังหลานชายไปด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่ดรุณีรู้สึกผิดมหันต์
ทองประศรีกระแทกลงนั่งที่เก้าอี้ แล้วโวยขึ้นอย่างไม่พอใจ
“พ่อกับแม่ไปโวยใส่คุณย่าอย่างนั้น เขาก็ได้คิดว่าพวกเราถ่อยสถุลไม่มีสกุล แล้วใครจะเอาฉันไปเป็นหลานสะใภ้ละทีนี้”
สิงห์ทองโมโห
“ก็แล้วเอ็งจะให้ข้าทำยังไง ก้มลงกราบขอให้มันส่งหลานมาเป็นผัวเอ็งงั้นเหรอ”
“หรือจะให้หาสินสอดใส่พานไปขอมันด้วยห๊านังศรี...นังลูกไม่รักดี”
คำมาจะเข้ามาฟาดทองประศรี บรรยงซึ่งนั่งอยู่แถวนั้น รีบเข้ามาห้ามทัพ
“น้าคำมาใจเย็นๆ ความจริงน้าก็น่าจะรอฉันก่อน มีเจ้าหน้าที่ไปเจรจาด้วยยังไงก็อุ่นใจ ไม่เสียเปรียบ ไม่มีใครกล้าเบ่งใส่ด้วย”
ทองประสานขยับเข้ามาหาบรรยง
“ทำยังกะบั้งยศสิบโทของพี่ยงมันจะใหญ่ทิ่มตาคุณย่างั้นล่ะ”
ทองประสมมองบรรยงเหยียดๆ
“ใช่...ลูกคุณย่าน่ะผู้ว่านะ เขาจะมาสนใจอะไรกับพี่ยง”
บรรยงชะงัก
“อ้าว...น้องสาน ไม่เคยได้ยินคำว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวเหรอ ผู้ว่าก็ผู้ว่าเถอะ ลองได้เจอคลิปฉาวที่น้องสานกับน้องสมถ่ายไว้ล่ะก็ ขี้คร้านจะกลายเป็นแมวเซื่อง ใครๆก็กลัวเป็นข่าว กลัวเสียชื่อเสียประวัติกันทั้งนั้นล่ะสมัยนี้”
ทองประศรีวี๊ดบึ้มใส่บรรยง
“ไปยุ่งกับเขามากๆ เดี๋ยวเขาก็ไม่แต่งงานกับฉันพอดี อุตส่าห์เตี๊ยมกันแล้วว่าให้พูดกับเขาดีๆ ใจเย็นๆ ถ้าเขาเข็ดกับสันดานของพวกเราแล้วไม่ยอมแต่งงานกับฉัน จะทำยังไง”
ตุ๊นั่งฟังมานานแล้วอดคันปากไม่ได้
“จะคิดมากทำไม ถ้าไม่แต่ง ก็ขอค่าเลี้ยงดูค่าเสียหายจากคุณย่าซะก็หมดเรื่อง ขอไปสักล้านสองล้าน คุณย่าท่านก็คงจ่ายให้ได้ ขนหน้าแข้งท่านไม่ร่วงหรอก”
บรรยงเปลี่ยนแนวทันที
“เออ...จริงด้วยน้องศรี เดี๋ยวพี่ยงแต่งกับน้องศรีทีหลังก็ได้”
ทองประศรีโวยวายลั่น
“ไม่!...ฉันจะแต่งกับเขา เขาหล่อ เขารวย ชาติตระกูลก็ดี ฉันอยากให้ลูกฉันได้ดี...ได้ยินมั้ย”
สิงห์ทองโมโห
“โธ่...อีบ้า แค่ทำให้เขายอมแต่งงานด้วยให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยคิดจะมีลูกกับเขา ยังไม่ทันได้คืบจะเอาศอกแล้วนังนี่”
ทองประศรีร้องไห้ช้ำใจ ใครๆก็อยากได้ผัวหล่อ ดี รวย ที่สำคัญถ้าให้ลูกในท้องเลือกใครเป็นพ่อระหว่างอาทิจกับบรรยง ลูกมันก็คงตะโกนออกมาดังๆว่า หนูจะเอาพ่ออาทิจอย่างไม่ต้องสงสัย
โปรดติดตามตอนต่อไปพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.